ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พบโบสถ์ร้างที่ลาว เชื่อ ร.๕ ของไทยทรงสร้าง  (อ่าน 907 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28420
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

พบโบสถ์ร้างที่เมืองหลวงพระบางสปป.ลาว เชื่อว่า ล้นเกล้าฯ ร.๕ ของไทยทรงสร้างขึ้น
เรื่อง/ภาพ แล่ม จันท์พิศาโล

เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๗ ผมได้ไปทัวร์ เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น "มรดกโลก" จากองค์การยูเนสโก สหประชาชาติ

หลังจากที่ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง (ซึ่งเดิมเป็นพระราชวังเจ้ามหาชีวิต) แล้ว ไกด์ได้พาขึ้นไปสักการะ "พระธาตุพูสี" ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งตรงกันข้ามกับพิพิธภัณฑ์ สูงประมาณ ๑๕๐ เมตร มีบันไดขึ้นไปบนยอดเขา ๓๒๘ ขั้น ผมไม่ได้ขึ้นไปด้วย ขอนั่งรอคณะที่ไปด้วยกันตรงเชิงบันได้ดีกว่า

ขณะที่นั่งรออยู่นั้น ได้พบเห็น "โบสถ์" หลังหนึ่งตรงเชิงเขา มีสภาพเหมือนกับ "โบสถ์ร้าง" จึงเดินเข้าไปหาก็เห็น "แผ่นป้ายกระดาษ" เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "วัดป่าฮวก มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขียนขึ้นเมื่อ ค.ศ.1860 (พ.ศ.2403) เป็นภาพอันงดงามยอดเยี่ยมที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวในเมืองหลวงพระบาง "มรดกโลก" และแห่งเดียวในโลก"...ผมจึงเดินเข้าไปดูภายในโบสถ์หลังนี้ทันที


 st12 st12 st12

ภายในโบสถ์ไม่มีใครอยู่เลย สิ่งของต่างๆ ตั้งระเกะระกะ กลางโบสถ์มีพระพุทธรูป ๓ องค์ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี พุทธลักษณะงดงามมาก แต่ขาดการดูแล...นั่งลงกราบองค์พระพุทธปฏิมา พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นแผ่นกระดาษเขียนเป็นภาษาไทย (ลายมือของพี่น้องชาวลาว) พออ่านได้ว่า..."วัดป่าฮวก สร้างโดย รัชกาลที่ ๕ ของไทย เชิญร่วมบริจาค เพื่อซ่อมแซมวัด ขอบคุณ"

ไม่คาดคิดเลยว่าจะมาพบสิ่งนี้...จะสอบถามเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลโบสถ์หลังนี้ ก็ไม่อยู่ ไม่ทราบว่าไปไหน...อยากทราบประวัติของวัดนี้มากไปกว่านี้ก็ทำไม่ได้...หากเป็นวัดที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ของไทยไปทรงสร้างไว้จริง ก็ไม่น่าจะทอดทิ้งให้รกร้างอย่างนี้เลย...สำรวจตรวจสอบอยู่นานพอสมควรก็หมดเวลา...คณะทัวร์ลงมาจาก "เขาพูสี" แล้ว...จึงจำต้องออกจากโบสถ์ (ร้าง) แห่งนี้ไปด้วยความสงสัยที่ยังค้างคาของที่มาโบสถ์หลังนี้



จากการค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ พบว่า "วัดป่าฮวก" หรือ "วัดป่ารวก" มีบทความของผู้ใช้ชื่อว่า "bangsai" เขียนไว้เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๐๑๑...ตอนหนึ่งว่า

ได้ไปพบเห็นโบสถ์หลังนี้ด้วยความบังเอิญที่ไม่ได้เดินทางขึ้นเขาพูสี...และได้พบกับผู้ดูแลโบสถ์หลังนี้ คือ ท่านสมบุน บุนทะวง เป็นชาวหลวงพระบาง ผู้ได้รับพระราชทานทุนหลวงจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมกับเพื่อนอีก ๔ คน ให้ไปเรียนที่คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่องการอนุรักษ์งานโบราณโดยตรง เมื่อเรียนจบแล้ว ท่านสมบุนได้กลับมารับราชการที่กรมศิลปากรหลวงพระบาง ซึ่งทั้งกรมมีเจ้าหน้าที่ด้านอนุรักษ์เพียง ๒ คน ไม่มีงบประมาณจากรัฐทำการอนุรักษ์ ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากต่างประเทศ แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ปัจจุบันท่านสมบุนได้ใช้ฝีมือตัวเอง ผลิตงานเขียนภาพขายแล้วเอารายได้มาทำกองทุนเพื่ออนุรักษ์โบสถ์หลังนี้ต่อไป โดยเฉพาะโบสถ์หลังนี้ ท่านสมบุนจะมานั่งที่โบสถ์นี้หลังจากเลิกงานราชการแล้ว และวันหยุดเท่านั้น วันเวลาอื่นๆ โบสถ์จึงไม่เปิด และท่านเท่านั้นที่ถือกุญแจเปิดแต่เพียงผู้เดียว

ท่านสมบุน เล่าว่า แต่ก่อนสมัยปฏิวัติ ที่นี่ใช้เก็บ "ผูกคัมภีร์" ต่างๆ ของโบราณเต็มไปหมด เมื่อปลดปล่อยแล้วก็ย้ายเอาไปไว้ในพระราชวัง ที่นี่ก็ทิ้งร้างไปเลย...ท่านไม่ทราบว่า สมเด็จพระเทพฯ ทรงทราบเรื่องวัดนี้ได้อย่างไร



โบสถ์หลังนี้ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ก็เคยเสด็จมาแล้วหนหนึ่ง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ก็ได้เสด็จมาเช่นกัน รวมทั้งเจ้านายไทยอีกหลายท่าน โดยท่านสมบุนเป็นผู้ทำหน้าที่ให้การต้อนรับ

ท่านสมบุน กล่าวว่า เมื่อเรียนจบแล้วก็มาร่วมกับช่างกรมศิลปากรไทย ฟื้นฟูรูปวาดฝาผนังในโบสถ์นี้ ที่ชำรุดมากมาย บางรูปแตะไม่ได้เลย เป็นฝุ่นผงร่วงปลิวลงมา ต้องใช้วิชาความรู้ และความพยายามมาก ใช้เวลามากกว่าจะฟื้นคืนมาได้เท่าที่เห็น ซึ่งที่เสียหายไปไม่สามารถซ่อมได้ก็มีเยอะ...ภาพเหล่านี้นอกจากเป็นพุทธประวัติที่พบเห็นทั่วไปแล้ว  หลายภาพสะท้อนวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น และสภาพธรรมชาติสมัยนั้น เช่น ความสมบูรณ์ของป่า มีสัตว์ป่ามากมาย มีนกหลายชนิด ซึ่งปัจจุบันหายไปหมดแล้ว ฯลฯ

ท่านสมบุน กล่าวด้วยว่า การบูรณะครั้งที่ผ่านมานั้น ได้ปูพื้นหน้าโบสถ์ ซ่อมฝ้าเพดานภายในโบสถ์ เสาหน้าเอนเอียง พื้นโบสถ์และหลังคาบางส่วนยังต้องการซ่อมแซมอีกมาก โดยเฉพาะหลังคา ภาพภายในโบสถ์ และบริเวณรอบๆ วัด

วัดป่าฮวก สร้างเคียงคู่กับ พระธาตุพูสี ขนานถนนหน้าพระราชวัง หันหน้าไปทางทิศเหนือ ดังนั้นหากไปยืนหน้าโบสถ์มองไปทางทิศเหนือ ขวามือก็เป็นภูเขา มีร่องรอยการสร้างกุฏิพระ เดิมเป็น "ป่าไผ่รวก" หรือ "ไม้ฮวก" อันเป็นที่มาของชื่อวัดแห่งนี้



ท่านสมบุน กล่าวว่า ในอนาคตหากเป็นไปได้ จะสร้างกุฏิพระขึ้นมาในสถานที่เดิม เพื่อจะได้มีพระมาจำพรรษา และจะได้ดูแลโบสถ์อันสำคัญแห่งนี้ด้วย

"ผมสำนึกในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพฯ ที่พระราชทานทุนหลวงให้ไปเรียนที่เชียงใหม่ ทุกวันนี้หากผมจะใช้ความรู้ไปหากินวาดรูปขายที่ตลาดกลางคืนหลวงพระบาง ผมก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่สำนึกผมนั้นต้องการสนองเจตนาของสมเด็จพระเทพฯ มาวาดรูปที่โบสถ์นี้ขาย เพื่อเอาเงินเข้ากองทุนบูรณะโบสถ์หลังนี้ต่อไป" ท่านสมบุนกล่าว


 :25: :25: :25:

จากบทความนี้ ผมจึงขอถ่ายทอดถึงทางราชการไทย ถึงท่านผู้มีหน้าที่ในการดูแลรักษาโบราณสถาน ที่เป็นผลงานการสร้างขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ไทย ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศ หรือต่างแดนก็ตาม

หากเรื่อง "วัดป่าฮวก" เมืองหลวงพระบาง เป็นเรื่องจริงที่ว่า ล้นเกล้าฯ ร.๕ ทรงสร้างขึ้น ก็สมควรที่ทางราชการไทยจะได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยเหลือ กรมศิลปากรเมืองหลวงพระบาง บูรณปฏิสังขรณ์ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เพื่อให้สมกับพระเกียรติยศที่ ล้นเกล้าฯ ร.๕ ของไทย ที่ทรงสร้างวัดนี้ขึ้นใน เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140202/178047.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ