ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - tcarisa
หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 13
361  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พี่น้อง กรรมฐาน แ่อ่วเจียงใหม่ กันหรือยัง เจ๊า เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2010, 01:06:43 pm
อนุโมทนา กับผู้ใจบุญทุกท่าน ด้วยคะ เป็นจำนวนเงินที่มากนะคะ ไปกันกี่คน คะ

 :25:
362  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Dogstar ชวนดูโคมไฟในวันลอยกระทง Posted by Dogstar เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 11:13:50 am
Dogstar ชวนดูโคมไฟในวันลอยกระทง Posted by Dogstar


Dogstar ชวนไปดูโคมไฟกระดาษในเทศกาลลอยกระทงเชียงใหม่

          ที่อนุเสาวรีย์สามกษัตย์ปีนี้มีแสงสีกันอย่างคึกคัก ด็อกสตาร์
กับเพื่อนรุ่นน้องไปดูแสงสียามค่ำคืนของเชียงใหม่ก่อนวันลอยกระทง
ไม่กี่วัน การโชวสีสันของโคมกระดาษจัดที่ลานอนุเสาวรีย์
ไกล้กับถนนคนเดินวันอาทิตย์ คือมาชมโคมไฟหลากสีสันแล้วไปเดินเที่ยว
ถนนคนเดินกันแบบไม่เสียเที่ยว
           ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลงบ้างแล้วเรียกว่าเดินพอสบายๆ
นักท่องเที่ยวชาวไทยเริ่มมี ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เริ่มมากันเหมือนกัน
แต่ไม่คึกคัก สำหรังด็อกสตาร์คิดว่าบรรยากาศเหงาๆค่ะ อาจเป้นเพราะ
หลังจากอุทกภัยหลายแห่งเกิดในบ้านเรา เศรษฐกิจโลกไม่ดีทำให้
จิตใจห่อเหี่ยวกัน(ลืมบอกว่ามีพวกเสื็อแดงมาออกบูธขนาดใหญ่
แต่ไม่มีใครสนใจ )มาชมภาพกันค่ะ

งานจัดที่นี่แหละ ลานอนุเสาวรีย์สามกษัตย์






สวัสดีค่ะ แล้วจะเพิ่มรูปอีกนะคะ/















363  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: พระสงฆ์บนดอยจ.เชียงใหม่ผิงไฟแก้หนาว เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 07:46:05 pm
364  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระสงฆ์บนดอยจ.เชียงใหม่ผิงไฟแก้หนาว เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 07:39:32 pm
พระสงฆ์บนดอยจ.เชียงใหม่ผิงไฟแก้หนาว
 
   


    เชียงใหม่ พระสงฆ์ สามเณร บนยอดดอยเริ่มประสบภัยหนาว บางเเห่งต้องผิงไฟ หลังอุณหภมิลดลงต่อเนื่อง


    พระ สงฆ์ สามเณร ใน จ.เชียงใหม่ ประสบภัยหนาวแล้ว บางแห่งต้องผิงไฟ โดยเฉพาะในพื้นที่สูง นายจำเริญ ศรีคำมูล นักวิชาการชำนาญการ สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายงานว่า พระสงฆ์ สามเณร
    พระธรรมจารึก รวมทั้งสถานปฏิบัติธรรมหลายพื้นที่ ได้รับความเดือดร้อนเพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งเจ้าคณะอำเภอ ทั้ง 25 แห่ง ได้แจ้งข้อมูลความเดือดร้อน โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอรอบนอก และอยู่บนพื้นที่สูง เช่น อมก๋อย ดอย
    เต่า แม่แจ่ม ฝาง แม่อาย ไชยปราการ เวียงแหง และ เชียงดาว เป็นต้น

    ซึ่งจากข้อมูล พบว่า ปีนี้สภาพอากาศ หนาวเย็นกว่าปีก่อน และคาดว่าจะหนาวนาน แม้จะได้รับงบประมาณ จากส่วนกลางมาดูแลช่วยเหลือ แต่ก็ยังไม่ทั่วถึง เพราะเชียงใหม่ มีวัด และสถานที่ปฏิบัติธรรมกว่า 1,200 แห่ง มีพระสงฆ์สามเณรกว่า 20,000 รูป ส่วนมากในอำเภอรอบนอก จะอยู่ตามภูเขา ทำให้ประสบภัยทุกปี

    อย่างไรก็ตาม ในเร็วๆ นี้ พระเทพโกศล เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่จะเรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งหามาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน เพราะในขณะนี้ มีหลายพื้นที่ พระต้องผิงไฟคลายหนาวและเริ่มป่วยอาพาธกันบ้างแล้ว

นิรันดร์ ไชยชุติกาญจน์ มุกดาหาร 087-4228872

      มุกดาหาร-ภัยหนาวพระภิกษุ-สามเณรต้องก่อไฟ พิง และออกบิณฑบาตไม่ได้

     
http://video.nationchannel.com/data/13/2010/11/10/ccehg6Bbhcdgeckjaciac.flv


      ด้านพระภิกษุ-สามเณรต้องก่อไฟพิงส่วนพระผู้สูงอายูไม่สมาทออก บิณฑบาตไม่ได้ เนืองขณะที่มีอากาศหนาวเย็นลมพัดแรงส่งผลให้พระภิกษุอาพาธด้วยโรคปอด โรคทางเดินหายใจ

     

      จากสภาพอากาศหนาวเย็นส่งผลให้ด้านพระสงฆ์และสามเณรตามวัดต่างๆ ทั้งในชนบท และในตัวเมืองมุกดาหารโดยเฉพาะพระภิกษุ-สามเณรที่อยู่ในวัด ป่าศิลาวิเวก เขตเทศบาลเมืองมุกฯ ต่างเดือดร้อนขาดแคลนเครื่องกันหนาว

     

      โดยเฉพาะวัดที่อยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำโขงทั้ง 3 อำเภอ พระ เณร เดือดร้อนหนักโดยเฉพาะวัดที่ยู่ริม แม่น้ำโขง ยังขาดหมวก ผ้าขนหนู และอังสะ ให้พระและสามเณรได้คลายหนาว ในห้วงที่มีอากาศหนาวนี้

     

      ซึ่งแต่ละส่วนแต่ละหน่วยงานต่างก็ระดมกำลังช่วยเหลือผู้ที่ ประสบภัยหนาวโดยได้มุ่งเน้นไปที่เด็กและคนชรา แต่ในสังคมเรานี้ใช่ว่าจะมีแต่ประชาชนทั่วไปเท่านั้นที่ได้รับความเดือดร้อน จากภัยหนาว

     

      พระสงฆ์ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ ซึ่งแต่ละชุมชนมักจะมองข้ามไป ของบริจาคส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้บริจาคให้กับพระสงฆ์ ส่วนต่างๆขอให้เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของพระสงฆ์ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น

     

      โดยเฉพาะในปีนี้อากาศหนาวมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา ทำให้พระสงฆ์ที่อยู่ประจำตามวัดต่างๆได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ซึ่งขณะนี้ได้มีพระสงฆ์จำนวนมากอาพาธด้วยโรคปอด โรคทางเดินหายใจที่มาจากภัยหนาว.

ที่มา
http://76.nationchannel.com/playvideo.php?id=121114
365  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระสงฆ์กับกระแสบริโภคนิยม วัตถุนิยมในยุคข่าวสารข้อมูล เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 07:32:26 pm
พระสงฆ์กับกระแสบริโภคนิยม วัตถุนิยมในยุคข่าวสารข้อมูล
   

พระมหาฐาปนันท์ ฐาปนานฺนโท
นักศึกษาปี ๔ คณะมนุษยศาสตร์  มมร.สธ.


         ในยุคปัจจุบัน คนส่วนใหญ่นิยมหาความสุขจากการได้เสพ ได้ครอบครอง เหมือนสังคมที่เจริญทางด้านอุตสาหกรรม โดยถือ
ว่าเป็นสิ่งที่ทันสมัย พระสงฆ์ไม่หลงไปตามกระแส จะถือว่าล้าสมัยไหม ? เป็นเรื่องจำเป็นหรือไม่ที่พระสงฆ์ต้องตามกระแสอย่าง
ชาวบ้านด้วย?
         การมุ่งหาความสุขจากการใช้สอย การได้ครอบครอง เช่นเดียวกับสังคมที่มีความเจริญทางด้านอุตสาหกรรม หรือ การเลียน
แบบการเสพ การครอบครอง ตามอย่างสังคมตะวันตกเรียกว่า บริโภคนิยม ส่วนวัตถุนิยม หมายถึงภาวะการแสวงหาความสุข โดย
ใช้วัตถุเป็นสื่อกลางในการนำความสุขมาให้ โดยไม่ให้ความสำคัญต่อการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นภายใน เช่น เห็นคนอื่นมีบางสิ่ง แล้วต้องการมีอย่างเขา โดยเข้าใจว่าการมีอย่างนั้น จะมีความสุข การมีแนวคิดอย่างนี้เป็นลักษณะแนวคิดของสังคมตะวันตกที่มุ่ง
สร้างสรรค์ความเจริญทางด้านวัตถุ จากการเข้าใจว่า เมื่อความเจริญทางวัตถุบริบูรณ์แล้ว ความสุขภายในคือจิตใจจะเกิดขึ้นเอง เป็นลักษณะที่หาความสุขโดยมองว่า เมื่อความสะดวกสบายภายนอกเพียบพร้อมแล้ว ความสุขภายในจะเกิดตามมา
         แต่การหาความสุขจากการเป็นนักบริโภคนิยม และวัตถุนิยม ก็ยังเป็นปัญหาต่อสังคมตะวันตก สังคมที่มีความเจริญในด้าน
เทคโนโลยี และด้านอุตสาหกรรม เนื่องจากเพิ่งตระหนักว่า การเป็นนักวัตถุนิยมกับการมีชีวิตที่มีความสุข เป็นคนละอย่างกัน เราจะ
สังเกตเห็นว่าในสังคมตะวันตก หรือสังคมที่มีความเจริญพร้อมในด้านวัตถุ จะมีสถิติการฆ่าตัวตายสูงมาก นอกจากนั้น ก็ยังพบว่า
มีคนจำนวนมาก ในสังคมเช่นนั้น กลายเป็นพวกวิปริตทางจิต เป็นพวกโรคจิต ดังนั้น จึงมีอาชีพอย่างหนึ่ง เรียกว่าจิตแพทย์เพื่อเป็น
ผู้บำบัดอาการทางจิตแก่คนในสังคม ว่ากันว่าจิตแพทย์เป็นที่ต้องการขึ้นเรื่อย ๆ ในสังคมตะวันตก
         อีกอย่างหนึ่ง ในสังคมที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกระแสบริโภคนิยม และวัตถุนิยม มีปัญหาในด้านความเครียดสูงมากเพราะ
ต้องดิ้นรนแสวงหาให้ได้ครอบครอง ให้ได้เสพ ออกไปทำงานแต่เช้ามืด กลับดึก เกิดภาวะจิตที่ถูกกดดัน จิตไม่ปลอดโปร่ง เพราะมี
การดิ้นรนอยู่เป็นนิจ เป็นตัวกดดันภายในจิต เกิดภาวะจิตที่ร้อนรน กระสับกระส่ายไม่สงบ จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันชาวตะวันตกหันมา
ให้ความสนใจต่อการอบรมจิตมากขึ้น สำนักวิปัสสนาหรือสถานที่อบรมทางจิตมีมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะ
การอบรมจิตสามารถช่วยลดความเครียดของชาวตะวันตกได้อย่างน่าพอใจ
         เมื่อหันมามองประเทศไทย ปัจจุบันกระแสบริโภคนิยม วัตถุนิยม หรือกระแสฝรั่ง มีกินมีใช้อย่างไร เราต้องมีอย่างนั้น กำลัง
เป็นกระแสรุนแรง หากลองสังเกต เราจะเห็นว่าปัจจุบันคนไทยมีการดิ้นรนแสวงหาให้ได้ครอบครองวัตถุรุนแรงมาก บางคนต้อง
ทำงานหามรุ่งหามค่ำ บางคนไม่มีเงินเพียงพอก็ใช้วิธีผ่อนเป็นงวด ๆ และบางคนไม่มีทางเลือกอื่น ก็ใช้วิธีโจรกรรม ทำการปล้น จน
เป็นข่าวปรากฏในสื่อต่าง ๆ ให้ผู้คนหวาดผวาอยู่เป็นประจำ อาจกล่าวได้ว่า สาเหตุของอาชญากรรม ส่วนหนึ่งมาจากการเป็นนักบริ
โภคนิยมนักวัตถุนิยม ชนิดที่เรียกว่าหลงหน้ามืดไปตามกระแสนี้ทีเดียว นอกจากนั้น เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า บริโภคนิยม และ
วัตถุนิยม ก็คือ คุณค่าที่คนเราวัดกันด้วยตัววัตถุ ขณะนี้กำลังรุนแรงมากขึ้น ถ้าท่านแต่งตัวมอมแมมเข้าไปในโรงแรมระดับห้าดาว จะไม่มีใครยอมให้ท่านเข้าไปข้างในเลย แม้ท่านจะบอกว่าท่านเป็นคนดีมีศีลธรรม มีศีลห้าไม่ด่างพร้อย ในทางกลับกัน ถ้าแต่งตัว
สวยหรูล้ำสมัย จะสามารถเข้าไปได้อย่างสบาย พร้อมกับการคำนับสวย ๆ จากพนักงานต้อนรับ โดยไม่ต้องสอบถามความเป็นมาว่า
เป็นใคร ดี หรือเลว นี้เป็นการวัดคุณค่าของบุคคลด้วยวัตถุที่เห็นได้ชัดในปัจจุบัน และอีกอย่างหนึ่งคนที่ไม่ไปตามกระแสก็ถูกมอง
ว่า เป็นคนไม่ทันสมัย และเกิดเป็นปัญหาขึ้น เราจะเห็นได้จาก กรณีปัญหาโสเภณีวัยรุ่นที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเจาะลึกไปถึง
สาเหตุการเป็นโสเภณี พวกเขายอมรับว่า เป็นโสเภณีเพื่อต้องการมี เงิน มีเพจเจอร์ มีโทรศัพท์มือถือ เหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ ไม่ต้อง
การถูกมองว่าเป็นคนล้าสมัย การมีแนวคิดในลักษณะนี้ เกิดเป็นค่านิยมที่มองคนอื่นที่ไม่มีวัตถุที่ตัวเองมีเหมือนอย่างประเทศที่
พัฒนาแล้วว่า เป็นคนล้าสมัย โดยวัดความล้าสมัย ความทันสมัยเอาที่ตัววัตถุ ไม่มองคุณค่าภายในจิตใจ
         นอกจากจะคุกคามในสังคมทั่วไปแล้ว กระแสบริโภคนิยม วัตถุนิยม ยังรุกราน ทำให้วงการสงฆ์ปั่นป่วนไปทั่ว ปัจจุบันมีข่าว
ความประพฤติเสื่อมเสียของพระสงฆ์บ่อยมาก แต่ละกรณีล้วนทำให้วงการสงฆ์ได้รับผลกระทบไม่น้อย กรณีที่เห็นได้ชัดเจน เช่น
กรณีเจ้าอาวาสวัดหนึ่ง ที่เรี่ยไรเงินจำนวนมากจากประชาชนโดยใช้วิธีทางธุรกิจ เพื่อนำมาสร้างเจดีย์ และยักยอกที่ดินเป็นกรรม
สิทธิ์ของตัวเอง ทำให้คนส่วนหนึ่งเริ่มมองพระสงฆ์ว่าเป็นนักธุรกิจ เข้ามาบวชในศาสนาเพื่อหวังผลประโยชน์ ในการเลี้ยงชีพทำ
ให้ประชาชนเกิดความเสื่อมศรัทธาต่อพระสงฆ์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
         แม้การเป็นนักบริโภคนิยม นักวัตถุนิยม จะถือว่าเป็นเรื่องไม่แปลกสำหรับชาวบ้านธรรมดา ถ้าเป็นไปอย่างสุจริต แต่ในทาง
พระสงฆ์เป็นเรื่องขัดแย้งกันมากเนื่องจาก การเป็นเพศบรรพชิต หมายถึง การสละทุกสิ่งทุกอย่าง อันเป็นความสุขทางโลก ไม่เกี่ยว
ข้องกับการสะสม การได้เสพความสุขอย่างชาวบ้านมีกัน แล้วมุ่งตรงต่อการหาความสุขภายในที่ประณีต กระทั่งถึงการตัดกิเลส สิ้นทุกข์ได้สิ้นเชิง และการดำเนินชีวิตของพระสงฆ์ในสายตาชาวบ้าน หรือโดยหลักจริง ๆ พระสงฆ์ต้องดำเนินชีวิตที่สันโดษ เรียบง่าย ไม่มีพันธะ เมื่อพระสงฆ์เป็นนักบริโภคนิยม เป็นนักสะสม จึงเป็นการทวนต่อหลักการความเป็นเพศบรรพชิตของตน ดังนั้นจึงทำให้ชาวบ้านเริ่มมีความสงสัยว่าการเป็นพระสงฆ์มีจุดหมายอย่างไร กันแน่ ?
         ถึงกระนั้นปัจจุบันพระสงฆ์ก็มีแนวโน้มไปในทางกระแสบริโภคนิยม วัตถุนิยมมากขึ้น จะเห็นได้ว่า ตามวัดต่าง ๆ มีการบอก
บุญเรี่ยไร ชาวบ้านให้ทำบุญ สร้างศาสนวัตถุมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ ศาลาการเปรียญ เจดีย์โดยที่ทางวัดก็มีศาสนวัตถุเหล่านี้
เรียบร้อยแล้ว การเรี่ยไรมีตั้งแต่การขอบริจาคที่วัด จนถึงการโอนผ่านบัญชีธนาคาร และหากเราจะสังเกต จะพบว่า พระเถระระดับ
ผู้ใหญ่มีตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ส่วนมาก ล้วนมีรถยนต์ยี่ห้อหรู ไว้ใช้ส่วนตัวทั้งนั้น หรือถ้าหากมีคนถวายไว้ใชัสอย ก็ไม่
จำเป็นที่ท่านเหล่านั้นต้องนำมาเป็นสมบัติส่วนตัว อีกอย่างหนึ่ง ตามสถานีวิทยุต่าง ๆ ที่พระจัดรายการ จะนิยมชักชวนญาติโยมให้
ทำบุญในการสร้างศาสนวัตถุมากกว่า การสั่งสอนหลักธรรมที่แท้จริงแก่ญาติโยม และเมื่อไม่นานมานี้ข่าวหลวงพ่อสะสมรถเบนซ์
คงจะพอทำให้ประเด็นนี้เด่นชัดขึ้น ยิ่งความเจริญทางวัตถุ ทางเทคโนโลยีรุดหน้าไปมากเพียงใด ดูเหมือนพระสงฆ์ก็มีแนวโน้ม
หลงไหลไปตามกระแส บริโภคนิยม วัตถุนิยมมากขึ้น
         สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่พระสงฆ์มีพื้นเพทางฐานะครอบครัวค่อนข้างยากจน และความอยากภายในตัวพระสงฆ์
เอง กล่าวได้ว่า จำนวนส่วนมากของพระสงฆ์ไทย มาจากฐานะครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน ตามชนบท มีการนิยมให้ลูกชายบวช
เรียนกันมาก เนื่องจากบิดามารดาไม่สามารถจะส่งเสียให้ลูกได้เรียนสูงขึ้นไปได้ การนำบุตรเข้ามาบวชเรียนในพระพุทธศาสนา จึง
เป็นทางเลือกหนึ่งที่บิดามารดาเชื่อว่าจะเป็นโอกาสดีที่บุตรจะได้เรียนสูงขึ้น และเชื่อว่ายังเป็นการสร้างกุศลให้กับบิดามารดา อีก
ด้วย เพราะเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ส่วนหนึ่งที่เข้ามาบวช ถ้าสามารถอยู่เป็นพระในพระศาสนาต่อไปได้ แต่ยังไม่ละทิ้ง
ความอยากมี อันเป็นพื้นเพเดิมของตัวเอง เมื่อโอกาสอำนวยให้ก็ทำการสนองต่อความอยากนั้น โดยไม่คำนึงถึงภาวะเพศบรรพชิต
ของตนเอง เกิดเป็นกระแสฆราวาสมีอย่างไร ทันสมัยอย่างไร เราก็ต้องมีอย่างนั้นเหมือนกัน
         จากการที่พระสงฆ์มีแนวโน้มไปในทางเป็นนักบริโภคนิยม และนักวัตถุนิยม มีผลกระทบต่อศรัทธาที่ชาวบ้านมีให้ต่อพระ
สงฆ์และการเผยแผ่พระศาสนาของพระสงฆ์เป็นอย่างมาก เพราะพระสงฆ์โดยการเลี้ยงชีวิตแล้ว ต้องอาศัยชาวบ้านในด้านปัจจัยสี่
ที่ชาวบ้านมีศรัทธานำมาถวาย พระสงฆ์เองโดยหลักแล้ว ต้องเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณแก่ชาวบ้าน และในสายตาของชาวบ้าน พระสงฆ์ไม่ควรยึดติดในสิ่งต่าง ๆ แต่เมื่อพระสงฆ์กลับเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ ที่ทันสมัย ในขณะที่แม้แต่ชาวบ้านที่ใส่บาตรเป็น
ประจำ ก็ยังหาเช้ากินค่ำ หาเลี้ยงชีวิตไปวัน ๆ ไม่อาจเอื้อมถึงได้ในชีวิตนี้ จึงเกิดเป็นช่องว่างระหว่างพระสงฆ์กับชาวบ้าน ความ
สัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์ กับชาวบ้านเริ่มลดน้อยลง จากการมองพระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญก็จะลดน้อยลง ในที่สุดการสงเคราะห์โดย
มีศรัทธาเป็นสะพานเชื่อมก็สูญสิ้นไป การเผยแผ่ธรรมของพระสงฆ์ต้องชะงักไปด้วย เพราะชาวบ้านไม่ยอมรับ ผลจากการที่พระ
สงฆ์ไม่ประพฤติอยู่ในกรอบของความเป็นพระสงฆ์ที่พอจะให้ชาวบ้านเชื่อถือได้บ้าง
         ความจริงถ้าหากพระสงฆ์ปฏิบัติตามหลักที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา แล้ว พระสงฆ์จะไม่เป็นนักบริโภคนิยม นักวัตถุนิยม หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไม่ได้ส่งเสริมให้เหล่าสาวกเป็นนักบริโภค นิยม นักวัตถุนิยม ในธัมมจักกัปปวัตนสูตร พระพุทธเจ้าตรัสตำหนิพวกที่ปฏิบัติไปในทำนองที่เป็นพวกกามสุขัลลิกานุโยค คือ พวกที่ปฏิบัติไปในแนวหมกมุ่นอยู่ในกาม แสวง
หาความสุขสุดโต่งไปในทางวัตถุ ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่หย่อนเกินไป และตรัสไม่ให้เหล่าสาวกดำเนินไปตามแนวทางนี้ อันเป็นแนว
ทางที่บรรพชิตไม่ควรปฏิบัติเป็นการประพฤติของปุถุชน ไม่ประกอบด้วยมรรค เปล่าประโยชน์ และโดยพื้นฐานพระพุทธศาสนา
เกิดขึ้นจากการมองเห็นบริโภคนิยมวัตถุนิยมว่าเป็นสิ่งไร้สาระ ไม่นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง จะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าก่อนจะทรง
ออกผนวชก็ทรงบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติที่ให้ความสำราญแก่พระองค์ได้โดยไม่ต้องลำบากตลอดชีวิต แต่เมื่อมองเห็นความไม่มี
แก่นสารของสิ่งเหล่านี้ พระองค์จึงออกผนวช บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เผยแผ่หลักธรรมแก่เหล่าเวไนยสัตว์ แม้แต่วินัยของ
พระสงฆ์ก็มีหลายสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเพื่อป้องกันไม่ให้พระสงฆ์ ยินดีในแนวปฏิบัติไปในทางบริโภคนิยม วัตถุนิยม เช่น สิกขาบทที่ 20 แห่งนิสสัคคียปาจิตตีย์ว่า "ภิกษุใดถึงการซื้อและการขายมีประการต่าง ๆ เป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์" ในสิกขาบทที่ 19 แห่งนิสสัคคียปาจิตตีย์ ว่า " ภิกษุใดถึงความแลกเปลี่ยนด้วยรูปิยะมีประการต่าง ๆ เป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์ " เป็นต้น โดยที่สุดหากลุ
ุแก่ความอยาก อยากมีวัตถุไว้ครอบครองถือเอาของสิ่งของที่คนอื่นไม่ให้มีราคามากกว่า 5 มาสกขึ้นไป ปรับอาบัติถึงขั้นขาดจาก
ความเป็นภิกษุ คือ "อาบัติปาราชิก"
         การที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนโดยตรัสการเป็นนักบริโภคนิยม นักวัตถุนิยมว่าเป็นพวกกามสุขัลลิกานุโยค ไม่ได้หมายให้พระ
สงฆ์ตัดขาดจากการดำรงชีวิตโดยไม่อาศัยวัตถุอย่างสิ้นเชิงเลย ในธัมมจักกัปปวัตนสูตร พระพุทธเจ้าทรงตำหนิการปฏิบัติไปใน
แนวกามสุขัลลิกานุโยคก็จริง แต่ก็ทรงสั่งสอนสาวกให้ดำเนินตามทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทาด้วย ซึ่งประกอบด้วยอริยมรรค
มีองค์ ๘ อันจะนำไปสู่การหลุดพ้นอย่างแท้จริง คือไม่ให้หมกมุ่นอยู่กับการหาความสุขภายนอกมากเกินไป แต่ถึงอย่างไรก็ตาม
พระองค์ยังตรัสย้ำให้เหล่าสาวกมักน้อยสันโดษอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากทรงประสงค์ให้เหล่าสาวกมีชีวิตที่สันโดษเรียบง่ายพอใจใน
สิ่งที่มี ให้สาวกมุ่งต่อการขจัดอกุศลออกไปเป็นหลัก ดังจะเห็นได้จากการที่พระองค์ตรัสไว้หลายแห่งเช่นตรัสว่า
         "ความไม่สันโดษเป็นเหตุให้เกิดของอกุศลธรรม และทำให้กุศลธรรมเสื่อมไปส่วนความสันโดษทำให้กุศลธรรมเกิดขึ้นและ
ทำให้อกุศลธรรมเสื่อมไป"(องฺ เอก. 20/14/65-66)
         และตรัสว่า "ความมักมากเป็นเหตุให้อกุศลธรรมเกิดขึ้น ให้กุศลธรรมเสื่อมไป ส่วนความมักน้อยเป็นเหตุให้กุศลธรรมเกิดขึ้น ให้อกุศลธรรมเสื่อมไป"(องฺ เอก. 20/14/63-64)
         เนื่องจากการที่พระสงฆ์มักมากไม่สันโดษจะทำให้พระสงฆ์ยึดติดอยู่กับสิ่งที่ได้ครอบครองอยู่ เป็นเหตุให้ไม่พากเพียรใน
การยังมรรคผลให้เกิดขึ้น หากสังเกตจะพบว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า " ความมักมาก" หรือตรัสว่า "สันโดษ" เท่านั้น แต่พระองค์ไม่
่ได้ตรัสว่า ไม่ให้มีหรือไม่ให้ครอบครองอะไรอย่างสิ้นเชิงเลย แต่การมีหรือการครอบครองอะไรต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมแก่
พระสงฆ์ที่มีได้
         เพราะฉะนั้นแล้ว ในยุคที่กระแสบริโภคนิยม วัตถุนิยม เป็นกระแสรุนแรงในสังคม ผู้คนต่างแข่งขันกันเพื่อให้ได้เสพได้
ครอบครอง เกิดเป็นสังคมที่เป็นไปในแนวมือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดปัญหามากมายในสังคม น่าจะเป็นโอกาสที่พระสงฆ์จะเป็น
ผู้นำหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาช่วยผ่อนคลายต่อกระแสนี้ และพระสงฆ์เองควรจะตระหนัก วางท่าทีต่อกระแสนี้ให้เหมาะสม
โดยไม่ลืมหน้าที่หลักที่ตนจะต้องทำคือ การสมาทานในอธิศีลสิกขา การสมาทานในอธิจิตสิกขา การสมาทานในอธิปัญญาสิกขา
         พระสงฆ์จะสามารถดำรงอยู่ในท่ามกลางกระแสรุนแรงของบริโภคนิยม วัตถุนิยม อย่างไม่กระทบต่อศรัทธาที่ประชาชนม
ีต่อพระสงฆ์เอง และสามารถนำหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแก้ปัญหาแก่ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
366  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พุทธธรรมแก้มหันตภัยธรรมชาติ เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 02:25:49 pm
พุทธธรรมแก้มหันตภัยธรรมชาติ

โดย.. เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ

 

              มหันตภัยธรณีพิบัติที่เกิดขึ้นกับ ๖ จังหวัดภาคใต้และภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมียอดคนเจ็บและเสียชีวิตพอๆ กับภัยจากระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ เป็นครั้งแรก ที่ความรุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นต่ อมนุษย์พร้อมๆ กันภายในวันเดียว

              ในพระไตรปิฎกไม่เคยบรรยายถึง ความรุนแรงจาก ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นใน ยุคพุทธกาล ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในยุคพุทธกาล ก็มีจากภัยแล้ง ที่ประเทศอินเดีย ไม่มีฝนตกอยู่นาน จนทำให้คนและ สัตว์ตายจำนวนมาก จนกระดูก (ของคนและสัตว์) ปรากฏขาวเกลื่อน ภัยอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผู้คนตายกันมาก ตามที่ปรากฏใน คัมภีร์ยุคอรรถกถา คือโรคระบาด (ห่าลง) โดยเป็นโรค ที่เกิดจากอมนุษย์ ทำให้มนุษย์หวาดกลัวหนีออกจากเมือง และพระพุทธเจ้าทรงมอบให้พระอานนท์นำ น้ำพระพุทธมนต์ไปประพรม
พุทธวิธีการแก้ไขภัยธรรมชาติในลักษณะนี้ เป็นรูปแบบที่ชาวพุทธในประเทศไทย นำมาใช้ต่อมาเมื่อเกิดโรคระบาดหลายยุค หลายสมัยในยุคต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พระราชพิธีอาพาธพินาศ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ เป็นต้น

              ปัญหาที่ชาวพุทธมักจะถามกัน เมื่อเกิดความเสียหาย ผู้คนล้มตายกันมากในลักษณะนี้ คือ "ทำไมจึงเกิดเรื่องรุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้น ?"

              ชาวพุทธส่วนใหญ่มักตอบว่า เป็นกรรมเก่า ที่กระทำร่วมกันมา การวิเคราะห์ใน เชิงกฎแห่งกรรม ในลักษณะนี้ ทำให้มองเห็นว่า ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้เป็นคนไม่ดีมาก่อน และเพราะเหตุนั้นจึงเป็นเหตุการณ์ที่สาสมแล้วที่ความยุติธรรมเกิดขึ้น การวิเคราะห์ใน ลักษณะเช่นนี้ใช้กันมาก และเป็นเหตุให้ชาวพุทธ มักไม่ให้ความสนใจปัญหาทางสังคม เพราะไม่เห็นว่าตนมีส่วนร่วมในเคราะห์กรรมเหล่านั้นด้วย

              การแก้ไขปัญหาทางสังคมตามหลักธรรม ในพระพุทธศาสนานั้นคือ มงคลสูตร เนื่องจากมงคล คือสัญลักษณ์ของความเจริญ ความสำเร็จที่เกิดขึ้น มนุษย์แต่ละคน ไม่เคยอยู่ตามลำพัง แต่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเสมอ ภัยพิบัติทั้งหลายนั้นคืออัปมงคล ซึ่งหากไม่ร่วมกันแก้ไขบำบัดแล้ว สังคมก็จะอยู่ไม่ได้

              มงคลนั้นทำให้มนุษย์มองสู่อนาคต และเห็นว่าอะไรที่ตนเองต้องปฏิบัติบ้าง เพื่อทำให้อนาคตของ มนุษยชาติดีขึ้น ในฐานะที่ตนเองเป็น มนุษย์คนหนึ่ง มิใช่ว่าเป็นเพราะกรรมอะไร แต่ควรถามตัวเองว่าเราควรทำกรรมอะไรบ้างที่จะช่วยเหลือเขาได้ต่างหาก

เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ

ที่มา : หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก
วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2548
367  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เพื่อนสมาชิก คิดยังไง คะ เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 02:13:57 pm


ไม่กล้าโพสต์มาก แต่พวกนักเรียนนำมาถาม

ไปดูต่อที่เว็บนี้นะคะ

http://www.dhammakid.com/board/eocoaoonoaaad-necaa/oaaiancaeoao-ocaaxeioaoaado-eoe1o-aoao8207%28aoaoeca%29/

อ่านความเห็นที่หลากหลายได้ที่นี่ คะ
http://www.buddhakhun.org/main//index.php?topic=4127.msg11018#msg11018
368  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พี่น้อง กรรมฐาน แ่อ่วเจียงใหม่ กันหรือยัง เจ๊า เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 02:04:22 pm

เชียงใหม่ ก็ยังมีดี อยู่มาก คะ ยังไม่ต้องไปถึง แม่ฮ่องสอน ก็ได้คะ




 :25:
369  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พี่น้อง กรรมฐาน แ่อ่วเจียงใหม่ กันหรือยัง เจ๊า เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 01:38:28 pm
 วาซาบิพืชอาหารญี่ปุ่นปลูกโดยคนไทย

                   

วา ซาบิ พืชอาหารญี่ปุ่น ปลูกโดยฝีมือคนไทย ส่งขายทั่วโลก ในประเทศไทยได้ทำการทดสอบการเพาะปลูกวาซาบิอยู่หลายสายพันธุ์ เพื่อหาสายพันธุ์ที่เหมาะสม ทำการขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดในห้องปรับอากาศ จากนั้นจึงนำไปปลูกในโรงเรือนที่มีระบบปรับอุณหภูมิ โดยใช้ระบบความเย็นและระบบน้ำไหลเวียนควบคู่กันไป ทำการศึกษาวิจัยจนถึงการขยายผลในเชิงธุรกิจใช้เวลาหลายปีนำผลิตภัณฑ์วาซาบิ ประเภทต่างๆ ส่งไปจำหน่ายตลาดต่างประเทศทั่วโลก

วาซาบิ เป็นพืชที่นิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นรู้จักกันในรูปแบบของเครื่องเทศที่นำมาประกอบอาหารเมื่อประมาณ 400 กว่าปีมาแล้ว แต่นำมาปลูกแบบการค้าเมื่อประมาณ 300 กว่าปี ระยะแรกมีการปลูกตามริมน้ำลำธาร ที่มีน้ำไหลผ่านตลอดเวลา ต่อมาได้มีการนำมาปลูกในแปลงนาข้าว ปัจจุบันพบได้ในหลายพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่น ต่อมาผู้บริโภคมีความต้องการมากขึ้น จึงได้ขยายพื้นที่การปลูกไปยังประเทศต่างๆ เช่น อินโดนีเซีย เกาหลี ไต้หวัน จีน

นายปรีชา โกวิทยา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องวาซาบิ และเป็นผู้ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประจำปี 2542 เล่าว่า วาซาบิเป็นพืชที่มีมูลค่าสูง เนื่องจากปลูกได้ในเฉพาะพื้นที่ที่เหมาะสมเท่านั้น วาซาบิเป็นพืชตระกูลกะหล่ำ เจริญเติบโตได้ในอุณหภูมิประมาณ 20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิในน้ำประมาณ 10 องศาเซลเซียส และความเข้มของแสงต่ำ ความชื้นสูง ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป ในเขตร้อนชอบขึ้นตามป่าไม้ใหญ่ไม่ผลัดใบ ตามธรรมชาติชอบขึ้นอยู่ตามริมน้ำลำธารบนภูเขา ในที่ชื้นแฉะ

วาซาบิ เป็นพืชข้ามปี มีรากสะสมอาหารและรากดูดกลืนอาหารอยู่ใต้ดิน รากสะสมอาหารมีลักษณะกลม ปลายรากแหลม ประกอบด้วยตาหน่อ ซึ่งจะเจริญและใช้ขยายพันธุ์ต่อไป แต่ละรากจะมีหน่อประมาณ 20 หน่อขึ้นไป ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพแวดล้อม ขณะที่ตาหน่อเจริญ ตาอื่นๆ จะพักตัวจนกว่าจะปลิดหน่อแรกออก หน่อที่เจริญเต็มที่ยาวประมาณ 5-30 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร มีจำนวนรากประมาณ 20-25 รากต่อต้น ความยาว 30-100 เซนติเมตร ซึ่งจะเจริญเป็นรากสะสมอาหารและรากดูดอาหารต่อไป ส่วนที่อยู่เหนือดินประกอบด้วยก้านใบยาว 30-50 เซนติเมตร ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือกลม โคนใบที่อยู่ติดกับก้านใบจะเว้าเข้าไปเป็นรูปหัวใจคล้ายใบบัวบก กว้างประมาณ 15-30 เซนติเมตร จำนวน 55-65 ใบต่อต้น การเจริญเติบโตของใบในฤดูหนาวและฤดูร้อนจะค่อนข้างช้า ประมาณ 2-3 ใบต่อเดือน ในสภาพที่เหมาะสม ใบจะเจริญเติบโต 5-6 ใบต่อเดือน ต้นวาซาบิที่มีอายุ 15 เดือน จะมีใบ 65 ใบ ใบจะเหลืองและร่วง 2-6 ใบต่อเดือน ช่อดอกเป็นช่อดอกแบบไม่จำกัด ยาวประมาณ 20-60 เซนติเมตร ดอกสีขาว กลีบดอกยาว 8-9 มิลลิเมตร เมล็ดจะมีการพักตัว 3 เดือน

ในประเทศญี่ปุ่น ดอกจะเจริญเติบโตประมาณเดือนมกราคมและจะเจริญเติบโตสูงสุดเดือนเมษายน เมล็ดพันธุ์สามารถเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 50-60 วันหลังจากดอกบานเต็มที่ เมล็ดอ่อนจะสีเหลือง เมล็ดแก่จะสีดำ การเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์เมื่อประมาณปลายเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม ความแข็งแรงของเมล็ดพันธุ์ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ในระยะที่เมล็ดเจริญเติบโต การเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สุดประมาณกลางเดือนเมษายน เมล็ดพันธุ์ที่เก็บเกี่ยวแล้วต้องทิ้งไว้ให้พักตัวประมาณ 3 เดือน หรือขึ้นอยู่กับอุณหภูมิในช่วงที่เก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ การขยายพันธุ์วาซาบิ สามารถขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและการแยกกอ ซึ่งจะต้องทำการขยายพันธุ์ระยะแรกในห้องควบคุมอุณหภูมิ จากนั้นจึงย้ายลงปลูกในแปลงที่ปลูกในระบบปิด เพื่อให้ต้นวาซาบิได้รับอุณหภูมิต่ำระหว่าง 10-20 องศาเซียลเซียส

นาง สุรางค์ ชาติชำนาญ นักวิชาการผู้รับผิดชอบการปลูกวาซาบิ เล่าว่า ในประเทศไทยได้ทำการทดสอบวาซาบิอยู่หลายสายพันธุ์ เพื่อหาสายพันธุ์ที่เหมาะสม ทำการขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดในห้องปรับอากาศ จากนั้นจึงนำไปปลูกในโรงเรือนที่มีระบบปรับอุณหภูมิ โดยใช้ระบบความเย็นและระบบน้ำไหลเวียนควบคู่กันไป ทำการศึกษาวิจัยจนถึงการขยายผลในเชิงธุรกิจใช้เวลาหลายปี พบว่าปลูกในเมืองไทยนั้น อายุตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวนาน 18 เดือนถึง 2 ปี วาซาบิจะเริ่มลงหัวเมื่ออายุประมาณ 1 ปี จึงนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ จากนั้นจะมีภาคเอกชนที่รับผิดชอบด้านการตลาด เป็นตัวแทนนำผลิตภัณฑ์วาซาบิประเภทต่างๆ ส่งไปจำหน่ายตลาดต่างประเทศทั่วโลก

การใช้ประโยชน์จากลำต้นใต้ดิน ราก ก้าน และใบ นำมาแปรรูปหรือประกอบอาหาร เนื่องจากมีรสชาติเผ็ด หวาน กลิ่นหอม สีเขียวอ่อน นิยมใช้ประกอบอาหารญี่ปุ่น เช่น ปลาดิบ ข้าวห่อสาหร่าย ก๋วยเตี๋ยว หรือรับประทานกับปูอัด โดยจะมีความเผ็ดฉุนในระยะสั้น กลิ่นฉุนจะหายเมื่อถูกความร้อน การบริโภคอาจใช้วิธีการขูดหรือบดให้เป็นผงหรือฝอยใส่ในอาหาร หรืออาจแปรรูปเป็นวาซาบิผง วาซาบิซ๊อส วาซาบิแช่แข็ง หรือใช้กลิ่นของวาซาบิแต่งกลิ่น ส่วนก้านใบและใบ ใช้ดองเหล้าสาเกหรือซีอิ้ว จึงเป็นที่น่าภาคภูมิใจที่คนไทยสามารถผลิตวาซาบิส่งจำหน่ายทั่วโลกได้ สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 08-7184-2791, 08-9755-1371

นิวัตร ธาตุอินจันทร์ /เชียงใหม่

โดย บ้านเมืองออนไลน์

แหมทาน วาซาบิ นึกว่าจาก ญี่ปุ่น ที่แท้อยู่บ้าน เรานี่เอง เจ๊า
370  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พี่น้อง กรรมฐาน แ่อ่วเจียงใหม่ กันหรือยัง เจ๊า เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 01:34:05 pm

วัดพันตา




วิหารลายคำ อยู่ในวัดพระสงห์วรมหาวิหาร


เป็นวิหารที่มีการวาดลวดลายภายในสวยงาม และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงส์
(คนเชียงใหม่เรียกว่าพระสงห์)



หอธรรมวัดพระสิงห์
ใช้บรรจุพระไตรปิฏกคะ



วัดสวนดอก


เป็นวัดอยู่นอกเขตเมืองเก่าเชียงใหม่ สร้างในสมัยพญากือนา กษัตริย์ราชวงศ์มังรายซึ่งเป็นกษัตริย์ที่สร้างวัดพระธาตุดอยสุเทพด้วยคะ


กู่เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่และเจ้านายฝ่ายเหนือ


เป็นที่บรรจุอัฐิเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่และเจ้านายฝ่าย เหนือ น่าจะเป็นของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในสมัยราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนที่ช่วงนี้ล้าน นาตกเป็นเมืองประเทศราชของสยามแล้วและต่อมาถูกยุบรวมเป็นประเทศเดียวกัน ครับ(ในสมัยรัชกาลที่ 5) แต่ก่อนอยู่บริเวณที่เป็นที่ตั้งของตลาดวโรรสและตลาดต้นลำไยครับและได้ย้าย มาไว้ที่วัดสวนดอกนี้ เมื่อไรไม่ทราบครับ ขอผู้รู้แก้ไขให้ด้วยคะ


371  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ประเพณีเดือนยี่เพง-ประเพณยี่เป็ง เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 01:23:13 pm



ประเพณีเดือนยี่เพง-ประเพณยี่เป็ง

            ประเพณีเดือนยี่เพง-ยี่เป็ง    คือ ประเพณีในเทศกาลวันเพ็ญ  เดือน  ๑๒ ซึ่งแต่เดิมนั้นพิธีสำคัญของเทศกาลนี้อยู่ที่พิธีกรรมตั้งธรรมหลวงหรือฟังเทศน์มหาชาติ  ชาว บ้านจะมีการประดับประดาวัดวาอารามบ้านเรือน ด้วยประทีปโคมไฟ โคมระย้า ทำอุบะดอกไม้ไปถวายวัด ทำซุ้มประตูป่าด้วยต้นกล้วย อ้อยก้านมะพร้าว เตรียมข้าวปลาอาหารเป็นพิเศษ เช่น ห่อนึ่ง แกงอ่อม แกงฮังเล ลาบ และขนมต่าง ๆ ไปทำบุญ บางแห่งมีพิธีกวนข้าวมธุปายาสหรือบ้างเรียก ข้าวพระเจ้าหลวง ถวายเป็นพุทธบูชาในตอนเช้ามืดของวันเพ็ญเดือน  ๑๒  นี้ ด้วย จากนั้นก็จะมีการทานขันข้าวหรือสำรับอาหารไปถึงบรรพชนคนตาย ถวายอาหารและกัณฑ์เทศน์แด่พระภิกษุสงฆ์ และมีการฟังธรรมมหาชาติตั้งแต่เช้าถึงกลางคืน บางแห่งก็จะมีการสืบชะตาด้วย   จะมีการปล่อยโคมลอย  เรียกว่า "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" ในช่วงพลบค่ำจะมีการเทศน์ธรรมชื่อ  "อานิสงส์ผางประทีส" และชาวบ้านจะมีการจุดประทีสหรือประทีป โคมหูกระต่าย โคมแขวน  เป็นพุทธบูชากันทุกครัวเรือนสว่างไสว

ประวัติวันลอยกระทง

เขียนโดย Alex   

ลอยกระทง เป็นประเพณีของไทยที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ งานลอยกระทงเริ่มทำตั้งแต่ กลางเดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลาก น้ำจะเต็มสองฝั่งแม่น้ำ ที่นิยมมากคือ ช่วงวันเพ็ญเดือน 12 เพราะ พระจันทร์เต็มดวง ทำให้แม่น้ำใสสะอาด แสงจันทร์ส่องเวลากลางคืน เป็นบรรยากาศที่สวยงาม เหมาะแก่การลอยกระทง เดิมพิธีลอยกระทงเรียกว่า พระราชพิธีจองเปรียงชักโคม ลอยโคม ซึ่งเป็นพิธีของพราหมณ์ เพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ครั้นคนไทยรับนับถือพระพุทธศาสนา ก็ทำพิธียกโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณี ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลอยโคมบูชาพระพุทธบาท



การ ลอยกระทงตามสายน้ำนี้ นางนพมาศ สนมเอกของพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย คิดทำกระทงรูปดอกบัว และรูปต่างๆถวาย พระร่วงทรงให้ลอยกระทงตามสายน้ำไหล ในหนังสือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระร่วงตรัสว่า "แต่นี่สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ ทำโคมลอย เป็นรูปดอกบัวอุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมฆทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน" ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์ มีการทำกระทงขนาดใหญ่และสวยงาม ดังพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของเจ้าพระยาทิพาราชวงศ์ กล่าวไว้ว่า "ครั้นมาถึงเดือน 12 ขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ แรมค่ำหนึ่งพิธีจองเปรียงนั้น เดิมได้โปรดให้ขอแรง พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า ฝ่ายใน และข้าราชการที่มีกำลังพาหนะมาทำกระทงใหญ่ ผู้ถูกเกณฑ์ต่อเป็นถังบ้าง ทำเป็นแพหยวกบ้าง กว้าง 8 ศอกบ้าง 9 ศอกบ้าง กระทงสูงตลอดยอด 10 ศอก 11 ศอก ทำประกวดประขันกันต่างๆ ทำอย่างเขาพระสุเมรุทวีปทั้ง 4 บ้าง และทำเป็นกระจาดชั้นๆบ้าง วิจิตรไปด้วยเครื่องสด คนทำก็นับร้อย คิดในการลงทุนทำกระทงทั้งค่าเลี้ยงคนและพระช่าง เบ็ดเสร็จก็ถึง 20 ชั่งบ้าง ย่อมกว่า 20 ชั่ง บ้าง" ปัจจุบันประเพณีลอยกระทง มีการจัดงานกันแทบทุกจังหวัด ถือเป็นงานประจำปีที่สำคัญ โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่มีการจัดขบวนแห่กระทงใหญ่ กระทงเล็ก มีการประกวดกระทง และประกวดธิดางามประจำกระทงด้วย ส่วนการลอยโคม ชาวบ้านทางภาคเหนือและภาคอีสานยังนิยมทำกัน ชาวบ้านจะนำกระดาษ มาทำเป็นโคมขนาดใหญ่สีต่างๆ ถ้าลอยตอนกลางวัน จะทำให้โคมลอยโดยใช้ควันไฟ ถ้าเป็นเวลากลางคืน ก็จะใช้คบจุดที่ปากโคม ให้ควันพุ่งเข้าในโคม ทำให้ลอยไปตามกระแสลมหนาว เวลากลางคืนแลเห็นแสงไฟโคมบนท้องฟ้า พร้อมกับแสงจันทร์และดวงดาวสวยงามมากทีเดียว

วันลอยกระทง เป็นวันเทศกาลสำคัญ วันหนึ่ง ของคนไทย ซึ่งจะมีขึ้นใน วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นช่วงที่อากาศโปร่งใสสบาย และสิ้นสุดฤดูฝนแล้ว นอกจากนี้ ระดับน้ำ ในแม่น้ำ ลำคลอง ทั่วทั้งประเทศ ก็มีระดับสูงด้วย

คำว่า "Loy" ก็คือ "ลอย" และคำว่า "กระทง" นี้ หมายถึง กระทง รูปดอกบัว ทำด้วยใบตอง และในกระทง ส่วนใหญ่ ก็จะใส่ เทียนไข ธูป 3 ดอก ดอกไม้ และ เงินเหรียญ

ความ จริงแล้ว เทศกาลนี้ แต่เดิมเป็น พิธี ทางศาสนาพราหมณ์ ซึ่งประชาชนต้องการแสดง ความขอบคุณต่อเจ้าแม่คงคา ดังนั้น คืนเดือนเพ็ญ ประชาชนจึงจุดเทียนและธูป พร้อมกับ ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วจึงลอยกระทง

ใน ลำคลอง แม่น้ำ หรือแม้แต่ สระน้ำเล็กๆ เป็นที่เชื่อกันว่า กระทงนี้ จะพาไปซึ่ง บาปและความโชคร้าย ทั้งมวลออกไป นอกจากนี้ การตั้งจิตอธิษฐาน ก็เพื่อปีใหม่ ที่กำลังจะมาถึง แน่นอนที่สุด ช่วงนี้เป็น เวลาแห่ง ความรื่นเริง และ สนุกสนาน เพราะได้ลอยความเศร้าโศกต่างๆ ออกไปแล้ว

เทศกาล ลอยกระทง จะเริ่มในช่วงเย็น เมื่อพระจันทร์เต็มดวง ประชาชนจาก ทุกสาขาอาชีพ จะนำกระทงของตน ไปยังแม่น้ำ ที่ใกล้ๆ หลังจาก จุดเทียนไข และธูปแล้ว จึงตั้งจิตอธิษฐาน ในสิ่งที่ ตนปรารถนา แล้วจึงค่อยๆ วางกระทงลงในน้ำ แล้วปล่อยให้ กระทงลอยไปจนสุดลูกตา

การประกวด สาวงาม ก็เป็น ส่วนสำคัญของ เทศกาลนี้ เช่นกัน แต่ว่า ในโอกาส เช่นนี้ เราเรียกว่า "ประกวดนางนพมาศ"Aeva Debug: 0.0006 seconds.
372  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ขอเชิญร่วมงานเททองหล่อพระ ณ วัดหนองบัวหิ่ง ราชบุรี เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 12:51:00 pm
สาธุ สาธุ กับข่าวงานในบุญ ในกลุ่ม กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ
 :25:
373  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รัก ชอบ หลง กับความแตกต่าง เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 04:16:22 pm


 
1. “ชอบ” คำนี้ควรเอาไว้หน้าเครื่องหมายของความรักเพราะจะทำให้ความรักปลอดความขัดแย้ง มักจะมีความสุข และสมหวังเพราะ

         1.1 ชอบ คือ รสนิยมตรงกัน นิสัยไปด้วยกันได้ เข้าใจกัน คุยกันถูกคอ เรียกว่าชอบพอกัน เช่น การคบเพื่อนเราก็ใช้ความรู้สึกนี้ เราจึงชอบเพื่อนรักเพื่อน มีความสุขพอใจ เมื่อได้อยู่กับเพื่อน แม้จะคบกันมาตั้งแต่วัยเรียน จนถึงทำงาน จนถึงแก่กว่า เพื่อนก็ไม่เคยหมดความหมาย เพราะมาจากรากฐาน ชอบ

          1.2 ถ้าคำว่า “ชอบ” นำมาใช้กับคนที่รักของเรา ก็จะเพิ่มดีกรีดีกว่าเพื่อนขึ้นไปอีก เหตุนี้ควรพิสูจน์นิสัยใจคอ จนสามารถชอบเขาได้แล้วค่อยกลายเป็นความรักจึงจะถูกต้องอย่างที่ว่า“จะรักใคร ควรจะชอบเขามาก่อน แล้วความรักจะยั่งยืน

         1.3 แต่… ส่วนใหญ่ยังไม่ทันชอบเลย ไม่รู้เสียด้วยว่าลูกใครครอบครัวเขาเป็นอย่างไร รู้แต่ชื่อเล่น ชื่อจริง ส่วนนามสกุลเอาไว้บอกทีหลัง เราก็รักไว้ก่อน ชีวิตครอบครัวจึงไม่ประสบผลสำเร็จ ล้มเหลว วันหนึ่ง ๆ แต่งงานเป็นร้อยคู่ แต่ก็หย่ากันวันล่ะ 200 คู่ ขาดทุน 100% ขาดทุน 100% เพราะเรียงลำดับผิด

          1.4 เพราะถ้าเอาความ รัก ขึ้นหน้าไว้อันดับหนึ่งก่อน ชอบมักจะมองข้ามความบกพร่อง ความไม่ดีทุกอย่างของคนที่เรารักไปอย่างที่ผู้ใหญ่บอกว่า “ความรักทำ ให้คนตาบอด” พ่อแม่ห้ามก็ไม่ฟัง

           1.5 แต่…ถ้า เอาชอบไว้ก่อนยังไม่รัก ถ้าคนรักเกิดพลิกล๊อค กลายเป็นไม่ดี เพราะไม่มีอะไรจะซ่อนเร้นมิดชิดและปกปิดได้นาน เท่ากับหัวใจคน เรารู้ก่อนที่จะรัก เราก็ตัดใจได้ไม่ยาก ชอบมาก่อน จึงเกิดผลดีอย่างน้อย 2 ประการ (1). ตัดใจได้ง่าย (2). ได้คนดี

2. คำว่า “รัก” มีความหมายลึกซึ้งมากกว่าที่คุณคิด คนส่วนใหญ่จึงไม่รู้ความหมายคำว่ารักอย่างแท้จริง เพราะไม่คิดถึงทั้งๆ ที่ตัวเองก็กำลัง ประพฤติอยู่
 
             2.1 รัก มีความหมายถึงการอยากให้ ให้คนที่ตนรักมีความสุข แล้วตัวเองก็ต้องมีความสุขด้วย ทั้งที่ความสุขนั้นอาจจะไม่ใช่หมายถึงความสมหวังเสมอไป “ในความรักไม่มีความกลัว เพราะความกลัวถูกจัดเข้ากับการลงโทษ”mแต่การเสียเขาไปต้องมีเหตุผลที่สมควร จาก 2 ฝ่ายด้วย ไม่ใช่เราคิดไปเองว่าเขาคงจะได้ดี แล้วก็ทิ้งเขาไป (เห็นได้จากในภาพยนตร์บ่อย ๆ) ซึ่งทำให้เราต้องสูญเสียโอกาสทั้ง 2 ฝ่าย กลายเป็นจบลงด้วยความเศร้าแทน

             2.2 รัก “ถ้าเราจะรักใครซักคน เราต้องคิดอยู่เสมอว่า เราจะให้อะไรกับเขา ไม่ใช่จะได้อะไรจากเขา” ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง

             2.3 ในความรักไม่มีความกลัว เพราะถ้ามัวแต่กลัวจะเหมือนกับการโดนลงโทษ แล้วอาจจะ โดน ม.ค.ป.ด.
 
3. คำว่า “หลง” หลงกับรักมักจะแยกกันยากมาก เพราะอาการคล้าย ๆ กัน ทีแรกก็ปลูกต้นรัก แต่พอต้นรักเติบใหญ่ ทำไมออกดอกเป็นความหลง ความหลงจะสำแดงแตกต่างจากความรักสังเกตได้ 3 ประการ

          3.1 เห็นแก่ตัว กอบโกยความสุขจากคนรักให้มากที่สุด เช่น
          ขอพบ ขออยู่ใกล้ ให้คนรักปรนนิบัติเอาใจ เรียกร้องความสนใจตลอดเวลา เอาแต่ความสุขความพอใจตนเองเป็นใหญ่
          คนรักจะทุกข์ยากอย่างไรไม่สน ตัวเองจะยอมทุ่มเททุกอย่าง เช่น
         - ทรัพย์สินเงินทองปรนเปรอ
         - ถ้าไม่ได้ก็ใช่เล่ห์กล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา พวกหมอดู
          คนเจ้าเข้าทรง หมอผีร่ำรวยก็เพราะคนพวกนี้ ดูผิวเผิน เหมือนความรักสุดใจแต่ไม่ใช่ เพราะความรักเป็นความสุภาพ เสียสละ อ่อนโยน มีเหตุผล

           3.2 ความหลงจะสังเกตได้ จะไม่มีลดน้อยหรือแม้แต่ตัว แต่จะร้อนแรงขึ้นเป็นลำดับ เหมือนถูกผีกระทำ จะไม่มีเหตุผล เกรี้วกราด รุนแรง เอาแต่ใจ เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่

           3.3 การหึงหวง อย่างรุนแรง ไร้เหตุผล แม้ตัวเองจะได้ตายก็ยอม เช่นฆ่าตัวตาย หรือ ฆ่าตัวตายทั้งคู่ ตามหนังสือพิมพ์ที่ออกข่าวบ่อย ๆ เช่นรักไม่สมหวัง หลายคนเห็นใจที่เขาบูชารัก แต่นั่นคือการเข้าใจผิด มันไม่ใช่ความรัก เพราะความรัก คือความอ่อนโยน มีเหตุผล ไม่กระทำผิด แต่ความหลงกระทำให้เรา “คิดสั้น” “หลงผิด” ถูกครอบงำด้วยอำนาจที่แฝงแปลงร่างมาคล้ายกับความรักแท้
374  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: คุณผู้หญิงทุกท่าน โปรดแนะนำ อิ๋วด้วย ว่าทำอย่างไร จึงจะหลบพวกเจ้าชู้ ได้ เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 04:12:58 pm
 :smiley_confused1:

ส่วนหนึ่ง คิดว่ามีกรรม ร่วมกันมาแต่อดีต ด้วยคะ จึงทำให้เราต้องมีคนเจ้าชู้ มากรุ่มกริ่ม รุ่มร่ามให้รำคาญใจ

ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับ เขาก็ดีคะ เผื่อจะทำให้มีอะไรดลใจ ให้เขาเปลี่ยนใจเลิกรุ่มร่ามกับเรา คะ อย่างน้อย

เพื่อนทุกข์ เกิดแ่ก่ เจ็บ ตาย ร่วมกัน

 ที่นี้ผู้ชาย บางคนที่เจ้าชู้นี้ บางครั้้งก็มีพวกคอมมานโด คะ คือชอบจู่โจม แต่ทั้งนี้ทั้งหมดอยู่ที่เราทำให้เกิด

โอกาสด้วยคะ หลีกเลี่ยงการอยู่ สองต่อสองนะคะ ในที่ลับตา ห้ามเด็ดขาด คะ
 :13:

375  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: การให้อภัย เป็นสิ่งที่ควรทำหรือ ในกรณีอย่างนี้... เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 04:05:59 pm
อ้างถึง
แต่อยากตั้งคำถามว่า

  อภัยทาน ควรทำเมื่อใด ?

  อภัยทาน ควรทำแก่บุคคลใด ?

  มีบุคคล ที่ไม่ควร อภัยทาน หรือ ไม่ ?

 
  ถ้าเริ่มจะฝึก อภัยทาน นี้ควรทำอย่างไร ? และจะใช้ เวลามากน้อยขนาดไหน ? อภัยทาน ถึงจะมีผล

   อภัยทาน ควรทำเมื่อใด ? 

   โดยความคิดส่วนตัวนะคะ อภัยทาน นั้นควรจะทำเมื่อมีการขอขมากรรม หรือ ในยามผู้ที่ก่อปัญหานั้น มีความสำนึก

  รู้ตัวว่าผิดแล้ว ให้สัจจะว่าจะไม่ประพฤติผิดอีก เหมือนกันกับนักโทษเวลาทำความดีมาก ๆ ก็จะได้รับอภัยโทษให้น้อย

  ลง ดังนั้นอภัยทาน ควรทำเมื่อบุคคลที่ ควรอภัยนั้นได้กลับตัวกลับใจแล้ว คะ

   อภัยทาน ควรทำแก่บุคคลใด ?

   อภัยทาน ควรทำแก่บุคคลที่สำนึก และ กลับตัว กลับใจ แล้วคะ

   มีบุคคล ที่ไม่ควร อภัยทาน หรือ ไม่ ?

   มีมากเลยคะ ที่ยังทำความผิด ต่อไปเรื่อย ๆ ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน คนพวกนี้ยังไม่ควรอภัย คะเพราะยังเป็นวายร้าย

   ที่ทำลายผลาญชีวิตผู้อื่น ให้ลำบาก อยู่คะ

   ถ้าเริ่มจะฝึก อภัยทาน นี้ควรทำอย่างไร ?

   ฝึกมองเห็นโทษของความไม่ดี และคุณของความดีคะ จนเข้าใจอะไรคือโทษ อะไรคือคุณ เมื่อเข้าใจ แล้ว

   ก็จะรู้วิธีการให้อภัยเองโดยธรรมชาติ คะ
   
   และจะใช้ เวลามากน้อยขนาดไหน ? อภัยทาน ถึงจะมีผล

   ตอบการทำความดี ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ คะ หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ธรรมะพิสูจน์ใจ คะ


   :bedtime2:
376  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ถังน้ำสองใบ เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 03:30:50 pm
ข้อความดีๆ ถังน้ำสองใบ

 

ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร
 

ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก 

ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง 

แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน
 

จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว
 
 

 
 

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง
 

ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง
 

ในขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง
 

มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุด ประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา
 
 

 
 

หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น
 

วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า
 

'ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า
 

ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน'
 
 

 
 

คนตักน้ำตอบว่า 'เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า
 

แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง
 
 

 
 
 

เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่ ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า
 

และทุกวันที่เราเดินกลับ ... เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น
 

เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว
 

ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว ... เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้'
 
 

 
 
 

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
 

แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น
 

อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้
 

สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น
 

และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง
 
 

 
 
 

มองโลกหลายๆ ด้าน เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น
377  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ประกาศ อนุโมทนา บุญกุศลเรื่อง กิจกรรมการเผยแผ่เว็บ www.madchima.org เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 11:42:38 am

ขอแสดงความยินดี กับ เว็บด้วยคะ

พึ่งทราบนะคะว่า เว็บ ติด 1 ใน 10 ในหมวด ศาสนา ด้วย

ก็ด้วยความสงสัย ก็เลยมองดูว่า ดูที่ตรงไหน ก็บางอ้อ ต้องคลิ๊กเข้าไปดู ที่รูปนี้ในหน้าเว็บ

ขอให้เพื่อน ๆ สนับสนุนเว็บ ต่อไปนะคะ
 :25: :25: :25:
378  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ปรามาสภิกษุ กรรมที่ต้องระมัดระวัง เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 02:18:36 pm
นำมาฝากจาเว็บนี้จ้า
อ่านแล้วสะกิดใจ เห็นว่ามีประโยชน์

http://larndham.org/index.php?/topic/40 ... ntry732560

นำ เรื่องกรรมปรามาสภิกษุมาเล่าสู่กันฟังครับ เป็นอุทาหรณ์ให้ระมัดระวังกัน ในฐานะเป็นพุทธศาสนิกชนเราต้องช่วยกันจรรโลงรักษาพุทธศาสนาก็จริง แต่ความจริงแท้เป็นอย่างไรยังไม่ปรากฏ จึงต้องสำรวมและระมัดระวังกันให้มากครับ


กรรมของอัมปาลี เกิดเป็นโสเภณี
บุ รกรรมของอัมพปาลีเกิดขึ้นในอดีตชาติเมื่อครั้ง ๓๑ กัปก่อน ครั้งนั้นเป็นพุทธกาลของพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระสิขีทศพล นางอัมพปาลีเกิดเป็นธิดาตระกูลพราหมณ์ในนครอมรปุระ วันหนึ่งนางได้ด่าภิกษุณีรูปหนึ่งว่าเป็นหญิงแพศยา ด้วยเหตุที่ภิกษุณีรูปนั้นเป็นพระอรหันต์ กรรมนี้จึงเป็นกรรมหนักมาก เมื่อทำกาละแล้วนางอัมพปาลีจึงต้องไปรับกรรมหมกไหม้อยู่ในนรกนานแสนนาน
เมื่อ พ้นกรรมหนักจากนรกกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เศษของกรรมได้ส่งผลให้นางอัมพปาลีต้องเกิดเป็นหญิงแพศยามานับหมื่นๆ ชาติ จนถึงพุทธกาลปัจจุบันนางเกิดขึ้นโดยการอุบัติ (โอปปาติกกำเนิด) เป็นสาวสวยที่โคนต้นมะม่วงในพระราชอุทยานกรุงเวสาลี จึงได้ชื่อว่า อัมพปาลี แต่ด้วยเศษของอกุศลกรรมที่เคยด่าพระเถรีในครั้งนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ ความงามของนางจึงเป็นโทษ เพราะทำให้บรรดาเจ้าชายลิจฉวีทะเลาะแย่งชิงกันเพื่อจะได้นางไปเป็นสนม คณะผู้พิพากษาแห่งวัชชีต้องยุติข้อขัดแย้งโดยตัดสินให้อัมพปาลีเป็นหญิง แพศยา เป็นนางคณิกานคร เป็นสมบัติของทุกคน การแย่งชิงนางจึงสงบลงได้
(ภายหลังบวชเป็นภิกษุณีและสำเร็จเป็นพระอรหันต์)


กรรมของโสไรยบุตร จากชายกลายเป็นหญิง
โสไรยบุตร เป็นบุตรเศรษฐีในโสไรยนครซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ใกล้กรุงสาวัตถี เขามีภริยา และมีบุตรชายแล้ว ๒ คน
วัน หนึ่ง โสไรยบุตรนั่งยานออกไปอาบน้ำนอกนครกับบริวาร ระหว่างทางเห็นพระมหากัจจายนเถระกำลังบิณฑบาตอยู่ พระเถระรูปนี้มีรูปสวย มีผิวพรรณวรรณะงดงามดังทองคำ โสไรยบุตรเห็นพระเถระแล้วเผลอใจคิดไปว่า “สวยจริงหนอ พระเถระรูปนี้น่าจะได้เป็นภริยาของเรา”
ด้วยจิตอันเป็นอกุศล ต่อพระเถระขีณาสพผู้ล่วงอาสวะแล้ว เพศชายของโสไรยบุตรจึงหายไป กลับกลายเป็นเพศหญิงมาแทนที่ โสไรยบุตรกลับกลายเป็นโสไรยธิดา เป็นกุลธิดารูปงาม ด้วยความตกใจและความอายเธอจึงลงจากยานแอบหนีไป คนรู้จักแม้มองเห็นก็จำไม่ได้ว่ากุลธิดานี้คือโสไรยบุตร
โสไรยธิดาลงจาก ยานแล้วไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เธอจึงเดินตามขบวนเกวียนสินค้าขบวนหนึ่งไป เมื่อเดินจนเมื่อย เธอจึงถอดแหวนให้ และขอนั่งไปบนเกวียน
ขบวนเกวียนนั้น เดินทางถึงตักกศิลา แคว้นคันธาระ นายเกวียนคิดว่าบุตรเศรษฐีในกรุงตักกศิลายังไม่มีภริยา กุลธิดาผู้นี้มีรูปงามสมกัน เขาจึงพาโสไรยธิดาไปพบบุตรเศรษฐีหวังได้รางวัล บุตรเศรษฐีเห็นนางแล้วหลงรัก รับนางเป็นภริยา
โสไรยธิดาจึงได้เป็นภริยา ของบุตรเศรษฐีกรุงตักกศิลา ต่อมาเธอก็ตั้งครรภ์ และมีบุตรกับสามี ๒ คน ตอนนี้เธอจึงมีบุตรแล้ว ๔ คน บุตร ๒ คนแรกมีเธอเป็นบิดาอยู่ที่โสไรยนคร ส่วนบุตรอีก ๒ คนมีเธอเป็นมารดาอยู่ร่วมกันที่ตักกศิลา
(ต่อมาโสไรยธิดาธิดาได้ขอขมาพระเถระจึงได้กลับเพศเป็นชาย ออกบวช และสำเร็จเป็นพระอรหันต์)


กรรมของอุคคเสน จากบุตรเศรษฐีเป็นนักแสดงกายกรรม
ใน อดีตกาลครั้งพุทธกาลของพระกัสสปทศพล ชนจำนวนมากช่วยกันสร้างเจดีย์บูชาพระบรมศาสดา ในครั้งนั้นมีสองสามีภรรยามีจิตศรัทธาขนของกินของใช้บรรทุกยานเดินทางไปร่วม งานก่อสร้างพระเจดีย์ ระหว่างทางพบพระเถระองค์หนึ่งกำลังบิณฑบาตอยู่ ภรรยาเห็นพระเถระจึงบอกสามีว่าของกินในยานเรามีจำนวนมาก นายจงนำบาตรของพระคุณเจ้ามาเพื่อถวายภิกษาเถิด
เมื่อสามีรับบาตรมาแล้ว ภรรยาก็ใส่บาตรนั้นจนเต็ม ให้สามีนำกลับไปถวายพระเถระ เสร็จแล้วภรรยาได้กล่าวคำปรารถนาว่า ท่านเจ้าข้า ด้วยผลบุญที่ดิฉันและสามีได้ถวายภิกษาแก่ท่านนี้ ขอให้ดิฉันทั้งสองได้เห็นธรรมอันท่านได้เห็นแล้วด้วยเถิด พระเถระตรวจดูความปรารถนานั้นเห็นว่าจะสำเร็จสมความปรารถนาในพุทธกาลถัดไป ท่านจึงทำอาการยิ้ม
ภรรยาเห็นพระเถระยิ้มจึงพูดกับสามีว่า ดูสินาย พระคุณเจ้าของเราท่านยิ้มเหมือนเด็กนักฟ้อนเลย สามีเห็นดีเห็นงามตามภรรยาตอบว่า จริงสิ
แม้ คำพูดนี้จะไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ แต่ก็เป็นกรรมที่ทำกับพระเถระขีณาสพ ในพุทธกาลปัจจุบันภรรยาผู้นั้นจึงเกิดมาเป็นหญิงนักฟ้อน ส่วนสามีได้เกิดมาเป็นบุตรเศรษฐีในนครราชคฤห์ชื่อว่า อุคคเสน แต่เพราะเห็นดีเห็นงามไปกับภรรยาด้วยเขาจึงมีกรรมต้องออกจากเรือนเศรษฐีไป เร่ร่อนอยู่ในคณะมหรสพกับหญิงผู้เป็นภรรยา
(ภายหลังทั้งสองสำเร็จเป็นพระอรหันต์)


กรรมของพระจูฬปันถก ภิกษุปัญญาทึบ
จูฬ ปันถกเป็นหลานชายราชคฤห์เศรษฐี พี่ชายชื่อมหาปันถกซึ่งออกบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วมาชวนให้ออกบวช ด้วย จูฬปันถกจึงออกบวชในสำนักของพระพี่ชาย แต่ด้วยกรรมเก่าเมื่อครั้งบวชเป็นภิกษุในพุทธกาลก่อน เคยพูดเยาะเย้ยภิกษุรูปหนึ่งว่าปัญญาทึบ แม้จะมีวาสนาบารมีจากการบวชมาแล้ว แต่กรรมเก่านั้นได้ส่งผลให้พระจูฬปันถกมีปัญญาทึบมาก พระพี่ชายให้ท่องคาถาแค่ ๔ บาท ใช้เวลาท่อง ๔ เดือนยังท่องไม่ได้ จนถูกพระพี่ชายไล่ให้สึกไปยืนร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตูวิหาร
(สุดท้ายได้อุบายธรรมโดยตรงจากพระบรมศาสดา สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้มีฤทธิ์มาก และมีปัญญามาก)


กรรมของวัสสการพราหมณ์ เกิดเป็นลิง
วัส สการพราหมณ์เป็นมหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธ เป็นคนมีปัญญามากกว่าอำมาตย์อื่นจึงเป็นที่ไว้วางพระทัยของพระเจ้าอชาตศัตรู ได้รับมอบหมายให้ไปเฝ้าทูลถามราชกิจจากพระบรมศาสดาบ่อยๆ แต่วัสสการพราหมณ์เป็นคนนอกศาสนา แม้จะไปเฝ้าพระศาสดาบ่อยครั้ง แต่ก็ไปเพราะพระบัญชาของพระเจ้าอชาตศัตรู ไม่ได้ไปเพราะนับถือพระรัตนตรัย
วัน หนึ่งวัสสการพราหมณ์เห็นพระมหากัจจายนะเถระลงมาจากเขาคิชฌกูฏิ ด้วยความคะนองปากจึงเอ่ยวาจาเปรียบพระกัจจายนะเถระว่าคล้ายลิง พระพุทธองค์ตรัสเตือนว่า การพูดปรามาสพระอรหันต์ขีณาสพผู้พ้นอาสวะแล้วเป็นกรรมหนัก กรรมนี้จะทำให้วัสสการพราหมณ์ต้องไปเกิดเป็นลิงอยู่ในสวนภายในวัดเวฬุวัน ต้องขอขมาโทษจากพระเถระจึงจะพ้นจากกรรมนี้ได้
วัสสการพราหมณ์ฟังแล้วไม่ ได้ทำตาม แต่ก็ครั่นคร้ามว่าคำของพระศาสดาไม่เคยคลาดเคลื่อน เขาจึงเร่งปลูกไม้ผลสารพัดชนิดภายในวัดเวฬุวัน และว่าจ้างคนมาดูแลสวนเป็นอย่างดี หวังเพียงว่าเมื่อต้องไปเกิดเป็นลิงเขาจะได้มีผลไม้กิน
เมื่อทำกาละแล้ว วัสสการพราหมณ์ก็ได้ไปเกิดเป็นลิงอยู่ในสวนภายในเวฬุวันวิหารสมดังพุทธดำรัส เวลาใครเอ่ยชื่อเรียกวัสสการพราหมณ์ ลิงตัวนี้ก็จะเข้ามายืนใกล้ๆ ด้วยความเข้าใจ


กรรมของปัญจปาปี ผู้หญิง ๕ บาป
อดีตกาลครั้ง สิ้นพุทธกาลจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนไปแล้ว มีหญิงยากไร้คนหนึ่งอาศัยในนครพาราณสี วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังนั่งขยำดินเหนียวเพื่อใช้ทาฝาเรือนอยู่ ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเที่ยวบิณฑบาตหาดินเหนียวเนื้อดีเพื่อจะนำไป ทาเงื้อมฝาที่อยู่อาศัยของท่านที่ชำรุด มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
หญิงยากไร้ นั้นรู้สึกโกรธ เธอทำหน้าบึ้ง มองค้อน และทำปากหมุบหมิบพูดประชดประชันพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า เช้าก็บิณฑบาตอาหาร พอสายยังมาบิณฑบาตดินเหนียวอีก พระปัจเจกพุทธเจ้าประสงค์จะโปรดหญิงยากไร้นั้น ท่านจึงยืนสงบนิ่งอยู่ ครั้นหญิงยากไร้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าสงบนิ่งอยู่ในอาการสำรวมเช่นนั้น ความรู้สึกโกรธก็หายไป กลับมีจิตเลื่อมใส เธอจึงยกดินเหนียวก้อนใหญ่ใส่ลงในบาตร
เมื่อถึงกาลกิริยาแล้ว หญิงยากไร้นั้นได้ไปเกิดเป็นธิดาของหญิงทุคตะ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ประตูนอกเมืองพาราณสีนั้นเอง และด้วยวิบากกรรมที่เธอทำกิริยาไม่งามต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ร่างกายของเธอจึงผิดปกติ ๕ อย่าง คือ มือ เท้า ปาก ตา และจมูก เป็นหญิงอัปลักษณ์ ใครเห็นใครเมิน ใครมองก็รังเกียจ บางคนแค่เห็นหน้าก็จะอาเจียน ชาวบ้านเรียกเธอว่า ปัญจปาปี หรือหญิง ๕ บาป แต่เพราะกุศลกรรมที่ใส่บาตรด้วยดินเหนียว ผิวกายของนางจึงอ่อนนุ่มมาก ใครได้สัมผัสนางเป็นต้องหลงรักทุกคน ต่อมานางจึงได้เป็นราชินีถึงสองนคร มีสามีทีเดียวถึงสองคน

การปรามาส การทำร้าย บุคคลผู้มีศีล มีธรรม หรือผู้มีพระคุณ จะให้ผลของกรรมสูงเสมอ อย่างเช่น พ่อ แม่ ครู อาจารย์ ผู้มีพระคุณ ใครทำร้ายท่านย่อมได้รับผลกรรมหนักมาก
นอกจากอย่าปรามาส อย่าทำร้ายแล้ว บุคคลผู้มีคุณธรรมสูง เป็นผู้มีศีล แม้เป็นฆราวาสก็เป็นเนื้อนาบุญที่ดีได้
มีในพระไตรปิฎกอีกเรื่องหนึ่ง

เรือ สินค้าลำหนึ่งล่องไปกลางทะเล ไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง บนเกาะนั้นมีวิมาน ในวิมานมีเทพธิดารูปงามมากมองเห็นอยู่ที่ช่องหน้าต่าง พวกชาวเรือบอกให้เทพธิดาออกมาจากวิมานจะขอชมโฉมที่สวยงาม เทพธิดาบอกว่าเธอออกมาไม่ได้ เพราะเธอโป๊
ที่เป็นแบบนี้เพราะเธอเป็นเวมา นิกเปรต คือเป็นกึ่งเทพกึ่งเปรต พวกชาวเรือถามว่าทำอย่างไรเธอจึงจะได้เสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิดร่างกาย เวมานิกเปรตตอบว่าต้องทำบุญด้วยผ้า
บนเรือลำนั้นไม่มีนักบวชไปด้วยเลยจะ ทำบุญกับใครได้ นายเรือนึกขึ้นได้ว่ามีผู้โดยสารคนหนึ่งเป็นคนรักษาศีล จึงจัดที่นั่งให้นั่ง แล้วนำผ้าให้เป็นทานแก่คนรักษาศีลคนนั้น แล้วตั้งใจอุทิศส่วนบุญให้เวมานิกเปรต
เพียงเท่า
379  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / แจกแบบบ้าน สำหรับ กุฏิ ศาลา ซุ้มประตู เชิญแวะเข้าไปโหลดเอาได้เลยคะ เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 02:12:49 pm





เชิญแวะไปที่เว็บนี้เลยนะคะ

http://korn-free-cd.blogspot.com/search/label/%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%20A
380  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / Re: วิธีเพิ่มความเร็วเน็ต แบบง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง ผมทำแล้วได้ผลดีมาก ครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 10:54:41 am
ทดสอบแล้วคร้า ใช้ได้ดีจริง  ๆ เลยคร้า เพิ่มเกินที่เขาให้เลยคะ

เขาให้มา 6 mb ปกติ จะใช้ได้ที่ 5.2 - 5.5 mb

พอปรับตามที่แนะนำ ใช้เกิน พิกัดไปเลยคะได้ถึง 6.29 mb

ขอบคุณมากคะ เหยียบจะเป็น 3G แล้วนะคะ ( 3G =7.2 mb )

 :25:
381  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: เชิญร่วมปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าหนองหลุบ ตั้งแต่ 15-21 พ.ย.2553 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 10:19:40 am
382  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: เชิญร่วมปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าหนองหลุบ ตั้งแต่ 15-21 พ.ย.2553 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 10:18:36 am
383  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: เชิญร่วมปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าหนองหลุบ ตั้งแต่ 15-21 พ.ย.2553 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 10:17:29 am

384  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / เชิญร่วมปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าหนองหลุบ ตั้งแต่ 15-21 พ.ย.2553 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 10:14:30 am








385  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ทอดกฐินวัดกลางบางแก้ว 14 พ.ย.2553 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 10:10:06 am
386  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ที่มาของสามเณร และ สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือใคร ? เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2010, 10:19:34 am
ที่มาที่ไปของคำว่า "สามเณร"

               สามเณรและ สามเณรี แปลว่า เหล่ากอของสมณะ,หน่อเนื้อของสมณะ หมายถึงนักบวชชายในพระพุทธศาสนาที่มีอายุน้อย ยังมิได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ถ้าเป็นนักบวชหญิงอายุน้อยเรียกว่า สามเณรี

คำว่า สามเณร สามเณรี เป็นศัพท์เฉพาะในพระพุทธศาสนา เป็นศัพท์บัญญัติที่ใช้เรียกนักบวชในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ไม่สาธารณะทั่ว
ไป                   
                ผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรสามเณรีได้นั้นทางพระวินัยกำหนด อายุอย่างต่ำไว้ประมาณ ๗ ขวบซึ่งพอช่วยเหลือตัวเองได้ พระวินัยระบุว่าพอจะไล่กาไล่ไก่ได้ ส่วนสูงไม่มีกำหนดไว้ ผู้มีอายุไม่เกิน ๒๐ ปีจะบวชเป็นสามเณรตลอดไป ไม่บวชเป็นภิกษุก็ได้
       อ้างอิง     พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด,วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548

                               *********************************

ประวัติสามเณรราหุล


              พระราหุล เป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ กับพระนางยโสธรา (พิมพา) เป็นพระนัดดาของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองนครกบิลพัสดุ์ เมื่อพระบรมศาสดาได้ตรัสรู้แล้วเสด็จมาเทศนาโปรดพระประยูรญาติที่กรุงกบิล พัสดุ์ ประทับอยู่ที่นิโครธาราม วันหนึ่งพระองค์เสด็จไปที่พระราชนิเวศน์ของพระนางยโสธราพระราชเทวีเก่าของ พระองค์
                                         สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา

            ครั้นล่วงถึงวันที่ ๗ แห่งการเสด็จไปโปรดพระประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ พระนางพิมพาราชเทวีประดับตกแต่งองค์ราหุลกุมาร ราชโอรสด้วยอาภรณ์อันวิจิตรแล้วตรัสว่า
            “พ่อราหุลลูกรัก พ่อจงไปดูพระสมณะผู้มีผิวพรรณผ่องใส รูปดุจท่านท้าวมหาพรหม แวดล้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเป็นจำนวนมาก พระสมณะองค์นั้นคือพระบิดาของเจ้า พระองค์มีขุมทรัพย์มหาศาลอันสุดจะคณนา นับแต่พระบิดาของเจ้าออกผนวช เจ้าก็เหมือนหมดหวังในราชสมบัติ เจ้าจงไปกราบถวายบังคมพระบิดา แล้วกราบทูลขอทรัพย์สมบัตินั้น ในฐานะเป็นทายาทสืบสันติวงศ์ต่อพระองค์เถิด”
           ราหุลกุมารเสด็จเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตามพระดำรัสของพระมารดา กราบถวายบังคมแล้ว ทอดพระเนตรดูพระสัพพัญญู ได้บังเกิดความรักในพระบิดา ทรงปราโมทย์โสมนัสตรัสชมว่า “ร่มเงาของพระองค์เย็นสดชื่นยิ่งนัก พระพักตร์ของพระองค์สดใสสุดประมาณ” ดังนี้แล้วก็ตรัสเรื่องอื่นๆ ต่อไป โดยมิได้กราบทูลขอทรัพย์สมบัติ
           เมื่อพระพุทธองค์ทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ตรัสอนุโมทนา เสด็จกลับสู่
นิโครธาราม ส่วนราหุลกุมารก็เสด็จติดตามไปจนถึงพระอาราม มิมีผู้ใดจะสามารถกราบทูลทัดทานได้ เมื่อสบโอกาสจึงกราบทูลขอทรัพย์สมบัติ อันเป็นสิ่งที่รัชทายาทผู้สืบราชสันติวงศ์จะพึงได้รับ
            พระบรมศาสดาได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงดำริว่า“ราหุลกุมารปรารถนาทรัพย์สมบัติอันเป็นของพระบิดา ถ้าตถาคตจะให้ราชสมบัติซึ่งเป็น ‘ทรัพย์ธรรมดา’ หรือทรัพย์ภายนอกแก่เธอแล้ว ก็จะเป็นสิ่งชักนำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ
สงสาร เป็นไปด้วยความคับแค้นและจมอยู่ในกองทุกข์ ด้วยเป็นสิ่งหาสาระแม้สักนิดหนึ่งก็หามีไม่ อย่ากระนั้นเลยตถาคตจะมอบ ‘อริยทรัพย์’ หรือ ทรัพย์ภายในอันเป็นสิ่งที่มั่นคงถาวรและประเสริฐ สุดในพระพุทธศาสนานี้แก ่เธอ ซึ่งจะทำให้เธอเป็นโลกุตรทายาท สืบสกุลในพุทธวงศ์นี้สืบไป”
         ครั้นแล้วทรงมีพระดำรัสสั่งให้พระธรรมเสนาบดีสารีบุต ร จัดการบรรพชาให้แก่ราหุลกุมารในวันนั้น ด้วยวิธีไตรสรณคมน์ สามเณรราหุลจึงได้ชื่อว่า เป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา

          เมื่อ พระพุทธองค์ทรงดำริอย่างนี้แล้ว จึงตรัสสั่งพระสารีบุตรว่า สารีบุตร ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้ราหุลบวชเถิด ขณะนั้นราหุลกุมารยังเยาว์อยู่มีอายุยังไม่ครบอุปสมบท พระสารีบุตรจึงทูลถามว่า จะโปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชราหุลกุมารอย่างไร พระบรมศาสดาทรงปรารภเรื่องนี้ให้เป็นเหตุ จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุบวชกุลบุตรที่มีอายุยังไม่ครบอุปสมบทให้เป็นสามเณร ด้วยการให้สรณคมน์ ๓ นับได้ว่าราหุลเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา เมื่อราหุลกุมารบวชเป็นสามเณรแล้ว ตามเสด็จพระบรมศาสดา และพระอุปัชฌาย์ของตนไป ครั้นมีอายุครบแล้วก็ได้อุปสมบทเป็นภิกษุ
           วัน หนึ่งในขณะที่พระราหุลพักอยู่ ณ สวนมะม่วงแห่งหนึ่งในกรุงราชคฤห์ พระบรมศาสดาเสด็จไป ณ ที่นั้น ทรงแสดงราหุโลวาทสูตรซึ่งว่าด้วยภาชนะน้ำเปล่า บรรยายเปรียบเทียบด้วยคนพูดมุสาวาทเป็นต้น ตรัสสอนให้พระราหุลสำเหนียกตามเทศนานั้นแล้วเสด็จกลับไป ต่อมาอีก วันหนึ่งพระราหุลเข้าไปเฝ้า พระบรมศาสดาตรัสสอนด้วยมหาราหุโลวาท ซึ่งว่าด้วรรูปกรรมฐานธาตุ ๕ อย่างคือ ปฐวีธาตุ ธาตุดิน,อาโปธาตุ ธาตุน้ำ,เตโชธาตุ ธาตุไฟ, วาโยธาตุ ธาตุลม และอากาศธาตุ ช่องว่าง ให้ใช้ ปัญญาพิจารณาให้เห็นตามสภาพที่เป็นจริงว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ส่วนนั้นไม่เป็นของเรา ส่วนนั้นไม่ใช่ของตัวเราเป็นต้น ในที่สุดก็ตรัสสอนในกรรมฐานอื่น ๆ ให้เจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อสุภสัญญา อนิจจสัญญา ครั้นทรงสอนจบแล้วพระราหุลมีจิตยินดีในคำสอนของพระบรมศาสดา ต่อมาพระราหุลได้ฟังพระพุทโธวาทเกี่ยวกับวิปัสสนา คล้ายกับโอวาทที่ตรัสสอนภิกษุปัญจวัคคีย์ เพียงแต่ในที่นี้ยกอายตนะภายในภายนอกเป็นต้นขึ้นแสดงแทนขันธ์ ๕ ท่านส่งจิตไปตามพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลเป็นพระอรหันต์
           พระราหุลนั้น ท่านเป็นผู้ใคร่ในการศึกษาธรรมวินัย ตามประวัติกล่าวไว้ว่า ครั้นท่านลุกขึ้นแต่เช้าก็ไปกอบทรายให้เต็มฝ่าพระหัตถ์แล้ว ตั้งความปรารถนาว่า ในเวลานี้ข้าพเจ้าพึงได้รับซึ่งโอวาทคำสอนจากสำนักของพระบรมศาสดา หรือจากสำนักของอุปัชฌาย์อาจารย์ทั้งหลายให้ได้มากประมาณเท่าเม็ดทรายใน กำมือแห่งข้าพเจ้านี้ ด้วยเหตุนี้เอง พระราหุลจึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ใคร่ในการศึกษา ครั้นท่านดำรงชนมายุสังขารโดยสมควรแก่กาลแล้วก็
ดับขันธปรินิพพาน 
387  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หากท่านไม่อาจหลับไหลในยามราตรีนี้ เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2010, 09:54:26 am



หากท่านไม่อาจหลับไหลในยามราตรีนี้
ใคร่ครวญให้ดี ยังมีผู้ไร้แม้ที่ซุกหัวนอน ไม่ต้องรันทด

หากท่านอยู่ในรถที่ติดไปไหนไม่ได้
เพราะมีคนอีกมากมายที่ไม่เคยมีแม้โอกาสได้นั่งรถ

หากวันนี้มีงานที่กวนใจท่านมาก คิดเสียว่า
ยังไม่ลำบากเท่าคนที่ตกงานนานกว่าสามเดือนแล้ว

ยามเมื่อความสัมพันธ์สะบั้นลง อย่าเพิ่งปลง
เพราะยังดีกว่าผู้ที่ไม่เคยรู้จักรัก

อย่าอาวรณ์ตอนสุดสัปดาห์จะผ่านพ้น
จงคิดถึงคนหาเช้ากินค่ำ ไม่มีวันหยุดพัก เพียงเพื่อจักยังชีพ

แม้ต้องเดินเสียไกลลิบ เพื่อขอความช่วยเหลือยามรถเสีย
ให้นึกถึง ผู้ที่เป็นอัมพาตอยากอาสาเดินแทน

หากส่องกระจกพบผมหงอกเพิ่มมาอีกเส้น
จงอย่าลืมผู้ป่วยเคมีบำบัด ที่หวังเพียงว่า ผมจะงอกได้อีก

ยามโชคร้ายแทบหมดอาลัยตายอยาก จงดีใจเถิด
เพราะยังมีโอกาสดีกว่า ผู้ที่ตายไปก่อนเวลาอันสมควร

หากต้องทนให้ผู้อื่นระบายทุกข์ใส่ ขอให้ระลึกว่า
จะแย่กว่าเป็นไหนไหน ถ้าต้องเป็นทุกข์นั้นเสียเอง

ลองคิดและส่งมุมน่ามองนี้ให้เพื่อน
อาจเป็นเครื่องช่วยเตือนว่า
ชีวิตยังมีสิ่งสวยงาม น่าพิศมัยอีกมาก

ขอขอบคุณ
คุณ "Panaya Thonglaung" ที่ส่งเรื่องดีๆ มาให้เราได้อ่านกัน

คัดลอกจาก :: "บ้านใส่ใจ"

ที่มา : http://www.carefor.org/
388  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / Re: มีหนังสือ ธรรมะ ไฟล์ PDF ให้โหลดอ่านคะ เชิญตามเข้ามาเลยนะคะ เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2010, 09:33:58 am
มาแนะนำหนังสือเหมือนกันคะ



http://www.buddhayanando.com/book/book02.pdf





http://www.buddhayanando.com/book/sati.pdf


ที่มาจ้า
http://www.buddhayanando.com/index.php?cat=text&page=index&id=5
389  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: แนะนำให้อ่านบทความในหน้าหนึ่ง "ศาสนาเสื่อม หรือ คนเสื่อม" เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 10:46:55 am
ไม่ใช่มีแต่บทความ นะคะ ข่าวสารประชาสัมพันธ์ ก็มีอยู่ที่หน้าหนึ่งด้วยคะ

หน้ารวมตามลิงก์ นี้ คะ

http://www.madchima.org/madchima/index2.php?name=news

อีกอย่างที่หน้าหนึ่งนั้น สามารถรับฟังวิทยุออนไลน์ ด้วยคะ

ขอให้ทีมงาน ประสพความสำเร็จในหน้าที่การงานด้วยคะ

 :88: :88: :25: :25:
390  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: การอธิษฐานจิต สำหรับฝึกมหาสติปัฏฐาน คร้า.... เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 10:25:21 am
โดยส่วนตัว ชอบการฝึก มหาสติปัฏฐาน อยู่แล้วคะ เพราะอยู่ลำปาง ไปฝึกที่วัดท่ามะโอ กันเป็นประจำ

ก่อนที่จะมาเรียน กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ คะ

อนุโมทนา กุศลด้วยคะ

สาธุ สาุธุ สาธุ

:25: :25: :25:

ครูนภา ยังฝึกเจริญ สติปัฏฐาน อยู่หรือคะ เนี่ย อยู่ใกล้ยังไม่รู้เลยนะนี่ ว่าเป็น ศิษย์วัดท่ามะโอ ด้วย

 :13:
391  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ใครรู้จักสมาธิแบบมัฌชิมา แบบลำดับบ้างครับ....... เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 01:01:59 pm
เป็นคำตอบ ที่แสดงความคิดเห็นในแง่มุม ทั้งที่ผู้ชอบ และ ไม่ชอบ และ เป็นกลาง ๆ

นับว่าก็เป็นเรื่องที่แปลกอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมไม่เข้ามาศึกษาเสียก่อน ตัดบทกันเลย

น่าเป็นห่วงเหมือนกัน

  อาจจะเป็นเพราะว่าการเผยแผ่ พระกรรมฐาน มัชฌิมาแบบลำดับ ขาดผู้ถ่ายทอดในยุค

ปัจจุบัน จึงทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก และ ไม่ใช่หลักธรรมที่แท้จริง


 :25:
392  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: "เพิ่มสติในการฟังด้วยพุทธวิถีแบบ Zen" เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2010, 10:09:02 pm
อ่านเรื่องนี้ แล้วได้ข้อคิด และ นำไปปฏิบัติเลยคะ

โดยเฉพาะการฝึก การรับฟังผู้อื่น ได้ ต้องฝึกฟัง ธรรมชาติ

แนะนำใคร ที่ยังไม่ได้ อ่านมาตามอ่านเรื่องนี้ กันนะคะ

แล้วนำไปปฏิบัติตาม ได้ผลดีเชียวคะ

ขอบคุณ คุณ หมวยจ้า ด้วยคะ

 :25:
393  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: ขอให้ทีมงาน ประสพความสุขทุกคน คะ เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2010, 10:38:18 pm
วันนี้โรงเรียนเปิดเทอม พวกครูประชุมกันดึก นะคะ เตรียมแผนการสอนมาแวะทักทาย ก่อนคะ

ร่วมทดสอบ โพสต์ ด้วยคะ

แต่คำอวยพร เป็นของจริงคะ ขอให้เว็บมาสเตอร์ ล่ำซำ นะคะ อย่าได้ติด อย่าได้ขัด...อิ อิ

 :88:

394  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ลำดับห้อง ในการภาวนา กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ มีเท่าไร คะ เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 06:58:17 pm
ลำดับห้อง ในการภาวนา กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ มีเท่าไร คะ

มีขั้นตอนแต่ละห้อง อย่างไรคะ ?
 :25:
395  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นามผู้สร้างหนังสือพระกรรมฐานห้อง ๔ เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 06:55:29 pm
ปกหนังสือ สวยมาก คะ อยากได้ไว้อ่านบ้างต้องทำอย่างไรบ้างคะ

พิมพ์จำนวนเท่าไร คะ ต้นทุนการพิมพ์เท่าไร คะ ?

 :25:
396  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: มีหลักการในการพิจาณา อนิจจัง ในกรรมฐาน หรือป่าวครับ เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 06:53:57 pm
ได้นำหลักการนี้ ไปพิจารณา วิปัสสนาแล้วคะ

รู้สึกว่าเข้าใจง่าย ๆ ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่กำหนดเอง มั่วไปหมด แล้วแต่จะนึก

 :25:
397  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: เชิญร่วมปฏิบัติธรรม ๓๐ - ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 06:43:46 pm
อนุโมทนา คะ ใกล้ถึงวันแล้ว แต่ไม่ทราบว่าที่วัดราชิสิทธาราม นั้น น้ำท่วมหรือป่าวคะ

 :25:
398  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: สถานการณ์ น้ำท่วมอยุธยา เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 06:39:16 pm
ดู ๆ แล้ว ภาคกลางจะเดือดร้อน กว่าทุกภาค โดยเฉพาะชาว อยุธยา นั้นต้องใช้ชีวิตอยู่กับน้ำเป็นเดือน ๆ

ในขณะที่อื่น ๆ  ก็ใช้เวลา 10 - 15 วัน ที่สำคัญ เรือกสวน ไร่ นา ที่เสียหาย คนที่หาเช้ากินค่ำ การซ่อมแซมบ้าน

ทั้งหมดไม่ใช่เรื่อง ที่จะแก้ปัญหาได้ง่าย ๆ 

 :03: :03: :03:
399  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ในพรรษา พระอาจารย์ภาวนาอะไร คะ เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 08:33:05 pm
กราบนมัสการพระอาจารย์ 
:25: :25:
400  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: หนังสืออินทร์ตก พุทธทำนายภัยพิบัติ เมื่อ: ตุลาคม 22, 2010, 10:01:56 am
เป็นเรื่องที่น่าอ่าน เพื่อเตือนสติ ไม่ประมาทในชีวิตจริง ๆ คะเรื่องนี้
 :c017:
หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 13