ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เราควรทำอย่างไร เมื่อเรารักผู้ชาย ที่ไม่ได้ชอบ แต่ถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่  (อ่าน 4374 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

hiso

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 63
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เราควรทำอย่างไร เมื่อเรารักผู้ชาย ที่ไม่ได้ชอบ แต่ถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ชอบ ไม่เคยคิดมาก่อนว่า เราจะต้องมีปัญหาอย่างนี้ คบกับแฟนมาเป็นเวลาหลายปี ไปมาหาสู่ที่บ้านอย่างเปิดเผย แต่จู่ ๆ มาวันหนึ่ง พ่อกับแม่ มาบอกว่า เดือนหน้าต้องรับหมั้นแล้วนะ สัญญาพ่อแม่ ที่สัญญากันไว้ตั้งแต่เกิด ตอนนี้มาเป็นปัญหาของเรา เสียแล้ว เพราะผู้ชายที่เราต้องหมั้น กับผู้ชายที่ปรารถนา นั้นเป็นคนละคน

   อยากถามว่า
   1.เราควรทำอย่างไร ทำให้พ่อแม่ เสียหน้า หรือ ทำให้เราเสียใจ
   2.การแต่งงานกับคนที่เราไม่รักนั้น เป็นกรรมอะไร คะ
   3.คนที่เรารัก คือ คนที่เป็นคู่ชีวิต จริง ๆ ในอดีตชาติ ใช่หรือไม่คะ
   4.ทำอย่างไร จึงจักผ่านพ้นกรรม ส่วนนี้ไปได้อย่างดีทั้งสองฝ่ายคะ
 :c017: :'(
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เราควรทำอย่างไร เมื่อเรารักผู้ชายที่ไม่ได้ชอบ แต่ถูกบังคับให้แต่งงาน

ผมบอกคุณน้องไฮโซไว้ตรงนี้เลยครับว่า การเกิดเป็นหญิงเป็นกรรมเพราะจิตหน่วงเอาจริตราคะไว้เป็นสัญญา

ทุกข์ ณ วันนี้คือชะตาที่ยากจะหลีกหนีระหว่างเลือดเนื้อบุญคุณกับหัวใจเรือแจว "ความรัก" ของหัวใจหญิงไม่ได้

ขึ้นอยู่ที่ชายคนใด แต่อยู่ที่ใครเป็นสามี โชคชะตาเป็นตัวเลือกอย่าถึงกับให้บุพการีเสือกไสไล่ส่งจะอับจนชะตา

ลูกหลานจากเราคือทายาทกรรมทั้งสิ้น ผมทิ้งท้ายฝากไว้เกิดเป็นหญิงไม่สิ้นไร้คราบน้ำตาตราบนั้น ผมเองยังถูก

ผู้หญิงเมินความสัมพันธ์ แม้เข้าใจก็ยากจะตัดใจผมโชคดีที่เป็นชายขออยู่ครองโสดไร้ลูกหลานสืบสกุลเพียง

เพราะชีวิตไม่เจอหงษ์ฟ้ามีแต่อีกาเต็มเมือง.....โชคดีครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 17, 2012, 08:23:47 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

painting

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 72
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมว่า ลองปรึกษา คุณพ่อ คุณแม่ ดูอีกสักที นะครับ เรื่องของการครองคู่ มีเรือน คนไทยเรามักจะ คลุมถุงชนกันมานานแล้ว ครับ หากไม่เลือกปฏิบัติตามพ่อแม่ ก็อาจจะต้องผิดใจกันไปตลอดชีิวิต เหมือนละครหลาย ๆ เรื่องนะครับ อันที่จริง สุขจากเรือน เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์หลายเรื่อง

  พระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรัสให้เลิกปลูกเรือน นะครับ

   :49: :s_hi: :58:
บันทึกการเข้า

sinjai

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 144
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ทำตามใจเรา ก็ต้องพิสูจน์รัก กันก่อนนะคะ บางครั้งชีวิตคู่ ที่ไปกัดก้อนเกลือกินนั้นจริง ๆ มีไม่กี่ท่านหรอกคะ แต่ ชีวิตคู่ที่ คลุมถุงชน นั้นอาจจะยั่งยืนกว่านะคะ
 
   เรื่องชีิวิตคู่ นั้นเป็นเรื่อง บุพเพสันนิวาส ด้วยคะ ทำบุญร่วมกัน ก็ต้องมาครองคู่กัน คะ

  ลองชั่งใจ ดูให้ดีคะ การตัดสินใจ เมื่อตัดสินใจลงไปแล้ว ก็ไม่ต้องมาั่นั่งนึกเสียใจในภายหลังนะคะ

  เรื่องอย่างนี้ยังมีตลอดไปและ จะยังคงมีตลอดไป นะคะ
  ดูชีิวิตพระอรหันต์เถรี อย่าง ปฏาจารา เป็นตัวอย่างเอาก็ได้นะคะ

   :58: :s_hi:


ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.myfirstbrain.com/
บันทึกการเข้า

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เราควรทำอย่างไร เมื่อเรารักผู้ชาย ที่ไม่ได้ชอบ แต่ถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ชอบ ไม่เคยคิดมาก่อนว่า เราจะต้องมีปัญหาอย่างนี้ คบกับแฟนมาเป็นเวลาหลายปี ไปมาหาสู่ที่บ้านอย่างเปิดเผย แต่จู่ ๆ มาวันหนึ่ง พ่อกับแม่ มาบอกว่า เดือนหน้าต้องรับหมั้นแล้วนะ สัญญาพ่อแม่ ที่สัญญากันไว้ตั้งแต่เกิด ตอนนี้มาเป็นปัญหาของเรา เสียแล้ว เพราะผู้ชายที่เราต้องหมั้น กับผู้ชายที่ปรารถนา นั้นเป็นคนละคน

   อยากถามว่า
   1.เราควรทำอย่างไร ทำให้พ่อแม่ เสียหน้า หรือ ทำให้เราเสียใจ
   2.การแต่งงานกับคนที่เราไม่รักนั้น เป็นกรรมอะไร คะ
   3.คนที่เรารัก คือ คนที่เป็นคู่ชีวิต จริง ๆ ในอดีตชาติ ใช่หรือไม่คะ
   4.ทำอย่างไร จึงจักผ่านพ้นกรรม ส่วนนี้ไปได้อย่างดีทั้งสองฝ่ายคะ
 :c017: :'(


- ปรึกษาพูดคุยบอกพ่อกับแม่ตามตรงถึงความปารถนาของคุณว่าเป็นเช่นไร ต้องการแบบไหน บอกว่าคุณคบหาเป็นแฟนกับคนๆนี้อยู่มีความสัมพันธ์กันอย่างไรบ้าง แล้วขอร้องขอความเมตตา กรุณาจากท่าน หากท่านทั้ง 2 ยอมรับฟังแล้ว ก็ขอให้ท่านช่วยขอความเมตตากรุณาจากฝ่ายโน้นให้
- เมื่อเป็นไปได้อย่างที่คุณต้องการแล้วก็ยกขันธ์ 5 ไปกราบขอขมา พ่อและแม่ของทั้ง 2 ฝ่าย ด้วยบอกว่าขอขอบพระคุณจากการอดโทษนี้ไว้แก่คุณและแฟนคุณ การอดโทษนี้ถึงแล้วซึ่ง เมตตาทาน และ อภัยทาน ที่ผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่านมีให้แก่คุณ ได้ปลดปล่อยให้คุณและแฟนได้รับสุขอย่างที่สุด

- แต่หากเป็นไปไม่ได้เราก็ต้องทำใจโดยเข้าใจในสัจธรรมดังนี้ว่า

- คนเราย่อมเป็นไปตามกรรม เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เป็นผู้ติดตาม เป็นที่พึ่งพาอาศัย (กรรม คือ การกระทำทาง กาย วาจา ใจ) หากเราทำดี คือ คิดดี พูดดี ทำดี เราย่อมมีความสุขกาย สบายใจ ที่เรียกว่า บุญ หากเรากระทำสิ่งไม่ดีย่อมเจ็บเดือดร้อนใจ คับแค้นกายใจ ทุกข์ใจ กลัวคนอื่นเขาจะมาว่ามาฆ่าแกง ด่า ว่า โมโห โทโส ใส่ตน ดังนั้นเราทั้งหลายต้องประสบพบเจอดั่งนี้ว่า
- คนเรามีความไม่สมหวังปารถนา-ยินดีใคร่ได้ดั่งใจไปทุกอย่าง เราย่อมมีความปารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นสิ่งนี้ไปไม่ได้
- คนเรามีความพรักพรากเป็นที่สุด เราจะต้องพรัดพรากไปไม่ด้วยเหตุใดก็เหตุหนึ่ง เราจะล่วงพ้นความพรัดพรากนี้ไปไม่ได้
- คนเรามีความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก-ที่พอใจเป็นแท้จริง เราจะต้องเจอกับสิ่งที่ไม่ปารถนาใคร่ได้ต้องการ เจอสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่อยากได้ ไม่พอใจยินดี เจอการพรัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจทั้งหลาย เจอความผิดหวัง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นชื่อว่า ความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่-พอใจทั้งหลาย จนอยากจะผลักหนีให้ไกลตน เราจะพ้นสิ่งนี้ไปเป็นไม่ได้

ก็สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แลคือ ทุกข์ ทำให้เกิดความ โศรกเศร้า ร่ำไรรำพัน ไม่สาบกาย ไม่สบายใจ อึดอัด อัดอั้น คับแค้นกาย-ใจ ทั้งหลาย

ยกตัวอย่าง

1.1 เราทุกคนย่อมมีสิ่งที่ปารถนา อยาก ใคร่ได้ หรือ สิ่งที่อยากทำ-อยากให้เป็นไปตามที่ต้องการ (ความคิดต้องการแบบนี้คนทุกคนเป็นเหมือนกันหมดครับไม่ว่าใคร ไม่มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น) เช่น อยากได้บ้าน รถ ผู้ชายหล่อๆ แฟนสวยๆ รวยๆ นิสัยดี อยากกินอาหารหรูๆ อยากไปเที่ยว 9 วัดบ้าง อยากให้มีแต่คนมาพูดเพราะๆกับตนบ้าง อยากให้มีแต่คนรักตนบ้าง อยากสอบได้ที่ 1 อยากรวยมีเงิน ความอยากมีอยากเป็นอยากได้นี้เราก็ต้องมีทุกคนใช่ไหมครับ
1.2 แต่เราย่อมไม่ได้ตามที่ปารถนายินดี-ใคร่ได้ต้องการทะยานอยากนั้น เราย่อมไม่สมดั่งความปารถนาที่ตั้งความพอใจยินดีสำคัญมั่นไว้ในใจไปทั้งหมดทุกอย่างใช่มั้ยครับ

2.1 เราทุกคนย่อมมีความรักใคร่ยินดี ไม่อยากจะพรัดพรากจากสิ่งที่รัก-ที่จำเริญใจทั้งหลายใช่มั้ยครับ เช่น คนที่เรารัก ลูก เมีย สามี ญาติ เพื่อน  หมา แมว รถ บ้าน ทีวี ตู้เย็น ที่ดิน เป็นต้น เราทุกคนย่อมไม่อยากพรัดพรากจากสิ่งทั้งหลายนี้ใช่ไหมครับ
2.2 แต่สุดท้ายคนเราย่อมมีความพรัดพรากเป็นที่สุด ไม่เหตุใดก็เหตุหนึ่ง ไม่ว่าจะชำรุด ทรุดโทรม เลือนหาย สูญสลาย ตายจาก จะช้าหรือเร็วอยู่ที่การดูแลรักษาและสภาพแวดล้อมทั้งหลายใช่มั้ยครับ

3.1 เราย่อมมีสิ่งที่ไม่ชอบไม่ต้องการ ไม่อยากได้ ไม่อยากพานพบอยู่ด้วยใช่มั้ยครับ เช่น ไม่อยากให้คนเกลียด ไม่ชอบให้คนมาด่าโวยวาย ไม่ชอบให้คนมาดูแคลน ไม่อยากจน ไม่อยากกินข้าวคลุกน้ำปลา ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากพรัดพรากจากสิ่งที่รัก-ที่จำเริญใจทั้งหลาย อยากจะผลักหนีให้ไกลตน สิ่งเหล่านี้เราทุกคนก็ต้องมีใช่ไหมครับ
3.2 แต่อย่างไรเราก็หนีไม่พ้นสิ่งนี้ เราทุกคนต้องประสบพบเจอกับสิ่งที่ไม่อยากได้ต้องการ ไม่อยากจะพบเจอ ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ไม่อยากผิดหวัง ไม่อยากพรักพราก อยากจะผลักหนีให้ไกลตน เราทั้งหลายต้องเจอกับการประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก-ที่พอใจทั้งหลายนี้ใช่มั้ยครับ

- เมื่อเราเข้าใจตามสัจจะธรรมนี้แล้วใจเราย่อมยอมรับตามความเป็นจริง ไม่มีใจติดข้องเกาะเกี่ยวสิ่งใดๆ เพราะจะมองเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างติดข้องใจไปก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆกับตนเองหรือคนอื่นๆ แต่กลับจะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นจนก่อเกิดแต่ความทุกข์เท่านั้นที่จะตามมา
- ไม่ว่าเราจะพอใจยินดี หรือ ไม่พอใจยินดีก็มีแต่ก่อให้เกิดทุกข์ เพราะว่าหากติดข้องพอใจยินดี ก็หลง ติดในอารมณ์นั้นๆ ตั้งเป็นความสำคัญมั่นหมายของใจแล้วหวังปารถนาใคร่ได้ ต้องการทะยานอยาก พอไม่เป็นดั่งหวัง หรือ เกิดการพรัดพรากจากของรักของจำเริญใจทั้งหลาย ก็ก่อเกิดเป็นความไม่พอใจยินดีโทมนัสแก่ตน แล้วก็ทุกข์ คับแค้น อัดอั้นใจ แล้วพอมาติดข้องในความไม่พอใจยินดี ก็ประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจ ก็ร้อนรน คับแค้นกาย-ใจ อัดอั้นกาย-ใจ โศรกเศร้า ร่ำไร รำพัน ทุกข์ทรมาณกายใจ
- สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ มันไม่มีสิ่งใดๆที่เป็นของเรา มันไม่มีตัวตนอันที่เราจะไปบังคับ จับต้อง ยึดถือ ยื้อดึง ฉุดรั้ง ให้มันเป็นดั่งที่ใจเราต้องการได้ เราไม่อาจบังคับให้มันอยู่กับเรา-คงอยู่กับเราตลอดไปได้ ทุกๆอย่างมีความเสื่อมโทรมเป็นธรรมดาช้าเร็วขึ้นอยู่กับกาลเวลา การดูแลรักษา และ สภาพแวดล้อม ไม่มีตัวตนอันเราจะบังคับให้เป็นดั่งใจปารถนาต้องการได้ ยิ่งพยายามฉุดรั้ง จับยึด ยื้อดึงให้มันเป็นไปตามที่ใจต้องการมากเท่าไหร่ ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น

               ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราเกิดความพรัดพราก คือ เลิกรา ร้างลากับคนที่รักสุดหัวใจ ลองพิจารณาดูนะครับว่าเราสามารถไป บังคับ ยื้อยึด ฉุดรั้ง ให้เขาคงอยู่กับเราไม่จากไปไหน ไม่ให้เขาทิ้งเราไปได้ไหมครับ คงไม่ได้ใช่ไหมครับ เพราะความคงอยู่มันไม่เที่ยงย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสภาพแวดล้อม ไม่มีตัวตนอันที่เราจะไปบังคับให้มันเป็นไปดังใจเราต้องการได้ เพราะเขาไม่ใช่ของเรา ยิ่งเราปารถนาให้เขาคงอยู่กับเรามากเท่าไหร พยายามจะบังคับให้เป็นดั่งใจต้องการมากเท่าไหร่ แต่เมื่อมันไม่เป็นไปตามความหวังปารถนาใคร่ได้นั้น เราก็จะยิ่งทุกข์มากตามความปารถนาที่มากมายนั้นๆของเรา // เพราะเรามีความพอใจยินดีให้เขาคงอยู่กับเรา...แต่พอไม่เป็นไปตามที่หวังปารถนาใคร่ได้ ไม่เเป็นไปตามที่เราพอใจยินดีนั้น มันจึงเป็นทุกข์ใช่ไหมครับ  และ เพราะเรามีความไม่พอใจยินดีที่จะขาดเขา ไม่พอใจยินดีที่จะไม่มีเขา...แต่พอสิ่งที่เราไม่รัก ไม่ต้องการ ไม่พอใจยินดีเกิดขึ้นและเข้ามาหาเรา มันจึงเป็นทุกข์ใช่ไหมครับ // ดังนั้นให้พิจารณาจนเห็นในสัจธรรมว่า คนเรามีความพรัดพรากเป็นที่สุด จะล่วงพ้นสิ่งนี้ไปไม่ได้ จะช้าหรือเร็วก็ต้องพรัดพรากอยู่ดี เมื่อจิตเริ่มคลายความคับแค้น-เสียใจลงแล้ว ก็ให้ตั้งจิตระลึกว่า...ปล่อยเขาไปพบเจอสิ่งที่ดีที่เขาชอบเสีย ถือเสียว่าเป็น "ทาน" ให้เขาอยู่กับสิ่งที่ขอบใจพอใจยินดี ดั่งเราจับนกในป่ามาขังไว้ นกมันย่อมคับแค้นกาย-ใจ โศรกเศร้าเสียใจ ร่ำไรรำพัน ตะเกียกตะกายอยากออกไปอยู่ในป่าตามเดิม อยู่ตามวิถีชีวิตของมัน ก็ถือเสียว่าคุณได้ปล่อยนกตัวนั้นไปแม้จะรักและหวงมากแค่ไหน เพื่อให้ทานที่เป็นอิสระสุขเออนุเคราะห์แก่นกตัวนั้น ก็เท่ากับว่าเราได้บำเพ็ญทานบารมีอันประเสริฐแล้ว

ดูอุบายวิธีการเจริญเมตตาจิตในการสวดมนต์แผ่เมตตาให้แก่บุคคลทั้งหลาย ตาม Link นี้ได้เลยครับ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=8226.0

วิธีการปฏิบัติและเจริญใน ทาน ดูได้ตาม Link นี้ครับ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7456.msg27478#msg27478
ในข้อที่ ๓. การระลึกปฏิบัติ ทำไปเพื่อการให้ที่เรียกว่า ทาน

- ดังนั้นเมื่อเรารู้สัจธรรมและพิจารณาตามจริงเช่นนี้เป็นต้น...จิตเราย่อมเข้าถึงอุเบกขาซึ่งมีสภาพเป็นใจกลางๆ ความวางใจกลางๆไม่หยิบจับเอาความชอบ ไม่ชอบ พอใจยินดี ไม่พอใจยินดี มีความเป็นอัพยกตา คือ มีความเป็นกลางๆ จึงทำให้ไม่มีความทุกข์-สุขจากสิ่งที่พอใจ ไม่พอใจนี้ มีแค่ความสงบ อบอุ่น จิตผ่องใส เบาสบาย ไม่ติดข้องต้องใต ขุ่นเคืองใจใดๆ เพราะเข้าใจในสภาพความเป็นจริงตามสัจธรรมทั้งหลายนี้


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 18, 2012, 05:05:59 pm โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ