ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำความดีมาตั้งนาน แต่ไม่ให้เห็นผลดี มีเกิดขึ้นบ้างเลย จนท้อแล้ว...  (อ่าน 6079 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

prayong

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 72
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมทำบุญ ทำความดีมาตั้งนาน... แต่ทำไมชีวิต
ไม่เคยดีขึ้นเลย เจอปัญหารุมเร้ามาตลอด ทุกเรื่องอยู่เหมือนกัน TT...

และทุกครั้งที่เจอปัญหา ผมก็อาศัยตั้งสติและก็คิดว่าจะไม่ทำให้มันแย่ไปกว่านี้อีก
บวกกับ พยายามสวดมนต์อยู่เรื่อยๆ เพื่อที่จะให้กำลังใจตัวเองอยู่ตลอด
แต่มันไม่ค่อยดีขั้นมาเลย

จนบางครั้งไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี ..

จากคุณ    : ลูกปันหยี

เป็นปัญหาน่าสนใจคะ ช่วยชี้แนวทางกันหน่อยนะคะ
 :25: :25: :c017:
บันทึกการเข้า

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ก็เจริญธรรม ให้ทำต่อไป อย่าท้อถอย ในการทำความดี ( กุศล ) เกิดเป็นคนทั้งที อย่าทำเลย ความไม่ดี ( อกุศล) ชีวิตหลายๆ ท่านก็ลำบาก แตกต่างกันไป เราว่าเราแย่ ก็ยังมีคนที่แย่ กว่าอีก เราว่า เราเลิศ ก็ยังมีคนที่ เลิศกว่า อีก ดังนั้นชีวิตเราที่ลำบาก เพราะวิบากกรรมที่เราเคยทำมาแต่ก่อน ได้ส่งผล ครั้นเราไปทำ อกุศล เพิ่มเติม ก็ยิ่งจะทำให้แย่หนักเพิ่มขึ้นไปอีก จึงเจริญพร ขอให้ตั้งมั่น ในพระพุทธเจา พระธรรม และ พระอริยะสงฆ์ แล้วตั้งใจสานต่อ คุณงามความดี นั้นต่อไป

 เจริญพร

  ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
นมัสการพระอาจารย์ครับ ผมขออนุญาตสนทนาถามตอบด้วยซักนิดนะครับ

- การที่เรามองว่าทำดี ไม่ได้ดี มันมีกันทุกคนครับ แม้ผมก็เคยคิดเช่นกัน แต่คุณลองทบทวนดูนะครับว่า ที่เราทำนั้นมันสมบูรณ์แล้วหรือยัง หรือ ทำครึ่งๆกลาง หรือ ตั้งใจทำเพราะหวังผลที่จะมีโชคลาภ สักการะ ความสำดเร็จ
- หากเมื่อคุณยัะงไม่ได้ทำดีที่สุดแล้ว สภาพจิตมันจะเกิดต่อต้านขึ้นมาเสมอว่า ทำไปทำไม ทำแล้วไมเห็นได้อะไร ทำไม่ดีแต่ได้ดีมีเยอะแยะ นี่ทำให้เราพลาดพลั้งทำสิ่งไม่ดีได้โดยง่าย เพราะธรรมอัด(อัดอั้นใจ อึดอัดใจ) มันเข้ามาแทนที่สติคุณ
- หากเมื่อคุณทำดีที่สุดแล้ว คุณจะมีความสุขเบาสบาย ไม่ติดข้องใจใดๆ แม้สิ่งใดๆที่พานพบเจอเข้ามากระทบสัมผัสคุณ คุณก็จะเห็นว่ามันเป็นเพียงแค่ธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวคือธรรมทั้งหมด

ดังนั้นอย่าท้อในความดีให้คุณระลึกถึง 3 ส่วนนี้ให้มั่น ไม่เอาสิ่งใดมาตั้งอุปาทาน รู้แค่ว่าหากทำดีเรามีความเบาสบาย ไม่หวาดกลัวระแวงใดๆ ก็เป็นสุขยิ่งแล้ว

- ผมขอกล่าวแนวปฏิบัติส่วนเสริมให้นิดนึงนะครับ อาจจะไม่ดีพอ แต่หากคุณปฏิบัติได้ ความติดข้องใจในสิ่งใดๆของคุณจะน้อยลงครับ
- ทำสมาธิปกติตามที่เคยทำมา กำหนดลมหายใจเข้า-ออก พิจารณากายานุสติปัฏฐาน หีือ กายคตาสติ
- เมื่อเจริญบริกรรมอยู่ หรือ อยู่ในสมาธิขิตใดๆเกิดการตรึกนึกใดๆขึ้น ให้คุณมองหาความพอใจยินดีที่คุณตั้งความพอใจและไม่พอใจยินดีจากเหตุนั้นเพื่อรู้ถึงเหตุปัจจัยของการตรึกนึกเสพย์เวทนานั้นๆ
- เมื่อตรึกนึกบ่อยๆจนทำให้เกิดทุกเวทนา หรือ โทมนัสเวทนา ให้คุถณลองดูภาพพระพุทธเจ้าที่เขาถ่ายติดใต้ต้นโพธิ์นะครับ คุณจะเห็นว่า ท่านนิ่ง สงบ เบิกบาน เพราะพระตถาคตไม่มีความปรุงแต่งใดๆเกิดขึ้น แม้กุศล และ อกุศล ว่าง สุขจากความว่าง สุขจากการพ้นจากความปรุงแต่งนึกคิดใดๆ ระลึกถึงความสุขจากความว่างจากการปรุงแต่งนึกคิดใดๆ ระลึกถึงว่าคุณมีความสุขเช่นนั้น ได้พบเจอเช่นนั้นเหมือนกัน ความเครียดจะผ่อนคลายลง
- หากเมื่อจิตใจคุณสงบขึ้นแล้วนิ่งสงบได้แล้ว ให้พิจารณามาดูความตรึกนึกคิดปรุงแต่งคุณ นั่นคือพิจารณาสังขารขันธ์นั่นเอง แล้วคุณจะเห็นในอารมณ์สมถะก้าวสู่ทางวิปัสนาว่า เพราะจิตไปรู้สังขาร มันจึงเกิดทุกข์ เพราะจิตไปเกาะเกี่ยวสังขารมันจึงทุกข์ เพราะจิตไปคล้อยตามสังขารมันจึงทุกข์ สมาธิก็เป็นสังขาร ปิติก็เป็นสังขาร สติก็เป็นสังขาร ความตรึกนึกคิดก็เป็นสังขาร ความปรุงแต่ีงใดๆที่ทำให้จิตรับรู้ความเจ็บ ปวด ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รู้รส ได้่กระทบสัมผัสทางกาย ธัมมารมณ์ตรึกนึกคิดปรุงแต่งใดๆก็เป็นสังขาร มีแต่สังขารที่เกิดขึ้นแล้วจิตเราเข้าไปรู้ แล้วเสพย์เวทนาต่างๆไป จิตรู้ที่ไหนสังขารอยู่ที่นั่น
- เมื่อคุณรู้ได้ตามข้อข้างต้น คุณจะไม่ยึดเหนี่ยวแม้ความตรึกนึกคิดตนเอง ความปรุงแต่งของใจ สิ่งที่ใจรู้ใดๆ เพราะมันจะทำใกห้เกิดทุกข์ แล้วคุณจะวางใจกลางๆกับมันได้มากขึ้นครับ ลองดูนะครับ แนวปฏิบัติจะจะควบคู่กับวิปัสนาลองปฏิบัติดูครับ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่-บุพการี ครูอุปัชฌาอาจารย์ เป็นสรณะอันประเสริฐ

อย่างไรก็ตาม บุญใดผมได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาแล้ว เผยแพร่พระพุทธศาสนามาแล้ว ด้วยคุณแห่งพระพุทธเจ้า ดก้วยคุณแห่งพระธรรม ด้วยคุณแห่งพระสงฆ์ ขอบุญนั้นจงส่งผลให้คุณมีความสุขกาย สบายใจ ผ่องใสจิต มีจิตใจเบาบางผ่องใส ปราศจากทุกข์โศรกโรคภัย ขอความขุ่นมัวใจใดๆของคุณจงหายไปด้วยเดชแห่งบุญนั้น
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

winyuchon

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 125
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมคิดว่า การทำบุญกุศล นั้น
คือ การทำในสิ่งที่เรียกว่า ชำระล้างจิตใจ
ให้เบาบางจากกิเลสครับ

สิ่งที่เราได้ทำๆ มา เราอาจจะนึกว่าเราทำบุญ

แต่บางที ทำแล้วจิตใจ อาจไม่ได้ลดกิเลสลงเลย
ทำแล้วอยากจะได้นั่น ได้นี่ ตอบแทน
เป็นการกระทำที่ เพิ่มพูนความอยากให้กับจิตใจ ครับ
อย่างนี้น่าจะเรียกได้ว่า ไม่ได้บุญนะครับ

เป้าหมายของพุทธศาสนา
คือ การละในขันธ์ห้า
ละความยึดมั่นในวัตถุ ร่างกาย จิตใจ

ถ้าเราทำบุญแล้ว อยากให้ผลดีตอบแทนเป็นรูปวัตถุ
มีชีวิตที่ดีขึ้นในทางโลก ทางสวรรค์ ก็กลายเป็นความอยาก
ซึ่งยังละในสิ่งต่างๆ ไม่ได้เลย
ไม่ได้ชำระกิเลสลงเลย

มันก็สวนทางกัน
มันผิดกันไกลไปขนาดนี้เลยนะครับ

เพราะถ้าไปให้ถูกทาง มีสัมมาทิฐฐิ
ละในทางวัตถุ ร่างกาย จิตใจ
ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ยึดถือเอาอะไรไว้ไม่ได้
พอมีเรื่องเข้ามาในชีวิต เราเห็นว่าสิ่งต่างๆนั้นมันไม่เที่ยง
ไม่ไปยึดมัน เราก็เป็นทุกข์น้อยลงตามลำดับ ตามปัญญาที่มีครับ

เพราะคำว่า บุญ คือ เครื่องชำระจิตใจจากกิเลสครับ

ถ้าอยากได้ดีในทางโลก
คงต้องเริ่มต้นทำเหตุให้ดี (ในทางโลก) ด้วยครับ

แต่เหตุดีแล้ว ผลอาจจะดี หรือ ไม่ดี ก็ได้นะครับ
เพราะมีปัจจัยอีกมายมาย ที่ส่งต่อถึงกัน

แต่ก็คงทำเหตุให้ดีต่อไป
เพราะเมื่อมันถึงจุดนึงที่เหตุมันเต็มสมบูรณ์
มันถึงจะได้ผลจากการกระทำนั้นเองโดยธรรมชาติครับ

เหมือนกาต้มน้ำ ถ้าไฟมันติดบ้าง ดับบ้าง
ไม่สม่ำเสมอบ้าง โอกาสจะน้ำเดือดก็คงยาก และนานครับ

ต้องไฟแรง สม่ำเสมอ ด้วยเหตุที่ดีจนถึงบริบูรณ์ของเพดาน
ในเรื่องนั้นๆ ครับ ขอให้โชคดีในการดำเนินชีวิตครับ ^^
บันทึกการเข้า

pichai

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 99
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เห็นทุกข์แล้วใช่มั้ยครับ อันที่จริงเราทุกคนเป็นทุกข์ตั้งแต่เกิดแล้วล่ะครับ
และยังไงถ้าเป็นมนุษย์ก็ต้องประสบพบเจอทุกข์จนกระทั่งละกายสังขารไปนั่นล่ะครับ

แต่ในทุกช่วงของชีวิตก็ต้องมีทั้งขึ้นและลง ไม่มีใครที่ย่ำแย่ไปตลอดชีวิตหรอกครับ ยกเว้นเฉพาะคนที่เคยทำกรรมหนักมาเยอะ

ผมเห็นคนที่อยู่ตามข้างทางข้างถนน คนที่ไม่มีบ้าน พวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ต้องหาเงินจากการเก็บขยะ คุ้ยขยะ ใส่เสื้อผ้าขาดๆ แล้วทำไมพวกเขาถึงเป็นเช่นนั้น พวกเขาเป็นอย่างนั้นตั้งแต่เกิดรึเปล่า?

บางคนพยายามเรียนหนักมาทั้งชีวิต สุดท้ายก็ไม่ได้ทำงานตามที่มุ่งหวัง ต้องทำงานไม่ตรงกับสายที่เรียนมาบ้างล่ะ ต้องเจอกับคนที่ไม่อยากพบบ้างล่ะ
ขณะที่บางคนเกิดมาในฐานะยากจน แต่มุมานะดั้นด้นถีบตัวเองให้ทะยานสู่ความสำเร็จได้ก็มีให้เห็นกันไป

พอจะเห็นความไม่แน่นอนของชีวิตแล้วใช่มั้ยล่ะครับ มันก็เป็นอย่างนี้เอง
บางคนมีทุกอย่างพร้อม เอื้อต่อการทำกุศลอันเป็นผลให้เกิดความดีงามสืบต่อไปอย่างง่าย ในขณะที่บางคนจะทำการอะไรซักทีก็มีแต่อุปสรรคมารุมร้ำ

เอาก็ดูง่ายๆเลยจากการกระทำของเรา ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ ถ้าเป็นคนที่หมั่นทำดีตลอด แต่มักหมกมุ่นกับความหม่นหมอง ติดการเสพความเศร้า มีจิตใจที่หดหู่ ถึงจะมีอะไรมาบันดาลความสุข เขาก็ไม่ได้สนใจกับมันนัก ขณะที่บางคนมีจิตใจที่ชื่นบานตลอดเวลา แล้วสิ่งดีๆก็ทยอยมาหาเขาเรื่อยๆ นั่นเกิดจากเพราะสิ่งที่เราทำมันอยู่ประจำบันดาลผลต่างๆในปัจจุบัน เป็นต้นเหตุให้เกิดผลตามมา

มีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ เราอาจได้รับผลการกระทำในครั้งก่อนๆในรูปแบบที่ต่างไป แต่ผลที่ได้จะพอๆกับครั้งก่อนที่เราเคยทำไว้ มีบางคนที่บอดว่าระลึกชาติได้ บางคนก็ไม่เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เราอาจจะไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมถึงได้มีโลก ทำไมเราถึงต้องเกิดมา ทำไมต้องอาศัยมันอยู่เพื่อใช้ชีวิตอยู่กับกายสังขารที่ต้องทนทุกข์ เราอาจหาความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ในเร็ววัน แต่เราก็ไม่ได้ปฏอเสธความจริงที่ว่า'ยังไงเราก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป ไม่ว่าเหตุผลที่มีเราขึ้นมาจะเป็นอะไรก็ตาม'

ไม่ว่าจะยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้จขกท.นะครับ ให้ใช้โอกาสนี้เห็นความทุกข์และพิจารณาชีวิตตามเป็นจริง จากนั้นก็หมั่นทำความดีต่อไป ผมไม่คิดว่าการที่เราทำความดีแล้วผลยังไม่เกิดกับตัวเองจะเป็นการทำให้เราผิดหวังแล้วทำเรื่องชั่วร้ายกับชีวิตเราเองหรอกนะครับ หลายคนเป็นโจร หลายคนเสพยา หลายคนก่ออาชญากรรม ถ้าเลือกได้ว่าจะเป็นอะไร จะรวยหรือมีหน้าตาหล่อขนาดไหน พวกเขาคงไม่มาทำเรื่องชั่วร้ายอย่างนี้หรอกครับ แต่เราเป็นแบบที่เราเลือกจะเป็นได้ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนกว่าผลจะให้ก็ตาม ส่วนเรื่องเมื่อไหร่จะได้รับผลจากการกระทำนั้นเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้เลย ซึ่งผมหวังได้แต่ว่าอย่างให้จขกท.พิจารณาความทุกข์ ความสุข ความสมหวัง ฯลฯ ให้ดี

จะลองนั่งกรรมฐานหรือเดินจงกลมก็ได้ ลองพิจารณาสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง ก็จะละวางจากสิ่งที่ไม่เคยเป็นของๆเราได้ไวขึ้น เมื่อใดที่ใจละความอยากจากกิเลสตัณหาได้บ้างแล้ว ก็จะลดความยึดถือในตัวเองลง ถ้าเราไม่ยึดมั่นในตัวเองมากเกินไป เราก็จะทุกข์น้อยลง บางคนถ้าอยากได้อะไรก็ต้องได้ เป็นทุกข์มาก บางคนถวิลหาความมั่งคั่ง ทนทุกข์อยู่นานเพื่อความสำเร็จที่ได้มาชั่วคราว ในขณะที่บางคนสละทุกข์อย่างทางโลกทิ้ง ปลีกตัวออกจากบ้าน ออกจากสมบัติ ออกจากกามตัณหา แต่ก็มีชีวิตอยู่ได้อย่้างมีความสุขแถมยังไม่มีความทุกข์ด้วย ทั้งๆที่ท่านเหล่านั้นไม่ได้ใช้เงินซื้อของมาบำเรอความอยากของตนเลย ลองพิจารณาตามนี้ดูเนืองๆนะครับ จากนั้นถ้าเห็นว่าอะไรที่เหมาะสมจะปฏิบัติก็ลองทำดูได้

สุดท้ายอยากให้หมั่นทำความดีไว้ครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม แล้วพยายามละตัวตนลงวันนะน้อยก็ได้ ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ต้องนิพพานอย่างเดียว เพราะฉะนั้น เราก็ค่อยๆละตัวตนให้ทุกข์น้อยลงก็เป็นพอ เมื่อมีสุข ย่อมมีทุกข์ ถ้าไม่อยากมีทุกข์เลย เราก็ต้องละความติดสุขด้วย เพราะสุดท้ายแล้วมันจะนำมาซึ่งความทุกข์ เมื่อสุขหมดไปย่อมต้องเกิดความทุกข์ที่มันหายไป ย่อมอยากอยู่กับสุขนั้นต่อ เกิดความอยากขึ้นมาก็จะเห็นว่า ตัวเราตั้งอยู่นะ ตัวเราต้องมีเงินนะ ต้องมีนู่นนี่ ต้องมีความสุข เกิดตัวตน เกิดทุกข์ทันทีเมื่อนั้นเลย ขอให้โชคดีในการใช้ชีวิตครับและขอให้พบกับแสงสว่างในซักวัน
บันทึกการเข้า

likelove

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 3
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ทำดีต่อไปเถอะครับ คนอื่นไม่เห็น เราเห็นก็พอแล้ว  :13:


สล็อตคาสิโนออนไลน์sbobet linkgoldclub slotlivescore

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 25, 2013, 03:40:53 pm โดย likelove »
บันทึกการเข้า