ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำอย่างไร เราจะรับมือกับเวทนา ที่เกิดจากการเจ็บป่วย ได้ครับ  (อ่าน 8924 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรมิต

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 89
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 ask1

   เราจะชนะ เวทนา ทางกายได้อย่างไร ครับ กรรมฐาน จะช่วย อะไรได้บ้างครับ เช่นเวลาเราป่วย ปวดท้อง ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ หรือ บาดเจ็บ กรรมฐาน จะช่วยได้อย่างไร บ้างครับ

   thk56
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ask1
   เราจะชนะ เวทนา ทางกายได้อย่างไร ครับ กรรมฐาน จะช่วย อะไรได้บ้างครับ เช่นเวลาเราป่วย ปวดท้อง ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ หรือ บาดเจ็บ กรรมฐาน จะช่วยได้อย่างไร บ้างครับ

  ans1




http://www.dhammathai.org/sounds/photchangkhaparit.php
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 19, 2013, 08:26:00 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

MICRONE

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 310
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
อบอุ่นใจด้วยคุณธรรม จุดเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ask1

   เราจะชนะ เวทนา ทางกายได้อย่างไร ครับ กรรมฐาน จะช่วย อะไรได้บ้างครับ เช่นเวลาเราป่วย ปวดท้อง ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ หรือ บาดเจ็บ กรรมฐาน จะช่วยได้อย่างไร บ้างครับ

   thk56

     
      อดใจรอคำตอบสักนิด ไม่ได้ลืมหรอกครับ :49:
     
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

พระอริยเถราจารย์สอนเรื่องตัดขันธ์
(พรรษาที่ ๑๕ สถิตวัดท่าหอย ยุคธนบุรี)

ณ วัดท่าหอย พรรษาที่ ๑๔ พระอาจารย์สุก พระองค์ท่าน ทรงเจริญสมณะธรรมทุกคืน ก็จะมีพระอริยเถราจารย์มากล่าวสอน พร่ำสอน พระกรรมฐานพระองค์ท่านทุกคืน คืนนี้ก็เช่นกัน มีพระเถราจารย์พระองค์หนึ่งล่วงมาแล้ว เข้ามาหาพระอาจารย์สุกด้วยกายทิพย์อันละเอียดประณีต

พระอริยเถราจารย์ พระองค์นั้นมาถึงแล้วก็กล่าวกับพระองค์ท่านว่า ข้าฯชื่อ คำมา ข้าจะมาสอนเรื่องการตัดขันธ์ จะได้เอาไว้ใช้กับตัวเอง และเอาไว้ใช้สอนผู้อื่น เวลาเกิดทุกขเวทนาในเวลาใกล้ตาย ท่านสอนว่าการตัดขันธ์นี้ ต้องมีสมาธิจิตกล้าแข็งสามารถลืมทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไม่เอาสังขารร่างกายแล้ว ให้ตัดจากขันธ์หยาบก่อน โดยพิจารณาวิปัสสนา คือ
         ๑. ตัดอาโปธาตุก่อน
         ๒. ตัดเตโชธาตุ
         ๓. ตัดปฐวีธาตุ
         ๔. ตัดวิญญาณธาตุ
     ดับความยึดมั่นในร่างกาย สุดท้ายให้ตัด วาโยธาตุ
     เวลามรณะกรรม ทุกขเวทนา จะไม่มี ไม่ปรากฏ แต่ต้องมีสมาธิจิตกล้าแข็ง จึงจะทำได้


พระอริยเถราจารย์ ยังกล่าวสอนต่อไปอีกว่า ระหว่างทุกข์เวทนาเกิดขึ้นมากนั้น ให้ตั้งสติให้กล้าแข็ง องค์แห่งธรรมสามัคคี คือ โพชฌงค์ ๗ จะเกิดขึ้น คือ
      สติสัมโพชฌงค์ ๑
      ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ๑
      วิริยะสัมโพชฌงค์ ๑
      ปีติสัมโพชฌงค์ ๑
      ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ๑
      สมาธิสัมโพชฌงค์ ๑
      อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ๑

      - เมื่อมีสติรู้ต่อทุกข์เวทนา ทั้งภายในภายนอก เรียกว่า สติสัมโพชฌงค์เกิด
      - มีสติแล้วระลึกถึงการตัดซึ่งขันธ์ห้า เรียกว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์เกิด
      - เริ่มทำความเพียรในการตัดขันธ์ เรียกว่า วิริยสัมโพชฌงค์เกิด
      - เมื่อตัดขันธ์ได้ครบองค์แล้ว ดับความยึดมั่นในร่างกายได้ ปีติสัมโพชฌงค์ก็เกิด
      - ความสงบทั้งภายในภายนอกก็ตามมา ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ จึงเกิด
      - ความไม่มีทุกข์เวทนา ก็หายไป จิตก็ตั้งมั่น จึงเกิดสมาธิสัมโพชฌงค์
      - วางเฉยในอกุศลธรรมทั้งปวง จึงเกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์



เมื่อท่านเจริญโพชฌงค์แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่งจริงแท้ด้วยตนเองในปัจจุบันอยู่ ธรรมเหล่านี้มีอยู่ ๗ อย่างตามที่กล่าวมาแล้ว พระอริยเถราจารย์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า เจริญอย่างไรจึงจะหลุดพ้น คือ
     ๑. ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธอันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย
     ๒. ย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะอาศัยนิโรธอันน้อมไป เพื่อความปลดปล่อย
     ๓. ย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธอันน้อมไป เพื่อความปลดปล่อย
     ๔. ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธอันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย
     ๕. ย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธอันน้อมไป เพื่อความปลดปล่อย
     ๖. ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธอันน้อมไป เพื่อความปลดปล่อย
     ๗. ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธอันน้อมไป เพื่อความปลดปล่อย


ท่านเจริญโพชฌงค์ ๗ อย่างนี้แล้ว ทำให้มากแล้ว เป็นเหตุให้เข้าถึงเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันอยู่ ฯ
   
คืนต่อมาพระอริยเถราจารย์ หรือหลวงปู่คำมา ท่านก็กล่าวสอนอีกว่า ข้าฯจะสอน "วิชาผ่อนคายจิต" ท่านสอนว่า ขณะที่จิตกำลังมีความสับสนวุ่นวาย
     ขอให้ตั้งสติแล้วหายใจให้ลึกๆ พุ้งสมาธิจิตไปที่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระพุทธรูป
     ให้เพ่งดูนิ่งๆนานๆ สักครู่หนึ่ง แล้วภาวนาสวดพระพุทธคุณ คือ อิติปิโส ฯลฯ ภควาติ ๑ จบ หรือหลายจบก็ได้
     ความวุ่นวายใจ และสับสนใจ ก็จะคลายลง แล้วหายไปเอง


คืนต่อมาพระอริยเถราจารย์ หรือหลวงปู่คำมา ท่านก็สอนต่อไปอีกว่า "วิชชาสยบทุกข์เวทนา" ท่านบอกว่า เมื่อมีทุกขเวทนาเกิดขึ้นแก่เรา
     ขอให้เราตั้งสติแล้ว ยอมรับทุกขเวทนานั้นก่อน คือ ให้มีสติกำหนดรู้ทุกข์นั้นเอง
     ให้รู้ว่าทุกข์เกิดจากอะไร แล้วนึกถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
     เรามีกรรมเป็นของตนเอง เรามีกรรมเป็นมรดก เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
     แล้วมีสติกำหนดรู้ ความวางเฉยในทุกข์เวทนานั้นด้วย ถ้าทำดังนี้ได้ ทุกขเวทนาที่มีอยู่ในใจและกาย ก็จะบรรเทา เบาบางลง และหายไปในที่สุด หรือให้มีสติรู้เวทนา เช่นทุกข์เวทนาเกิด ก็รู้ว่าทุกข์เวทนาเกิด ทุกข์เวทนาไม่มี ก็รู้ว่าทุกขเวทนาไม่มี ดังนี้
     ก็จะสามารถแยกจิตกับทุกขเวทนาออกไปได้ ไม่รู้สึกทุกข์
     ถ้ารู้ไม่เท่าทันทุกข์เวทนา เราก็ไม่สามารถสยบทุกขเวทนาได้
     ท่านบอกว่า นี้เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพร่ำสอนพระสาวก และสืบต่อมาจนถึงข้าฯและถึงท่านนี่แหละ


พระอาจารย์สุกพระองค์ท่าน ทรงออกจากสมาธิแล้ว ทรงทบทวนการตัดขันธ์ทบทวนโพชฌงค์ ๗ ทบทวนวิชาสยบทุกข์เวทนา เป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทุกวันในพรรษานี้ พระองค์ท่านก็สามารถตัดทุกขเวทนาได้ และชำนาญใน พระคัมภีร์โพชฌงค์ ๗ อีกด้วย 


คืนต่อมาในพรรษานั้น พระอริยเถราจารย์องค์ที่สอนพระอาจารย์สุก เรื่องการตัดขันธ์อันประกอบด้วย โพชฌงค์ ๗ ประการ ได้มาบอกท่านในสมาธิอีกว่า ข้าฯจะสอน "วิชาโพชฌงค์ ๗ เป็นวิชาโลกุดรสยบมาร" ท่านกล่าวอีกว่า
    มาร คือ กิเลสมาร สังขารมาร อภิสังขารมาร เทวปุตมาร และมัจจุมาร
    ท่านบอก นอกจากจะสยบมารทั้งห้าแล้ว ยังใช้รักษาโรคกาย โรคจิต ให้แก่ตัวเอง และผู้อื่นได้อีกด้วย


    ต่อมาท่านจึงบอกวิธีทำฌานโลกุดร สยบมาร ดังนี้
    ๑. ท่านให้ตั้งสติสัมโพชฌงค์ ที่กลางสะดือ องค์ธรรมนาภี จุดชุมนุมธาตุ
    ๒. ให้ตั้งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ที่จุดเหนือสะดือ หนึ่งนิ้ว จุดธาตุดิน
    ๓. ตั้งวิริยสัมโพชฌงค์ ที่จุดหทัย จุดองค์ธรรม พระพุทโธ
    ๔. ตั้งปีติสัมโพชฌงค์ ที่จุดคอกลวง องค์ธรรม ของพระปีติ
    ๕. ตั้งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ที่โคตรภูมิท้ายทอย องค์ธรรมนิโรธ ธาตุลม
    ๖. ตั้งสมาธิสัมโพชฌงค์ ที่กลางกระหม่อม องค์ธรรมของพระพุทธเจ้า
    ๗. ตั้งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ที่หว่างคิ้ว องค์ธรรมของพระสังฆราชา เมื่อจิตมีกำลัง ปราณีตดีแล้ว ตรงอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ให้เปลี่ยนคำภาวนาเป็น "โลกุตตะรัง ฌานัง" อันเป็นไปเพื่อจิตหลุดพ้น


ในกาลต่อมาพระอาจารย์สุก พระองค์ท่านก็ทรงนำวิชาโลกุดร สยบมาร มาสั่งสอนศิษย์ มากมายในกรุงรัตนโกสินทร์ มีชื่อเสียงโด่งดังมากมายหลายองค์


อ้างอิง : พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร มหาเถรเจ้า (สุกไก่เถื่อน) หน้า 154 - 157
เรียบเรียงโดย พระครูสิทธิสังวร ผช.จล. วัดราชสิทธาราม เจ้าคณะ 5 
ที่มา : http://www.somdechsuk.com , http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=6657.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 25, 2013, 10:34:50 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

รูปแสดงจุดที่ตั้งนวหรคุณ ๙ จุด

    วิชาโลกุดร สยบมาร
         ๑. ตั้งที่กลางสะดือ ภาวนาว่า สติสัมโพชฌงค์
         ๒. ตั้งที่เหนือสะดือ ๒ นิ้ว ภาวนาว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
         ๓. ตั้งที่หทัย ภาวนาว่า วิริยะสัมโพชฌงค์
         ๔. ตั้งที่คอกลวง ภาวนาว่า ปีติสัมโพชฌงค์
         ๕. ทั้งที่โคตรภูท้ายทอย ภาวนาว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
         ๖. ตั้งที่กลางกระหม่อม ภาวนาว่า สมาธิสัมโพชฌงค์
         ๗. ตั้งที่ระหว่างคิ้ว ภาวนาว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์
             แล้วเปลี่ยนมา ภาวนาว่า โลกุตตะรัง จิตตัง ฌานัง

     ผลประโยชน์ของวิชาโลกุดร สยบมาร
         ๑. แผ่ให้ผู้ที่ลำบาก
         ๒. แผ่บารมีให้มาร
         ๓. ทำจิตให้หลุดพ้น
         ๔. บูชาคุณครูบาอาจารย์
         ๕. เมตตา
         ๖. ปราบมาร
         ๗. มีความเพียร
         ๘. ปราบคนทุศีล
         ๙. รักษาโรคกาย โรคจิต ตนเอง และผู้อื่น


ที่มา http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=10522.msg39239#msg39239
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ask1

   เราจะชนะ เวทนา ทางกายได้อย่างไร ครับ กรรมฐาน จะช่วย อะไรได้บ้างครับ เช่นเวลาเราป่วย ปวดท้อง ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ หรือ บาดเจ็บ กรรมฐาน จะช่วยได้อย่างไร บ้างครับ

   thk56


     ans1 ans1 ans1
     
      เวทนา
ความเสวยอารมณ์, ความรู้สึก, ความรู้สึกสุขทุกข์ มี ๓ อย่าง คือ
           ๑. สุขเวทนา ความรู้สึกสุขสบาย
           ๒. ทุกขเวทนา ความรู้สึกไม่สบาย
           ๓. อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึกไม่สุข ไม่ทุกข์ คือ เฉยๆ เรียกอีกอย่างว่า อุเบกขาเวทนา;

       อีกหมวดหนึ่งจัดเป็น เวทนา ๕ คือ
           ๑. สุข สบายกาย
           ๒. ทุกข์ ไม่สบายกาย
           ๓. โสมนัส สบายใจ
           ๔. โทมนัส ไม่สบายใจ
           ๕. อุเบกขา เฉยๆ;

       ในภาษาไทย ใช้หมายความว่าเจ็บปวดบ้าง สงสารบ้าง ก็มี

______________________________________________
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

     
     การใช้วิชาโลกุดร สยบมาร หรือการเดินโพธฌงค์ ๗ ก่อนอื่นต้องไปขึ้นกรรมฐานมัชฌิมาฯก่อน
     และควรให้ครูสอนการเดินจิตตามฐานต่างๆให้คล่องก่อน จากประสบการณ์ต้องใช้สมาธิระดับหนึ่ง
     ไม่เหมาะสำหรับผู้มาใหม่ และสงวนไว้สำหรับศิษย์กรรมฐานมัชฌิมาฯเท่านั้น


    หากนำเอาปรมัตถธรรมมาพูด การเอาชนะเวทนาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
    เพราะขันธ์ของมนุษย์จะมีเวทนาตลอด คือ ไม่สุข ก็ทุกข์ หรือเฉยๆ สิ่งที่คุณนิรมิตถามเป็นทุกข์ทางกาย
    การใช้วิชาโลกุดร สยบมาร ของปุถุชนเป็นการดับทุกขเวทนาชั่วคราวเท่านั้น
    อะไรๆที่ยิ่งกว่านี้ ไม่ต้องถามครับ ผมตอบไม่ได้
    ขอคุยเท่านี้

       :25:
     
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 26, 2013, 12:07:33 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Akira

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 653
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st11 st12

   อ่านเข้าใจง่ายดี คะ
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ มาศึกษาธรรมะจ้า แก๊งค์ อ๊บ อ๊บ

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
 ans1

    การเจริญ โพชฌงค์ 7 เป็น วิสัยของพระอริยะบุคคล ( ขั้นพระอรหันต์ )
    ดังนั้นการเจริญโพชฌงค์ 7 ของปุถุชนที่ไำม่ผ่าน กระบวนการ สมาธิ เลยเป็นไปไม่ได้
   
    ดังนั้น ธรรม ส่วนนี้เป็นเรื่องที่คนธรรมดา จัดการได้ยาก

    การรับมือกับเวทนา ที่ดีเบื้องต้น คือ

       1. การกระทำไว้ในใจโดยแยบคายว่า เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ความเจ็บมีทุกข์อย่างนี้ อันนี้เบื้องต้น ( ป้องกันการโอดครวญ พิรี้ พิไร อย่างไร้ สติ )

       2. หมั่นฝึกเจริญ ปราณ คือ อานาปานสติ ตั้งแต่ ลมหายใจเข้า และ ลมหายใจออก ให้มากยิ่งขึ้น เมื่อหายใจเข้าและออก ตั้งมั่นแล้ว ให้ตั้งจิตเจริญวิปัสสนาว่า ลมหายใจเข้า เจ็บอย่างนี้ ลมหายใจออก เจ็บอย่างนี้ ทั้งหายใจเข้า และ หายใจออก มีความเจ็บอย่างนี้

       3. เมื่อจิตตั้งมั่นในลมหายใจเข้า และ ออก แล้ว ก็ให้พิจารณา ความเจ็บเป็นอารมณ์ และ เจริญความเจ็ยนั้นเป็นองค์กรรมฐาน

       4. เมื่อ จิตเจริญความเจ็บเป็นอารมณ์ ชื่อว่าเจริญ กายคตาสติ โดยสมบูรณ์ ธรรมจักเกิดขึ้นแก่ท่าน เวทนาที่เกิดขึ้นนั้น จะมีคำตอบเองในการภาวนา


    เจริญธรรม / เจริญพร

     ;)
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

ก้านตอง

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 195
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
พระอาจารย์ตอบสั้น จัง

 :73:
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0


ผู้ใดเจริญสมาธิภาวนาเป็นประจำทำปิติเกิดได้มีแก่ตนแล้วสามารถใช้การเจริญสมาธิภาวนาในแบบ อนุโลม (ล้างธาตุ) ปฏิโลม (เสริมธาตุ) ก็สามารถรักษาขันธ์สู้เวทนาได้เช่นกัน เพียงเชื่อในธรรมครูอาจารย์ที่สอนสั่ง และมี
ในกรรมฐาน มัชฌิมา นี้เท่านั้น สวัสดี!


"พุทโธ 1...............พุุทโธ 30 สถิตย์ลงในฐานจิต"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 29, 2013, 10:27:08 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
 ask1

เวทนา ที่ หมายถึงตรงนี้ คงหมายถึง ทุกขเวทนา ใช่หรือไม่

   สำหรับเวทนา ที่เป็นทุกข์ นั้น มีสองส่วน คือ

     ทุกขเวทนา ที่เกิด ทางกาย   ทุกข์กาย

     ทุกขเวทนา ที่เกิด ทางจิต เรียกว่า  โทมนัส


  สองทุกข์ บางครั้งแยกจากกันได้ บางครั้งก็แยกจากกันไม่ได้ อาศัยซึ่งกันและกัน โดย มีจิต เป็น เสวยผล คือ ทุกข์ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ


      สาเหตุแห่งทุกข์ มี สามอย่าง คือ ทุกข์ ที่เกิดเพราะเหตุในอดีต  ทุกข์ที่เกิดเพราะเหตุในปัจจุบัน ทุกข์ที่เกิดเพราะเหตที่จะมีในอนาคต


     กรรมฐาน ช่วยได้ทั้งสองประการ แ่ต่ต้องปฏิบัติให้ถุูก กับจริตด้วย

     บางคนมานั่งกรรมฐาน เพื่อ แก้โรคป่วยหัว แต่ มาบ่นว่า ไม่ได้นิพพาน

     บางคนมานั่งกรรมฐาน เพื่อไปนิพพาน แต่ มาบ่น อยู่แต่เรื่องปวดหัว ตัวร้อน


     เพราะความที่ตั้งใจ ( อธิษฐาน ) ไม่ถูก จึงไม่เข้าใจผลของกรรมฐาน คิดว่า เหมือน ยา ครอบจักรวาล คือ ภาวนากรรมฐาน แล้ว หายทุกเรื่อง มีทุกแบบ ประมาณนี้ อันนี้กล่าวไว้ให้เข้าใจในรูปแบบกรรมฐาน กันให้ตรงจุด นะจ๊ะ


    เจริญธรรม / เจริญพร

    ;)


บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

rainmain

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 323
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
มีธรรมบรรยาย เรื่องนี้ของพระอาจารย์ หรือไม่ ครับ ถ้าได้ฟัง น่าจะเข้าใจมากกว่าการอ่านนะครับ รู้สึกสนใจฝึก โพชฌงค์ 7 มากครับ

   st11 st12
บันทึกการเข้า
คิดดี พูดดี ทำดี เป็นกุศล และ กรรมฐาน เป็นมหากุศล นะครับ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ask1 ask1 ask1
วิชาโลกุดรสยบมาร หรือ การเดินโพธฌงค์ ๗ มีวิธีการฝึกอย่างไร.?

 ans1 ans1 ans1
ขออภัย..รายละเอียดของการฝึก ไม่สามารถบอกได้
ขอให้ไปสอบถามผู้สืบทอดกรรมฐานเอาเอง

 :25: :25: :25:


บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ