แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
11042
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พศ.พาพระ-เณรเยือนแดนพุทธภูมิ
|
เมื่อ: เมษายน 19, 2016, 11:43:53 pm
|
พศ.พาพระ-เณร เยือนแดนพุทธภูมิ ผอ.สำนักพุทธฯเผยปี 2559พาพระ-เณร-ฆราวาส เยือนแดนพุทธภูมิ 300 รูป/คน ศึกษาเรียนรู้พุทธประวัติจากสถานที่จริง พร้อมร่วมมือกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จัดแพทย์-พยาบาล อำนวยความสะดวกผุ้แสวงบุญชาวไทยตลอดช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย.นี้
วันนี้ (18 เม.ย.) นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ตามที่ พศ.ได้คัดเลือกพระภิกษุ สามเณร และ ผู้ส่งเสริมสนับสนุนกิจการพระพุทธศาสนา เพื่อไปแสวงบุญยังสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ณ ประเทศอินเดียและเนปาล ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายนของทุกปี นั้น
ในปี 2559 นี้ พศ.ได้คัดเลือกพระภิกษุที่มีพรรษา 3 ขึ้นไปคุณวุฒินักธรรมชั้นโท สามเณรคุณวุฒิเปรียญธรรม (ป.ธ.)3 ประโยคขึ้นไป และฆราวาสที่ทำคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนารวมทั้งสิ้น 300รูป/คน เพื่อเดินทางไปศึกษาเรียนรู้พุทธประวัติจากสถานที่จริงณ สังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่งเรียบร้อย
โดยรุ่นแรกจะเดินทางวันที่20-27 เม.ย.นี้ “นอกจากนี้ พศ.ยังได้ลงนามความร่วมมือกับกรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข จัดแพทย์และพยาบาลไปดูแลรักษาพยาบาลพระภิกษุ สามเณร และฆราวาสที่เดินทางไปแสวงบุญ โดยไปประจำอยู่ที่โรงพยาบาลพระพุทธเจ้าวัดไทยพุทธคยา และกุสินาราคลินิก ในวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและอำนวยความสะดวกแก่ชาวพุทธในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย” ผอ.พศ.กล่าว.ขอบคุณข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/392339
|
|
|
11047
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / น่าเลื่อมใส..สมภารวัดป่ายุบป่วยเดินไม่ปกติแต่ยังนั่งวีลแชร์พัฒนาวัดต่อเนื่อง
|
เมื่อ: เมษายน 19, 2016, 07:57:00 am
|
น่าเลื่อมใส..สมภารวัดป่ายุบป่วยเดินไม่ปกติแต่ยังนั่งวีลแชร์พัฒนาวัดต่อเนื่องศูนย์ข่าวศรีราชา - ชาวบ้านเลื่อมศรัทธา สมภารวัดป่ายุบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พระนักพัฒนาที่ไม่ย่อท้อต่อสังขารแม้ป่วยด้วยโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท จนเดินไม่ปกติแต่ใจยังสู้นั่งวีลแชร์พัฒนาบูรณะวัด หวังนำพาสู่ความเจริญ ถือเป็นต้นแบบสงฆ์ที่ดี วันนี้ (18 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังวัดป่ายุบ หมู่ 5 ซอยบ่อนไก่ ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี หลังได้รับแจ้งจากประชาชนในพื้นที่ว่า มีพระผู้เฒ่าวัย 60 ปี ซึ่งมีสถานะเป็นเจ้าอาวาสของวัด ที่แม้ว่าจะล้มป่วยด้วยโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจนไม่สามารถเดินได้อย่างปกติมานานกว่า 4 เดือนและต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถวีลแชร์ไฟฟ้าที่ญาติโยมนำมาถวาย แต่ก็ยังคงปฏิบัติภารกิจดูแลความสะอาดภายในวัดอย่างต่อเนื่อง โดยแต่ละวัดพระรูปดังกล่าวจะใช้เหล็กแหลมเสียบถุงพลาสติกและขยะมูลฝอย ที่ญาติโยมทิ้งเกลื่อนพื้นวัดเพื่อนำไปทิ้งถังขยะ อีกทั้งยังนำป้ายข้อความที่ระบุให้ประชาชนช่วยกันรักษาความสะอาดติดทั่ววัด และในบางวันยังใช้อุปกรณ์ช่างออกซ่อมแซมตัวฉีดน้ำภายในวัดเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่พื้นดิน ภาพดังกล่าวได้สร้างความประทับใจจนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาแก่ญาติโยมที่เข้ามาทำบุญภายในวัดช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึงวัด ก็ได้พบกับ พระครูสังฆการบุรพทิศ พระผู้เฒ่าซึ่งเป็นที่เลื่อมใสของประชาชน พร้อมทั้งยังเล่าให้ฟังว่าเดิมท่านเป็นพระลูกวัดสัตหีบ และได้ย้ายมาจำพรรษาเป็นเจ้าอาวาสวัดป่ายุบตั้งแต่ปี 2532 ซึ่งในขณะนั้นยังเต็มไปด้วยผืนป่าไม่มีแม้กระทั่งโบสถ์ แต่ด้วยความรักในพระพุทธศาสนา และมุ่งหวังจะให้วัดเกิดความเจริญ จึงเดินหน้านำพาประชาชนและญาติโยมในพื้นที่ร่วมกันพัฒนาบูรณะวัดตามสรรพกำลังที่มี กระทั่งในปี 2552 จึงได้ริเริ่มก่อสร้างโบสถ์เรือนไม้สักทอง ที่มีมูลค่าถึง 21 ล้าน จนกลายที่ชุมนุมสงฆ์และศูนย์รวมของประชาชนในปัจจุบัน ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000039413
|
|
|
11049
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดมอบวัตถุโบราณ ให้กรมศิลปฯศึกษา
|
เมื่อ: เมษายน 19, 2016, 07:47:37 am
|
วัดมอบวัตถุโบราณ ให้กรมศิลปฯศึกษาเมื่อวันที่ 17 เม.ย. พระครูศุภกิตยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดนางตรา หมู่ 3 ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ภายหลังจากวัดมีการขุดปรับพื้นที่หน้าวัดเพื่อก่อสร้างอนุสาวรีย์พ่อจ่าดำ และพบวัตถุโบราณ เป็นไหโบราณ และฐานศิวลึงศ์โบราณ อายุนานกว่า 1,000 ปี ก่อนแจ้งเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรมาตรวจสอบและเก็บรักษาไว้ที่วัดก่อนนั้น
โดยมีชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างแห่มาชมกันเป็นจำนวนมากจนแน่นวัดทุกวัน โดยทางนายอาณัติ บำรุงวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช ระบุว่าวัตถุโบราณชิ้นนี้ยังมีความสมบูรณ์และลวดลายมีความชัดเจนมาก มีความเก่าแก่มากอาจเป็นชิ้นสำคัญของภาคใต้โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรืองของพราหมณ์ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 10-12
พระครูศุภกิตยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดนางตรา กล่าวอีกว่า เนื่องจากวัตถุที่พบเป็นวัตถุโบราณอายุกว่า 1,000 ปี เกรงว่าหากเก็บรักษาไว้ที่วัดอาจจะเกิดความไม่สะดวกขึ้นได้ จึงแจ้งให้ทางนายอาณัติ บำรุงวงศ์ ผอ.สำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช มารับมอบไหโบราณ ฐานศิวลึงค์โบราณและพระพิมพ์โบราณทั้งหมดเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ค่ำวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีนายไตรรัตน์ ไชยรัตน์ นอภ.ท่าศาลา, นายสุรินทร์ สุกสาน ผญบ.หมู่ 3 ต.ท่าศาลาและตัวแทนทหารจาก มทบ.41กองทัพภาคที่ 4 มาเป็นสักขีพยานในการรับมอบ เพื่อนำไปเก็บรักษาและศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของวัตถุโบราณดังกล่าวต่อไป.
ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/607191
|
|
|
11051
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปิดฉากสงกรานต์หนองคาย คนนับพันอัญเชิญ 'หลวงพ่อพระใส' กลับอุโบสถ
|
เมื่อ: เมษายน 19, 2016, 07:41:58 am
|
ปิดฉากสงกรานต์หนองคาย คนนับพันอัญเชิญ 'หลวงพ่อพระใส' กลับอุโบสถชาวหนองคายนับพัน ร่วมกันอัญเชิญ "หลวงพ่อพระใส" พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ประดิษฐานบนพระอุโบสถวัดโพธิ์ชัย ปิดฉากงานสงกรานต์อีสานหนองคาย อย่างเป็นทางการ
เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 18 เม.ย. 59 ที่วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง อ.เมืองหนองคาย นายสุชาติ นพวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และ พระราชรัตนาลงกรณ์ เจ้าคณะจังหวัดหนองคาย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในพิธีอัญเชิญ หลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองชาวหนองคาย ออกจากศาลาพลับพลา แห่รอบพระอุโบสถ 3 รอบ ก่อนอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนพระอุโบสถเช่นเดิม หลังจากได้อัญเชิญลงจากพระอุโบสถ เมื่อวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ให้ประชาชนชาวหนองคาย และนักท่องเที่ยวสรงน้ำเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมีประชาชนชาวหนองคายนับพันคนร่วมพิธี เพราะนอกจากจะได้สรงน้ำ หลวงพ่อพระใส แล้ว ยังถือเป็นการเล่นน้ำส่งท้ายสงกรานต์ด้วยประชาชนชาวหนองคายนับพันคนร่วมพิธีอัญเชิญ หลวงพ่อพระใส ออกจากศาลาพลับพลา แห่รอบพระอุโบสถ 3 รอบ หลังแห่เสร็จจึงอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนพระอุโบสถเช่นเดิม ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ชาวหนองคายจะอัญเชิญ หลวงพ่อพระใส ลงจากพระอุโบสถ เป็นองค์พระประธานพระพุทธรูปจากคุ้มต่างๆ แห่รอบเมืองให้ประชาชนได้สรงน้ำอย่างทั่วถึงเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่วันที่ 13-18 เม.ย. ก่อนจะอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนพระอุโบสถเช่นเดิม เป็นการปิดฉากงานสงกรานต์อีสานหนองคายอย่างเป็นทางการ.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/607255
|
|
|
11052
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวสุพรรณนับหมื่นแห่วางศิลาฤกษ์มณฑป 'หลวงพ่อแก้ว' วัดใหม่นพรัตน์
|
เมื่อ: เมษายน 19, 2016, 07:38:57 am
|
ชาวสุพรรณนับหมื่นแห่วางศิลาฤกษ์มณฑป 'หลวงพ่อแก้ว' วัดใหม่นพรัตน์ ชาวบ้านเกือบหมื่นคน แห่วางศิลาฤกษ์มณฑป 'หลวงพ่อแก้ว' อดีตเจ้าอาวาสวัดใหม่นพรัตน์ ต.เนินพระปรางค์ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี เพื่อให้ ปชช.สักการบูชา เผย ท่านเป็นพระหมอรักษาได้สารพัดโรค จนชาวบ้านขนานนามว่า 'แก้วสารพัดนึก' ทั้งสร้างคุณงามความดีต่างๆ มากมาย จนเป็นที่เลื่อมใส
เมื่อวันที่ 18 เม.ย.59 พระครูวิบูลกิตติวัฒน์ รองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าอาวาสวัดวิมลโภคาราม เป็นประธานวางศิลาฤกษ์มณฑปประดิษฐานหลวงพ่อแก้วอดีตเจ้าอาวาสวัดใหม่นพรัตน์ โดยมีพระครูพิพิธพัฒนคุณ (หลวงพ่อแบน)เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน พร้อมด้วยนายสัมฤทธิ์ ตันติเกษตรกิจ ผู้ใหญบ้าน ต.เนินพระปรางค์ อ.สองพี่น้อง ประธานฝ่ายฆราวาส โดยมีข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนเกือบหมื่นคนร่วมงาน ซึ่งทางวัดสร้างขึ้นโดยเงินบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาทั่วไปพิธีวางศิลาฤกษ์มณฑปประดิษฐานหลวงพ่อแก้ว หลวงพ่อแก้วอดีตเจ้าอาวาสวัดใหม่นพรัตน์ เข้าแถวรับพรมน้ำมนต์ ประชาชนจำนวนมากมาร่วมในพิธี สำหรับหลวงพ่อแก้วนั้น เป็นที่เคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนท่านมรณภาพเมื่อ พ.ศ.2491 ปัจจุบัน 68 ปี ท่านเป็นพระหมอที่คอยรักษาได้สารพัดโรค ที่โด่งดังมากคือโรคพิษสุนัขบ้า และผู้ที่ถูกงูพิษกัดต่างๆ เนื่องจากเมื่อก่อน โรงพยาบาลอยู่ห่างไกลชาวบ้านจึงมาให้หลวงพ่อรักษา จนได้ขนามนามว่า 'แก้วสารพัดนึก' ทางวัดจึงจัดสร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนสักการบูชา มีขนาดกว้าง 6 เมตร ยาว 6 เมตร วัดใหม่นพรัตน์เดิมชาวบ้านเรียกว่า (วัดดอนกลาง) เป็นวัดเก่าแก่และมีความสำคัญของหมู่บ้าน ภายในวัดมีเสนาสนะ ปูชนียวัตถุ และโบราณวัตถุ สำคัญ อาทิ หลวงพ่อโตองค์ใหญ่ และเจดีย์หลวงพ่อแก้ว โดยอดีตเจ้าอาวาสเป็นพระนักพัฒนาที่สร้างความเจริญให้แก่วัดและหมู่บ้าน พร้อมช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ขจรขจายสืบต่อไป.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/607395
|
|
|
11053
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หนุ่มใหญ่ ถวาย 'ลูกวัวกระทิง' ให้วัดท่าไม้ เผย ศรัทธาในเจ้าอาวาส
|
เมื่อ: เมษายน 19, 2016, 07:35:03 am
|
หนุ่มใหญ่ ถวาย 'ลูกวัวกระทิง' ให้วัดท่าไม้ เผย ศรัทธาในเจ้าอาวาสหนุ่มใหญ่ถวาย 'ลูกวัวกระทิง' ให้วัดท่าไม้ เผย ไม่คิดจะขาย แต่เลื่อมใสศรัทธาชื่อเสียงของเจ้าอาวาสวัดท่าไม้ จึงตัดสินใจมอบให้วัดดูแล ด้านเจ้าอาวาสวัด แจง ตั้งใจเลี้ยงไว้เป็นวิทยาธาน เผย ตั้งแต่มาอยู่วัดชอบกินกล้วย และไม่ดุร้าย
เมื่อวันที่ 18 เม.ย.59 ผู้สื่อข่าวได้รับทราบว่า มีผู้นำลูกวัวกระทิง ซึ่งเป็นสัตว์ลูกผสมที่เกิดจากแม่วัวไทยผสมพันธุ์กับพ่อกระทิงป่า มาถวายให้แก่พระครูปลัดสุวัฒนดิลกคุณ หรือ พระอาจารย์อุเทนสิริสาโร เจ้าอาวาสวัดท่าไม้ ต.ท่าไม้ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ ก็พบกับเจ้าอาวาสวัดท่าไม้ กำลังให้กล้วยแก่ลูกวัวกระทิงที่บริเวณคอกวัวของวัดท่าไม้ โดยลูกวัวกระทิงตัวนี้ อายุ 4 ปีเศษ เพศผู้มีลักษณะแข็งแรง ลำตัวใหญ่ขนสีดำมันวาว ยกเว้นที่บริเวณสันหลังจะออกเป็นสีน้ำตาลแนวยาว และที่หน้าผากมีขนสีเทาอ่อนขึ้นเป็นวงรีคล้ายกับรูปหัวใจ น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 1,000 กิโลกรัม เมื่อผู้ที่มาร่วมทำบุญที่วัดท่าไม้ ทราบว่ามีลูกวัดกระทิงมาอยู่ที่วัดก็ได้มาดูกันอย่างต่อเนื่อง และต่างก็บอกว่า ลูกวัวกระทิงตัวนี้สวยและสง่างามมากลูกวัวกระทิงตัวนี้ เพศผู้ อายุ 4 ปีเศษ นายสุธิชัย เสดวงชัย อายุ 36 ปี เจ้าของลูกวัวกระทิงที่ได้เป็นผู้ถวายให้แก่เจ้าอาวาสวัดท่าไม้ และเดินทางมาส่งเจ้าลูกวัวกระทิงถึงที่อยู่ใหม่ พร้อมทั้งเผยว่า เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ตนได้นำฝูงวัวประมาณ 40 – 50 ตัวไปเลี้ยงแบบปล่อยไว้ในชายป่าของหมู่บ้านและจะให้อยู่ประมาณ 1 อาทิตย์จึงจะขึ้นไปดูสักครั้ง มีอยู่วันหนึ่งตนขึ้นไปดูฝูงวัวก็พบว่า มีกระทิงป่าเพศผู้ตัวหนึ่งเข้ามาอยู่ในฝูงวัวด้วยจากนั้นไม่นานก็มีแม่วัวหนึ่งตัวตั้งท้องและตกลูกออกมา เป็นเจ้าลูกวัวกระทิงตัวนี้ที่ได้นำมาถวายให้วัดท่าไม้ซึ่งลูกวัวกระทิงตัวนี้ตนเองได้เลี้ยงมาโดยไม่คิดที่จะขาย เพราะเห็นว่าเป็นสัตว์พิเศษที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างแม่วัวกับพ่อกระทิงป่า แต่ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในชื่อเสียงของเจ้าอาวาสวัดท่าไม้ จากที่เคยได้ยินแม้จะไม่เคยได้มีโอกาสพบท่านมาก่อน จึงได้ขอถวายลูกวัวกระทิงตัวนี้ให้กับท่าน เพื่อให้ท่านนำมาเลี้ยงไว้ ส่วนตนเองถ้ามีเวลาว่างก็จะลงมาเยี่ยมลูกวัวกระทิงเรื่อยๆตั้งแต่ลูกวัวกระทิงมาอยู่วัดก็ชอบกินกล้วยมาก ด้านพระครูปลัดสุวัฒนดิลกคุณ หรือ พระอาจารย์อุเทน สิริสาโร เจ้าอาวาสวัดท่าไม้ กล่าวว่า เมื่อได้รับลูกวัวกระทิงตัวนี้มาดูแลแล้วก็ตั้งใจที่จะเลี้ยงไว้เพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่ผู้ที่มาทำบุญที่วัดท่าไม้ได้ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับวัวกระทิง แต่ทั้งนี้ก็จะต้องสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายก่อนว่าทางวัดสามารถเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นลูกผสมที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างวัวกับกระทิงไว้ได้หรือไม่ ถ้าสามารถเลี้ยงไว้ได้ก็ถือว่าเป็นบุญที่ได้ทำร่วมกันมาและยังเป็นการสร้างเสริมบุญด้วยการให้คนทั่วไปได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัวกระทิงอีก ด้วยส่วนความพิเศษของเจ้าลูกวัวกระทิงตัวนี้ คือ เมื่อตอนที่ถูกเลี้ยงอยู่กับเจ้าของเดิมนั้น ก็จะกินหญ้าตามธรรมชาติแต่เมื่อมาอยู่ที่วัดท่าไม้นั้น ทางลูกศิษย์ให้หญ้าจะไม่กินเลยแต่เมื่อให้กล้วยจะกินด้วยความเอร็ดอร่อย และไม่มีท่าทีดุร้ายน่ากลัวแต่อย่างใด.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/607404
|
|
|
11054
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ห่วงคนไทย เหตุแผ่นดินไหว เปิดวัดปากน้ำญี่ปุ่น ช่วยเหลือ
|
เมื่อ: เมษายน 18, 2016, 08:50:04 am
|
ห่วงคนไทย เหตุแผ่นดินไหว เปิดวัดปากน้ำญี่ปุ่น ช่วยเหลือ "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" ห่วงคนไทยประสบภัยแผ่นดินไหว เปิดวัดปากน้ำ ญี่ปุ่น ศูนย์ช่วยเหลือที่พัก อาหาร ด้านกงสุลไทย นำนักเรียนไทยกว่า 20 คน เข้าพักที่วัดแล้ว
วันนี้ (17 เม.ย.) นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เปิดเผยว่า หลังจากเกิดแผ่นดินในเกาะคิวชู จังหวัดคุมาโมโตะ ของประเทศญี่ปุ่น สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนเป็นอย่างมาก ส่งผลใหนักเรียนไทยและคนไทย ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ไร้ที่พักอาศัย ซึ่งความทราบถึง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จึงได้สั่งการให้เปิดวัดปากน้ำ ญี่ปุ่น จังหวัดชิบะ ให้นักเรียนไทยและชาวไทย ได้พักอาศัย
ซึ่งตนได้รับทราบจากกงสุลไทย ประจำประเทศญี่ปุ่นว่า ในวันนี้(17 เม.ย.) ทางกงสุลจะพานักเรียนประมาณ 20 คน เข้าพักยังวัดปากน้ำ ญี่ปุ่น โดยพื้นที่วัดปากน้ำ ญี่ปุ่น สามารถรองรับคนได้กว่า 200 คน "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ท่านมีเมตตาและห่วงใยนักเรียนไทย และคนไทย ที่ประสพภัยแผ่นดินไหว เป็นอย่างมาก จึงมีดำริให้คณะสงฆ์วัดปากน้ำ ญี่ปุ่น ใช้วัดเป็นศูนย์ช่วยเหลือคนไทย ในการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนเป็นที่พัก บริการอาหารแก่ คนไทยที่ประสบภัย ซึ่งเมื่อครั้งเกิดแผ่นไหว และสึนามิครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น ปี 2554 วัดปากน้ำ ญี่ปุ่น แห่งนี้ ก็ได้ใช้เป็นศูนย์ช่วยเหลือคนไทย และคนญี่ปุ่นด้วย" ผอ.พศ. กล่าว.ขอบคุณข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/392196
|
|
|
11055
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อุ้มหลวงพ่อดำ วัดหลวงพ่อสีชมพู สรงน้ำท่าจีน เชื่อทำให้ไม่แล้ง
|
เมื่อ: เมษายน 18, 2016, 08:47:19 am
|
อุ้มหลวงพ่อดำ วัดหลวงพ่อสีชมพู สรงน้ำท่าจีน เชื่อทำให้ไม่แล้งชาวศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ร่วมงานประเพณีอุ้ม "หลวงพ่อดำ" พระเก่าแก่คู่วัดหลวงพ่อสีชมพู สรงนํ้าในแม่น้ำท่าจีน เชื่อทำให้ไม่เจอภัยแล้ง ฝนตกตามฤดูกาล
เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 59 ที่วัดเถรพลาย (วัดหลวงพ่อสีชมพู) ต.วังน้ำซับ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี จัดงานประเพณีอุ้มพระสรงนํ้า ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ที่ปฏิบัติกันมายาวนานกว่า 300 ปี โดยมี พระครูวิสุทธิรัตนาภรณ์ เจ้าอาวาสเป็นประธาน มีชาวบ้านกว่า 500 คน เข้าร่วมในพิธี ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนาน มีการรำวงย้อนยุค แต่งกายด้วยเสื้อผ้าลายดอกสวยสด และมีการสรงน้ำพระ รวมถึงสาดน้ำเล่นสงกรานต์กันอย่างสนุกสนานงานประเพณีอุ้มพระสรงนํ้าที่วัดเถรพลาย จ.สุพรรณบุรี อุ้มหลวงพ่อดำไปสรงน้ำ ซึ่งประเพณีอันดีงามของชาวศรีประจันต์ ที่สืบต่อกันคือ การอุ้มหลวงพ่อดำลงแม่น้ำท่าจีน ที่เป็นเสมือนสายน้ำเส้นเลือดใหญ่ของชาวสุพรรณบุรี โดยมีชาวบ้านจากทั่วสารทิศแห่เดินทางมาร่วมงานอุ้ม หลวงพ่อดำ พระพุทธรูปเก่าแก่คู่วัดที่พบในวิหารเก่าสมัยอยุธยาตอนกลาง ลงไปสรงน้ำในแม่น้ำท่าจีนเพื่อความเป็นสิริมงคล
ทั้งนี้ หลวงพ่อดำ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย เศียรทำด้วยไม้มงคล อายุเก่าแก่กว่า 300 ปี เป็นพระพุทธรูปสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ถูกค้นพบอยู่ในเจดีย์เก่าของวัดเถรพลาย ทางวัดได้นำมาบูรณะเมื่อปี 2555 เพื่อให้มีความสมบูรณ์ดังเดิม และนำไปประดิษฐานไว้ในวิหารของวัดเถรพลาย มีชาวบ้านมากราบไหว้ขอพรเป็นจำนวนมาก นับว่าเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่คู่กับวัด เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั้งใกล้และไกลการอุ้มหลวงพ่อดำลงแม่น้ำท่าจีน เป็นประเพณีอันดีงามของชาวศรีประจันต์ ที่สืบต่อกัน เพื่อความเป็นศิริมงคล สำหรับการอุ้มพระสรงน้ำ เป็นประเพณีเก่าแก่ของวัดที่สืบทอดกันมายาวนาน โดยชาวบ้านจะช่วยกันอุ้ม หลวงพ่อดำ ส่งต่อกันไปเป็นแถวยาวจนถึงแม่น้ำท่าจีน ที่อยู่ริมตลิ่งวัด จากนั้นชาวบ้านและผู้นำชุมชนจะเป็นคนอุ้ม หลวงพ่อดำ ลงไปสรงน้ำจำนวน 3 ครั้ง ในแม่น้ำท่าจีน โดยเป็นความเชื่อมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพื่อไม่ให้แล้งและฝนตกต้องตามฤดูกาล.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/606938
|
|
|
11056
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวลาวแห่ข้ามโขงเที่ยว 'สงกรานต์เชียงแสน' คึกคัก ตม.เข้มยาเสพติด
|
เมื่อ: เมษายน 18, 2016, 08:43:49 am
|
ชาวลาวแห่ข้ามโขงเที่ยว 'สงกรานต์เชียงแสน' คึกคัก ตม.เข้มยาเสพติด บรรยากาศเทศกาลสงกรานต์ที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ยังคงคึกคัก ปชช.ทั้งไทยและลาว รวมไปถึงชนเผ่าต่างๆ เดินทางมาร่วมงาน หลายคนนั่งเรือข้ามแม่น้ำโขงเพื่อมาพบญาติ ด้าน ตม.คุมเข้มสารเสพติด...
เมื่อวันที่ 17 เมษายน 59 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ วันที่สองของงานมหาสงกรานต์เมืองเชียงแสน จ.เชียงราย นักท่องเที่ยวเริ่มหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวงานสงกรานต์แต่เช้า ทำให้การเล่นน้ำสงกรานต์สนุกสนาน ชาวลาวที่เป็นชาวเขาเผ่าม้ง แห่ข้ามแม่น้ำโขงจากประเทศลาว เข้ามาเที่ยวเล่นน้ำสงกรานต์ โดยมีญาติๆ มารอรับบริเวณ ด่านพรมแดนกันอย่างคึกคัก และชาวเขาหลายชนเผ่าที่พากันมาจากจังหวัดพะเยา เชียงใหม่ ได้นำผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ เช่น ม้านั่งหวาย ขันโตกหวาย มาจำหน่ายในราคาถูก ถนนริมโขงตั้งแต่สามแยกหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสน ไปจนถึงหน้า นรข.เขตเชียงราย มีการตั้งถังน้ำสูบน้ำโขงขึ้นมาเล่นสาดกันกับนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านจนเปียกชุ่มฉ่ำนายพินิจ แก้วจิตคงทอง นายอำเภอเชียงแสน กล่าวว่า สงกรานต์เมืองเชียงแสนปีนี้ มีนักท่องเที่ยวและพี่น้องชาวลาวข้ามแม่น้ำโขงมาเที่ยวชมขบวนแห่พระพุทธรูป พระเจ้าทองทิพย์ พระเจ้าทันใจ พระคู่บ้านคู่เมืองเชียงแสน และสรงน้ำพระพุทธรูป ซึ่งแต่ละขบวนถูกตกแต่งอย่างสวยงาม โดยแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของแต่ละชุมชนสองฟากถนน เนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว เบียดเสียดกันเข้าชมความงดงามของขบวนแห่ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว ขณะที่ขบวนแห่ผ่าน นักท่องเที่ยวก็จะรดน้ำให้กับผู้อยู่ในขบวน เพื่อเป็นการคลายร้อน และเทศบาลตำบลเวียงเชียงแสนได้นำรถดับเพลิงออกฉีดพ่นน้ำในอากาศ เพื่อลดอุณหภูมิที่สูงถึง 38 องศาเซลเซียสนายพินิจ กล่าวต่อว่า ปีนี้มีสาวงามเข้ามาสมัครประกวดชิงตำแหน่งเทพีสงกรานต์เมืองเชียงแสนกันอย่างคึกคักกว่า 20 สาวงาม โดยในวันที่ 18 จะมีการประกวดเทพีสงกรานต์เมืองเชียงแสน และการแข่งเรือชิงชัยประเภท 22 และ 30 ฝีพาย ซึ่งในเช้าวันนั้นจะมีชนเผ่าหลายชนเผ่านั่งเรือข้ามแม่น้ำโขงมารอพบญาติเป็นเรือนหมื่นที่รออยู่ที่อำเภอเชียงแสน นับว่าเป็นภาพของการพบญาติอย่างแท้จริงพ.ต.ท.จีรศักดิ์ ไล้ทองคำ สว.ด่าน ตม.เชียงแสน และ ร.ต.อ.หญิงรุ่งจิตร งามเลิศ รอง สว.ด่าน ตม.เชียงแสน มาอำนวยความสะดวก ให้กับผู้เดินทางผ่านเข้าออกที่ด่านพรมแดนไทยลาว กล่าวว่าในวันพรุ่งนี้จะมีพวกชนเผ่าหลายชนเผ่าที่อยู่หลายหมู่บ้านในประเทศลาว จะพานั่งเรือข้ามแม่น้ำโขง มาขึ้นที่ด่าน ตม. เพื่อพบญาติที่อยู่ประเทศไทย ซึ่งนัดพบกันที่เชียงแสน แล้วมีจัดโต๊ะอาหารเลี้ยงฉลอง ทั้งนี้ ทาง ตม.เชียงแสน ก็ได้จัดเฝ้าคุมเข้มระวังในเรื่องยาเสพติดอยู่ด้วย
ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/606885
|
|
|
11057
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวขลุง สืบสานประเพณีกว่า 100 ปี 'ชักเย่อเกวียนพระบาท'
|
เมื่อ: เมษายน 18, 2016, 08:39:16 am
|
ชาวขลุง สืบสานประเพณีกว่า 100 ปี 'ชักเย่อเกวียนพระบาท' ชาวอำเภอขลุง จ.จันทบุรี ร่วมสืบสาน"ประเพณีชักเย่อเกวียนพระบาท" เพื่ออนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่หาชมได้ยากตามความเชื่อแต่โบราณ กว่า 100 ปี หลังขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม...
เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 17 เม.ย.59 ที่ลานวัดตะปอนใหญ่ ต.ตะปอน อ.ขลุง จ.จันทบุรี ได้จัดให้มีประเพณีชักเย่อเกวียนพระบาท ในงานสืบสานประเพณีรอยพระบาท โดย นายกาญจน์ กรณีย์ ประธานสภาวัฒนธรรม อ.ขลุง ผู้นำชุมชน ตลอดจนชาวบ้าน ต.ตะปอน และ ตำบลใกล้เคียง พร้อมใจกันเข้าร่วมสืบสานประเพณีท้องถิ่น ที่หาชมได้ยากตามความเชื่อแต่โบราณ กว่า 100 ปี กันอย่างคักคึก ทั้งนี้ เพื่อร่วมอนุรักษ์ และสืบทอดประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น ที่ปัจจุบันหาชมได้ยากมาก อีกทั้งเป็นความเชื่อ และความศรัทธาของคนในพื้นที่ ที่ว่าหากใครได้ลากจูง หรือ ชักเย่อเกวียนพระบาท จะประสบแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้า ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ประเพณีแห่พระบาทชักเย่อ เป็นความเชื่อ ความศรัทธาของชาว ต.ตะปอน และตำบลใกล้เคียง ที่ปฏิบัติสืบทอดมาเป็น 100 ปี โดยหากย้อนไปเมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 5 ต.ตะปอน เกิดทุกข์เวทนาแสนสาหัส นาข้าวแห้งแล้ง เกิดโรคห่าระบาด จนหมดทางแก้ไข หลวงพ่อพร้อมชาวบ้านจึงพร้อมใจกันนำรอยพระบาทผ้าออกแห่ไปทั่วตำบล ส่งผลให้เกิดปาฏิหาริย์ เกิดฝนตก โรคร้ายที่กำลังระบาดก็หยุดไป
จากนั้นเป็นต้นมาจึงได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อกันมา ที่เมื่อถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ชาวตะปอน จะต้องน้ำรอยผ้าพระบาทขึ้นเกวียน แห่ไปรอบตำบล แล้วแยกย้ายกันนำผ้าพระบาท ไปทำบุญตามหมู่บ้าน จนไปสิ้นสุด วันสุดท้ายในวันที่ 30 เมษายน ของทุกปี นับว่าเป็นตำบล ที่ทำบุญสงกรานต์มาราธอนยาวนานที่สุดในประเทศไทยนายกาญจน์ กรณีย์ ประธานสภาวัฒนธรรม อ.ขลุง เปิดเผยว่า ประเพณีชักเย่อเกวียนพระบาท ได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ปี พ.ศ.2558 โดยกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งกลุ่มอนุรักษ์ประเพณีพื้นบ้าน ตะปอน-เกวียนหัก ได้อนุรักษ์ฟื้นฟูและสืบสานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมชักกะเย่อเกวียนพระบาท โดยความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้าน ผู้นำชุมชน ในการถ่ายทอดประเพณีที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ให้กับลูกหลาน ชาว อ.ขลุง ได้สืบทอดต่อไป ซึ่งในการร่วมชักเย่อเกวียน แต่ละครั้งมักได้รับความสนใจจากผู้สูงอายุ ไปจนถึงลูกหลาน เข้าร่วมกิจกรรม ถือเป็นแบบอย่างของความสามัคคีของคนในชุมชน ที่ ต.ตะปอน และ ต.เกวียนหัก ยังคงให้เห็นภาพเหล่านั้นในยุคปัจจุบัน
นอกจากนี้ ในแต่ละปี ประเพณีชักเย่อเกวียนพระบาท ได้รับความสนใจจากชาวบ้านในพื้นที่และใกล้เคียงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปี 2517 ได้จัดให้มีการแข่งขันขึ้น มีการส่งทีมเข้าร่วม ทั้งผู้สูงอายุ หนุ่ม-สาว เด็กนักเรียน โดยไม่มีการจำกัด ส่งผลให้ให้ชุมชนเกิดความเข็มแข็ง ซึ่งในปีนี้ นอกจากทีมผู้สูงอายุจากชาวบ้านในพื้นที่ แข่งขันร่วมกับทีมสื่อมวลชน จันทบุรี แล้ว ยังเปิดโอกาสให้ประเทศเพื่อนบ้าน กัมพูชา ได้ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งเป็นการสานสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา ในประเพณีที่มีมาแต่ช้านาน โดยมีชาวชุมชนตะปอน และใกล้เคียง ต่างพาลูกหลานเข้าร่วมประเพณีอันดีงามกันอย่างมากมาย.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/607037
|
|
|
11058
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวพุทธมาเลย์ นำผ้าพระบฏแห่รอบพระบรมธาตุเมืองนคร สร้างมงคลชีวิต
|
เมื่อ: เมษายน 18, 2016, 08:36:31 am
|
ชาวพุทธมาเลย์ นำผ้าพระบฏแห่รอบพระบรมธาตุเมืองนคร สร้างมงคลชีวิต พุทธศาสนิกชนชาวมาเลเซีย กว่า 1,500 คน เดินทางร่วมแห่ผ้าพระบฏรอบองค์พระบรมธาตุ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช เชื่อ สักการะครบ 9 ครั้ง ชีวิตรุ่งเรือง ขณะบางส่วนนำบุตรหลานมาบวช ก่อนกลับไปจำวัดที่มาเลย์
เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 59 นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 15-16 เม.ย.ที่ผ่านมา ชาวมาเลเซียที่นับถือศาสนาพุทธ จากรัฐปีนัง เคดาห์หรือไทรบุรี และเปอร์ลิส ซึ่งเดินทางด้วยรถบัส รถตู้ และรถยนต์ส่วนบุคคล ประมาณ 1,500 คน เดินทางมายังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อกราบไหว้สักการะองค์พระบรมธาตุเจดีย์ หรือพระบรมธาตุเมืองนคร โดยมีการนำผ้าพระบฏผืนยาวสีเหลือง ที่เขียนชื่อ-นามสกุลของตนเอง เดินเป็นริ้วขบวนจากลานโพธิ์แห่รอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ และภายในวิหารทับเกษตร รวมทั้งสักการะพระพุทธรูปภายในวิหารทรงม้า และร่วมทำบุญตามกำลังศรัทธา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวนอกจากนี้ ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ได้พาบุตรหลานกว่า 30 คน มาบรรพชาอุปสมบทที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ด้วย ซึ่งได้ปฏิบัติต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี หลังจากบรรพชาอุปสมบทแล้วก็จะเดินทางกลับไปจำวัดที่วัดต่างๆ ในประเทศมาเลเซียต่อไปทั้งนี้ ชาวมาเลเซียดังกล่าว ส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีนและเชื้อสายไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ทางภาคเหนือของมาเลเซีย มีความตั้งใจเดินทางมาทำบุญที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ด้วยพลังของความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ละคนมีความเชื่อว่า ถ้าได้กราบไหว้สักการะพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ปีละครั้ง ในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค. จนครบ 9 ครั้ง จะทำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง เจริญก้าวหน้าในการประกอบอาชีพ มีโชคลาภ และชีวิตครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งถือเป็นประเพณีและความเชื่อที่คนกลุ่มดังกล่าวได้ปฏิบัติต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี.ขอบคุณภาพข่าวจาก ภาพจาก : สนง.ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครศรีธรรมราช http://www.thairath.co.th/content/606772
|
|
|
11060
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สาธุชนแห่ร่วมงานวันเกิด 'สมเด็จโต' 228 ปี แน่นวัดสะตือ รถหนึบ 5 โล
|
เมื่อ: เมษายน 18, 2016, 08:30:37 am
|
สาธุชนแห่ร่วมงานวันเกิด 'สมเด็จโต' 228 ปี แน่นวัดสะตือ รถหนึบ 5 โล ศิษยานุศิษย์ทั่วสารทิศ แห่เข้าวัดสะตือ ร่วมงานวันเกิด "สมเด็จโต" ครบ 228 ปี พระสงฆ์กว่า 100 รูป สวดเจริญพระพุทธมนต์ ขณะจราจรติดยาวกว่า 5 กม.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 เม.ย. 59 ที่วัดสะตือ ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา พระครูปริยัตยาธิคุณ เจ้าอาวาสวัดสะตือ และเจ้าคณะอำเภอท่าเรือ จัดงานครบรอบ 228 ปี สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) โดยนิมนต์พระสงฆ์กว่า 100 รูป มาสวดเจริญพระพุทธมนต์ และมี นายเรวัต ประสงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายวิทิต ปิ่นนิกร นายอำเภอท่าเรือ นางศศิธร ปิ่นนิกร นายกกิ่งกาชาดอำเภอท่าเรือ พร้อมประชาชนนับหมื่นคนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาร่วมงาน ทำให้การจราจรติดยาวกว่า 5 กม.นายเรวัต ประสงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นประธานในงานครบรอบ 228 ปี สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ทั้งนี้ ภายในวัดมีลูกศิษย์และประชาชนที่เคารพศรัทธา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) นำอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มกว่า 400 ร้าน มาเลี้ยงที่โรงทานตลอดทั้งวัน และกลางคืนยังมีมหรสพสมโภช ลิเก ดนตรีลูกทุ่ง ให้ชมฟรีด้วย
ประชาชนนับหมื่นคนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาร่วมงานทำรถติดยาวกว่า 5 กิโลเมตร สำหรับประวัติ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) กำเนิดบนเรือที่จอดอยู่ในแม่น้ำป่าสัก ณ บ้านไก่จ้น ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อเวลา 07.00 น. วันพฤหัสบดีที่ 17 เม.ย. 2331 ตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ 1 บวชเป็นนาคหลวงที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในปี 2350 โดยมี สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) เป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม กรุงเทพมหานคร แล้วจึงสร้างวัดสะตือ เมื่อปี พ.ศ.2400 ก่อนที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) จะมรณภาพในแผ่นดินรัชกาลที่ 5 เมื่อวันเสาร์เดือน 8 แรม 2 ค่ำ ปีวอก ตรงกับวันที่ 22 มิ.ย. 2415 เวลา 24.00 น. บนศาลาใหญ่วัดบางขุนพรหมใน (วัดอินทรวิหาร) สิริรวมอายุ 84 ปี พรรษาที่ 64 ในปี 2413 อีกทั้ง ก่อนมรณภาพ 3 ปี ได้สร้างพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนปางไสยาสน์ มีความยาว 52 เมตร กว้าง 9 เมตร สูง 16 เมตร ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยด้วย.ขอบคุณภาพจาก วัดสะตือ http://www.thairath.co.th/content/606961
|
|
|
11062
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เจาะอารยธรรมพุทธเอเชีย EP.1 ปางกอดสาว แร้งกินศพ เรื่องแปลกแดนพระธรรม
|
เมื่อ: เมษายน 17, 2016, 08:54:11 am
|
เจาะอารยธรรมพุทธเอเชีย EP.1 ปางกอดสาว แร้งกินศพ เรื่องแปลกแดนพระธรรมศาสนาพุทธ ถือกำเนิดขึ้นที่ประเทศอินเดีย ก่อนที่จะมีการเผยแผ่ศาสนาไปยังประเทศโดยรอบ จนปัจจุบันศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ถือกำเนิดมามากกว่า 2,500 ปีแล้ว
พุทธศาสนาในโลกมี 3 นิกาย คือ 1.นิกายเถรวาท (หินยาน) เป็นนิกายที่เก่าแก่ที่สุด ยึดถือพระธรรมวินัยเดิมอย่างเคร่งครัด นับถือมากในเอเชียอาคเนย์ ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว กัมพูชา 2.นิกายมหายาน ได้แก่ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม และ 3.นิกายวัชรยาน ได้แก่ ทิเบต ภูฏาน มองโกเลีย
สกู๊ปพิเศษชิ้นนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ขอเสนอความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ เพื่อเปิดโลกทัศน์ทั้งหลายให้ได้รู้และเข้าใจในศาสนาพุทธของแต่ละประเทศ ได้แก่ ทิเบต ภูฏาน จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม โดยในตอนแรกนั้น จะพาผู้อ่านไปเปิดหูเปิดตาในประเทศทิเบต ภูฏาน และจากนี้ ทีมข่าวฯ ขอต้อนรับผู้อ่านสู่โลกแห่งพุทธศาสนานับแต่บัดนี้เป็นต้นไป...ทรรศนะด้านศาสนาของชาวทิเบตมองว่า ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ผสมผสานอยู่ในชีวิตประจำวัน ชาวทิเบตจึงนิยมบวชเป็นพระภิกษุ พระทิเบตจะเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างมาก เพราะผู้นำประเทศและผู้นำทางศาสนจักรเป็นคนๆ เดียวกัน ทิเบต ดินแดนแห่งพระธรรมเขตปกครองตนเองทิเบต ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย ประชาชนนับถือศาสนาพุทธ นิกายวัชรยาน ทรรศนะด้านศาสนาของชาวทิเบตมองว่า ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ผสมผสานอยู่ในชีวิตประจำวัน ชาวทิเบตจึงนิยมบวชเป็นพระภิกษุ และมีพระเป็นผู้นำในเขตปกครอง นั่นคือ ‘ทะไล ลามะ’
ผู้ที่จะมาให้ความรู้ในเรื่องราวพุทธศาสนาในทิเบตนี้ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ดร.ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนา ม.พระพุทธศาสนาแห่งโลก โดยอาจารย์ทวีวัฒน์ เล่าจากความเชี่ยวชาญเรื่องนี้ว่า ในทิเบตมี 3 นิกายหลักๆ ได้แก่ นิกายหมวกแดง พระนิกายนี้มีเกือบ 90% เยอะที่สุดในทิเบต โดยพระจะนุ่งห่มจีวรสีแดงเลือดหมูและสวมหมวกสีเดียวกับจีวร แต่เดิมนั้นทิเบตเหมือนไทย มีกษัตริย์ปกครองอาณาจักรและมีสังฆราชเป็นนิกายหมวกแดงปกครองศาสนจักร อีกทั้ง กษัตริย์ทิเบตยังสนับสนุนนิกายหมวกแดง และสังฆราชของหมวกแดง ฉะนั้น รัฐทิเบตจะมีกษัตริย์และสังฆราชแยกกัน
ขณะที่ นิกายหมวกเหลือง โดยจำนวนพระในนิกายหมวกเหลืองมีประมาณ 10% ของพระในทิเบตทั้งหมด พระนิกายนี้จะนุ่งห่มจีวรสีเหลืองและสวมหมวกสีเหลือง ในช่วงที่กองทัพมองโกลเข้ายึดครองทิเบตล้มล้างกษัตริย์ ขุนพลมองโกลต่างเลื่อมใสศรัทธาในนิกายหมวกเหลือง จึงเชิดชูสังฆราชของหมวกเหลืองนั่นคือ ท่านทะไล ลามะ ให้ขึ้นมามีอำนาจ นับแต่นั้นเป็นต้นมาท่านทะไล ลามะ จึงมีอำนาจทั้งฝ่ายศาสนจักรและฝ่ายอาณาจักรด้วย ภายใต้การหนุนหลังของกองทัพมองโกล ทิเบตจึงเป็นพุทธศาสนาประเทศเดียวที่พระสงฆ์มีอำนาจในอาณาจักรและศาสนจักรในเวลาเดียวกัน
นิกายหมวกดำ พระนิกายนี้จะนุ่งห่มจีวรสีดำและสวมหมวกสีดำ เป็นนิกายของพระจำนวนน้อย โดยพระนิกายนี้มักไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่มักจะปลีกวิเวกอยู่ในป่าเขา ถ้ำ เพื่อบำเพ็ญสมาธิ ภาวนา หรือคล้ายๆ กับพระป่าในประเทศไทยนั่นเองพระที่เป็นผู้นำในเขตปกครองทิเบต คือ ทะไล ลามะ พระทิเบต เมื่อตัดสินใจบวชแล้วไม่สามารถสึกได้ เนื่องจากเป็นจุดมุ่งหมายดั้งเดิมของคนที่บวช คือ การสละทางโลกทิ้งแล้วใช้ชีวิตทางธรรมอันนำไปสู่ความหลุดพ้น ละทางโลก สู่ทางธรรม บวชไม่สึกพุทธศาสนาในทิเบต เป็นส่วนหนึ่งของนิกายมหายาน แต่ภายหลังได้แตกจากมหายานเป็นวัชรยาน สามารถฉันอาหารได้ 3 มื้อ โดยประกอบอาหารกันเอง มีโรงครัวอยู่ในวัด บางวัดปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อเอาผลผลิตไปปรุงอาหาร พระทิเบตจะถือพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด ครองตัวเป็นโสด ไม่สามารถแต่งงานได้ ซึ่งการบวชเป็นพระส่วนใหญ่จะบวชตั้งแต่ตอนเด็กๆ ตามขนบธรรมเนียมประเพณี และที่สำคัญคือ เมื่อตัดสินใจบวชแล้วไม่สามารถสึกได้ เนื่องจากเป็นจุดมุ่งหมายดั้งเดิมของคนที่บวช คือผู้ที่ละทิ้งบ้านเรือน เป็นผู้ที่สละความสุขทางโลก ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ออกมาใช้ชีวิตนักบวชสำหรับการประพฤติ ปฏิบัติธรรม สมาธิ ภาวนา เพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ซึ่งในโลกนี้มีเพียงประเทศไทยประเทศเดียวเท่านั้นที่บวชแล้วสึกได้ แต่ปัจจุบันก็มีลาวกับกัมพูชาได้รับอิทธิพลจากไทยด้วยเช่นกันพิธีกรรมสุดแปลก ไหว้ 8 ท่า หมุนติ้วพระไตรปิฎกสำหรับรูปแบบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธของชาวทิเบตนั้น จะค่อนข้างมีสีสัน เหลือบๆ ไปทางวัฒนธรรมจีน มีการตีกลอง ตีฉิ่ง ตีหัวปลาไม้ ร่วมกับการประกอบพิธี ส่วนการสวดมนต์ของพระทิเบตนั้น จะมีติ้วหมุนอยู่ เดินสวดไปหมุนติ้วไป ซึ่งภายในติ้วที่หมุนจะบรรจุพระไตรปิฎก คาดว่าเป็นสัญลักษณ์ เมื่อหมุน 1 รอบก็เท่ากับว่าท่องพระไตรปิฎกจบไป 1 จบ เป็นรูปแบบหนึ่งของพิธีกรรม
และการกราบไหว้พระก็แปลกแตกต่างจากไทย เพราะทิเบตจะมีการไหว้ 8 ท่า ไหว้แล้วยืดแขนยืดขาลงไปนอนกับพื้นแบบท่าซุปเปอร์แมนกำลังเหาะ แต่ไทยไหว้เบญจางคประดิษฐ์ยิ่งแร้งกินซากศพหมดเท่าไหร่ ญาติก็จะยิ่งดีใจมากเท่านั้น เพราะวิญญาณที่เป็นห่วงร่างกายจะได้สบายใจ เพื่อจะได้กลับไปเกิดแบบหมดห่วง แร้งกินศพ พิธีสุดพิลึกพิลั่นอาจารย์ทวีวัฒน์ เล่าถึงความพิลึกในพิธีการทำศพของชาวพุทธในทิเบตว่า เมื่อมีคนตาย ญาติก็จะนำศพมาไว้ที่วัด เพื่อให้พระสงฆ์ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา จากนั้น สัปเหร่อจะยกศพแบกขึ้นภูเขาไปทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แร้งลงมาจิกกินซากศพ เนื่องจากทิเบตมีความเชื่ออันแรงกล้าในเรื่องการกลับชาติมาเกิดใหม่ พวกเขาเชื่อว่าเมื่อคนตายไปแล้ววิญญาณจะออกจากร่างและยังมีความห่วงร่างกายอยู่ ชาวทิเบตจึงมีความเชื่อว่า ยิ่งแร้งกินซากศพหมดเท่าไหร่ ญาติก็จะยิ่งดีใจมากเท่านั้น เพราะวิญญาณที่เป็นห่วงร่างกายจะได้สบายใจ เพื่อจะได้กลับไปเกิดแบบหมดห่วงพระพุทธรูปปางกอดสาว ความแปลกของวัชรยาน!หากใครเคยเข้าไปในวัดทิเบต จะต้องเป็นอันอึ้ง งง ปนตกใจ เมื่อได้เห็นพระพุทธรูปสุดแปลกที่มีลักษณะของพระพุทธเจ้าและมีชายาเพศหญิงสวมกอดอยู่ด้านหน้า ไม่เว้นแม้แต่รูปปั้นพระโพธิสัตว์จะมีเพศหญิงสวมกอดอยู่ด้านหน้าด้วยเช่นกัน โดยเป็นเอกลักษณ์ของพุทธศาสนาในนิกายวัชรยาน ซึ่งโดดเด่นในทิเบต ภูฏาน และมองโกเลีย และถือเป็นพระพุทธรูปหลักในโบสถ์อีกด้วย
อาจารย์ทวีวัฒน์ อธิบายถึงความแปลกของพระพุทธรูปนี้ว่า พระทิเบตมองว่ารูปเคารพนั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์ ว่าการตรัสรู้ที่สมบูรณ์นั้น จะต้องประกอบไปด้วยปัญญาและกรุณา เพศชายเป็นสัญลักษณ์ของกรุณา เพศหญิงเป็นสัญลักษณ์ของปัญญา ปัญญาและกรุณารวมกันเท่านั้น จึงจะสามารถเป็นการตรัสรู้ที่สมบูรณ์ได้
และในความเป็นจริงพระทิเบตแต่งงานไม่ได้ มีเพศสัมพันธ์มีครอบครัวไม่ได้ เคร่งครัดในพระวินัยคล้ายกับพระไทย แต่ออกมาในรูปของศิลปะแบบตันตระ คือ ความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างชายและหญิง พระทิเบตจะอธิบายว่า พระพุทธรูปที่เห็นนั้น เป็นเพียงสัญลักษณ์ของการตรัสรู้ที่สมบูรณ์ ซึ่งวิธีคิดของชาวพุทธวัชรยานแตกต่างไปจากเถรวาทมาก วัชรยานเป็นพุทธศาสนานิกายที่ลี้ลับ ซ่อนเร้น แปลก บ้านชาวพุทธไทยจะตั้งพระพุทธรูปไว้บูชาสวดมนต์ แต่ถ้าทิเบตก็จะตั้งพระพุทธรูปลักษณะนี้ไปบูชาสวดมนต์เช่นกันภูฏาน ดินแดนมังกรสายฟ้าราชอาณาจักรภูฏาน เป็นประเทศขนาดเล็ก รายล้อมไปด้วยภูเขาจำนวนมาก ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนับถือศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน ลักษณะการปกครองคล้ายกับทิเบต แต่มีความต่างกันบ้าง คือทิเบตมีองค์ทะไล ลามะเป็นผู้นำทั้งทางศาสนาและอาณาจักร ส่วนภูฏานมีกษัตริย์ปกครองประเทศ แต่มีพระสงฆ์ผู้มีสมณะสูงสุด หรือ พระสังฆราช ที่เรียกว่า เจ เคนโป มีส่วนในการปกครองประเทศด้วย
สำหรับการปกครองของคณะสงฆ์จะแบ่งเป็น 5 ชั้น ได้แก่ เจ เคนโป เป็นชั้นปกครองสูงสุด สมเด็จพระสังฆราช ชั้นสูงสุดนี้ห่มผ้าได้ทุกสี เคนโป เป็นชั้นรองมาจากสังฆราช ห่มผ้าปนทุกสี ลามะ เป็นชั้นรองจากเคนโป เป็นอาจารย์ที่ทรงความรู้ ห่มผ้าสีเหลืองปนแดง โลแพน เป็นชั้นรองลงมาจากลามะ เป็นพระที่มีความรู้บ้างแล้ว ห่มผ้าสีเหลือง เกลอง เป็นชั้นรองลงมาจากโลแพน เป็นชั้นสามัญ แต่ก็มีเกลองชั้น ตรี โท เอก ห่มผ้าสีแดง ส่วนวิธีเลื่อนชั้นนี้ก็จะทำการสอบคัดเลือกวัฒนธรรมพุทธของชาวภูฏานนั้น พ่อแม่มักนิยมให้ลูกหลานในครอบครัวได้บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุยังน้อย อาจารย์ทวีวัฒน์ เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้พบเจอในภูฏานว่า วัดของภิกษุกับภิกษุณีในภูฏาน จะแยกกัน โดยวัดของพระภิกษุเมื่อถึงเวลา 5 โมงเย็น ผู้หญิงจะต้องออกจากวัดให้หมด ห้ามผู้หญิงเข้าวัดของภิกษุหลัง 5 โมงเย็น ส่วนวัดของภิกษุณี ก็จะห้ามผู้ชายเข้าวัดหลัง 5 โมงเย็น โดยพระในภูฏานจะเคร่งในเรื่องนี้อย่างมาก
ทั้งนี้ ตามวัฒนธรรมพุทธของชาวภูฏานนั้น พ่อแม่มักนิยมให้ลูกหลานในครอบครัวได้บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อสามเณรมีอายุครบ 20 ปี ต้องตัดสินใจว่าจะอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา หรือจะลาสิกขาบทเพื่อไปใช้ชีวิตแบบฆราวาส ถ้าเลือกหนทางแรกก็จะต้องเป็นพระภิกษุไปตลอดชีวิต เพราะการบวชในนิกายวัชรยานนั้น ไม่มีการบวชชั่วคราวหรือการสึกอย่างพุทธศาสนาในประเทศไทย
ในตอนหน้านั้น จะขอนำเสนอเรื่องราวของพระในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม จะแตกต่างกันอย่างไร โปรดติดตาม.ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.thairath.co.th/content/603074
|
|
|
11063
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สงกรานต์ถูกทำให้เชื่อว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยแท้ๆ ซึ่งไม่เป็นความจริง
|
เมื่อ: เมษายน 17, 2016, 08:42:25 am
|
สงกรานต์สาดน้ำรดกัน ประเพณีสร้างใหม่ ขายการท่องเที่ยว สงกรานต์ถูกทำให้เชื่อว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยแท้ๆ ซึ่งไม่เป็นความจริงสงกรานต์ถูกทำให้เชื่อว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยแท้ๆ มาแต่โบราณกาล ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะสงกรานต์เป็นพิธีขึ้นราศีใหม่ที่รัฐโบราณทุกแห่งในอุษาคเนย์รับจากพราหมณ์ชมพูทวีป (อินเดีย) เหมือนๆ กัน ไม่มีที่ไทยแห่งเดียว
ปีใหม่ไทย (เรียกตามสากล) ตรงกับเดือนอ้าย (เดือน 1) หลังลอยกระทง (เดือน 12) เป็นวัฒนธรรมร่วมอุษาคเนย์ มีลำดับเปลี่ยนแปลง ดังนี้
1. ยุคดึกดำบรรพ์ ลอยกระทง คือสิ้นปีเก่า เดือน 12 ขึ้นปีใหม่ เดือน 1 ของไทยและอาเซียน (ถ้าเรียกตามปฏิทินสากล) มีมาแต่ยุคดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ราว 3,000 ปีมาแล้ว ปีนักษัตร (ชวด, ฉลู, ขาล, เถาะ ฯลฯ) ก็เปลี่ยนในช่วงเวลาหลังลอยกระทงนี้ [สงกรานต์เป็นประเพณีเปลี่ยนราศีของพราหมณ์อินเดีย ซึ่งไม่มีปีนักษัตร ส่วนปีนักษัตรมีใช้ในอุษาคเนย์ที่รับจากตะวันออกกลาง (เช่น เปอร์เซีย) ผ่านมาทางจีน]
2. ยุคอยุธยา สิ้นปีเก่า ขึ้นปีใหม่ แยกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนราชการ กับส่วนราษฎร ราชการ ราชสำนักอยุธยากำหนดสิ้นปีเก่า ขึ้นปีใหม่ ตามประเพณีแขกพราหมณ์อินเดีย คือ สงกรานต์ราษฎร สิ้นปีเก่า ขึ้นปีใหม่ ตามประเพณีดั้งเดิมดึกดำบรรพ์อุษาคเนย์ คือเดือนอ้าย (เดือน 1) หลังลอยกระทง (เดือน 12) ราวพฤศจิกายน-ธันวาคม (เพราะไม่รู้จักศาสนาพราหมณ์)
3. ยุคกรุงเทพฯ สิ้นปีเก่า ขึ้นปีใหม่ ยุคกรุงเทพฯ ของทางราชการมี 2 ระยะ ได้แก่ ระยะแรก 1 เมษายน ขึ้นปีใหม่ เริ่ม พ.ศ. 2432 (สมัย ร.5) ครั้งสุดท้าย เมื่อ 1 เมษายน 2483 (สมัย ร.8) ระยะหลัง 1 มกราคม ขึ้นปีใหม่ เริ่ม พ.ศ. 2484 (สมัย ร.8 มี จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี) แล้วสืบมาจนถึงปัจจุบัน ราษฎรยังคงมีประเพณีลอยกระทง เดือน 12 แล้วขึ้นปีนักษัตรใหม่เดือนอ้าย (เดือน 1) เหมือนเดิม แต่ค่อยๆ ลดความสำคัญลง จนท้ายที่สุดก็ลืม เปลี่ยนเป็นขึ้นปีใหม่ไทยตอนสงกรานต์ ตามที่ทางการบอก
ราชการสร้างสงกรานต์ปีใหม่ไทยขึ้นแทนที่เดือนอ้าย เพื่อขายการท่องเที่ยวบทความของ สุจิตต์ วงษ์เทศ http://www.matichon.co.th/news/107607
|
|
|
11064
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เศรษฐินียาสีฟันชื่อดังแจกเงินผู้สูงอายุ6พันคน-กว่า2ล้านบาท แห่ต่อแถวคิวยาวเหยียด
|
เมื่อ: เมษายน 17, 2016, 08:36:53 am
|
เศรษฐินียาสีฟันชื่อดังแจกเงินผู้สูงอายุ6พันคน-กว่า2ล้านบาท แห่ต่อแถวคิวยาวเหยียดวันที่ 16 เม.ย. ที่ลานจอดรถหน้าโรงแรมทวินโลตัส อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช นายศิริพัฒ พัฒกุล รองผวจ.นครศรีธรรมราช เป็นประธานมอบเงินผู้สูงอายุประจำปี 2559 โดยมีนางสุนันทา ลีเลิศพันธ์ ประธานกรรมการบริษัท ดอกบัวคู่ จำกัด และประธานกรรมการบริษัทโรงแรมทวินโลตัส นายจักรพรรดิ ลีเลิศพันธ์ กรรมการผู้จัดการโรงแรม พร้อมครอบครัว จัดกิจกรรมมอบเงินแก่ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่อ.ปากพนัง รวมประมาณ 6,000 คน คนละ 300 บาท เป็นเงิน 1,800,000 บาท พร้อมอาหารและผลิตภัณฑ์ดอกบัวคู่มูลค่า 2,000,000 บาท โดยผู้สูงอายุมาเป็นหมู่คณะต่างมีรอยยิ้มที่มีความสุข
งานมอบเงินผู้สูงอายุเป็นกิจกรรมที่บริษัทดอกบัวคู่และโรงแรมทวินโลตัส จัดขึ้นทุกปีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ สืบเนื่องมาจากนายบุญกิจ ลีเลิศพันธ์ อดีตเจ้าของโรงแรมที่เสียชีวิตไปแล้ว เดิมนั้นเป็นชาวอำเภอปากพนัง ได้ออกจากบ้านไปทำธุรกิจผลิตภัณฑ์ดอกบัวคู่จนประสบความสำเร็จ จึงมีความคิดที่จะคืนกำไรกลับสู่บ้านเกิด ก่อนจัดงานมอบเงินผู้สูงอายุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทุกปี หลังนายบุญกิจเสียชีวิต นางสุนันทา ภรรยาและนายจักรพรรดิ์ บุตรชาย ได้สืบทอดจัดงานมอบเงินผู้สูงอายุติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันเป็นปีที่ 21 นางสุนันทา กล่าวว่า จัดกิจกรรมดังกล่าวนี้ เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของสามีคือนายบุญกิจ ที่ให้ความสำคัญกับบ้านเกิดตลอดมา ตั้งใจว่าจะไม่ทอดทิ้งผู้สูงอายุเพราะเป็นผู้มีพระคุณของลูกหลาน เงินและสิ่งของที่มอบให้ แม้เป็นเงินเพียงสิ่งเล็กน้อย หวังว่าจะเป็นกำลังใจแก่ผู้สูงอายุให้ดำเนินชีวิตต่อไปขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1460781269
|
|
|
11065
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เพลิงโหมกุฏิเจ้าอาวาสวัดสนามจันทร์ ฉะเชิงเทรา กลางดึก คาดไฟลัดวงจร
|
เมื่อ: เมษายน 17, 2016, 08:33:26 am
|
เพลิงโหมกุฏิเจ้าอาวาสวัดสนามจันทร์ ฉะเชิงเทรา กลางดึก คาดไฟลัดวงจรไฟไหม้กุฏิเจ้าอาวาสวัดสนามจันทร์ จ.ฉะเชิงเทรา ลามศาลาการเปรียญ กลางดึก รถดับเพลิง 6 คัน ร่วมชาวบ้านกว่า 100 รุดช่วยสกัดเพลิง คาดไฟฟ้าลัดวงจร ขณะเจ้าอาวาสไม่อยู่ ไปกิจธุระตั้งแต่เช้า
เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 59 ร.ต.ท.เปรม สุทธิอุดม รอง สว.สส.สภ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ได้รับแจ้งเหตุไฟไหม้เมื่อคืนที่ผ่านมา จึงประสานรถดับเพลิงเทศบาลตำบลบ้านโพธิ์ และพื้นที่ข้างเคียงรวม 6 คัน เข้าระงับเหตุเพลิงไหม้ภายในวัดสนามจันทร์ หมู่ 1 ต.บ้านโพธิ์ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ที่เกิดเหตุพบไฟกำลังลุกไหม้กุฏิ พระครูโสภิตสุตคุณ เจ้าอาวาสวัดสนามจันทร์ และเจ้าคณะอำเภอบ้านโพธิ์ ซึ่งอยู่ติดกับศาลาการเปรียญ เจ้าหน้าที่และชาวบ้านกว่า 100 คน ช่วยกันฉีดน้ำ พร้อมทั้งหาถังตักน้ำจากแม่น้ำบางปะกง มาช่วยกันดับไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ในวงจำกัด
ทั้งนี้ มีชาวบ้านที่เข้าช่วยดับไฟได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ถูกนำตัวส่ง รพ.บ้านโพธิ์ โดยกุฏิเจ้าอาวาสถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด และขณะเกิดเหตุเจ้าอาวาสไม่อยู่วัดเนื่องจากไปทำกิจธุระตั้งแต่เช้าจากการสอบสวนผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ขณะเดินผ่านเห็นไฟกำลังลุกไหม้กุฏิ จึงรีบโทรศัพท์ตามชาวบ้านที่อยู่ข้างเคียงมาช่วยกันดับ แต่เนื่องจากลมแรงทำให้ไม่สามารถดับได้ จึงแจ้งตำรวจประสานรถดับเพลิงมาช่วย โดยสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าน่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร อีกทั้งเป็นกุฏิไม้เก่าอายุกว่า 30 ปี ทำให้เป็นเชื้อเพลิงได้อย่างดี ส่วนค่าเสียหายอยู่ระหว่างตรวจสอบ.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/606387
|
|
|
11073
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไปดู มอญเสากระโดง สรงน้ำผ่านรางไม้ไผ่ หนึ่งเดียวที่บางปะอิน
|
เมื่อ: เมษายน 16, 2016, 08:00:56 am
|
ไปดู มอญเสากระโดง สรงน้ำผ่านรางไม้ไผ่ หนึ่งเดียวที่บางปะอิน พ่อเมืองกรุงเก่าควงนายกเหล่ากาชาด ร่วมงานสงกรานต์ชาวไทยรามัญ หรือมอญเสากระโดง ที่วัดทองบ่อ ต.ขนอนหลวง อ.บางปะอิน อนุรักษ์ประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ ขบวนแห่หงส์ ธงตะขาบ ไม้ค้ำโพธิ์ การสรงน้ำผ่านรางไม้ไผ่...
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 14 เม.ย.59 ที่วัดทองบ่อ ต.ขนอนหลวง อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา นายประยูร รัตนเสนีย์ ผวจ.พระนครศรีอยุธยา และนางมีนา รัตนเสนีย์ นายกเหล่ากาชาด ร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ชาวไทยรามัญ(มอญเสากระโดง)
ทั้งนี้ ประเพณีสงกรานต์ที่วัดทองบ่อ ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชนชาวไทยรามัญแห่งนี้ เป็นการอนุรักษ์ประเพณีและขนบธรรมเนียมของชุมชนชาวไทยรามัญเก่าแก่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยชาวบ้านได้แต่งกายแบบชาวมอญทั้งชายและหญิงอย่างสวยงามมาทำบุญตักบาตรที่วัด ร่วมขบวนแห่หงส์ ธงตะขาบ ไม้ค้ำโพธิ์ ขบวนแห่พระพุทธรูป ขบวนแห่ผ้าห่มเจดีย์ แห่นก แห่ปลาขบวนแห่ผ้าห่มเจดีย์ ขบวนแห่ไม้ค้ำโพธิ์ ที่เป็นเอกลักษณ์ คือ การสรงน้ำแบบใช้รางไม้ไผ่ ของชาวไทยรามัญ ซึ่งแฝงความหมาย และมีความสำคัญต่อประเพณีสงกรานต์ของชาวมอญ อยู่คู่ชุมชนชาวไทยรามัญมานาน ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล. ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/605920
|
|
|
11074
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นทท.หนีร้อนแห่ทำบุญวัดธาตุพนม เล่นสงกรานต์หาดน้ำโขงสุดคึกคัก
|
เมื่อ: เมษายน 16, 2016, 07:58:12 am
|
นทท.หนีร้อนแห่ทำบุญวัดธาตุพนม เล่นสงกรานต์หาดน้ำโขงสุดคึกคัก วัดธาตุพนม หาดแห่น้ำโขงสุดคึกคัก โดยมีนักท่องเที่ยวหนีร้อนเดินทางมาทำบุญ เล่นน้ำสงกรานต์ พบในพื้นที่เงินหมุนเวียนสะพัดวันละหลายล้านบาท พ่อค้าแม่ค้าบางรายฟันเงินวันละแสน...
เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม บรรยากาศการท่องเที่ยวเทศกาลสงกรานต์ วันที่สอง ยังพบว่าประชาชน นักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ ยังคงเดินทางไปท่องเที่ยว ทำบุญ ตามวัดสำคัญ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัดอุณหภูมิสูง ถึง 40 องศาเซลเซียส ทำให้บรรยากาศถนนข้าวปุ้น ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม ไม่ค่อยคึกคัก เนื่องจาก ประชาชน นักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่จะหันไปเล่นน้ำในช่วงเย็น
ขณะเดียวกันกับพบว่า วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ที่ตั้งองค์พระธาตุพนม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง กลายเป็นที่สนใจ ของประชาชน นักท่องเที่ยว เดินทางไปเที่ยว ทำบุญสรงน้ำพระธาตุพนม เพื่อเป็นสิริมงคล ในวันสงกรานต์ กันคึกคัก ตั้งแต่ช่วงเช้า โดยทางวัดพระธาตุพนม ได้จัดทำรอกสรงน้ำอบ น้ำหอม เพื่อบริการประชาชน ให้สามารถชักรอก ขึ้นไปสรงน้ำ ถึงยอดองค์พระธาตุพนม เสริมความเป็นสิริมงคล ความสูงกว่า 53 เมตร สร้างความสนใจให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว ได้มีโอกาสร่วมสรงน้ำ 1 ปี มีครั้งเดียวนอกจากนี้ในเส้นทางเดียวกันยังพบว่า หาดแห่กลางแม่น้ำโขง พื้นที่ บ้านน้ำก่ำ ต.น้ำก่ำ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ถือเป็นเส้นทางเดียวกันห่างจากวัดพระธาตุพนม ประมาณ 5 กิโลเมตร กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่มีประชาชน นักท่องเที่ยว หนีร้อนไปเล่นน้ำแทนเล่นสงกรานต์สาดน้ำตามพื้นที่ต่างๆ เนื่องจากปีนี้อากาศร้อนจัดอุณหภูมิสูง 40 องศาเซลเซียส ทำให้ประชาชน นักท่องเที่ยว หันมาเที่ยวหาดแห่กลางแม่น้ำโขงแทน
โดยชาวบ้านได้พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ปรับหาดทรายกลางน้ำโขงแห้วง ช่วงหน้าแล้ง จัดทำซุ้มอาหาร บริการอาหาร เครื่องดื่ม เมนูปลาน้ำโขง นานาชนิด รวมถึง บริการอุปกรณ์เล่นน้ำ เช่าห่วงยาง บานาน่าโบท เจ็ทสกี ให้ประชาชน นักท่องเที่ยว ได้เล่นน้ำ รับประทานอาหาร ท่ามกลางธรรมชาติสองฝั่งโขง มี่แพ้บรรยากาศทะเล จนเป็นที่รู้จักของชาวบ้าน เรียกว่า ทะเลอีสานผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ยิ่งในช่วงสงกรานต์ ในแต่ละวันมีประชาชน นักท่องเที่ยว เข้ามาท่องเที่ยว วันละหลายหมื่นคน ส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว มีเงินหมุนเวียนสะพัดวันละหลายล้านบาท ส่วนยอดขายแต่ละร้าน มีเงินหมุนเวียนวันละเกือบแสนบาท ในช่วงวันสงกรานต์ ยิ่งอากาศร้อนจัด ทำให้คึกคัก มากกว่าทุกปี.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/605942
|
|
|
11075
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปชช. แห่เที่ยว 'สกายวอล์ควัดผาตากเสื้อ-เล่นน้ำหาดทรายทอง' คึกคัก.!
|
เมื่อ: เมษายน 16, 2016, 07:54:25 am
|
ปชช. แห่เที่ยว 'สกายวอล์ควัดผาตากเสื้อ-เล่นน้ำหาดทรายทอง' คึกคัก.!นทท.ใช้เวลาช่วงเทศกาลสงกรานต์ เที่ยวชมสกายวอล์ควัดผาตากเสื้อ จ.หนองคาย ทางวัดจัดระเบียบเข้าชมครั้งละ 20 คน คนละ 3-5 นาที ทั้งนี้ ปชช.ส่วนหนึ่งลงเล่นน้ำคลายร้อนบริเวณหาดทรายทอง ชายหาดน้ำโขงอย่างคึกคัก ท่ามกลางอากาศร้อนถึง 40 องศาฯ...
เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 59 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่วัดผาตากเสื้อ ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมสกายวอล์คพื้นกระจกใส และชมทัศนียภาพ พร้อมทั้งถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันตั้งแต่เช้า โดยทางวัดได้ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวลงทะเบียนก่อนเข้าชม และจัดระเบียบให้เข้าชมครั้งละไม่เกิน 20 คน ทุกคนต้องถอดรองเท้า ใส่รองเท้าพื้นฟองน้ำที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นกระจกเกิดรอยขีดข่วน และเปิดให้ชมได้คนละไม่เกิน 3-5 นาที รวมถึงขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวที่ตัวเปียกจากการเล่นน้ำไม่อนุญาตให้เข้าชม นักท่องเที่ยวให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ซึ่งตั้งแต่เปิดสกายวอล์คให้นักท่องเที่ยวได้ชมอย่างเป็นทางการช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก โดยเวลาปกติเปิดให้เข้าชมช่วงเวลา 09.30 - 16.30 น. แต่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทางวัดได้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 08.00 น. นักท่องเที่ยวจึงเดินทางมาตั้งแต่เช้า เพื่อเลี่ยงอากาศร้อนจัดในช่วงสาย ช่วงบ่ายนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมสกายวอล์คพื้นกระจกใส นักท่องเที่ยวเดินทางมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันตั้งแต่เช้า จนท.จัดระเบียบให้เข้าชมครั้งละไม่เกิน 20 คน และต้องใส่รองเท้าฟองน้ำ ป้องกันรอยขีดข่วน ส่วนบริเวณหาดทรายทอง บ้านหัวทราย ต.พานพร้าว อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ชาวหนองคายและนักท่องเที่ยวเดินทางมาเล่นน้ำคลายร้อนและเล่นน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อย่างเนืองแน่นตลอดทั้งวัน โดยมีบริการห่วงยาง เล่นเรือกล้วย และเล่นสาวน้อย หนุ่มน้อยตกน้ำ ซึ่งมีทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานมาเล่นน้ำ และวัยรุ่นหนุ่มสาวมาท่องเที่ยวเล่นน้ำ รับประทานอาหารที่มีบริการอาหารเครื่องดื่มมากกว่า 60 ร้าน เรียงรายอยู่เต็มชายหาด
ขณะที่มาตรการดูแลความปลอดภัยทาง อบต.พานพร้าวและชาวบ้านได้นำธงแดงปักเป็นสัญลักษณ์บริเวณที่มีระดับความลึกของแม่น้ำโขง ไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเล่นเสี่ยงอันตราย และจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดอยู่ที่ 40 องศาเซลเซียส ประกอบกับเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์หยุดยาวทำให้มีนักท่องเที่ยวมาเล่นน้ำโขง คลายร้อนเป็นจำนวนมาก.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/606223
|
|
|
11076
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวหนองคาย แห่เที่ยวสกายวอล์คจุดชมวิวกระจกใส คนเพียบแห่ต่อคิวแน่นแต่เช้า
|
เมื่อ: เมษายน 16, 2016, 07:49:13 am
|
ชาวหนองคาย แห่เที่ยวสกายวอล์คจุดชมวิวกระจกใส คนเพียบแห่ต่อคิวแน่นแต่เช้าผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ วันนี้ (15 เม.ย. 59) ที่วัดผาตากเสื้อ ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย ได้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมสวอล์คพื้นกระจกใส ชมทัศนียภาพและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันตั้งแต่เช้า โดยทางวัดได้ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวลงทะเบียนก่อนเข้าชม และจัดระเบียบให้เข้าชมครั้งละ ไม่เกิน 20 คน ทุกคนต้องถอดรองเท้า ใส่รองเท้าพื้นฟองน้ำที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นกระจกเกิดรอยขีดข่วน และเปิดให้ชมได้คนละไม่เกิน 3-5 นาที รวมถึงขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวที่ตัวเปียกจากการเล่นน้ำไม่อนุญาตให้เข้าชม นักท่องเที่ยวให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ซึ่งตั้งแต่เปิดสกายวอล์คให้นักท่องเที่ยวได้ชมอย่างเป็นทางการช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก โดยเวลาปกติเปิดให้เข้าชมช่วงเวลา 09.30 น. -16.30 น. แต่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทางวัดได้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 08.00 น. และก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาตั้งแต่เช้า เพื่อเลี่ยงอากาศร้อนจัดในช่วงสาย ช่วงบ่าย
นอกจากนี้ทางวัดยังได้จัดรดสรงน้ำพระพุทธรูปให้นักท่องเที่ยวได้สรงน้ำขอพรในช่วงเทศกาลสงกรานต์เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตด้วยชมคลิปได้ที่ https://youtu.be/AeYcSHlFKk8ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news/106350
|
|
|
11077
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สลดฆ่าพระวันสงกรานต์!! มรณภาพกลางป่า เผยเป็นพระนักปฏิบัติ-เพิ่งเห็นออกบิณฑบาต
|
เมื่อ: เมษายน 16, 2016, 07:45:33 am
|
สลดฆ่าพระวันสงกรานต์!! มรณภาพกลางป่า เผยเป็นพระนักปฏิบัติ-เพิ่งเห็นออกบิณฑบาตเมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 15 เม.ย. ร.ต.อ.เอกชัย ภาควัตร ร้อยเวรฯ สภ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า พบพระภิกษุมรณภาพอยู่ในป่าละเมาะข้างทาง ห่างจากถนน 344 บ้านบึง-แกลง ประมาณ 20 เมตร จึงรุดไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุ พบพระภิกษุสงฆ์นอนมรณภาพในสภาพคว่ำหน้า ใกล้กันพบบาตร จีวร ธูป เทียน ตกเกลื่อน จึงให้แพทย์ชันสูตรศพ พบที่บริเวณศีรษะถูกของแข็งตีจนก้านคอหัก คาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 2 วัน
จากการสอบถามประชาชนใกล้เคียงทราบว่า พระรูปดังกล่าวพักอาศัยอยู่ที่สำนักสงฆ์ปฏิบัติธรรมศศิญาศิริธร หมู่ที่ 1 เทศบาลเมืองบ้านบึง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เป็นพระปฏิบัติ ชอบธุดงค์พักอาศัยตามป่า และเมื่อช่วง 2 วันที่ผ่านมา ก็ยังพบพระรูปดังกล่าวบิณฑบาต ด้านนายเปา ผาครบุรี อายุ 49 ปี เป็นคนงานก่อสร้าง เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนเองได้เข้าไปเก็บผัก และได้กลิ่นโชยออกมา จึงเดินมาดู ก็พบพระมรณภาพ จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งติดตามถึงสาเหตุการมรณภาพครั้งนี้ อาจจะถูกกลุ่มวัยรุ่นที่ติดยา หวังต่อทรัพย์ และพระสงฆ์อาจจะมีการขัดขืน จึงทำร้ายร่างกาย จนกระทั่งเกิดเหตุสลดดังกล่าวก็ได้ ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1460703395
|
|
|
11078
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระเณรเฮโล เต็มท้ายกระบะ บรรทุกน้ำสาดเล่นสงกรานต์กันสนุกสนานกับชาวบ้าน
|
เมื่อ: เมษายน 16, 2016, 07:41:06 am
|
พระเณรเฮโล เต็มท้ายกระบะ บรรทุกน้ำสาดเล่นสงกรานต์กันสนุกสนานกับชาวบ้านเมื่อวันที่ 15 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการเล่นน้ำสงกรานต์ ที่ จ.พิษณุโลก โดยอำเภอรอบนอกยังคงมีประชาชนตั้งซุ้มกางเต้นท์เล่นสาดน้ำกันมากในเฉพาะตามจุดหน้าร้าน หรือในตลาดที่มีผู้คนผ่านไปมา ซึ่งจะมีวัยรุ่นหนุ่มสาวพากันเล่นสาดน้ำอย่างสนุกสนาน แต่ในพื้นที่ตำบลที่ห่างออกไปจะนิยมนั่งรถกระบะตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน
นอกจาก ประชาชนคนทั่วไปที่นั่งรถกระบะเล่นสาดน้ำกันแล้ว ยังมีพระภิกษุและสามเณรนั่งรถยนต์ปิกอัพยี่ห้ออีซูซุ ดีแม็ก ทะเบียน บม-9606 พิษณุโลก ร่วม 20 รูป มาเต็มกระหลัง โดยบรรทุกกระถังน้ำขนาดใหญ่ใส่น้ำเต็มถุง ตระเวรไปตามจุดที่มีการเล่นสาดน้ำกัน โดยขับผ่านตัวตลาดอำเภอนครไทย จ.พิษณุโลก สาดน้ำใส่ผู้เล่นสงกรานต์อย่างสนุกสนาน โดยสังเกตว่าคนขับรถกระบะดังกล่าวเป็นพระภิกษุรูปหนึ่ง ขณะจอดให้มีการสาดน้ำผู้คนที่เห็นพระภิกษุขับรถยนต์ต่างยกมือไหว้กันทุกครั้ง ก่อนจะเล่นสาดน้ำใส่สามเณรตลอดเส้นทาง จากการติดตามรถคันดังกล่าวปรากฏว่าได้ขับรถพระสามเณรไปเล่นสาดน้ำที่ตำบลหนองกระท้าวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพาเลี้ยวกลับเข้าตลาดนครไทย จากนั้นได้เลี้ยวผ่านสามแยกแยกนครไทยไปทางสายนครไทย-ชาติตระการ โดยใช้ความเร็วมากพอสมควร และไม่คำนึงถึงสามเณรที่นั่งอยู่กระบะเต็มท้าย กระทั่งผ่านมาถึงวัดบ้านพร้าว รถเลี้ยวเข้าไปจอดภายในวัด ก่อนสามเณรจะลงจากรถทันที เพราะมีพี่เลี้ยงถือไม้เรียวมาควบคุม ให้กลับไปยังที่พัก จึงทำให้ทราบว่าเป็นพระและสามเณรจากวัดบ้านพร้าว
จากการตรวจสอบ พบว่าที่วัดบ้านพร้าว มีโครงการการบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณรเฉลิมพระเกียรติ ระหว่างวันที่ 1-30 เมษายน ซึ่งวัดดังกล่าวเป็นวัดเจ้าคณะอำเภอนครไทย โดยมีพระครูพิบูลธรรมวงศ์ เจ้าคณะอำเภอนครไทย เจ้าอาวาสวัดบ้านพร้าว โดยมีการจัดงานฉลองตลอดทั้งวันทั้งคืนขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1460711558
|
|
|
|