ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คนที่ทำร้ายเรา ด้วยกาย วาจา และใจ จนลำบาก อัตคัต ต่อมาเขามาขอร้องให้เราช่วย  (อ่าน 5112 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นินนินนิน

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 65
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คือ เมื่อก่อน มีเืพื่อนท่านหนึ่ง คบกันห่าง แต่ต่อมาเขาได้ธุรกิจ กับ คู่แข่งทางการค้าของผม ในระหว่างที่เขาร่วมธุรกิจกับคู่แข่งผมอยู่นั้น ก็มีการทำร้ายผม ด้วยการแย่งลูกค้าจากผมไปให้คู่แข่ง เปิดเผยข้อมูลที่ผมไว้วางใจ จนผมเคยเข้าไปต่อว่า ก็ถูกทำร้ายร่างกาย มาในครั้งนั้น จากการกระทำครั้งนั้น ในช่วง ปี 2540 ทำให้กิจการย่อยยับ ลูกน้องถูกลอยแพ เป็น สิบ ๆ และทรัพย์สินที่มีของผม ก็ถูกยึดที่ละชิ้น จนกระทั่งผมไม่มีที่อยู่ ต้องเอาเงินทุนสุดท้ายที่พ่อแม่ให้ไว้ ออกมาทำการค้าเล็ก พอเลี้ยงชีพ

   จนกระทั่งวันก่อนผมได้ พบเพื่อนคนนี้อีกครั้ง ในสภาพที่ผมคิดไม่ถึง เขาได้มาเจอผมในสภาพของเขาที่แย่กว่าผมอีก เสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ อาศัยใต้สะพานเป็นที่นอน เขามาขอร้องผมให้ช่วยเขาฟื้นตัว เขาพูดกับผมด้วยการขอโทษ และเหมือนเขาพูดกับผมว่า เขาลืมว่าเคยทำอะไรกับผมไว้บ้าง

   สุดท้ายผมก็ปรึกษา คนในครอบครัว กันทั้งหมด ก็ลงมติว่า ไม่เข้าไปช่วยเหลือ แต่เราก็ให้เงินประมาณ 2000 กว่าบาทให้เขาเดินทางกลับบ้านเกิดของตนเอง ไปน่าจะดีกว่ามาอยู่ในกรุง ทำอะไรไม่ได้ เขายังพี่น้องอยู่ที่บ้านของเขา น่าจะช่วยเหลือกันได้

   แต่ในใจผมก็รู้สึกผิด อยู่่ ทั้ง ๆ ที่เรายังมีความสามารถ ที่จะฝากฝัง เขาทำงาน เล็ก ๆ น้อย ได้ในหลายที่ ๆ ผมรู้จัก

   ผมทำอย่างนี้ผิดหรือไม่ ครับ และ จะมีกรรมอย่างไร กับผมบ้าง วานท่านสมาชิก ช่วยแนะนำด้วยครับ

 
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
"ความเมตตาใช้กับคนพาลไม่ได้"

                                         ประโยคนี้ผมได้มาจากพระอาจารย์ ครับ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 29, 2012, 09:42:37 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ก้านตอง

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 195
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อาจจะดูเหมือนใจดำแต่มีความจำเป็น ต้องเข้าใจนะคะ
 :49: :58:
บันทึกการเข้า

สมภพ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 485
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
จิตสำนึกของ ความเมตตาที่เคยฝึก ทำงานอยู่ครับ
แต่บางครั้ง การไม่เข้าไปยุ่ง กับ โลก ก็อาจจะเป็นการดี ครับ

 :25: :49:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
   
    เห็นใจครับ ผมก็เคยประสบสถานการณ์ที่ต้องกล้ำกลืน ใจหนึ่งแค้น ใจหนึ่งก็สงสาร
    อยากให้คิดว่า กฏแห่งกรรมยุติธรรมที่สุด
    เราไม่ควรเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เราไม่ควรคิดว่า "เราเป็นผู้พิพากษา"   
    สิ่งที่เราทำไปแล้ว แก้ไขไม่ได้ ผิดหรือถูกอย่างไร
    เราควรปล่อยให้กฏแห่งกรรมพิพากษา ตามกระบวนการของมัน


    อตีตํ นานฺราคเมยฺย
    ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว
 

    เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ เวรํ เตสํ น สมฺมติ
    เวรของผู้จองเวร ย่อมไม่ระงับไปได้


    เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ เวรํ เตสูปสมฺมติ
    เวรของผู้ไม่จองเวร ย่อมระงับดับได้


    อย่าไปคิดอกุศลกับใครเลย อารมณ์นั้นเป็นอุปกิเลส
    ยามใดที่จิตมีอุปกิเลส จิตจะไม่ปภัสสร จะขวางนิพพาน

     :25: :25: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 30, 2012, 07:55:33 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

แพนด้า

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 248
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ่านจากที่ คุณเล่า มาแล้ว ก็แสดงว่า คุณก็ได้ช่วยเขาแล้วในระดับหนึ่ง มอบเงินให้ตั้งขนาดนั้น สำหรับคนที่เคยทำร้ายเรามาอย่างนี้ ก็นับว่ามีจิตดีมากนะครับ

  แต่คุณอาจจะมา ตะหงิด ๆ ในใจตรงที่ว่า สามารถช่วยได้มากกว่านี้ แต่ไม่ได้ช่วยอย่างเต็มกำลังเพียงช่วยให้เขารอดและไปจากเราเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้เขารอด อย่างผูกพันกับเรา

  ผมว่า ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าไปผูกพัน อะไรกับเขาเลยครับ อยู่ของเราอย่างนั้นตามอัตภาพเถอะครับ เพราะการที่เราทำอะไรลงไปมากกว่านี้ จะนำมาซึ่งปัญหาอีกมาก วิบากกรรมมักจะเริ่มก่อตัวอย่างนี้ละครับ เพราะกรรมของเรายังไม่หมดไปจากเขา ๆ ก็ต้องมาเอากรรมอีกส่วนจนหมด

   ทางที่ดี สิ้นสุดเวรกรรม ก็คือ อย่าเข้าไปยุ่งกันในเรื่องนี้ต่อไป ครับ คิดว่า เรากับเขา หมดบุญวาสนา ต่อกันแล้วนะครับ

   หายใจเข้าออก เป็น พุทโธ ดีกว่าครับ อย่าไปยุ่งกับเขาอีกเลยครับ เรายังไม่ใช่พระอริยะ อย่าไปเอากิริยาจิตของพระอริยะ พระโพธิสัตว์ มาเลียนแบบ จะดีกว่าครับ

  :s_hi:
บันทึกการเข้า

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
การระลึกปฏิบัติ ทำไปเพื่อการให้ที่เรียกว่า ทาน

๓.๑ ทาน คือ การให้โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆจากผู้รับ ให้เพราะหวังให้ผู้รับได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เราให้นั้น ให้ไปแล้วไม่มาคิดเสียดายหรือเสียใจในภายหลัง ด้วยสภาพจิตที่ผ่องใส สงบ อบอุ่น เบาบาง ไม่ติดข้อง ต้องใจ ขุ่นมัว หมองมัวของเรา
๓.๒. เมตตาทาน คือ การให้ด้วยความปารถนาดีต่อผู้อื่น เพื่อหวังให้ผู้อื่นได้รับความสุข ได้พบประสบความสุขจากการให้ของเรา หรือ จากสิ่งที่เราได้ให้เขาไป ด้วยสภาพจิตผ่องใส สงบ อบอุ่น เบาบาง ไม่ติดข้อง ต้องใจ ขุ่นมัว หมองมัวของเรา
๓.๓ อภัยทาน คือ การให้เพื่อความเว้นจากความพยาบาทเบียดเบียนผู้อื่น ให้เพื่อผู้อื่นได้รับอิสระสุขจากการให้นั้นของเรา รู้ให้อภัยด้วยจิตใจที่เป็นกุศล เป็นการเว้นไว้ซึ่งโทษ งดโทษ อดโทษแก่คนอื่น เป็นไปเพื่อความไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยกาย วาจา ใจ ให้เพราะความมีใจเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ อนุเคราะห์ อยากให้เขาไม่รู้สึกอึดอัด อัดอั้นใจ เป็นทุกข์ ทรมาน ทั้งกาย-ใจ ให้เพราะอยากให้ผู้รับมีจิตใจเบิกบาน ไม่ขุ่นข้องหมองใจ ด้วยสภาพจิตที่ผ่องใส สงบ อบอุ่น เบาบาง ไม่ติดข้อง ต้องใจ ขุ่นมัว หมองมัวของเรา
- ตรงนี้จะช่วยให้ผู้ปฏิบัตินั้นได้รู้จักการให้เพื่อคนอื่นไม่ใช่แต่จะรับอย่างเดียว ลดความเห็นแก่ตัว-เอาแต่ได้ของตัวเองลง โดยการที่เราจะสามารถเข้าถึงสภาพจิตและการดำเนินไปใน ทาน เป็นผลสำเร็จสมบูรณ์ได้นั้น เราต้องเจริญปฏิบัติและเข้าถึงในสภาพจิตของ เมตตาจิต กรุณาจิต และ มุทิตาจิต ให้ได้ก่อน สภาพจิตที่เป็นไปใน ทาน ของเรานั้นจึงจะเป็นผลสมบูรณ์เต็ม

ทานทั้ง 3 ประการนี้จะเกิดขึ้นได้และสมบูรณ์ คุณก็ต้องพึงเจริญปฏิบัติใน "พรหมวิหาร ๔" เป็นเพื้องต้น เพราะพรหมวิหาร ๔ นี้จะประกอบด้วยการกระทำทางใจเป็นเบื้องต้นส่งต่อให้เป็นผลในการกระทำทางกาย และ วาจา ซึ่งพรหมวิหาร๔ นี้จะเกื้อหนุนกันกับศีล สติ สมาธิ จนถึงปัญญาด้วย ดังนั้นทานอันจะสำเร็จประโยชน์เป็นอันมากนั้นจะไม่เกิดขึ้นหากไม่มีพรหมวิหาร๔ เพราะทานจะเกิดขึ้นได้ใจเราก็ต้องมี เมตตา กรุณา เป็นเบื้องต้น ต่อมาถึงมุทิตา จนถึงในอุเบกขา

ดูการผฏิบัติใน ศีล ทาน พรหมวิหาร๔ สติ สมาธิ สัมปชัญญะ เพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ จะเป้นการอธิบายคร่าวๆทั้งสภาพที่เป็นปรมัตถธรรมและวิธีกำหนดพิจารณาทรงอารมณ์ทางใจครับ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7456.0

-------------------------------------------------------------------------------

ทีนี้มาเข้าเรื่องกันนะครับ

- การที่คุณยอมให้เงินเขานั้น คุณให้เพราะสิ่งใด
     ๑. ให้เพราะรำคาญ
     ๒. ให้เพื่อให้มันผ่านๆพ้นๆไป
     ๓. ให้เพราะไม่ติดข้องใจ คือ อภัยทานแล้วแก่เขาในสิ่งที่เขาทำไม่ดีต่อคุณก่อนหน้านี้
     ๔. ให้ด้วยที่เมตตาสงสาร คือ ปารถนาดี รู้ว่าบุคคลนี้ควรแก่การอนุเคราะห์แบ่งปันแก่เขาด้วยความไม่ติดข้องใจใดๆ

- หากคุณทำในข้อที่ ๑-๒ นั่นไม่ใช่ทาน
- หากคุณทำในข้อที่ ๓-๔ นั่นเรียกว่าทานบารมี มีเมตตาทาน มีอภัยทาน มีความผ่องใสของจิตใจ

เรื่องเงินกับงาน

1. เรื่องเงินนะครับ เมื่อคุณไม่สามารถที่จะช่วยเขาได้มากกว่านี้ ด้วยสภาพจิตที่ไม่ติดข้องใจ ไม่ขุ่นมัว อัดอั้นคับแค้นใจต่อเขา นี่เรียกว่าคุณได้ทำครบทั้ง เมตตา กรุณา ทาน มุทิตา แล้ว ที่เหลือคือ อุเบกขา ความวางเฉยๆ คือ มีสภาพใจเป็นกลางๆ ไม่ไปหยิบจับเอาสุขหรือทุกข์ใดๆจากเรื่องนี้ ไม่ตั้งเอาความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีอีก
2. เรื่องฝากงาน คุณยังติดข้องใจในตนเองอยู่เพราะคิดว่าช่วยได้มากกว่านี้ แสดงว่าคุณก็มีจิตที่เป็นอภัยทาน และ เมตตาเขาในระดับหนึ่งแล้ว แต่ปุถุชนคนทั่วไปอย่างเรานั้น มีเมตตาจิตกันทุกคนแต่ไม่ใช่ว่าจะมีกรุณาจิตเกิดขึ้นร่วมด้วยทุกครั้งหรือทุกคน มันจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเราๆ ผมมีแง่คิดเรื่องนี้ดังนี้นะครับว่า
     2.1 หากคุณฝากงานให้เขาแล้ว เขาจะมีเงินกิน เงินใช้จนครบเงินเดือนออกหรือไม่ จะมีที่พักอาศัยเมื่อทำงานไหม หากฝากงานแล้วเขาไม่มีเงินกิน เงินใช้ ไม่มีที่พักอาศัย ผมว่าแม้เขาจะมีความหวังต่อแต่เขาก็ต้องลำบากมากๆ การที่คุณช่วยให้เขากลับบ้านแล้วไปหางานที่บ้านทำมันจะดีกว่าครับ แล้วให้ไปตั้งตัวเอาที่บ้านเกิดเขาก็ไม่เสียหลาย
     2.2 หากเมื่อสามารถช่วยเขาได้ทั้งหมด แต่คุณไม่ได้ช่วยเขาในตอนนั้นก็แสดงว่าเมตตาจิตมีอยู่ การที่ให้เงินเขากลับบ้านคุณก็มีความกรุณาให้เขาในจุดนี้แล้ว.. เพียงแค่สภาพจิตใจและความรู้สึกของคุณในขณะนั้นยังมีความกรุณาจิตไม่เต็มที่ อาจจะเพราะยังติดข้องใจ ขัดข้องใจกับสิ่งที่เขาทำต่อคุณที่ผ่านๆมา ด้วยเหตุความไม่พอใจยินดีในสิ่งที่เขาทำนี้ก่อเกิดเป็นความขุ่นมัวจิตเกิดขึ้นมาแทนกรุณาจิตของคุณ แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านมาแล้ว มันเป็นอดีตไปตั้งแต่วินาทีที่ชายคนนั้นเดินจากไปแล้ว ดังนั้นคุณจึงควรเจริญในอุเบกขาให้มาก โดยพึงระลึกดังนี้ว่า คุณได้ช่วยเหลือเขาไปแล้วโดยให้เงินส่วนหนึ่งที่เป็นค่ารถค่ากินให้เขากลับภูมิลำเนาไปแล้ว ไม่ติดค้างใจใดๆต่อเขาแล้วที่ผ่านมาถือเป็นทานแก่เขาไป สภาพจิตคุณจะผ่อนคลายขึ้น เรื่องนี้ผ่านมาแล้วเราย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้อีก ให้พึงระลึกเอาสิ่งที่ได้ทำเป็นทานที่ดีแก่เขา และพึงระลึกถึงปัจจุบันขณะเพื่อไม่ผูกใจในเรื่องนี้อีก หากเอามาตั้งเป็นอารมณ์ก็เท่ากับว่าทุกข์อยู่ที่คุณเพราะเอาความสุขและความสำเร็จของตนไปผูกไว้กับผู้อื่นน่ะครับแต่การทำนี่ไม่ได้บอกให้ตัดความเมตตา กรุณานะครับ เพียงเพราะมันผ่านไปแล้วกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้วจึงควรปล่อยวางเสีย ละความสำคัญมั่นหมายของใจในเรื่องนี้ลง ลดละความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีในการช่วยเหลือนี้ของเขาลง ตอนนี้คุณก็สวดมนตื ทำสมาธิ แผ่จิตกุศลเมตตากรุณาให้เขา ให้เขาพ้นจากทุกข์ นี่คือสิ่งที่จะทำได้ในตอนนี้เพื่อเป็นเมตตาทานแก่เขา คุณก็จะไม่ติดข้องใจใดๆกับเรื่องนี้อีก

- ลองดูนะครับ หากไม่สามารถช่วยได้มากกว่านี้ก็วางใจไว้กลางๆเสีย ระลึกว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว
- หากยังได้พบเจอเขาอยู่และคุณคิดว่าคุณช่วยเขาได้มากกว่านี้ก็ลองดูครับการฝากงานช่วยเหลือเรื่องกินเรื่องพัก
(แต่อาจจะไม่ใช่มาพักกับคุณนะครับ อาจจะขอเจ้าของกิจการที่คุณฝาก แต่คุณก็ควรพูดป้องกันบางเรื่องเมื่อฝากงานคนเช่นการทำงานขยัน อดทน ความซื่อสัตย์เป็นต้น โดยอาจจะบอกว่าเคยรู้จักเขาแต่ไม่ได้สนิทรู้นิสัยใจคอกันมากนักมากนัก เห็นเขาน่าสงสารก็อยากให้บุคคลที่คุณนำเขาไปฝากช่วยเหลือเขาซักนิดให้ลองทำงานดูว่าเป็นที่พอใจไหม อยู่ที่ดุลยพินิจของผู้ดูแลงานนั้นเป็นต้น)

พร่ำยาวเกินไปแล้วไม่รู้วกไปวนมาป่าวเพราะผมทำงานไปด้วย อิอิ
หากไม่เกิดประโยชน์ใดๆก็ขออภัยเจ้าของกระทู้และผู้รู้มีจิตเมตตาทุกท่านด้วยนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 01, 2012, 04:46:35 pm โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

DANAPOL

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-1
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 332
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าเก็บมาคิดไว้ในใจ ให้กลุ้ม หรือปวดหัวเลยครับ ในโลกนี้ ใครจะช่วยใครกันได้ทั้งหมด โอกาสจังหวะ เวลา ความพร้อม คุณธรรม ต้องไปด้วยกันทั้งหมด

  สมมุต ว่า คุณเดินไปเจอขอทาน นั่งขอทานอยู่ คุณสงสารอยากช่วย แต่คุณไม่มีสตางค์ จะทำอย่างไร หรือคุณมีสตางค์ แต่คุณไม่มีเหรียญ มีเพียง แบ็งค์ 1000 ใบเดียว ที่ซึ่งเหลือใบสุดท้ายของคุณ ๆ จะทำอย่างไร เดินแลก และไม่มีแลก อีกจะทำอย่างไร สุดท้าย คุณไม่ช่วยขอทานคนนั้นเพราะเหตุความพร้อมไม่มี มันผิดตรงไหน ผิดมนุษยธรรม หรืออย่างไร ถ้าอย่างนั้นคนทั้งโลกก็ไม่ผิดหรือครับ ที่ต้องปล่อยให้คุณต้องรับผิดชอบอยู่คนเดียว การที่คุณ แก้ไขสถานการณ์ ไปตามจังหวะชีวิต ไม่ว่าจะด้วยบุญ ด้วยศรัทธา หรือ แค่เอาตัวรอด อย่างน้อยตอนนั้นคุณก้ได้ชื่อว่า ภาวนาธรรม ส่วนหนึ่งแล้วครับ ที่เรียกว่า กรุณาพรหมวิหาร สุดท้าย ก็ต้องมาเป็น อุเบกขาพรหมวิหาร ดังนั้น เริ่มจากเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไปตามลำดับ นะครับ


  :s_hi: :49:
บันทึกการเข้า
รหัสธรรม ต้องใช้ปัญญาคือความรู้ ผู้ถือกุญแจคือใครหนอ...