ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คนไทยใช่กบเฒ่า? เถรวาท vs. ลัทธิอาจารย์ (5)  (อ่าน 1333 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

คนไทยใช่กบเฒ่า? เถรวาท vs. ลัทธิอาจารย์ (5)
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)

อ้าว หันกลับมาเรื่องบทความของคุณสุจิตต์ เรื่องที่มีกาลามสูตร ตกลงได้ไหมครับ นิมนต์

บทความก่อนที่ 1 : กาลามสูตร

พระนวกะ : อันนี้เป็นบทความที่คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ เขียนไว้เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 ในคอลัมน์ สยามประเทศไทย โดยสุจิตต์ วงษ์เทศ ชื่อเรื่อง "กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อตำรา-พระไตรปิฎก"

ขออ่านต่อไปว่า : ระบบการศึกษาไทยไม่อยากให้คนฉลาด แล้วกลัวคนฉลาดเกินไป เลยไม่บอกเรื่องกาลามสูตร แล้วไม่ยกย่องปรัชญากาลามสูตรมาเป็นปรัชญาการศึกษาไทย


"ครูบาอาจารย์แต่กาลก่อนกลัวคนจะฉลาดเกินไปเพราะอาศัยกาลามสูตร เลยไม่เอามาสอน.

กาลามสูตรก็ไม่ถูกเอามาทำให้แพร่หลายเหมือนสูตรอื่นๆ ทั้งที่เป็นสูตรสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้เกิดผลดี"

ข้อความที่ยกมานี้อยู่ในเอกสารสิ่งพิมพ์ชื่อ การขุดเพชรในพระไตรปิฎก ของท่านพุทธทาส (ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม เชิญข้อความจากคำปราศรัย ที่กล่าวแก่ชุมนุมผู้มาร่วมบำเพ็ญบุญล้ออายุปีที่ 80 ของท่านพุทธทาส เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2528 มาพิมพ์แจกและจำหน่ายทั่วไป)

กาลามสูตร มี 10 ข้อ ท่านพุทธทาสเทศน์สรุปง่ายๆ ไว้ทั้งหมด

"วิถีเถรวาท" ชอบอ้างอิงตำราหลวงหรือพระไตรปิฎก ว่ามีมาแต่ครั้งพุทธกาล แล้วต้องยึดมั่นถือมั่นตามนั้น แต่ท่านพุทธทาสสอนว่า

"ในการสังคายนาครั้งแรก ยังไม่มีพระไตรปิฎก แต่ก็มาพูดกันในบัดนี้ ว่ามีพระไตรปิฎกมาแล้วตั้งแต่การทำสังคายนาครั้งแรก.


นั่นเป็นเพราะไปหลงตามคำกล่าวชั้นหลังๆ เมื่อเขามีพระไตรปิฎกเต็มรูปแบบในปัจจุบัน.

การเทศน์สังคายนาที่กล่าวให้เข้าใจว่า มีพระไตรปิฎกมาแล้วตั้งแต่การทำสังคายนาครั้งแรกนั้น ไม่ตรงกับความจริง.

ถ้าอาศัยหลักกาลามสูตรแล้วมันก็ต้องกล่าวอย่างอื่น คือกล่าวว่า มีแต่ธรรมวินัยที่ท่องจำไว้ด้วยปาก ยังไม่ได้จารึกลงไปให้เป็นปิฎก"

ท่านพุทธทาสเทศน์ย้ำว่า "พระไตรปิฎกนั้น ถ้าจะยื่นให้แก่นักศึกษาอาจจะปลดออกหรือฉีกออกได้สัก 30 เปอร์เซ็นต์ ถ้าสำหรับนักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดีตัวยงแห่งยุคปรมาณูในปัจจุบันหรืออนาคต อาจจะปลดออกได้อีก 30 เปอร์เซ็นต์, ถ้าสำหรับคนทั่วไปรวมทั้งยายแก่ตาแก่ที่สอนเด็กให้ตีกระป๋องช่วยพระจันทร์เมื่อราหูจับนั้น ไม่ต้องปลดอะไรออกเลย."

สำหรับที่เหลือ 40 เปอร์เซ็นต์ จัดเป็นเรื่องการดับทุกข์โดยวิถีทางวิทยาศาสตร์ ที่ไม่อาจจะปลดหรือฉีกออกได้อีกต่อไป ท่านพุทธทาสจึงเน้นว่า

นั่นแหละคือหลักพุทธศาสนาชั้นที่เป็นเพชรเม็ดเอก


เถรวาทถูกกันออกไปนานแล้ว จากการศึกษาไทย

พระพรหมคุณาภรณ์ : เรื่องนี้ที่จริงตัวประเด็นมีอยู่ 2 ข้อสั้นๆ นิดเดียวเท่านั้น

แต่ถ้าจะรวบรัด ไม่ต้องไปถึงนั่นหรอก เรื่องนี้ ไม่ต้องเข้าประเด็นด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะประเด็นสั้นหรือประเด็นยาว พูดปัดไปได้เลย

เรื่องก็คือ คุณสุจิตต์พูดถึงการศึกษาของชาติไทยในปัจจุบันว่าเป็นวิถีเถรวาท หรืออยู่ใต้วิถีเถรวาท


แต่เป็นที่รู้กันดีว่า พุทธศาสนาเถรวาทได้ถูกตัด ถูกปลดออกไปจากการศึกษาของรัฐไทยนานตั้งศตวรรษหนึ่งแล้ว และรัฐไทยได้รับเอาระบบการศึกษาสมัยใหม่แบบตะวันตกเข้ามาอย่างเต็มใจ พุทธศาสนาเถรวาทเวลานี้ เรียกได้ว่าอยู่นอกวงการของการศึกษา (ถูกนิมนต์เข้ามาอย่างคนนอกเป็นครั้งคราวตามเหตุการณ์)

แล้วจะมาเอาอะไรกับพุทธศาสนาเถรวาท



ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNakEwTURFMU5RPT0=
ขอบคุณภาพจาก http://www.watnyanaves.net/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 06, 2012, 02:39:57 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ