ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อะไรกันนี่: พระเจ้าในศาสนาคริสต์ ฮินดู และพระพุทธเจ้า มีลักษณะตรงกันเปี๊ยบเลย  (อ่าน 20538 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
อะไรกันนี่!!!...พระเจ้าในศาสนาคริสต์ ฮินดู และพระพุทธเจ้า มีลักษณะตรงกันเปี๊ยบเลย


สัจธรรมสุงสุดย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว   ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น  พระเจ้าของคริสต์ พระเจ้าของฮินดู เต๋า พระพุทธเจ้า พระเจ้าของอิสลาม ฯลฯ ก็ต้องตีกันเละเทะเพื่อแย่งชิงอำนาจเป็นแน่แท้    อย่างไรก็ตาม...คนที่จิตไม่เห็นธรรม ถูกครอบงำด้วยกิเลสตัณหา เขาย่อมตีความสิ่งสูงสุดไม่ออกว่าสิ่งสูงสุดเป็นสิ่งเดียวกัน  เขาจะเห็นเสมอว่า สิ่งสูงสุดของตนเหนือกว่าสิ่งสูงสุดของศาสนาอื่นอยู่ร่ำไป  แม้แต่เรื่องง่ายๆ เช่น ลักษณะของพระเจ้าที่ตรงกัน เขาย่อมมองไม่เห็น 

ผมจะนำลักษณะของพระเจ้ามาเทียบให้เห็นง่ายๆแค่ 3 เรื่องก่อนว่า เหมือนกันเปี๊ยบเลย  คือ

1.  พระผู้เป็นเจ้า(ยะโฮวาห์) ในศาสนาคริสต์ ไม่เกิดแก่เจ็บตาย ทรงเป็นสัพพัญญู ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
2.  พระพุทธเจ้า(พระธรรม) ในศาสนาพุทธ ไม่เกิดแก่เจ็บตาย ทรงเป็นสัพพัญญู ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
3.  พระพรหมสูงสุด ในศาสนาพราหมณ์ ไม่เกิดแก่เจ็บตาย ทรงเป็นสัพพัญญู ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง

คราวนี้ดูหลักฐานนะครับ


1.  พระผู้เป็นเจ้า(ยะโฮวาห์) ในศาสนาคริสต์ 1.ไม่เกิดแก่เจ็บตาย 2.ทรงเป็นสัพพัญญู 3.ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง


หลักคำสอนของคริสเตียน 1.4 พระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด...ทรงเป็นอมตะ ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตาย ดำรงอยู่เป็นนิตย์นิรันดร์

พระเจ้าเข้าใจทุกสิ่งเกี่ยวกับเรา (1-6)  “พระเจ้าทรงสัพพัญญู(omniscience)  รอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง”


2.  พระพุทธเจ้า ในศาสนาพุทธ 1.ไม่เกิดแก่เจ็บตาย 2.ทรงเป็นสัพพัญญู 3.ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง


พระพุทธเจ้า (กายเนื้อที่เป็นมนุษย์ของท่านแค่รูปมายา) ข้างในท่านเป็นพระธรรม ไม่เกิดแก่เจ็บตาย ทรงเป็นสัพพัญญู ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งด้วย
   
พระสูตรต่างๆ:

   ......  ภิกขุสูตร ที่ ๒ มหา. สํ. (๓๑-๓๒): “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ" = พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บไม่ตาย และเป็นอมตะ

   ...... คำที่ใช้กล่าวเรียกพระพุทธเจ้า -- สัพพัญญู, พระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า หมายถึง ท่านผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง (พระพุทธเจ้า - วิกิพีเดีย)

   ...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต "
  (ที.ปา. 11/51/91)
     
   พระเจ้าของคริสต์ ตรงกับ พระพุทธเจ้าที่เป็นพระธรรมหรือไม่ล่ะ?


3.  พระพรหมสูงสุด ในศาสนาพราหมณ์ 1.ไม่เกิดแก่เจ็บตาย 2.ทรงเป็นสัพพัญญู 3.ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง


คราวนี้ลองเอาพระเจ้า(พรหม)ในศาสนาพราหมณ์มาเปรียบเทียบด้วย  จะได้เห็นชัดเจนว่า สัจธรรมสูงสุดเป็นเรื่องเดียวกันจริงๆ

ในคัมภีร์อุปนิษัทกล่าวว่า

"เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่  ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป  ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้ เราคืออมตะแต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ 2. สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง  และไม่สามารถเล็งเห็นเราคือพรหมและเรามิใช่พรหม"

"พวกเราเป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระพรหม 3. พระพรหมเนรมิตขึ้นมา เป็นทายาทของพระพรหม"

   
 สรุป
   

สัจธรรมสุงสุดของคริสต์ พุทธ(เถรวาท) ฮินดู มีลักษณะ1.ไม่เกิดแก่เจ็บตาย 2.ทรงเป็นสัพพัญญู 3.ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง ตรงกันเปี๊ยบเลย  จะให้ผมเปรียบเทียบกับศาสนาอื่นไหมล่ะครับ    ผมจึงบอกว่า สัจธรรมสูงสุดย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว   คนเห็นธรรม เข้าถึงธรรม ย่อมเข้าใจ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต"  ผมกล่าวเพิ่มว่า   "ผู้ใดเห็นเราตถาคต และไม่มีใจแบ่งแยกศาสนา  ผู้นั้นย่อมเห็นว่า ศิวะก็คือเรา พระยะโฮวาก็คือเรา อัลเลาะห์ก็คือเรา สิ่งสูงสุดในทุกศาสนาก็คือ เรา ตถาคต"
บันทึกการเข้า

มหายันต์

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 154
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คุณสามารถหายจากโรคภัย ไข้เจ็บได้ ด้วยอำนาจของพระเจ้า

พระเจ้าที่แท้ เป้นอนันต์



ที่สำคัญ ผมไม่แยกคนพุทธ หรือคริสต์ ผมเห็นเป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วผมรู้ว่ามีคนต้องการหาทางที่จะออกจากปัญหาทางสังคมที่เขาเผชิญอยู่ แล้วผมมาช่วย ซึ่งมันไม่ได้เป็นหลักที่ผิดศีล หรือกฏของศาสนาพุทธตรงไหนด้วยครับ

เมื่อพระเยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่าคนเจ็บต้องการหมอแต่คนสบายไม่ต้องการ ...มัทธิว 9:12

จงขอแล้วจะได้จงหาแล้วจะพบจงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน ...มัทธิว 7:7

จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตนและจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ...มัทธิว 19:19

ศาสนาคริสต์นั้นแบ่งเป็นหลายนิกาย เช่น คาทอลิก ออโทดอค โปรแตสแต๊น

ซึ่งคอทอลิกกับออโทดอค เป็นคริสต์ที่ก่อการสงครามและการฆ่าฟัน

โดยเฉพาะคาทอลิกมีการเปลี่ยนธรรมบัญญัติจากเดิมที่พระเจ้าให้มา ซึ่งเป็ข้อต้องห้าม

มีการไหว้รูปเคารพซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าเกลียดที่สุด และมีพระสงฆ์ มีแต่บาทหลวงเท่านั้นที่อ่านพระคัมภีร์ได้

เงินสามารถที่จะลบล้างบาปได้

ที่ผมนับถือนั้น อยู่ในนิกายโปรแต๊สแต๊นครับ เป็นนิกายที่ไม่เคยมีประวัติการต่อสู้ เป็นนิกายที่ประกาศถึงความรัก คอยช่วยเหลือผู้ยากไร้ ปฏิบัติอยู่ในทางธรรม

ไม่ยึดติดกับสิ่งของ และความสวยงาม จึงไม่ได้ตกแต่งคริสตจักรให้สวยงาม

ขอแค่เข้าใจในหลักธรรม สิ่งที่ถูกต้องคือหลักธรรม และการทำอัศจรรย์ต่าง ๆ

ถ้าการอ้างว่า เป็นคริสต์เหมือนกันก็ไม่ดี ต้องขอบอกเลยครับว่า เราเข้าใจหลักธรรมมากกว่านิกายอื่นใด

มันไม่ต่างกับพระสงฆ์พุทธที่มีการทำชั่ว ทำให้พระสงฆ์ดี ๆ ต้องเสื่อมเสียไปด้วย

และมันไม่ถูกต้องแน่นอน ถ้าบอกว่าพระสงฆ์ไม่ดีนั้น เป็นเพราะคำสอนของพุทธไม่ดี ก็ไม่ใช่

แต่เป็นที่ตัวบุคคลครับ

เช่นกัน เราโปรแต๊สแต๊น ประกาศพระกิตติคุณของพระเยซู ไม่ใช่พระแม่มารีย์ครับ

และสิ่งแตกต่างที่ได้เห็นเด่นชัดเลยคือ การอัศจรรย์เกิดขึ้นกับเรา ผู้คนสามารถพิสูจน์เรื่องการพระชนม์อยู่ของพระเจ้าได้ครับ

ไม่ใช่เอาแต่สงคราม แต่เรารักทุกคน และยอมตายในสงครามเพื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูได้ครับ ^^

ขอบคุณมากครับ ถึงมันจะเป็นคำถามแง่ลบ แต่ผมชอบคำถามที่เป็นปัญญาอย่างนี้มากกว่าที่จะมานั่งบ่นทั้งที่ไม่รู้ความจริงครับ

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 05, 2010, 11:06:25 pm โดย Survival »
บันทึกการเข้า

มหายันต์

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 154
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
มัทธิว 4:1-11

1 พญามารทดลองพระเยซู (มก 1:12-13; ลก 4:1-13)ครั้งนั้นพระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อพญามารจะได้มาทดลอง
2 และเมื่อพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร
3 เมื่อผู้ทดลองมาหาพระองค์ มันก็ทูลว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร"
4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า `มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'"
5 แล้วพญามารก็นำพระองค์ขึ้นไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร
6 แล้วทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า `พระองค์จะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ เกรงว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเท้าของท่านจะกระแทกหิน'"
7 พระเยซูจึงตรัสตอบมันว่า "พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า `อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน'"
8 อีกครั้งหนึ่งพญามารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร
9 แล้วได้ทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน"
10 พระเยซูจึงตรัสตอบมันว่า "อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า `จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว'"
11 แล้วพญามารจึงละพระองค์ไป และดูเถิด มีเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์
บันทึกการเข้า

patra

  • RDNpromote
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรมรรค
  • *
  • ผลบุญ: +100/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 971
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
คำเตือนสำหรับสมาชิก ที่กำลังเผยแผ่ เรื่องของศาสนาลัทธิอื่น ๆ

ทางเรา ไม่มีความขัดข้อง ในการนำเสนอ แต่เว็บนี้จัดทำขึ้นมาภายใต้การเสียสละกำลังทรัพย์ส่วนตัว

ของพระอาจารย์โดยตรง จึงขอร้องท่านทั้งหลายให้นำเสนอในแนวปฏิบัติ มิได้กล่าวคำยั่วยุ ให้เกิดการแตกแยก

ทั้งในศาสนาใด ๆ ทั้งสิ้น หากท่านทั้งหลายปฏิบัติในกฏของเว็บนี้ ทางเราก็ยินดีให้เผยแผ่ แสดงความคิดเห็นนี้ได้

หากท่านละเมิดข้อตกลง จำเป็นต้องระงับการเป็นสมาชิกของท่าน และหากทางเราเห็นว่าการเผยแผ่ในศาสนาลัทธิ

ของท่านไม่สอดคล้องกับวิีถีของชาวพุทธแล้ว เราจำเป็นต้องลบข้อความของท่านออก


  จึงเรียนมาเพื่อทราบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 05, 2010, 11:44:23 pm โดย patra »
บันทึกการเข้า
ข้าพจ้า สนับสนุนการเผยแผ่ พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

phonsak

  • บุคคลทั่วไป
0
คุณ patra ครับ


เรื่อง 1.ไม่เกิดแก่เจ็บตาย 2.ทรงเป็นสัพพัญญู  3.ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง  เป็นเรื่องของอสังขตธาตุ หรือนิพพานธาตุ  สิ่งนี้เป็นสากล   มีการแบ่งแยกศาสนาหรือลัทธิที่ไหน

มนุษย์ผู้ไม่เข้าใจ เต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิต่างหาก ที่ทำการแบ่งแยกศาสนา แบ่งแยกลัทธิ

ถ้าคุณเจอข้อความของผม ที่พยายามเผยแพร่ศาสนาอื่น ลัทธิอื่น ก็ยกมาด้วย  จะเป็นพระคุณยิ่ง เพราะไม่มีข้อความใดๆของผมเลย ที่พยายามเผยแผ่ เรื่องของศาสนาลัทธิอื่น ๆ   

กรุณาอย่าหาเรื่องกลั่นแกล้ง  แบนกระทู้ หรือไล่คนที่ไม่มีความผิดออกอีกเลยนะครับ

อำนาจเป็นของร้อน ร้อนมากๆ ทำให้คนเป็นเผด็จการทรราชมาแล้วมากมายในทุกวงการ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 06, 2010, 12:40:48 am โดย phonsak »
บันทึกการเข้า

phonsak

  • บุคคลทั่วไป
0


10 พระเยซูจึงตรัสตอบมันว่า "อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า `จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว'"


ผมจำได้ว่า มีผู้หญิงชาวคริสต์คนหนึ่งชื่อ สาธินี เศรษฐบุตร เคยกล่าวหาว่าผมเป็นซาตานที่มาล่อลวงเขา  แต่พอเขาใกล้ตายเท่านั้น พระบิดามาเข้านิมิตของเขา บอกให้เขารู้ว่า ผมคือ พระบุตรของพระเจ้า (เฉกเช่นเดียวกับพระเยซู)

เรื่องเป็นอย่างนี้

มีนางพยาบาลในต่างประเทศที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง โทรมาหาตอนตี 3 บอกว่า  คนไข้ชื่อ สาธินี เศรษฐบุตร เพ้อละเมอตลอดเวลาเข้าห้องไอซียู ว่า "พลศักดิ์ พลศักดิ์ บุตรของพระเจ้า" ในมือกำเบอร์โทรศัพท์ของผม ที่มีชื่อผม เอาไว้ตลอด

นางพยาบาลคนนี้สงสัย เลยโทรมาหาผม   เขานึกว่าผมขายประกันชีวิตให้คุณสาธินี  อีกอย่าเขาก็คงอยากรู้ว่า
ทำไมคนไข้เพ้อแบบนี้ เพราะมีแต่พระเยซูเท่านั้น ที่เป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่นี่คริตสานิกชนคนหนึ่งเรียกคนที่ชื่อพลศักดิ์ว่าบุตรของพระเจ้า มีหรือที่เขา(นางพยาบาล)จะไม่สงสัย
บันทึกการเข้า

patra

  • RDNpromote
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรมรรค
  • *
  • ผลบุญ: +100/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 971
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เรียนคุณ phonsak

   โปรดทำใจให้สบายครับ ทางเราอ่านกระทู้ทุกกระทู้ครับ คุณอ่านแต่ของคุณหรือป่าวใช่ไหมครับ

ถ้าข้อความของคุณไม่เป็นเช่นนั้น ก็ไม่ต้องไปวิตกอะไรครับ ทำใจให้สบายและเผยแผ่ความคิดของคุณได้ครับ

ทางผมก็เหน็ดเหนื่อยเหมือนกันในการดูแลกระทู้ แต่เพราะเคารพในพระอาจารย์จึงฝืนมาทำงานส่วนนี้ให้

ไม่มีค่าแรง ผมกลับจากทำงานมา 4 ทุ่มก็อุทิศเวลาให้ส่วนนี้ไม่เกินตี 1 ทุกวัน เพราะผมทำบุญด้วยใจจริงๆ

   ทำไมคุณต้องกล่าวหา หรือใช้วาจาแบบตัดบัวไม่เหลือเยี่อใยอย่างนี้ครับ

   ในกระทู้นี้ คุณอ่านด้วยนะครับ ไม่ใช่มีคุณโพสต์คนเดียว

   อีกอย่างผมยังไม่ได้แบน หรือ ทำอะไรกับส่วนที่คุณทำเลยสักชิ้น ทำไมถึงต้องโต้ตอบถึงขั้นนี้ด้วยครับ

   อีกอย่างเว็บนี้ตั้งมา จะครบปี ผมเองพึ่งจะได้พิมพ์คำเตือนให้คุณเป็นคนแรก

   และ ก็ส่งคำเตือนรวมให้กับ คุณ Survival ด้วยในนี้ อีกครั้งตั้งแต่ทำงานรับใช้พระอาจารย์มานี่เป็นครั้งที่สอง

   ในคืนเดียว

    ทำใจให้สบายนะครับ ถ้าคุณมั่นใจในส่วนที่คุณเผยแผ่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น

   จงทำหน้าที่ของคุณต่อไป ผมก็จะทำหน้าที่ของผมต่อไป ผม ก็อโหสิกรรม ให้กับคุณเช่นกัน
บันทึกการเข้า
ข้าพจ้า สนับสนุนการเผยแผ่ พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
คุณ patra ผู้ดูแลระบบ ครับ


ผมก็แค่เตือนน่ะครับ  ผนเห็นทุกเว็บก็พูดเหมือนคุณในตอนแรก  พอโดนมารสิงใจเท่านั้น  เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย เช่น เว็บพลังจิต เว็บธรรมะไทย เว็บธรรมจักร เว็บพันทิพย์ เว็บdmc เว้บdhammakaya เว็บdhammahome ฯลฯ

ล่าสุดเมื่อวานนี้ ผมก็โดนถีบออกจากเว็บlarndharma.org  โดยไม่มีข้อหา (ข้อหาไม่ปรากฏ)

   - ในช่วง 2 สัปดาห์นี้ ผมโดนไล่ออกจากเว็บhttp://www.larndharma.org/ แบบถาวร 2 ครั้งแล้ว
   - 2 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น ผมโดนไล่ออกจาก http://www.dhammakaya.org/forum/ แบบถาวร และโดนลบกระทู้ทั้งหมดในเว็บdhammatha.org
   - เดือนสค. ผมโดนไล่ออกจากแบบบถาวรจากเว็บศาสนาคริสต์ชื่อnewana.com
   - ตั้งแต่ต้นปี 2553 ถึงปัจจุบัน โดนไล่ออกจากเว็บต่างๆเกือบ 10 ครั้ง ส่วนใหญ่เขาไล่ออกแบบถาวรดัวย  ทั้งๆที่ผมพูดแต่เรื่องพุทธศาสนา และนำพุทธพจน์มาลง  นั่นแหละคือข้อหา  เพราะมารเขาไม่ต้องการพุทธพจน์ที่เปิดเผยความจริงเรื่องที่เขาเก็บเป็นความลับ   

คุณpatra ผู้ดูแลระบบ ยังไม่รู้ว่าเว็บศาสนาต่างๆล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลแบบเผด็จการของมาร  คุณเป็นผู้ดูและระบบ  ซึ่งเป็นเป้าหมายของมาร  ที่ต้องการทำลายพุทธศาสนา  บังเอิญผมเกิดมาเพื่อชนมาร  ไม่ได้เกิดมาเพื่อหนีมาร  ไม่ใช่ผมซาดิสม์นะครับ ที่กล้าชนกับผู้ดูแลเว็บในทุกเว็บ  ผมรู้ว่า คุณจะถูกมารเข้าสิงในอนาคตอันใกล้นี้  ผมจึงเตือนว่า
   
กรุณาอย่าหาเรื่องกลั่นแกล้ง  แบนกระทู้ หรือไล่คนที่ไม่มีความผิดออก

อำนาจเป็นของร้อน ร้อนมากๆ ทำให้คนเป็นเผด็จการทรราชมาแล้วมากมายในทุกวงการ


   
อย่างไรก็ตาม ถ้าบังเอิญในอนาคตผมโดนคุณหรือผู้ดูแลเว็บคนอื่นไล่ออก  ทำให้เพื่อนฝูงในเว็บที่ชอบอ่านกระทู้ของผมหาตัวผมไม่เจอล่ะก็   เว็บศาสนาที่ยังไม่ไล่ผมออกมี
   
   1.   http://www.larnbuddhism.com/webboard/
   2.   www.dhammakid.com/board
   3.    http://www.kammatan.com/board/  *******
   4.    http://www.madchima.org/forum/
   5.    http://www.sookjai.com/index.php?action=forum
   6.    http://community.thaiware.com/
   7.    http://www.yantip.com/index.php  *******
   8.    http://www.buddhayan.com/
   9.    http://www.watprasopsuk.org/webboard/index.php
   10.  http://www.engr.tu.ac.th/forums/index.php?s=45a5855b93d50937c2749e6df3158bc2&showforum=46
   11.  http://fws.cc/leavesofeden/ ******
   12.  http://fws.cc/whatisnippana/
   13.  http://anamnikay.is.in.th/?md=webboard
   14.  www.whatami.net
   15.  http://www.puansanid.com/forums/
   
   เว็บที่มี*******ส่วนใหญ่ผมจะเข้าไปทุกวัน
บันทึกการเข้า

sumboon

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 108
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อะไรกันนี่: คนบ้าแถวบ้าน กับ จขกท. มีลักษณะตรงกันเปี๊ยบเลย

บันทึกการเข้า
ศิษย์ วัดหนองบัวหิ่ง ปากท่อ ราชบุรี

กิจกรรมของวัด http://nbh2550.com/forum/

phonsak

  • บุคคลทั่วไป
0
แสดงว่าคนบ้าคนนั้นใกล้บรรลุธรรมสูงสุดแล้ว  บ้าอย่างผมนี่เขาเรียกว่า "พระยิ้ม" ครับ
บันทึกการเข้า

รักหนอ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +22/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 369
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
แสดงว่าคนบ้าคนนั้นใกล้บรรลุธรรมสูงสุดแล้ว  บ้าอย่างผมนี่เขาเรียกว่า "พระยิ้ม" ครับ

ใกล้บรรลุ หรือ ใกล้ทะลุ ยอมรับว่ายังไม่บรรลุ

อีกอย่าง พูดเอง เออเอง เป็นพระยิ้ม ไปบวชเมื่อไร ? หรือบวชในใจ อีก ?
บันทึกการเข้า

sumboon

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 108
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมก็ว่าแกใกล้ับรรลุจิงๆ วันก่อนเห็นอยู่บนเสาไฟฟ้า
บันทึกการเข้า
ศิษย์ วัดหนองบัวหิ่ง ปากท่อ ราชบุรี

กิจกรรมของวัด http://nbh2550.com/forum/

tcarisa

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 524
  • ก้าวน้อย แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
กรรม มีจริงนะเนี่ย ตั้งแต่ดูกระทู้ที่นี่มา ยังไม่เคยเห็นใครโดนเหน็บ โดนว่า หรือ โดนแบนเลย

พึ่งเห็นคนแรก นี่แหละ ในเว็บนี้

เป็นเพราะอะไรหรือคะ ( เจ้าตัวอาจจะบอกว่าพวกเราโดนมารควบคุม )

กรรมเพราะ ติเตียนผู้อื่น โดยมิชอบ จึงได้รับ กรรม ที่ตนเป็นผู้ก่อไว้

ผู้หมิ่นในธรรมของผู้อื่น คิดว่าเราเลิศประเสริฐศรี กว่าคนอื่น ( อันนี้เป็นมานะทิฏฐิสังโยชน์ )

คิดว่าตนเองดีกว่าเขา ด้อยกว่าเขา เสมอเขา แท้ที่จริง ขาดหลักเมตตาธรรม
บันทึกการเข้า
เราเป็นหน่ออ่อน ที่รอการเติบโต
จึงขอสั่งสมบารมีธรรม เพื่อพระนิพพาน

phonsak

  • บุคคลทั่วไป
0
กรรม มีจริงนะเนี่ย ตั้งแต่ดูกระทู้ที่นี่มา ยังไม่เคยเห็นใครโดนเหน็บ โดนว่า หรือ โดนแบนเลย
พึ่งเห็นคนแรก นี่แหละ ในเว็บนี้
เป็นเพราะอะไรหรือคะ ( เจ้าตัวอาจจะบอกว่าพวกเราโดนมารควบคุม )

กรรมเพราะ ติเตียนผู้อื่น โดยมิชอบ จึงได้รับ กรรม ที่ตนเป็นผู้ก่อไว้


เมื่อวิบากกรรมเข้ามา  จิตของเรารู้ ก็รู้เฉยๆ  จิตไม่คิดปรุงแต่งข้อมูลของคนที่ตำหนิติเตียนต่อว่าเรา  กรรมนั้นย่อมทำอะไรเราไม่ได้ 

หลักธรรมสูงสุดในพระพุทธศาสนา  ที่เรียกว่า นิพพาน ก็คือ อย่างนี้   ดับทุกข์ ก็คือ อย่างนี้

มารนั้นถล่มผมในทุกเว็บศาสนาล่ะครับ  ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม แต่ผมยิ้ม  ;)  หัวเราะ :93:  เยาะเย้ย :29:  ส่งจูบ :88: และให้ของขวัญให้กรรม :58:   ลาก่อนกรรมเพื่อนรัก :08:

 มีสุขจริงๆ   :49:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 09, 2010, 10:21:15 pm โดย phonsak »
บันทึกการเข้า

ban

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +7/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 117
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
จิตไม่คิดปรุงแต่งข้อมูลของคนที่ตำหนิติเตียนต่อว่าเรา

ถึงคุณ tuenum phonsak phonsak1 ( น่าจะเป็นคนเดียวกัน ) และ คุณ survival

ถ้าจิตไม่คิดปรุงแต่ง แล้ว จะต้องไปยิ้มทำไม ไปส่งจูบทำไม เยาะเย้ยทำไม และไปให้ของขวัญกับกรรมทำไม

ถ้าว่างจากสังขต คือ การปรุงแต่งจริง ก็ไม่น่าที่จะต้องบรรยายอะไรออกมา อีกอย่าง  นิพพาน ของผู้ไม่ถึง

จริงนั้น ก็ยังเป็นอรรถะ และ พยัญชนะ

โดยเฉพาะพระโพธิสัตว์เมตตรัย หรือ ผู้บำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้า

จะด่วนสรุปว่า นิพพาน เป็นอย่างนั้น หรือ อย่างนี้ ผมว่าไม่น่าจะถูกต้อง

   หากว่างด้วย สังขตธรรม จบกิจในพรหมจรรย์แล้ว น่าจะไม่ต้องแสดงอะไร ที่เป็น นิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์

ตกลงคุณบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว หรือว่า เป็นพระเมตตรัยโพธิสัตว์ กันแน่ ผมเองติดตามอ่านอยู่เหมือนกัน

ดูจากการโต้ตอบแล้ว เดี๋ยวจะเป็น หรือ ไม่เป็น

   อีกอย่างใครจะเป็นมาร หรือ เป็นเทพนั้น ผมว่าคนที่เป็นพระโพธิสัตว์ จริง ๆ หรือเป็นพระอรหันต์ จริง ๆ เขาไม่

ประนามใครหรอกครับ ผมว่าถ้าคุณหยุดพฤติกรรม ที่ชอบเสียดสีลง ธรรมะที่คุณโพสต์ให้อ่านนั้น ก็น่าจะไม่มี

ใครโต้ตอบคุณ คงเป็นธรรมวิจารณ์ที่น่าอ่านไม่มากก็น้อย

   พระอรหันต์ และ พระเมตตรัย โพธิสัตว์นั้นมีจิตแน่วแน่ในเนกขัมมะ คือการออกบวช

   การที่คุณจะขนสรรพสัตว์ไม่ให้เวียนว่ายตายเกิด ในภพ ในสงสารนั้น เขาจะเลือกขบวนไหนนั้นก็เป็นสิทธิ

 ส่วนบุคคลนะครับ ควรพิจารณาตรงนี้ด้วย พระพุทธเจ้า ตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์แรกมา ก็ไม่ได้ขนสรรพสัตว์

 ตามพระองค์ไปได้ทุกคน แต่พระองค์ก็ไม่กล่าวเรียกคนที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่พวกนั้นว่า มาร

   ผมว่าคุณหยุดกล่าวหาคนนั้น คนนี้เป็นมาร เสียเถอะครับ ข้อธรรมที่มีประโยชน์ จะได้ประโยชน์จริง ๆ หาก

คุณจะให้ ปุถุชนที่ยังมีกิเลสสนใจธรรม ก็ควรจะลดทิฏฐิลงเสีย

   ผมยังไม่เห็นข้อธรรม ตั้งแต่คุณโพสต์มานั้น จะนำสันติมาให้เลย ตัวคุณเองยังขัดแย้งไปทั่ว นั่นแสดงให้เห็น

ว่า ธรรมะของคุณยังไม่บริสุทธิ์จริงยังขัดแย้งอยู่


    "การตอบเด็กให้เห็นธรรม นั้น ควรจะชี้แจง วิธีการภาวนา"


    การยกตนข่มท่าน ไม่ใช่คุณสมบัติของธรรมกถึก

   
   มองตามความเป็นจริง ที่คุณมีชีิวิตอยู่สุขสบาย หรือ สุขสงบนั้น แท้ที่จริงไม่ได้เกิดจากข้อธรรมที่คุณแสดง

ในตอนนี้ สังคมนี้วันนี้ยังไม่ได้วุ่นวายอย่างที่คุณมอง ลองถ้ามีแต่มารจริง ๆ ที่ซุกหัวนอนก็จะไม่มีให้นอนหรอก

ครับ อีกอย่างที่โลกสงบอยู่บ้าง นั้นก็เพราะว่าหลักธรรมยังมีอยู่

    ผมหวังว่า คุณคงจะเข้าใจการแสดงธรรม ด้วยเมตตา เหมือนพระโพธิสัตว์ถ้าใจคุณมีกรุณาสละทรัพย์เพื่อ

คนที่ไม่รู้จักได้ การสละวาจาที่ส่อเสียดเพื่อความสุขของคนที่บำเพ็ญภาวนาย่อมเป็นกุศลกว่า


    ขอให้แสดงธรรมด้วยเมตตา มาก ๆ นะครับ และ เลิกหยุดกล่าวหาคนอื่นเป็นมาร เสียเถิด

   
   


บันทึกการเข้า

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
คุณ ban ครับ



1.  ถึงคุณ tuenum phonsak phonsak1 ( น่าจะเป็นคนเดียวกัน ) และ คุณ survival

ถ้าจิตไม่คิดปรุงแต่ง แล้ว จะต้องไปยิ้มทำไม ไปส่งจูบทำไม เยาะเย้ยทำไม และไปให้ของขวัญกับกรรมทำไม
ถ้าว่างจากสังขต คือ การปรุงแต่งจริง ก็ไม่น่าที่จะต้องบรรยายอะไรออกมา


....มันเป็นแค่กิริยาที่แสดงออกจากจิตที่ไม่คิดปรุงแต่งเท่านั้น  ผมต้องบรรยายซิครับ  แต่บรรยายไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง  แต่เพื่อผู้ที่ต้องการจะด่าว่าติเตือนตำหนิผม  เขาจะได้ระวังตัว  เพราะกรรมที่ทำกับคนธรรมดา ทำกับพระอรหันต์ ทำกับพระพุทธเจ้า มันแตกต่างกัน

ดังนั้น การที่จะไปด่าว่าติเตือนตำหนิใคร สมควรระวังด้วย  ไม่ใช่นึกสนุกปากอย่างเดียว  เพราะบาปนั้นหอมหวานตอเริ่มทำ  แต่พอวิบากกรรมมาถึงตัว  เป็นคนละเรื่องเลย...มารที่อยู่ในใจเรา  ทำหน้าที่ยุยงเท่านั้น  มันไม่ได้ตกนรกไปกับเรา


2. อีกอย่าง  นิพพาน ของผู้ไม่ถึง
จริงนั้น ก็ยังเป็นอรรถะ และ พยัญชนะ
โดยเฉพาะพระโพธิสัตว์เมตตรัย หรือ ผู้บำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้า
จะด่วนสรุปว่า นิพพาน เป็นอย่างนั้น หรือ อย่างนี้ ผมว่าไม่น่าจะถูกต้อง


.....ผมไม่เคยสรุปอะไรนะครับ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าล้วนๆ  และเป็นหลักคำสอนสูงสุดของศาสนานั้นทั้งนั้น  ยกมาซิครับว่า ผมสรุปว่า นิพพาน เป็นอย่างนั้น หรือ อย่างนี้ ตรงไหน


 3.  หากว่างด้วย สังขตธรรม จบกิจในพรหมจรรย์แล้ว น่าจะไม่ต้องแสดงอะไร ที่เป็น นิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์

.....กูถูกครับถ้าพวกมารมันไม่ทำให้ศาสนาพุทธป่นปี้แบบทุกวันนี้  แต่เมื่อมารมันทำ และพระอรหันต์ก็ไม่ยุ่ง เพราะรู้ว่าผมจะมา  ถ้าผมมาแล้ว และไม่ยุ่งอีกคน ศาสนาพุทธจะอายุไม่ถึง 5000 ปี 

มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะงต้องออกมาฟื้นฟูศาสนาพุทธครับ  ผมมีคนเดียว  แต่กำลังรุมตีพวกมารในทุกศาสนาอยู่ เรียกว่า หนึ่งคนรุมตีล้านคน


4. ตกลงคุณบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว หรือว่า เป็นพระเมตตรัยโพธิสัตว์ กันแน่ ผมเองติดตามอ่านอยู่เหมือนกัน ดูจากการโต้ตอบแล้ว เดี๋ยวจะเป็น หรือ ไม่เป็น

.....อรหันต์ต่างจากโพธิสัตว์อย่างหนึ่ง คือว่า อรหันต์ไม่ค่อยยุ่ง(เล็กๆข้าทำ ใหญ่ๆข้าไม่ทำ) แต่โพธิสัตว์อรหันต์ชอบยุ่ง(เล็กๆข้าไม่ทำ  ใหญ่ๆข้าทำ)

พระเมตตรัยโพธิสัตว์เป็นได้ทั้งนั้น เช่น พระเยซู หลวงพ่อถุงย่ามใหญ่ หรือผม  แต่พระเมตตรัยโพธิสัตว์จะเลื่อนเป็นพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า เป็นได้คนเดียว คือ หลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด หลวงพ่อโต ซึ่งเป็นจิตวิญญาณดวงเดียวกัน  ท่านก้าวข้ามความเป็นพระเมตตรัยโพธิสัตว์ไปแล้ว  กำลังบำเพ็ญต่อเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า


5. อีกอย่างใครจะเป็นมาร หรือ เป็นเทพนั้น ผมว่าคนที่เป็นพระโพธิสัตว์ จริง ๆ หรือเป็นพระอรหันต์ จริง ๆ เขาไม่ประนามใครหรอกครับ ผมว่าถ้าคุณหยุดพฤติกรรม ที่ชอบเสียดสีลง ธรรมะที่คุณโพสต์ให้อ่านนั้น ก็น่าจะไม่มี
ใครโต้ตอบคุณ คงเป็นธรรมวิจารณ์ที่น่าอ่านไม่มากก็น้อย


ถ้าไม่บอกให้เขารู้ ตายไปเขาไปเป็นเปรต หรือตกนรก  ผมก็ต้องไปช่วยเขาออกมาอีก..เหนื่อยมาก  จึงต้องบอก


6. พระอรหันต์ และ พระเมตตรัย โพธิสัตว์นั้นมีจิตแน่วแน่ในเนกขัมมะ คือการออกบวช

....พระไม่ได้อยู่ที่ผ้าเหลือง  พระอยู่ที่จิต


7. การยกตนข่มท่าน ไม่ใช่คุณสมบัติของธรรมกถึก

....นั่นคุณคิดปรุงแต่งไปเอง  เพราะผมไม่เคยมีจิตยกตนข่มท่าน  ผมเพียงแต่พูดความจริง  แต่ความจริงนั้น มันเกินกว่าคนที่ยังมีกิเลสจะรับรู้ได้  เขาจึงคิด ปรุงแต่งไปเองว่า มีการยกตนข่มท่าน

   
8.ขอให้แสดงธรรมด้วยเมตตา มาก ๆ นะครับ และ เลิกหยุดกล่าวหาคนอื่นเป็นมาร เสียเถิด

....มารใช้คุณเขียนข้อความเหล่านี้  เพราะมารมันสกัดผมไม่อยู่แล้ว

   
 
บันทึกการเข้า

sumboon

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 108
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
tuenum phonsak phonsak1 แค่ชื่อยังสับสนตัวเอง ยังมีสะเออะมาสั่งสอนคนอื่นมั่วๆ

นอนมากๆ พักผ่อนมากๆ อ่านน้อยๆ เป็นห่วงจิงๆ เลยนะจะบอกให้
บันทึกการเข้า
ศิษย์ วัดหนองบัวหิ่ง ปากท่อ ราชบุรี

กิจกรรมของวัด http://nbh2550.com/forum/

prachabeodee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 135
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คุณ patra ครับ


เรื่อง 1.ไม่เกิดแก่เจ็บตาย 2.ทรงเป็นสัพพัญญู  3.ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง  เป็นเรื่องของอสังขตธาตุ หรือนิพพานธาตุ  สิ่งนี้เป็นสากล   มีการแบ่งแยกศาสนาหรือลัทธิที่ไหน

มนุษย์ผู้ไม่เข้าใจ เต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิต่างหาก ที่ทำการแบ่งแยกศาสนา แบ่งแยกลัทธิ

ถ้าคุณเจอข้อความของผม ที่พยายามเผยแพร่ศาสนาอื่น ลัทธิอื่น ก็ยกมาด้วย  จะเป็นพระคุณยิ่ง เพราะไม่มีข้อความใดๆของผมเลย ที่พยายามเผยแผ่ เรื่องของศาสนาลัทธิอื่น ๆ   

กรุณาอย่าหาเรื่องกลั่นแกล้ง  แบนกระทู้ หรือไล่คนที่ไม่มีความผิดออกอีกเลยนะครับ

อำนาจเป็นของร้อน ร้อนมากๆ ทำให้คนเป็นเผด็จการทรราชมาแล้วมากมายในทุกวงการ

ป้าพี่งจะเข้ามาในบอร์ดนี้เป็นครั้งแรก.....ป้าก็ขอสวัสดีกับทุกๆคนทั้งสมาชิกและก็ไม่ไช่สมาชิก ป้าขอตอบอย่างเป็นกลางๆไม่เข้าข้างใครทั้งสิ้น...
ป้าต้องขอถามคุณ พลศักดิ์ ว่าการเข้ามาโพสต์แสดงความสามารถในบอร์ดนี้เพื่อประโยชน์อะไร เป็มิชชันนารี่เหรอ? เป็นโพธิสัตว์หรือ?..ต้องการความยอมรับหรือ?...ต้องการก่อกวนหรือ?......ทุกๆข้อความนี่แสดงให้เห็นความเป็นคุณทั้งหมด....ว่าเป็นเช่นไร.....อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าเป็นผู้มีความสัทธาในศาสนาหรอก  เรียกว่ามีสมองไว้เป็นเครื่องมือในการปรุงแต่งให้เกิดความฟุ้งซ่านระคาญใจเท่านั้น...คนประเภทคุณนี่ ....เป็นประเภทรู้มากแต่เอาตัวไม่รอด เป็นปัญญาที่รู้แล้วไม่สามารถเอาใจไว้ได้เป็นประเภทรู้แล้วนอนไม้หลับจบไม่ลงปลงไม่เป็น.....
.........คุณนี่ช่างเปรียบเทียบระหว่างพระผู้เป็นเจ้า พระพุทธเจ้า พระยะโฮวาพระเยซูรวมถึงพระโพธิสัตว์ทั้งหลายได้มากมาลหลายแง่หลายมุมจังน๊ะ......คุณนี่รู้ทั้งหมดเลยรู้มากกว่าพระผูเป็นเจ้า,รู้มากกว่าพระพุทธเจ้า,รู้มากกว่าพระยะโฮวาหรือพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายเสียอีกเรียกว่าเป็นยิ่งกว่สัพพัญญูเสียอีก..........
นั่นก็เป็นเพียงควารู้(สัญญา)เท่านั้นๆจริงๆ ทางที่ดีแล้วคุณควรปฎิบัติใหได้ให้เป็นให้มีไม่ว่าศาสนาใดก็ตามที่คุณพูดมาทั้งหมดนั่นแหละ....
แต่เสียดายน๊ะที่ศาสนาใดๆที่คุณเคยกล่าวมานั่นจะไม่บังเกิดผลกับคุณได้เลยแม้แต่น้อยนิด....เหตุเพราะคุณขาดซึ่งแรงศัทธาที่แน่วแน่ในคำสอนหรือหลักธรรมนั้น......แม้ในอิสลามมีพระเจ้าก็ต้องเคารพเลื่อมใสในพระเจ้าองค์เดียว,พระยะโฮวาก็เช่นเดียวกันต้องเคารพในพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น ยิ่งในมหายานยิ่งต้องอาศัยศัทธาเป็นบาทฐานในการเข้าถึงธรรม......แต่เธอ...ไม่มีเลย   เพียงธรรมข้อแรกพื้นๆเธอยังไม่ก่อเกิดขึ้นได้เลย ....แล้วหย่าหวังว่าธรรมจะเกิดขึ้นในจิตในใจในกมลสันดารแห่งเธอได้เลย............................ป้าไม่ได้พูดเข้าข้างใครน๊ะ แล้วป้าก็ปฎิบัติแบบมัชชิมาโดยลำดับไม่ได้ด้วย.........................
ฐิทิที่แตกต่างกัน ย่อมไม่สามารถไปด้วยกันได้ ...ในเมื่อคุณเห็นไม่ตรงกับสายปฎิบัตินี้ก็ไม่ควรมาขัยแย้งหรือเข้ามาก่อความเดือดร้อนใหเขา.....คุณก็ควรไปสร้าง บอร์ดใหม่ที่เฉพาะกลุ่มของคุณ...ป้าว่าจะดีกว่า........ป้าโพสต์มานี่ก็ไม่ไช่ว่าคุณไม่ดีหรอกน๊ะแต่ถ้าเป็นผู้ปฎิบัติธรรมจริงแล้วเป็นผู้บำเพ็ญธรรมจริงแล้ว....เขาจะไม่ทำอย่างนี้....เพราะสิ่งเหล่วนี้จะมีผลอันใหญ่ ....มีผลต่อภพชาติต่อๆไปของคุณ......ในเมื่อคุณยังต้องบำเพ็ญต่อไปอีกนับชาติไม่ได้.......ป้าหวังดีน๊ะ.....อามิตตาพุทธ...อาเมน...นารายณ์นารายณ์....อัลเลาะห็อัลล่าห์ .....
บันทึกการเข้า

หลวงพี่เฉย

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *****
  • ผลบุญ: +11/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 88
  • Respect: +17
    • ดูรายละเอียด
0
ความดีเด่นของกาลามสูตร

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่เกสปุตตนิคมนั้น มีประชาชนมาเฝ้ากันมากคนอินเดียมีเรื่อง แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นนักบวชนับถือลัทธินิกายใด หรือว่าพวกเขาจะไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ตามแต่พวกเขา ก็อยากจะฟังความรู้ความเข้าใจ และต้องการปัญญา


ดังนั้น พวกที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในครั้งนี้ เป็นพวกที่ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาปก็มี พวกที่ไม่นับถือ พุทธศาสนาก็มีพวกที่สงสัยอยู่ก็มี พวกที่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งอยู่แล้วก็มี เพราะฉะนั้น ประชาชนที่ไปเฝ้า พระพุทธเจ้าในสมัยนั้นจึงมีลักษณะอาการที่ไปเฝ้าแตกต่างกัน ซึ่งอาการที่ไปเฝ้าของประชาชนเหล่านั้น มีลักษณะ ดังนี้


  บางพวกเมื่อได้ทราบเสร็จแล้วก็นั่งนิ่ง ไม่พูดจาอะไร

  บางพวกเป็นเพียงแต่แสดงความยินดีแล้วก็นั่งนิ่งอยู่

  บางพวกกล่าวชมเชยพระพุทธเจ้าแล้วก็นั่งนิ่งอยู่

  บางพวกประกาศชื่อและโคตรของตนว่า ตนเองชื่ออะไร
               โคตรอะไรแล้วก็นั่งนิ่งอยู่

  บางพวกก็ไม่กล่าวอะไร ไม่แสดงอาการอะไร ได้แต่นั่งเฉย ๆ

  บางพวกเป็นเพียงแต่ประนมมือไหว้ แล้วก็นั่งเฉยอยู่


เพราะฉะนั้น ประชาชนที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีวรรณะใด ก็สามารถเข้าเฝ้า ได้อย่างใกล้ชิด เพราะพระพุทธเจ้ามิได้ทรงถือชั้นวรรณะ ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นโอรสกษัตริย์ประสูติอยู่ใน วรรณะกษัตริย์ แต่พระองค์ถือว่าคนไม่ได้ประเสริฐเพราะสกุลกำเนิดแต่จะประเสริฐได้ก็เพราะการกระทำของ ตนเองดังนั้นจึงมีประชาชนไปเฝ้าพระองค์เป็นจำนวนมากและเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด


ประชาชนที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น ได้กราบทูลขึ้นว่า


"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเกสปุตตนิคมนี้ มีสมณพราหมณ์คือนักบวชในศาสนาต่าง ๆ เดินทางเข้ามาเผยแพร่คำสอนศาสนาของตนอยู่เสมอๆและ
สมณพราหมณ์ นักสอนศาสนาเหล่านั้นได้กล่าวยกย่อง คำสอนแห่งศาสนาของตน แต่ได้ติเตียนดูหมิ่น เหยียดหยาม คัดค้านศาสนาของคนอื่นแล้วสมณพราหมณ์นักสอน ศาสนาเหล่านี้ก็จากเกสปุตตนิคมไป


ต่อมาไม่นาน ก็มีสมณพราหมณ์ นักสอนศาสนาพวกอื่นได้เข้ามายังนิคมนี้ แล้วก็กล่าวยกย่อง เชิดชูศาสนาของตนแต่ดูหมิ่น เหยียดหยาม ติเตียน คัดค้านศาสนาของคนอื่น


เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าพระองค์ก็มีความสงสัยเกิดขึ้นว่าบรรดาศาสดาหรือนักสอนศาสนาเหล่านั้น ใครเป็นคนพูดจริงใครเป็นคนพูดเท็จ ใครถูกใครผิดกันแน่"


พระพุทธเจ้าทรงแสดงความเห็นใจต่อประชาชนเหล่านั้นว่า"ชาวกาลามะทั้งหลาย น่าเห็นใจที่ ท่านทั้งหลายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกท่านทั้งหลายควรสงสัยในเรื่องที่ควรสงสัยเพราะท่านทั้งหลายตกอยู่ใน ฐานะที่ต้องสงสัย ตัดสินใจไม่ได้ แต่เราเองจะบอกให้ ชาวกาลามะทั้งหลาย"


  สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ 



พระพุทธเจ้าแทนที่จะตรัสเหมือนกับสมณพราหมณ์เหล่าอื่นที่เคยพูดมาแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงสรรเสริญคำสอนของพระองค์ และก็ไม่ทรงติเตียนคำสอนศาสนาของผู้อื่นแต่พระองค์กลับตรัสอีกแบบหนึ่ง การพูดแบบนี้เป็นลักษณะของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน คือพระองค์ได้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการโดยตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงฟัง

   มา อนุสฺสวเนน           อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
   มา ปรมฺปราย             อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
   มา อิติกิราย               อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
   มา ปิฏกสมฺปทาเนน     อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
   มา ตกฺกเหตุ               อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
   มา นยเหตุ                 อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
   มา อาการปริวิตกฺเกน     อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
   มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา  อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
   มา ภพฺพรูปตา            อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
   มา สมโณ โน ครูติ      อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา

  สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเหตุ 10 ประการนี้ 


ข้อความประเภทนี้ตรงกับกฎทางวิทยาศาสตร์ เพราะนักวิทยาศาสตร์จะไม่เชื่อถ้าเขายังไม่ได้ ทดสอบหรือพิจารณาเหตุผลให้ปรากฏก่อน และข้อความเช่นนี้ไปตรงกันได้อย่างไรในข้อที่ไม่ให้เชื่อเพราะเหตุ เหล่านี้ ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราควรจะเชื่อแบบใดเมื่อปฏิเสธไปหมดเลยทั้ง 10 ข้อ และเราควรจะเชื่ออะไรได้บ้าง


พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของเหตุและผล ไม่โจมตีศาสนา ไม่โจมตีผู้ใด
ชี้แต่เหตุและผลที่ยกขึ้นมา อธิบายเท่านั้น


พระพุทธวจนะทั้ง 10 ประการข้างต้นนั้น ท่านทั้งหลายฟังดูแล้วอาจคิดว่า ถ้าใครถือตามแบบ นี้ทั้งหมดก็มองดูว่าน่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ คือ ไม่เชื่ออะไรเลย แม้แต่ครูของตนเอง แม้แต่พระไตรปิฎกก็ไม่ให้เชื่อ พิจารณาดูแล้ว น่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ
แต่ก็ไม่ใช่


คำว่า   "มา"  อันเป็นคำบาลีในพระสูตรนี้ เป็นการปฏิเสธมีความหมายเท่ากับNoหรือนะคืออย่า แต่โบราณาจารย์กล่าวว่า ถ้าแปลว่า อย่าเชื่อ เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งไปควรแปลว่า"อย่าเพิ่งเชื่อ" คือให้ ฟังไว้ก่อน สำนวนนี้ ได้แก่สำนวนแปลของสมเด็จพระพุทธโฆสาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส นักปราชญ์ รูปหนึ่งในยุครัตนโกสินทร์ แต่บางอาจารย์ให้แปลว่า"อย่าเพิ่งปลงในเชื่อ" แต่บางท่านแปลตามศัพท์ว่า "อย่าเชื่อ" ดังนั้น การแปลในปัจจุบันนี้จึงมีอยู่ 3 แบบคือ


1. อย่าเชื่อ
2. อย่าเพิ่งเชื่อ
3. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ


การแปลว่า "อย่าเชื่อ" นั้น เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งเป็นการไม่ค่อยยอมกัน ส่วนการ แปลอีก  2 อย่างนั้น คือ "อย่าเพิ่งเชื่อ" และ "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ" นั้นก็มีความหมายเหมือนกันแต่คำว่า "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ" นั้นเป็นสำนวนแปล
ที่ค่อนข้างยาว ดังนั้น คำว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ" เป็นสำนวนที่สั้นกว่า ง่ายกว่าและเข้าใจได้ดีกว่า  ฉะนั้น การที่จะแปลให้ฟังง่ายและเหมาะสมก็ต้องแปลว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ"


เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ใครจะพูดก็พูดไปเราก็ฟังไป อย่าไปว่าหรือค้านเขา แต่อย่าเพิ่งเชื่อ    ต้องพิจารณาดูก่อนว่าถูกหรือผิด  เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เป็นบุญหรือเป็นบาป เป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์


นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสอีกมากในพระสูตรนี้แต่ในที่นี้จะขออธิบายความหมายของ ข้อแนะนำทั้ง 10 ประการเสียก่อน เพราะเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากของพระสูตรนี้ และได้รับการแปลออกเป็น ภาษาต่างๆ หลายภาษา เพราะเขาถือว่าเป็นกฏทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่คาดคิดเลยว่าจะมีกล่าวไว้ในครั้งสมัยเมื่อ ประมาณ 2,600ปีมาแล้ว ที่ใช้ความคิดแบบอิสระอย่างนี้ เป็นความคิดที่มีเหตุผล 10 ประการ คือ


1. อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา บางคนเมื่อฟังตามกันมาก็เกิดความเชื่อ เมื่อคนนั้นว่าอย่างนั้น คนนี้ว่าอย่างนี้ ก็เชื่อตามกันไป โดยบอกว่า "เขาว่า"ปัจจุบันนี้การเชื่อตามเขาว่านี้ ถ้า ไปเป็นพยานในศาลจะไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะการที่ "เขาว่า" นั้น มันไม่แน่การฟังตามกันมาก็เชื่อตามกันมา ฉะนั้นสุภาษิตปักษ์ใต้จึงมีอยู่บทหนึ่งว่า


"กาเช็ดปาก คนว่ากาเจ็ดปาก ปากคนมากกว่าปากกาเป็นไหนๆ"


สุภาษิตนี้หมายความว่า ชายคนหนึ่งเห็นกากินเนื้อแล้วเช็ดปากที่กิ่งไม้ ก็มาเล่าให้เพื่อนฟังว่า "ฉันเห็นกาเช็ดปาก"เพื่อนคนนั้นฟังไม่ชัด กลายเป็นว่า"ฉันเห็นกาเจ็ดปาก" ก็ไปเล่าต่อว่า คนโน้นเล่าให้ฟัง เมื่อวันก่อนว่าเขาเห็นกาเจ็ดปาก ก็เล่าต่อกันมาเรื่อย ๆ ว่า กามีเจ็ดปาก นี่เป็นการเชื่อตามคำเขาว่า ซึ่งบางคนก็ฟัง มาไม่ชัดเพราะฉะนั้น ก็อาจฟังผิดได้ การที่เขาว่าจึงอาจจะถูกหรือผิดได้ เช่น บัตรสนเท่ห์
เขาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ว่าตามที่เขาว่านั้น ซึ่งมีจริงบ้างไม่จริงบ้าง ปนกันอยู่


เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งเชื่อตามที่เขาว่า แต่ให้ฟังไว้ก่อนชาวพุทธจะไม่ปฏิเสธการที่เขาว่า แต่จะฟังไว้ ก่อน โดยยังไม่เชื่อทีเดียว บางทีก็ฟังตามกันมาตั้งแต่โบราณ เช่น สมมุติว่าฝนแล้งก็ต้องแห่นางแมวแล้วฝนจะตก เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าแห่
นางแมวแล้วฝนจะตก บ้างก็ว่าเป็นเรื่องที่เขาเล่ากันมาอย่างนี้ คือเชื่อตามเขาว่า ซึ่งก็ อาจจะไม่เป็นจริงตามเขาว่าก็ได้ ดังนั้น เราต้องเชื่อตามเหตุผล อย่าเชื่อตามเขาว่า


2. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดว่าเป็นของเก่า เล่าสืบๆ กันมา บางคนบอกว่าเป็นของเก่า เป็นความเชื่อ ตั้งแต่สมัยโบราณเราควรจะเชื่อ เพราะเป็นของเก่า ถ้าไม่เชื่อ เขาก็หาว่าจะทำลายของเก่า บางคนเห็นผีพุ่งไต้ ก็บอกว่านั่นแหละวิญญาณจะลงมาเกิด อย่าไปทัก เพราะเป็นความเชื่อกันมาตั้งแต่โบราณ เมื่อมีแผ่นดินไหว คนโบราณจะพูดว่าปลาอานนท์พลิกตัว หรือเวลามีฟ้าผ่าก็บอกว่ารามสูรขว้างขวาน ฟ้าแลบก็คือนางเมขลา ล่อแก้วเข้าตารามสูร รามสูรโกรธ จึงขว้างขวานลงมาเป็นฟ้าผ่า


ความเชื่อเช่นดังกล่าวมานี้เป็นความเชื่อของคนในสมัยโบราณซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักของเหตุผล ดังนั้นความเชื่อของคนโบราณนั้นไม่ใช่ว่าจะถูกหรือดีเสมอไป แต่เป็นความเชื่อปรัมปรา เราจึงไม่ควรจะเชื่อ ถ้ายังไม่แน่ใจถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องนำสืบๆกันมา


3. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเป็นข่าวเล่าลือ หรือตื่นข่าว เรื่องข่าวนั้นมีมาก ไม่ว่าจะเป็นข่าวทันโลก ข่าวช่วงเช้า ข่าวช่วงเย็น ข่าวเขาว่า ซึ่งมีอยู่มากมาย ถ้าเราไปเชื่อตามข่าว เราก็อาจจะเป็นคนโง่ได้ เช่น บางคน อ่านข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงแน่แล้ว แต่ข่าวจากหนังสือพิมพ์นั้น บางทีลงข่าวตรงกันข้าม จากข่าวจริง ๆ เลยก็มี หรือมีจริงอยู่บ้างเพียงบางส่วนก็มี เราจึงควรพิจารณาให้ดีเสียก่อน เพราะข่าวบางข่าวนั้น หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นต้องมาลงขอขมากันภายหลังที่ลงข่าวผิด ๆ ไปแล้วก็มี ดังนั้น ข่าวลือจึงมีมาก เช่น ลือว่าจะมีการปฏิวัติ ลือว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งบางทีก็จริง บางทีก็ไม่จริง หรือลือกันว่าคนเกิดวันนั้นวันนี้ จะตายในปีหน้า ต้องรีบทำบุญเสีย ก็เลยพากันเฮมาทำบุญกัน นี้ก็เพราะฟังเขาลือกันมา บางคนก็ลือกันแบบ กระต่ายตื่นตูมเป็นข่าวเขาว่าไม่ใช่ข่าวเราว่า เพราะฉะนั้นก็อย่าเพิ่งเชื่อ


4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา ถ้าใครเอาตำรามาอ้างให้เราฟัง เราก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะตำราก็อาจจะผิดได้บางคนอาจจะค้านว่า "ที่เราพูดถึงกาลามสูตรนี้ ไม่ใช่ตำราหรอกหรือ" จริงอยู่ เราก็อ้าง กาลามสูตรซึ่งเป็นตำราเหมือนกัน แต่ท่านว่า อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะอาจจะผิดได้ ดังนั้น ไม่ว่าใครจะเอาตำราอะไรก็ตามมาอ้างเราก็ต้องอย่าเพิ่งเชื่อ พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้พิจารณาดูก่อน บางคนกล่าวยืนยันว่าตนเอง อ้างตามตำรา ซึ่งแท้จริงแล้วเขาไม่ได้อ่านตำรานั้นเลย แต่ว่าเอามาอ้างขึ้นเอง บางคนก็ต้องการ โดยการอ้างตำรา ดังมีเรื่องเล่ากันมาว่า


"อุบาสก 2 คนเถียงกัน ระหว่างสัตว์น้ำกับสัตว์บกอย่างไหนมีมากกว่ากัน


อุบาสกคนหนึ่งบอกว่า สัตว์บกมีมากกว่า เพราะบนบกนั้นมีสัตว์นานาชนิด เช่น มีแมลงต่างๆ มีมดต่างๆ มากมาย


ส่วนอีกคนหนึ่งค้านว่า สัตว์น้ำมีมากมายหลายชนิดนับไม่ถ้วน แม้แต่กุ้ง ปลา ก็นับไม่ถ้วนเสียแล้ว สัตว์น้ำต้องมากกว่าสัตว์บกแน่นอน


ทั้งสองคนจึงไม่อาจตกลงกันได้


อุบาสกคนหนึ่งหัวไวได้ยกบาลีมาอ้างว่า "พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์น้ำมีมากกว่าสัตว์บก ดังพระบาลีที่ว่านัตถิ เม สรณัง อัญญัง แปลว่า สัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก"


อุบาสกอีกคนหนึ่งไม่กล้าค้านเพราะกลัวจะตกนรก


แท้ที่จริง คำว่า "นัตถิ เม สรณัง อัญญัง" นั้น ไม่ได้แปลว่า "สัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก" แต่แปลว่า "ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี" ผู้อ้างคิดแปล
เอาเองเพื่อให้คำพูดของตนมีหลักฐานการอ้างตำรา อย่างนี้จึงไม่ถูกต้องถ้าใครหลงเชื่อก็อาจถูกหลอกเอาได้


นอกจากนี้ ตำราบางอย่างก็อ้างกันมาผิด พวกที่ไม่รู้ภาษาบาลี เมื่อเห็นเขาอ้างก็คิดว่าจริง เช่น นักหนังสือพิมพ์ บางคนกล่าวว่า "ทุกขโต ทุกขถานัง ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตน" ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นบาลีที่ไม่ถูกต้อง เป็น ประโยคที่ไม่มีประธาน ไม่มีกริยา เป็นภาลีที่แต่งผิด ซึ่งอาจารย์บางท่านเรียกบาลีเช่นนี้ว่า "เป็นบาลีริมโขง" แต่คนกลับคิดว่าเป็นคำพูดที่ซึ้งดี เพราะฟังดูเข้าที่ดี นี้ก็เป็นการอ้างตำราที่ผิด ถึงแม้ว่าตำรานั้นจะเขียนถูกแต่ถ้าหาก ว่าไม่มีเหตุผล เราก็ไม่ควรเชื่อ


ปัจจุบันนี้ มีการโฆษณาหนังสือยอดกัณฑ์พระไตรปิฎกว่า ถ้าถ้าใครสวดเป็นประจำก็จะร่ำรวยเป็น เศรษฐี ได้ทรัพย์สมบัติและจะปลอดภัย ปลอดโรคต่าง คนก็พากันสวดและพิมพ์แจกกันมาก ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่ ทราบว่าจะทำอย่างไรเมื่อมีผู้นำหนังสือนี้มาถวายให้ จะเผาทิ้งก็ติดที่มีคำบาลีอยู่ด้วย หนังสือนี้ได้พิมพ์ต่อเนื่องกัน มาผิด ๆ และไม่มีพระสงฆ์รูปใดสวดยอดกัณฑ์พระไตรปิฎก นอกจากในหมู่ฆราวาส
บางคนที่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา


ดังนั้นใครอ้างบาลี เราก็จงอย่าเพิ่งเชื่อต้องพิจารณาดูให้ดีว่ามีอะไรถูกหรือผิดบ้างเสียก่อน


5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง ท่านใช้คำว่า ตักกเหตุ คือ การตรึก หรือการคิด ตรรกวิทยาเป็นวิชา แสดงเรื่องความคิดเห็น อ้างหาเหตุผล แต่พระพุทธเจ้าทรงกล้าค้านตรรกวิทยาได้ว่า การอ้างหาเหตุผลโดยการ คาดคะเนนั้นอาจจะผิดก็ได้การอ้างหาเหตุผลนั้นไม่ใช่ว่าจะถูกไปเสียทุกอย่าง


การนึกคาดคะเนหรือการเดาเอาของคนเรานั้นผิดได้ เช่นหลักตรรกวิทยากล่าวว่า "ที่ใดมีควัน ที่นั้นมีไฟ" ซึ่งก็ไม่ แน่เสมอไป เดี๋ยวนี้ที่ใดมีควัน ที่นั้นอาจจะไม่มีไฟก็ได้ เช่น เขาฉีดสารเคมี พ่นยาฆ่าแมลง ก็มองดูว่าเป็นควันออกมา แต่หามีไฟไม่


หรือบางคนก็คิดเดาเอาเองว่าคงจะเป็นอย่างนั้น คงจะเป็นอย่างนี้ คำว่า คงจะ นั้น มันไม่แน่ เพราะฉะนั้น เราก็อย่าเพิ่งตัดสินว่าเรื่องนี้ถูกแน่นอนแล้ว คำว่า คงจะ นั้นเป็นการนึกเดาเอา


6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยการคิดคาดคะเนหรืออนุมานเอา ตัวอย่างเช่น เราคิดว่าเราจะแซงรถคันหน้าพันถ้าเรา ขับรถเร็วกว่านี้ ซึ่งเป็นการคาดคะเนเอา บางทีเราคาดคะเนความเร็วไม่ถูก ก็อาจจะชนรถคันหน้าที่วิ่งสวนมา โครมเข้าไปเลยก็ได้ การคาดคะเนหรืออนุมานเอาอย่างนี้ ทำให้คนตายมามากแล้ว การอนุมานเอานี้มันไม่แน่


บางคนคิดว่าฝนคงจะตกแน่เพราะเห็นเมฆดำก่อตัวขึ้นมาก็เป็นการอนุมานเอาว่าฝนคงจะตก แต่บางที ลมก็จะพัดเอาเมฆนี้ลอยพ้นไปเลยก็ได้ ซึ่งก็ไม่แน่เพราะอนุมานเอา


ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า แม้อนุมานเอาก็อย่าเพิ่งเชื่อ


7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ คือเห็นอาการที่ปรากฏแล้วก็คิดว่าใช่แน่นอน เช่น เห็นคนท้องโตก็คิดว่าเขาจะมีลูก ซึ่งก็ไม่แน่ บางคนแต่งตัวภูมิฐานก็คิดว่าคนนี้เป็นคนใหญ่โต ร่ำรวย ซึ่งก็ไม่แน่ อีกบางทีก็เป็นขโมย แต่งตัวเรียบร้อยมาหาเรา บางคนทำตัวเหมือนเป็นคนบ้าคนใบ้มานั่งใกล้กุฏิพระ คนก็ไม่สนใจนึกว่าเป็นคนบ้า แต่พอพระเผลอก็ขโมยของของพระไป ดังนั้น เราจะดูอาการที่ปรากฏก็ไม่ได้ บางคนปวดหัว ก็คิดว่าเป็นโรคอะไรที่หัว แต่ก็ไม่แน่ สาเหตุอาจจะเป็นที่อื่นแล้วทำให้เราปวดหัวก็ได้ เช่น ท้องผูก เป็นต้นหรือเราขับรถมาถึงสะพานซึ่งมองดูแล้วคิดว่าสะพานนี้น่าจะมั่นคงพอจะขับข้ามไปได้ แต่ก็ไม่แน่ สะพานอาจจะพังลงมาก็ได้


8. อย่าเพิ่งเชื่อว่าต้องกับลัทธิของตน คือ เข้ากับความเชื่อของตน เพราะตนเชื่ออย่างนี้อยู่แล้ว เมื่อใครพูดอย่างนี้ให้ฟัง ก็ยอมรับว่าใช่และถูกต้อง ซึ่งก็ไม่แน่เสมอไป เพราะสิ่งที่เราเชื่อมาก่อนนั้นอาจผิดก็มี บางทีคนอื่นก็มาหลอกเรา เพราะเห็นว่าเราเชื่ออยู่ก่อนแล้ว จึงอาศัยความเชื่อของเรา เป็นเหตุมันจึงไม่แน่เสมอไป


บางคน เมื่อมีใครมาพูดตรงกับความคิดเห็นของตนก็เชื่อแล้ว ตัวอย่างเช่น เราไม่ชอบใครอยู่สักคนหนึ่ง พอใครมาบอกเราว่าคน ๆ นั้นไม่ดี ก็เชื่อว่าเป็นคนชั่วแน่ เพราะตนเองก็ไม่ชอบหน้าเขาอยู่แล้ว เรื่องอย่างนี้ก็ไม่ แน่เสมอไป เพราะคนที่เราไม่ชอบอาจจะเป็นคนดีก็ได้ แต่ว่ามีคนอื่นมาพูดยุยงให้เราเข้าใจไปอย่างนั้น เราจึง มองผิดไปได้


หรือคนที่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลก หรือเรื่องเครื่องลางของขลัง พอมีใครมาพูดเรื่องเช่นนี้ก็เชื่อสนิท เพราะไปตรงกับความเชื่อของตน


เพราะฉะนั้น จงอย่าเพิ่งเชื่อ แม้ในกรณีดังกล่าวมานี้


9. อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้ คือ เห็นว่าคนที่เป็นคนใหญ่คนโตนั้น พูดจาควรเชื่อถือได้ เช่น เป็น ถึงชั้นเจ้า หรือตำแหน่งสูง เราก็ควรจะเชื่อคำพูดของเขา แต่มันก็ไม่แน่ แม้แต่พระสงฆ์ก็ไม่แน่ เราจึงต้องฟังดูให้ ดีเสียก่อน แม้แต่คณะรัฐมนตรีเองก็ไม่แน่ อย่าเพิ่งไปเชื่อคำพูดของท่านเหล่านั้นทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ว่าผู้พูด มียศมีตำแหน่งอย่างนี้แล้ว จะพูดเรื่องน่าเชื่อถือได้เสมอไป เราควรจะฟังหูไว้หู ฟังให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วจะ ถูกหลอกได้ง่าย


อย่าเพิ่งเชื่อในที่นี้ มิได้หมายความว่าไม่ให้เชื่อ แต่ควรจะพิจารณาดูก่อนแล้วถึงจะเชื่อ


10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าผู้พูดเป็นครูของเรา ข้อนี้แรงมาก คือ แม้แต่ครูของตนก็ไม่ให้เชื่อ ทั้งนี้ เพราะครูของเราก็อาจจะพูดผิดหรือทำผิดได้ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องฟังให้ดี


ไม่มีศาสนาใดสอนเราไม่ให้เชื่อครูของตน แท้จริงแล้วพระพุทธเจ้ามิได้ทรงสอนว่าไม่ให้เชื่อ แต่ ทรงสอนว่าอย่าเพิ่งเชื่อต้องพิจารณาดูเสียก่อนแล้วจึงค่อยเชื่อ


   พระพุทธเจ้าตรัสถึงเหตุผลในข้อที่อย่าเพิ่งเชื่อดังกล่าวมาดังนี้ โดยตรัสว่า " ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมทั้งหลายเหล่านี้เป็นอกุศล มีโทษ ก่อความทุกข์ เดือดร้อน วิญญูชนติเตียน ถ้าประพฤติเข้าแล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์เดือดร้อน ท่านทั้งหลายจงละทิ้งสิ่งเหล่านี้เสีย " พระองค์ไม่ได้ตรัสว่าดีหรือไม่ดี แต่ให้พิจารณาดูว่าถ้าไม่ดีก็ทิ้งเสีย


   พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสต่อไปว่า " ชาวกาลามะทั้งหลายท่านจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน ความโลภ ซึ่งเกิดขึ้นในใจของคนเราแล้ว เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความโลภเป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ "


   ชาวกาลามะก็ทูลตอบว่า "ไม่เป็นเพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า"


   "เมื่อความโลภเกิดขึ้นแล้ว ทำให้คนฆ่าสัตว์บ้าง ลักทรัพย์บ้าง ประพฤติผิดในกามบ้าง และสิ่งใดที่ ไม่เป็นประโยชน์เขาจะชักนำให้ทำสิ่งนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่จริง" พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อ


   ชาวกาลามะก็ทูลตอบว่า "จริง พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าตรัสถามอีกว่า "แต่ถ้าจริงแล้ว ท่านทั้งหลายจะสำคัญความนี้เป็นไฉน เมื่อความโลภเกิด ขึ้นในใจของคนแล้ว เป็นเหตุให้เขาฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามและชักชวนให้คนทำชั่วแล้ว ความ โลภนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "แล้วมีโทษหรือไม่มี"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "มีโทษ พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อว่า "วิญญูชนติเตียนหรือสรรเสริญ"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือเป็นไปเพื่อความทุกข์"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความทุกข์ พระเจ้าข้า"


   พระสูตรนี้มีลักษณะของการถามตอบ คือให้ผู้ที่ถูกถามคิดเอาเอง ไม่ได้ยัดเยียดความคิดให้ หรือ บังคับให้ตอบ


ต่อจากนั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสถามเกี่ยวกับความโกรธบ้างว่า "ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนี้ เป็นไฉน คนที่ถูกความโกรธครอบงำเข้าแล้ว อาจจะฆ่าคนก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ประพฤติผิดในกามก็ได้ สิ่งใด ที่มีโทษ เขาก็ชักชวน
แนะนำให้คนอื่นทำสิ่งนั้นก็ได้ ดังนั้น ความโกรธนี้ดีหรือไม่ดี"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่ดี พระเจ้าข้า"


  พระองค์ตรัสถามว่า"แล้วคนที่ความโกรธเข้าครอบงำแล้วนั้นความโกรธเป็นกุศลหรืออกุศล"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นอกุศล พระเจ้าข้า"


  พระองค์ตรัสถามว่า"มีโทษ หรือไม่มีโทษ"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า"มีโทษ พระเจ้าข้า"


  พระองค์ตรัสถามว่า"วิญญูชนติเตียนหรือไม่"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"


  พระองค์ตรัสถามว่า "แล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์หรือความสุข"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความทุกข์ พระเจ้าข้า"


  ต่อไป พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามถึงความหลงต่อไปว่า"คนที่ถูกความหลงเข้าครอบงำนั้น ความหลง เป็นกุศลหรืออกุศล"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า  "เป็นอกุศล พระเจ้าข้า"


   พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "คนที่ถูกความหลงเข้าครอบงำนั้น ทำดีหรือทำชั่ว"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ทำชั่ว พระเจ้าข้า"


   พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "วิญญูชนติเตียนหรือไม่"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"


  พระพุทธองค์ตรัสถามว่า"แล้วเขาชักนำคนอื่นไปในทางดีหรือทางชั่ว"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ทางชั่ว พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ดูก่อน ชาวกาลามะทั้งหลาย ท่านจงอย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเพิ่งเชื่อ โดยฟังตามกันมา อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังพูดสืบ ๆ กันมา" จนกระทั่งถึงข้อสุดท้ายว่า "อย่าเพิ่งเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็น ครูของเรา" ซึ่งเป็นการตรัสย้ำครั้งที่สองในเรื่องของการเชื่อ


   ดังนั้นก็เกิดคำถามว่า ถ้าเราไม่เชื่อดังเหตุผลประการต่าง ๆ นี้แล้ว เราจะเชื่อใครได้


   คำตอบก็คือให้เชื่อตัวเอง โดยการพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน ว่าสิ่งที่เขาพูดกันนั้นดีหรือไม่ดี
ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง


   พระพุทธองค์ได้ตรัสถามชาวกาลามะต่อไปอีกว่า


   "ชาวกาลามะทั้งหลาย ท่านจะพิจารณาเห็นความข้อนี้เป็นไฉน ความไม่โลภนั้นดีหรือไม่ดี เป็นกุศล หรือเป็นอกุศลวิญญูชนติเตียนหรือสรรเสริญ เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์ ผู้ที่ไม่โลภ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ชักนำผู้อื่นไปในทางที่เสียหาย ดังนั้น ความไม่โลภนั้นจึงเป็นกุศลหรือ อกุศล"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "มีโทษหรือไม่มีโทษ"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามต่อไปถึงความไม่โกรธ ความไม่หลง ในทำนองเดียวกันอีกว่า "คนที่ไม่โกรธ ไม่หลงนั้น จะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ชักนำคนอื่นไปในทางที่เสีย ชักนำคนอื่นไป ในทางที่ดี ก็ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรืออกุศล"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"


  พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "มีโทษหรือไม่มีโทษ"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"


  พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"


  พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"


  พระพุทธเจ้าจึงได้สรุปต่อไปว่า "ชาวกาลามะทั้งหลายเพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูด้วย ตนเอง ท่านอย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเชื่อโดยพูดสืบๆ กันมา จนถึงข้อสุดท้ายว่า อย่าเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็น ครูของเรา"


  พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาดูว่า "สิ่งเหล่านี้ดีหรือไม่ดี ถ้าไม่ดีก็ทิ้งเสีย ถ้าดีก็ทำตาม พระองค์ ไม่ได้บังคับให้เชื่อแต่ให้พิจารณาดูเอาเอง เหมือนคนที่ขายอาหาร หรือขายของโดยให้ผู้ซื้อได้เลือกซื้อหรือ พิจารณาเอาเอง แล้วก็ถามเรื่องความเห็นว่าดีหรือไม่ดี ชี้แจงเหตุผลให้ฟัง"


  ในที่สุด พระพุทธเจ้าก็ทรงสรุปให้ฟังอีกครั้งหนึ่งว่า อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเชื่อโดยนำสืบๆกันมา แล้ว จนกระทั่งอย่าเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็นครูของเรา


ข้อความที่กล่าวย้ำเช่นนี้ในกาลามสูตรมีถึง 4 ครั้ง เฉพาะ 10 ข้อนี้ และในที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า


   "ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย อริยสาวกในศาสนานี้ มีเมตตาจิต ไม่โกรธ ไม่พยาบาทใคร แผ่เมตตา ไปทิศเบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องต่ำ เบื้องสูง เบื้องขวาง ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีภัย การแผ่เมตตา อย่างนี้มีโทษหรือไม่มีโทษ"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"


  พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นกุศลหรืออกุศล"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"


  พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"


  พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"


พระพุทธเจ้าตรัสเช่นเดียวกันถึงเรื่อง กรุณา มุทิตา และอุเบกขา หรือพรหมวิหารทั้ง 4 ที่แผ่ไปยัง คนอื่น สัตว์อื่นและตรัสถามว่า เมื่อประกอบด้วยความไม่มีเวรเช่นนี้ มีความไม่เศร้าหมองอย่างนี้มีจิตใจหมดจดอย่างนี้ ก็ย่อมจะได้ความอุ่นใจ 4 ประการคือ


1. ถ้าหากว่าชาติหน้ามีจริง บาปบุญที่ทำไว้มีจริง ก็เมื่อเราทำแต่ดี ไม่ทำชั่ว เราจะชื่นใจว่าเราจะไป เกิดในสุคติโลกสวรรค์แน่นอน นี้เป็นความอุ่นใจข้อที่หนึ่ง


2. ถ้าหากว่าชาติหน้าไม่มีจริงบาปบุญที่คนทำไว้ไม่มีจริงก็เมื่อเราไม่ทำชั่ว ทำแต่ดีชาตินี้เราก็สุข แม้ชาติหน้าจะไม่มีก็ตามนี้เป็นความอุ่นใจข้อที่สอง


3. ถ้าหากว่าบาปที่คนทำไว้ ชื่อว่าเป็นอันทำ คือได้รับผลของบาป ก็เมื่อเราไม่ทำบาปแล้ว เราจะได้ รับผลของบาปที่ไหน นี้เป็นความอุ่นใจข้อที่สาม


4. ถ้าหากว่าบาปที่คนทำแล้วไม่ได้เป็นบาปอันใดเลยหรือไม่เป็นอันทำ ก็เมื่อเราไม่ได้ทำบาป เราก็ พิจารณาตนว่าบริสุทธิ์ทั้งสองส่วน คือ ส่วนที่เราไม่ได้ทำชั่ว และในส่วนที่เราทำดี เราก็มีความสุขในปัจจุบัน


เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้ทำชั่ว นรกสวรรค์จะมีหรือไม่มีบาปบุญจะมีหรือไม่มี เขาก็ได้ดีทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่คนที่ทำชั่วนรกสวรรค์จะมีหรือไม่มี บาปบุญจะมีหรือไม่มี เขาก็เดือดร้อนทั้งขึ้นทั้งล่อง ถ้าหากว่าสวรรค์มีจริง เขาก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ถ้านรกมีจริง เขาก็ต้องลงนรก ถ้าหากว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีจริง เราก็ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะ เราไม่ได้ทำชั่วในปัจจุบัน และเราก็มีความสุขในปัจจุบัน เพราะเราทำดี การให้พิจารณาอย่างนี้ เป็นการพิจารณา ที่สร้างเหตุสร้างผลขึ้น


ท่านทั้งหลายจงพิจารณาข้อความนี้ดูว่า ในกาลามสูตรนี้ถ้าหากคณาจารย์อื่น ๆ มาพบชาวกาละมะเข้า อาจจะพูดเหมือนบรรดาอาจารย์อื่น ๆ ที่เคยผ่านมา คือ พูด ติเตียนศาสนาอื่นแล้วยกย่องศาสนาของตนเอง แต่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงกระทำเช่นนั้นคือ ไม่โจมตีศาสนาอื่นเลย แม้แต่สักคำเดียว พระองค์เพียงแต่บอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อถ้าใครพูดชักนำมา ทรงเตือนว่าอย่าเพิ่งเชื่อและให้พิจารณา ด้วยตนเองเท่านั้น เมื่อได้พิจารณาด้วยตนเองแล้วเห็นว่าเป็นกุศล ก็ให้ทำตาม แต่ถ้าเป็นอกุศลก็ให้ละเสีย


ยกตัวอย่างเช่น โลภ โกรธ หลง นั้นเป็นอกุศล ไม่ดี มีโทษ วิญญูชนติเตียน เป็นไปเพื่อทุกข์ พระพุทธเจ้าก็ตรัสให้ละเสีย แต่ถ้าหากเห็นว่า ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงนั้นเป็นกุศลไม่มีโทษ วิญญูชน สรรเสริญ เป็นไปเพื่อความสุข พระพุทธเจ้าทรงสอนให้บำเพ็ญ โดยให้ชาวกาลามะพิจารณาเห็นด้วยตนเอง จากการที่พระองค์ทร
บันทึกการเข้า
"ขอให้รวยโดยฉับพลัน!!!...ทุกท่านเทอญ"   วรธมฺโมภิกฺขุ (หลวงพี่เฉย)

sumboon

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 108
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

......คุณนี่รู้ทั้งหมดเลยรู้มากกว่าพระผูเป็นเจ้า,รู้มากกว่าพระพุทธเจ้า,รู้มากกว่าพระยะโฮวาหรือพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายเสียอีกเรียกว่าเป็นยิ่งกว่สัพพัญญูเสียอีก..........


จิงๆครับรู้ไปหมด ไม่รู้อยู่อย่างเดียวว่าตัวเองทั้งโง่เง่า ทั้งบ้า
บันทึกการเข้า
ศิษย์ วัดหนองบัวหิ่ง ปากท่อ ราชบุรี

กิจกรรมของวัด http://nbh2550.com/forum/

phonsak

  • บุคคลทั่วไป
0

......คุณนี่รู้ทั้งหมดเลยรู้มากกว่าพระผูเป็นเจ้า,รู้มากกว่าพระพุทธเจ้า,รู้มากกว่าพระยะโฮวาหรือพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายเสียอีกเรียกว่าเป็นยิ่งกว่สัพพัญญูเสียอีก..........


จิงๆครับรู้ไปหมด ไม่รู้อยู่อย่างเดียวว่าตัวเองทั้งโง่เง่า ทั้งบ้า

ผมบ้าแน่  ถ้าเอาคำพูดของหมู่มารซึ่งมีอยู่ในทุกเว็บมาคิดปรุงแต่ง  แต่เมื่อเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา แล้วตกลงดินเลย  อย่างนี้พอไหว
บันทึกการเข้า

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
มำไมคุณ Tuenum ใช้คำส่วนใหญ่ดูไม่ค่อยเพราะเลย เคยได้ยินมาว่า
คนคิดอย่างไรก็จะพูดอย่างนั้น  แสดงว่า..... แน่เลย  หรือเปล่า
อยากรู้จัง  มีเพื่อนตอนนี้ทั้งหมดกี่คน
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
แล้วทำไม ไม่ทำเว็ปเองละ?  งง!! 
แล้วได้อะไรจากการมาคุยเนี้ย?  งง!! 
แล้วคิดไงที่เข้ามาที่นี้?  งง!!
แล้วทำไมไม่ไปลงในยูทูปสะเลยจะง่ายกว่านะ?   ก็ยังงง!! อยู่เหมือนเดิม  งง!!
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

prachabeodee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 135
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เหตุใดคุณ พลศักดิ์และคุณ tuenumที่โพสต์มานี้ส่วนใหญ่จะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างพุทธและคริสต์,พราหมณ์ เท่านั้น......ทำไมไม่เอาศาสนาอิสลามเข้ามาพูดด้วยน๊ะ ซึ่งมีพระอัลเลอะห์ เป็นพระผู้เป็นเจ้า(รากฐานเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าในคริสต์ศาสนา)........สงสัยไม่ได้ศึกษาทางศาสนาอิสลามมา???........
.....และป้าขอและนำด้วยน๊ะ ในที่ท่านเอามาเปรียบเทียบนี่เป็นเพียงอารยธรรมในลุ่มน้ำไทกรีส-ยูเฟตีส,กันอารยธรรมอิยิปต์โบราณเท่านั้น.......ยังมีอารยธรรมทางซีกโลกใต้อีกน๊ะ...ก็เป็นอารยธรรมพวกมาชูปิกชูไง..ที่นับถือเอาพระอาทิตย์เป็นเทพสูงสุด...ไง.???
...
ความจริงคุณผู้บรรเจิดทางความคิดทั้งหลาย..น่าจะไปเอามารวมด้วยเพื่อว่าข้อมูลยังไม่แน่นพอ..หรือยังไม่รกสมองพอ?????..แนวทางแห่งื่นอาจเปลี่ยนไปก็ได้น๊ะ.....
บันทึกการเข้า

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
เหตุใดคุณ พลศักดิ์และคุณ tuenumที่โพสต์มานี้ส่วนใหญ่จะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างพุทธและคริสต์,พราหมณ์ เท่านั้น......ทำไมไม่เอาศาสนาอิสลามเข้ามาพูดด้วยน๊ะ ซึ่งมีพระอัลเลอะห์ เป็นพระผู้เป็นเจ้า(รากฐานเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าในคริสต์ศาสนา)........สงสัยไม่ได้ศึกษาทางศาสนาอิสลามมา???........
.....และป้าขอและนำด้วยน๊ะ ในที่ท่านเอามาเปรียบเทียบนี่เป็นเพียงอารยธรรมในลุ่มน้ำไทกรีส-ยูเฟตีส,กันอารยธรรมอิยิปต์โบราณเท่านั้น.......ยังมีอารยธรรมทางซีกโลกใต้อีกน๊ะ...ก็เป็นอารยธรรมพวกมาชูปิกชูไง..ที่นับถือเอาพระอาทิตย์เป็นเทพสูงสุด...ไง.???
...


ได้เลยคุณป้า เดี๋ยวผมจะเอาอิสลามมาชี้ให้คุณป้าดู  จะเอาเง็กเซียนมาด้วยก็ได้  เพราะสิ่งสูงสุดที่พวกเขากล่าวถึงนั้นคือ พระพุทธเจ้า
บันทึกการเข้า