ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 3 ลัทธิ ที่ชาวพุทธพึงทราบว่า “ไม่ใช่พระพุทธศาสนา”  (อ่าน 957 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




3 ลัทธิ ที่ชาวพุทธพึงทราบว่า “ไม่ใช่พระพุทธศาสนา”

ในยุคที่พระพุทธองค์เสด็จมาอุบัตินั้น มีลัทธิต่างๆ มากมายเฉพาะเจ้าลัทธิ ที่เด่นๆ ก็มีอยู่ 6_ลัทธิ และเฉพาะวิธีคิด (ทิฏฐิ)ที่เชื่อถือกันอยู่ในสมัยนั้นก็มากกว่า 62 ลัทธิ ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายของลัทธิและนิกายที่มีมากมายถึงเพียงนี้ ถ้าไม่แสดงลักษณะเฉพาะของพระพุทธศาสนาให้ชัดเจน ก็คงจะมีคนสับสนแยกไม่ออกว่าพุทธศาสนาแตกต่างจากศาสนาอื่นอย่างไร

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงแยกให้เห็นว่า ทั้ง 3_ลัทธิ ต่อไปนี้ไม่ใช่พระพุทธศาสนา นั่นคือ

@@@@@@

1. ลัทธิกรรมเก่า คือ ลัทธิที่เชื่อกันว่าความเป็นไปในชีวิตของคนเรานั้นไม่ว่าจะในทางดีหรือในทางร้าย ล้วนเป็นผลมาจากกรรมเก่าทั้งสิ้น เช่น เกิดมาจนก็เพราะกรรมเก่า เกิดมารวยก็เพราะกรรมเก่า เกิดมามีอำนาจก็เพราะกรรมเก่า เกิดมาต่ำต้อยก็เพราะกรรมเก่า อะไรๆ ก็เพราะกรรมเก่าทั้งนั้น

2. ลัทธิพระเจ้าบันดาล คือ ลัทธิที่เชื่อกันว่าความเป็นไปในชีวิตของเรานั้นมีพระเจ้าเป็นผู้ “เขียนบท” หรือ “ลิขิต” เอาไว้เรียบร้อยแล้ว ชีวิตจะเป็นอย่างไร ขึ้นสูงหรือลงต่ำ สำเร็จหรือล้มเหลว รุ่งโรจน์หรือร่วงโรย ล้วนแต่เป็นไปตามบทที่เทพเจ้าเบื้องบนท่านลิขิตเอาไว้ให้ตั้งแต่ต้น มนุษย์เป็นเพียง“ตัวละคร” ของเจ้าของโรงละครที่ชื่อพระเจ้าเท่านั้น

3. ลัทธิบังเอิญ คือ ลัทธิที่เชื่อกันว่าความเป็นไปของชีวิตหรือของสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป ถึงเวลาอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด พอมันจะไม่เกิด ถึงอย่างไรมันก็ไม่เกิด ตรงกับความเชื่อที่ว่า “Whatever will be, will be.”


ความเชื่อทั้งสามแบบ สามลัทธินี้ พึงทราบว่า “ไม่ใช่พระพุทธศาสนา” ทำไม?

@@@@@@

1. หากเราเชื่อลัทธิกรรมเก่า เราจะกลายเป็นเพียงผู้ “ยอมจำนนต่อกรรมเก่า” เท่านั้น ไม่อาจแก้ไขอะไรๆ ในชีวิตได้เลยเพราะชีวิตของเราในชาตินี้เป็นผลของเหตุที่เราทำเอาไว้แต่ชาติที่แล้ว ใครถือลัทธินี้ มีทางเดียวคือต้องยอมจำนนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

2. หากเราเชื่อลัทธิเทพเจ้าบันดาล เราจะกลายเป็นคนที่ไม่มี “เสรีภาพ” ในการเลือกใช้ชีวิตอย่างที่เราต้องการ เพราะอำนาจการตัดสินใจในชีวิตของเรานั้นถูกพระเจ้าริบเอาไปเสียแล้วมนุษย์จึงต้องปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม คือ ท่าน(เทพ) จะทำอะไรกับชีวิตของเราก็ต้องแล้วแต่ท่าน ชีวิตที่มีอยู่จึงไม่ใช่ชีวิตของตนเอง แต่เป็นชีวิตที่เป็นไปตามเจ้าของท่านได้กำหนดเอาไว้แล้ว ในทางปฏิบัติ คนที่เชื่อลัทธินี้ี้เป็นได้อย่างดีแค่นักยอมจำนนเหมือนกับคนที่เชื่อในลัทธิกรรมเก่า

3. หากเราเชื่อลัทธิบังเอิญ เราจะกลายเป็นคนที่ปล่อยชีวิตไปวันๆ ไม่สนใจสร้างสรรค์เหตุอันใด เหมือนกอสวะที่ไหลไปตามน้ำอย่างไร้จุดหมาย ชีวิตของคนที่เชื่อในลัทธินี้เป็นชีวิตที่ไม่มีจุดหมาย ไร้แรงบันดาลใจ และอยู่ไปวันๆ อย่างหมดคุณค่า


@@@@@@

(อย่างไรก็ตาม ลัทธิกรรมเก่าแม้จะไม่ใช่พุทธแท้ แต่ก็ยังพอมีแง่ดีอยู่บ้างในแง่ที่ทำให้คนกลัวบาป กลัวอบาย แล้วหันมาทำคุณงามความดี แต่ก็มีผลข้างเคียงอยู่มาก หากสอนอย่างไม่ระวังจะพลัดไปสู่ลัทธิยอมจำนน ใครสอนเรื่องกรรมเก่าจึงต้องกระทำอย่างระมัดระวังให้มาก หลักกรรมเก่า ถ้าหากจะสอนต้องสอนเพื่อกระตุ้นจริยธรรม ไม่ใช่สอนเพื่อให้คนยอมจำนนในผลของกรรม)

จากสามลัทธินี้ก็ลองนำมามองดูลัทธิต่างๆ ที่แพร่หลายอยู่ในสังคมไทยเวลานี้ แล้วเราก็จะแยกแยะออกได้เองว่าอันไหนคือพุทธแท้ อันไหนคือพุทธเทียม ใครกำลังสร้างคนใครกำลังทำลายคน ใครกำลังพัฒนาคน ใครกำลังหลอกมอมเมาประชาชน



ข้อเขียนนี้เป็นส่วหนึ่งของบทความ “การสอนเรื่องกรรมในสังคมไทย : อย่างไรพุทธแท้ อย่างไรพุทธเทียม”
เคยตีพิมพ์ในนิตยสาร Secret ,คอลัมน์ Answer Keys , เขียนโดย ท่านว.วชิรเมธี
ภาพประกอบ โดย ตั๋งตั๋ง,  Photo by Andreas Dress on Unsplash
ขอบคุณที่มา : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/15457.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

nongyao

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 380
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 like1 thk56
บันทึกการเข้า
กราบนอบน้อมพระพุทธเจ้าอันเป็นอดีต อนาคต แลปัจจุบัน ด้วยเศียรเกล้า
                 พุทธัง  ธัมมัง  สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
                       
                         ข้าพเจ้าจักขอทำเหตุที่ดี