บทสวดบทนี้ เมื่อก่อนตอนฉันเป็นสามเณร ที่ไปร่ำเรียน กับ พระมหาประทีป อุตตมปัญโญ ที่เกาะหาดทรายแก้ว ตอนนั้นเชื่อมั่นในบทสวด เหล่านี้มาก คือเวลาเกิดตกใจ หรือ อะไรก็ตาม จิตตก ปากจะต้องโพล่งออกว่า สุญญตาพุทโธ ขนาดฉันโดนผีหลอกในป่าช้า นึกอะไรไม่ออก ก็ สุญญตาพุทโธ
มีทั้งหมด 7 ข้อ ตามที่ด้านบน ลงไว้นั่นแหละ สมัยนั้นมีความศรัทธา ทำแผ่นพับแจก ในเมืองสงขลาเลย คือเวลาไปบิณฑบาตร ไปเทศน์ เที่ยว สวด อะไรก็ตาม จะมีแผ่นพับนี้ติดย่ามไปประมาณ 50 แผ่น สมัยนั้นจากเขาทำที่โรงพิมพ์ ใบละ 1 บาท 2 หน้า น้อยกว่าถ่ายเอกสารบาทหนึ่ง แต่ตัวหนังสือ สวยคมชัด เป็นตัวหนังสือสีน้ำเงิน เหมือนซองผ้าป่า กฐิน นั่นแหละ
สมัยนั้นพอทำออกไปแจก โดนพระอาจารย์สงวน ตำหนิ ว่า ไม่ขออนุญาต ก่อนไปทำแจก ส่วนตัวตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าทาง ธรรมสถานหาดทรายแก้ว หวง นะ ก็เลยไม่ได้ขออนุญาต ก็เลยยุติการพิมพ์แจกตั้งแต่นั้นมา
บทสวดนี้ ฉันสวดท่อง อย่างแม่นยำ เพราะที่ สำนักนี้ เขาจะสวดหลังทำวัตรเช้า และ เย็นก่อนจะกราบลาพระหรือก่อนฟังเทศน์ บางครั้งก็ก่อนฉันอาหาร
มันเป็นส่วนหนึ่ง ที่เพิ่มศรัทธาในการออกจาริกสมัยนั้นด้วย ประกอบกับศึกษา ธรรมวิจารณ์ นธ.เอก อารมณ์ กรรมฐานมันสูงขึ้น แต่ พอจาริกจริง ๆ นั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันเหมือนแม่แบบเตือนสติอารมณ์เท่านั้น แต่ความเป็นจริง หลักของสุญญตา นั้นอยู่ที่การวางสักกายทิฏฐิ นะ คือ เห็นว่ากายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา มันก็จะเห็นว่า มันว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน แต่สุดท้ายตรงนี้ไม่ใช่ที่สิ้นสุดกิเลส มันเป็นเพียงจุดสตาร์ท เท่านั้นเพราะพิจารณา ให้ดี ถ้าเทียบพระอริยะ ก็แค่ พระโสดาปัตติมรรคเท่านั้น ไม่ใช่แก่น ยิ่งพอมาฝึกกรรมฐาน และ เจริญ สุญญตาวิหารสมาบัติ ด้วย มันไม่ต่างอะไรกับ ผลสมาบัติ เลย พอได้ปฏิบัติในกรรมฐาน จึงรู้ว่า ไม่ใช่ที่สุด แห่ง วิมุตติ หรือ มรรค มันเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น แม้การเข้าเป็นจิตแห่งพุทธะ ด้วยก็ตาม ก็ลักษณะเดียวกัน นี่ ปัญญา มันมองเห็นตามความเป็นจริง ที่ซับซ้อนกว่า ตรงนี้มาก ในขั้นละอุปาทาน
