ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 297 298 [299] 300 301 ... 706
11921  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดบวรฯยังไม่สรุป"ต้นไม้สวน"ประดับตกแต่งพระเมรุ วัดเทพศิรินทร์ รอสมเด็จพระวันรัต เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 08:19:59 pm

สวนบริเวณรอบพระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส

วัดบวรฯยังไม่สรุป"ต้นไม้-สวน"ประดับตกแต่งพระเมรุ วัดเทพศิรินทร์ รอสมเด็จพระวันรัต

พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เปิดเผยว่า สำหรับต้นไม้ และดอกไม้ที่ใช้ประดับตกแต่งบริเวณโดยรอบพระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งขณะนี้มีผู้สอบถามมากว่าจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมถึงเมื่อไหร่ หรือต้นไม้ และดอกไม้ประดับต่างๆ จะแจกจ่ายให้ประชาชนหรือไม่นั้น

ขณะนี้อยู่ระหว่างให้เจ้าหน้าที่สำรวจจำนวนต้นไม้ และดอกไม้ต่างๆ อาทิ ต้นดอกชวนชมที่ใส่กระถางจากรึกอักษรย่อ ญสส.และต้นดอกดาวเรือง เพื่อรายงานมายังสมเด็จพระวันรัต รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะดำเนินการใดๆ กับต้นไม้ และดอกไม้ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพบว่าต้นดาวเรืองบางส่วนหายไป



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450433468
11922  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: 'สมเด็จพระบรมฯ' เสด็จฯ เก็บพระอัฐิ สมเด็จพระสังฆราชฯ เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 11:00:08 am





ขอบคุณภาพจากเฟซบุ้ค กสิณ ถาวรวรรณ์
https://www.facebook.com/kasinta?fref=ts
11923  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำบุญเสริมดวง ให้ความรักสดใส เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 10:43:58 am


ทำบุญเสริมดวง ให้ความรักสดใส

คู่รักที่อยากสมหวังในความรักแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี....วันนี้เรามีเคล็ดลับเสริมดวงความรักง่ายๆ มาฝากกัน ถ้าอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไร มาดูพร้อมๆ กันเลย

อันดับแรก...ตั้งสมาธิให้มั่นขณะอธิษฐานจิต
ก่อนจะอธิษฐานจิตอยากให้คุณตั้งสมาธิให้มั่น แล้วค่อยๆอธิษฐานอย่างที่ต้องการ ซึ่งหลังจากอธิษฐานแล้วก็อย่าเพิ่งสมาธิแตกซ่านนะคะ ให้คุณตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ด้วยว่า คุณขอความรักแบบไหน จงทำตัวแบบนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครชอบคนเลว คนเห็นแก่ตัว คนเจ้าชู้ ฉะนั้นให้คุณตั้งปณิธานกับตัวเองว่า ไม่ชอบคนแบบไหนจงอย่าทำตัวแบบนั้น อยากเจอความรักที่ดี ความรักที่ซื่อสัตย์

ที่สำคัญคือเราเองก็ต้องไม่ทำตัวเจ้าชู้ อยากเจอคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เราเองก็ต้องทำตัวให้น่าเข้าใกล้ อยู่กับใครคนๆ นั้นก็สบายใจ เพราะกฎแห่งแรงดึงดูดบอกเอาไว้ว่า สิ่งเดียวกันย่อมดึงดูดสิ่งเดียวกันมาหากันเสมอ เมื่ออธิษฐานไปแล้วอยากได้คนรักแบบไหน จงทำตัวแบบนั้นค่ะ


อันดับต่อมา...ทำทานด้วยใจที่พร้อม
การทำทานอย่าสักแต่ว่าให้ของไปแล้วจบ เวลาที่คุณทำทานใจคุณต้องสำรวมและพร้อมที่จะทำใจให้เป็นกุศลด้วยค่ะ ใจที่สงบ ใจที่มีแต่การให้ เท่ากับว่ากิเลสความอยากได้อยากมี กิเลสของการยึดติดได้อันตรธานไปแล้วเช่นกัน เมื่อใจที่เปี่ยมไปด้วยการให้เกิดขึ้น กระแสแห่งความเมตตา ความดีจะปรากฏ กลายเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใครต่อใครให้อยากเข้าใกล้คุณ เพราะเมื่อคุณพร้อมในการให้ทาน แน่นอนว่าคุณก็พร้อมที่จะให้ความรักด้วยเช่นกัน กระแสนี้จะดึงดูดทำให้ใครๆ ก็อยากจะเข้าใกล้ อยากจะรู้จักคุณค่ะ



อันดับสุดท้าย...ปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจัง
อย่าเพิ่งส่ายหน้าให้กับข้อนี้เด็ดขาด เพราะถือเป็นข้อที่สำคัญที่สุด เพราะว่าเมื่อเราปฏิบัติธรรมโดยการนั่งภาวนาหรือพูดง่ายๆ ว่านั่งสมาธิอย่าง จริงๆ จังๆ ใจของเราจะเห็นถึงความไม่เที่ยงที่เกิดขึ้น ใจของเราจะได้พิจารณาอารมณ์ของเราแล้วก็จะเห็นความไม่แน่นอน เริ่มปล่อยวาง ไม่ยึดติด ไม่มีความหึงหวง ไม่มีความระแวงใดๆ พร้อมที่จะให้อิสระกับคนที่จะเข้ามาในชีวิต

แน่นอนว่าใครก็อยากเข้ามาเพราะความสัมพันธ์ที่เบาสบายไม่ชวนอึดอัด และเมื่อคุณให้อิสระกับเขา ไม่ยึดติด หึงหวง จะกลับกลายเป็นว่าเขาจะไม่อยากห่างคุณไปได้ เพราะคนดีๆ ที่คิดได้แบบคุณหาไม่ง่ายเลยจริงไหม


ลองนำเคล็ดลับทั้ง 3 ข้อไปปฏิบัติ แล้วคุณจะรู้ว่ารักแท้อยู่ไม่ไกลคุณ

ที่มา http://horoscope.sanook.com/86565/
11924  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พบไทยไร้ "เสรีภาพ" บนอินเทอร์เน็ต เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 09:21:14 am


พบไทยไร้ "เสรีภาพ" บนอินเทอร์เน็ต

เครือข่ายพลเมืองเน็ตแสดงจุดยืนย้ำกด "ไลค์" ไม่เข้าข่ายผิดกฎหมายอาญา

เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่โรงแรมวินเซอร์ มูลนิธิเพื่ออินเทอร์เน็ต และวัฒนธรรมพลเมือง แถลงข่าวเสรีภาพบนอินเทอร์เน็ต ประจำปี 2558 จากรายงาน Freedom on the net 2015, เเละรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เสนอต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนเเห่งสหประชาชาติ พบว่าประเทศไทยจัดอยู่ในสถานะไม่มีเสรีภาพ ได้ 63 คะแนน จาก 100 คะแนน ซึ่งยิ่งใกล้ 100 หมายความว่าเสรีภาพน้อยที่สุด  โดยอุปสรรคในการเข้าถึงได้ 9 คะแนน จาก 25 คะแนน การจำกัดเนื้อหา 22 คะแนน จาก 35 คะแนน และการละเมิดสิทธิผู้ใช้อินเทอร์เน็ต จากแย่ที่สุด 40 คะแนน ไทยได้ 32 คะแนน


 :96: :96: :96: :96:

นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล กรรมการมูลนิธิเพื่ออินเทอร์เน็ตและวัฒนธรรมพลเมือง เปิดเผยว่า หลังการรัฐประหาร  22 พ.ค. 2557 พบว่ามีการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ควบคู่กับ การดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา มาตรา 116 หรือ “ยุยงปลุกปั่น” รวมถึง การดำเนินคดี ฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ฯ ตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นจำนวนมาก โดยในปีนี้ถือว่าลำดับเสรีภาพอินเทอร์เน็ตต่ำที่สุด

 :41: :41: :41: :41:

นอกจากนี้ เครือข่ายพลเมืองเน็ต ยังได้ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้รัฐบาลเลิกดำเนินคดีต่อการกดปุ่ม “ไลค์” บนเฟซบุ๊ก และยืนยันว่าไม่ใช่การเข้าข่ายยั่วยุปลุกปั่น ตามมาตรา 116 หรือเข้าข่ายกฎหมายอาญามาตรา 112  เพราะไม่ใช่การเผยแพร่ หรือการสนับสนุนข้อความ โดยการสนับสนุนต้องเกิดขึ้น ก่อนหรือเกิดขึ้นขณะที่กระทำความผิด และผู้สนับสนุนต้องมีการกระทำบางอย่างที่ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก

นอกจากนี้ ผู้กดไลค์ไม่มีอำนาจในการควบคุมเนื้อหา และข้อความต้นทางยังสามารถถูกแก้ไขโดยต้นทาง ขณะเดียวกัน ยังได้เรียกร้องให้ระงับใช้มาตรา 14 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในการฟ้องร้องในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความคิดเห็น หรือแสดงออกทุกกรณี


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.posttoday.com/digital/405416
11925  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตะลึง คลิปหนุ่มหน้ารูปปั้นเจ้าพ่อขุนตาน เชื่อประทับร่างจริง ตำหนิคนกระทำลบหลู่ เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 09:17:35 am


ลำปางตะลึงคลิปหนุ่มหน้ารูปปั้นเจ้าพ่อขุนตาน เชื่อประทับร่างจริง ตำหนิคนกระทำลบหลู่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ประชาชนชาว จ.ลำปาง โดยเฉพาะชาว อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง กำลังติดตาม และให้ความสนใจคลิปภาพเคลื่อนไหวที่มีผู้ใช้ชื่อเฟซบุ๊ก “Antny Waratcharya” ที่นำคลิปภาพเคลื่อนไหวจำนวน 2 ภาพ ซึ่งเป็นภาพเรื่องราวที่ต่อเนื่องกันลงในห้องกลุ่ม Hangchat City ซึ่งเป็นกลุ่มสมาชิกของผู้ใช้เฟซบุ๊กประชาชนชาว อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง โดยเป็นพื้นที่ที่อยู่ติดเขาอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล และเป็นพื้นที่ติด อ.แม่ทา และ อ.ท่าปลาดุก จ.ลำพูน ซึ่งผู้ใช้ชื่อเฟซบุ๊ก “Antny Waratcharya” ได้โพสต์ภาพเคลื่อนไหว และเขียนข้อความว่า “ความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ อยากรู้ว่าชาวห้างฉัตรคิดยังไง???” และเมื่อผู้ติดตามเข้าไปกดชมภาพดังกล่าวดู หลายคนมีความเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง และตะลึงถึงบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาว อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง มีความเชื่อ และเคารพนับถือมานานหลายชั่วอายุคน

 ในภาพเป็นชายผิวคล้ำ สวมเสื้อสีเขียว กางเกงขายาวสีดำ ได้เดินไปมา ทำใบหน้าเคร่งขรึมและพูดจาเสียงดัง โดยได้เดินอยู่หน้าอนุสาวรีย์เจ้าพ่อขุนตาน ที่เป็นอนุสาวรีย์ทรงประทับม้าศึก ซึ่งอนุสาวรีย์แห่งนี้ ประดิษฐานอยู่ภายในอุทยานประวัติศาสตร์เจ้าพ่อขุนตาน ต.เวียงตาล อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง โดยตั้งอยู่บริเวณเส้นทางเข้าบ้านห้วยเรียน และอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล ต.เวียงตาล อ.ห้างฉัตร ซึ่งสิ่งที่ประชาชนชาวลำปาง และชาวห้างฉัตร เชื่อและเคารพต่อสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวนั้น คือ คำพูดของชายคนดังกล่าว ที่พูดจาคล้ายกับคำพูดของคนในอดีต และได้กล่าวตำหนิต่อบางสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ขณะนี้ มีคนงานเข้าไปปรับภูมิทัศน์ และเทพื้นคอนกรีตรอบที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์เจ้าพ่อขุนตาน


 :91: :91: :91: :91:

โดยคลิปภาพแรกของชายที่เดินไปมา และพูดจาเสียงดัง จับใจความได้ว่า “ผ่านมา 700 กว่าปี ที่รักษาไว้ แต่มีคนมาทำบ้านกูฉิบหาย ซึ่ง 700 กว่าปีมาแล้ว นี่คือบ้านเมืองของกู อนุสาวรีย์ของกูมีทั่วไป แต่ที่นี้เป็นที่สู้รบของกู บ้านเมืองนี้กูสร้างมาให้ลูกหลาน แต่พวกเจ้าต้องมีกิริยาที่ดี เพราะบริวารกูไม่ได้ดีทุกตัวตน ถ้าเจออะไรของกูขึ้นมา อย่าได้เก็บไปเด็ดขาด ถ้าเก็บของกูไปแล้ว ต้องเอาชีวิตมาแทน เพราะกูเอามาหลายชีวิตมนุษย์แล้ว สำเร็จเสร็จดีเมื่อใด พวกเจ้าจะต้องทำตามที่กูบอก ให้บริวารกูได้กิน เมื่อก่อนนี้บริเวณนี้ไม่ใช่แบบนี้ กูต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ลูกหลานได้อยู่ดีสบาย หากพวกเจ้ารู้บุญรู้คุณ และมาจากต่างอื่นต่างแดนใดจะต้องสำรวมกายอินทรีย์ไว้ วาจาจะต้องดีที่สุด”

ส่วนคลิปภาพที่สองนั้น เป็นคลิปภาพที่ต่อเนื่องจากภาพแรก จับใจความได้ว่า “กูอยากมา กูก็มาได้ เพราะนี่คือร่างทรงของกู พวกเจ้าทำสำเร็จดีเมื่อใด ทำตามที่กูว่าไว้นั้น บริวารกูจะได้กิน พวกเจ้าก็จะอยู่ดีสบาย และมีโชคมีชัย” ทั้งนี้ หลังจากที่พูดเสร็จ ชายในภาพก็ได้เดินเอามือไพล่หลังแล้วใช้มือขวาแตะฐานอนุสาวรีย์ ก่อนที่ร่างชายคนดังกล่าวจะล้มลงนอนหงายกับพื้น

 :41: :41: :41: :41:

โดยจากภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลายคนมีความเชื่อว่าน่าจะเป็นวิญญาณของเจ้าพ่อขุนตาน ที่ทรงประทับร่างทรงในร่างชายคนดังกล่าว โดยได้ออกมาตำหนิถึงพฤติกรรมของคนงานก่อสร้าง ที่กำลังปรับภูมิทัศน์ภายในสถานที่ดังกล่าว ว่าอาจจะพูดจาลบหลู่ หรือพูดไม่สุภาพ ทำให้องค์ท่านได้ประทับร่างทรงลงมาตำหนิ และให้นำเครื่องสักการะมาขอขมา ไม่เช่นนั้นบริวารขององค์ท่านอาจจะไม่พอใจ

ด้านนายนิวัฒน์ ปาละมา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเวียงตาล อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง เปิดเผยว่า อนุสาวรีย์ของเจ้าพ่อขุนตานแห่งนี้ พึ่งบูรณะส่วนองค์หล่อ และได้มีพิธีบวงสรวงไปเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา โดยมีประชาชนชาว อ.ห้างฉัตร เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก เนื่องจากองค์ท่านเป็นที่เคารพ และสักการะ ตลอดจนนับถือมานานหลายชั่วอายุคน ซึ่งนอกจากอนุสาวรีย์ขององค์ท่านที่อยู่แห่งนี้แล้ว บริเวณยอดเขาดอยขุนตาน เส้นทางลำปาง-ลำปาง-เชียงใหม่ ก็มีศาลเจ้าพ่อขุนตาน ตั้งอยู่ ประชาชนทั่วประเทศที่ขับรถผ่านไปมาบริเวณนั้นก็จะมีการบีบแตร เพื่อเป็นการบอกกล่าวถึงความเคารพ และสักการะ จึงเป็นที่สักการะอย่างมากของประชาชนโดยทั่วไป


 :96: :96: :96: :96:

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ตน และประชาชนในพื้นที่หลายคนมีความเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ที่องค์ท่านได้ออกมาตำหนิต่อสิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาชาว อ.ห้างฉัตร เชื่อว่าอุทยานประวัติศาสตร์แห่งนี้ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นสถานที่สู้รบปกป้องเมืองเก่าที่อยู่บริเวณนี้ ทำให้เป็นสถานที่จัดพิธีบวงสรวง เพื่อให้ประชาชนได้เคารพ และสักการะเป็นประจำทุกปี กระทั่งมาเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว”

ทั้งนี้ ประวัติเจ้าพ่อขุนตาน มีพระนามว่า "พญาเบิก" เป็นเจ้าเมืองเขลางค์นคร (ลำปาง) และเจ้าเมืองเวียงตานใน อ.ห้างฉัตร เป็นราชบุตรของพญายีบาเจ้านครหริภุญชัย (ลำพูน) ในราชวงศ์แห่งจามเทวี โดยในปี พ.ศ.1814 ครั้งพญายีบาเป็นเจ้าครองนครหริภุญชัย (ลำพูน) ก็ได้ให้พญาเบิก ราชบุตรในฐานะยุพราชไปครองเมืองเขลางค์นคร (ลำปาง) จนกระทั่งปี พ.ศ.183 กองทัพพญาเม็งราย เจ้าเมืองเชียงราย และเจ้าเมืองฝางได้ยกไพร่พลมาตีเมืองหริภุญชัย (ลำพูน) และยึดเมืองหริภุญชัยได้ พญายีบาจึงเสด็จหนีไปพึ่งพญาเบิก ผู้เป็นราชบุตรที่เมืองเขลางค์นคร

 :97: :97: :97: :97:

ทำให้พญาเบิกเข้าเมืองเขลางค์นคร สะสมไพร่พล เพื่อความมั่นคงของเมืองเขลางค์นคร จึงไปสร้างเมืองต้านศึกในบริเวณพื้นที่แห่งหนึ่งในเขต อ.ห้างฉัตร ใกล้กับทิวเขาใหญ่ หรือดอยขุนตานในปัจจุบัน ต่อมาก็มีการขนานนามว่า "เวียงต้าน" (เวียงตาลในปัจจุบัน) ส่วนทิวเขาใหญ่กั้นระหว่างลำปาง และลำพูน ซึ่งเป็นแนววางกำลังไพร่พลตีสกัดทัพพญาเม็งราย ต่อมาเรียกว่า ดอยขุนต้าน (ดอยขุนตาลในปัจจุบัน)

การสู้รบที่เมืองต้นศึก และตามแนวทิวเขาขุนตานเป็นการสู้รบอย่างหนัก ในที่สุดก็พ่ายแพ้ทัพพญาเม็งรายถอยร่นมาติดหล่มหนองใหญ่แห่งหนึ่ง ปัจจุบัน คือ บ้านหนองหล่ม และแพ้อย่างสิ้นเชิงที่ตำบลเนินทุ่งแห่งหนึ่ง ปัจจุบันก็คือ บ้านหลิ่งก้าน ในตำบลหนองหล่ม อำเภอห้างฉัตร นั่นเอง โดยศึกในการปกป้องบ้านเมืองในครั้งนี้ พญาเบิกเป็นยอดนักรบ ที่ทรงเสียสละพระชนม์ชีพในการศึก จึงทำให้ได้รับการเทิดทูนพระประวัติของพญาเบิก เป็นที่รู้จักในนามเจ้าพ่อขุนตาน มาจนถึงทุกวันนี้ และทุกวันที่  12 พฤษภาคมของทุกปี ก็จะมีพิธีบวงสรวง และสักการะพระองค์ท่าน เพื่อเป็นเกียรติประวัติสืบไป


ชมคลิปได้ที่
https://youtu.be/RjT_Gkas7zo
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450255575
11926  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สุสานโบราณ 131 ศพ เจาะช่องใส่โลงที่หน้าผาใกล้เขื่อนสามโตรก เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 09:13:18 am

หน้าผาสูงอันเป็นที่ตั้งของโลงศพโบราณ บริเวณเขื่อนสามโตรก มณฑลหูเป่ย (ภาพ พีเพิล เดลี)


สุสานโบราณ 131 ศพ เจาะช่องใส่โลงที่หน้าผาใกล้เขื่อนสามโตรก

เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - พบโลงศพโบราณนับร้อย ค้างอยู่กับหน้าผาสูงลิ่วเหนือเขื่อนสามโตรกอย่างลี้ลับ บ้างก็ว่า เป็นพิธีกรรมของชนท้องถิ่นในอดีต บ้างก็ว่า ทอดร่างไว้กับโลงอย่างนั้นก็เพื่อหนีจากสัตว์ร้าย ไม่ให้มากัดกินซากศพ
       
       จากรายงานของสำนักข่าว ทรี กอร์เจส บิสซิเนส นิวส์ (Three Gorges Business News) เมื่อวันจันทร์ (14 ธ.ค.) โลงศพเหล่านี้เป็นโลงไม้ นับได้ทั้งหมด 131 โลง วางอยู่ในช่อง ซึ่งเจาะเข้าไปในหน้าผา เป็นช่องสี่เหลี่ยม เรียงรายอยู่หลายช่อง หน้าผาบนภูเขานั้นมีความสูง 100 เมตร หันหน้าสู่แม่น้ำ ตั้งอยู่ในมณฑลหูเป่ย ในเขตจื่อกุย อันเป็นท้องถิ่นห่างไกลผู้คน
       
       นักโบราณคดีระบุว่า โลงศพทั้งหมดนี้สร้างขึ้นเมื่อสมัย 1,200 ปีก่อนในยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) บางทีอาจเป็นของพวกปั๋ว ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในสมัยโบราณ ซึ่งอาศัยอยู่ในแถบตอนใต้ของจีนก็ได้
       
       ทว่ายังไม่มีใครอธิบายได้ว่า โลงทั้งหมดถูกขนขึ้นไปบนหน้าผา ที่สูงชันนี้ได้อย่างไรกัน     
       รายงานของสำนักข่าวมิได้ระบุด้วยว่า ใครกัน ที่เป็นผู้ไปเจอโลงโบราณมากมาย และไปเจอเมื่อไหร่



        ขนบธรรมเนียมการฝังศพในลักษณะประหลาดผิดธรรมดาเช่นนี้ คนสมัยโบราณทำก็เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่ามากัดทึ้งศพ และยังเชื่อด้วยว่า จะทำให้ดวงวิญญาณไปสู่สุขคติ
       
       การห้อยโลงศพไว้ที่หน้าผา บางโลงวางอยู่กับเสาไม้ตอกติดหน้าผา เคยมีการค้นพบมาแล้วในหลายมณฑลทางภาคใต้ของจีนได้แก่ หยุนหนัน เสฉวน เจียงซี และฝูเจี้ยน
       
       ที่ผ่านมา สื่อมวลชนแผ่นดินใหญ่ยังรายงานด้วยว่า เคยมีคนเห็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนไปเซ่นไหว้ตามสถานที่เหล่านี้ เพราะการออกเสียงคำว่า "โลงแขวน" (hanging coffin) หรือ "สวนกวน" ในภาษาจีนนั้น มีเสียงคล้ายกับคำว่า “ เลื่อนตำแหน่ง”

       

       สำหรับเขื่อนสามโตรกนั้น เป็นเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำขนาดมหึมาที่สุดในโลก โดยสร้างกั้นขวางแม่น้ำแยงซี เริ่มก่อสร้างเมื่อปีพ.ศ. 2537 โดยใช้งบประมาณก่อสร้างมากกว่า 248,000 ล้านหยวน
       
       อภิมหาโครงการก่อสร้างเขื่อนแห่งนี้ทำให้ชาวบ้านต้องโยกย้ายถิ่นฐานไม่ต่ำกว่า 1,240,000 คน และเกิดอ่างเก็บน้ำ ซึ่งมีระยะทางยาว 600 กิโลเมตร ท่วมทับแหล่งโบราณคดีมากถึงราว 1,300 แห่ง รวมทั้งบริเวณทีคนโบราณห้อยโลงไว้กับหน้าผาบางแห่งด้วย

       

       
       

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9580000138116
11927  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / น่าทึ่ง! พบโครงสร้างปริศนา ใต้อาณาบริเวณ"นครวัด" เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 09:07:18 am


น่าทึ่ง! พบโครงสร้างปริศนา ใต้อาณาบริเวณ"นครวัด"

การสำรวจนครวัดและอาณาบริเวณโดยรอบครั้งล่าสุดด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ส่งผลให้มีการค้นพบหลายสิ่งหลายอย่างเพิ่มขึ้นอีกมากมาย รวมทั้งโครงสร้างปริศนา ที่นักโบราณคดียังไม่แน่ใจนักว่ามีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อะไร รวมทั้งซากสิ่งปลูกสร้างใต้ดินที่เชื่อว่าเคยเป็นหอสูงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการก่อสร้างวิหารนครวัด

นครวัดเป็นวิหารฮินดูสร้างขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่12โดยพระเจ้าสุริยะวรมันที่2โปรดฯให้สร้างขึ้นเพื่อถวายปฏิบัติบูชาแด่องค์วิษณุเทพ โครงสร้างหลักของนครวัดคือ วิหารกลางสูง 65 เมตร รายล้อมโดยรอบด้วยหอต่างๆ และกำแพงปิดล้อมหลายชั้น ผังการก่อสร้างเป็นการสื่อถึง "เขาพระสุเมร" ที่มี "ทะเลกษีรธารา" (ทะเลน้ำนม) รายล้อมอยู่โดยรอบตามคติฮินดู


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

การค้นพบใหม่นี้เผยแพร่ผ่านข้อเขียนของ โรลันด์ แฟลทเชอร์ ศาสตราจารย์ด้านโบราณคดี ของมหาวิทยาลัยแห่งซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และดาเมียน อีแวนส์ นักวิจัยด้านโบราณคดีจาก เอกอล ฟรองเซส์ เด๊กตรีม ออคริยองต์ ซึ่งเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ และแอนติควิตี วารสารวิชาการด้านโบราณคดีประจำเดือนธันวาคมนี้

    โครงสร้างขนาดใหญ่ ยาวถึงกว่า 1.5 กิโลเมตร กว้าง 600 เมตร ออกแบบวนขดเป็นเกลียวทรงสี่เหลี่ยม ดังกล่าวนี้ แฟลทเชอร์ระบุว่า ถือเป็นการค้นพบที่น่าทึ่งที่สุดที่เกี่ยวเนื่องกับนครวัดเท่าที่มีมาจนถึงเวลานี้ และยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าโครงสร้างนี้ทำหน้าที่อะไร เนื่องจากไม่เคยมีการพบเจออะไรทำนองนี้มาก่อนในยุคอังกอเรียนที่ช่วยให้สามารถเทียบเคียงได้

 :96: :96: :96: :96:

จากการตรวจสอบทั้งโครงสร้างปริศนานี้และซากหอสูงที่ค้นพบใหม่ ทีมวิจัยประเมินอายุของทั้งสองอย่างย้อนหลังกลับไปตั้งแต่เมื่อครั้งเริ่มมีการก่อสร้างนครวัดขึ้น

โครงสร้างเกลียวขดสี่เหลี่ยมดังกล่าวนี้ทีมนักโบราณคดีค้นพบโดยใช้"ไลดาร์"หรือเทคโนโลยีการสแกนพื้นดินด้วยเลเซอร์ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบพบโครงสร้างต่างๆที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวดินที่มีการเพาะปลูกและสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ปิดทับอยู่


ภาพนี้แสดงให้เห็นแนวโครงสร้างรูปสี่เหลี่ยมขดเป็นเกลียวทรงสี่เหลี่ยมด้านนอกคูน้ำของนครวัด
(ภาพ-KhmerArchaeologyLidarConsortium-KALC)

เมื่อมีการสำรวจภาคพื้นดินหลังการตรวจพบดังกล่าว ก็พบว่าโครงสร้างนี้สร้างขึ้นจากทรายก่อรูปเป็นเนินในลักษณะดังกล่าว เนินทรายดังกล่าวนี้ไม่มีชิ้นส่วนทางโบราณคดีปรากฏอยู่ และพบด้วยว่าโครงสร้างปริศนานี้ไม่ได้ใช้งานอยู่นานมากนัก อยู่ระหว่างราวตอนกลางเรื่อยมาจนถึงตอนปลายศตวรรษที่ 12 เท่านั้น และพบด้วยว่ามีแนวคลองสร้างขึ้นตัดขวางโครงสร้างนี้ คาดว่าจะถูกขุดขึ้นในราวตอนปลายศตวรรษที่ 12

นักวิจัยด้านโบราณคดีทั้งสองระบุว่า ยังไม่มีใครแน่ใจว่าโครงสร้างดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อะไร ข้อสันนิษฐานประการหนึ่งก็คือ โครงสร้างดังกล่าวถือแนวสวนซึ่งใช้สำหรับเพาะปลูกสิ่งที่ใช้ประกอบในพิธีกรรมของวิหารนครวัดและใช้สำหรับบริโภคในเวลานั้นทั้งสองยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่ารูปแบบที่ขดวนเป็นเกลียวอย่างที่พบนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะมีนัยสำคัญในเชิงจิตวิญญาณประการหนึ่ง

การค้นพบใหม่อีกอย่างที่เป็นผลมาจากการใช้เทคโนโลยีไลดาร์และการสำรวจด้วยการขุดค้นภาคพื้นดินก็คือซากของสิ่งปรักหักพังที่เชื่อว่าเป็นหอสูงรวม8หอซึ่งมีร่องรอยการรื้อทำลาย หอสูงเหล่านี้สร้างขึ้นจากหินทรายและศิลาแลงตั้งอยู่บริเวณด้านตะวันตกของนครวัด ข้างประตูทางเข้าที่ใช้สำหรับข้ามคูน้ำรอบวิหารนั่นเอง


ภาพแสดงที่ตั้งของซากหอ 8 หอบริเวณใกล้กับทางเข้าด้านตะวันตกของนครวัด ซึ่งเชื่อว่าเดิมเคยใช้เป็นวิหารชั่้วคราว
(ภาพ-Till Sonnemann and image base courtesy of ETH Zurich)

ทีมวิจัยยังไม่สามารถระบุอายุของหอเหล่านี้ได้ชัดเจนแต่ดูเหมือนหอหลายๆหอในจำนวนนี้ถูกสร้างขึ้นระหว่างช่วงต้นจนถึงราวกลางศตวรรษที่12ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังมีการก่อสร้างนครวัดจุดที่ตั้งของหอสูงบางส่วนรวมกันแล้วเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นกลุ่มๆ ราวกับถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับโครงสร้างอื่นที่อยู่เหนือขึ้นไป และหลายๆ หอถูกสร้างขึ้นก่อนหน้าที่จะมีการสร้างกำแพงพร้อมประตูทางเข้า

นักโบราณคดีทั้งสองตั้งสมมุติฐานเอาไว้ว่าหอสูงต่างๆเหล่านี้น่าจะเป็นส่วนฐานรองรับวิหารชั่วคราวซึ่งถูกใช้งานในระหว่างที่การก่อสร้างวิหารนครวัดดำเนินอยู่ก่อนที่จะถูกรื้อทำลายในช่วงเวลาที่การก่อสร้างกำแพงวิหารและประตูทางเข้าด้านตะวันตกเริ่มต้นขึ้น


 ans1 ans1 ans1 ans1

ไลดาร์ยังเปิดเผยให้เห็นความลับอีกหลายๆอย่างของนครวัดอย่างเช่นกลุ่มบ้านเรือนและสระที่เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของคนที่ทำหน้าที่รับใช้ในวิหารนอกจากนั้นยังพบว่า ในตอนปลายของประวัติศาสตร์นครวัด เมื่อวิหารแห่งนี้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นศาสนสถานเพื่อรองรับพิธีกรรมทางพุทธศาสนาแทนที่จะเป็นฮินดู และมีการก่อสร้างป้อมค่ายสำหรับใช้ทางด้านการทหารด้วยโครงสร้างไม้เพื่อปกป้องวิหารแห่งนี้

แฟลทเชอร์ระบุว่าป้อมค่ายดังกล่าวถือเป็นการก่อสร้างใหญ่ครั้งสุดท้ายที่นครวัดและอาจเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงจุดจบของยุคนครวัดในที่สุด

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450236939
11928  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ยูเอ็นเผยรายชื่อ "ประเทศที่ดีที่สุดในโลก" นอร์เวย์อันดับ 1 - ไทยตก 4 อันดับ เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 09:02:46 am

ผู้คนพยายามที่จะไล่จับฟองสบู่ที่ศิลปินข้างถนนทำขึ้น
ณ บริเวณน้ำพุใกล้กับศาลากลางกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2558


ยูเอ็นเผยรายชื่อ "ประเทศที่ดีที่สุดในโลก" แชมป์เก่านอร์เวย์อันดับ 1 ไทยตก 4 อันดับ

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยแพร่รายงานดัชนีการพัฒนามนุษย์ (เอชดีไอ) ครอบคลุม 188 ประเทศทั่วโลก ประเทศแชมป์เก่าอย่างนอร์เวย์ยังคงครองอันดับประเทศที่ดีที่สุดในโลกติดต่อเป็นปีที่ 12

เอชดีไอเป็นการวัดความสำเร็จโดยเฉลี่ยของแต่ละประเทศในการพัฒนามนุษย์ผ่านการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี,ความรู้และมาตรฐานคุณภาพชีวิตโดยนอร์เวย์ได้รับคะแนนรวมสูงสุด 0.944 จากค่าอายุขัยเฉลี่ยที่ 81.6 ปีพร้อมกับผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีเอ็นไอ) ต่อหัวที่ 64,992 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,339,550 บาท)

รายงานดัชนีการพัฒนามนุษย์ประจำปี 2558 เปิดเผยรายชื่อประเทศที่ติด 5 อันดับแรก นอกจากนอร์เวย์แล้ว คือ ออสเตรเลีย (0.935), สวิตเซอร์แลนด์ (0.930), เดนมาร์ก (0.923), และเนเธอร์แลนด์ (0.922) ขณะที่ประเทศที่มีค่าเอชดีไอต่ำสุด 5 ประเทศ ได้แก่ บุรุนดี (0.400), ชาด (0.392), เอริเทรีย (0.391), สาธารณรัฐแอฟริกากลาง (0.350), และไนเจอร์ (0.348)



แม่ลูกชาวไทยยืนรอรถไฟฟ้าบีทีเอส
ณ สถานีหมอชิต กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2555


สำหรับประเทศไทยมีดัชนีการพัฒนามนุษย์อยู่ที่ 0.726 จากค่าอายุขัยเฉลี่ยที่ 74.4 ปี ประกอบกับระยะเวลาการศึกษาที่คาดหวัง 13.5 ปี ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาเฉลี่ย 7.3 ปี และมีค่าจีเอ็นไอต่อหัวที่ 13,323 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 480,300 บาท) จัดเป็นอันดับ 93 ซึ่งร่วงลงจากเดิม 4 อันดับและถูกจัดให้อยู่ในระดับการพัฒนามนุษย์สูง (High Human Development)

ส่วนประเทศที่มีตกระดับมากที่สุดในปี 2558 นี้คือประเทศลิเบียที่ร่วงลง 39 อันดับ ลงมาอยู่อันดับที่ 94 ร่วม และประเทศซีเรียที่อยู่อันดับ 134 จากเดิมอันดับ 118

 :96: :96: :96: :96:

รายงานสรุปรวมค่าดัชนีการพัฒนามนุษย์เฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 0.711 ระยะเวลาการศึกษาที่คาดหวัง 12.2 ปี ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาเฉลี่ย 7.9 ปี และมีค่าจีเอ็นไอต่อหัวที่ 14,301 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 515,690 บาท)

ทั้งนี้ ตามข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ ดัชนี้การพัฒนามนุษย์เริ่มใช้ในปี 2533 โดยมุ่งเน้นว่าการขยายทางเลือกของมนุษย์ควรเป็นเกณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับการประเมินผลการพัฒนา โดยเอชดีไอสามารถใช้ในการตั้งคำถามต่อประเทศที่มีระดับผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัวเท่ากันแต่กลับมีผลลัพธ์การพัฒนามนุษย์ที่แตกต่างกันได้

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450341112
11929  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คอทีวีต้องอ่าน! เตือนดูโทรทัศน์มากไป กระทบ "เชาวน์ปัญญา" เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 08:57:58 am


คอทีวีต้องอ่าน! เตือนดูโทรทัศน์มากไป กระทบ "เชาวน์ปัญญา"

รายงานผลการวิจัยด้านประสาทวิทยาศาสตร์ ของทีมวิจัยจากสถาบันเพื่อการศึกษาและวิจัยแห่งนอร์เทิร์นแคลิฟอร์เนียในสังกัดศูนย์กิจการแพทย์ทหารผ่านศึก ในนครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกานำโดย ทินา ดี. ฮวง ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการ "เจเอเอ็มเอ ไซเคียทรี" เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าการดูโทรทัศน์มากเกินไป รวมถึงการมีพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ในวัยผู้ใหญ่ช่วงต้น จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาของสมองนับตั้งแต่ช่วงวัยกลางคนเป็นต้นไป

การวิจัยดังกล่าวซึ่งกินเวลาต่อเนื่องถึง 25 ปี ใช้วิธีการสำรวจและประเมินพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 3,200 คน โดยที่กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีอายุเฉลี่ย 25 ปี เมื่อเริ่มต้นการทดลอง


 :49: :49: :49: :49:

ทีมวิจัยใช้วิธีการสอบถามกลุ่มตัวอย่างทุกๆ 5 ปีว่า ใช้เวลาในการรับชมโทรทัศน์ต่อวันโดยเฉลี่ยแล้วกี่ชั่วโมงในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังสอบถามระยะเวลาในการออกกำลังกายในตอนเริ่มต้นการทดลอง และจากนั้นก็จะสอบถามอีกครั้งในทุกๆ 2-5 ปีต่อมา

หลังผ่านไป 25 ปี ทีมวิจัยตรวจสอบสภาพเชาวน์ปัญญาของผู้เข้าร่วมการทดลอง โดยใช้แบบทดสอบเชาวน์ปัญญา 3 ชุด ประกอบด้วย แบบทดสอบเพื่อประเมินความเร็วในการประมวลผลข้อมูล, แบบทดสอบความจำที่ได้รับการบอกด้วยปากเปล่า, แบบทดสอบทักษะเชิงบริหาร ซึ่งเป็นการประเมินทักษะของสมองของกลุ่มตัวอย่างในการวางแผน, การจัดการ และการใส่ใจในการทำภารกิจหนึ่งๆ

 :32: :32: :32: :32:

ผลจากการทดลองพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ดูโทรทัศน์โดยเฉลี่ยแล้วมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 353 คน ทำคะแนนในการทดสอบบางอย่างได้ต่ำกว่ากลุ่มตัวอย่างซึ่งดูโทรทัศน์โดยเฉลี่ยแล้วน้อยกว่า นอกจากนั้นยังพบว่ากลุ่มตัวอย่าง 528 คน ที่ออกกำลังกายน้อยที่สุด ทำแบบทดสอบ 1 ใน 3 แบบทดสอบได้แย่กว่าคนที่มีการออกกำลังและกระตือรือร้นมากกว่า และกลุ่มตัวอย่างที่ทั้งดูโทรทัศน์เกินกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน และออกกำลังกายน้อยที่สุด ทำแบบทดสอบเชิงเชาวน์ปัญญาได้แย่ที่สุด คือทำคะแนนได้แย่กว่าผู้ที่ดูโทรทัศน์น้อยกว่า และออกกำลังกายมากกว่าถึง 2 เท่า

แม้ยังไม่แน่ใจนักแต่ ทีมวิจัยตั้งสมมุติฐานไว้ว่า การรับชมโทรทัศน์อาจไม่ใช่พฤติกรรมที่ใช้และสามารถพัฒนาเชาวน์ปัญญา ในเวลาเดียวกันการดูโทรทัศน์ ก็อาจก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพตามไปด้วย อาทิ กินอาหารไม่ตรงเวลาหรือไม่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งส่งผลลบต่อศักยภาพเชาวน์ปัญญาเช่นเดียวกัน


มติชนรายวัน 17 ธันวาคม 2558
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450356120
11930  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 9 งานอดิเรก ยิ่งทำ...ยิ่งฉลาด เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 08:54:44 am



9 งานอดิเรก ยิ่งทำ...ยิ่งฉลาด

         มีความเชื่อผิด ๆ กันว่า ความฉลาดไม่สามารถพัฒนาได้มากนักและขึ้นอยู่กับพันธุกรรมเป็นหลัก แต่ความจริงแล้วใครจะรู้ว่าสมองสามารถพัฒนาได้ผ่านงานอดิเรกง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาเพิ่มความฉลาดหรือพึ่งติวเตอร์ที่ไหน เพียงแค่ทำกิจกรรม 9 อย่างที่ Life on Campus นำมาเสนอเท่านั้นเอง รับรองว่าทำเป็นประจำฉลาดขึ้นแน่นอน
       

ขอบคุณภาพจาก http://vector-magz.com


         1.เล่นดนตรีแบบศิลปิน
         เมื่อนานมาแล้วขงจื๊อกล่าวไว้ว่า 'ดนตรีมอบความพึงพอใจที่ธรรมชาติของมนุษย์ไม่สามารถทำได้ ' และจากผลการวิจัยก็ระบุว่าดนตรีหรือเสียงเพลงสามารถกระตุ้นสมองของมนุษย์ได้ดี และนักวิจัยหลายคนก็ได้แสดงผลงานวิจัยที่บ่งบอกว่า ผู้ที่ทั้งฟังดนตรีและเป็นผู้เล่นเองมีพื้นที่หน่วยความจำที่มากขึ้น
        นอกจากนี้การเล่นเครื่องดนตรียังเป็นการฝึกความอดทนและความพยายาม เพราะการที่จะเล่นดนตรีให้เชี่ยวชาญได้นั้น จำเป็นจะต้องทุ่มเทเวลาให้มันอย่างเต็มที่ ผลพลอยได้คือการมีสมาธิที่ดีขึ้น

       

ขอบคุณภาพจาก https://thepbsblog.files.wordpress.com


         2.อ่านหนังสือให้เหมือนเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้แตะมัน
         เป็นความเชื่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าการอ่านหนังสือจะช่วยเพิ่มระดับความฉลาดได้ แต่หมายถึงว่าต้องอ่านแบบไม่ลืมหูลืมตาและอ่านหลากหลายแนวตั้งแต่ นวนิยาย ชีวประวัติ ไปจนถึงบทประพันธ์ต่าง ๆการอ่านหนังสือช่วยลดความเครียด ช่วยให้คุณเผชิญหน้ากับอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายและทำให้มีความรู้ในเรื่องต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือในสถานการณ์หลากหลาย และเข้าใกล้กับเป้าหมายชีวิตในอนาคตมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกดีกับตัวเอง ไม่เพียงเท่านั้นการนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกสงบเป็นหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่แข็งแรง

       
       
ขอบคุณภาพจาก http://www.ivnine.com


         3.ฝึกสมาธิเป็นกิจวัตร
         ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการฝึกสมาธิ คือ การช่วยให้มีโฟกัสและรู้จักเนื้อแท้ของตัวเอง ช่วยลดระดับความเครียดและขจัดความกังวลทั้งหลาย การฝึกสมาธิเป็นประจำทุกวัน ผู้ฝึกจะมีจิตใจที่สงบ รู้จักควบคุมตัวเอง มีความหยั่งรู้ ทำให้สามารถเรียนรู้ คิด และวางแผนสิ่งต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากสามารถตัดสิ่งที่มารบกวนจิตใจได้

       
             
ขอบคุณภาพจาก http://contenidos.educarex.es


         4.ออกกำลังสมอง
         ร่างกายต้องการการออกกำลังกายเพื่อให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม สมองก็เช่นเดียวกัน การท้าทายสมองให้ทำสิ่งใหม่ ๆ ทุกวันจะช่วยเพิ่มความสามารถและทำให้ฉลาดขึ้น น้อง ๆ สามารถฝึกสมองได้ด้วยหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การเล่นโซโดกุ ปริศนาตามหน้าหนังสือพิมพ์ เกมกระดาน และปริศนาคำทาย
        กิจกรรมดังกล่าวจะช่วยสร้างความเชื่อมโยงของสมอง ผู้เล่นจะได้เรียนรู้การตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ในลักษณะที่มีความสร้างสรรค์ พัฒนาความสามารถในการมองเห็นให้มองได้หลายมุมมอง และมีสมองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

       
       
ขอบคุณภาพจาก http://www.ellipticalreviews.com


         5.ออกกำลังกายก็เป็นเรื่องสำคัญ
         สมองก็คือกล้ามเนื้อในร่างกายเช่นเดียวกับส่วนอื่น ดังนั้นการมีร่างกายที่แข็งแรงก็เป็นเครื่องการันตีว่าสุขภาพสมองดี การออกกำลังอย่างเป็นประจำนอกจากจะช่วยให้สุขภาพดีแล้วยังช่วยลดความตึงเครียดและทำให้นอนหลับง่าย
        ทางการแพทย์เชื่อว่า การไหลเวียนของโลหิตที่ดีไปยังสมอง หมายถึง สมองมีการทำงานที่เพิ่มขึ้น จากการศึกษาในหนูและมนุษย์ ได้แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายสามารถสร้างเซลล์สมองใหม่ และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของสมองดีขึ้น

       
       
ขอบคุณภาพจาก http://i.huffpost.com


         6.เรียนรู้ภาษาที่สาม
         การเรียนรู้ภาษาใหม่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าทำได้น้อง ๆ จะได้รับประโยชน์มหาศาล หนึ่งในนั้นก็คือ ทำให้ดูฉลาดขึ้น กระบวนการของการเรียนรู้ดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์โครงสร้างไวยากรณ์และการทำความรู้จักคำศัพท์ใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นการท้าทายสมอง และนอกจากนี้จากผลการวิจัยพบว่า คนที่มีทักษะทางภาษาระดับสูงจะสามารถวางแผน ตัดสินใจและแก้ไขปัญหาได้ดี

       
       
ขอบคุณภาพจาก http://pad2.whstatic.com


         7.ระบายความรู้สึกผ่านตัวหนังสือ
         นอกจากการเขียนบ่อย ๆ จะเป็นการเพิ่มทักษะทางภาษาแล้ว ยังช่วยพัฒนาความสามารถในเรื่องของการโฟกัส ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และความเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเขียนลงในกระดาษเท่านั้น สามารถเขียนที่ไหนก็ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเขียนลงบนมือ หรือแม้แต่สร้างบล็อกของตัวเองขึ้นมา

       
       
ขอบคุณภาพจาก https://knowrisk.com.au


         8.ท่องเที่ยวในที่ใหม่ๆ
         การท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การลดความเบื่อหน่ายเท่านั้น แต่มันสามารถขจัดความเครียดที่สั่งสมได้ด้วย เชื่อกันว่าหลังจากที่กลับจากทริปจะโฟกัสกับสิ่งที่ทำมากขึ้น ช่างสังเกต และมีความเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องที่สนใจ นอกจากนี้ทุกสถานที่ที่ได้ไปยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้ตัวเอง ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ทั้งผู้คน อาหาร วัฒนธรรม และสังคม คุณจะได้ไอเดียที่ไม่มีทางได้จากห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ

       
       
ขอบคุณภาพจาก https://lingdigi.files.wordpress.com


         9.ลองทำเมนูอาหารหลากหลาย
         คนที่ลองทำอาหารเมนูแปลกไปจากปกติ มักเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่กลัวที่จะ ลองสิ่งใหม่ ๆ และเป็นคนที่มีความใส่ใจในเรื่องของรายละเอียด สิ่งที่คุณจะได้จากการทำอาหาร คือ สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้หลากหลาย มีความแม่นยำ และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

     
 
ขอบคุณที่มา : http://www.lifehack.org/310690/taking-these-10-hobbies-will-make-you-smarter
http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9580000137966
11931  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดัชนีการอ่านคนไทยไม่ผ่านเกณฑ์ เฉลี่ย 40.4 หน้า อ่านผ่านจอมากกว่ากระดาษ เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 08:41:45 am


ดัชนีการอ่านคนไทยไม่ผ่านเกณฑ์ เฉลี่ย 40.4 หน้า อ่านผ่านจอมากกว่ากระดาษ

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการประชุมระดมแนวคิด “การพัฒนาตัวชี้วัดวัฒนธรรมการอ่านของคนไทย” นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. กล่าวว่า การสร้างตัวชี้วัดวัฒนธรรมการอ่านระยะที่ 2 เป็นการวิจัยที่ต่อเนื่องจากระยะที่ 1 การสำรวจแบ่งประชากรที่ศึกษาเป็น 2 กลุ่ม คือ ประชาชนทั่วไปอายุตั้งแต่ 6 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และกลุ่มเด็กปฐมวัยที่อายุต่ำกว่า 6 ปีบริบูรณ์

   โดยผลการสำรวจพบว่า
   กลุ่มประชาชนทั่วไปจำนวน 1,753 ตัวอย่าง ใช้เวลาอ่านผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากกว่าสื่อสิ่งพิมพ์
   โดยใช้เวลาอ่านผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ 166 นาทีต่อสัปดาห์
   ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 222.5 นาทีต่อสัปดาห์
   ร้อยละ 44.6 ไม่ซื้อหนังสือเลย
   สาเหตุที่ทำให้ไม่อยากอ่านหนังสือหรือสื่ออ่านต่างๆ เพราะชอบฟังวิทยุ ดูทีวีมากกว่า คิดเป็นร้อยละ 30.7
   ไม่มีเวลาอ่าน ร้อยละ 29 และสายตาไม่ดี ร้อยละ 19.4


   :96: :96: :96: :96:

นอกจากนี้ ร้อยละ 4.3 อ่านหนังสือไม่ออก เมื่อพิจารณาจากกำลังซื้อพบว่า ร้อยละ 18.2 มองว่าหนังสือมีราคาแพงเกินไป ร้อยละ 8.3 ไม่มีเงินซื้อ และร้อยละ 10.4 ไม่มีแหล่งให้ยืมหนังสือ ทั้งนี้ เมื่อนำผลทั้งหมดมาคำนวณดัชนีวัฒนธรรมการอ่านของประชาชนทั่วไป มีค่าเท่ากับ 40.4 หน้า หมายความว่าประเทศไทยยังมีวัฒนธรรมการอ่านที่น้อย หรืออาจเทียบเคียงได้ว่าคนไทยอ่านหนังสือเพียง 40.4 หน้าโดยเฉลี่ยแทนที่จะเป็น 100 หน้า

 ans1 ans1 ans1 ans1

นางสุดใจ กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มเด็กปฐมวัย สำรวจข้อมูล 398 ตัวอย่าง จากพ่อแม่ผู้ปกครองพบว่า ระยะเวลาที่ใช้ในการอ่านหนังสือให้เด็กฟังเท่ากับ 709.5 นาทีต่อสัปดาห์ แบ่งเป็นการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ให้เด็กฟังเฉลี่ย 615.8 นาทีต่อสัปดาห์ และอ่านผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 70.9 นาทีต่อสัปดาห์ โดยร้อยละ 74.6 มีการซื้อหนังสือให้เด็กอ่าน

เมื่อสำรวจกิจกรรมที่ทำร่วมกันในครอบครัวที่ช่วยส่งเสริมการรักการอ่าน หรือการสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้กับเด็กในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 62.6 มีการทำกิจกรรมร่วมกัน โดยร้อยละ 83.2 อ่านหนังสือให้เด็กฟัง รองลงมาเป็นการให้คำชมเวลาเด็กอ่านหนังสือ ร้อยละ 81.3 และใช้เวลาอ่านหนังสือด้วยกันร้อยละ 78.6 เมื่อคำนวณค่าดัชนีวัฒนธรรมการอ่านเด็กปฐมวัยเท่ากับ 49.6 คือ มีพ่อแม่การอ่านหนังสือให้เด็กฟังในระดับปานกลาง


 :91: :91: :91: :91:
         
“ข้อเสนอแนะคือ ควรเน้นการรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชน พ่อแม่ ผู้ปกครองทุกเพศทุกวัยรักการอ่านมากขึ้น โดยสนับสนุนการมีพฤติกรรมตนเอง และเด็กๆ เยาวชนให้ชอบอ่านหนังสือากขึ้นกว่าระดับปัจจุบัน ส่วนกรณีเด็กเล็ก พ่อแม่ผู้ปกครองควรเพิ่มการอ่านหนังสือให้ลูกหลานฟังมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์และการสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับเด็ก รวมถึงดูแลพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเด็กในการใช้อุปกรณ์ดิจิตอล สนับสนุนและส่งเสริมการผลิต พัฒนาเนื้อหา และรูปแบบของข้อมูล/ความรู้ในรูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณภาพ เพื่อมุ่งพัฒนาความรู้ และทักษะตามความสนใจของกลุ่มคนต่างๆ” นางสุดใจ กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1450183845
11932  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / "ญาณสังวร" มีที่มา และ ความหมาย อย่างไร.? เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 08:30:29 am

สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวัฒโณ)


"ญาณสังวร" มีที่มา และ ความหมาย อย่างไร.?
เฟซบุ๊ก วัดป่า

สมณศักดิ์ ”สมเด็จพระญาณสังวร” ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเป็นราชทินนามที่พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทรงโปรดให้ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานสถาปนา พระญาณสังวร (สุก)

พระอาจารย์สุก วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) เป็นพระเถระที่เลื่องลือด้านวิปัสนาธุระและเปี่ยมด้วยเมตตายิ่ง ถึงขนาดมีตำนานเล่าว่าสามารถแผ่เมตตาให้ไก่ป่าที่ได้ชื่อว่า ปราดเปรียวและระแวงภัยยิ่งให้เชื่องเหมือนไก่บ้านได้ ครั้นสมเด็จพระญาณสังวร(สุก) ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชชาวประชาทั้งหลายจึงมักพากันขนานนามท่านว่า “สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน”

ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร เป็นตำแหน่งพิเศษ ที่โปรดพระราชทานสถาปนาแก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระเท่านั้น ฉะนั้น นับแต่สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๓ แล้วก็ไม่ทรงโปรด พระราชทานสถาปนาแก่พระเถระรูปใดอีกเลย กระทั่ง พ.ศ. ๒๕๑๕ นับเป็นเวลา ๑๕๒ ปี จนได้มีการพระราชทานสมณศักดิ์นี้แด่ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯเป็นที่สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวัฒโณ)



สมเด็จพระญาณสังวร(สุก) วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์


“สมเด็จพระญาณสังวร” นั้นเป็นตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะฝ่าย "วิปัสสนาธุระ" ซึ่งตามพระนามหมายถึงผู้ที่ความสำรวมในความรู้อย่างยิ่ง (“ญาณ” หมายถึง ความรู้ และ “สังวร” หมายถึง สำรวม) หรือหากอ้างถึงพระอรรถกถาความหมายของ “ญาณสังวร” จะเป็นหัวข้อหนึ่งในสังวรวินัย ๕ คือ สีลสังวร สติสังวร ญาณสังวร ขันติสังวร และวิริยสังวร และดังได้มีอรรถาธิบายความหมายของ “ญาณสังวร” ว่า

    สังวรที่ตรัสไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
    “ดูก่อนอชิตะ กระแส(ตัณหา) เหล่าใดในโลกมีอยู่ สติย่อมเป็นเครื่องห้ามกระแสเหล่านั้น เราตถาคตกล่าวสติว่า เป็นเครื่องระวังกระแสทั้งหลาย กระแสเหล่านั้นอันบุคคลย่อมละด้วยปัญญานี้ เรียกว่า ญาณสังวร”
     ขุ.สุ. ๒๕/๔๒๕/๕๓๐

    เพราะฉะนั้นราชทินนามตำแหน่งที่ สมเด็จพระญาณสังวรนี้ จึงกล่าวได้ว่าเป็นตำแหน่งที่มีความหมายสำคัญในประวัติการณ์ของคณะสงฆ์ไทยตำแหน่งหนึ่ง


บางตอนจาก : พระประวัติสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) http://bit.ly/1m0Xrg6
ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟซบุ้ค วัดป่า
ที่มา : https://www.facebook.com/watpah/photos/a.171604383005330.1073741829.171500479682387/523845487781216/?type=1&theater
http://www.posttoday.com/social/think/405236
11933  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / 12 หลักธรรม ‘ละสังขาร’ แห่ง ‘สมเด็จพระญาณสังวร’ เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 08:03:29 am


12 หลักธรรม ‘ละสังขาร’ แห่ง ‘สมเด็จพระญาณสังวร’

พระจริยาวัตรอันงดงามยังคงอยู่ในความทรงจำ ซึ่งหลักธรรมหนึ่งที่พระองค์ได้กล่าวไว้ เกี่ยวกับการละสังขาร ในหนังสือ “ญาณสังวร 101 สารธรรม”

แม้พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จะผ่านไปแล้ว แต่พระจริยาวัตรอันงดงามยังคงอยู่ในความทรงจำ ซึ่งหลักธรรมหนึ่งที่พระองค์ได้กล่าวไว้ เกี่ยวกับการละสังขาร ในหนังสือ “ญาณสังวร 101 สารธรรม” ยังเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้ขบคิด ดังนี้

 ans1 ans1 ans1 ans1

1.สังขาร คือ การปรุงแต่ง ปรุงแต่งตั้งแต่กำเนิดก่อเกิดขึ้นในครรภ์ของมารดา คลอดออกมาก็ปรุงแต่งเรื่อยไปจนถึงตายในที่สุด เพราะฉะนั้นอาการที่เรียกว่าสังขารคือ ปรุงแต่งนี้ก็เป็นอาการของชีวิต ซึ่งต้องมีการปรุงแต่งกันอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาไม่หยุด หยุดปรุงแต่งเมื่อไหร่ก็ตาย

2.ความรู้ว่าเกิดมาแล้วทุกคนต้องตาย เป็นสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ แม้ใส่ใจในความรู้นี้ให้เท่าที่ควร ก็จะสามารถนำให้เกิดคุณ เกิดเป็นประโยชน์แก่ตนเองได้มหาศาล ยากจะหาประโยชน์ใดอาจเปรียบได้

3.ปราชญ์กล่าวว่า “ชีวิตนี้น้อยนัก” ก็คือชีวิตในชาตินี้น้อยนัก ชีวิตในชาติข้างหน้ายาวนานไปไม่อาจประมาณได้ ชีวิตในภพข้างหน้าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับความหมดจดจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น เปรียบชีวิตข้างหน้ากับชีวิตนี้แล้ว ชีวิตนี้จึงน้อยนัก

4.วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ และได้ตรัสสอนไว้อีกว่าความเพียรควรเร่งรีบทำในวันนี้ทีเดียว ใครเล่าจะรู้ว่าความตายจะมาต่อวันพรุ่งนี้

5.รูปกายของทุกคนในบัดนี้ไม่ใช่รูปกายในอดีต รูปกายในอดีตนั้นก็ดับไป สิ้นไปหมดแล้ว รูปกายในปัจจุบันนี้เป็นรูปกายใหม่ ที่ได้จากอาหาร เกิดขึ้นมาใหม่ แต่ว่าเป็นไปอย่างละเอียด ที่ความไม่เที่ยงยังไม่ปรากฏชัดนั้น ก็เพราะยังมีสันตติ คือความสืบต่อ นี้เอง เมื่อใจสันตติคือความสืบต่อนี้ขาด หายใจเข้าไม่หายใจออก หายใจออกไม่หายใจเข้าต่อไป หยุดชีวิตก็สิ้นเพียงแค่นั้น เป็นความดับในที่สุดที่เรียกว่า มรณะ คือ ความตาย

6.จิตที่มีกิเลสเศร้าหมอง เมื่อละจากร่างไปสู่ภพภูมิใดก็จะคงกิเลสนั้นอยู่ คงความเศร้าหมองนั้นอยู่ ภพภูมิที่ไปจึงเป็นทุคติ คติที่ชั่ว คติที่ไม่ดี มากน้อยหนักเบาตามกิเลสความเศร้าหมองของจิต



7.เมื่อความตายมาถึง ไม่มีผู้ใดจะสามารถถนอมรักษา ทะนุบำรุงร่างกายของเขาไว้ได้ แม้สมบัติพัสถานที่ควรแสวงหาไว้ระหว่างมีชีวิตจนเต็มสติปัญญาความสามารถ แม้ด้วยเล่ห์กลเพื่อใช้ทะนุถนอม รักษา เชิดชู บำรุงตัวของเรา ก็ติดร่างไปไม่ได้เลย

8.กายของทุก ๆ คนเรานี้ แรกก็ไม่มี แต่เมื่อขึ้นมาด้วยชาติ คือความเกิด ก็ต้องประกอบด้วยชราความแก่ มรณะความตาย ในที่สุดแล้วก็กลับไม่มี เหมือนอย่างที่เคยไม่มีมาก่อน ดังนี้เป็นการตรัสสอนให้พิจารณา เป็นสติที่เป็นไปในกาย

9.ชีวิตนี้ย่อมมีความตายเป็นที่สุดเหมือนกันหมด ก็คือว่าจะต้องถึงเวลาหนึ่งซึ่งจะต้องหยุดหายใจ ที่เรียกว่า ตายหรือสิ้นชีวิต ก็แปลว่า ดับกายสังขาร ดับลมหายใจเข้าออก วิญญาณก็ดับ

10.ภัยที่พ่อ แม่ ญาติ ซึ่งเป็นที่รัก ลูกก็ช่วยกันไม่ได้ ก็คือ แก่ เจ็บ ตาย เป็นอมาตาปุตติกภัย เป็นภัยที่พ่อแม่ที่ลูกช่วยกันไม่ได้

11.ทรงนำมาใคร่ครวญพิจารณา โดยน้อมเข้ามาถึงพระองค์เองว่า พระองค์เองก็จะต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายอย่างนั้น จะทรงเป็นอะไรอยู่ในโลก จนถึงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระราชาเอกในโลก ก็จะต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายไม่พ้นไปได้ จึงได้ทรงปรารถนาโมกขธรรม ธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้น

12.ผิวพรรณที่อุตสาหะพยายามถนอมรักษาให้งดงามเจริญตาเจริญใจ ใส่หยูกยา เครื่องอบ เครื่องลูบไล้ เครื่องประทิน อันมีกลิ่นมีคุณค่าราคาแพงทั้งหลาย มีลักษณะตรงกันข้ามกับความปรารถนาอย่างสิ้นเชิงเมื่อความตายมาถึง.

ทีมวาไรตี้

ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/article/367350
11934  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / จากบุตรถึงบิดาทางธรรม พระจริยวัตรพระสังฆราช ปราชญ์วิถีพุทธ เมื่อ: ธันวาคม 18, 2015, 07:52:48 am

จากบุตรถึงบิดาทางธรรม พระจริยวัตรพระสังฆราช ปราชญ์วิถีพุทธ

ในวันนี้ (16 ธ.ค.58) ถือเป็นวันพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ปกครองคณะสงฆ์ไทย ที่ทรงมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงแก่พุทธศาสนา และในโอกาสนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้สัมภาษณ์พระผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระสังฆราช โดยได้สนองงานใกล้ชิด อันได้แก่ พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย หรือ ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร พระภิกษุชาวเนปาลผู้สืบเชื้อสายมาจาก พระอานนท์ และเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า ได้เล่าถึงพระจริยวัตรอันน่าเลื่อมใสของสมเด็จพระสังฆราช

พระ ดร.อนิลมาน ได้เล่าถึงการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ว่า เนื่องจากเป็นวิสัยทัศน์ของสมเด็จพระสังฆราช ที่มีเป้าหมายในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่ประเทศเนปาล ในปี 2513 สมเด็จพระสังฆราชได้เสด็จไปที่เนปาล ซึ่งทรงเห็นว่า ประเทศเนปาลถือเป็นชาติภูมิของพระพุทธเจ้า แต่พุทธศาสนานิกายเถรวาทกลับไม่เจริญ มีพระสงฆ์นิกายเถรวาทเพียงไม่กี่รูป พระพุทธศาสนาสายมหายาน มีมากกว่า พระองค์จึงถาม พระสงฆ์ที่เนปาลว่า “ประเทศไทยสามารถช่วยเหลือฟื้นฟูประเทศที่เป็นพุทธภูมิได้หรือไม่ เพราะประเทศไทยเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธเจ้า เป็นหนี้บุญคุณพระพุทธศาสนา”

พระองค์ต้องการตอบแทนให้กับพระพุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีโครงการต่างๆ เกิดขึ้น เช่น โครงการบวชสามเณรของพระสงฆ์เนปาล โดยการดูแลของสมเด็จพระสังฆราช หรือแม้กระทั่งในยุคหลัง ที่สมเด็จพระสังฆราชได้เสด็จไปอุปัชฌาย์ “ศากยะกุลบุตร” หรือ สายเลือดที่เชื่อกันว่าเป็นญาติพี่น้องของพระพุทธเจ้า แต่กลับไม่รู้จักหลักธรรมคำสอน พระองค์จึงต้องการที่จะฟื้นฟู โดยในปี 2528 สมเด็จพระสังฆราชเสด็จไปบรรพชาแก่ “ศากยะกุลบุตร” รวม 73 รูป รวมถึงอาตมาเอง ก็ได้บวชในครั้งนั้น และได้โอกาสมาสนองงานรับใช้เจ้าคุณสมเด็จพระสังฆราช


พระสังฆราช องค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

พุทธศาสนาในเนปาลเสื่อมถอย เกิดจากหลายปัจจัย

ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ เล่าย้อนถึงสาเหตุที่พุทธศาสนาเสื่อมถอยลงมากที่ประเทศเนปาลว่า ยุคหนึ่งเป็นยุคทองของศาสนา แต่มาวันหนึ่งได้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเมืองกับศาสนา ทำให้ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู มีอิทธิพลมากกว่า แต่พุทธศาสนาก็ไม่ได้หายไปเสียทีเดียว ถึงแม้ประวัติศาสตร์เนปาล ยังมีบันทึกว่า พระ ยังถูกขับไล่ออกนอกประเทศก็มี หรือพุทธศาสนาก็มีการบังคับให้สึก ซึ่งส่งผลต่อพุทธศาสนาแบบเถรวาทดั้งเดิมไม่สามารถรักษารูปแบบไว้ได้ แต่คนเนปาลเองก็พยายามรักษาไว้ในเชิงพิธีกรรม ที่เรียกว่า Newar Buddhism หรือ พุทธศาสนาเนวาร์ โดยเฉพาะที่ กาฐมาณฑุ ซึ่งเขาจะถนัดเรื่องพิธีกรรมตั้งแต่เกิดจนตาย แต่เขากลับไม่รู้จักผ้าเหลือง เพราะถูกปิดประเทศ ทำให้ไม่ทราบว่าพุทธศาสนาเถรวาท ยังมีอยู่ในประเทศไทย หรือศรีลังกา ดำริพระสังฆราชจึงอยากไปช่วยฟื้นฟู


จากบ้านเกิด ไม่รู้ภาษาไทย เปรียบสมเด็จพระสังฆราชคือ "บิดา"

พระ ดร.อนิลมาน เปิดเผยต่อว่า หลังจากอาตมาบวชในโครงการดังกล่าว ในฐานะเณรน้อย ก็เข้ามาศึกษาพระธรรมที่วัดบวรนิเวศฯ โดยมีพระสังฆราช เป็นพระอาจารย์ ช่วยดูแล ทางคณะสงฆ์ของเนปาล ได้ฝากฝังมาเหมือนกับ "บุตร" อาตมาก็มาสนองรับใช้ พระสังฆราชก็ทรงพระเมตตาช่วยดูแล ทั้งนี้ ท่านทรงมีพระเมตตากับพระทุกรูป แต่ด้วยอาตมาไม่รู้เรื่องภาษา ทำให้พระสังฆราชทรงพระเมตตามากหน่อย ด้วยการสั่งสอนในเรื่องระเบียบวินัย พระธรรมคำสอนต่างๆ ทำให้อยู่กับพระองค์มาก

“พระองค์เปรียบเสมือนครูบาอาจารย์ ที่สำคัญยังเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ ซึ่งการอุปัชฌาย์ในพระพุทธศาสนานั้น ก็เปรียบเสมือน “บิดา” แต่สำหรับอาตมา คำว่า “บิดา” นั้น มิได้หมายถึงพ่อแม่ แต่หมายถึงผู้ปกครอง ที่ได้ปกครองคณะสงฆ์ไทย ทรงเป็นเจ้าอาวาส บริหารวัด และยังทรงดูแลลูกศิษย์โดยตรง ซึ่งการบริหารนับว่ามีหลายระดับ แต่พระเมตตาของท่านนั้นไม่มีประมาณ ซึ่งท่านได้มีพระเมตตาแผ่ไพศาลไปยังทุกคน หรือแม้แต่พระที่อยู่ห่างไกล พระองค์ก็ประทานความช่วยเหลือเท่าที่ประทานความช่วยเหลือได้"

ส่วนในวัดบวรนิเวศ พระสงฆ์ ภายใต้การปกครองของพระองค์ก็จะได้รับความเมตตา ถามว่าท่านทรงดุหรือไม่ คำว่าดุ อาจจะไม่เหมือนกับที่เราคิด พระองค์เป็นคนรับสั่งน้อย แต่รับสั่งอะไรแล้ว จะรับสั่งจริง จะรับสั่งทำให้เราสำนึก บาดลึกไปถึงจิตใจ ทำให้เราไม่กล้าที่จะทำผิดอีก ดังนั้น พระสงฆ์ในวัดจึงรู้สึกเกรงพระบารมี ถ้าพระองค์ไหนทำผิดร้ายแรงจริงๆ ก็จะต่อว่าตรงๆ แต่ถ้าความผิดนั้นที่จะเป็นบทเรียนให้กับส่วนรวม ก็จะมีการตักเตือนในคณะสงฆ์ ทุกวันพระ จะมีการให้โอวาทปาติโมกข์


ท่านทรงเปิดงานในพิธีการต่างๆ

ผู้ลึกซึ้งในพระธรรมคำสอน เคร่งครัดวินัย มีพระเมตตาสูงล้น

“พระจริยวัตรของพระองค์ทุกเรื่อง สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นผู้นำสงฆ์นั้นเป็นอย่างไร คำสอนของพระองค์มีความชัดเจน โดยกลั่นออกมาจากพระทัยของพระองค์ เช่น การสอนของอาตมา อาจจะสอนแบบลักจำ คือ ไปอ่าน ไปฟัง แล้วก็มาบอกต่ออีกทีหนึ่ง แต่สมเด็จพระสังฆราช สอนมาจากความเข้าใจและกลั่นออกมาจากพระทัย เพราะท่านเห็นหลักธรรมที่ชัดเจน กลั่นออกมาอย่างครบถ้วน โดยที่ไม่ต้องใช้ความจำ แต่ใช้ความเข้าใจหลักธรรมอันถ่องแท้ และสามารถถ่ายทอดให้กับพุทธศาสนิกชนได้อย่างเข้าใจ พระองค์เคร่งครัดในพระวินัย แม้แต่ข้อเล็กน้อย พระองค์ก็ไม่เว้น ทรงมีพระจริยวัตรเมตตา ใครมาพึ่งพระองค์แม้แต่พระมหากษัตริย์ หรือยาจก ท่านก็ไม่ทรงเลือก ซึ่งเราจะเห็นได้ในพระประวัติของพระองค์ ก็จะทราบว่าพระเมตตาของท่านสูงเหลือเกิน"


สมเด็จพระสังฆราช เสวยมื้อเดียว ทรงสวดมนต์ ท่องพระวินัยสงฆ์ 227 ข้อ ทุกวัน

สำหรับกิจวัตรประจำวัน ของสมเด็จพระสังฆราช นั้น พระ ดร.อนิลมาน ธมฺมสากิโย เล่าว่า พระองค์จะทรงตื่นบรรทม ในเวลา ตี 3 ครึ่ง ทุกวัน จากนั้นก็จะทรงสวดมนต์ โดยในแต่ละวัน จะทรงเตรียมบทสวดที่แตกต่างกัน ไม่ซ้ำกัน แต่ที่จะต้องทรงสวดเป็นประจำทุกวัน ก็คือ บทสวดทวนปาติโมกข์ หรือพระวินัยของสงฆ์ 227 ข้อ เสร็จจากนั้น ก็จะทรงนั่งสมาธิต่อ

เมื่อถึงเวลาเช้า หากเป็นช่วงที่ยังทรงไม่ประชวร ก็จะทรงออกบิณฑบาต ในละแวกใกล้เคียง โดยระหว่างทาง หากพบบรรดาสามเณรที่ออกบิณฑบาต ก็จะทรงรับสั่งเรียก และประทานอาหารในบาตร แบ่งปันให้ ด้วยความเมตตาเสียทุกครั้งไป นอกจากนี้ หากทรงทราบว่า มีพระรูปใดอาพาธ ก็จะรับสั่งให้ลูกศิษย์นำอาหารไปถวายด้วย





ไทม์ไลน์ประวัติโดยสังเขป ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

เมื่อได้เวลาสักประมาณ​ 07.00 น. พระองค์ก็จะเริ่มรับแขกที่มารอเฝ้า จำนวนมากมายมหาศาล จนเวลาประมาณ 09.00 น. จึงจะได้เสวย ซึ่งของเสวยนั้น ปกติจะมีสองสำรับ โดยสำรับแรก จะเป็นอาหารพระราชทาน สำรับที่สอง จะเป็นของ รพ.จุฬาฯ แผนกโภชนาการ โดยเวลาเสวย พระองค์จะตักอาหารจากทั้งสองสำรับ ลงไปในบาตรรวมกันแล้วจึงเสวย โดยในขณะเสวย บางครั้งจะทรงให้สามเณรอ่านหนังสือถวายด้วย จากนั้นอาจจะบรรทมสักประมาณครึ่งชั่วโมง โดยจะไม่ทรงเสวยเพล แม้บางวัน อาจจะทรงมีงานไปตามสถานที่ต่างๆ ก็ตาม

จากนั้น หากเป็นช่วงเข้าพรรษา เวลา 13.00 น. พระองค์ก็จะไปสอนพระใหม่ จนกระทั่งถึงเวลา 14.00 น. เมื่อเสร็จสิ้น ก็จะทรงอ่านหนังสือ เพื่อค้นคว้าหาความรู้ถึงเวลาประมาณ 16.00 น. เมื่อถึงเวลานี้ พระองค์ก็จะทรงรับแขก ที่ส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยงานราชการต่างๆ ที่ขอเข้าเฝ้าเกี่ยวกับกิจการงานต่างๆ รวมถึงพระสงฆ์จากทั่วประเทศ จนถึงเวลา 18.00 น. อาจเลยไปถึง 19.00 น. จากนั้นก็จะทรงอ่านหนังสือ จนกระทั่งถึงประมาณ 20.00 น.

โดยก่อนบรรทม จะทรงสวดมนต์และปฏิบัติสมาธิ เช่นเดียวกับช่วงเช้าทุกครั้ง โดยการสวดมนต์และปฏิบัติสมาธิ ช่วงเช้าจะประมาณ 2 ชั่วโมง ช่วงค่ำอีก 2 ชั่วโมง รวมเป็น 4 ชั่วโมง ทุกวัน แม้ว่าวันใดจะทรงมีงานมาก ก็จะทรงปฏิบัติเป็นปกติ แม้ว่าอาจจะต้องบรรทมดึกสักหน่อยก็ตาม


ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์

ตั้งตัวไม่ทัน วินาทีพระสังฆราชสิ้นพระชนม์ สิ่งที่ฝากฝังเสมอ อยากให้ชาวพุทธนำหลักธรรมคำสอนไปใช้ดำเนินชีวิต

พระภิกษุชาวเนปาลที่เปรียบเสมือนบุตรทางธรรม กล่าวถึงวันที่ สมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์ ว่า เนื่องจากสมเด็จพระสังฆราช ประชวรมานานนับสิบปี หมอก็บอกว่า ท่านจะละสังขารวันนั้นวันนี้ ทำให้พระในวัดทุกคนล้วนทำใจไว้แล้ว เพราะรู้ว่าสักวันก็ต้องดับสิ้นสังขาร แต่วันนั้น อาตมายืนอยู่ข้างๆ วินาทีที่พระองค์ดับสิ้นนั้น ก็ไม่มีอะไร คือหายใจเข้าออก จากนั้นก็ค่อยสงบลง อาตมาก็ยืนอยู่ตรงนั้น รู้สึกตั้งตัวไม่ทัน หันไปดูเครื่องชีพจร ก็เป็นศูนย์ แต่ก็มีความหวังว่าจะขึ้นมา แต่ก็ไม่ขึ้นมา จากนั้นก็ทำหน้าที่ได้แจ้งข่าว กราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ แจ้งให้กับทุกหน่วยงานทราบ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ก็ได้พระราชทานให้ตั้งพระศพที่ตำหนักเพ็ชร โดยพระราชทานโกศที่สูงกว่าพระสังฆราชทั่วไป คือ พระโกศกุดั่นใหญ่

พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย สนองงานรับใช้สมเด็จพระสังฆราช

ทรงเคร่งครัดในการสวดมนต์

เรื่องใดที่สมเด็จพระสังฆราชทรงฝากฝังไว้ "สิ่งที่พระองค์ต้องการเห็นคือ พระพุทธศาสนา และหลักคำสอนนั้นมีผลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คน พระองค์รับสั่งอยู่ตลอดว่า หลักคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น ทำให้ประเทศชาติสงบสุข เจริญรุ่งเรือง ดังนั้น คำสอนเหล่านั้นจึงนำเสนอในหลายรูปแบบ มีบทละคร มีกาพย์ โคลง ฉันท์ หรือแม้กระทั่งเรื่องราวในแง่ของการบริหารจิต เป็นธรรมมะ ที่กรรมฐาน หรือการสอนประวัติศาสตร์ สิ่งเหล่านี้พระองค์ก็สอนมาไว้เยอะ บางอันก็เป็นการวิเคราะห์แบบเจาะลึก บางอันก็เป็นวิธีการคิดในแบบฉบับของพุทธศาสนา เช่น 45 พรรษาของพระพุทธเจ้า เป็นการปฏิรูปวิธีการศึกษาของพระไตรปิฎก พระองค์ต้องการที่จะเรียงพระไตรปิฎก ตามกาลเวลา ตั้งแต่พรรษาแรกที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ วันแรกพระองค์สอนอะไรบ้าง วันที่สอง สอนอะไรแบบนี้"

ซึ่งสมเด็จพระสังฆราช จะทรงหาวิธีวิเคราะห์ และเรียบเรียง ซึ่งหากโครงการนี้สำเร็จ คงจะเป็นงานชิ้นเอกของโลกเลยก็ว่าได้ แต่บังเอิญ ทรงทำตามที่ตั้งพระทัยไว้ได้เพียงถึงที่พระพุทธเจ้าทรงออกผนวช ถึงพรรษาที่ 12 จากทั้งหมด 45 พรรษา เท่านั้น จากนั้นท่านก็ทรงเริ่มประชวร จนทำให้โครงการนี้ต้องหยุดชะงักลงไป อย่างไรก็ดี ก็ยังมีโครงการอื่นๆ อีกมากมาย ที่สมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้ ได้สร้างไว้ให้กับสังคมไทย อย่างเช่น โครงการหนังสือสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นหนังสือที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดมาก และพระองค์ท่าน ทรงอาสาขอพิสูจน์อักษรด้วยพระองค์เอง ทุกตัวอักษร


ภาพสมัยยังเป็นพระหนุ่ม

เด็กน้อยให้ความเคารพบูชา

หนังสือพระนิพนธ์ ของสมเด็จพระสังฆราช สร้างคุณอเนกอนันต์ให้สังคมไทย

พระผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระสังฆราช กล่าวต่อว่า หนังสือสัมมาทิฏฐิ ซึ่งว่าด้วย วิธีการสะท้อนวิถีการดำเนินชีวิต วิถีการคิด วิถีการดำเนินพฤติกรรม จริยธรรมของคนเรา รวมไปจนกระทั่งถึงวิธีการในการบริหารจิต เพื่อค้นหาวิธีการในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างไร ซึ่งเท่าที่ได้สัมผัสมา หนังสือพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระสังฆราช จะมีความแตกต่างกว่าหนังสือเล่มอื่นๆ เพราะโดยทั่วไปเมื่อเราอ่านหนังสือเล่มใด เราก็มักจะสามารถสัมผัสได้ถึงอัตลักษณ์ของผู้เขียนนั้นๆ โดยผ่านสำนวน และวิธีการเขียนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่กับพระนิพนธ์ ของสมเด็จพระสังฆราช นั้น เราจะไม่เห็นพระองค์ท่าน แต่เราจะเห็นธรรมะที่พระองค์ท่านทรงนำเสนอ เราจะเห็นพระพุทธเจ้า เห็นข้อธรรมะในพระไตรปิฎก

โดยทุกๆ พระนิพนธ์ ที่ทรงทิ้งไว้ให้ชาวไทยจำนวนมากมายนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการถอดมาจาก เวลาพระองค์ท่านไปเทศนาสั่งสอนตามสถานที่ต่างๆ นั้น พระองค์ท่านจะรับสั่งเสมอๆ ว่า อยากฝากให้คนไทยได้ร่วมกันคิดว่า "ทำอย่างไร คำสอนดีๆ เหล่านี้ จะเป็นประโยชน์กับคนในชาติ ทำอย่างไรคำสอนดีๆ เหล่านี้ จึงจะสามารถเอามาปรับใช้ เป็นหนึ่งในตัวตนของคนไทยได้"

ซึ่งเรื่องนี้ แม้แต่ช่วงที่พระองค์ท่านประชวร ก็ยังรับสั่งถึงเสมอว่า อยากให้คนไทยได้เข้าถึงธรรมะผ่านพระนิพนธ์ต่างๆ เพราะที่ผ่านมา เวลามีผู้มาเข้าเฝ้า ก็มักจะทูลขอพระเครื่องไปบูชา ซึ่งพระองค์ท่าน ก็มักจะตรัสกลับไปเป็นการสอนสั่งเนืองๆ ว่า "หากจะเอาพระพุทธเจ้าไป ก็ควรจะเอาธรรมะไปด้วย" เสียทุกครั้ง เพราะฉะนั้น ทุกคนที่มาเข้าเฝ้าก็จะได้หนังสือธรรมะไปกล่อมเกลาจิตใจทุกคน


พระองค์ทรงเป็นนักอ่าน ใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ

เสียดาย คาดว่าไม่มีผู้สานต่อผลงานที่คงค้าง เหตุยากจะหาผู้สานต่องานได้

สำหรับในช่วงท้ายของพระชนมชีพ พระองค์ท่าน ทรงมีรับสั่งอะไรเป็นพิเศษถึงคนไทยหรือไม่นั้น พระ ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าวว่า ในช่วงที่ประชวรมากขึ้น กล้ามเนื้อต่างๆ ของพระองค์ก็ทรงเริ่มมีปัญหา การจะมีรับสั่งใดๆ ก็คงจะลำบาก ก็เลยไม่ทราบว่า พระองค์รับสั่งไม่ได้ หรือไม่มีรับสั่ง และโดยปกติ พระองค์ท่านก็รับสั่งน้อยอยู่แล้ว แต่เมื่อใด ที่มีการทูลถาม พระองค์ก็จะมีรับสั่งตอบ เช่น เวลาที่มีคณะแพทย์ มาเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจ ซึ่งในช่วงที่ประชวร จะมีการเจาะหลายครั้ง ทั้ง เช้า กลางวัน และเย็น คณะแพทย์ก็มักจะทูลถามว่า "เจ็บไหมกระหม่อม" พระองค์ก็จะรับสั่งกลับไปว่า "คุณก็ลองไปเจาะเองดูสิ" เท่านั้น

หรืออย่างในช่วงที่ทรงพอจะรับสั่งได้อยู่ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ทรงต้องใช้หน้ากากออกซิเจนในตอนกลางคืน เพื่อให้ออกซิเจน เข้าสู่สมองได้มากที่สุด จนทำให้พระพักตร์เป็นรอยช้ำจากการกดทับ พระองค์ท่าน ทรงแลเห็นอาตมา ที่มาเฝ้ายังไม่พักผ่อน ทั้งๆ ที่เวลาในขณะนั้น ก็ประมาณตีสองแล้ว จึงได้ถอดหน้ากากออกซิเจนออก แล้วมีรับสั่งกับอาตมา ว่า "มีอะไรหรือ มาทำอะไร ไปนอนได้แล้ว"

สำหรับงานต่างๆ ที่พระองค์ท่านได้ริเริ่มไว้ หลายๆ โครงการนั้น เชื่อว่า ก็คงได้รับการสานต่อ เว้นแต่โครงการปฏิรูปวิธีการศึกษาของพระไตรปิฎก 45 พรรษา พระพุทธเจ้าที่ยังค้างอยู่นั้น น่าจะเป็นเรื่องยากที่จะหาผู้ใดมาสานต่อ เพราะต้องใช้วิธีการคิดวิเคราะห์ในเชิงลึก และต้องใช้ทักษะขั้นสูง.


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/549411
11935  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พิษณุโลกพบรอยพระพุทธบาทในถ้ำหินงอก-ส่องแสงระยิบระยับงดงาม เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:39:03 pm




พิษณุโลกพบรอยพระพุทธบาทในถ้ำหินงอก-ส่องแสงระยิบระยับงดงาม

เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดทุ่งพระถ้ำแก้ว ม.8 ต.บ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก มีการค้นพบ รอยพระพุทธบาท และมีความสวยงามของหินงอกหินย้อย บริเวณภายในถ้ำแก้ว กระทบแสงระยิบระยับ เป็นจุดที่สนใจของนักท่องเที่ยว และพุทธศาสนิกชนชาวพุทธเป็นอย่างยิ่ง

  พระครูปลัดบุญช่วย สุทธิญาโณ เจ้าอาวาสวัดทุ่งพระถ้ำแก้ว เปิดเผยว่า ตนได้มาจำวัดอยู่ที่นี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 ปัจจุบันมีพระลูกวัดรวม 5 รูป ที่วัดแห่งนี้มีบรรยากาศที่ดีมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากวัดเป็นลักษณะตั้งอยู่บนเชิงเขา ทำให้มองเห็นวิว ทิวทัศน์ บริเวณด้านล่าง โดยเฉพาะในช่วงเดือน มกราคม ของทุกปี จะเป็นช่วงที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น จึงทำให้มองเห็นเป็นทะเลหมอกมีความสวยงามอย่างยิ่ง




   นอกจากความสวยงามทิวทัศน์แล้ว บริเวณด้านนอกที่ถ้ำแก้ว เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ มีหลายชั้น ซึ่งถ้ำแห่งนี้มีความเชื่อสืบทอดกันมาจากรุ่นสู้รุ่น ว่ามักจะมีผู้พบเห็นคล้ายลูกแก้ว เปล่งแสงหลากสีสัน ลอยขึ้นมาจากปากถ้ำ ในช่วงคืนวันพระใหญ่ จนทำให้ชาวบ้านได้ตัดสินใจลองออกค้นหา ทำให้ทราบว่าด้านในเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ มีหลายชั้น และพบรอยพระพุทธบาทถึง 2 รอย  จากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครได้พบลูกแก้วลอยอีกเลย

   พระครูปลัดบุญช่วยกล่าวอีกว่า นอกจากรอยพระพุทธบาทที่ชาวบ้านค้นพบแล้ว ภายในถ้ำยังสวยงามไปด้วยหินงอกหินย้อย ซึ่งที่นี่จะแตกต่างจากถ้ำที่อื่นคือ หินงอกหินย้อยที่ค้นพบนั้น เป็นลักษณะหินปูนประกาย มีลักษณะเหมือนเกล็ดแก้ว ส่องแสงระยิบระยับเมื่อกระทบกับแสงไฟทั้งถ้ำ ซึ่งเป็นภาพที่หาชมได้ยาก




  ทางวัดและชาวบ้านจึงได้รวมตัวกัน ตัดหญ้า ทำทางขึ้น เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยว และประชาชนเข้ามาเที่ยวชมหินงอกหินย้อย และกราบไหว้รอยพระพุทธบาท ซึ่งระยะทางต้องเดินเท้าจากตัววัดขึ้นไปภายในถ้ำ ประมาณ 200 เมตรเท่านั้น นับว่าไม่ลำบากมากนัก ส่วนภายในถ้ำ จะมีการนำไฟส่องสว่างไปติดไว้เพื่อความปลอดภัยอีกด้วย



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1450347217
11936  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง 4 ใบ - ขึ้นโรงพักลงบันทึกประจำวัน เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:33:31 pm



พระถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง 4 ใบ - ขึ้นโรงพักลงบันทึกประจำวัน

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 17 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สถานีตำรวจภูธรดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ พระจุลพงษ์ อรุณรัตน์ อายุ 34 ปี ชาวแขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพ เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยระบุว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง จำนวน 4 ใบ โดยซื้อลอตเตอรี่ เลขรางวัล 930255 ซึ่งตรงกับเลขรางวัลที่หนึ่ง ประจำงวดวันที่ 17 ธ.ค.2558 ทางด้านเจ้าหน้าที่จึงทำการบันทึกไว้เป็นหลักฐานตามกฎหมาย

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1450359528
11937  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดทั่วประเทศจัดสวดมนต์ข้ามปี เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:30:53 pm


วัดทั่วประเทศจัดสวดมนต์ข้ามปี

มส.มีมติจัดสวดมนต์ข้ามปีรับปี 2559 ตามวัดทั่วประเทศ ชวนพุทธศาสนิกชนดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาทตามวิถีชาวพุทธ ขณะนี้เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ชวนสวดมนต์ข้ามปีรอบภูเขาทอง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธเจ้า เริ่มต้นปีใหม่ด้วยการเจริญสติ

วันนี้(16ธ.ค.)พระพรหมสิทธิ(ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) กล่าวว่า มส.มีมติเห็นชอบให้วัดทั่วประเทศและวัดไทยในต่างประเทศ จัดสวดมนต์ข้ามปี ประจำปี 2558 ระหว่างวันที่ 31ธ.ค.2558- 1 ม.ค.2559 โดยส่วนกลางมอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)จัดสวดมนต์ข้ามปีที่พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และวัดปากน้ำภาษีเจริญ ส่วนภูมิภาคให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.)จัดสวดมนต์ข้ามปีตามวัดสำคัญ ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนร่วมสวดมนต์ข้ามปี รักษาไว้ซึ่งประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงาม ดำเนินชีวิตโดยความไม่ประมาทตามวิถีของชาวพุทธ เริ่มชีวิตใหม่ด้วยความสุขสวัสดี และเป็นมงคลชีวิต อย่างแท้จริง ตลอดปี 2559


 :25: :25: :25: :25:

พระพรหมสิทธิ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนวัดสระเกศ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าอาวาสได้รื้อฟื้นการสวดมนต์ข้ามปีมาตั้งแต่ปี 2547 โดยนำคณะสงฆ์วัดสระเกศ ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ข้ามปี ณ พระอุโบสถ โดยสวดบทพระนพเคราะห์เป็นหลัก ถือได้ว่าเป็นการรื้อฟื้นการสวดมนต์ข้ามปีที่ห่างหายไปนานจากสังคมไทย โดยในปี 2559 นี้ วัดสระเกศได้จัดสวดมนต์ข้ามปีรอบบรมบรรพต หรือ ภูเขาทอง ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้ ทางวัดจะมอบพระหลวงพ่อดวงดี จำนวน 50,000 องค์ แผ่นยันต์ น้ำมนต์ ให้แก่ผู้ที่มาร่วมเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลในการดำเนินชีวิตด้วย

 st12 st12 st12 st12

"การสวดมนต์ข้ามปีที่คณะสงฆ์จะจัดขึ้นทั่วประเทศนี้ เป็นการกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ ได้น้อมนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาสู่การปฏิบัติด้วยการฝึกเจริญสติ ฝึกสมาธิจาการสวดมนต์ รู้จักการรักษาศีล 5 ทำความดีที่เริ่มจากตัวเราเอง เนื่องจากที่ผ่านมาคณะสงฆ์ พบว่า เด็กรุ่นใหม่ให้ความสำคัญเข้าวัดสวดมนต์ข้ามปีเพิ่มมากขึ้นทุกปีนับตั้งแต่ มส.มีมติให้วัดทั่วประเทศจัดสวดมนต์ข้ามปีตั้งแต่ปี 2553 แทนการไปสนุกสนานนับถอยหลังข้ามปีตามสถานบันเทิงด้วยการดื่มสุราที่นำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเนื่องจากการขาดสติ" พระพรหมสิทธิกล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก  : http://www.dailynews.co.th/education/367632
11938  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "เจ้าวัดบางนมโค" ไม่หนุนพนัน ยันเข้าใจผิด 'ปาโป่ง' จัดนอกวัด เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:27:31 pm


"เจ้าวัดบางนมโค" ไม่หนุนพนัน ยันเข้าใจผิด 'ปาโป่ง' จัดนอกวัด

แชร์ภาพร้านปาโป่งงานประจำปีวัดบางนมโคลอบเล่นพนัน เจ้าอาวาสยันตั้งเต๊นท์อยู่ริมถนนนอกวัด ชี้ไม่เคยสนับสนุนเล่นพนัน ปีหน้าเพิ่มความระมัดระวัง

เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. นายเผอิญ ไทยสม หน.ศูนย์ข่าวเดลินิวส์ภาคกลาง จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยผู้สื่อข่าวประจำศูนย์ฯ เดินทางไปพบพระครูสุวัฒน์จริยาภรณ์ อายุ 79 ปี เจ้าอาวาสวัดบางนมโค ต.บางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา หลังจากที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการจัดงานประจำปีของทางวัดช่วงระหว่างวันที่ 11-15 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีการปาโป่ง ซึ่งเป็นการส่งเสริมการพนันทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการนำเสนอข่าวดังกล่าวอย่างมาก และสร้างความเสียหายกับวัด



จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าจุดที่มีการตั้งเต็นท์ปาโป่งอยู่นอกบริเวณวัดบางนมโค ไม่ได้อยู่ในวัดแต่อย่างใด โดยพระครูสุวัฒน์จริยาภรณ์ เปิดเผยว่า การจัดงานประจำปีของทางวัดบางนมโคทุกปีมุ่งเน้นการรักษาความเป็นงานวัดดั้งเดิมเอาไว้ ที่สำคัญมีประชาชนเดินทางมากราบไหว้หลวงพ่อปานพระเกจิดังที่มีชื่อเสียงเป็นส่วนใหญ่ นั่นคือเจตนาหลักของการจัดงาน ส่วนประกอบในงานทางวัดจะมีเฉพาะร้านค้าเพื่อส่งเสริมรายได้คนในท้องถิ่น และมีการแสดงดนตรีเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น

เจ้าอาวาสเปิด เผยต่อว่า เรื่องกิจกรรมที่ส่อไปในเรื่องของการส่งเสริมการเสี่ยงโชคหรือการพนันนั้น ทางวัดไม่สนับสนุนให้เข้ามาตั้งภายในวัดเด็ดขาด ทำให้มีเจ้าของร้านปาโป่งนำเต๊นท์ไปตั้งริมถนนทางด้านนอกกำแพงวัด คนที่ไม่ชอบเรื่องการพนันหรือผ่านไปมาก็นำไปสื่อสารกันทางโซเชียล บางคนอาจจะไม่เข้าใจทำให้เกิดภาพที่ไม่ดีกับวัด ซึ่งทางวัดมีการหารือกับเจ้าคณะตำบลบางนมโค คณะกรรมการวัดในการจัดงานปีต่อไปจะต้องเพิ่มความระมัดระวังไม่ให้มีกิจกรรมที่ส่อไปในด้านการพนันมาอยู่ใกล้วัดเด็ดขาด ปัจจุบันนี้วัดบางนมโคส่งเสริมการท่องเที่ยวมีร้านอาหารริมน้ำ มีปลาหน้าวัด บรรยากาศดีอยากให้ประชาชนมาเที่ยวชม และกราบไหว้หลวงพ่อปานทุกวัน.



ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/367691
11939  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ประชาชนแห่สักการะพระอัฐิสังฆราช เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:20:33 pm

ประชาชนแห่สักการะพระอัฐิสังฆราช

ประชาชนสักการพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราชเนืองแน่น เปิดอีก 2 วัน 18-19 ธ.ค.นี้ ขณะที่พระเจดีย์บรรจุพระอัฐิ อัญเชิญ 3 องค์ ประดิษฐานตำหนักเดิม วัดบวรฯ วัดเทวสังฆราม กาญจนบุรี วัดญาณสังวราราม ชลบุรี

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเจ้าพนักงานเชิญพระอัฐิจากพระเมรุวัดเทพศิรินทราวาสมายังตำหนักเพ็ชร วัดเทพศิรินทราวาสแล้ว ทางวัดได้เปิดให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะพระอัฐิ ตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นไป ซึ่งมีประชาชนเป็นจำนวนมากมารอต่อแถวขึ้นสักการะพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราชอย่างต่อเนื่อง โดยประชาชนที่มาสักการะพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราช จะได้รับหนังสือบวรธรรมบพิตร และพระรูปสมเด็จพระสังฆราช เป็นที่ระลึกด้วย.



พระสุทธิสารเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร กล่าวว่า พระเจดีย์บรรจุพระอัฐิทั้ง 3 องค์ ทำจากหินอ่อน ส่วนพระลองในบรรจุพระอัฐิทำจากงาช้าง โดยองค์ที่ประดิษฐานยังวัดบวรนิเวศวิหาร และวัดเทวสังฆาราม ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกที่พระองค์ทรงบรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ เป็นหินอ่อนสีน้ำตาล หรือหินอ่อนสีน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นหินอ่อนที่หายากของจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนพระเจดีย์สีขาว สร้างด้วยหินอ่อนจากต่างประเทศ จะอัญเชิญไปประดิษฐานยังวัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นวัดที่พระองค์สร้างขึ้น ส่วนพระสรีรางคาร หรือเถ้ากระดูก บรรจุในถ้ำ หรือกล่องหิน โดยพระเจดีย์บรรจุพระอัฐิ ทางวัดบวรนิเวศวิหาร จะอัญเชิญ ประดิษฐานยังตำหนักเดิม ซึ่งสถานที่เก็บพระอัฐิของอดีตเจ้าอาวาสทุกรูป ส่วนพระสรีรางคาร จะอัญเชิญประดิษฐานยังวิหารเก๋ง โดยในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ จะมีพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลบพระอัฐิและบรรจุพระสรีรางคาร สมเด็จพระสังฆราชด้วย


พระสุทธิสารเมธี กล่าวต่อว่า สำหรับประชาชนที่จะมาสักการะพระอัฐิ ที่ประดิษฐานยังตำหนักเพ็ชรนั้น ทางวัดได้เปิดให้สักการะได้อีก 2 วัน คือ วันที่ 18 ธ.ค. ตลอดทั้งวัน วันที่ 19 ธ.ค. ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงก่อนเวลา 16.30 น. ซึ่งจะมีพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิ.

ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/367579
11940  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พุทศาสนิกชนสักการะอัฐิสมเด็จพระสังฆราช เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:16:12 pm




พุทศาสนิกชนสักการะอัฐิสมเด็จพระสังฆราช

ประชาชนจำนวนมากเดินทางมาสักการะพระอัฐิ “สมเด็จพระสังฆราช” อย่างต่อเนื่อง
       
วันนี้ (17 ธ.ค.) เมื่อเวลา 08.17 น. เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระเจดีย์ศิลาบรรจุพระอัฐิและผอบพระสรีรางคารขึ้นรถยนต์พระประเทียบ จากวัดเทพศิรินทราวาส มาประดิษฐาน ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีคณะสงฆ์และศิษยานุศิษย์ พุทธศาสนิกชน รอรับพระอัฐิ ต่อมาเวลา 9.00 น. ทางวัดบวรนิเวศวิหารได้เปิดให้ประชาชนเข้าสักการะพระอัฐิ

       
 :25: :25: :25: :25:

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศตั้งแต่ช่วงเช้าได้มีประชาชนเดินทางเข้าสักการะพระอัฐิจำนวนมาก นางวาสนา แสงสุข อายุ 65 ปี กรุงเทพฯ กล่าวว่า ในช่วงเช้าตนได้ดูการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนในหลวงเก็บพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราช และมีเจ้าพนักงานเชิญพระอัฐิกลับวัดบวรฯ ตนจึงให้ลูกชายขับรถยนต์มาส่งที่แอร์พอตลิงค์ลาดกระบัง จากนั้นนั่งแท็กซี่มาวัดบวรฯ ตั้งใจมากราบพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราชก็ได้กราบดังตั้งใจและรู้สึกดีใจมากที่ได้รับหนังสือบวรธรรมบพิตรเป็นที่ระลึกกลับบ้านด้วย
       
ขณะที่ นายวริน สินสะอาด อายุ 45 ปี ชาวนครราชสีมา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ได้ดูการถ่ายทอดสด และทราบว่าจะเชิญอัฐิมาวัดบวรฯในช่วงเช้ามืดของวันที่ 17 ธ.ค. ตนและครอบครัวได้ขับรถยนต์จากบ้านมายังวัดบวรฯ ตั้งใจขอกราบพระสังฆราชของประชาชนสักครั้ง หลังจากกราบอัฐิพระองค์แล้วจะเดินทางไปวัดพระแก้ว ก่อนเดินทางกลับบ้าน
       
 st12 st12 st12 st12

พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร กล่าวว่า เปิดให้ประชาชนเข้าสักการะพระอัฐิ ณ พระตำหนักเพ็ชร ได้ตั้งแต่วันที่ 17 - 19 ธ.ค. โดยวันที่ 17 ธ.ค. เปิดให้สักการะ เวลา 09.00-20.00 น.ส่วน วันที่ 18 ธ.ค. เปิดให้สักการะเวลา 08.00-20.00 น. และวันที่19ธ.ค.จะเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะพระอัฐในช่วงเช้าเท่านั้น เนื่องจากในเวลา 16.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในพิธีการพระราชกุศลพระอัฐิ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000138374
11941  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปชช.แห่บูชา "พระรูปหล่อ-เข็มที่ระลึก-เหรียญ" พระสังฆราช เผยหมดแล้วไม่ทำเพิ่ม เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:11:59 pm


ปชช.แห่บูชา "พระรูปหล่อ-เข็มที่ระลึก-เหรียญ" พระสังฆราช เผยหมดแล้วหมดเลยไม่ทำเพิ่ม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของการบูชาวัตถุมงคลที่ทางวัดได้จัดทำขึ้นเพื่อบูชาสักการะสมเด็จพระสังฆราชนั้น ประชาชนให้ความสนใจเช่าบูชาจำนวนมาก ด้านนางทิพวรรณ สุทานนท์ จิตอาสาบริเวณจุดจอง และบูชาพระรูปหล่อเหมือนสมเด็จพระสังฆราช กล่าวว่า ประชาชนให้ความสนใจบูชาพระรูปหล่อเหมือนจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ยังบอกไม่ได้ว่าให้บูชาไปแล้วกี่องค์ แต่เป็นจำนวนมากแน่นอน โดยจะยังนำของมาลงเรื่อยๆ จนกว่าของจะหมด อีกทั้ง รายได้จากการบูชาทั้งหมดยังเข้ามูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยไม่หักค่าใช้จ่ายอีกด้วย


นายฮอง งานภคมงคล จิตอาสาอีกราย กล่าวว่า สำหรับเข็มที่ระลึกงานฉลองพระชันษา 100 ปี สมเด็จพระสังฆราช เหลือเพียง 200 กว่าชิ้นเท่านั้น หากหมดจากนี้จะไม่มีให้บูชาอีกแล้ว เนื่องจากเป็นเข็มที่ระลึกตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งคนให้ความสนใจอยากร่วมทำบุญ เพราะรายได้ทั้งหมดเข้ามูลนิธิฯ โดยไม่หักค่าใช้จ่าย


ด้านเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ที่ดูแลเหรียญที่ระลึกการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ กล่าวว่า ยอดผลิตเหรียญทั้งหมดจำนวน 200,000 เหรียญ ขณะนี้ใกล้จะหมดแล้ว เพราะเปิดให้บูชาตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยในวันนี้จะเปิดให้บูชาเป็นวันสุดท้าย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450331860
11942  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดให้สักการะพระสรีรางคาร ที่วิหารเก๋งทุกวัน พระอัฐิ เปิดให้สักการะทุก 2 ส.ค. เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:07:39 pm


เปิดให้สักการะพระสรีรางคาร ที่วิหารเก๋งทุกวัน พระอัฐิ เปิดให้สักการะทุก 2 ส.ค.,24ต.ค.

วันที่ 17 ธันวาคม ที่เรือนรับรอง คณะเหลืองรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เปิดเผยภายหลังเจ้าพนักงานภูษามาลา เชิญพระเจดีย์ศิลาบรรจุพระอัฐิและผอบบรรจุพระสรีรางคาร(เถ้ากระดูก) จากพระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส มาประดิษฐานที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศฯ ว่า พระเจดีย์ศิลา 3 องค์ดังกล่าว จะประดิษฐาน ณ ตำหนักเดิม วัดบวรนิเวศวิหาร,  วัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี และวัดเทวสังฆราราม จ.กาญจนบุรี และพระสรีรางคารจะประดิษฐานที่วิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศฯ   

พระศากยวงศ์วิสุทธิ์  กล่าวว่า วันนี้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าสักการะพระอัฐิ ณ พระตำหนักเพ็ชร ตั้งแต่ เวลา 09.00-20.00 น. ส่วนวันที่ 18 ธันวาคม เปิดให้สักการะเวลา 08.00-20.00 น. และวันที่ 19 ธันวาคม จะเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะพระอัฐิเป็นวันสุดท้าย ในช่วงเช้าเท่านั้น เนื่องจากในเวลา 16.30 น. มีพระราชพิธีในการพระราชกุศลพระอัฐิ(ฉลองพระอัฐิ) และอัญเชิญไปประดิษฐานยังตำหนักเดิม

ส่วนวันที่ 20 ธันวาคม เวลา 10.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในการเชิญผอบพระสรีรางคารไปประดิษฐานยังวิหารเก๋ง  หลังจากนั้นประชาชนสามารถมาสักการะพระสรีรางคารที่วิหารเก๋งได้ทุกวัน ส่วนพระอัฐิ จะเปิดให้ประชาชนสักการะได้ในคราวที่เชิญพระอัฐิมาบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานที่พระอุโบสถ ในวันที่ 2 สิงหาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันทำบุญอดีตเจ้าอาวาส และวันที่ 24 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์สมเด็จพระสังฆราช   




ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450332831
11943  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ′บวรธรรมบพิตร′ ไม่พอ วัดบวรฯ เล็งพิมพ์อีกแสนเล่ม เตือนระวังมิจฉาชีพแอบก๊อปปี้ เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:03:17 pm
พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย)

′บวรธรรมบพิตร′ ไม่พอ วัดบวรฯ เล็งพิมพ์อีกแสนเล่ม
เตือนระวังมิจฉาชีพแอบก๊อปปี้ ย่าม ′ญสส′ ขาย แอบขายหนังสือที่ระลึกราคาสูง

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่เรือนรับรอง คณะเหลืองรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เปิดเผยถึงพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ว่า จัดได้อย่างสมพระเกียรติ และนับเป็นประวัติศาสตร์ของโลก ที่มีประมุขสงฆ์ 13 ประเทศ 19 รูป เดินทางมาร่วมในพระราชพิธี และที่สำคัญขณะเคลื่อนริ้วขบวนอัญเชิญพระโกศพระศพ พุทธศาสนิกชนที่มาร่วมส่งเสด็จต่างพร้อมใจกันเดินตามขบวนจนถึงวันเทพศิรินทราวาสกว่าหมื่นคน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสมเด็จพระสังฆราชอย่างล้นหลาม จึงถือได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระของประชาชนโดยแท้   

พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าวต่อว่า หนังสือที่ระลึก "บวรธรรมบพิตร ฉบับพระประวัติและฉบับประมวลพระรูป" ซึ่งทางวัดได้จัดพิมพ์แจกแก่ประชาชนที่มาร่วมถวายดอกไม้จันทน์ จำนวน 3 แสนเล่ม ปรากฏว่าไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนที่มาร่วมงาน  ทางวัดจึงมีนโยบายจัดพิมพ์เพิ่มอีก 1 แสนเล่ม โดยมีญาติโยมเป็นเจ้าภาพค่าจัดพิมพ์
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีผู้นำย่ามที่ระลึก ปักอักษรย่อ "ญสส" ไปก๊อปปี้เพื่อจำหน่ายและแอบอ้างเป็นของวัดบวรนิเวศฯ นอกจากนี้ หนังสือที่ระลึกในงาน มีผู้นำไปขายในราคาที่สูงกว่าปกติ โดยแอบวางจำหน่ายบริเวณวัดบวรฯ ทางวัดจึงฝากแจ้งแก่ญาติโยมว่า ทางวัดไม่มีนโยบายในการจำหน่ายของที่ระลึก เพราะจัดทำเพื่อแจกผู้มาร่วมถวายดอกไม้จันทน์ในวันที่ 16 ธันวาคมเท่านั้น


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450333601
11944  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: 'สมเด็จพระบรมฯ' เสด็จฯ เก็บพระอัฐิ สมเด็จพระสังฆราชฯ เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 11:07:49 am









ขอบคุณภาพจาก
https://www.thairath.co.th/
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1226816623
http://www.dailynews.co.th/royalnews/367510
www.bangkokbiznews.com
11945  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ชีวิตแบบอย่าง “สมเด็จพระสังฆราช” สถิตใจชาวไทยกว่า 24 ปี เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:49:41 am


ชีวิตแบบอย่าง “สมเด็จพระสังฆราช” สถิตใจชาวไทยกว่า 24 ปี

เนื่องในการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2558 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร และพระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร ทีมข่าว ผู้จัดการ Live จึงถือโอกาสขอรวบรวมคำสอน เพื่อให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้แสดงความสํานึกในพระเมตตาและพระบารมีธรรม ควรน้อมเป็นแบบอย่างนำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์สุข....
       

       
       
          พระประวัติชีวิต..ที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
       
       สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) ประสูติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2456 เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2532 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถือเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชันษามากกว่าสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ในอดีตและเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกของไทยที่มีพระชันษา 100 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต
       
       พระประวัติชีวิตและผลงานของสมเด็จพระสังฆราช เป็นสิ่งที่มีคุณค่าควรแก่การยึดถือเป็นแบบอย่างของคนทั่วไป อย่างน้อย 2 ประการคือ ชีวิตแบบอย่าง และปฏิปทาแบบอย่าง ชีวิตแบบอย่างของสมเด็จพระสังฆราช นั้นก็ไม่แตกต่างไปจากชีวิตของคนทั่วๆ ไป คือมีทั้งผิด หวังและสมหวัง มีทั้งสำเร็จและล้มเหลว มีทั้งดีใจและเสียใจ แต่โดยที่ทรงมีคุณธรรม หลายประการที่โดดเด่นเป็นแกนหรือเป็นแก่นของชีวิต ชีวิตของพระองค์จึงมีแต่ความสมหวังมากกว่าผิดหวัง มีความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลว และมีความดีใจมากกว่าเสียใจ
       
       ด้วยคุณธรรมอันเป็นแกนของชีวิตดังกล่าวพระองค์จึงทรงประสบความสำเร็จ หรือทรงเจริญก้าวหน้าไปตามครรลองของชีวิตจนถึงที่สุด ดังเป็นที่ปรากฏอยู่ในบัดนี้ หากวิเคราะห์ ตามที่ปรากฏในพระประวัติ ก็จะเห็นได้ว่า พระคุณธรรมที่โดดเด่นในชีวิตของพระองค์ ก็คือ อดทน ใฝ่รู้ กตัญญู ถ่อมตน คารวธรรม

       
        :25: :25: :25: :25: :25:       
       
       พระคุณธรรมประการแรกที่ปรากฏเด่นชัดในชีวิตของสมเด็จพระสังฆราช คือ ความอดทน (ขันติ) ทรงมีพระสุขภาพอ่อนแอไม่แข็งแรงมาตั้งเยาว์วัย จนถึงเมื่อทรงบรรพชาเป็นสามเณร พระสุขภาพที่อ่อนแอนับเป็นอุปสรรคสำคัญของการศึกษาเล่าเรียน พระองค์ต้องทรงใช้ความอดทนอย่างหนัก ทรงเล่าว่า บางครั้งเมื่อถึงเวลาสอบ ต้องทรงใช้ผ้าสักหลาดพันรอบอกหลายชั้น เพื่อไม่ให้เกิดอาการหนาวสั่น ในเวลานั่งสอบ และยังต้องอดทนต่อเสียง ค่อนแคะของเพื่อนร่วมสำนักอีกนานัปการ แต่สิ่งเหล่านี้แทนที่จะทำให้กำลังพระทัยลดน้อยลง แต่กลับทำให้ทรงรู้สึกว่าจะต้องมีความอดทนมากขึ้น
       
       พระคุณธรรมที่โดดเด่นประการต่อมาก็คือ ความใฝ่รู้ (สิกขกามตา) ทรงเป็นผู้ใฝ่รู้มาโดยตลอดแม้เมื่อทรงเป็นพระมหาเถระแล้ว พระอัธยาศัยใฝ่รู้ของพระองค์ ก็ไม่เคยจืดจาง ได้ทรงแสวงหาความรู้อยู่เสมอด้วยการทรงอ่านหนังสือ ทั้งที่เป็นหนังสือภาษาไทย และภาษาอังกฤษ หนังสือดีมีประโยชน์บางเรื่องที่ทรงอ่านแล้ว ยังทรงพระเมตตาแนะนำให้ ผู้ใกล้ชิดอ่านด้วย โดยมักมีรับสั่งว่า “เรื่องนี้เขาเขียนดี น่าอ่าน”
       
       พระคุณธรรมข้อกตัญญู สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระคุณธรรมข้อนี้อย่างเด่นชัด และทรงหาโอกาสสนองคุณของผู้ที่มีพระคุณต่อพระองค์ แม้เพียงเล็กน้อยอยู่เสมอ เช่น เมื่อทรงได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร ก็ทรงรำลึกถึงพระคุณของสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) ที่ทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระญาณสังวร เป็นรูปแรกในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะหากไม่มีสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) เป็นรูปที่ 1 ก็คงไม่มีสมเด็จพระญาณสังวร คือพระองค์เอง เป็นรูปที่ 2 ฉะนั้น เมื่อถึงเทศกาลเข้าพรรษา จึงเสด็จไปถวายสักการะพระรูปสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ที่วัดราชสิทธารามเป็นประจำทุกปีตลอด

       
       
       
       
       พระคุณธรรมข้อถ่อมตน (นิวาตะ) ทรงมีความถ่อมพระองค์มาแต่ต้น เพราะความถ่อมตน สมเด็จพระสังฆราช จึงทรงเป็นพระเถระที่สงบเสงี่ยม สำรวมระวัง ตรัสน้อย และไม่ชอบแสดงตน ดังเช่นในการสอนสมาธิกรรมฐาน พระองค์ก็มิได้แสดงพระองค์ว่าเป็นผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญกว่าใครๆ แต่มักตรัสว่า “แนะนำในฐานะผู้ร่วมศึกษาปฏิบัติด้วยกัน” บางครั้งมีผู้กล่าวถึงพระองค์ว่า เป็นพระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงทราบจะทรงแนะว่า ไม่ควรกล่าวเช่นนั้น เพราะ “ใครๆ ไม่ควรที่จะอวดอ้างตนว่าเป็นครูอาจารย์ของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินทุกคนมีหน้าที่ต้องถวายงานสนองพระราชประสงค์เท่านั้น”
       
       ข้อสุดท้ายพระคุณธรรมข้อคารวธรรม คือความเคารพในพระรัตนตรัย ความเคารพในพระพุทธเจ้านั้น ทรงแสดงออกด้วยการเคารพต่อพระพุทธรูปในทุกสถานการณ์ เช่น ทรงแสดงความเคารพต่อพระเถระ ผู้มีอาวุโสมากกว่าพระองค์ทุกรูป ไม่ว่าพระเถระรูปนั้นจะเป็นภิกษุธรรมดาไม่มียศศักดิ์ อะไรหากมีอาวุโสพรรษามากกว่า พระองค์ก็ทรงกราบแสดงความเคารพเสมอ เมื่อมีพระสงฆ์ จากที่ต่างๆ มาเข้าเฝ้า หากมีพระเถระผู้เฒ่ามาด้วย ก็จะทรงถามก่อนว่าท่านพรรษาเท่าไร หากมีอายุพรรษามากกว่า จะทรงนิมนต์ให้นั่งบนอาสนะและทรงกราบตามธรรมเนียมทางพระวินัย
       
       พระคุณธรรมเหล่านี้ ทำให้ชีวิตของสมเด็จพระสังฆราช เป็นชีวิตที่งดงามหรือกล่าวอย่าง ภาษาชาวโลกก็คือ เป็นชีวิตที่ประสบความสำเร็จ เป็นชีวิตที่สามารถยึดถือ เป็นแบบอย่าง ได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตทาง โลกหรือชีวิตทางธรรม…

       
       
       
       
         “ผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา”
               
       พระองค์ทรงดำรงสมณศักดิ์สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก รวม 24 ปี ถือว่ายาวนานที่สุดเมื่อเทียบกับสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ในอดีตที่ผ่านมา สมเด็จพระสังฆราช ทรงประกอบพระกรณียกิจเพื่อพุทธศาสนาอย่างมากมาย ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จนได้รับทูลถวายตำแหน่งผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555 ในการประชุมสุดยอดผู้นำชาวพุทธโลกจาก 32 ประเทศ และตลอดห้วงระยะเวลาที่สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชมาอย่างยาวนานนั้น ทรงปฏิบัติบำเพ็ญต่อพระศาสนา ประชาชน และชาติบ้านเมืองเป็นอเนกประการ พอสรุปโดยสังเขป ดังนี้                   
       
       ด้านสาธารณูปการ ได้ทรงบูรณะซ่อมสร้างเสนาสนะ และถาวรวัตถุอันเป็นสาธารณประโยชน์เป็นจำนวนมาก คือ ปูชนียสถาน อาทิ พระอารามวัดต่างๆ มณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง พระเจดีย์ วัดบวรนิเวศวิหาร พระบรมธาตุ เจดีย์ศรีนครินทรมหาสันติคีรี และยังทรงก่อสร้างโรงเรียน คือโรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ยโสธร และโรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต กาญจนบุรี อีกทั้งยังได้ประทานทุนการศึกษาให้แก่เด็กเรียนดีแต่ยากจนเป็นจำนวนมาก
       
       ด้านสาธารณสุขและสาธารณกุศล พระองค์ท่านทรงอำนวยการก่อสร้างตึกหลายแห่งในหลาย ๆ โรงพยาบาล อาทิ การสร้างตึกวชิรญาณวงศ์ ตึกวชิรญาณสามัคคีพยาบาร และตึก ภปร. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต จังหวัดกาญจนบุรี, โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี, และโรงพยาบาลสกลมหาสังฆปริณายก พร้อมทั้งพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราช ณ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
       

       
       
       
       ด้านการพระศาสนา สมเด็จพระสังฆราชทรงมีส่วนร่วมในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งแรกของไทย และยังทรงเป็นพระอาจารย์รุ่นแรก รวมถึงมีพระดำริส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ขยายการศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก รวมทั้งประทานทุนการศึกษาแก่พระภิกษุให้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอกในต่างประเทศ
       
       อีกทั้ง ยังทรงนิพนธ์เรื่องต่างๆ ทั้งที่เป็นตำรา พระธรรมเทศนา และทั่วไป อาทิ ทรงเรียบเรียงวากยสัมพันธ์ ภาค 1-2 สำหรับใช้เป็นหนังสือประกอบ การศึกษาของนักเรียนบาลี และทรงอำนวยการจัดทำ ปทานุกรม บาลี ไทย อังกฤษ สันสกฤต ฉบับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทรบุรีนฤนาถ ประเภทพระธรรมเทศนา มีอยู่เป็นจำนวนมาก เท่าที่พิมพ์เป็นเล่มแล้วเช่น ปัญจคุณ 5 กัณฑ์, ทศพลญาณ 10 กัณฑ์, มงคลเทศนา, โอวาทปาฏิโมกข์ 3 กัณฑ์, สังฆคุณ 9 กัณฑ์ เป็นต้น

       
       
       

         7 วิถี สมถะ
       
       พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพส่วนมากอยู่ในสมณเพศมาโดยตลอด ยังใช้ชีวิตเสมือนบุคคลทั่วไป ทรงมีความถ่อมพระองค์ ทรงปฏิบัติอย่างเรียบง่ายเหมือนกับพระสงฆ์รูปหนึ่ง พระองค์จะทรงเตือนพระสงฆ์ และสามเณรอยู่เสมอว่า "พระเณรไม่ควรอยู่อย่างหรูหรา" พระองค์ทรงไม่สะสมวัตถุสิ่งของที่มีผู้นำมาถวาย โดยจะทรงแจกจ่ายต่อไปตามโอกาส มีเพียงเครื่องสมณบริขารหรือเครื่องใช้สอยของพระสงฆ์ ซึ่งมีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ด้วยความเรียบง่าย สิ่งของเครื่องใช้ของพระองค์ก็จะเป็นของมือสองเสียส่วนใหญ่ อาทิ
                       
       1.โต๊ะทรงงานของพระองค์ อีกทั้ง ยังเป็นโต๊ะรับแขกของสมเด็จพระสังฆราชด้วย รอบๆ โต๊ะทรงงานของพระองค์ ยังแวดล้อมไปด้วยหนังสือธรรมะ หนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และหนังสือภาษาอังกฤษจำนวนมากที่พระองค์ทรงโปรดปราน       
       2.บาตรน้ำมนต์ พระองค์ทรงใช้ตลอด มีผู้ถวายครั้งเสด็จไปประเทศเนปาล ความพิเศษของบาตรใบนี้ทำจากทองแดง และรูปทรงก็จะไม่เหมือนกับบาตรที่สร้างในบ้านเรา     
       3.พระแก้ว เป็นพระพุทธรูปที่อยู่กับพระองค์มากว่า 30 ปีแล้ว โดยวางอยู่ในห้องตำหนักคอยท่าปราโมช   
       4.โต๊ะและเก้าอี้สำหรับสอนธรรมะ พระองค์ซื้อมาจากเวิ้งนาครเขษม ราคาประมาณ 6 บาท พระองค์เอามาซ่อมแซม และทำใหม่ โต๊ะและเก้าอี้ชุดนี้ใช้เวลาสอนเรื่องพระพุทธศาสนา และธรรมะให้แก่ชาวต่างชาติโดยเฉพาะ       
       5.เตียงบรรทม เป็นตั่งไม้ แต่ตัวตั่งสั้นมาก ขณะที่พระองค์สูง 179 เซนติเมตร สมัยก่อนพระองค์เดินตรวจวัดหรือว่าเดินไปพบเศษไม้ หรือโต๊ะหมู่ที่ลูกศิษย์ทิ้งแล้ว พระองค์จะเก็บกลับมาต่อตั่งให้ยาวขึ้น เตียงบรรทมของพระองค์ก็เหมือนเตียงนอนของชาวบ้านทั่วไป ส่วนที่นอนของพระองค์เย็บจากฟางข้าว       
       6.อาสนะ (ที่ปูรองนั่ง) เป็นอาสนะที่สมเด็จพระสังฆราชโปรดปรานที่สุด เพราะพระชนนีของพระองค์เย็บด้วยมือจากเศษเสื้อผ้าที่เหลือจากเย็บเสื้อผ้าให้ลูกค้า ซึ่งอาสนะผืนนี้พระชนนีทำด้วยความรัก และความศรัทธา นำมาถวายให้พระองค์ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร พระองค์จะบอกเสมอว่าเวลาคิดถึงพระชนนีก็จะดูอาสนะผืนนี้เพื่อคลายความคิดถึง     
       7.บาตร เป็นบาตรที่สมเด็จพระสังฆราชทรงใช้บิณฑบาต และฉันภัตตาหาร ไม่ว่าจะรับกิจนิมนต์ที่ไหนพระองค์ก็จะใช้บาตรใบนี้ตลอด

       

     
           

       ทั้งนี้ สำหรับเครื่องสมณบริขารทั้ง 7 ชิ้นของสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหารจะรวบรวมไว้ที่ตำหนักคอยท่าปราโมชและในอนาคตเตรียมนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ทิ้งไว้เป็นมรดกให้พุทธศาสนิกชนได้ศึกษาถึงความพอเพียงของพระองค์ ที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
       
       จากพระประวัติที่ได้กล่าวมานี้ พระองค์ทรงเป็นพระมหาเถระผู้ทรงคุณธรรม และทรงปฏิบัติพระจริยวัตร พระกรณียกิจ ในด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติมาอย่างต่อเนื่อง แม้พระองค์ท่านจะจากไปแล้ว แต่คุณงามความดีและคำสอนของพระองค์ท่านจะยังคงอยู่ในใจของพวกเราปวงชนชาวไทยตลอดไป...

     



ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
ขอบคุณข้อมูล: เว็บไซต์วัดบวรนิเวศวิหาร, วิกิพีเดีย
ภาพประกอบ: www.sangharaja.org
ที่มา : http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9580000137684
11946  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / "สมเด็จพระสังฆราช" ทรงเป็นแบบอย่างความเรียบง่าย ปกครองด้วยเมตตาธรรม เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:37:38 am



"สมเด็จพระสังฆราช" ทรงเป็นแบบอย่างความเรียบง่าย ปกครองด้วยเมตตาธรรม
โดย...นิติพันธุ์ สุขอรุณ

“คุณงามความดีของสมเด็จพระสังฆราชนั้นมากล้นเหลือคณานับในทุกด้าน” คำกล่าวยกย่องสรรเสริญจาก สุเชาวน์ พลอยชุม อาจารย์พิเศษประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ผู้ซึ่งเคยบวชพระเข้ามาเป็นลูกศิษย์รับใช้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก อย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่ปี 2501 จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายก่อนสิ้นพระชนม์

เขายังเป็นบุคคลสำคัญในการเรียบเรียงพระประวัติสมเด็จพระสังฆราช ในหนังสือชื่อ“บวรธรรมบพิตร” ถือเป็นหนังสือทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของชาติด้วยตนเอง

 :96: :96: :96: :96:

อดีตพระลูกศิษย์ติดตามผู้นี้ ถ่ายทอดเรื่องราวที่สะท้อนความเป็นตัวตนของสมเด็จพระสังฆราชว่า พระอุปนิสัยส่วนตัวทรงมีความสงบเสงี่ยมเรียบร้อย รักในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอด แม้กระทั่งจะเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ก็ยังทรงชอบอ่านหนังสือ หรือจดบันทึกเรื่องราวที่น่าสนใจไว้ในสมุดบันทึกเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นคำบอกเล่าของคนทั่วๆ ไปที่เข้ามาสนทนา หรือเวลาอ่านหนังสือพิมพ์หากเจอเรื่องอะไรที่น่าสนใจก็จะบันทึกไว้

ในแง่พระอุปนิสัยการทำงาน สมเด็จพระสังฆราชทรงมีความเป็นระเบียบ ละเอียดในสิ่งเล็กน้อยหากคิดการใหญ่ต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่พระอาจารย์ท่านอื่นได้ทำไว้แต่เดิม เรื่องใดที่ดีอยู่แล้วจะคงไว้ เรื่องใดที่ต้องปรับปรุงจะเปลี่ยนแปลงเพื่อความเหมาะสม หากแต่ยังคงเหลือรากฐานสิ่งดีงามของสิ่งเดิมให้คงอยู่ด้วย แสดงให้เห็นว่าท่านให้ความเคารพต่อบูรพาจารย์อย่างสูง

 :25: :25: :25: :25:

“พระองค์ทรงคิดและทำการใดๆ ด้วยความมีเหตุและผลในแต่ละเรื่องอย่างรอบคอบ ไม่ให้เกิดปัญหาตามมา และทรงมีแนวคิดในการทำงาน การปกครองคน หรือแม้กระทั่งทรงสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ในลักษณะที่เป็นคำสอน หากจะนับเป็นจำนวนเรื่องก็คงได้หลายร้อย” สุเชาวน์ ระบุ

เขาเล่าว่า หนึ่งในผลงานโดดเด่นชิ้นสำคัญของสมเด็จพระสังฆราชคือการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี ประดิษฐานอยู่บนยอดที่สูงสุดของดอยแม่สลอง จ.เชียงราย ถัดมาคือ วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี วัดรัชดาภิเษก อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี ฯลฯ โดยสิ่งก่อสร้างที่เป็นวัตถุเหล่านี้มีประสงค์ให้เป็นสถานสืบทอดพระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ตราบนานเท่านาน นอกจากนั้นยังทรงสร้างโรงพยาบาล โรงเรียน และสาธารณประโยชน์อีกเป็นจำนวนมาก


 st12 st12 st12 st12

ที่สำคัญ ทรงมีความเคร่งครัดในกิจวัตรหน้าที่ความเป็นพระ อย่างการบิณฑบาต การฝึกสมาธิ มีวินัยไม่ทรงขาด ทั้งยังเรียบง่ายไม่ฟุ้งเฟ้อ เช่น ของใช้ส่วนตัวท่านจะใช้เท่าที่จำเป็น มักเป็นของพื้นๆธรรมดา ไม่นิยมของทันสมัยราคาแพง ท่านทรงสั่งสอนศิษย์ให้สำนึกอยู่เสมอว่า การเป็นพระจะต้องอยู่แบบเรียบง่าย ไม่หรูหรา ที่ประทับก็เช่นกันไม่นิยมตกแต่งด้วยของมีค่า ใช้เท่าที่จำเป็น มีเท่าที่จำเป็นต้องใช้ อะไรที่ฟุ่มเฟือยแบบชาวบ้าน ถือว่าไม่เหมาะสำหรับพระ

“เคยมีบางครั้งที่ญาติโยมนำของมาถวาย ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรู หรือเงินจำนวนหลายล้านบาทท่านจะไม่รับหรือรับไว้แต่จะประทานคืนให้และสั่งให้นำไปสร้างประโยชน์อย่างอื่นแทนสืบต่อไป ไม่เคยเอามาเป็นของส่วนตัว และจากการที่ได้อยู่ใกล้ชิดเราก็ได้เห็นสิ่งเหล่านี้เป็นประจำ จึงเกิดการซึมซับเป็นแบบอย่างในบรรดาลูกศิษย์มาจนถึงทุกวันนี้” สุเชาวน์ กล่าว



สุเชาวน์ พลอยชุม อาจารย์พิเศษประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย


อดีตพระลูกศิษย์ ระบุว่า การได้มาอยู่กับพระองค์ท่าน ทำให้ทราบว่าท่านใช้ความสามารถในการตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างเรื่องพระธรรมนิวัย โดยจะไม่ทำการใดๆ ที่อยู่นอกกรอบของพระธรรมวินัยเด็ดขาด อย่างเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาในประเทศไทย ท่านใช้ความเป็นผู้นำที่เด็ดขาด ตั้งอยู่บนความยุติธรรม ถูกต้องเมตตา ไม่ใช่ทำไปด้วยความโกรธแค้นเกลียดชัง

เช่น เหตุการณ์ของสันติอโศก เป็นเรื่องที่เรื้อรังมานาน กระทั่งเมื่อพระองค์ท่านได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช กรณีนี้จึงมาถึงความรับผิดชอบของท่านในฐานะที่ทรงเป็นประมุขของคณะสงฆ์ อีกทั้งเป็นจังหวะที่จะมีการตัดสินพอดี จึงตัดสินตามหลักความถูกต้องของพระธรรมวินัย ก็ทำให้เรื่องนี้ยุติลงได้ด้วยความเรียบร้อย

ขณะเดียวกัน ท่านก็ทรงเตือนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องนี้ว่า ทุกฝ่ายต้องทำหน้าที่ของตัวเองบนพื้นฐานของความเมตตาธรรม


 st11 st11 st11 st11

เรื่องถัดมาที่สะท้อนถึงความกล้าคิดในการตัดสินใจด้วยเหตุและผลเป็นสำคัญคือ การที่ชาวต่างชาติเข้ามาบวชในประเทศไทย แล้วกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อเผยแผ่ศาสนา มีปัญหาเรื่องเครื่องนุ่งห่มเพราะอากาศทางประเทศตะวันตก โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่พระสงฆ์จะอยู่อย่างลำบาก เพราะจีวรนุ่งห่มแค่ผืนเดียวป้องกันความหนาวเย็นไม่ได้

“ท่านจึงตัดสินใจเสนอเรื่องขอต่อมหาเถรสมาคม ให้อนุญาตเสริมเครื่องนุ่งห่มแก่พระสงฆ์ในต่างแดนได้หรือไม่ รวมทั้งขอให้สวมรองเท้าเดินหิมะใช้ในเวลาที่จำเป็นได้หรือไม่ ผลที่ได้คือการอนุมัติให้พระสงฆ์เสริมเครื่องนุ่งห่มตามแต่เห็นสมควร ซึ่งเรื่องแบบนี้สำหรับบางคนอาจลำบากใจไม่กล้าเปลี่ยนแปลงกฎต่างๆ เพื่อความเหมาะสม” สุเชาวน์ กล่าว


 st12 st12 st12 st12

สุเชาวน์ เล่าว่า ครั้งสมัยที่อยู่เป็นศิษย์สมเด็จพระสังฆราช ท่านเคยบอกอยู่เสมอว่า “อยากให้ทุกคนเปลี่ยนความคิดที่ว่า ท่านเป็นอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากคิดเช่นนั้นถือว่าไม่ถูกต้อง” ทรงอธิบายอีกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ในฐานะที่ไม่ควรที่ใครๆ จะดึงตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะเป็นญาติ เป็นครูบาอาจารย์ เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบารมีสูงส่งมากไม่ว่าใครก็ไม่ควรยกตนขึ้นแอบอ้าง ท่านถือแต่เพียงอยากสนองงานตามพระราชประสงค์เท่าที่ความเป็นพระของท่านจะทำได้ แสดงให้เห็นถึงความเคารพต่อเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอย่างนอบน้อม

ในอีกทางหนึ่ง พสกนิกรชาวไทยจะได้เห็นว่าหนังสือพระราชทานพระอิสริยยศเป็นกรณีพิเศษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ถูกส่งมาจากสำนักราชเลขาธิการ มีคำหนึ่งระบุโดยใช้คำว่า “ครุฐานียะ”*เป็นถ้อยคำที่แสดงให้เห็นถึงความเคารพนับถือต่อสมเด็จพระสังฆราชเป็นอย่างสูงยิ่ง ทั้งยังแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์สู่สายตาประชาชน ด้วยการถวายพระเกียรติเลื่อนชั้นโกศ นับเป็นการถวายพระเกียรติครั้งสุดท้าย

อีกทั้งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ผู้มีบารมีสูงส่งทั้งสองท่านแสดงความเคารพนับถือระหว่างกัน เรื่องราวเช่นนี้ควรค่าต่อการจดจำตราบนานเท่านาน


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.posttoday.com/analysis/report/405084
11947  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / สมเด็จหลังลายเซ็น ปี ๒๕๑๖ "หลวงปู่โต๊ะ สร้างถวาย สมเด็จพระญาณสังวรฯ" เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:29:29 am

สมเด็จหลังลายเซ็น ปี ๒๕๑๖ "หลวงปู่โต๊ะสร้างถวายสมเด็จพระญาณสังวรฯ"
พระองค์ครู เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

“เจริญ สุวฑฺฒโน” ฉายาพระนามของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒนมหาเถร) ครองวัดบวรนิเวศวิหาร ถือว่าเป็นมหามงคล ช่วงที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพนั้น มีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ใครมาบวชที่วัดบวรฯ เมื่อสึกออกไปจะมีชีวิตรุ่งเรืองในทุกด้าน โดยเฉพาะคนเมืองกาญจนบุรี หากมีโอกาสก็จะมาบวชที่วัดบวรฯ ให้ได้ โดยเฉพาะในพิธีอุปสมบทนาคหมู่จะมีคนจาก จ.กาญจนบุรีสมัครบวชมากเป็นพิเศษ

นายอดุลย์นันท์ทัต กิจไชยพร หรือ “แดน ท่าพระจันทร์” กรรมการตัดสินพระเครื่องชุดสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ วัดบวรนิเวศวิหาร ของสมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย บอกว่า เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ น่าจะทรงมีความรู้ในการสร้างพระเครื่องมาตั้งแต่ครั้งประทับอยู่วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) แล้ว เพราะพระเทพมงคลรังษี (หลวงพ่อดี พุทฺธโชติ) พระอุปัชฌาย์เมื่อครั้งพระองค์ทรงบรรพชาและอุปสมบท ณ วัดเทวสังฆารามนั้น เป็นศิษย์ของหลวงปู่ยิ้ม จนฺทรํสี ซึ่งมีความรู้เรื่องการลบผงพุทธคุณตามสูตรมูลกัจจายน์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการศึกษาพระปริยัติธรรมของพระสงฆ์ในสมัยก่อน


 :25: :25: :25: :25:

โดยพระองค์สนพระทัยด้านการศึกษาพระปริยัติธรรมตามความประสงค์ของหลวงพ่อดี พระอุปัชฌาย์ มากกว่า และเป็นจุดมุ่งหมายหลักของพระองค์ ดังปรากฏถึงผลการศึกษาพระปริยัติธรรมของพระองค์ทั้งที่วัดเสนหา และวัดบวรนิเวศวิหาร โดยลำดับ ว่า ในที่สุดพระองค์ท่านก็ทรงสอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค อันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว

“แดน ท่าพระจันทร์” บอกว่า ครั้งหนึ่งเคยเข้าเฝ้า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ครั้งแรก เมื่อยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากรใน พ.ศ.๒๕๓๑ พระองค์ท่านทรงพระเมตตาประทานวัตถุมงคลและหนังสือพระนิพนธ์แสงส่องใจ ทรงกำชับว่า ให้อ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบ พระเครื่องคือพุทธานุสติ หนังสือคือ เท่านี้ก็จะเป็นมงคลยิ่งนัก

 st12 st12 st12 st12

ตัวเลขการประทานพระอนุญาตให้สร้างพระของสมเด็จพระสังฆราช แก่วัด หน่วยงานราชการ และองค์กรการกุศลต่างๆ แดน ท่าพระจันทร์ ประมาณการว่า น่าจะอยู่ที่ “๑๕๐ รุ่น/ปี” ปีที่มีการอนุญาตสูงสุดมี ๔ ปี คือ พ.ศ.๒๕๓๓-พ.ศ.๒๕๓๖ หลังพระองค์สิ้นพระชนม์ค่านิยมก็เพิ่มขึ้นทุกรุ่น โดยเฉพาะเหรียญพระศาสดา และเหรียญพระรูปเหมือนรุ่นแรก

วัตถุประสงค์ที่พระองค์จะประทานพระอนุญาตโดยไม่ขัดข้องคือ “สร้างโรงพยาบาล กับสร้างโรงเรียน” ในกรณีการสร้างวัดนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการบูรณะวัดร้าง เงินสกลมหาสังฆปริณายกที่รัฐบาลถวายปีละ ๒๕ ล้านบาท ทั้งหมดจะถูกนำไปสร้างโรงพยาบาล


 st11 st11 st11 st11

สำหรับภาพพระองค์ครูฉบับนี้เป็น “พระสมเด็จหลังลายเซ็น พ.ศ. ๒๕๑๖” ที่พระสังวรวิมลเถร (สมณศักดิ์ในขณะนั้น) หรือหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ได้สร้างถวาย ประกอบด้วยผงพระวัดพลับที่ได้มาครั้งหลวงปู่โต๊ะไปฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน ณ วัดพลับ ผงพระพุทธคุณที่หลวงปู่โต๊ะลบทำขึ้นมาตามสูตรโบราณ พระผงรุ่นแรกของหลวงปู่โต๊ะและผงพระสมเด็จปรกโพธิ์ฐานเกย รุ่น พ.ศ.๒๕๑๐

สมเด็จพิมพ์ทรงแบบสี่เหลี่ยมชิ้นฟัก เป็นการสร้างล้อพิมพ์แบบวัดระฆัง พิมพ์ทรงเจดีย์ โดยมีมวลสารสูตรเดียวกัน ส่วนผสมใกล้เคียงกันมาก เพราะผู้ดำเนินการจัดสร้างคือคนเดียวกัน สมเด็จ เมตตา พุทธคุณแรง สมชื่อ ส่วนผสมเนื้อแบบวัดระฆังของสมเด็จโต

ผู้ที่สนใจศึกษาพระเครื่องที่จัดสร้างในพระนามสมเด็จพระสังฆราช ทุกรุ่น เข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก “สมเด็จพระญาณสังวร(สุวฑฺฒนมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชฯ วัดบวรนิเวศวิหาร”


ขอบคุณภาพแดละบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151215/218606.html
11948  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / วัตถุมงคล สมเด็จพระญาณสังวรฯ รุ่น 'ทีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา พ.ศ.๒๕๓๖' เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:25:10 am


วัตถุมงคล สมเด็จพระญาณสังวรฯ รุ่น 'ทีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา พ.ศ.๒๕๓๖'
พระเครื่องสรณะคนดัง เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

วัตถุมงคล รุ่น “ทีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา” พ.ศ.๒๕๓๖ จัดสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนในการสร้างวัดล้านนาญาณสังวราราม ต.ป่วงเปา อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ โดยสมนาคุณแก่ผู้ร่วมบริจาคสมทบทุนในการสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วให้สำเร็จ พร้อมทั้งเฉลิมพระเกียรติ เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญพระชันษา ๘๐ ปี ๓ ตุลาคม ๒๕๓๖

กำหนดพิธีมหาพุทธาภิเษกวันศุกร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๖ เวลา 15.00 น. ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธานในพิธี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รมว.มหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส รายนามคณาจารย์ที่นั่งปรกในพิธีมหาพุทธาภิเษก หลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ วัดธาตุมหาชัย นครพนม, พระครูฐาปนกิจสุนทร (เปิ่น) วัดบางพระ นครปฐม (ดับเทียนชัย), หลวงพ่อยิด จนฺทสุวัณโณ วัดหนองจอก ประจวบคีรีขันธ์, หลวงพ่อหลิว วัดไร่แตงทอง นครปฐม, หลวงปู่ทอง วัดสามปลื้ม กรุงเทพฯ, หลวงปู่หยอด วัดแก้วเจริญ สมุทรสงคราม, หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ พระนครศรีอยุธยา, หลวงพ่อแย้ม วัดสามง่าม นครปฐม, หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย พระนครศรีอยุธยา, หลวงพ่อเก๋ วัดแม่น้ำ สมุทรสงคราม, หลวงพ่อแคล้ว วัดบางขุนเทียนนอก กรุงเทพฯ, หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นครปฐม, พระราชปัญญาสุธี วัดโพธิ์ท่าเตียน กรุงเทพฯ

 st12 st12 st12 st12

หลวงพ่อฮวด วัดดอนโพธิ์ทอง สุพรรณบุรี, หลวงพ่อลำไย วัดทุ่งลาดหญ้า กาญจนบุรี, หลวงพ่อลมูล วัดเสด็จ ปทุมธานี, หลวงปู่ทิม วัดพระขาว พระนครศรีอยุธยา, พระครูสันติสุวรรณกิจ (ดี) วัดพระรูป สุพรรณบุรี, พระภาวนาพิศาเถร (พุธ) วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา, หลวงพ่อสาย วัดขนอนใต้ พระนครศรีอยุธยา, หลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ นครปฐม

หลวงพ่ออาบ วัดอ้อมน้อย สมุทรสาคร, หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา พระนครศรีอยุธยา, พระสมุห์จรูญ ฐานิสสโร ภิกขุ วัดกันตทาราม กรุงเทพฯ, หลวงปู่วิเวียร วัดดวงแข กรุงเทพฯ, หลวงพ่ออิฏฐ์ วัดจุฬามณี สมุทรสาคร, หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดไทรน้อย ปทุมธานี, หลวงพ่อหลิว วัดไร่แตงทอง นครปฐม, หลวงพ่อสิริ วัดตาล ปทุมธานี เป็นต้น

 ans1 ans1 ans1 ans1

รายการวัตถุมงคลรุ่น “ทีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา” พ.ศ.๒๕๓๖ มีดังนี้

     ๑.เหรียญสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ (ขนาด ๓ ซม.) ผลิตโดยกองกษาปณ์ ประกอบด้วย เนื้อทองคำ พื้นขัดเงา เนื้อทองคำ เนื้อนิกเกิล พื้นขัดเงา เนื้อเงิน และเนื้อทองแดง
     ๒.เหรียญพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม (ขนาด ๓ ซม.) ผลิตโดยกองกษาปณ์ ประกอบด้วย เนื้อทองคำ พื้นขัดเงา เนื้อทองคำ เนื้อนิกเกิล พื้นขัดเงา เนื้อเงิน และเนื้อทองแดง
     ๓.สมเด็จพระสังฆราชใบโพธิ์ ประกอบด้วย เนื้อทองคำ เนื้อเงิน และ เนื้อนวะพิเศษแก่ทอง
     ๔.พระปิดตาใบโพธิ์ ประกอบด้วย เนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวะพิเศษ
     ๕.พระนางพญาใบโพธิ์ ประกอบด้วย เนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวะพิเศษ
     ๖.พระสมเด็จใบโพธิ์ ประกอบด้วย เนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวะพิเศษ
     ๗.พระสมเด็จเนื้อผงอัญมณี ประกอบด้วย เนื้อขาวอมเหลือง เนื้อผงทับทิม เนื้อผงไพลิน พระสมเด็จเนื้อผงเกล็ดทองคำ เนื้อขาวอมเหลืองเกล็ดทองคำ เนื้อผงทับทิมเกล็ดทองคำ และเนื้อผงไพลินเกล็ดทองคำ

สำหรับความพิเศษของวัตถุมงคล รุ่นทีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา “เสี่ยกล้า” บอกว่า “ทุกองค์ทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นพระสมเด็จ เนื้อผง จะต้องมีหมายเลขกำกับองค์พระอย่างถาวร ไม่มีเว้น แม้แต่ของกรรมการที่มีไว้บูชาเอง ๑ หรือ ๒ องค์ก็ตาม (ภาพที่ลงประกอบเพียงบางส่วนเท่านั้น) สรุปคือวัตถุมงคลรุ่นนี้ทุกองค์จะต้องมีหมายเลขกำกับไว้ทุกองค์ ถ้าไม่มีก็ไม่ใช่รุ่นนี้แน่นอน”





สร้างพระเพื่อสร้างวัดล้านนาญาณสังวราราม

วัดล้านนาญาณสังวราราม เริ่มสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๙ โดยผู้มีจิตศรัทธาน้อมถวายที่ดิน เนื้อที่ประมาณ ๗๐ ไร่ แด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ เพื่อสร้างเป็นวัดสำหรับเป็นที่ปฏิบัติธรรมของพระภิกษุ สามเณร ผู้มุ่งศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระ โดยพระองค์ทรงรับการก่อสร้างวัดล้านนาญาณสังวรารามไว้ในพระอุปถัมภ์โดยตลอด

นอกจากนี้ยังได้รับความอุปถัมภ์ร่วมมือจากฝ่ายต่างๆ ทั้งทางราชการและพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปเป็นอย่างดี ยังผลให้การสร้างวัดเป็นไปได้ด้วยดี มีถาวรวัตถุและเสนาสนะเกิดขึ้นพอเป็นที่อาศัยเจริญสมณธรรมของพระภิกษุ สามเณรได้โดยสะดวก ในการก่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ดังกล่าว สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ โปรดให้สถาปนิกรักษารูปแบบของอาคารเป็นศิลปกรรมแบบล้านนา เพื่อรักษาเอกลักษณ์ของล้านนาเอาไว้ อย่างไรก็ดี แม้การก่อสร้างเสนาสนะต่างๆ จะก้าวหน้าไปมากแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงมีถาวรวัตถุอีกหลายอย่างที่จะต้องดำเนินการต่อไป เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ อาทิ ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเจดีย์ หอระฆัง หอกลอง ซุ้มประตู กำแพงวัด โรงเรียนพระปริยัติธรรม และมูลนิธิการศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุ สามเณร เป็นต้น

ในครั้งนั้น นายอำนวย ยศสุข เป็นประธานดำเนินการสร้างถาวรวัตถุได้กราบทูลขอประทานพระอนุญาตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ จัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นดังกล่าว





หนึ่งในความภูมิใจของ “เสี่ยกล้า”

“เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๖ โครงการจัดสร้างวัตถุมงคล สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ รุ่น ทีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา พ.ศ.๒๕๓๖ ถือว่าเป็นโครงการที่ใหญ่มาก นอกจากมีคนแห่จองกันอย่างล้นหลามแล้ว ได้เงินทำบุญเข้าวัด และนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ต่างๆ กว่า ๒๕ ล้านบาท”

นี้เป็นความภูมิใจของ นายกล้า เกษสุรินทร์ชัย หรือ “เสี่ยกล้า” ประธานชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องสยาม ผู้ซึ่งมีส่วนสำคัญในการจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นดังกล่าว รวมทั้งจัดพิมพ์หนังสือสารานุกรมพระล้ำค่า รุ่นฑีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา (ปี ๒๕๓๖) ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของวงการพระเครื่องเมืองไทย เมื่อ ๒๒ ปี ก่อนที่เซียนพระหลายสิบคนที่จะแจ้งเกิดในวงการพระเครื่องด้วยซ้ำ

 st11 st11 st11 st11

“เสี่ยกล้า” บอกว่า วัตถุมงคลสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ รุ่น “ทีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา พ.ศ.๒๕๓๖" น่าจะถือว่าเป็นต้นแบบของการนำหมายเลขและโค้ดตอกลงไปบนองค์พระ เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีพระเครื่องรุ่นใดตอกหมายเลข ส่วนใหญ่มีแต่โค้ดเท่านั้น นอกจากนี้ยังทำสูจิบัตรบันทึกเป็นทะเบียนประวัติของวัตถุมงคลทุกองค์ว่าประจำองค์หมายเลขใด ใครเป็นเจ้าของตั้งแต่เริ่มจอง ตลอดจนถึงจำนวนการจัดสร้าง พร้อมกับแจกหนังสือสูจิบัตรให้เจ้าของพระองค์ละ ๑ เล่ม เพื่อให้เจ้าของพระรู้กันอย่างทั่วถึงว่า พระทุกหมายเลขมีเพียง ๑ เดียวในโลก

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เป็นที่รับรู้ของประชาชนทั่วๆ ไป ในการจัดพิมพ์หนังสือสารานุกรมพระล้ำค่า รุ่นฑีฆายุโกโหตุสังฆราชา ๘๐ ชันษา (ปี ๒๕๓๖) เสี่ยกล้ายังมอบให้วัด โรงเรียน สโมสร สมาคม ร่วมทั้งหน่วยงานที่มีห้องสมุดอีกจำนวน ๑,๘๐๐ เล่ม เพื่อเป็นมรดกทางวัฒนธรรมส่วนหนึ่งในการสืบทอดพุทธศาสนาไว้ให้ชาวพุทธนานาอารยประเทศทั่วโลกไว้อ้างอิงได้ตลอดไป โดยปัจจุบันนี้ในตลาดซื้อขายหนังสือพระเก่ามีการประกาศขายที่เล่มละ ๒,๐๐๐ บาท





ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151215/218605.html
11949  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / รายงานพิเศษ : "19 พระสังฆราช" แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:16:01 am

รายงานพิเศษ : "19 พระสังฆราช" แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติในวันที่ 16 ธันวาคม 2558 โดยมีประมุขสงฆ์ 19 รูป จาก 13 ประเทศ เดินทางเข้าร่วมพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ กล่าวสำหรับตำแหน่ง "สมเด็จพระสังฆราช" เป็นตำแหน่งที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ตามที่มีคำว่า "สังฆราช" ปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

"สมเด็จพระสังฆราช" เป็นตำแหน่งสมณศักดิ์สูงสุดฝ่ายพุทธจักรของคณะสงฆ์ไทย ทรงเป็นประธานการปกครองคณะสงฆ์ คาดว่าคณะสงฆ์ไทยนำแบบอย่างมาจากลัทธิลังกาวงศ์ โดยพ่อขุนรามคำแหงได้ทรงนิมนต์พระเถระผู้ใหญ่ของลังกาที่เชี่ยวชาญพระไตรปิฎก เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในประเทศไทย


 :96: :96: :96: :96:

ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้เพิ่มตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเป็น "สกลมหาสังฆปริณายก" มีอำนาจว่ากล่าวออกไปถึงหัวเมือง มีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายคามวาสี เป็นสังฆราชขวา และสมเด็จพระวันรัต เจ้าคณะฝ่ายอรัญวาสี เป็นสังฆราชซ้าย องค์ใดมีพรรษายุกาลมากกว่า จะได้เป็นพระสังฆราช

ในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา พระอริยมุนีได้ไปสืบอายุพระพุทธศาสนาที่ลังกาทวีป เมื่อกลับมาได้รับสมณศักดิ์สูงขึ้นตามลำดับจนเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระเจ้าเอกทัศน์มีพระราชดำริให้คงราชทินนามนี้ไว้ จึงทรงตั้งราชทินนามสมเด็จพระสังฆราชเป็น "สมเด็จพระอริยวงศาสังฆราชาธิบดี" และมาเป็น "สมเด็จพระอริยวงษญาณ" ในสมัยกรุงธนบุรี ใช้ต่อมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงได้ทรงปรับปรุงเพิ่มเติมเป็น "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ" ใช้มาจนถึงปัจจุบัน

 :25: :25: :25: :25:

ตามทำเนียบสมณศักดิ์ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา มีตำแหน่งสังฆปริณายก 2 องค์ ที่เรียกว่า พระสังฆราชซ้าย และพระสังฆราชขวา ยังมีคำอธิบายอีกประการหนึ่ง สมเด็จพระอริยวงศ์เป็นพระสังฆราชฝ่ายขวา เรียกว่า "คณะเหนือ" พระพนรัตน์เป็นพระสังฆราชฝ่ายซ้าย เรียกว่า "คณะใต้" มีพระสุพรรณบัฏจารึกพระนามเมื่อทรงตั้งทั้ง 2 พระองค์ แต่โดยปกติสมเด็จพระพนรัตน์ไม่ได้เป็น "สมเด็จ" ส่วนพระสังฆราชฝ่ายขวาเป็นสมเด็จทุกพระองค์ เรียกว่าสมเด็จพระสังฆราช จึงเป็น "มหาสังฆปริณายก" มีศักดิ์สูงกว่าพระสังฆราชฝ่ายซ้าย ที่พระพนรัตน์แต่เดิมทรงยกเกียรติยศเป็นสมเด็จแต่บางองค์ มาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงเป็นสมเด็จทุกพระองค์

สำหรับแบบแผนการปกครองคณะสงฆ์ของไทยเริ่มจัดวางหลักตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยมีพัฒนาเพิ่มเติมในสมัยกรุงศรีอยุธยาและต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อยจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 การปกครองคณะสงฆ์จัดโดยมีตำแหน่งเปรียบเทียบ ดังนี้ "สกลสังฆปริณายก" ได้แก่ สมเด็จพระสังฆราช, "มหาสังฆนายก" ได้แก่ เจ้าคณะใหญ่, "สังฆนายก" ได้แก่ เจ้าคณะรอง, "มหาสังฆปาโมกข์" ได้แก่ เจ้าคณะมณฑล, สังฆปาโมกข์ ได้แก่ เจ้าคณะจังหวัดที่เป็นพระราชาคณะ และ "สังฆวาห" ได้แก่ เจ้าคณะจังหวัดที่เป็นพระครู

 st11 st11 st11 st11

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเปลี่ยนคำนำหน้าพระนามพระบรมราชวงศ์ผู้ดำรงสมณศักดิ์ในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชขึ้นใหม่ว่า "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า" ทรงเศวตฉัตร 5 ชั้น พระราชวงศ์ชั้นรองลงมา เท่าที่ปรากฏมีชั้นหม่อมเจ้าผู้ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช มีคำนำหน้าพระนามว่า "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงฉัตร 5 ชั้น"

ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 บัญญัติถึงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่า กรณีตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ประกาศพระนามสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษา เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช จากนั้นรัฐมนตรีว่าการ ศธ.นำพระนามสมเด็จพระราชาคณะ 4 รูป คือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สมเด็จพระวันรัต สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ และสมเด็จพระพุฒาจารย์ เสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แล้วนำกราบถวายบังคมทูลให้พระมหากษัตริย์ทรงวินิจฉัย และจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชต่อไป

 ans1 ans1 ans1 ans1

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีสมเด็จพระสังฆราช19พระองค์ ดังนี้

พระองค์ที่ 1 สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร (พ.ศ.2325-2337)

พระองค์ที่ 2 สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร (พ.ศ.2337-2359)

พระองค์ที่ 3 สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร (พ.ศ.2359-2362)

พระองค์ที่ 4 สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร (พ.ศ.2363-2365)

พระองค์ที่ 5 สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร (พ.ศ.2365-2385)

พระองค์ที่ 6 สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (นาค) วัดราชบูรณะราชวรวิหาร (พ.ศ.2386-2392)

พระองค์ที่ 7 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (พระองค์เจ้าวาสุกรี

สุวัณณรังสี) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (พ.ศ.2394-2396)

พระองค์ที่ 8 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺคโต) วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร (พ.ศ.2434-2435)

พระองค์ที่ 9 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร (พ.ศ.2436-2442)

พระองค์ที่ 10 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร (พ.ศ.2453-2464)

พระองค์ที่ 11 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท สิริวฑฺฒโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร (พ.ศ.2465-2480)

พระองค์ที่ 12 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร (พ.ศ.2481-2487)

พระองค์ที่ 13 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ชื่น นพวงศ์ สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร (พ.ศ.2488-2501)

พระองค์ที่ 14 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ) วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร (พ.ศ.2503-2505)

พระองค์ที่ 15 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (พ.ศ.2506-2508)

พระองค์ที่ 16 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี) วัดมกุฏกษัตริยารามวรวิหาร (พ.ศ.2508-2514)

พระองค์ที่ 17 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (พ.ศ.2515-2517)

พระองค์ที่ 18 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร (พ.ศ.2517-2531)

พระองค์ที่ 19 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร (พ.ศ.2532-2556)

โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระสังฆราชพระองค์ที่ 19 นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่อยู่ในตำแหน่งสมณศักดิ์ที่ยาวนานที่สุดแห่งกรุงรัตนโกสินทร์


ข้อมูลจากเว็บไซต์ธรรมะไทยและวิกิพีเดีย
ตีพิมพ์ในมติชนรายวันฉบับวันที่16 ธันวาคม 2558
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450237255
11950  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ย้อนอดีต พระราชพิธี พระราชทานเพลิงพระศพ 'ประมุขสงฆ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์' เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 09:10:14 am

ย้อนอดีต พระราชพิธี พระราชทานเพลิงพระศพ 'ประมุขสงฆ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์'
โดย...ไตรเทพ ไกรงู

พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” ในวันที่ 16 ธันวาคม ถือเป็นวันสำคัญที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้ตราบชั่วกาลนาน โดยเฉพาะในส่วนของชาวไทย และพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ต่างเฝ้ารอคอยที่จะเข้าร่วมพระราชพิธีเพื่อถวายความอาลัยแด่ประมุขสงฆ์พระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
 
ทั้งนี้กว่า 233 ปีในรัชสมัยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ไทยมี “สมเด็จพระสังฆราช” มาแล้วทั้งสิ้นจำนวน 19 พระองค์ ซึ่ง “คม ชัด ลึก” ขอนำเสนอเรื่องราวและความเป็นมาของพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ “สมเด็จพระสังฆราช” องค์สำคัญเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา

 
 :25: :25: :25: :25:

พระสังฆราชในประเทศไทย เรียกว่า “สมเด็จพระสังฆราช” คือประมุขแห่งคณะสงฆ์ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาให้ดำรงตำแหน่ง “สกลมหาสังฆปริณายก” เป็นตำแหน่งสมณศักดิ์สูงสุดฝ่ายพุทธจักรของคณะสงฆ์ไทย ทรงเป็นประธานการปกครองคณะสงฆ์
 
ตำแหน่งนี้น่าจะมีที่มาจากคณะสงฆ์ไทยนำแบบอย่างมาจาก “ลัทธิลังกาวงศ์” ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงอัญเชิญพระเถระผู้ใหญ่ของลังกาที่เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในประเทศไทย
 
 st12 st12 st12 st12

“สมเด็จพระสังฆราช” พระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระนามว่า “สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)”  เสด็จสถิต ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 2 แห่งกรุงธนบุรี และเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์ ณ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พ.ศ.2325 ได้โปรดเกล้าฯ ให้คงที่สมณฐานันดรศักดิ์ดังเดิม สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ.2337 ดำรงตำแหน่งอยู่ 12 ชันษา น่าจะมีพระชันษาไม่น้อยกว่า 80 ปี
 
ส่วน “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” (เจริญ สุวฑฺฒโน) (3 ตุลาคม พ.ศ.2456-24 ตุลาคม พ.ศ. 2556) เป็น “สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19” แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ.2532 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถือเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชันษามากกว่าสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ในอดีตและเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกของไทยที่มีพระชันษา 100 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2556 เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต

 
 st11 st11 st11 st11

เมื่อ “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า” หรือ “สมเด็จพระสังฆราช” สิ้นพระชนม์ จะได้รับเครื่องประกอบเกียรติยศ ประกอบด้วย น้ำหลวง ไตรแพรทรงพระศพ พระโกศทองน้อย สมเด็จพระสังฆราชเจ้าจะได้รับพระราชทานฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น สมเด็จพระสังฆราชจะได้รับพระราชทานฉัตรตาดเหลือง 3 ชั้น แขวนเหนือพระโกศ เครื่องสูงทองแผ่ลวด สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ กลองชนะ ประโคมเวลารับพระราชทานน้ำสรงพระศพ และประโคมย่ำยามถึงเที่ยงคืน พระสงฆ์สดับปกรณ์พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมกลางวันและกลางคืน
 
ขณะที่ในด้านของพระราชพิธีอาจมีความแตกต่างกันบ้าง โดย “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า” (เชื้อพระวงศ์) จะมีพระราชพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา 15 วัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ขณะที่ “สมเด็จพระสังฆราช” (สามัญชน) จะมีพระราชพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา 7 วัน ทั้งกลางวันและกลางคืนเท่านั้น จากนั้นจะทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อครบ 7 วัน 50 วัน และ 100 วัน ตามพระราชประเพณี เหมือนกัน
 
 ans1 ans1 ans1 ans1

ในอดีตพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราชจะจัดสร้าง “พระเมรุ” ที่ท้องสนามหลวง แต่ส่วนใหญ่จะเป็น “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า”  ที่ผ่านมามีด้วยกัน 3 พระองค์
 
      1.สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส พระสังฆราชพระองค์ที่ 7 กล่าวว่า ปีขาล เบญจศก จ.ศ.1216 (พ.ศ.2397) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ ให้ทำเมรุผ้าขาวที่ท้องสนามหลวงแล้วเชิญพระโกศพระศพสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ตั้งกระบวนแห่แต่วัดพระเชตุพนไปเข้าพระเมรุท้องสนามหลวง มีการมหรสพ 3 วัน 3 คืน ครั้นเดือน 5 ขึ้น 11 ค่ำ ตรงกับวันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ.2397 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชทานเพลิงพระศพ
 
      2.สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระสังฆราชพระองค์ที่ 8 กล่าวว่า ได้พระราชทานพระโกศกุดั่งใหญ่ทรงพระศพ พระศพสมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ประดิษฐานอยู่ ณ พระตำหนักเดิม (คือที่เสด็จประทับ) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลาถึง 8 ปี จึงได้พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2443
 
      3.สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) พระสังฆราชพระองค์ที่ 10 ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร 30 ปี ทรงดำรงตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช 10 ปีกับ 7 เดือนเศษ ถึงเดือนเมษายน 2465 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ถวายพระเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง

 
 ans1 ans1 ans1 ans1

แต่ในกรณี “สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี)” สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 3 แม้ไม่ได้เป็น “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า” แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้ทำ “เมรุผ้าขาว” ที่ท้องสนามหลวง แล้วชักพระศพเข้าสู่เมรุ มีการสมโภช 3 วัน 3 คืน พระราชทานเพลิงเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 1 ตรงกับวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ.2362
 
จากข้อมูลพบว่า “พระเมรุผ้าขาว”  คือ เมรุที่ดาดผ้าขาวขึงตึงให้เป็นรูปทรงเสมือนอาคารที่ก่ออิฐจริงๆ เมรุชนิดนี้มีหลังคาเป็นเครื่องยอด สำหรับถวายพระเพลิงเจ้านายที่เป็นเชื้อพระวงศ์
 
การจัดพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราชทั้ง 4 พระองค์ที่ท้องสนามหลวง กลายเป็นประวัติศาสตร์ เพราะนับตั้งแต่นั้นมาไม่มีสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใดจัดพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพที่ท้องสนามหลวง โดยมาใช้เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ประกอบพระราชพิธีแทน
 
 :25: :25: :25: :25:

ในรัชกาลปัจจุบัน การออกพระเมรุ “สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” จะต้องใช้เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ซึ่งเป็นฌาปนสถานสำหรับพระราชวงศ์ เมื่อถึงวันพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพจะมีพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ราชรถเชิญพระโกศจากที่ประดิษฐานไปพระเมรุหลวง ขบวนแห่พระอิสริยยศเชิญพระศพ พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมประจำช่างพระเมรุ สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ กลองชนะ ประโคมเวลารับพระราชทานเพลิงและประโคมย่ำยามถึงเที่ยงคืน พระมหากษัตริย์หรือผู้แทนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ พระเมรุ ทรงฟังเทศน์ สดับปกรณ์ เสด็จฯ ขึ้นพระเมรุทรงจุดเพลิง พระราชทานฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น สำหรับสมเด็จพระสังฆราชเจ้า หรือพระราชทานฉัตรตาดเหลือง 3 ชั้น สำหรับสมเด็จพระสังฆราช แขวนสุมพระอัฐิบนพระเมรุ
 
สุสานหลวง “วัดเทพศิรินทราวาส” ใช้เป็นที่สำหรับพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพเจ้านายและพระบรมวงศานุวงศ์มาตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว ซึ่งสร้างตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

 
 st12 st12 st12 st12

ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเมรุขึ้นเมื่อคราวเตรียมการพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ และใช้เป็นเมรุที่ใช้พระราชทานเพลิงศพตลอดมาจนปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้านี้พระศพสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 17 "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) และสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 18 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) ทรงประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพที่สุสานหลวงวัดเทพศิรินทราวาสเช่นกัน
 
ในการนี้สุสานหลวงวัดเทพศิรินทราวาสเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ “สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” อีกเช่นกัน


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151213/218504.html
11951  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รัฐบาล เป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพลประมุขสงฆ์ 19 รูป ที่ โรงแรมสุโขทัย เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 08:56:51 am



รัฐบาล เป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพลประมุขสงฆ์ 19 รูป ที่ โรงแรมสุโขทัย

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 16 ธันวาคม ที่โรงแรมสุโขทัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรัฐบาลไทย ในการถวายภัตตาหารเพลประมุขสงฆ์ 19 รูป จาก 13 ประเทศที่มาร่วมพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เวลา 16.30 น. วันนี้ ณ พระเมรุหลวงวัดเทพศิรินทราวาส อาทิ สมเด็จพระอัคคมหาสังฆราชาธิบดีเทพวงศ์ ประเทศกัมพูชา พระอาจารย์ ดร.บุนมา สีมมาพรหม รองประธานพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว สปป.ลาว สมเด็จพระสังฆราชธรรมเสนมหาเถร ประเทศบังคลาเทศ พระธรรมาจารย์ ดร.ติช ตริ กวง รองประธานสงฆ์แห่งเวียดนาม ประเทศเวียดนาม เป็นต้น และในเวลา 14.00 น.ประมุขสงฆ์ทั้ง 19 รูป จะเดินทางออกจากโรงแรมสุโขทัย เพื่อไปร่วมพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราช


11952  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กระทรวงวัฒนธรรม พิมพ์จดหมายเหตุ งานพระศพสังฆราช เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 08:23:18 am


กระทรวงวัฒนธรรม พิมพ์จดหมายเหตุ งานพระศพสังฆราช

เจ้าหน้าที่หอจดหมายเหตุบันทึกพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จสังฆราช เตรียมพิมพ์จดหมายเหตุปกแข็ง 800 หน้า 1 หมื่นเล่ม แล้วเสร็จมี.ค.59 เผยลำดับอาวุโสสมเด็จพระราชาคณะในปัจจุบัน

วันนี้(16ธ.ค.)นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า เจ้าหน้าที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลและบันทึกภาพพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระสังฆราชโดยละเอียด เพื่อจัดทำจดหมายเหตุงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 16 ธ.ค. เริ่มริ้วขบวนพระอิสริยยศเคลื่อนพระศพออกจากวัดบวรนิเวศวิหาร จนมาถึงวัดเทพศิรินทราวาส และประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพเสร็จสิ้น นอกจากนี้ยังจะเก็บข้อมูลการดำเนินงานไปจนถึงวันที่ 20 ธ.ค. นี้ ซึ่งจะมีพิธีบรรจุพระสรีรางคาร พระวิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศวิหาร โดยจัดพิมพ์เป็นแบบปกแข็ง 800 หน้า จำนวน 10,000 เล่ม กำหนดแล้วเสร็จในเดือนมี.ค.2559


 :25: :25: :25: :25:

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ส่งผลให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชซึ่งถือเป็นองค์ประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทยว่างลง สำหรับขั้นตอนการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่นั้น ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ฉบับแก้ไข พ.ศ.2535 ในหมวด 1 มาตรา 7 ระบุว่า ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นของของมหาเถรสมาคม เสนอรายนามสมเด็จพระราชาคณะที่มีความอาวุโสสูงสุดทางสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยจากข้อมูลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) พบว่า

 ans1 ans1 ans1 ans1

สมเด็จพระราชาคณะในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 8 รูป เป็นสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกาย 4 รูป สมเด็จพระราชาคณะฝ่ายธรรมยุต 4 รูป โดยสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์ในขณะนี้ คือ

     อันดับ 1. สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2538
     อันดับ 2. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) วัดสัมพันธวงศาราม ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี2544
     อันดับ 3. สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อมฺพโร) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2552
     อันดับ 4. สมเด็จพระวันรัต(จุนท์ พรหมคุตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2552 แต่อาวุโสน้อยกว่าสมเด็จพระมหามุนีวงศ์
     อันดับ 5. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี) วัดสุทัศนเทพวราราม ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2553
     อันดับ 6. สมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย) วัดเทพศิรินทราวาส ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2553 แต่อาวุโสน้อยกว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
    อันดับ 7. สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2554 และ
    อันดับ 8. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) วัดไตรมิตรวิทยาราม ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2557


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/367436
11953  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เผย “พระสุสาน” ของสมเด็จพระสังฆราช เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 08:17:51 am


เผย “พระสุสาน” ของสมเด็จพระสังฆราช

  หลังจากเสร็จสิ้นงาน พระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราช อย่างสมพระเกียรติแล้ว ในส่วนของวัดบวรนิเวศวิหาร จะมีการอัญเชิญพระอัฐิและพระสรีรางคารของพระองค์ ไปประดิษฐานยัง “พระสุสาน” ของวัด ซึ่งเป็นประเพณีถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดมาจนถึงปัจจุบันนี้
       
       วัดบวรนิเวศวิหาร เดิมชื่อ “วัดใหม่” สร้างในพื้นที่บริเวณทิศเหนือของพระนคร ใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาส ที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ ทรงสร้างตั้งแต่สมัยรัชการที่ 2 การสถานปนาวัดเมื่อแรกเริ่มนั้น สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ ทรงสร้างพระอุโบสถขึ้นก่อน ลักษณะเป็นอาคารจตุรมุข ซึ่งมีมุขหน้ายาว มุขข้างและมุขหลังสั้น แต่ได้ผูกพัทธสีมาเฉพาะมุขหน้าเท่านั้น โดยได้อัญเชิญหลวงพ่อโต จากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ขนานนามว่า'พระสุวรรณเขต'



ที่บรรจุพระสรีรางคารสมเด็จพระสังฆราช


        นับตั้งแต่เริ่มตั้งขึ้น พระอารามหลวงแห่งนี้มีเจ้าอาวาสมาแล้วทั้งสิ้น 6 พระองค์/รูป โดยทรงเป็นพระสังฆราชถึง 4 พระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่10, สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 13, พระพรหมมุนีและสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19


วิหารเก๋ง


        ครั้งเมื่อท่านเจ้าอาวาสและสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์สิ้นพระชนม์ชีพแล้ว ทางวัดบวรฯ จะมีประเพณีในการเก็บพระอัฐิและพระสรีรางคารไว้ในสุสานของวัด ซึ่งถือปฏิบัติมาตั้งแต่ท่านเจ้าอาวาสพระองค์แรก ในเรื่องนี้ ดร. พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ได้อธิบายให้กระจ่างว่า
       
       “วันอาทิตย์ที่ 20 หลังจากบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิและพระสรีรางคารแล้ว จะมีการบรรจุพระอัฐิกับบรรจุพระสรีรางคาง สำหรับพระอัฐิจะบรรจุในเจดีย์องค์เล็ก (พระโกศ) และจะอัญเชิญขึ้นไว้ที่ตำหนักเดิม เป็นที่ตั้งของพระอัฐิเจ้าอาวาสทั้งหมดของวัด ซึ่งตั้งอยู่ตำหนักเดิมด้านข้างของตำหนักเพ็ชร โดยมีที่เก็บพระอัฐิเป็นห้องๆ”
       
       “ตำหนักเดิม” เคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ในขณะที่ พระองค์ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นสถาปัตยกรรมรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่ได้รับอิทธิพลแบบยุโรป
       
       ส่วนพระสรีรางคารจะอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่ "วิหารเก๋ง" ซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศใต้ สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 4โดยมีพระราชประสงค์ให้เป็นที่สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์ของเจ้าอาวาสวัดบวรฯเป็นวิหารลักษณะทรงเก๋งจีน โปรดให้ประดับตกแต่งด้วยลวดลายอย่างจีน เขียนภาพจิตรกรรมเรื่องสามก๊กที่ผนังทั้ง 4 ด้าน



ที่ประดิษฐานพระสรีรางคารของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์


        สำหรับพระสรีรางคารของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช นั้น ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าวว่า
       
       “ส่วนพระสรีรางคารจะอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วิหารเก๋ง ด้านทิศใต้ ซึ่งจะมีซุ้มอยู่ ตรงนั้น บนแท่นจะมีพระพุทธชินสีห์จำลอง ซึ่งสร้างหล่อไว้ตั้งแต่เมื่อปีที่ สมเด็จพระสังฆราช ครบ 84 พรรษา โดยใต้ฐานจะเป็นที่ตั้งพระสรีรางคาร”
       
       นอกจากนี้ ภายในวิหารเก๋งยังประดิษฐานพระสรีรางคารของพระสังฆราชพระองค์อื่น อาทิ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระสรีรางคารจะอยู่ที่ฐานมุขด้านทิศตะวันออก บนฐานคือพระพุทธฑีฆายุมหามงคล หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หลวงพ่อดำ” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ส่วนพระสรีรางคารของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ จะประดิษฐานบนพระพุทธปัญญาอัคคะ และพระสรีรางคารของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ประดิษฐานในฐานพระพุทธไสยาสน์ เป็นต้น
       
       เมื่อถามถึงรับสั่งของสมเด็จพระสัฆราชเกี่ยวกับพระอัฐินั้น ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์กล่าวว่า “สมเด็จพระสังฆราชเคยรับสั่งว่า รุ่นเราอาจจะยังเคารพอยู่ พอหลายๆ ปีผ่านไปแล้วเดี๋ยวจะเป็นภาระแก่ญาติ เพราะฉะนั้น ถ้าหากไปไว้ที่วัด อยู่ในพระเจดีย์ ญาติคนไหนที่จะทำบุญก็มาทำก็ได้”





        อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่มีความประสงค์จะอัญเชิญพระอัฐิของสมเด็จพระสังฆราชไปบูชา อาทิ วัดเทวสังฆาราม ซึ่งเป็นวัดเดิมของท่านที่กาญจนบุรี, วัดญาณสังวรารามฯ ซึ่งเป็นวัดที่ทรงสร้างที่ชลบุรี หรือว่าแม้กระทั่งที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นสถานที่ๆ พระองค์ทรงเสด็จไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนา
       
       แม้กระทั่ง ทางคณะในนามของผู้นำชาวพุทธโลก 41 ประเทศ ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ญี่ปุ่น ซึ่งสมเด็จพระสัฆราชทรงเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรนี้ ก็ขอแบ่งอัญเชิญพระอัฐิ เพื่อที่จะไปตั้งประดิษฐาน เพื่อที่เขาจะได้ทำบุญ
       
       อย่างไรก็ตาม ดร.พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายในเรื่องนี้ว่า “ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับว่าทางกรรมการวัดจะพิจารณาอย่างไร”


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9580000137820
11954  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'สมเด็จพระบรมฯ' เสด็จฯ เก็บพระอัฐิ สมเด็จพระสังฆราชฯ เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 08:08:49 am


'สมเด็จพระบรมฯ' เสด็จฯ เก็บพระอัฐิ สมเด็จพระสังฆราชฯ

'สมเด็จพระบรมฯ' เสด็จพระราชดำเนิน เก็บพระอัฐิ สมเด็จพระสังฆราชฯ ที่พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส เพื่อไปตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ...

วันที่ 17 ธันวาคม ที่พระเมรุหลวง วัดเทพศิรินทราวาส หลังเสร็จสิ้นการถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เช้าวันนี้ มีพิธีเก็บพระอัฐิ โดยเจ้าพนักงานประมวลพระอัฐิและพระสรีรังคารถวายคลุมไว้ภายใต้ฉัตรขาว 3 ชั้น ตั้งพระสุคนธ์ ขันสรง พระเจดีย์ศิลาสำหรับบรรจุพระโกศพระอัฐิ และผอบ สำหรับบรรจุพระสรีรังคารไว้พร้อม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในการเก็บพระอัฐิ ยังพระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส

เวลา 07.00 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังพระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย สักการะพระอัฐิ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระสุหร่ายสรงพระอัฐิ


ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ, พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ โดยเสด็จด้วย

ขณะนี้ ชาวพนักงานประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงทอดผ้าไตรพระสามหาบ 2 สำรับ พระสงฆ์สดับปกรณ์แล้ว ทรงเก็บอัฐิ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประดิษฐานในพระเจดีย์ศิลา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญไปประดิษฐาน บนโต๊ะหมู่บูชา ในพลับพลาอิศริยาภรณ์ แล้วสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินตามพระอัฐิขึ้นประทับ ณ พลับพลาอิศริยาภรณ์



สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย ถวายสักการะพระอัฐิ แล้วถวายพัดรองที่ระลึกงานพระเมรุ และทรงประเคนสำรับภัตตาหาร

เจ้าพนักงานภูษามาลา เชิญพระเจดีย์ศิลาบรรจุและอัฐิ และผอบพระสรีรังคาร ขึ้นรถพระประเทียบ ไปประดิษฐานยังตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร


พระสงฆ์รับพระราชทานฉันเสร็จ ถวายตู้สังเค็ดแด่พระสงฆ์สามหาบ

พระสงฆ์สามหาบ ถวายอนุโมทนา ถวายดิเรก ลงจากพลับพลาอิศริยาภรณ์ เจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์อีก 10 รูป ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ถวายพัดรองที่ระลึกงานพระเมรุ พระสงฆ์สวดมาติกา แล้วทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายดิเรก

เจ้าพนักงานภูษามาลา เชิญพระเจดีย์ศิลาบรรจุและอัฐิ และผอบพระสรีรังคาร ขึ้นรถยนต์พระประเทียบ เคลื่อนออกจากสุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาส มุ่งหน้าไปประดิษฐานยังตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร

เมื่อเวลา 08.15 น. หลังเสร็จพิธีเก็บพระอัฐิ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินกลับ



เวลา 08.20 น. พระเจดีย์ศิลาบรรจุพระอัฐิ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ถึงยังตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีพระสงฆ์ร่วมสักการะ ทั้งนี้ จะมีพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิ และบรรจุพระสรีรังคาร ในวันที่ 19 ธันวาคม 2558 และ 20 ธันวาคม 2558


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/550215
11955  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สลด! หลวงตาชราภาพ หลงลืมเดินออกจากกุฏิ ตกฝายข้างวัดมรณภาพ เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 08:05:36 am


สลด! หลวงตาชราภาพ หลงลืมเดินออกจากกุฏิ ตกฝายข้างวัดมรณภาพ

หลวงตาวัยชรา หลงๆ ลืมๆ ตามประสาคนแก่ เข้านอนจำวัดตั้งแต่หัวค่ำ พอรุ่งเช้าหายออกไปจากกุฏิ พระร่วมวัดกับชาวบ้านช่วยกันออกตามหา พบเป็นศพลอยอยู่กลางหนองน้ำข้างวัด คาดลุกเดินออกมาด้วยอาการหลงลืม... 

เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 16 ธ.ค. ร.ต.อ.นิรันดร์ ปัสสาโท ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองหนองบัวลำภู ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ว่ามีเหตุพระภิกษุจมน้ำมรณภาพ ที่ หนองน้ำฝายขอนม่วง ข้างวัดศิลามงคล หมู่ 10 บ้านหินลับ ต.หนองสวรรค์ อ.เมืองหนองบัวลำภู จึงได้แจ้งแพทย์เวร รพ.หนองบัวลำภู และกู้ภัยนเรศวร ไปร่วมชันสูตรศพ

ที่เกิดเหตุพบว่าชาวบ้านได้ช่วยกันนำศพพระขึ้นจากหนองน้ำ มาไว้ที่หน้ากุฏิ ในวัดศิลามงคล ทราบชื่อผู้เสียชีวิต คือ พระสุภี ขันติธโร อายุ 78 ปี ได้มาจำพรรษา เป็นพระลูกวัดศิลามงคล เมื่อก่อนเข้าพรรษาปีที่ผ่านมา มีอาการหลงๆ ลืมๆ ตามประสาคนแก่ ทำอะไรโดยไม่รู้ตัว


ภาพหนองน้ำที่พระภิกษุจมน้ำมรณภาพ

สอบถาม พระสุบิน พระลูกวัดที่พักอยู่กุฏิเดียวกัน บอกว่าหลวงตาสุภี ได้เข้านอนจำวัดตั้งแต่เวลา 20.00 น.คืนวันที่ 15 ธ.ค. ต่อมาเวลา 03.00 น. ตนตื่นขึ้นมาทำวัตร ไม่พบพระสุภี และประตูกุฏิก็ยังล็อกใส่กลอนอยู่ แต่หน้าต่างเปิด สงสัยว่าพระสุภีผู้ตาย จะออกจากกุฏิไปทางหน้าต่าง จึงออกตามหาในบริเวณวัดก็ไม่พบ จึงโทรศัพท์แจ้ง นายสุดสาคร บุดดาวงศ์ อายุ 44 ปี ลูกชายของพระสุภี และชาวบ้านช่วยตามหา จนต่อมาเวลา 06.30 น. นายสุดสาคร ลูกชาย ได้พบร่างพระสุภี ลอยอยู่กลางหนองน้ำฝายขอนม่วง ห่างจากฝั่งเกือบ 30 เมตร โดยหนองน้ำฝายขอนม่วงแห่งนี้มีขนาดใหญ่ และลึก อยู่ใกล้กับกุฏิของพระสุภี ไม่มีรั้วกั้น นายสุดสาคร ลูกชาย จึงได้ลงไปนำร่างพระสุภี ขึ้นจากหนองน้ำ และพบว่าได้มรณภาพแล้ว

จากการชันสูตรศพ คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง ตามร่างกายไม่มีร่องรอยบาดแผล หรือร่องรอยจากการถูกทำร้าย คาดว่าพระสุภี ซึ่งมีอาการหลงลืม และอยู่ในวัยชรา เดินออกจากกุฏิมาทางหนองน้ำแล้วพลัดตกลงไปจมน้ำมรณภาพ ซึ่งญาติไม่ติดใจสาเหตุการตาย พนักงานสอบสวนจึงได้มอบศพไปจัดการตามประเพณีต่อไป.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/549825
11956  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นครวัดโบราณ กว้างใหญ่ไพศาล เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 08:03:14 am



นครวัดโบราณ กว้างใหญ่ไพศาล

นักโบราณคดีผู้มีชื่อเสียงของออสเตรเลียได้นำความมาเปิดเผยว่า อาณาจักรพระนครวัดที่อยู่ในกัมพูชา จริงๆนั้นมีอาณาเขตใหญ่โตและซับซ้อนยิ่งกว่าที่เชื่อกันมาก หลังจากที่เขาเองกับคณะได้ขุดพบปราสาทและซากของสิ่งก่อสร้างกองพะเนินเทินทึกอยู่ใกล้ๆกับนครวัด ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นปูชนียสถานใหญ่มโหฬารที่สุดของโลก

คณะนักโบราณคดีของศาสตราจารย์ โรแลนด์ เฟรชเชอร์ ได้พบในการสำรวจว่า นครวัดประกอบด้วยอาคารสถานที่ซับซ้อนและกว้างขวางใหญ่โตกว่าที่เชื่อกัน และยังมีการสร้างสิ่งก่อสร้างอันใหญ่โตมหึมาปิดกั้นอยู่ทางด้านใต้ด้วย สิ่งก่อสร้างนั้นมีขนาดกว้างขวางขนาดยาว 1,500 เมตร และกว้าง 600 เมตร

พวกเขายังพบว่า ในเขตนครวัดเองยังเต็มไปด้วยอาคารเรือนโรงที่อยู่ติดต่อกันหลายหลัง และได้ปรักหักพังลงระหว่างการสร้างปราสาทหลังใหญ่ ซากปรักหักพังนั้น เชื่อกันว่าอาจเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นระหว่างการก่อสร้างขณะนั้น อาจารย์เฟรชเชอร์กล่าวว่า “การค้นพบทำให้เราได้เข้าใจในระดับชั้นของสังคมในสมัยนั้น และแสดงให้เห็นว่าวัด วาอารามซึ่งมีขอบเขตด้วยกำแพงและคูน้ำไม่ใช่เป็นที่อยู่อาศัยเฉพาะแต่นักบวชและชนชั้นสูงเท่านั้น”.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/549391
11957  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'วัดโพธิ์' ติดอันดับ 21 นทท.ทั่วโลกแห่เยือน - นครวัด กัมพูชา คว้าที่ 1 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 08:01:42 am



'วัดโพธิ์' ติดอันดับ 21 นทท.ทั่วโลกแห่เยือน - นครวัด กัมพูชา คว้าที่ 1

“วัดโพธิ์” ติดอันดับ 21 ของโลก ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนปีละ 20 ล้านคน แถมคว้าที่ 4 ของเอเชีย ที่ 1 ของไทย จากการจัดอันดับของ “ทริปแอดไวเซอร์” เว็บไซต์ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เผยทำรายได้ปีละเกือบ 2 พันล้านบาท

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 58 พระเทพวีราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ทางวัดได้รับแจ้งจาก “ทริปแอดไวเซอร์ (TripAdvisor)” ซึ่งเป็นเว็บไซต์ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลกของประเทศสหรัฐอเมริกา มีสาขาทั่วโลกกว่า 45 ประเทศ ได้ประกาศผลสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดและมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเที่ยวมากที่สุด ซึ่งได้รับคัดเลือกจากนักท่องเที่ยวหลายล้านคนทั่วโลกที่ได้เดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง ประจำปี 2558 ปรากฏว่า "วัดโพธิ์" มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาท่องเที่ยว เป็นอันดับที่ 21 ของโลก คือมีประมาณ 20 ล้านคน นอกจากนี้ ยังสามารถคว้าอันดับที่ 4 สถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดของทวีปเอเชีย รองจากนครวัด ประเทศกัมพูชา ทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย กำแพงเมืองจีน ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน


 :49: :49: :49: :49:

พระเทพวีราภรณ์ กล่าวต่อว่า ที่สำคัญ วัดโพธิ์ สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศด้านสถานที่สำคัญที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวมากที่สุดในประเทศไทยด้วย ส่วนอันดับ 2 คือ พระบรมมหาราชวัง วัดอรุณราชวราราม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) กรุงเทพฯ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร จ.เชียงใหม่ วัดพระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี (วัดพระใหญ่) จ.ภูเก็ต วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จ.เชียงใหม่ ปราสาทสัจธรรม จ.ชลบุรี จุดชมวิวเกาะพีพี จ.กระบี่ และวัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพฯ ตามลำดับ

การที่วัดโพธิ์ มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาท่องเที่ยว เพราะต้องการชื่นชมความงามของพระพุทธไสยาสน์ หรือพระนอนวัดโพธิ์ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล รูปปั้นฤๅษีดัดตน ยักษ์วัดโพธิ์ เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งเพราะ นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เคยมาท่องเที่ยว ทำให้สามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้ประเทศไทยถึงปีละเกือบ 2,000 ล้านบาท


 :25: :25: :25: :25:

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดและมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาท่องเที่ยวมากที่สุดประจำปี 2558 อันดับ 1 ได้แก่ "นครวัด ประเทศกัมพูชา"
2. มาชูปิกชู ประเทศเปรู
3. ทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย
4. มัสยิดชีคซาเญด ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
5. โบสถ์แห่งครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ ประเทศสเปน
6. เซนต์ปีเตอร์สบาซิลิกา ประเทศอิตาลี
7. มหาวิหารดูโอโม ประเทศอิตาลี
8. อัลคาทราซ แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
9. รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ประเทศบราซิล
10. สะพานโกลเดนเกต ประเทศสหรัฐอเมริกา
11. หอไอเฟล ประเทศฝรั่งเศส
12. โบสถ์แห่งหยดพระโลหิต พระผู้ไถ่ ประเทศรัสเซีย
13. มหาวิหารน็อทร์-ดาม ประเทศฝรั่งเศส
14. อัลฮัมบรา ประเทศสเปน
15. พิพิธภัณฑ์ฮาเจียโซเฟีย ประเทศตุรกี
16. สะพานชาร์ลส์ สาธารณรัฐเช็ก
17. กำแพงเมืองจีน สาธารณรัฐประชาชนจีน
18. อนุสาวรีย์ลินคอล์นและสระสะท้อน ประเทศสหรัฐอเมริกา
19. เบิร์จคาลิฟา ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
20. อนุสรณ์ 9/11 ประเทศสหรัฐอเมริกา
21. วัดโพธิ์ ประเทศไทย
22. ชีเชนอิตซา ประเทศเม็กซิโก
23. ซิดนีย์ โอเปราเฮาส์ ประเทศออสเตรเลีย
24. ตึกแฝดเปโตรนาส ประเทศมาเลเซีย
25. คลองปานามา ประเทศปานามา

ขณะที่อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในเอเชีย นครวัด ประเทศกัมพูชา ครองอันดับ 1 เช่นเดียวกัน
2. ทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย
3. กำแพงเมืองจีน สาธารณรัฐประชาชนจีน
4. วัดโพธิ์ ประเทศไทย
5. ตึกแฝดเปโตรนาส ประเทศมาเลเซีย
6. พระบรมมหาราชวัง ประเทศไทย
7. พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ประเทศพม่า
8. วัดอรุณราชวราราม ประเทศไทย
9. พระราชวังแอมเบอร์ ประเทศอินเดีย
10. ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ ประเทศญี่ปุ่น
11. วิหารทองคำ ประเทศอินเดีย
12. ทุ่งสังหารเชิงเอก ประเทศกัมพูชา
13. พระราชวังฤดูร้อน สาธารณรัฐประชาชนจีน
14. พระใหญ่ ฮ่องกง
15. วัดพระแก้ว ประเทศไทย
16. วัดคินคะคุจิ ประเทศญี่ปุ่น
17. สถูปโพธินาถ ประเทศเนปาล
18. หอเทียนถัน สาธารณรัฐประชาชนจีน
19. Củ Chi tunnels ประเทศเวียดนาม
20. ป้อมเมห์รานการห์ ประเทศอินเดีย
21. สวามีนารายันอักชาร์ดัม ประเทศอินเดีย
22. กุตับมีนาร์ ประเทศอินเดีย
23. TAKTSANG PALPHUG MONASTERY ประเทศภูฏาน
24. THE MONASTERY OF GEGHARD ประเทศอาร์เมเนีย
25. วัดโบโรบูดูร์ ประเทศอินโดนีเซีย.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/550054
11958  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผู้ตรวจการแผ่นดินลงพื้นที่ทวงคืนผืนป่าวัดภูงาม เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 07:56:26 am



ผู้ตรวจการแผ่นดินลงพื้นที่ทวงคืนผืนป่าวัดภูงาม

จากกรณีที่พระอธิการโกวิญ กันตธัมโม หรือหลวงตาน้อย เจ้าอาวาสวัดภูงาม ต.ชัยพร อ.เมือง จ.บึงกาฬ ได้ร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชนเรื่องที่เจ้าหน้าที่จะเข้าไปตัดโค่นต้นยางพาราที่มีการปลูกต้นไม้ป่าอื่นๆแซมเอาไว้ ซึ่งปลูกมาได้ 30 ปีจนเป็นป่าทึบ และต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ระดมกำลังกว่า 200 นายจะเข้าไปตัดต้นยางพาราเพื่อยึดคืนผืนป่าตามนโยบายรัฐบาล หลวงตาน้อยพร้อมญาติโยมไม่ยอม โดยได้นำรถไถนาและรถยนต์เข้าปิดล้อมเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ตัดโค่นต้นยางจนต้องยกเลิกแผนการล่าถอยออกจากป่าไปตามข่าวที่ได้เสนอไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ศาสตราจารย์ศรีราชา เจริญพานิช ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะ ได้เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียน กรณีวัดภูงามใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเพื่อประกอบธุรกิจแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้อง จากนั้นได้นำข้อมูลมาหารือในที่ประชุมร่วมกับฝ่ายความมั่นคง หน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

โดยมีพระอธิการโกวิญ กันตธัมโม หรือหลวงตาน้อย เจ้าอาวาสวัดภูงาม พร้อมลูกศิษย์และประชาชนในพื้นที่ราว 30 คน ร่วมหารือด้วยที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ โดยได้ขอร้องให้เชื่อมั่นในฐานะคนกลางที่อยากเห็นภาพความปรองดอง อยากให้เรื่องนี้ยุติและมีทางออก

ดังนั้น จึงควรมีข้อสรุปและหลักเกณฑ์ที่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับกันได้ในที่ประชุมมีข้อตกลงร่วมกันว่าที่ดินที่เป็นที่ตั้งวัดภูงามและสภาพโดยรอบเนื้อที่ประมาณ 107 ไร่ อยู่ในโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ร่วมกับพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ


 :91: :91: :91: :91:

เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.36 นั้น ได้ขอเป็นพุทธอุทยานทางราชการจะไม่เข้าไปดำเนินการใดๆ ปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบในการบริหารจัดการของวัดภูงาม แต่แปลงที่ 2 และแปลงที่ 3 เป็นบริเวณพื้นที่ปลูกยางพารา ซึ่งไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้และไม่ได้อยู่ในพื้นที่โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ร่วมกับพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ รวมเนื้อที่ 294 ไร่ ซึ่งคณะเจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดดำเนินคดีโดยไม่พบตัวผู้กระทำความผิด และแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองบึงกาฬ เมื่อวันที่ 7 พ.ค.58

โดยพระอธิการโกวิญ กันตธัมโม หรือหลวงตาน้อย เจ้าอาวาสวัดภูงาม ได้ขอในที่ประชุมว่า “เป็นไปได้ไหมที่ทางจังหวัดจะให้ทางวัดเข้าไปดำเนินการดูแลป่า เพราะทั้ง 3 แปลง ชาวบ้านปลูกยางสลับกับไม้ป่าอยู่แล้ว”

 :25: :25: :25: :25:

ขณะที่นายชัยธวัช เนียมศิริ รอง ผวจ.บึงกาฬ กล่าวว่า ต้องดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและ คสช.เพื่อทวงคืนผืนป่าให้ประชาชน และจะเข้าไปดำเนินการตัดโค่นไม้ยางพาราในป่าแปลงที่ 2 และแปลงที่ 3 ซึ่งเป็นป่าอนุรักษ์โซน C โดยยินดีที่จะให้ทางวัดและชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมหลังจากที่มีการโค่นยางพาราในป่าทั้ง 2 แปลงไปแล้ว และจะจัดหาพันธุ์ไม้ให้ทางวัดและชาวบ้านปลูกป่าทดแทน การดำเนินการใดๆจะแจ้งให้ทางวัดทราบก่อนล่วงหน้า ขอให้ทางวัดเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และฝ่ายความมั่นคง เนื่องจากการปฏิบัติงานของทุกฝ่ายเป็นการบูรณาการโดยยึดหลักการและนโยบายของรัฐบาลเป็นสำคัญ หากจังหวัดได้รับความร่วมมือจากวัดภูงามและชาวบ้านก็จะทำให้เรื่องนี้มีทางออกอย่างเหมาะสมที่สุด.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/549697
11959  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มูลนิธิฉาวเบี้ยวนัด จนท.ตรวจสอบ เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 07:51:49 am



มูลนิธิฉาวเบี้ยวนัด จนท.ตรวจสอบ

จากกรณีนายอภินันท์ พิงคะสัน ผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองไซ หมู่ 14 ต.ป่าสัก อ.เมืองลำพูนพร้อมด้วยนายเลิศฤทธิ์ มะโน ทนายความ และชาวบ้านเข้าพบ พ.ต.ท.ทรงศักดิ์ ทิพยผลาผลกุล รอง ผกก.สส.สภ.เหมืองจี้ อ.เมืองลำพูน ให้ตรวจสอบมูลนิธิอโศกมุนีแสงธรรม เลขที่ 158 บ้านหนองไซ หมู่14 ต.ป่าสัก อ.เมืองลำพูน ที่นายสินธพ ทรวงแก้ว อ้างเป็นผู้ดูแลมูลนิธิฯ มีพฤติกรรมแอบอ้างเป็นเกจิ อาจารย์สะสมโบราณวัตถุจำนวนมหาศาลและได้เขียนตำนานพระพุทธประวัติฉบับพิสดาร โน้มน้าวให้ผู้ศรัทธาบริจาคเงิน ทั้งยังอ้างว่ามีพระพุทธรูปโบราณอายุพันกว่าปี ไว้ในครอบครองแต่เพียงผู้เดียวนั้น

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 14ธ.ค.ผู้สื่อข่าวไปสังเกตการณ์บริเวณทางเข้ามูลนิธิฯซึ่งยังมีผู้คนเดินทางเข้าออกตลอดเวลา โดยมี จนท.ของมูลนิธิฯร่วม 20 คน คอยสอดส่องดูแลรักษาความปลอดภัยและห้ามถ่ายภาพอย่างเด็ดขาด ขณะเดียวกัน ว่าที่ร.ต.ณรงค์ โรจนสุนทร ปลัดจังหวัดลำพูนได้นัดหมายกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเพื่อขอดูเอกสาร แต่พอถึงเวลานัดกลับไม่มีใครมา ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังนายณรงค์ แต่ไม่มีผู้รับสายจนทำให้ทุกคนต้องรอเก้อ


 :96: :96: :96: :96:

ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อคณะกรรมการตรวจสอบทราบว่า ช่วงเช้าวันเดียวกันนายสวโรจน์ ธีรศานต์วงค์ ประธานมูลนิธิอโศกมุนีแสงธรรม ได้ติดต่อคณะกรรมการตรวจสอบว่าขอเลื่อนไปเป็นวันที่ 21ธ.ค.เนื่องจากยังไม่พร้อมเรื่องเอกสาร โดยเฉพาะบัญชีธนาคารต่างๆ ทั้งที่ตอนแรกนายสินธพรับปากว่าพร้อมที่จะให้ตรวจสอบ ทำให้หวั่นเกรงว่าหลักฐานบางอย่างอาจจะถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลง

นายเลิศฤทธิ์ มะโน ทนายความ เปิดเผยว่า ที่จริงแล้วนายสวโรจน์ ธีรศานต์วงค์ เป็นเพียงประธานมูลนิธิฯเงาเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์รับรู้รายรับรายจ่าย การดำเนินการทั้งหมดขึ้นอยู่กับนายสินธพ ทรวงแก้ว ที่ไม่มีตำแหน่งอะไรเลย แต่ดูเหมือนเป็นประธานและเจ้าสำนักเพียงผู้เดียว คณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นมาเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น แต่ไม่มีสิทธิ์ทำอะไร เรื่องเงินบริจาคในบาตร เงินผ้าป่า นายสินธพจะเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมดหากบริสุทธิ์ใจจริงไม่จำเป็นต้องเลื่อนการตรวจสอบ เพราะเอกสารต้องพร้อมตลอดเวลา เท่ากับว่าเป็นการยื้อเวลากระทำการบางอย่าง โดยเฉพาะบัญชีรายรับรายจ่าย.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/549188
11960  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เตรียมยื่น ผบช.ภ.5 สอบมูลนิธิฉาว เมื่อ: ธันวาคม 17, 2015, 07:49:03 am



เตรียมยื่น ผบช.ภ.5 สอบมูลนิธิฉาว

จากกรณีนายอภินันท์ พิงคะสัน ผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองไซ หมู่ 14 ต.ป่าสัก อ.เมืองลำพูน พร้อมด้วยนายเลิศฤทธิ์ มะโน ทนายความและชาวบ้านกว่า 20 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ทรงศักดิ์ ทิพยผลาผลกุล รอง ผกก.สส.สภ.เหมืองจี้ อ.เมืองลำพูน ให้ตรวจสอบมูลนิธิอโศกมุนีแสงธรรม บ้านหนองไซ หมู่ 14 ต.ป่าสัก อ.เมืองลำพูน และให้ดำเนินคดีนายสินธพ ทรวงแก้ว ที่อ้างว่าเป็นผู้ดูแลมูลนิธิ ซึ่งมีพฤติกรรมแอบอ้างเป็นเกจิอาจารย์เขียนตำนานพระพุทธประวัติฉบับพิสดาร โน้มน้าวให้ผู้คนศรัทธาบริจาคเงิน ทั้งยังอ้างว่าเป็นผู้มีบุญบารมีเก็บพระอรหันต์ 28 องค์ พระพุทธรูปโบราณอายุพันกว่าปี

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ตำรวจภูธรภาค 5 พล.ต.ต.จารึก ลิ้มสุวรรณ ผบก.สส.ภ.5 เปิดเผยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นหากมีชาวบ้านร้องเข้ามายังตำรวจภาค 5 และยื่นเรื่องถึง พล.ต.ท.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ผบช.ภ.5 ท่านก็จะสั่งการมายังชุดสืบสวนให้เข้าไปตรวจสอบ เนื่องจากตำรวจท้องที่อาจจะติดขัดในเรื่องของกำลังเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปตรวจค้นตามจุดต้องสงสัย โดยเฉพาะพระพุทธรูปที่แอบอ้างว่าไม่ได้สร้างขึ้นเองและอ้างว่าพบตามป่าดอยไซ ต.ป่าสัก อ.เมืองลำพูน ทางตำรวจก็จะทำการตรวจสอบพร้อมกับประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการเพื่อให้ได้รับความกระจ่างว่าพระพุทธรูปนั้นเป็นพระอรหันต์พันปีจริงหรือไม่ หรือมีการแอบอ้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงชาวบ้านหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ทางตำรวจจะดำเนินการได้ แต่ต้องมีผู้ร้องก่อนถึงจะลงไปตรวจสอบ


 :96: :96: :96: :96:

ทางด้านนายเลิศฤทธิ์ มะโน ทนายความชาวบ้าน เปิดเผยว่า ดูเหมือนว่าในการตรวจสอบพระพุทธรูปที่นายสินธพ ทรวงแก้ว กล่าวอ้างว่าเป็นพระอรหันต์พันปีจากประเทศอินเดียแล้วไปอยู่ตามป่าเขา ดอยไซ จ.ลำพูน เรื่องนี้ดูแล้วจะล่าช้า ทั้งๆที่เราร้องทุกข์ให้ตรวจสอบมานานเป็นสัปดาห์แล้ว แต่ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร สาเหตุอาจจะติดชะงัก ในบางเรื่อง เช่น การตรวจเอกสารที่ทางมูลนิธิได้นัดหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ ตอนแรกนายสินธพอ้างว่าพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ แต่พอ เอาเข้าจริงกลับขอเลื่อนไปเป็นวันที่ 21 ธ.ค.ซึ่งล่าช้ามาก หลักฐานและเอกสารบางอย่างอาจจะถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ได้ โดยเฉพาะบัญชีทางธนาคาร อย่างไรก็ตาม ตนจะเดินทางเข้าพบกับ พล.ต.ท.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ผบช.ภ.5 เพื่อยื่นเรื่องร้องเรียนและให้ดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนต่อไป.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/549705
หน้า: 1 ... 297 298 [299] 300 301 ... 706