แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
11921
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดบวรฯยังไม่สรุป"ต้นไม้สวน"ประดับตกแต่งพระเมรุ วัดเทพศิรินทร์ รอสมเด็จพระวันรัต
|
เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 08:19:59 pm
|
สวนบริเวณรอบพระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส วัดบวรฯยังไม่สรุป"ต้นไม้-สวน"ประดับตกแต่งพระเมรุ วัดเทพศิรินทร์ รอสมเด็จพระวันรัต พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เปิดเผยว่า สำหรับต้นไม้ และดอกไม้ที่ใช้ประดับตกแต่งบริเวณโดยรอบพระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งขณะนี้มีผู้สอบถามมากว่าจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมถึงเมื่อไหร่ หรือต้นไม้ และดอกไม้ประดับต่างๆ จะแจกจ่ายให้ประชาชนหรือไม่นั้น
ขณะนี้อยู่ระหว่างให้เจ้าหน้าที่สำรวจจำนวนต้นไม้ และดอกไม้ต่างๆ อาทิ ต้นดอกชวนชมที่ใส่กระถางจากรึกอักษรย่อ ญสส.และต้นดอกดาวเรือง เพื่อรายงานมายังสมเด็จพระวันรัต รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะดำเนินการใดๆ กับต้นไม้ และดอกไม้ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพบว่าต้นดาวเรืองบางส่วนหายไป ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450433468
|
|
|
11923
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำบุญเสริมดวง ให้ความรักสดใส
|
เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 10:43:58 am
|
ทำบุญเสริมดวง ให้ความรักสดใส คู่รักที่อยากสมหวังในความรักแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี....วันนี้เรามีเคล็ดลับเสริมดวงความรักง่ายๆ มาฝากกัน ถ้าอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไร มาดูพร้อมๆ กันเลย
อันดับแรก...ตั้งสมาธิให้มั่นขณะอธิษฐานจิต ก่อนจะอธิษฐานจิตอยากให้คุณตั้งสมาธิให้มั่น แล้วค่อยๆอธิษฐานอย่างที่ต้องการ ซึ่งหลังจากอธิษฐานแล้วก็อย่าเพิ่งสมาธิแตกซ่านนะคะ ให้คุณตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ด้วยว่า คุณขอความรักแบบไหน จงทำตัวแบบนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครชอบคนเลว คนเห็นแก่ตัว คนเจ้าชู้ ฉะนั้นให้คุณตั้งปณิธานกับตัวเองว่า ไม่ชอบคนแบบไหนจงอย่าทำตัวแบบนั้น อยากเจอความรักที่ดี ความรักที่ซื่อสัตย์
ที่สำคัญคือเราเองก็ต้องไม่ทำตัวเจ้าชู้ อยากเจอคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เราเองก็ต้องทำตัวให้น่าเข้าใกล้ อยู่กับใครคนๆ นั้นก็สบายใจ เพราะกฎแห่งแรงดึงดูดบอกเอาไว้ว่า สิ่งเดียวกันย่อมดึงดูดสิ่งเดียวกันมาหากันเสมอ เมื่ออธิษฐานไปแล้วอยากได้คนรักแบบไหน จงทำตัวแบบนั้นค่ะ
อันดับต่อมา...ทำทานด้วยใจที่พร้อม การทำทานอย่าสักแต่ว่าให้ของไปแล้วจบ เวลาที่คุณทำทานใจคุณต้องสำรวมและพร้อมที่จะทำใจให้เป็นกุศลด้วยค่ะ ใจที่สงบ ใจที่มีแต่การให้ เท่ากับว่ากิเลสความอยากได้อยากมี กิเลสของการยึดติดได้อันตรธานไปแล้วเช่นกัน เมื่อใจที่เปี่ยมไปด้วยการให้เกิดขึ้น กระแสแห่งความเมตตา ความดีจะปรากฏ กลายเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใครต่อใครให้อยากเข้าใกล้คุณ เพราะเมื่อคุณพร้อมในการให้ทาน แน่นอนว่าคุณก็พร้อมที่จะให้ความรักด้วยเช่นกัน กระแสนี้จะดึงดูดทำให้ใครๆ ก็อยากจะเข้าใกล้ อยากจะรู้จักคุณค่ะอันดับสุดท้าย...ปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจัง อย่าเพิ่งส่ายหน้าให้กับข้อนี้เด็ดขาด เพราะถือเป็นข้อที่สำคัญที่สุด เพราะว่าเมื่อเราปฏิบัติธรรมโดยการนั่งภาวนาหรือพูดง่ายๆ ว่านั่งสมาธิอย่าง จริงๆ จังๆ ใจของเราจะเห็นถึงความไม่เที่ยงที่เกิดขึ้น ใจของเราจะได้พิจารณาอารมณ์ของเราแล้วก็จะเห็นความไม่แน่นอน เริ่มปล่อยวาง ไม่ยึดติด ไม่มีความหึงหวง ไม่มีความระแวงใดๆ พร้อมที่จะให้อิสระกับคนที่จะเข้ามาในชีวิต
แน่นอนว่าใครก็อยากเข้ามาเพราะความสัมพันธ์ที่เบาสบายไม่ชวนอึดอัด และเมื่อคุณให้อิสระกับเขา ไม่ยึดติด หึงหวง จะกลับกลายเป็นว่าเขาจะไม่อยากห่างคุณไปได้ เพราะคนดีๆ ที่คิดได้แบบคุณหาไม่ง่ายเลยจริงไหม
ลองนำเคล็ดลับทั้ง 3 ข้อไปปฏิบัติ แล้วคุณจะรู้ว่ารักแท้อยู่ไม่ไกลคุณ
ที่มา http://horoscope.sanook.com/86565/
|
|
|
11926
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สุสานโบราณ 131 ศพ เจาะช่องใส่โลงที่หน้าผาใกล้เขื่อนสามโตรก
|
เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 09:13:18 am
|
หน้าผาสูงอันเป็นที่ตั้งของโลงศพโบราณ บริเวณเขื่อนสามโตรก มณฑลหูเป่ย (ภาพ พีเพิล เดลี) สุสานโบราณ 131 ศพ เจาะช่องใส่โลงที่หน้าผาใกล้เขื่อนสามโตรก เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - พบโลงศพโบราณนับร้อย ค้างอยู่กับหน้าผาสูงลิ่วเหนือเขื่อนสามโตรกอย่างลี้ลับ บ้างก็ว่า เป็นพิธีกรรมของชนท้องถิ่นในอดีต บ้างก็ว่า ทอดร่างไว้กับโลงอย่างนั้นก็เพื่อหนีจากสัตว์ร้าย ไม่ให้มากัดกินซากศพ จากรายงานของสำนักข่าว ทรี กอร์เจส บิสซิเนส นิวส์ (Three Gorges Business News) เมื่อวันจันทร์ (14 ธ.ค.) โลงศพเหล่านี้เป็นโลงไม้ นับได้ทั้งหมด 131 โลง วางอยู่ในช่อง ซึ่งเจาะเข้าไปในหน้าผา เป็นช่องสี่เหลี่ยม เรียงรายอยู่หลายช่อง หน้าผาบนภูเขานั้นมีความสูง 100 เมตร หันหน้าสู่แม่น้ำ ตั้งอยู่ในมณฑลหูเป่ย ในเขตจื่อกุย อันเป็นท้องถิ่นห่างไกลผู้คน นักโบราณคดีระบุว่า โลงศพทั้งหมดนี้สร้างขึ้นเมื่อสมัย 1,200 ปีก่อนในยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) บางทีอาจเป็นของพวกปั๋ว ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในสมัยโบราณ ซึ่งอาศัยอยู่ในแถบตอนใต้ของจีนก็ได้ ทว่ายังไม่มีใครอธิบายได้ว่า โลงทั้งหมดถูกขนขึ้นไปบนหน้าผา ที่สูงชันนี้ได้อย่างไรกัน รายงานของสำนักข่าวมิได้ระบุด้วยว่า ใครกัน ที่เป็นผู้ไปเจอโลงโบราณมากมาย และไปเจอเมื่อไหร่ ขนบธรรมเนียมการฝังศพในลักษณะประหลาดผิดธรรมดาเช่นนี้ คนสมัยโบราณทำก็เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่ามากัดทึ้งศพ และยังเชื่อด้วยว่า จะทำให้ดวงวิญญาณไปสู่สุขคติ การห้อยโลงศพไว้ที่หน้าผา บางโลงวางอยู่กับเสาไม้ตอกติดหน้าผา เคยมีการค้นพบมาแล้วในหลายมณฑลทางภาคใต้ของจีนได้แก่ หยุนหนัน เสฉวน เจียงซี และฝูเจี้ยน ที่ผ่านมา สื่อมวลชนแผ่นดินใหญ่ยังรายงานด้วยว่า เคยมีคนเห็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนไปเซ่นไหว้ตามสถานที่เหล่านี้ เพราะการออกเสียงคำว่า "โลงแขวน" (hanging coffin) หรือ "สวนกวน" ในภาษาจีนนั้น มีเสียงคล้ายกับคำว่า “ เลื่อนตำแหน่ง” สำหรับเขื่อนสามโตรกนั้น เป็นเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำขนาดมหึมาที่สุดในโลก โดยสร้างกั้นขวางแม่น้ำแยงซี เริ่มก่อสร้างเมื่อปีพ.ศ. 2537 โดยใช้งบประมาณก่อสร้างมากกว่า 248,000 ล้านหยวน อภิมหาโครงการก่อสร้างเขื่อนแห่งนี้ทำให้ชาวบ้านต้องโยกย้ายถิ่นฐานไม่ต่ำกว่า 1,240,000 คน และเกิดอ่างเก็บน้ำ ซึ่งมีระยะทางยาว 600 กิโลเมตร ท่วมทับแหล่งโบราณคดีมากถึงราว 1,300 แห่ง รวมทั้งบริเวณทีคนโบราณห้อยโลงไว้กับหน้าผาบางแห่งด้วย ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9580000138116
|
|
|
11928
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ยูเอ็นเผยรายชื่อ "ประเทศที่ดีที่สุดในโลก" นอร์เวย์อันดับ 1 - ไทยตก 4 อันดับ
|
เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 09:02:46 am
|
ผู้คนพยายามที่จะไล่จับฟองสบู่ที่ศิลปินข้างถนนทำขึ้น ณ บริเวณน้ำพุใกล้กับศาลากลางกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2558 ยูเอ็นเผยรายชื่อ "ประเทศที่ดีที่สุดในโลก" แชมป์เก่านอร์เวย์อันดับ 1 ไทยตก 4 อันดับ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยแพร่รายงานดัชนีการพัฒนามนุษย์ (เอชดีไอ) ครอบคลุม 188 ประเทศทั่วโลก ประเทศแชมป์เก่าอย่างนอร์เวย์ยังคงครองอันดับประเทศที่ดีที่สุดในโลกติดต่อเป็นปีที่ 12
เอชดีไอเป็นการวัดความสำเร็จโดยเฉลี่ยของแต่ละประเทศในการพัฒนามนุษย์ผ่านการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี,ความรู้และมาตรฐานคุณภาพชีวิตโดยนอร์เวย์ได้รับคะแนนรวมสูงสุด 0.944 จากค่าอายุขัยเฉลี่ยที่ 81.6 ปีพร้อมกับผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีเอ็นไอ) ต่อหัวที่ 64,992 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,339,550 บาท)
รายงานดัชนีการพัฒนามนุษย์ประจำปี 2558 เปิดเผยรายชื่อประเทศที่ติด 5 อันดับแรก นอกจากนอร์เวย์แล้ว คือ ออสเตรเลีย (0.935), สวิตเซอร์แลนด์ (0.930), เดนมาร์ก (0.923), และเนเธอร์แลนด์ (0.922) ขณะที่ประเทศที่มีค่าเอชดีไอต่ำสุด 5 ประเทศ ได้แก่ บุรุนดี (0.400), ชาด (0.392), เอริเทรีย (0.391), สาธารณรัฐแอฟริกากลาง (0.350), และไนเจอร์ (0.348)แม่ลูกชาวไทยยืนรอรถไฟฟ้าบีทีเอส ณ สถานีหมอชิต กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2555 สำหรับประเทศไทยมีดัชนีการพัฒนามนุษย์อยู่ที่ 0.726 จากค่าอายุขัยเฉลี่ยที่ 74.4 ปี ประกอบกับระยะเวลาการศึกษาที่คาดหวัง 13.5 ปี ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาเฉลี่ย 7.3 ปี และมีค่าจีเอ็นไอต่อหัวที่ 13,323 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 480,300 บาท) จัดเป็นอันดับ 93 ซึ่งร่วงลงจากเดิม 4 อันดับและถูกจัดให้อยู่ในระดับการพัฒนามนุษย์สูง (High Human Development)
ส่วนประเทศที่มีตกระดับมากที่สุดในปี 2558 นี้คือประเทศลิเบียที่ร่วงลง 39 อันดับ ลงมาอยู่อันดับที่ 94 ร่วม และประเทศซีเรียที่อยู่อันดับ 134 จากเดิมอันดับ 118
รายงานสรุปรวมค่าดัชนีการพัฒนามนุษย์เฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 0.711 ระยะเวลาการศึกษาที่คาดหวัง 12.2 ปี ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาเฉลี่ย 7.9 ปี และมีค่าจีเอ็นไอต่อหัวที่ 14,301 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 515,690 บาท)
ทั้งนี้ ตามข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ ดัชนี้การพัฒนามนุษย์เริ่มใช้ในปี 2533 โดยมุ่งเน้นว่าการขยายทางเลือกของมนุษย์ควรเป็นเกณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับการประเมินผลการพัฒนา โดยเอชดีไอสามารถใช้ในการตั้งคำถามต่อประเทศที่มีระดับผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัวเท่ากันแต่กลับมีผลลัพธ์การพัฒนามนุษย์ที่แตกต่างกันได้
ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450341112
|
|
|
11930
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 9 งานอดิเรก ยิ่งทำ...ยิ่งฉลาด
|
เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 08:54:44 am
|
9 งานอดิเรก ยิ่งทำ...ยิ่งฉลาด มีความเชื่อผิด ๆ กันว่า ความฉลาดไม่สามารถพัฒนาได้มากนักและขึ้นอยู่กับพันธุกรรมเป็นหลัก แต่ความจริงแล้วใครจะรู้ว่าสมองสามารถพัฒนาได้ผ่านงานอดิเรกง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาเพิ่มความฉลาดหรือพึ่งติวเตอร์ที่ไหน เพียงแค่ทำกิจกรรม 9 อย่างที่ Life on Campus นำมาเสนอเท่านั้นเอง รับรองว่าทำเป็นประจำฉลาดขึ้นแน่นอน 1.เล่นดนตรีแบบศิลปิน เมื่อนานมาแล้วขงจื๊อกล่าวไว้ว่า 'ดนตรีมอบความพึงพอใจที่ธรรมชาติของมนุษย์ไม่สามารถทำได้ ' และจากผลการวิจัยก็ระบุว่าดนตรีหรือเสียงเพลงสามารถกระตุ้นสมองของมนุษย์ได้ดี และนักวิจัยหลายคนก็ได้แสดงผลงานวิจัยที่บ่งบอกว่า ผู้ที่ทั้งฟังดนตรีและเป็นผู้เล่นเองมีพื้นที่หน่วยความจำที่มากขึ้น นอกจากนี้การเล่นเครื่องดนตรียังเป็นการฝึกความอดทนและความพยายาม เพราะการที่จะเล่นดนตรีให้เชี่ยวชาญได้นั้น จำเป็นจะต้องทุ่มเทเวลาให้มันอย่างเต็มที่ ผลพลอยได้คือการมีสมาธิที่ดีขึ้น 2.อ่านหนังสือให้เหมือนเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้แตะมัน เป็นความเชื่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าการอ่านหนังสือจะช่วยเพิ่มระดับความฉลาดได้ แต่หมายถึงว่าต้องอ่านแบบไม่ลืมหูลืมตาและอ่านหลากหลายแนวตั้งแต่ นวนิยาย ชีวประวัติ ไปจนถึงบทประพันธ์ต่าง ๆการอ่านหนังสือช่วยลดความเครียด ช่วยให้คุณเผชิญหน้ากับอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายและทำให้มีความรู้ในเรื่องต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือในสถานการณ์หลากหลาย และเข้าใกล้กับเป้าหมายชีวิตในอนาคตมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกดีกับตัวเอง ไม่เพียงเท่านั้นการนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกสงบเป็นหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่แข็งแรง
3.ฝึกสมาธิเป็นกิจวัตร ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการฝึกสมาธิ คือ การช่วยให้มีโฟกัสและรู้จักเนื้อแท้ของตัวเอง ช่วยลดระดับความเครียดและขจัดความกังวลทั้งหลาย การฝึกสมาธิเป็นประจำทุกวัน ผู้ฝึกจะมีจิตใจที่สงบ รู้จักควบคุมตัวเอง มีความหยั่งรู้ ทำให้สามารถเรียนรู้ คิด และวางแผนสิ่งต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากสามารถตัดสิ่งที่มารบกวนจิตใจได้ 4.ออกกำลังสมอง ร่างกายต้องการการออกกำลังกายเพื่อให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม สมองก็เช่นเดียวกัน การท้าทายสมองให้ทำสิ่งใหม่ ๆ ทุกวันจะช่วยเพิ่มความสามารถและทำให้ฉลาดขึ้น น้อง ๆ สามารถฝึกสมองได้ด้วยหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การเล่นโซโดกุ ปริศนาตามหน้าหนังสือพิมพ์ เกมกระดาน และปริศนาคำทาย กิจกรรมดังกล่าวจะช่วยสร้างความเชื่อมโยงของสมอง ผู้เล่นจะได้เรียนรู้การตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ในลักษณะที่มีความสร้างสรรค์ พัฒนาความสามารถในการมองเห็นให้มองได้หลายมุมมอง และมีสมองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 5.ออกกำลังกายก็เป็นเรื่องสำคัญ สมองก็คือกล้ามเนื้อในร่างกายเช่นเดียวกับส่วนอื่น ดังนั้นการมีร่างกายที่แข็งแรงก็เป็นเครื่องการันตีว่าสุขภาพสมองดี การออกกำลังอย่างเป็นประจำนอกจากจะช่วยให้สุขภาพดีแล้วยังช่วยลดความตึงเครียดและทำให้นอนหลับง่าย ทางการแพทย์เชื่อว่า การไหลเวียนของโลหิตที่ดีไปยังสมอง หมายถึง สมองมีการทำงานที่เพิ่มขึ้น จากการศึกษาในหนูและมนุษย์ ได้แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายสามารถสร้างเซลล์สมองใหม่ และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของสมองดีขึ้น 6.เรียนรู้ภาษาที่สาม การเรียนรู้ภาษาใหม่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าทำได้น้อง ๆ จะได้รับประโยชน์มหาศาล หนึ่งในนั้นก็คือ ทำให้ดูฉลาดขึ้น กระบวนการของการเรียนรู้ดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์โครงสร้างไวยากรณ์และการทำความรู้จักคำศัพท์ใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นการท้าทายสมอง และนอกจากนี้จากผลการวิจัยพบว่า คนที่มีทักษะทางภาษาระดับสูงจะสามารถวางแผน ตัดสินใจและแก้ไขปัญหาได้ดี 7.ระบายความรู้สึกผ่านตัวหนังสือ นอกจากการเขียนบ่อย ๆ จะเป็นการเพิ่มทักษะทางภาษาแล้ว ยังช่วยพัฒนาความสามารถในเรื่องของการโฟกัส ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และความเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเขียนลงในกระดาษเท่านั้น สามารถเขียนที่ไหนก็ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเขียนลงบนมือ หรือแม้แต่สร้างบล็อกของตัวเองขึ้นมา 8.ท่องเที่ยวในที่ใหม่ๆ การท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การลดความเบื่อหน่ายเท่านั้น แต่มันสามารถขจัดความเครียดที่สั่งสมได้ด้วย เชื่อกันว่าหลังจากที่กลับจากทริปจะโฟกัสกับสิ่งที่ทำมากขึ้น ช่างสังเกต และมีความเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องที่สนใจ นอกจากนี้ทุกสถานที่ที่ได้ไปยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้ตัวเอง ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ทั้งผู้คน อาหาร วัฒนธรรม และสังคม คุณจะได้ไอเดียที่ไม่มีทางได้จากห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ 9.ลองทำเมนูอาหารหลากหลาย คนที่ลองทำอาหารเมนูแปลกไปจากปกติ มักเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่กลัวที่จะ ลองสิ่งใหม่ ๆ และเป็นคนที่มีความใส่ใจในเรื่องของรายละเอียด สิ่งที่คุณจะได้จากการทำอาหาร คือ สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้หลากหลาย มีความแม่นยำ และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ขอบคุณที่มา : http://www.lifehack.org/310690/taking-these-10-hobbies-will-make-you-smarterhttp://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9580000137966
|
|
|
11932
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / "ญาณสังวร" มีที่มา และ ความหมาย อย่างไร.?
|
เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 08:30:29 am
|
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวัฒโณ) "ญาณสังวร" มีที่มา และ ความหมาย อย่างไร.? เฟซบุ๊ก วัดป่า สมณศักดิ์ ”สมเด็จพระญาณสังวร” ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเป็นราชทินนามที่พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทรงโปรดให้ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานสถาปนา พระญาณสังวร (สุก)
พระอาจารย์สุก วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) เป็นพระเถระที่เลื่องลือด้านวิปัสนาธุระและเปี่ยมด้วยเมตตายิ่ง ถึงขนาดมีตำนานเล่าว่าสามารถแผ่เมตตาให้ไก่ป่าที่ได้ชื่อว่า ปราดเปรียวและระแวงภัยยิ่งให้เชื่องเหมือนไก่บ้านได้ ครั้นสมเด็จพระญาณสังวร(สุก) ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชชาวประชาทั้งหลายจึงมักพากันขนานนามท่านว่า “สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน”
ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร เป็นตำแหน่งพิเศษ ที่โปรดพระราชทานสถาปนาแก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระเท่านั้น ฉะนั้น นับแต่สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๓ แล้วก็ไม่ทรงโปรด พระราชทานสถาปนาแก่พระเถระรูปใดอีกเลย กระทั่ง พ.ศ. ๒๕๑๕ นับเป็นเวลา ๑๕๒ ปี จนได้มีการพระราชทานสมณศักดิ์นี้แด่ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯเป็นที่สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวัฒโณ)สมเด็จพระญาณสังวร(สุก) วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ “สมเด็จพระญาณสังวร” นั้นเป็นตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะฝ่าย "วิปัสสนาธุระ" ซึ่งตามพระนามหมายถึงผู้ที่ความสำรวมในความรู้อย่างยิ่ง (“ญาณ” หมายถึง ความรู้ และ “สังวร” หมายถึง สำรวม) หรือหากอ้างถึงพระอรรถกถาความหมายของ “ญาณสังวร” จะเป็นหัวข้อหนึ่งในสังวรวินัย ๕ คือ สีลสังวร สติสังวร ญาณสังวร ขันติสังวร และวิริยสังวร และดังได้มีอรรถาธิบายความหมายของ “ญาณสังวร” ว่า
สังวรที่ตรัสไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนอชิตะ กระแส(ตัณหา) เหล่าใดในโลกมีอยู่ สติย่อมเป็นเครื่องห้ามกระแสเหล่านั้น เราตถาคตกล่าวสติว่า เป็นเครื่องระวังกระแสทั้งหลาย กระแสเหล่านั้นอันบุคคลย่อมละด้วยปัญญานี้ เรียกว่า ญาณสังวร” ขุ.สุ. ๒๕/๔๒๕/๕๓๐
เพราะฉะนั้นราชทินนามตำแหน่งที่ สมเด็จพระญาณสังวรนี้ จึงกล่าวได้ว่าเป็นตำแหน่งที่มีความหมายสำคัญในประวัติการณ์ของคณะสงฆ์ไทยตำแหน่งหนึ่ง
บางตอนจาก : พระประวัติสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) http://bit.ly/1m0Xrg6ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟซบุ้ค วัดป่าที่มา : https://www.facebook.com/watpah/photos/a.171604383005330.1073741829.171500479682387/523845487781216/?type=1&theaterhttp://www.posttoday.com/social/think/405236
|
|
|
11934
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / จากบุตรถึงบิดาทางธรรม พระจริยวัตรพระสังฆราช ปราชญ์วิถีพุทธ
|
เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 07:52:48 am
|
จากบุตรถึงบิดาทางธรรม พระจริยวัตรพระสังฆราช ปราชญ์วิถีพุทธ ในวันนี้ (16 ธ.ค.58) ถือเป็นวันพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ปกครองคณะสงฆ์ไทย ที่ทรงมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงแก่พุทธศาสนา และในโอกาสนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้สัมภาษณ์พระผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระสังฆราช โดยได้สนองงานใกล้ชิด อันได้แก่ พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย หรือ ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร พระภิกษุชาวเนปาลผู้สืบเชื้อสายมาจาก พระอานนท์ และเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า ได้เล่าถึงพระจริยวัตรอันน่าเลื่อมใสของสมเด็จพระสังฆราช
พระ ดร.อนิลมาน ได้เล่าถึงการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ว่า เนื่องจากเป็นวิสัยทัศน์ของสมเด็จพระสังฆราช ที่มีเป้าหมายในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่ประเทศเนปาล ในปี 2513 สมเด็จพระสังฆราชได้เสด็จไปที่เนปาล ซึ่งทรงเห็นว่า ประเทศเนปาลถือเป็นชาติภูมิของพระพุทธเจ้า แต่พุทธศาสนานิกายเถรวาทกลับไม่เจริญ มีพระสงฆ์นิกายเถรวาทเพียงไม่กี่รูป พระพุทธศาสนาสายมหายาน มีมากกว่า พระองค์จึงถาม พระสงฆ์ที่เนปาลว่า “ประเทศไทยสามารถช่วยเหลือฟื้นฟูประเทศที่เป็นพุทธภูมิได้หรือไม่ เพราะประเทศไทยเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธเจ้า เป็นหนี้บุญคุณพระพุทธศาสนา”
พระองค์ต้องการตอบแทนให้กับพระพุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีโครงการต่างๆ เกิดขึ้น เช่น โครงการบวชสามเณรของพระสงฆ์เนปาล โดยการดูแลของสมเด็จพระสังฆราช หรือแม้กระทั่งในยุคหลัง ที่สมเด็จพระสังฆราชได้เสด็จไปอุปัชฌาย์ “ศากยะกุลบุตร” หรือ สายเลือดที่เชื่อกันว่าเป็นญาติพี่น้องของพระพุทธเจ้า แต่กลับไม่รู้จักหลักธรรมคำสอน พระองค์จึงต้องการที่จะฟื้นฟู โดยในปี 2528 สมเด็จพระสังฆราชเสด็จไปบรรพชาแก่ “ศากยะกุลบุตร” รวม 73 รูป รวมถึงอาตมาเอง ก็ได้บวชในครั้งนั้น และได้โอกาสมาสนองงานรับใช้เจ้าคุณสมเด็จพระสังฆราชพระสังฆราช องค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พุทธศาสนาในเนปาลเสื่อมถอย เกิดจากหลายปัจจัย
ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ เล่าย้อนถึงสาเหตุที่พุทธศาสนาเสื่อมถอยลงมากที่ประเทศเนปาลว่า ยุคหนึ่งเป็นยุคทองของศาสนา แต่มาวันหนึ่งได้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเมืองกับศาสนา ทำให้ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู มีอิทธิพลมากกว่า แต่พุทธศาสนาก็ไม่ได้หายไปเสียทีเดียว ถึงแม้ประวัติศาสตร์เนปาล ยังมีบันทึกว่า พระ ยังถูกขับไล่ออกนอกประเทศก็มี หรือพุทธศาสนาก็มีการบังคับให้สึก ซึ่งส่งผลต่อพุทธศาสนาแบบเถรวาทดั้งเดิมไม่สามารถรักษารูปแบบไว้ได้ แต่คนเนปาลเองก็พยายามรักษาไว้ในเชิงพิธีกรรม ที่เรียกว่า Newar Buddhism หรือ พุทธศาสนาเนวาร์ โดยเฉพาะที่ กาฐมาณฑุ ซึ่งเขาจะถนัดเรื่องพิธีกรรมตั้งแต่เกิดจนตาย แต่เขากลับไม่รู้จักผ้าเหลือง เพราะถูกปิดประเทศ ทำให้ไม่ทราบว่าพุทธศาสนาเถรวาท ยังมีอยู่ในประเทศไทย หรือศรีลังกา ดำริพระสังฆราชจึงอยากไปช่วยฟื้นฟู
จากบ้านเกิด ไม่รู้ภาษาไทย เปรียบสมเด็จพระสังฆราชคือ "บิดา"
พระ ดร.อนิลมาน เปิดเผยต่อว่า หลังจากอาตมาบวชในโครงการดังกล่าว ในฐานะเณรน้อย ก็เข้ามาศึกษาพระธรรมที่วัดบวรนิเวศฯ โดยมีพระสังฆราช เป็นพระอาจารย์ ช่วยดูแล ทางคณะสงฆ์ของเนปาล ได้ฝากฝังมาเหมือนกับ "บุตร" อาตมาก็มาสนองรับใช้ พระสังฆราชก็ทรงพระเมตตาช่วยดูแล ทั้งนี้ ท่านทรงมีพระเมตตากับพระทุกรูป แต่ด้วยอาตมาไม่รู้เรื่องภาษา ทำให้พระสังฆราชทรงพระเมตตามากหน่อย ด้วยการสั่งสอนในเรื่องระเบียบวินัย พระธรรมคำสอนต่างๆ ทำให้อยู่กับพระองค์มาก
“พระองค์เปรียบเสมือนครูบาอาจารย์ ที่สำคัญยังเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ ซึ่งการอุปัชฌาย์ในพระพุทธศาสนานั้น ก็เปรียบเสมือน “บิดา” แต่สำหรับอาตมา คำว่า “บิดา” นั้น มิได้หมายถึงพ่อแม่ แต่หมายถึงผู้ปกครอง ที่ได้ปกครองคณะสงฆ์ไทย ทรงเป็นเจ้าอาวาส บริหารวัด และยังทรงดูแลลูกศิษย์โดยตรง ซึ่งการบริหารนับว่ามีหลายระดับ แต่พระเมตตาของท่านนั้นไม่มีประมาณ ซึ่งท่านได้มีพระเมตตาแผ่ไพศาลไปยังทุกคน หรือแม้แต่พระที่อยู่ห่างไกล พระองค์ก็ประทานความช่วยเหลือเท่าที่ประทานความช่วยเหลือได้"
ส่วนในวัดบวรนิเวศ พระสงฆ์ ภายใต้การปกครองของพระองค์ก็จะได้รับความเมตตา ถามว่าท่านทรงดุหรือไม่ คำว่าดุ อาจจะไม่เหมือนกับที่เราคิด พระองค์เป็นคนรับสั่งน้อย แต่รับสั่งอะไรแล้ว จะรับสั่งจริง จะรับสั่งทำให้เราสำนึก บาดลึกไปถึงจิตใจ ทำให้เราไม่กล้าที่จะทำผิดอีก ดังนั้น พระสงฆ์ในวัดจึงรู้สึกเกรงพระบารมี ถ้าพระองค์ไหนทำผิดร้ายแรงจริงๆ ก็จะต่อว่าตรงๆ แต่ถ้าความผิดนั้นที่จะเป็นบทเรียนให้กับส่วนรวม ก็จะมีการตักเตือนในคณะสงฆ์ ทุกวันพระ จะมีการให้โอวาทปาติโมกข์ท่านทรงเปิดงานในพิธีการต่างๆ ผู้ลึกซึ้งในพระธรรมคำสอน เคร่งครัดวินัย มีพระเมตตาสูงล้น
“พระจริยวัตรของพระองค์ทุกเรื่อง สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นผู้นำสงฆ์นั้นเป็นอย่างไร คำสอนของพระองค์มีความชัดเจน โดยกลั่นออกมาจากพระทัยของพระองค์ เช่น การสอนของอาตมา อาจจะสอนแบบลักจำ คือ ไปอ่าน ไปฟัง แล้วก็มาบอกต่ออีกทีหนึ่ง แต่สมเด็จพระสังฆราช สอนมาจากความเข้าใจและกลั่นออกมาจากพระทัย เพราะท่านเห็นหลักธรรมที่ชัดเจน กลั่นออกมาอย่างครบถ้วน โดยที่ไม่ต้องใช้ความจำ แต่ใช้ความเข้าใจหลักธรรมอันถ่องแท้ และสามารถถ่ายทอดให้กับพุทธศาสนิกชนได้อย่างเข้าใจ พระองค์เคร่งครัดในพระวินัย แม้แต่ข้อเล็กน้อย พระองค์ก็ไม่เว้น ทรงมีพระจริยวัตรเมตตา ใครมาพึ่งพระองค์แม้แต่พระมหากษัตริย์ หรือยาจก ท่านก็ไม่ทรงเลือก ซึ่งเราจะเห็นได้ในพระประวัติของพระองค์ ก็จะทราบว่าพระเมตตาของท่านสูงเหลือเกิน"
สมเด็จพระสังฆราช เสวยมื้อเดียว ทรงสวดมนต์ ท่องพระวินัยสงฆ์ 227 ข้อ ทุกวัน
สำหรับกิจวัตรประจำวัน ของสมเด็จพระสังฆราช นั้น พระ ดร.อนิลมาน ธมฺมสากิโย เล่าว่า พระองค์จะทรงตื่นบรรทม ในเวลา ตี 3 ครึ่ง ทุกวัน จากนั้นก็จะทรงสวดมนต์ โดยในแต่ละวัน จะทรงเตรียมบทสวดที่แตกต่างกัน ไม่ซ้ำกัน แต่ที่จะต้องทรงสวดเป็นประจำทุกวัน ก็คือ บทสวดทวนปาติโมกข์ หรือพระวินัยของสงฆ์ 227 ข้อ เสร็จจากนั้น ก็จะทรงนั่งสมาธิต่อ
เมื่อถึงเวลาเช้า หากเป็นช่วงที่ยังทรงไม่ประชวร ก็จะทรงออกบิณฑบาต ในละแวกใกล้เคียง โดยระหว่างทาง หากพบบรรดาสามเณรที่ออกบิณฑบาต ก็จะทรงรับสั่งเรียก และประทานอาหารในบาตร แบ่งปันให้ ด้วยความเมตตาเสียทุกครั้งไป นอกจากนี้ หากทรงทราบว่า มีพระรูปใดอาพาธ ก็จะรับสั่งให้ลูกศิษย์นำอาหารไปถวายด้วย
ไทม์ไลน์ประวัติโดยสังเขป ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อได้เวลาสักประมาณ 07.00 น. พระองค์ก็จะเริ่มรับแขกที่มารอเฝ้า จำนวนมากมายมหาศาล จนเวลาประมาณ 09.00 น. จึงจะได้เสวย ซึ่งของเสวยนั้น ปกติจะมีสองสำรับ โดยสำรับแรก จะเป็นอาหารพระราชทาน สำรับที่สอง จะเป็นของ รพ.จุฬาฯ แผนกโภชนาการ โดยเวลาเสวย พระองค์จะตักอาหารจากทั้งสองสำรับ ลงไปในบาตรรวมกันแล้วจึงเสวย โดยในขณะเสวย บางครั้งจะทรงให้สามเณรอ่านหนังสือถวายด้วย จากนั้นอาจจะบรรทมสักประมาณครึ่งชั่วโมง โดยจะไม่ทรงเสวยเพล แม้บางวัน อาจจะทรงมีงานไปตามสถานที่ต่างๆ ก็ตาม
จากนั้น หากเป็นช่วงเข้าพรรษา เวลา 13.00 น. พระองค์ก็จะไปสอนพระใหม่ จนกระทั่งถึงเวลา 14.00 น. เมื่อเสร็จสิ้น ก็จะทรงอ่านหนังสือ เพื่อค้นคว้าหาความรู้ถึงเวลาประมาณ 16.00 น. เมื่อถึงเวลานี้ พระองค์ก็จะทรงรับแขก ที่ส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยงานราชการต่างๆ ที่ขอเข้าเฝ้าเกี่ยวกับกิจการงานต่างๆ รวมถึงพระสงฆ์จากทั่วประเทศ จนถึงเวลา 18.00 น. อาจเลยไปถึง 19.00 น. จากนั้นก็จะทรงอ่านหนังสือ จนกระทั่งถึงประมาณ 20.00 น.
โดยก่อนบรรทม จะทรงสวดมนต์และปฏิบัติสมาธิ เช่นเดียวกับช่วงเช้าทุกครั้ง โดยการสวดมนต์และปฏิบัติสมาธิ ช่วงเช้าจะประมาณ 2 ชั่วโมง ช่วงค่ำอีก 2 ชั่วโมง รวมเป็น 4 ชั่วโมง ทุกวัน แม้ว่าวันใดจะทรงมีงานมาก ก็จะทรงปฏิบัติเป็นปกติ แม้ว่าอาจจะต้องบรรทมดึกสักหน่อยก็ตามดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ ตั้งตัวไม่ทัน วินาทีพระสังฆราชสิ้นพระชนม์ สิ่งที่ฝากฝังเสมอ อยากให้ชาวพุทธนำหลักธรรมคำสอนไปใช้ดำเนินชีวิต
พระภิกษุชาวเนปาลที่เปรียบเสมือนบุตรทางธรรม กล่าวถึงวันที่ สมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์ ว่า เนื่องจากสมเด็จพระสังฆราช ประชวรมานานนับสิบปี หมอก็บอกว่า ท่านจะละสังขารวันนั้นวันนี้ ทำให้พระในวัดทุกคนล้วนทำใจไว้แล้ว เพราะรู้ว่าสักวันก็ต้องดับสิ้นสังขาร แต่วันนั้น อาตมายืนอยู่ข้างๆ วินาทีที่พระองค์ดับสิ้นนั้น ก็ไม่มีอะไร คือหายใจเข้าออก จากนั้นก็ค่อยสงบลง อาตมาก็ยืนอยู่ตรงนั้น รู้สึกตั้งตัวไม่ทัน หันไปดูเครื่องชีพจร ก็เป็นศูนย์ แต่ก็มีความหวังว่าจะขึ้นมา แต่ก็ไม่ขึ้นมา จากนั้นก็ทำหน้าที่ได้แจ้งข่าว กราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ แจ้งให้กับทุกหน่วยงานทราบ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ก็ได้พระราชทานให้ตั้งพระศพที่ตำหนักเพ็ชร โดยพระราชทานโกศที่สูงกว่าพระสังฆราชทั่วไป คือ พระโกศกุดั่นใหญ่
พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย สนองงานรับใช้สมเด็จพระสังฆราช ทรงเคร่งครัดในการสวดมนต์ เรื่องใดที่สมเด็จพระสังฆราชทรงฝากฝังไว้ "สิ่งที่พระองค์ต้องการเห็นคือ พระพุทธศาสนา และหลักคำสอนนั้นมีผลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คน พระองค์รับสั่งอยู่ตลอดว่า หลักคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น ทำให้ประเทศชาติสงบสุข เจริญรุ่งเรือง ดังนั้น คำสอนเหล่านั้นจึงนำเสนอในหลายรูปแบบ มีบทละคร มีกาพย์ โคลง ฉันท์ หรือแม้กระทั่งเรื่องราวในแง่ของการบริหารจิต เป็นธรรมมะ ที่กรรมฐาน หรือการสอนประวัติศาสตร์ สิ่งเหล่านี้พระองค์ก็สอนมาไว้เยอะ บางอันก็เป็นการวิเคราะห์แบบเจาะลึก บางอันก็เป็นวิธีการคิดในแบบฉบับของพุทธศาสนา เช่น 45 พรรษาของพระพุทธเจ้า เป็นการปฏิรูปวิธีการศึกษาของพระไตรปิฎก พระองค์ต้องการที่จะเรียงพระไตรปิฎก ตามกาลเวลา ตั้งแต่พรรษาแรกที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ วันแรกพระองค์สอนอะไรบ้าง วันที่สอง สอนอะไรแบบนี้"
ซึ่งสมเด็จพระสังฆราช จะทรงหาวิธีวิเคราะห์ และเรียบเรียง ซึ่งหากโครงการนี้สำเร็จ คงจะเป็นงานชิ้นเอกของโลกเลยก็ว่าได้ แต่บังเอิญ ทรงทำตามที่ตั้งพระทัยไว้ได้เพียงถึงที่พระพุทธเจ้าทรงออกผนวช ถึงพรรษาที่ 12 จากทั้งหมด 45 พรรษา เท่านั้น จากนั้นท่านก็ทรงเริ่มประชวร จนทำให้โครงการนี้ต้องหยุดชะงักลงไป อย่างไรก็ดี ก็ยังมีโครงการอื่นๆ อีกมากมาย ที่สมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้ ได้สร้างไว้ให้กับสังคมไทย อย่างเช่น โครงการหนังสือสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นหนังสือที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดมาก และพระองค์ท่าน ทรงอาสาขอพิสูจน์อักษรด้วยพระองค์เอง ทุกตัวอักษรภาพสมัยยังเป็นพระหนุ่ม เด็กน้อยให้ความเคารพบูชา หนังสือพระนิพนธ์ ของสมเด็จพระสังฆราช สร้างคุณอเนกอนันต์ให้สังคมไทย
พระผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระสังฆราช กล่าวต่อว่า หนังสือสัมมาทิฏฐิ ซึ่งว่าด้วย วิธีการสะท้อนวิถีการดำเนินชีวิต วิถีการคิด วิถีการดำเนินพฤติกรรม จริยธรรมของคนเรา รวมไปจนกระทั่งถึงวิธีการในการบริหารจิต เพื่อค้นหาวิธีการในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างไร ซึ่งเท่าที่ได้สัมผัสมา หนังสือพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระสังฆราช จะมีความแตกต่างกว่าหนังสือเล่มอื่นๆ เพราะโดยทั่วไปเมื่อเราอ่านหนังสือเล่มใด เราก็มักจะสามารถสัมผัสได้ถึงอัตลักษณ์ของผู้เขียนนั้นๆ โดยผ่านสำนวน และวิธีการเขียนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่กับพระนิพนธ์ ของสมเด็จพระสังฆราช นั้น เราจะไม่เห็นพระองค์ท่าน แต่เราจะเห็นธรรมะที่พระองค์ท่านทรงนำเสนอ เราจะเห็นพระพุทธเจ้า เห็นข้อธรรมะในพระไตรปิฎก
โดยทุกๆ พระนิพนธ์ ที่ทรงทิ้งไว้ให้ชาวไทยจำนวนมากมายนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการถอดมาจาก เวลาพระองค์ท่านไปเทศนาสั่งสอนตามสถานที่ต่างๆ นั้น พระองค์ท่านจะรับสั่งเสมอๆ ว่า อยากฝากให้คนไทยได้ร่วมกันคิดว่า "ทำอย่างไร คำสอนดีๆ เหล่านี้ จะเป็นประโยชน์กับคนในชาติ ทำอย่างไรคำสอนดีๆ เหล่านี้ จึงจะสามารถเอามาปรับใช้ เป็นหนึ่งในตัวตนของคนไทยได้"
ซึ่งเรื่องนี้ แม้แต่ช่วงที่พระองค์ท่านประชวร ก็ยังรับสั่งถึงเสมอว่า อยากให้คนไทยได้เข้าถึงธรรมะผ่านพระนิพนธ์ต่างๆ เพราะที่ผ่านมา เวลามีผู้มาเข้าเฝ้า ก็มักจะทูลขอพระเครื่องไปบูชา ซึ่งพระองค์ท่าน ก็มักจะตรัสกลับไปเป็นการสอนสั่งเนืองๆ ว่า "หากจะเอาพระพุทธเจ้าไป ก็ควรจะเอาธรรมะไปด้วย" เสียทุกครั้ง เพราะฉะนั้น ทุกคนที่มาเข้าเฝ้าก็จะได้หนังสือธรรมะไปกล่อมเกลาจิตใจทุกคนพระองค์ทรงเป็นนักอ่าน ใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ เสียดาย คาดว่าไม่มีผู้สานต่อผลงานที่คงค้าง เหตุยากจะหาผู้สานต่องานได้
สำหรับในช่วงท้ายของพระชนมชีพ พระองค์ท่าน ทรงมีรับสั่งอะไรเป็นพิเศษถึงคนไทยหรือไม่นั้น พระ ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าวว่า ในช่วงที่ประชวรมากขึ้น กล้ามเนื้อต่างๆ ของพระองค์ก็ทรงเริ่มมีปัญหา การจะมีรับสั่งใดๆ ก็คงจะลำบาก ก็เลยไม่ทราบว่า พระองค์รับสั่งไม่ได้ หรือไม่มีรับสั่ง และโดยปกติ พระองค์ท่านก็รับสั่งน้อยอยู่แล้ว แต่เมื่อใด ที่มีการทูลถาม พระองค์ก็จะมีรับสั่งตอบ เช่น เวลาที่มีคณะแพทย์ มาเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจ ซึ่งในช่วงที่ประชวร จะมีการเจาะหลายครั้ง ทั้ง เช้า กลางวัน และเย็น คณะแพทย์ก็มักจะทูลถามว่า "เจ็บไหมกระหม่อม" พระองค์ก็จะรับสั่งกลับไปว่า "คุณก็ลองไปเจาะเองดูสิ" เท่านั้น
หรืออย่างในช่วงที่ทรงพอจะรับสั่งได้อยู่ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ทรงต้องใช้หน้ากากออกซิเจนในตอนกลางคืน เพื่อให้ออกซิเจน เข้าสู่สมองได้มากที่สุด จนทำให้พระพักตร์เป็นรอยช้ำจากการกดทับ พระองค์ท่าน ทรงแลเห็นอาตมา ที่มาเฝ้ายังไม่พักผ่อน ทั้งๆ ที่เวลาในขณะนั้น ก็ประมาณตีสองแล้ว จึงได้ถอดหน้ากากออกซิเจนออก แล้วมีรับสั่งกับอาตมา ว่า "มีอะไรหรือ มาทำอะไร ไปนอนได้แล้ว"
สำหรับงานต่างๆ ที่พระองค์ท่านได้ริเริ่มไว้ หลายๆ โครงการนั้น เชื่อว่า ก็คงได้รับการสานต่อ เว้นแต่โครงการปฏิรูปวิธีการศึกษาของพระไตรปิฎก 45 พรรษา พระพุทธเจ้าที่ยังค้างอยู่นั้น น่าจะเป็นเรื่องยากที่จะหาผู้ใดมาสานต่อ เพราะต้องใช้วิธีการคิดวิเคราะห์ในเชิงลึก และต้องใช้ทักษะขั้นสูง.ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.thairath.co.th/content/549411
|
|
|
11935
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พิษณุโลกพบรอยพระพุทธบาทในถ้ำหินงอก-ส่องแสงระยิบระยับงดงาม
|
เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:39:03 pm
|
พิษณุโลกพบรอยพระพุทธบาทในถ้ำหินงอก-ส่องแสงระยิบระยับงดงาม เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดทุ่งพระถ้ำแก้ว ม.8 ต.บ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก มีการค้นพบ รอยพระพุทธบาท และมีความสวยงามของหินงอกหินย้อย บริเวณภายในถ้ำแก้ว กระทบแสงระยิบระยับ เป็นจุดที่สนใจของนักท่องเที่ยว และพุทธศาสนิกชนชาวพุทธเป็นอย่างยิ่ง
พระครูปลัดบุญช่วย สุทธิญาโณ เจ้าอาวาสวัดทุ่งพระถ้ำแก้ว เปิดเผยว่า ตนได้มาจำวัดอยู่ที่นี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 ปัจจุบันมีพระลูกวัดรวม 5 รูป ที่วัดแห่งนี้มีบรรยากาศที่ดีมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากวัดเป็นลักษณะตั้งอยู่บนเชิงเขา ทำให้มองเห็นวิว ทิวทัศน์ บริเวณด้านล่าง โดยเฉพาะในช่วงเดือน มกราคม ของทุกปี จะเป็นช่วงที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น จึงทำให้มองเห็นเป็นทะเลหมอกมีความสวยงามอย่างยิ่ง นอกจากความสวยงามทิวทัศน์แล้ว บริเวณด้านนอกที่ถ้ำแก้ว เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ มีหลายชั้น ซึ่งถ้ำแห่งนี้มีความเชื่อสืบทอดกันมาจากรุ่นสู้รุ่น ว่ามักจะมีผู้พบเห็นคล้ายลูกแก้ว เปล่งแสงหลากสีสัน ลอยขึ้นมาจากปากถ้ำ ในช่วงคืนวันพระใหญ่ จนทำให้ชาวบ้านได้ตัดสินใจลองออกค้นหา ทำให้ทราบว่าด้านในเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ มีหลายชั้น และพบรอยพระพุทธบาทถึง 2 รอย จากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครได้พบลูกแก้วลอยอีกเลย
พระครูปลัดบุญช่วยกล่าวอีกว่า นอกจากรอยพระพุทธบาทที่ชาวบ้านค้นพบแล้ว ภายในถ้ำยังสวยงามไปด้วยหินงอกหินย้อย ซึ่งที่นี่จะแตกต่างจากถ้ำที่อื่นคือ หินงอกหินย้อยที่ค้นพบนั้น เป็นลักษณะหินปูนประกาย มีลักษณะเหมือนเกล็ดแก้ว ส่องแสงระยิบระยับเมื่อกระทบกับแสงไฟทั้งถ้ำ ซึ่งเป็นภาพที่หาชมได้ยาก ทางวัดและชาวบ้านจึงได้รวมตัวกัน ตัดหญ้า ทำทางขึ้น เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยว และประชาชนเข้ามาเที่ยวชมหินงอกหินย้อย และกราบไหว้รอยพระพุทธบาท ซึ่งระยะทางต้องเดินเท้าจากตัววัดขึ้นไปภายในถ้ำ ประมาณ 200 เมตรเท่านั้น นับว่าไม่ลำบากมากนัก ส่วนภายในถ้ำ จะมีการนำไฟส่องสว่างไปติดไว้เพื่อความปลอดภัยอีกด้วยขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1450347217
|
|
|
11938
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "เจ้าวัดบางนมโค" ไม่หนุนพนัน ยันเข้าใจผิด 'ปาโป่ง' จัดนอกวัด
|
เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:27:31 pm
|
"เจ้าวัดบางนมโค" ไม่หนุนพนัน ยันเข้าใจผิด 'ปาโป่ง' จัดนอกวัด แชร์ภาพร้านปาโป่งงานประจำปีวัดบางนมโคลอบเล่นพนัน เจ้าอาวาสยันตั้งเต๊นท์อยู่ริมถนนนอกวัด ชี้ไม่เคยสนับสนุนเล่นพนัน ปีหน้าเพิ่มความระมัดระวัง
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. นายเผอิญ ไทยสม หน.ศูนย์ข่าวเดลินิวส์ภาคกลาง จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยผู้สื่อข่าวประจำศูนย์ฯ เดินทางไปพบพระครูสุวัฒน์จริยาภรณ์ อายุ 79 ปี เจ้าอาวาสวัดบางนมโค ต.บางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา หลังจากที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการจัดงานประจำปีของทางวัดช่วงระหว่างวันที่ 11-15 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีการปาโป่ง ซึ่งเป็นการส่งเสริมการพนันทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการนำเสนอข่าวดังกล่าวอย่างมาก และสร้างความเสียหายกับวัด จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าจุดที่มีการตั้งเต็นท์ปาโป่งอยู่นอกบริเวณวัดบางนมโค ไม่ได้อยู่ในวัดแต่อย่างใด โดยพระครูสุวัฒน์จริยาภรณ์ เปิดเผยว่า การจัดงานประจำปีของทางวัดบางนมโคทุกปีมุ่งเน้นการรักษาความเป็นงานวัดดั้งเดิมเอาไว้ ที่สำคัญมีประชาชนเดินทางมากราบไหว้หลวงพ่อปานพระเกจิดังที่มีชื่อเสียงเป็นส่วนใหญ่ นั่นคือเจตนาหลักของการจัดงาน ส่วนประกอบในงานทางวัดจะมีเฉพาะร้านค้าเพื่อส่งเสริมรายได้คนในท้องถิ่น และมีการแสดงดนตรีเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น
เจ้าอาวาสเปิด เผยต่อว่า เรื่องกิจกรรมที่ส่อไปในเรื่องของการส่งเสริมการเสี่ยงโชคหรือการพนันนั้น ทางวัดไม่สนับสนุนให้เข้ามาตั้งภายในวัดเด็ดขาด ทำให้มีเจ้าของร้านปาโป่งนำเต๊นท์ไปตั้งริมถนนทางด้านนอกกำแพงวัด คนที่ไม่ชอบเรื่องการพนันหรือผ่านไปมาก็นำไปสื่อสารกันทางโซเชียล บางคนอาจจะไม่เข้าใจทำให้เกิดภาพที่ไม่ดีกับวัด ซึ่งทางวัดมีการหารือกับเจ้าคณะตำบลบางนมโค คณะกรรมการวัดในการจัดงานปีต่อไปจะต้องเพิ่มความระมัดระวังไม่ให้มีกิจกรรมที่ส่อไปในด้านการพนันมาอยู่ใกล้วัดเด็ดขาด ปัจจุบันนี้วัดบางนมโคส่งเสริมการท่องเที่ยวมีร้านอาหารริมน้ำ มีปลาหน้าวัด บรรยากาศดีอยากให้ประชาชนมาเที่ยวชม และกราบไหว้หลวงพ่อปานทุกวัน.ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/367691
|
|
|
11939
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ประชาชนแห่สักการะพระอัฐิสังฆราช
|
เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:20:33 pm
|
ประชาชนแห่สักการะพระอัฐิสังฆราช ประชาชนสักการพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราชเนืองแน่น เปิดอีก 2 วัน 18-19 ธ.ค.นี้ ขณะที่พระเจดีย์บรรจุพระอัฐิ อัญเชิญ 3 องค์ ประดิษฐานตำหนักเดิม วัดบวรฯ วัดเทวสังฆราม กาญจนบุรี วัดญาณสังวราราม ชลบุรี
เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเจ้าพนักงานเชิญพระอัฐิจากพระเมรุวัดเทพศิรินทราวาสมายังตำหนักเพ็ชร วัดเทพศิรินทราวาสแล้ว ทางวัดได้เปิดให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะพระอัฐิ ตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นไป ซึ่งมีประชาชนเป็นจำนวนมากมารอต่อแถวขึ้นสักการะพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราชอย่างต่อเนื่อง โดยประชาชนที่มาสักการะพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราช จะได้รับหนังสือบวรธรรมบพิตร และพระรูปสมเด็จพระสังฆราช เป็นที่ระลึกด้วย. พระสุทธิสารเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร กล่าวว่า พระเจดีย์บรรจุพระอัฐิทั้ง 3 องค์ ทำจากหินอ่อน ส่วนพระลองในบรรจุพระอัฐิทำจากงาช้าง โดยองค์ที่ประดิษฐานยังวัดบวรนิเวศวิหาร และวัดเทวสังฆาราม ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกที่พระองค์ทรงบรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ เป็นหินอ่อนสีน้ำตาล หรือหินอ่อนสีน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นหินอ่อนที่หายากของจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนพระเจดีย์สีขาว สร้างด้วยหินอ่อนจากต่างประเทศ จะอัญเชิญไปประดิษฐานยังวัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นวัดที่พระองค์สร้างขึ้น ส่วนพระสรีรางคาร หรือเถ้ากระดูก บรรจุในถ้ำ หรือกล่องหิน โดยพระเจดีย์บรรจุพระอัฐิ ทางวัดบวรนิเวศวิหาร จะอัญเชิญ ประดิษฐานยังตำหนักเดิม ซึ่งสถานที่เก็บพระอัฐิของอดีตเจ้าอาวาสทุกรูป ส่วนพระสรีรางคาร จะอัญเชิญประดิษฐานยังวิหารเก๋ง โดยในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ จะมีพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลบพระอัฐิและบรรจุพระสรีรางคาร สมเด็จพระสังฆราชด้วย พระสุทธิสารเมธี กล่าวต่อว่า สำหรับประชาชนที่จะมาสักการะพระอัฐิ ที่ประดิษฐานยังตำหนักเพ็ชรนั้น ทางวัดได้เปิดให้สักการะได้อีก 2 วัน คือ วันที่ 18 ธ.ค. ตลอดทั้งวัน วันที่ 19 ธ.ค. ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงก่อนเวลา 16.30 น. ซึ่งจะมีพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิ. ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/367579
|
|
|
11941
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปชช.แห่บูชา "พระรูปหล่อ-เข็มที่ระลึก-เหรียญ" พระสังฆราช เผยหมดแล้วไม่ทำเพิ่ม
|
เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:11:59 pm
|
ปชช.แห่บูชา "พระรูปหล่อ-เข็มที่ระลึก-เหรียญ" พระสังฆราช เผยหมดแล้วหมดเลยไม่ทำเพิ่ม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของการบูชาวัตถุมงคลที่ทางวัดได้จัดทำขึ้นเพื่อบูชาสักการะสมเด็จพระสังฆราชนั้น ประชาชนให้ความสนใจเช่าบูชาจำนวนมาก ด้านนางทิพวรรณ สุทานนท์ จิตอาสาบริเวณจุดจอง และบูชาพระรูปหล่อเหมือนสมเด็จพระสังฆราช กล่าวว่า ประชาชนให้ความสนใจบูชาพระรูปหล่อเหมือนจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ยังบอกไม่ได้ว่าให้บูชาไปแล้วกี่องค์ แต่เป็นจำนวนมากแน่นอน โดยจะยังนำของมาลงเรื่อยๆ จนกว่าของจะหมด อีกทั้ง รายได้จากการบูชาทั้งหมดยังเข้ามูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยไม่หักค่าใช้จ่ายอีกด้วยนายฮอง งานภคมงคล จิตอาสาอีกราย กล่าวว่า สำหรับเข็มที่ระลึกงานฉลองพระชันษา 100 ปี สมเด็จพระสังฆราช เหลือเพียง 200 กว่าชิ้นเท่านั้น หากหมดจากนี้จะไม่มีให้บูชาอีกแล้ว เนื่องจากเป็นเข็มที่ระลึกตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งคนให้ความสนใจอยากร่วมทำบุญ เพราะรายได้ทั้งหมดเข้ามูลนิธิฯ โดยไม่หักค่าใช้จ่ายด้านเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ที่ดูแลเหรียญที่ระลึกการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ กล่าวว่า ยอดผลิตเหรียญทั้งหมดจำนวน 200,000 เหรียญ ขณะนี้ใกล้จะหมดแล้ว เพราะเปิดให้บูชาตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยในวันนี้จะเปิดให้บูชาเป็นวันสุดท้ายขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450331860
|
|
|
11942
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดให้สักการะพระสรีรางคาร ที่วิหารเก๋งทุกวัน พระอัฐิ เปิดให้สักการะทุก 2 ส.ค.
|
เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:07:39 pm
|
เปิดให้สักการะพระสรีรางคาร ที่วิหารเก๋งทุกวัน พระอัฐิ เปิดให้สักการะทุก 2 ส.ค.,24ต.ค. วันที่ 17 ธันวาคม ที่เรือนรับรอง คณะเหลืองรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เปิดเผยภายหลังเจ้าพนักงานภูษามาลา เชิญพระเจดีย์ศิลาบรรจุพระอัฐิและผอบบรรจุพระสรีรางคาร(เถ้ากระดูก) จากพระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส มาประดิษฐานที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศฯ ว่า พระเจดีย์ศิลา 3 องค์ดังกล่าว จะประดิษฐาน ณ ตำหนักเดิม วัดบวรนิเวศวิหาร, วัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี และวัดเทวสังฆราราม จ.กาญจนบุรี และพระสรีรางคารจะประดิษฐานที่วิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศฯ
พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าวว่า วันนี้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าสักการะพระอัฐิ ณ พระตำหนักเพ็ชร ตั้งแต่ เวลา 09.00-20.00 น. ส่วนวันที่ 18 ธันวาคม เปิดให้สักการะเวลา 08.00-20.00 น. และวันที่ 19 ธันวาคม จะเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะพระอัฐิเป็นวันสุดท้าย ในช่วงเช้าเท่านั้น เนื่องจากในเวลา 16.30 น. มีพระราชพิธีในการพระราชกุศลพระอัฐิ(ฉลองพระอัฐิ) และอัญเชิญไปประดิษฐานยังตำหนักเดิม
ส่วนวันที่ 20 ธันวาคม เวลา 10.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในการเชิญผอบพระสรีรางคารไปประดิษฐานยังวิหารเก๋ง หลังจากนั้นประชาชนสามารถมาสักการะพระสรีรางคารที่วิหารเก๋งได้ทุกวัน ส่วนพระอัฐิ จะเปิดให้ประชาชนสักการะได้ในคราวที่เชิญพระอัฐิมาบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานที่พระอุโบสถ ในวันที่ 2 สิงหาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันทำบุญอดีตเจ้าอาวาส และวันที่ 24 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์สมเด็จพระสังฆราช ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450332831
|
|
|
11943
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ′บวรธรรมบพิตร′ ไม่พอ วัดบวรฯ เล็งพิมพ์อีกแสนเล่ม เตือนระวังมิจฉาชีพแอบก๊อปปี้
|
เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:03:17 pm
|
พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ′บวรธรรมบพิตร′ ไม่พอ วัดบวรฯ เล็งพิมพ์อีกแสนเล่ม เตือนระวังมิจฉาชีพแอบก๊อปปี้ ย่าม ′ญสส′ ขาย แอบขายหนังสือที่ระลึกราคาสูง เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่เรือนรับรอง คณะเหลืองรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เปิดเผยถึงพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ว่า จัดได้อย่างสมพระเกียรติ และนับเป็นประวัติศาสตร์ของโลก ที่มีประมุขสงฆ์ 13 ประเทศ 19 รูป เดินทางมาร่วมในพระราชพิธี และที่สำคัญขณะเคลื่อนริ้วขบวนอัญเชิญพระโกศพระศพ พุทธศาสนิกชนที่มาร่วมส่งเสด็จต่างพร้อมใจกันเดินตามขบวนจนถึงวันเทพศิรินทราวาสกว่าหมื่นคน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสมเด็จพระสังฆราชอย่างล้นหลาม จึงถือได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระของประชาชนโดยแท้
พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าวต่อว่า หนังสือที่ระลึก "บวรธรรมบพิตร ฉบับพระประวัติและฉบับประมวลพระรูป" ซึ่งทางวัดได้จัดพิมพ์แจกแก่ประชาชนที่มาร่วมถวายดอกไม้จันทน์ จำนวน 3 แสนเล่ม ปรากฏว่าไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนที่มาร่วมงาน ทางวัดจึงมีนโยบายจัดพิมพ์เพิ่มอีก 1 แสนเล่ม โดยมีญาติโยมเป็นเจ้าภาพค่าจัดพิมพ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีผู้นำย่ามที่ระลึก ปักอักษรย่อ "ญสส" ไปก๊อปปี้เพื่อจำหน่ายและแอบอ้างเป็นของวัดบวรนิเวศฯ นอกจากนี้ หนังสือที่ระลึกในงาน มีผู้นำไปขายในราคาที่สูงกว่าปกติ โดยแอบวางจำหน่ายบริเวณวัดบวรฯ ทางวัดจึงฝากแจ้งแก่ญาติโยมว่า ทางวัดไม่มีนโยบายในการจำหน่ายของที่ระลึก เพราะจัดทำเพื่อแจกผู้มาร่วมถวายดอกไม้จันทน์ในวันที่ 16 ธันวาคมเท่านั้นขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450333601
|
|
|
11948
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / วัตถุมงคล สมเด็จพระญาณสังวรฯ รุ่น 'ทีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา พ.ศ.๒๕๓๖'
|
เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:25:10 am
|
วัตถุมงคล สมเด็จพระญาณสังวรฯ รุ่น 'ทีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา พ.ศ.๒๕๓๖' พระเครื่องสรณะคนดัง เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู วัตถุมงคล รุ่น “ทีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา” พ.ศ.๒๕๓๖ จัดสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนในการสร้างวัดล้านนาญาณสังวราราม ต.ป่วงเปา อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ โดยสมนาคุณแก่ผู้ร่วมบริจาคสมทบทุนในการสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วให้สำเร็จ พร้อมทั้งเฉลิมพระเกียรติ เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญพระชันษา ๘๐ ปี ๓ ตุลาคม ๒๕๓๖
กำหนดพิธีมหาพุทธาภิเษกวันศุกร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๖ เวลา 15.00 น. ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธานในพิธี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รมว.มหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส รายนามคณาจารย์ที่นั่งปรกในพิธีมหาพุทธาภิเษก หลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ วัดธาตุมหาชัย นครพนม, พระครูฐาปนกิจสุนทร (เปิ่น) วัดบางพระ นครปฐม (ดับเทียนชัย), หลวงพ่อยิด จนฺทสุวัณโณ วัดหนองจอก ประจวบคีรีขันธ์, หลวงพ่อหลิว วัดไร่แตงทอง นครปฐม, หลวงปู่ทอง วัดสามปลื้ม กรุงเทพฯ, หลวงปู่หยอด วัดแก้วเจริญ สมุทรสงคราม, หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ พระนครศรีอยุธยา, หลวงพ่อแย้ม วัดสามง่าม นครปฐม, หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย พระนครศรีอยุธยา, หลวงพ่อเก๋ วัดแม่น้ำ สมุทรสงคราม, หลวงพ่อแคล้ว วัดบางขุนเทียนนอก กรุงเทพฯ, หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นครปฐม, พระราชปัญญาสุธี วัดโพธิ์ท่าเตียน กรุงเทพฯ
หลวงพ่อฮวด วัดดอนโพธิ์ทอง สุพรรณบุรี, หลวงพ่อลำไย วัดทุ่งลาดหญ้า กาญจนบุรี, หลวงพ่อลมูล วัดเสด็จ ปทุมธานี, หลวงปู่ทิม วัดพระขาว พระนครศรีอยุธยา, พระครูสันติสุวรรณกิจ (ดี) วัดพระรูป สุพรรณบุรี, พระภาวนาพิศาเถร (พุธ) วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา, หลวงพ่อสาย วัดขนอนใต้ พระนครศรีอยุธยา, หลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ นครปฐม
หลวงพ่ออาบ วัดอ้อมน้อย สมุทรสาคร, หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา พระนครศรีอยุธยา, พระสมุห์จรูญ ฐานิสสโร ภิกขุ วัดกันตทาราม กรุงเทพฯ, หลวงปู่วิเวียร วัดดวงแข กรุงเทพฯ, หลวงพ่ออิฏฐ์ วัดจุฬามณี สมุทรสาคร, หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดไทรน้อย ปทุมธานี, หลวงพ่อหลิว วัดไร่แตงทอง นครปฐม, หลวงพ่อสิริ วัดตาล ปทุมธานี เป็นต้น
รายการวัตถุมงคลรุ่น “ทีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา” พ.ศ.๒๕๓๖ มีดังนี้
๑.เหรียญสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ (ขนาด ๓ ซม.) ผลิตโดยกองกษาปณ์ ประกอบด้วย เนื้อทองคำ พื้นขัดเงา เนื้อทองคำ เนื้อนิกเกิล พื้นขัดเงา เนื้อเงิน และเนื้อทองแดง ๒.เหรียญพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม (ขนาด ๓ ซม.) ผลิตโดยกองกษาปณ์ ประกอบด้วย เนื้อทองคำ พื้นขัดเงา เนื้อทองคำ เนื้อนิกเกิล พื้นขัดเงา เนื้อเงิน และเนื้อทองแดง ๓.สมเด็จพระสังฆราชใบโพธิ์ ประกอบด้วย เนื้อทองคำ เนื้อเงิน และ เนื้อนวะพิเศษแก่ทอง ๔.พระปิดตาใบโพธิ์ ประกอบด้วย เนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวะพิเศษ ๕.พระนางพญาใบโพธิ์ ประกอบด้วย เนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวะพิเศษ ๖.พระสมเด็จใบโพธิ์ ประกอบด้วย เนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวะพิเศษ ๗.พระสมเด็จเนื้อผงอัญมณี ประกอบด้วย เนื้อขาวอมเหลือง เนื้อผงทับทิม เนื้อผงไพลิน พระสมเด็จเนื้อผงเกล็ดทองคำ เนื้อขาวอมเหลืองเกล็ดทองคำ เนื้อผงทับทิมเกล็ดทองคำ และเนื้อผงไพลินเกล็ดทองคำ
สำหรับความพิเศษของวัตถุมงคล รุ่นทีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา “เสี่ยกล้า” บอกว่า “ทุกองค์ทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นพระสมเด็จ เนื้อผง จะต้องมีหมายเลขกำกับองค์พระอย่างถาวร ไม่มีเว้น แม้แต่ของกรรมการที่มีไว้บูชาเอง ๑ หรือ ๒ องค์ก็ตาม (ภาพที่ลงประกอบเพียงบางส่วนเท่านั้น) สรุปคือวัตถุมงคลรุ่นนี้ทุกองค์จะต้องมีหมายเลขกำกับไว้ทุกองค์ ถ้าไม่มีก็ไม่ใช่รุ่นนี้แน่นอน”สร้างพระเพื่อสร้างวัดล้านนาญาณสังวรารามวัดล้านนาญาณสังวราราม เริ่มสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๙ โดยผู้มีจิตศรัทธาน้อมถวายที่ดิน เนื้อที่ประมาณ ๗๐ ไร่ แด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ เพื่อสร้างเป็นวัดสำหรับเป็นที่ปฏิบัติธรรมของพระภิกษุ สามเณร ผู้มุ่งศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระ โดยพระองค์ทรงรับการก่อสร้างวัดล้านนาญาณสังวรารามไว้ในพระอุปถัมภ์โดยตลอด
นอกจากนี้ยังได้รับความอุปถัมภ์ร่วมมือจากฝ่ายต่างๆ ทั้งทางราชการและพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปเป็นอย่างดี ยังผลให้การสร้างวัดเป็นไปได้ด้วยดี มีถาวรวัตถุและเสนาสนะเกิดขึ้นพอเป็นที่อาศัยเจริญสมณธรรมของพระภิกษุ สามเณรได้โดยสะดวก ในการก่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ดังกล่าว สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ โปรดให้สถาปนิกรักษารูปแบบของอาคารเป็นศิลปกรรมแบบล้านนา เพื่อรักษาเอกลักษณ์ของล้านนาเอาไว้ อย่างไรก็ดี แม้การก่อสร้างเสนาสนะต่างๆ จะก้าวหน้าไปมากแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงมีถาวรวัตถุอีกหลายอย่างที่จะต้องดำเนินการต่อไป เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ อาทิ ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเจดีย์ หอระฆัง หอกลอง ซุ้มประตู กำแพงวัด โรงเรียนพระปริยัติธรรม และมูลนิธิการศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุ สามเณร เป็นต้น
ในครั้งนั้น นายอำนวย ยศสุข เป็นประธานดำเนินการสร้างถาวรวัตถุได้กราบทูลขอประทานพระอนุญาตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ จัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นดังกล่าวหนึ่งในความภูมิใจของ “เสี่ยกล้า” “เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๖ โครงการจัดสร้างวัตถุมงคล สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ รุ่น ทีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา พ.ศ.๒๕๓๖ ถือว่าเป็นโครงการที่ใหญ่มาก นอกจากมีคนแห่จองกันอย่างล้นหลามแล้ว ได้เงินทำบุญเข้าวัด และนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ต่างๆ กว่า ๒๕ ล้านบาท”
นี้เป็นความภูมิใจของ นายกล้า เกษสุรินทร์ชัย หรือ “เสี่ยกล้า” ประธานชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องสยาม ผู้ซึ่งมีส่วนสำคัญในการจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นดังกล่าว รวมทั้งจัดพิมพ์หนังสือสารานุกรมพระล้ำค่า รุ่นฑีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา (ปี ๒๕๓๖) ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของวงการพระเครื่องเมืองไทย เมื่อ ๒๒ ปี ก่อนที่เซียนพระหลายสิบคนที่จะแจ้งเกิดในวงการพระเครื่องด้วยซ้ำ
“เสี่ยกล้า” บอกว่า วัตถุมงคลสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ รุ่น “ทีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา พ.ศ.๒๕๓๖" น่าจะถือว่าเป็นต้นแบบของการนำหมายเลขและโค้ดตอกลงไปบนองค์พระ เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีพระเครื่องรุ่นใดตอกหมายเลข ส่วนใหญ่มีแต่โค้ดเท่านั้น นอกจากนี้ยังทำสูจิบัตรบันทึกเป็นทะเบียนประวัติของวัตถุมงคลทุกองค์ว่าประจำองค์หมายเลขใด ใครเป็นเจ้าของตั้งแต่เริ่มจอง ตลอดจนถึงจำนวนการจัดสร้าง พร้อมกับแจกหนังสือสูจิบัตรให้เจ้าของพระองค์ละ ๑ เล่ม เพื่อให้เจ้าของพระรู้กันอย่างทั่วถึงว่า พระทุกหมายเลขมีเพียง ๑ เดียวในโลก
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เป็นที่รับรู้ของประชาชนทั่วๆ ไป ในการจัดพิมพ์หนังสือสารานุกรมพระล้ำค่า รุ่นฑีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา (ปี ๒๕๓๖) เสี่ยกล้ายังมอบให้วัด โรงเรียน สโมสร สมาคม ร่วมทั้งหน่วยงานที่มีห้องสมุดอีกจำนวน ๑,๘๐๐ เล่ม เพื่อเป็นมรดกทางวัฒนธรรมส่วนหนึ่งในการสืบทอดพุทธศาสนาไว้ให้ชาวพุทธนานาอารยประเทศทั่วโลกไว้อ้างอิงได้ตลอดไป โดยปัจจุบันนี้ในตลาดซื้อขายหนังสือพระเก่ามีการประกาศขายที่เล่มละ ๒,๐๐๐ บาทขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.komchadluek.net/detail/20151215/218605.html
|
|
|
11951
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รัฐบาล เป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพลประมุขสงฆ์ 19 รูป ที่ โรงแรมสุโขทัย
|
เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 08:56:51 am
|
รัฐบาล เป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพลประมุขสงฆ์ 19 รูป ที่ โรงแรมสุโขทัย เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 16 ธันวาคม ที่โรงแรมสุโขทัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรัฐบาลไทย ในการถวายภัตตาหารเพลประมุขสงฆ์ 19 รูป จาก 13 ประเทศที่มาร่วมพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เวลา 16.30 น. วันนี้ ณ พระเมรุหลวงวัดเทพศิรินทราวาส อาทิ สมเด็จพระอัคคมหาสังฆราชาธิบดีเทพวงศ์ ประเทศกัมพูชา พระอาจารย์ ดร.บุนมา สีมมาพรหม รองประธานพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว สปป.ลาว สมเด็จพระสังฆราชธรรมเสนมหาเถร ประเทศบังคลาเทศ พระธรรมาจารย์ ดร.ติช ตริ กวง รองประธานสงฆ์แห่งเวียดนาม ประเทศเวียดนาม เป็นต้น และในเวลา 14.00 น.ประมุขสงฆ์ทั้ง 19 รูป จะเดินทางออกจากโรงแรมสุโขทัย เพื่อไปร่วมพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราช
|
|
|
11953
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เผย “พระสุสาน” ของสมเด็จพระสังฆราช
|
เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 08:17:51 am
|
เผย “พระสุสาน” ของสมเด็จพระสังฆราช หลังจากเสร็จสิ้นงาน พระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราช อย่างสมพระเกียรติแล้ว ในส่วนของวัดบวรนิเวศวิหาร จะมีการอัญเชิญพระอัฐิและพระสรีรางคารของพระองค์ ไปประดิษฐานยัง “พระสุสาน” ของวัด ซึ่งเป็นประเพณีถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดมาจนถึงปัจจุบันนี้ วัดบวรนิเวศวิหาร เดิมชื่อ “วัดใหม่” สร้างในพื้นที่บริเวณทิศเหนือของพระนคร ใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาส ที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ ทรงสร้างตั้งแต่สมัยรัชการที่ 2 การสถานปนาวัดเมื่อแรกเริ่มนั้น สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ ทรงสร้างพระอุโบสถขึ้นก่อน ลักษณะเป็นอาคารจตุรมุข ซึ่งมีมุขหน้ายาว มุขข้างและมุขหลังสั้น แต่ได้ผูกพัทธสีมาเฉพาะมุขหน้าเท่านั้น โดยได้อัญเชิญหลวงพ่อโต จากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ขนานนามว่า'พระสุวรรณเขต'ที่บรรจุพระสรีรางคารสมเด็จพระสังฆราช นับตั้งแต่เริ่มตั้งขึ้น พระอารามหลวงแห่งนี้มีเจ้าอาวาสมาแล้วทั้งสิ้น 6 พระองค์/รูป โดยทรงเป็นพระสังฆราชถึง 4 พระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่10, สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 13, พระพรหมมุนีและสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19วิหารเก๋ง ครั้งเมื่อท่านเจ้าอาวาสและสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์สิ้นพระชนม์ชีพแล้ว ทางวัดบวรฯ จะมีประเพณีในการเก็บพระอัฐิและพระสรีรางคารไว้ในสุสานของวัด ซึ่งถือปฏิบัติมาตั้งแต่ท่านเจ้าอาวาสพระองค์แรก ในเรื่องนี้ ดร. พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ได้อธิบายให้กระจ่างว่า “วันอาทิตย์ที่ 20 หลังจากบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิและพระสรีรางคารแล้ว จะมีการบรรจุพระอัฐิกับบรรจุพระสรีรางคาง สำหรับพระอัฐิจะบรรจุในเจดีย์องค์เล็ก (พระโกศ) และจะอัญเชิญขึ้นไว้ที่ตำหนักเดิม เป็นที่ตั้งของพระอัฐิเจ้าอาวาสทั้งหมดของวัด ซึ่งตั้งอยู่ตำหนักเดิมด้านข้างของตำหนักเพ็ชร โดยมีที่เก็บพระอัฐิเป็นห้องๆ” “ตำหนักเดิม” เคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ในขณะที่ พระองค์ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นสถาปัตยกรรมรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่ได้รับอิทธิพลแบบยุโรป ส่วนพระสรีรางคารจะอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่ "วิหารเก๋ง" ซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศใต้ สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 4โดยมีพระราชประสงค์ให้เป็นที่สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์ของเจ้าอาวาสวัดบวรฯเป็นวิหารลักษณะทรงเก๋งจีน โปรดให้ประดับตกแต่งด้วยลวดลายอย่างจีน เขียนภาพจิตรกรรมเรื่องสามก๊กที่ผนังทั้ง 4 ด้านที่ประดิษฐานพระสรีรางคารของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สำหรับพระสรีรางคารของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช นั้น ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าวว่า “ส่วนพระสรีรางคารจะอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วิหารเก๋ง ด้านทิศใต้ ซึ่งจะมีซุ้มอยู่ ตรงนั้น บนแท่นจะมีพระพุทธชินสีห์จำลอง ซึ่งสร้างหล่อไว้ตั้งแต่เมื่อปีที่ สมเด็จพระสังฆราช ครบ 84 พรรษา โดยใต้ฐานจะเป็นที่ตั้งพระสรีรางคาร” นอกจากนี้ ภายในวิหารเก๋งยังประดิษฐานพระสรีรางคารของพระสังฆราชพระองค์อื่น อาทิ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระสรีรางคารจะอยู่ที่ฐานมุขด้านทิศตะวันออก บนฐานคือพระพุทธฑีฆายุมหามงคล หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หลวงพ่อดำ” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ส่วนพระสรีรางคารของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ จะประดิษฐานบนพระพุทธปัญญาอัคคะ และพระสรีรางคารของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ประดิษฐานในฐานพระพุทธไสยาสน์ เป็นต้น เมื่อถามถึงรับสั่งของสมเด็จพระสัฆราชเกี่ยวกับพระอัฐินั้น ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์กล่าวว่า “สมเด็จพระสังฆราชเคยรับสั่งว่า รุ่นเราอาจจะยังเคารพอยู่ พอหลายๆ ปีผ่านไปแล้วเดี๋ยวจะเป็นภาระแก่ญาติ เพราะฉะนั้น ถ้าหากไปไว้ที่วัด อยู่ในพระเจดีย์ ญาติคนไหนที่จะทำบุญก็มาทำก็ได้” อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่มีความประสงค์จะอัญเชิญพระอัฐิของสมเด็จพระสังฆราชไปบูชา อาทิ วัดเทวสังฆาราม ซึ่งเป็นวัดเดิมของท่านที่กาญจนบุรี, วัดญาณสังวรารามฯ ซึ่งเป็นวัดที่ทรงสร้างที่ชลบุรี หรือว่าแม้กระทั่งที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นสถานที่ๆ พระองค์ทรงเสด็จไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนา แม้กระทั่ง ทางคณะในนามของผู้นำชาวพุทธโลก 41 ประเทศ ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ญี่ปุ่น ซึ่งสมเด็จพระสัฆราชทรงเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรนี้ ก็ขอแบ่งอัญเชิญพระอัฐิ เพื่อที่จะไปตั้งประดิษฐาน เพื่อที่เขาจะได้ทำบุญ อย่างไรก็ตาม ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายในเรื่องนี้ว่า “ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับว่าทางกรรมการวัดจะพิจารณาอย่างไร”
ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9580000137820
|
|
|
11954
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'สมเด็จพระบรมฯ' เสด็จฯ เก็บพระอัฐิ สมเด็จพระสังฆราชฯ
|
เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 08:08:49 am
|
'สมเด็จพระบรมฯ' เสด็จฯ เก็บพระอัฐิ สมเด็จพระสังฆราชฯ 'สมเด็จพระบรมฯ' เสด็จพระราชดำเนิน เก็บพระอัฐิ สมเด็จพระสังฆราชฯ ที่พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส เพื่อไปตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ...
วันที่ 17 ธันวาคม ที่พระเมรุหลวง วัดเทพศิรินทราวาส หลังเสร็จสิ้นการถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เช้าวันนี้ มีพิธีเก็บพระอัฐิ โดยเจ้าพนักงานประมวลพระอัฐิและพระสรีรังคารถวายคลุมไว้ภายใต้ฉัตรขาว 3 ชั้น ตั้งพระสุคนธ์ ขันสรง พระเจดีย์ศิลาสำหรับบรรจุพระโกศพระอัฐิ และผอบ สำหรับบรรจุพระสรีรังคารไว้พร้อม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในการเก็บพระอัฐิ ยังพระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส
เวลา 07.00 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังพระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย สักการะพระอัฐิ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระสุหร่ายสรงพระอัฐิ ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ, พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ โดยเสด็จด้วย
ขณะนี้ ชาวพนักงานประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงทอดผ้าไตรพระสามหาบ 2 สำรับ พระสงฆ์สดับปกรณ์แล้ว ทรงเก็บอัฐิ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประดิษฐานในพระเจดีย์ศิลา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญไปประดิษฐาน บนโต๊ะหมู่บูชา ในพลับพลาอิศริยาภรณ์ แล้วสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินตามพระอัฐิขึ้นประทับ ณ พลับพลาอิศริยาภรณ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย ถวายสักการะพระอัฐิ แล้วถวายพัดรองที่ระลึกงานพระเมรุ และทรงประเคนสำรับภัตตาหาร
เจ้าพนักงานภูษามาลา เชิญพระเจดีย์ศิลาบรรจุและอัฐิ และผอบพระสรีรังคาร ขึ้นรถพระประเทียบ ไปประดิษฐานยังตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหารพระสงฆ์รับพระราชทานฉันเสร็จ ถวายตู้สังเค็ดแด่พระสงฆ์สามหาบ พระสงฆ์สามหาบ ถวายอนุโมทนา ถวายดิเรก ลงจากพลับพลาอิศริยาภรณ์ เจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์อีก 10 รูป ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ถวายพัดรองที่ระลึกงานพระเมรุ พระสงฆ์สวดมาติกา แล้วทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายดิเรก
เจ้าพนักงานภูษามาลา เชิญพระเจดีย์ศิลาบรรจุและอัฐิ และผอบพระสรีรังคาร ขึ้นรถยนต์พระประเทียบ เคลื่อนออกจากสุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาส มุ่งหน้าไปประดิษฐานยังตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร
เมื่อเวลา 08.15 น. หลังเสร็จพิธีเก็บพระอัฐิ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินกลับเวลา 08.20 น. พระเจดีย์ศิลาบรรจุพระอัฐิ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ถึงยังตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีพระสงฆ์ร่วมสักการะ ทั้งนี้ จะมีพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิ และบรรจุพระสรีรังคาร ในวันที่ 19 ธันวาคม 2558 และ 20 ธันวาคม 2558ขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/550215
|
|
|
11955
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สลด! หลวงตาชราภาพ หลงลืมเดินออกจากกุฏิ ตกฝายข้างวัดมรณภาพ
|
เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 08:05:36 am
|
สลด! หลวงตาชราภาพ หลงลืมเดินออกจากกุฏิ ตกฝายข้างวัดมรณภาพ หลวงตาวัยชรา หลงๆ ลืมๆ ตามประสาคนแก่ เข้านอนจำวัดตั้งแต่หัวค่ำ พอรุ่งเช้าหายออกไปจากกุฏิ พระร่วมวัดกับชาวบ้านช่วยกันออกตามหา พบเป็นศพลอยอยู่กลางหนองน้ำข้างวัด คาดลุกเดินออกมาด้วยอาการหลงลืม...
เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 16 ธ.ค. ร.ต.อ.นิรันดร์ ปัสสาโท ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองหนองบัวลำภู ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ว่ามีเหตุพระภิกษุจมน้ำมรณภาพ ที่ หนองน้ำฝายขอนม่วง ข้างวัดศิลามงคล หมู่ 10 บ้านหินลับ ต.หนองสวรรค์ อ.เมืองหนองบัวลำภู จึงได้แจ้งแพทย์เวร รพ.หนองบัวลำภู และกู้ภัยนเรศวร ไปร่วมชันสูตรศพ
ที่เกิดเหตุพบว่าชาวบ้านได้ช่วยกันนำศพพระขึ้นจากหนองน้ำ มาไว้ที่หน้ากุฏิ ในวัดศิลามงคล ทราบชื่อผู้เสียชีวิต คือ พระสุภี ขันติธโร อายุ 78 ปี ได้มาจำพรรษา เป็นพระลูกวัดศิลามงคล เมื่อก่อนเข้าพรรษาปีที่ผ่านมา มีอาการหลงๆ ลืมๆ ตามประสาคนแก่ ทำอะไรโดยไม่รู้ตัวภาพหนองน้ำที่พระภิกษุจมน้ำมรณภาพ สอบถาม พระสุบิน พระลูกวัดที่พักอยู่กุฏิเดียวกัน บอกว่าหลวงตาสุภี ได้เข้านอนจำวัดตั้งแต่เวลา 20.00 น.คืนวันที่ 15 ธ.ค. ต่อมาเวลา 03.00 น. ตนตื่นขึ้นมาทำวัตร ไม่พบพระสุภี และประตูกุฏิก็ยังล็อกใส่กลอนอยู่ แต่หน้าต่างเปิด สงสัยว่าพระสุภีผู้ตาย จะออกจากกุฏิไปทางหน้าต่าง จึงออกตามหาในบริเวณวัดก็ไม่พบ จึงโทรศัพท์แจ้ง นายสุดสาคร บุดดาวงศ์ อายุ 44 ปี ลูกชายของพระสุภี และชาวบ้านช่วยตามหา จนต่อมาเวลา 06.30 น. นายสุดสาคร ลูกชาย ได้พบร่างพระสุภี ลอยอยู่กลางหนองน้ำฝายขอนม่วง ห่างจากฝั่งเกือบ 30 เมตร โดยหนองน้ำฝายขอนม่วงแห่งนี้มีขนาดใหญ่ และลึก อยู่ใกล้กับกุฏิของพระสุภี ไม่มีรั้วกั้น นายสุดสาคร ลูกชาย จึงได้ลงไปนำร่างพระสุภี ขึ้นจากหนองน้ำ และพบว่าได้มรณภาพแล้ว
จากการชันสูตรศพ คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง ตามร่างกายไม่มีร่องรอยบาดแผล หรือร่องรอยจากการถูกทำร้าย คาดว่าพระสุภี ซึ่งมีอาการหลงลืม และอยู่ในวัยชรา เดินออกจากกุฏิมาทางหนองน้ำแล้วพลัดตกลงไปจมน้ำมรณภาพ ซึ่งญาติไม่ติดใจสาเหตุการตาย พนักงานสอบสวนจึงได้มอบศพไปจัดการตามประเพณีต่อไป.
ขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/549825
|
|
|
11956
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นครวัดโบราณ กว้างใหญ่ไพศาล
|
เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 08:03:14 am
|
นครวัดโบราณ กว้างใหญ่ไพศาล นักโบราณคดีผู้มีชื่อเสียงของออสเตรเลียได้นำความมาเปิดเผยว่า อาณาจักรพระนครวัดที่อยู่ในกัมพูชา จริงๆนั้นมีอาณาเขตใหญ่โตและซับซ้อนยิ่งกว่าที่เชื่อกันมาก หลังจากที่เขาเองกับคณะได้ขุดพบปราสาทและซากของสิ่งก่อสร้างกองพะเนินเทินทึกอยู่ใกล้ๆกับนครวัด ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นปูชนียสถานใหญ่มโหฬารที่สุดของโลก
คณะนักโบราณคดีของศาสตราจารย์ โรแลนด์ เฟรชเชอร์ ได้พบในการสำรวจว่า นครวัดประกอบด้วยอาคารสถานที่ซับซ้อนและกว้างขวางใหญ่โตกว่าที่เชื่อกัน และยังมีการสร้างสิ่งก่อสร้างอันใหญ่โตมหึมาปิดกั้นอยู่ทางด้านใต้ด้วย สิ่งก่อสร้างนั้นมีขนาดกว้างขวางขนาดยาว 1,500 เมตร และกว้าง 600 เมตร
พวกเขายังพบว่า ในเขตนครวัดเองยังเต็มไปด้วยอาคารเรือนโรงที่อยู่ติดต่อกันหลายหลัง และได้ปรักหักพังลงระหว่างการสร้างปราสาทหลังใหญ่ ซากปรักหักพังนั้น เชื่อกันว่าอาจเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นระหว่างการก่อสร้างขณะนั้น อาจารย์เฟรชเชอร์กล่าวว่า “การค้นพบทำให้เราได้เข้าใจในระดับชั้นของสังคมในสมัยนั้น และแสดงให้เห็นว่าวัด วาอารามซึ่งมีขอบเขตด้วยกำแพงและคูน้ำไม่ใช่เป็นที่อยู่อาศัยเฉพาะแต่นักบวชและชนชั้นสูงเท่านั้น”.ขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/549391
|
|
|
|