ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 561 562 [563] 564 565 ... 708
22481  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มมร.สร้าง "ระฆังอโศกพุทธชยันตี" เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 04:26:49 am

มมร.สร้าง "ระฆังอโศกพุทธชยันตี"

พระครูปรีชาธรรมวิธาน รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) เปิดเผยว่า ตามที่มหามกุฏฯ ได้จัดพิธีเททองหล่อระฆังอโศกพุทธชยันตี ตามดำริของสมเด็จพระญาณวโรดม อดีตอธิการบดีและอุปนายกสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏฯ มีสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ นายกสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏฯ เป็นประธานในพิธีเมื่อวันที่ 7 พ.ย.

การจัดสร้างระฆังดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามดำริของสมเด็จพระญาณวโรดม ทั้งยังเป็นการจัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ เฉลิมฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเพื่อเป็นการประกาศความรุ่งเรือง มั่นคงแห่งพระพุทธศาสนา

     ซึ่งระฆังดังกล่าวเป็นระฆังขนาดใหญ่สูง 180 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 100 เซนติเมตร
     ใช้ทองแดง และเงินในการสร้าง เพื่อต้องการให้เกิดความดังกังวานมากที่สุด
     ทั้งนี้ระฆังดังกล่าวจะมีการสร้างเป็นศิลปะสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีรูปปั้นสิงห์อโศกอยู่ด้านบนระฆัง
     โดยน้ำหนักของระฆังนี้จะมีน้ำหนักประมาณ 2 ตัน ใช้งบประมาณในการจัดสร้างประมาณ 1.5 ล้านบาท




   
    แม้ระฆังอโศกพุทธชยันตี จะไม่ใช่ระฆังที่ใหญ่ที่สุด
    แต่เชื่อว่าจะเป็นระฆังที่เมื่อตีแล้วมีความดังก้องกังวานมาก
    เพราะทางมมร.ได้มีการตั้งทีมศึกษาเพื่อให้ระฆังมีความดังกังวานมากที่สุด
    โดยใช้เวลาศึกษาอยู่ถึง 2 ปี
   
    ทั้งนี้คาดว่าในการจัดสร้างระฆังดังกล่าวจะแล้วเสร็จประมาณเดือนธ.ค.นี้
    จากนั้นจะนำไปประดิษฐานยังหอนาฬิกาน้ำ มหามกุฏฯ ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ต่อไป



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNekl5TVRFMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHhNUzB5TWc9PQ==
http://upload.wikimedia.org/,http://www.tsa-bhu.org/
22482  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดเผยรูปร่างลักษณะ "สมองไอน์สไตน์" ผิดแผกแตกต่างกับของ..มนุษย์ส่วนใหญ่ เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 04:17:48 am


เปิดเผยรูปร่างลักษณะ "สมองไอน์สไตน์"
ผิดแผกแตกต่างกับของ..มนุษย์ส่วนใหญ่

อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมหาวิทยาลัยรัฐฟลอริดา อเมริกา เพิ่งเปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ไอน์สไตน์นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ ผู้มีชื่อเสียงของโลก มีมันสมองต่างกับมนุษย์ส่วนใหญ่ สติปัญญาของเขาถึงได้เลอเลิศ


ศาสตราจารย์ดีน ฟอล์ค อาจารย์วิชามานุษยวิทยากับคณะกล่าวเปิดเผย ลักษณะสมองของไอน์สไตน์แก่โลกเป็นครั้งแรก หลังจากการศึกษาภาพถ่ายมันสมองไอน์สไตน์ ที่เพิ่งค้นพบ 14 รูป และเปรียบเทียบกับสมองคนปกติ 85 คน

“แม้ว่าขนาดรวมทั้งหมดและรูปร่างของ 2 ด้านไม่เท่ากันตามอย่างปกติ แต่สมองส่วนข้างกระหม่อม ส่วนที่เกี่ยวกับความรู้สึกที่รับเข้ามาจากผิวหนังและเนื้อเยื่อชั้นลึกส่วนด้านกระหม่อม ส่วนด้านกลีบหน้าผากนั้น นับว่าแปลกเป็นพิเศษ” อาจารย์ดีนให้ความเห็นว่า “มันอาจจะเป็นรากฐานทางประสาทวิทยาในความสามารถทางด้านการคำนวณของเขา”

เมื่อไอน์์สไตน์ถึงแก่กรรมลง เมื่อ พ.ศ. 2498 มันสมองของเขาถูกนำออกมานอกร่างและถูกถ่ายภาพไว้หลายแง่หลายมุม แต่รูปถ่ายเหล่านั้นส่วนใหญ่ได้สูญหายไปนานเกือบ 55 ปี ส่วนรูปถ่ายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แพทย์และสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐฯ.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/307772
22483  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง..จะไปไหนกันดี.? เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 01:20:36 pm


อัปโหลดโดย Khamphay Soudaly เมื่อ 26 ก.ย. 2009



อัปโหลดโดย TheThawach เมื่อ 31 ต.ค. 2009
22484  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ฮือฮา.! "รูปปั้นจระเข้..ล้อมโบสถ์"...สุดวิจิตรอลังการ (ชมภาพและคลิป) เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 01:15:44 pm


อัปโหลดโดย numkranum เมื่อ 10 ต.ค. 2011


     MV เพลงนี้ถ่ายที่วัดครับ ผมชอบเป็นการส่วนตัว
     กิจกรรมบุญที่ผมทำเป็นประจำ เวลาไปวัดก็คือ หยอดเหรียญใส่บาตรน้อย และก็ให้อาหารปลา
     .......ใช่แล้วครับ...MV นี้ มีกิจกรรมที่ผมชอบอยู่ครบ


22485  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สงสัย.! แบงก์ไม่ยอมรับฝากเงิน "เหรียญสลึงห้าสิบสตางค์" เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 12:55:59 pm


สงสัย.! แบงก์ไม่ยอมรับฝากเงิน "เหรียญสลึงห้าสิบสตางค์"

ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมธนาคารต่าง ๆ ถึงนิยมรับฝากเงินเฉพาะที่เป็นธนบัตร ส่วนเหรียญต่าง ๆ ไมว่าเหรียญห้า เหรียญสิบ เหรียญห้าสิบสตางค์ หรือเหรียญสลึง ที่ชาวบ้านเก็บรวบรวมได้มากมายจำนวนหนึ่งนำมาฝากกับธนาคาร
    ซึ่งธนาคารก็ยินดีรับฝาก แต่ต้องคิดค่านับสตางค์ 
    ดูเหมือนว่าค่าของเหรียญต่าง ๆ จะมีค่าลดลงเมื่อนำไปฝากกับธนาคาร
    มีปัญหาเรื่องนำเหรียญไปฝากธนาคารเรื่องหนึ่งที่มีผู้ร้องเรียนมาว่า


ดิฉันได้เก็บเหรียญยี่ห้าสตางค์และห้าสิบสตางค์ไว้จำนวนมากพอสมควร นำใส่ถุงเพื่อไปฝากธนาคารพร้อมกับธนบัตรที่ธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ในห้างแห่งหนึ่งย่านลำลูกกา
     ปรากฏว่า พนักงานแบงก์ปฏิเสธที่จะรับฝากเหรียญ รับฝากแต่ธนบัตร
     ซึ่งพนักงานแนะนำดิฉันให้ไปแลกกับร้านเซเว่นแทน
     ทำให้ดิฉันสงสัยว่า เป็นนโยบายของธนาคารทุกแห่งหรือเปล่า
     ที่ไม่ยอมรับฝากเหรียญสลึงและห้าสิบสตางค์

     อยากให้กระทรวงการคลังช่วยชี้แจงด้วยค่ะ”


ปัญหาดังกล่าวนี้ ไม่รู้ว่าเป็นนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือไม่ ถ้าเป็นนโยบายแล้วก็ควรให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งทั่วประเทศ ติดประกาศบอกไว้ที่ธนาคาร ชาวบ้านจะได้ไม่เสียเวลาเก็บเงินที่เป็นเหรียญต่าง ๆ ให้เสียเวลา

   เรื่องนี้มีผู้แสดงความเห็นไว้หลากหลายในเชิง "ตำหนิแบงค์และเจ้าหน้าที่แบงค์บางท่าน" ตัวอย่างเช่น

     ความเห็นคุณTongchai Wattanasareechai
     ถ้าธนาคารปฎิเสธก็ถือว่าผิดกฎหมาย เพราะว่าเป็นเงินที่ใช้ได้ตามกฎหมาย
     แถมเป็นการหมิ่นเบี้องสูง เนื่องจากเป็นเงินที่สามรถใช้ได้ตาม พรบ.เงินตรา อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
     เห็นว่าถ้าปฏิเสธก็ควรแจ้งความดำเนินคดีเพื่อเป็นกรณีตัวอย่างไปเลยครับ


     ความเห็นคุณPongsak Puttabut
     ที่ธนาคารกรุงไทยสาขาย่อยเพชรบูรณ์ เวลาที่ลูกชายเอาเงินที่ใส่กระปุกไปฝากธนาคาร
     เขาบอกว่า ต้องเสียค่านับเงินเหรียญ 30 บาท
     ลูกชาย ป.3 บอกว่าพ่อหนูต้องเสียเงินด้วยนะเวลาไปฝากเงินที่ธนาคารกรุงไทย
     จึงอยากจะถามเหมือนกันว่าเป็น นโยบายของธนาคารกรุงไทยหรือที่ต้องเก็บเงินค่านับเหรียญของเด็กนักเรียนที่นำไปฝากเงินกับธนาคารกรุงไทย จนลูกชายบอกว่าเอามาแลกเงินเป็นแบงค์กับพ่อแล้วเอาไปฝากที่ธนาคารอื่นดีกว่า


     อ่านความเห็นอื่นๆได้ที่ http://www.dailynews.co.th/help/161244


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.dailynews.co.th/help/161244
22486  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "จักรยานแบ็คแพ็ค"...หนัก 9 กิโลกรัม..พับเก็บ 2 นาที เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 12:34:30 pm


ดัตช์สุดล้ำคิดค้นจักรยานแบ็คแพ็ค

บริษัทโคกา ในเนเธอร์แลนด์ คิดค้นจักรยานเสือภูเขาสามารถพับเป็นเป้สะพายหลังได้

เชื่อได้ว่าหนึ่งในปัญหาโลกแตกสำหรับบรรดา “นักปั่น” ทั้งหลายก็คือ การ “พับเก็บ” จักรยาน โดยเฉพาะหากต้องขึ้นรถโดยสารหรือเข้าไปในอาคารสถานต่างๆ


แม้ปัจจุบันจะมีการผลิตจักรยานชนิด “พับได้” ทว่าปัญหาที่ตามมาก็คือ เมื่อพับแล้วก็ยังคงต้อง “แบก” จักรยานอยู่ดี ซึ่งแต่ละคันนั้นก็ใช่ว่าจะมีน้ำหนักน้อยๆ งานนี้ บริษัท โคกา ของเนเธอร์แลนด์ จึงตัดสินใจผุด “เบอร์มอนช์” จักรยานสุดล้ำที่มีคุณสมบัติพิเศษทำหน้าที่เป็นกระเป๋าและจักรยานออลอินวัน

    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะเบอร์มอนช์สามารถแปลงสภาพเป็นกระเป๋าได้ภายใน 2 นาที
    แถมมีน้ำหนักเบาหวิวเพียง 9 กิโลกรัม

    เรียกได้ว่า พอถึงจุดหมายปลายทางก็สามารถพับเก็บและนำไปช็อปปิ้ง
    หรือเดินเล่นได้อย่างสบายใจเลยทีเดียว

ด้านผู้ผลิต เปิดเผยว่า แม้จักรยานดังกล่าวจะสามารถนำไปใช้งานได้ทั่วไป ทว่าวัตถุประสงค์หลักนั้นคือมีไว้สำหรับบรรดานักปีนเขาที่ไม่ต้องการหรือไม่มีแรงเดินลงเขานั่นเอง
     “นักปีนเขามักเผชิญปัญหาข้อเท้าและเข่าเสื่อม เพราะเวลาเดินลงเขานั้น
      ข้อเท้าต้องแบกรับน้ำหนักมากกว่าน้ำหนักตัวหลายเท่า”


      ทั้งนี้บริษัทได้ตั้งราคาจำหน่ายไว้ 1,200 ปอนด์ (ราว 6 หมื่นบาท)


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/รอบโลก/189651/ดัตช์สุดล้ำคิดค้นจักรยานแบ็คแพ็ค
22487  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: พุทธศาสนิกชน..ร่วมงาน "ห่มผ้าแดง" วัดสระเกศฯ เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 12:25:00 pm


เปิดพิธีห่มผ้าแดงองค์เจดีย์ รับงานวัดภูเขาทอง 24-30 พ.ย.

เริ่มแล้วเทศกาลประจำปี นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ วัดสระเกศฯ หลังพิธีอัญเชิญผ้าแดงห่มบรมบรรพตหรือภูเขาทอง พุทธศาสนิกชนร่วมขบวนแห่ผ้าแดงยาวกว่า 1 กิโลเมตร เตรียมงานวัดประจำปี 24-30 พ.ย.นี้...

เมื่อวันที่ 22 พ.ย. หลังจากที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้มีพิธีอัญเชิญผ้าแดงห่มบรมบรรพต หรือภูเขาทอง เนื่องในงานเทศกาลประจำปี นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ วัดสระเกศฯ เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีพุทธศาสนิกชนมาร่วมงานจำนวนมาก จนทำให้มีพุทธศาสนิกชนร่วมขบวนแห่ผ้าแดงมีความยาวมากกว่า 1 กิโลเมตร จากนั้นได้มีการเคลื่อนขบวนแห่ผ้าแดงไปรอบวัดสระเกศฯ ก่อนที่จะมีการเคลื่อนขบวนเข้ามาภายในวัดด้านหน้าภูเขาทอง เพื่อทำพิธีเปิดเทศกาลประจำปี นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ วัดสระเกศฯ อย่างเป็นทางการ


โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กล่าวว่า พิธีอัญเชิญผ้าแดงห่มภูเขาทอง เป็นประเพณีของวัดสระเกศฯ ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่อดีต ถือว่าเป็นการสักการบูชาพระพุทธเจ้า ซึ่งการได้มีโอกาสร่วมแห่ผ้าแดงนี้จะถือว่าได้บุญกุศลอย่างยิ่ง และขอให้พุทธศาสนิกชนยึดมั่นในพระพุทธศาสนา ชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือว่าเป็น 3 สถาบันหลักของประเทศไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้ พระพรหมสิทธิ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ได้นำขบวนแห่ผ้าแดงขึ้นไปบนยอดภูเขาทองเพื่อทำพิธีห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์ ซึ่งภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระสงฆ์ นำประทักษิณรอบองค์พระเจดีย์ 3 รอบ ถวายเครื่องสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ประจำทิศทั้ง 8 จากนั้นกล่าวคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และอัญเชิญผ้าแดงขึ้นห่มองค์พระเจดีย์ พระสงฆ์ เจริญชัยมงคลคาถา และกล่าวคำลาเครื่องสักการะ ก่อนที่พุทธศาสนิกชนรับเครื่องสักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นอันเสร็จพิธี


     
     ด้าน พระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ กล่าวว่า
     จะมีการห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์เป็นเวลา 10 วัน คือตั้งแต่วันที่ 21-30 พ.ย.นี้
     ขณะเดียวกันตั้งแต่วันที่ 24-30 พ.ย. จะมีงานวัดสระเกศฯ หรืองานวัดภูเขาทอง ที่จัดเป็นประจำทุกปี เนื่องในงานเทศกาลประจำปี นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ


     นอกจากนี้ภายในงานยังจะมีการแสดงจากดาราศิลปิน การประกวดร้องเพลงลูกทุ่งภูเขาทองและเปิดตัวศิลปินส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ของสำนักส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มาร้องเพลง “มหัศจรรย์แห่งรัก” ซึ่งแต่งขึ้นเองโดยสำนักส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ฯ ด้วย.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/308007
22488  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระมหาเจดีย์ชเวดากอง "บริโภคเจดีย์พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์" เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 12:16:06 pm


พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

ช่วงนี้ผมเดินทางไปประเทศพม่าค่อนข้างถี่มากครับ  ทุกครั้งที่ไปก็จะต้องจัดเวลาให้ได้ไป กราบพระมหาเจดีย์ชเวดากองทุกครั้ง   เพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิต  วันนี้จึงอยากเล่า เรื่องราวความเป็นมาของพระมหาเจดีย์นี้ให้ท่านได้ฟังครับ

พระมหาเจดีย์นี้มีตำนานเล่าไว้ย้อนไปถึงสมัยพุทธกาล ว่าได้มีพ่อค้าสองพี่น้องนามว่าตผุสสะและภัลลิกะ  เดินทางจาก เมืองโอกกะละหรืออีกชื่อหนึ่งว่า เมืองอสิตันชนะ ซึ่งปัจจุบันคือเมืองย่างกุ้งหรือยังกอง ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปค้าขายเป็น ขบวนคาราวานที่ประเทศอินเดีย

ระหว่างการเดินทางได้พบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ โคนต้นพระศรีมหาโพธิ ขณะนั้นพระองค์เพิ่งจะตรัสรู้ผ่านไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา พ่อค้าทั้งสองพี่น้องนั้นเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงมีพระราศรีผุดผ่องน่าเลื่อมใส  จึงใคร่ที่จะถวายภัตตาหาร 

ขณะนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ทรงมีเครื่องบริขารแต่อย่างใด แม้แต่บาตรที่จะรับถวายภัตตาหารก็ตาม ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ที่เป็นผู้เชิญเท้าม้ากัณฑกะทั้งสี่นำเสด็จเจ้าชายสิททัตถะ ออกจากวัง  จึงได้นำบาตรมาถวาย 4 ใบ

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอธิษฐานให้บาตรทั้งสี่นั้นรวมเป็นหนึ่งเดียว และทรงใช้บาตรนั้นรับถวายข้าวสัตตูก้อนสัตตูผง จากนายวานิช สองพี่น้องจึงทำให้ทั้งตผุสสะและภัลลิกะเป็นอุบาสกคู่แรกในพระพุทธศาสนา

เมื่อเสวยเสร็จแล้ว  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ทรงใช้พระหัตถ์ขวายกขึ้นลูบพระเศียร ได้เส้นพระเกศาติดมา 8 เส้น  จึงประทานให้กับนายวานิชคู่นั้น
    ในระหว่างการเดินทางกลับ บ้านเมืองของตน  ได้ผ่านเมืองอเชตตะที่ตั้งอยู่กลางทาง
     พระราชาแห่งเมืองอะเชตตะทรงทราบความจึงขอเส้น พระเกศาไป 2 เส้น
     ครั้นเมื่อลงเรือสำเภาข้ามทะเลกลับเมืองโอกาละ (พม่า)
     พญานาคในมหาสมุทรนั้นก็ขอไปอีก 2 เส้น
    เมื่อถึงเมืองโอกาละจึงได้นำขึ้นถวายพระเจ้าโอกกะละปา


ด้วยความช่วยเหลือของพระอินทร์  เทพเจ้าสูงสุดในพระพุทธศาสนา  รองจากสมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า  ได้ช่วยชี้แนะสถานที่ที่จะประดิษฐานเส้นพระเกศานั้น  นั่นคือบนยอดเนิน เขาเสนคุตตะระอันตั้งอยู่นอกประตูเมืองโอกกะละ พระเจ้าโอกกะละปาได้รับสั่งให้ขุดหลุมใหญ่เป็นกรุเพื่อบรรจุเส้นพระเกศา
    และได้เกิดอัศจรรย์ บันดาลให้พบบริขารของพระอดีตพุทธเจ้าทั้งสามองค์ เรียกว่าบริโภคเจดีย์
     คือ ของพระอดีตพุทธเจ้ากกุสันโธ พระอดีตพุทธเจ้าโกนาคม พระอดีตพุทธเจ้ามหากัสสป
     ได้แก่ สบง หม้อน้ำ และธารพระกรหรือไม้เท้า



    เล่ามาถึงตอนนี้ ผมขอขยายความสักนิดเรื่องการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ของคนโบราณว่า
     นิยมขุดเป็นหลุมขนาดใหญ่ กรุภายในหลุมโดยรอบด้วยหินทราย หรือศิลาแลง หรืออิฐ
     เมื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงไปเเล้ว จึงนำของมีค่าและเครื่องพุทธบูชานานาประการ ใส่ตามลงไป
     แล้วจึงปิดปากหลุมด้วยแผ่นหินขนาดใหญ่และหนา เรียกหลุมนั้นว่า "กรุ"
     จากนั้นจึงก่อพระเจดีย์สวมทับลงเหนือกรุนั้น เพื่อมิให้ผู้ใดมาขุดหรือทำอันตรายได้


     คติดังกล่าวนี้เพิ่งมาเปลี่ยนแปลงไปเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง เมื่อคนปัจจุบันไปยึดติดกับเปลือก มากกว่าแก่น คิดกันไปเองว่าพระบรมสารีริกธาตุเป็นของสูง ต้องอัญเชิญไว้เฉพาะในที่สูงอย่างเดียว
     โดยมองคำว่า "ของสูง" เป็นเรื่องของ "ความสูง" เป็นมุมมองและการตีความหมายที่ผิดแผกไปจากของคนโบราณอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่คนโบราณให้ความสำคัญทาง "นามธรรม" แต่คนปัจจุบัน กลับไปมองทาง "รูปธรรม" มากกว่า 


     ดังนั้น การประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในปัจจุบัน จึงนิยมนำขึ้นไว้บนยอดสูงสุดของพระเจดีย์
     หรือบนยอดพระเศียรของพระพุทธรูป หรือบน ยอดสันหลังคาโบสถ์ 
    ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่ไม่มีความมั่นคงเลย หากวันใดเกิดอันตรายขึ้นกับสถานที่นั้นๆ 
    เช่นหักพังลงมา ย่อมที่จะต้องพังลงจากบนลงล่างเสมอ
    พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุไว้ ย่อมที่จะต้องเป็นอันตรายไปอย่างแน่นอน


    กลับมาที่พระเจ้าโอกกะละปาอีกครั้งนะครับ....เมื่อโปรดให้บรรจุเส้นพระเกศาลงในกรุนั้น
    ก็บังเกิดอัศจรรย์บันดาลอีกครั้งให้เส้นพระเกศาทั้งหมด กลับคืนมารวมกันเป็น 8 เส้นตามเดิม 
    การบรรจุกรุในครั้งนั้นจึงได้นำบริขารทั้งสามสิ่งที่ขุดพบลงบรรจุร่วมกัน
    จากนั้นจึงโปรดให้ก่อพระเจดีย์สวมทับเอาไว้  และเป็นต้นเค้าที่มาแห่งองค์พระมหาเจดีย์ชเวดากอง ในปัจจุบัน


    ขอเรียนย้ำว่าที่ผมเล่ามาทั้งหมดข้างต้น เป็น "ตำนาน" นะครับ
    ดังนั้น ก่อนที่จะเชื่ออะไร กรุณา "ตำ" คือคิดไตร่ตรองให้นานๆ หน่อย
    เรื่องราวความรู้ทั้งหลายจะได้ละเอียด ย่อยง่าย เมื่อเสพเข้าไปในร่างกายส่วนสมองแล้ว จะได้ซึมซับเข้าไปเสริมสร้างร่างกายในส่วนที่ "รู้จริง" ไม่ไปติดค้าง พอกพูนเป็นส่วนเกินของร่างกายหรือส่วน "รู้เปลือก" เหมือนไขมันส่วนเกิน เรื่องราวของพระมหาเจดีย์แห่งนี้ยังมีอีกมากมายหลายแง่หลายมุม ขอขยักไว้เล่าต่อในเวลาที่เหมาะสมอีกต่อไป  สำหรับวันนี้ขอกราบสวัสดีก่อนครับ

    เผ่าทอง ทองเจือ
    www.facebook.com/paothong.pan
    www.facebook.com/paothong.thongchua



ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/307973
22489  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ' ไ ป่ ตู้ ' ซอฟต์แวร์ครบวงจร.."ไว ทันใจ ปลอดภัย" ฟรีดาวน์โหลด เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 09:43:49 am


ไป่ตู้...ไว ทันใจ ปลอดภัย

ไป่ตู้เปิดตัวซอฟต์แวร์ Baidu PC Faster 2.0ในไทยที่เด่นทั้งป้องกันไวรัสและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ที่สำคัญแจกฟรี!

ไป่ตู้ เสิร์ชเอนจิ้นจากประเทศจีน ประกาศเปิดตัว Baidu PC Faster 2.0 ในประเทศไทย ซอฟต์แวร์ครบวงจรที่จะปกป้องและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้แก่คอมพิวเตอร์ ลบทุกปัญหาน่าเบื่อที่เคยเผชิญ

Baidu PC Faster ออกแบบมาให้ตอบสนองความต้องการผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ดูแลการทำงานคอมพิวเตอร์แบบมือโปร ผ่านคุณประโยชน์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
    ปลอดภัยมากขึ้นด้วยการปกป้องแบบรอบด้านด้วยแอนตี้ไวรัสและการซ่อมแซมช่องโหว่
    กำจัดไวรัสหรือมัลแวร์อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการบุกรุกของแฮกเกอร์ โทรจัน และเหล่าไวรัสตัวร้าย
    ผ่านการทำงานรวดเร็วด้วยฟีเจอร์หลักซึ่งอัพเดตตลอดเวลา อาทิ Anti-Virus เทคโนโลยีการสแกนหลายชั้น ลดความเสี่ยงต่อไวรัสหลุดรอด


นอกจากนี้ยังรวบรวมข้อมูลภัยคุกคามล่าสุดจากทั่วโลกและภัยคุกคามเฉพาะประเทศไทย USB Security ปกป้อง USB และพีซีจากไวรัส และมัลแวร์ที่ติดมากับอุปกรณ์พกพา
     ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เครื่องสะอาดขึ้น Boot Time Manager ตรวจสอบเวลาที่ใช้ในการเปิดเครื่องอัตโนมัติ
     หากช้ากว่าที่ควรจะเป็น ระบบจะหาสาเหตุที่ทำให้เครื่องช้า
     โปรแกรมไหนหรือแอพพลิเคชั่นใดคือจุดอ่อน Baidu PC Faster จะเข้าไปจัดการทันที


ซอฟต์แวร์ตัวนี้ยังมี Cleaner ลบไฟล์ขยะ ร่องรอยการใช้งาน ทำให้ได้เนื้อที่ดิสก์กลับคืน
ส่งผลให้เครื่องทำงานได้เร็วขึ้น คงประสิทธิภาพการทำงานของพีซีให้อยู่ระดับสูงสุดเสมอ
     มี Win Update สมาร์ตแพตช์ ช่วยอัพเดตแพตช์วินโดวส์ และกรองแพตช์ที่เหมาะสมที่สุดแก่พีซี
     พร้อม Quick Care คลิกเดียวทำงานครบวงจรเป็น One Stop Solution อย่างแท้จริง


ด้านการติดตั้งก็ไม่ยาก เพราะ Baidu PC Faster มีอินเตอร์เฟซภาษาไทย และใช้พื้นที่หน่วยความจำน้อย ไม่เปลืองที่ว่างในระบบ
     ผู้ใช้ที่มีหน่วยประมวลผล Intel หรือ AMD x86 หรือ x64,
     ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows Windows 7, Microsoft Windows XP Vista และ Microsoft Windows XP
     สามารถดาวน์โหลด Baidu PC Faster ได้ฟรีที่
http://security.baidu.co.th


     

ขอบคุณภาพข่าวจาก www.posttoday.com/ดิจิตอลไลฟ์/189316/ไป่ตู้-ไว-ทันใจ-ปลอดภัย
22490  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เชื่อไหม.! เปลือกข้าวโพด มันสำปะหลัง โคนไอศกรีม.."ทำกระทงได้" เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 09:23:49 am


เชื่อไหม !! เปลือกข้าวโพด มันสำปะหลัง โคนไอศกรีม ก็ทำกระทงได้เหมือนกัน

ร้านดวงประทีปโคมลอยและกระทง ย่านสะพานใหม่ เป็นร้านขายส่งกระทงที่ทำจากเปลือกข้าวโพด กระดาษมันสำปะหลัง และโคนไอศกรีม โดยรับมาจากแหล่งผลิตจากต่างจังหวัด



   
     กระทงเปลือกข้าวโพด ด้านล่างเป็นเปลือกมะพร้าว กลีบกระทงด้านบนเป็นฟางข้าวโพดอบแห้ง 
     ย้อมสีสันต่างๆ ผับเป็นกลีบกระทง มีทั้งกระทงทรงกลม  รูปหัวใจ  รูปดาว รูปเรือ




     
     กระทงแป้งมันสัมปะหลัง มีหลายสีหลายขนาด ทำจากแผ่นแป้งสำเร็จรูป
     ย้อมสี เข้าเครื่องตัดเป็นขนาดต่างๆซ้อนกันเป็นชั้นกระทง




   
     กระทงโคนไอศกรีม  ย้อมสี เข้าเครื่องตัดเป็นหยัก ประกอบเป็นกระทง
     มีหลายสีหลายขนาด ที่สำคัญเป็นอาหารปลาได้ด้วยค่ะ



     อาจารีย์ ปรีชานันท์ เจ้าของร้านขายส่งดวงประทีปโคมลอยและกระทง
     กล่าวว่าช่วงแรกก็ขายกระทงใบตองและขนมปัง แต่ 3-4 ปี หลังแนวคิดรักษ์โลกมาแรงก็เริ่มมาขายส่งกระทงที่ทำจากวัสดุอย่างอื่น แต่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม


     ลอยกระทงปีนี้หันมาใช้วัสดุที่ย่อยสลายง่ายตามธรมชาติ เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกันนะค่ะ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1353582988&grpid=03&catid=&subcatid=
22491  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา.! "รูปปั้นจระเข้..ล้อมโบสถ์"...สุดวิจิตรอลังการ (ชมภาพและคลิป) เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 09:09:37 am



ฮือฮา.! "รูปปั้นจระเข้..ล้อมโบสถ์"...สุดวิจิตรอลังการ

ชาวบ้านจังหวัดพิจิตร แห่ชมความงดงามของโบสถ์ศรีศรัทธารามใน ต.กำแพงดิน อ.สามง่าม หลังมีการสร้างรูปปั้นจระเข้ล้อมรอบโบสถ์สีขาว เตือนใจไม่ให้ลืมสัตว์ประจำท้องถิ่นคือ จระเข้


วันนี้ (22 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รายงานว่า ที่ วัดศรีศรัทธาราม (วัดคลองประจอ) ต.กำแพงดิน อ.สามง่าม จ.พิจิตร ได้มีประชาชนจำนวนมากเดินทางไปดูโบสถ์หลังใหม่ภายในวัด เนื่องจากมีลักษณะเด่นสะดุดตาไม่เหมือนที่ไหน
    โดยการก่อสร้างเป็นโบสถ์สีขาวหลังใหญ่ มีการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม
    และสิ่งที่แปลกตากว่าโบสถ์ของวัดทั่วไป คือ
    บริเวณตามราวบันไดและรอบๆโบสถ์จะมีรูปปั้นจระเข้ขนาดใหญ่อยู่โดยรอบ
    บางตัวอยู่ในท่าทางกำลังจะกลืนกินนรี นับรวมได้ทั้งหมดถึง 22 ตัว






    พระอาจารย์นที รองเจ้าอาวาสวัดศรีศรัทธาราม กล่าวว่า
    วัดศรีศรัทธารามอยู่ติดกับแม่น้ำยม
    ในอดีตเคยมีชาวบ้านเล่าต่อกันมาว่าบริเวณนี้มีจระเข้ชุกชุมมาก
    และมักจะขึ้นมาหลับนอนอยู่ที่บริเวณหน้าโบสถ์หลังเก่า
    แต่ไม่เคยทำร้ายชาวบ้านและพระเณรในวัด


    กระทั่งเมื่อหลายปีที่ผ่านมาน้ำได้กัดเซาะตลิ่งจนจมหายไปในน้ำเรื่อยๆ ทำให้ตัวโบสถ์เก่าเกิดร้าวแตกและพังเสียหายไป ทางวัดจึงได้ทำการสร้างโบสถ์หลังใหม่ขึ้นมาแทน
       โดยมีการนำรูปปั้นจระเข้มาประดับรอบๆโบสถ์
       เพื่อเป็นการระลึกเตือนใจชาวบ้านว่าจังหวัดพิจิตร มีจระเข้เป็นสัตว์ประจำถิ่น.




ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/168247



เผยแพร่เมื่อ 21 พ.ย. 2012 โดย Tanate Anudit
22492  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อึ้ง.! พ่อแม่ลูกอาศัยอยู่ใน 'ส้วม' เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 09:00:15 am


อึ้ง.! พ่อแม่ลูกอาศัยอยู่ใน 'ส้วม'

"ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณเงินในกระเป๋า แต่อยู่ที่ความรักความอบอุ่นภายในครอบครัว" สามพ่อแม่ลูกชาวจีนอาศัยอยู่ในส้วมสาธารณะ !!

     22 พ.ย. 55  ที่ผ่านมา "paow007" มักพาชมบ้านสุดหรูของเหล่าคนดังและบรรดามหาเศรษฐี คราวนี้ลองมาดูโลกอีกด้านที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงของครอบครัวหนึ่งในประเทศจีน ที่ยอมละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด มาทำงานล้างส้วมในเมืองใหญ่ เพื่อให้ลูกได้มีโอกาสเรียนหนังสือ ถึงแม้ว่าจะต้องอาศัยอยู่ภายในส้วมสาธารณะก็ตาม



    เดิมที "เหลียว เสี่ยวหมิง" (วัย 33) และภรรยา "หวัง ซวนนา" เปิดร้านขายของเล็กๆ ที่หมู่บ้านชนบทในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน พวกเขาต้องการอพยพเข้ามาทำงานในเมืองกว่างโจว แต่ไม่อยากทิ้งลูกชายคนเดียวเอาไว้เบื้องหลัง และทางเดียวที่จะทำได้ก็คือ การเป็นผู้รับเหมา "ล้างส้วมสาธารณะ" ให้กับทางการ เพราะลูกของพวกเขาจะได้รับสิทธิพิเศษให้สามารถเข้าเรียน โรงเรียนรัฐในเมืองกว่างโจวได้ฟรี (ปกติแล้วเด็กจะต้องเข้าเรียนในพื้นที่ๆ ตนมีภูมิลำเนาเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่าจะเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชน ทำให้ลูกแรงงานอพยพชาวจีนจำนวนมากขาดโอกาสในการเรียนหนังสือ)

      แม้ลูกชายของพวกเขาจะได้เข้าเรียนโรงเรียนดีๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
      แต่งานล้างส้วมก็สร้างรายได้ให้ครอบครัวไม่มากนัก
      สามคนพ่อแม่ลูกจึงต้องอาศัยอยู่ภายในส้วมสาธารณะ
      เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะเช่าบ้านพัก!!



     บ้านหรือส้วมสาธารณะที่ว่าตั้งอยู่บนถนนปักกิ่งในเมืองกว่างโจว ซึ่งเป็นย่านการค้าที่มีผู้คนพลุกพล่าน โดยทางเข้าจะเป็นตรอกแคบๆ ที่เข้า-ออกได้ทีละคน (เดินสวนกันไม่ได้ ตัวใหญ่มากก็เข้าไม่ได้) ภายในห้องน้ำมีพื้นที่เล็กๆ ให้ครอบครัวดังกล่าวอาศัยอยู่
     ถึงแม้ว่าบรรยากาศจะไม่สู้ดีนัก แต่พวกเขาก็รู้สึกอบอุ่นเพราะได้อยู่กันพร้อมหน้า
     ยามใดที่ว่างเว้นจากการทำงาน พ่อแม่ลูกจะล้อมวงดูทีวีหรือไม่ก็เล่นไพ่
     โดยที่ไม่เคยมีใครปริปากบ่นแม้ต้องทนอดอู้อยู่ภายในส้วมก็ตาม



    เหลียว เสี่ยวหมิง กล่าวว่า ถ้าไม่ติดเรื่องอยากให้ลูกชายได้เข้าเรียนในที่ดีๆ
     ตนและภรรยาจะไม่มีวันทำงานนี้เด็ดขาดเพราะค่าแรงถูก
     อยู่บ้านนอกเลี้ยงหมูปลูกผักตามประสายังหาเงินได้มากกว่า แถมยังมีบ้านให้อยู่อีกด้วย
     ลำพังตัวเขาเองอยู่ที่นี่ไม่รู้สึกอะไร แต่เห็นลูกแล้วสงสารอยากเช่าห้องพักให้ลูกอยู่แต่ก็สู้ค่าเช่าไม่ไหว
    โชคดีที่ "อาเห่า" ลูกชายวัย 13 ปีเข้าใจ และไม่เคยร้องขออะไรที่ไร้เหตุผล
     เมื่อไม่นานมานี้ พวกตนก็เพิ่งพาอาเห่าไปฉลองวันเกิด (เมนูสุดคุ้ม) ที่ร้านแมคโดนัลด์



     ด้านหวัง ซวนนา ผู้เป็นภรรยากล่าวทิ้งท้ายว่า ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณเงินในกระเป๋า
     แต่อยู่ที่ความรักความอบอุ่นภายในครอบครัว แม้จะอยู่ในที่อับและคับแคบ
     แต่เธอมีความสุขเพราะสามีคอยเป็นห่วงเป็นใย แถมลูกชายยังเป็นคนดีอีกด้วย


(หมายเหตุ : ที่มา : http://paow007.wordpress.com/)
ขอบคุณภาพข่าวจาก www.komchadluek.net/detail/20121122/145394/อึ้ง!พ่อแม่ลูกอาศัยอยู่ในส้วม.html#.UK7WRmfvolh
22493  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง..จะไปไหนกันดี.? เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 08:46:21 am

วันเพ็ญเดือนสิบสอง
ศิลปวัฒนธรรม : ท้องน้ำทั่วไทยสว่างไสวในคืนวันเพ็ญ

      "วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริงวันลอยกระทง..." เนื้อเพลงลอยกระทงที่คนไทยคุ้นหูมาแต่ครั้งอดีต วนกลับมาให้ได้ยินกันอีกครั้งเมื่อถึงเทศกาลลอยกระทงในวันเพ็ญเดือน 12  ของทุกๆ ปี ประเพณีนี้ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก

       สำหรับประเพณีลอยกระทงในประเทศไทยปีนี้ ซึ่งตรงกับวันที่ 28 พฤศจิกายน จะจัดพร้อมกันทั่วทุกภาค โดยแต่ละพื้นที่จะมีเอกลักษณ์ต่างกันไป ภายใต้ชื่อเดียวกันว่า "สีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง" ปี 2555



      เริ่มจากงาน สีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง กรุงเทพมหานคร ชมการแปลงโฉมเรือประดับไฟฟ้าจากหน่วยงานต่างๆ พร้อมทั้งชมความสว่างไสวของการประดับไฟ แสง สี ให้กับสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์สำคัญริมแม่น้ำเจ้าพระยา และการแสดงพลุประกอบแสงสีเสียงชุดพิเศษ "สว่างไสว สายน้ำแห่งเจ้าพระยา" ที่เอเชียทีค เดอะริเวอร์ ฟร้อนท์ ครั้งแรกของการแสดงพลุ ประกอบ แสง สี ผสมผสานบทเพลง โดยการทำงานร่วมกันระหว่างทีมแสดงพลุระดับโลกกับศิลปินนักประพันธ์เพลงชั้นครู


    งานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จ.สุโขทัย เป็นประเพณีบูชาด้วยประทีปที่มีมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ตามที่ปรากฏหลักฐานในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักที่1 และในหนังสือตำรับท้าวศรี จุฬาลักษณ์หรือตำนานนางนพมาศซึ่งเป็นพระสนมเอกของพระมหาธรรมราชาที่1(พญาลิไท) แห่งกรุงสุโขทัย ได้กล่าวถึง วันเพ็ญเดือนสิบสอง ว่าเป็นเวลาเสด็จประพาสลำน้ำตามพระราชพิธี ในเวลากลางคืนและได้มีรับสั่งให้บรรดาพระสนมนางในทั้งหลายตกแต่งกระทงประดับดอกไม้ ธูปเทียนนำไปลอยน้ำหน้าพระที่นั่ง
     ในคราวนั้นท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือนางนพมาศพระสนมเอก ก็ได้คิดประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกบัวโกมุทขึ้น ด้วยเห็นว่าเป็นดอกบัวพิเศษที่บานในเวลากลางคืน เพียงปีละครั้งในวันดังกล่าว สมควรทำเป็นกระทงแต่งประทีปลอยไปถวายสักการะรอย พระพุทธบาทซึ่งเมื่อพระร่วงเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นก็รับสั่งถามถึงความหมาย นางก็ได้ทูลอธิบายจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย



    งานประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีป 1000 ดวง จ.ตาก เป็นประเพณีลอยกระทงเก่าแก่ของชาว จ.ตาก ด้วยการใช้กะลามะพร้าวเป็นองค์ประกอบหลัก ด้วยเหตุที่ชาวบ้านนิยมรับประทาน "เมี่ยง" เป็นอาหารว่างและผลิตเป็นสินค้าพื้นเมืองที่สำคัญ จึงต้องใช้เนื้อมะพร้าวทำเป็นไส้เมี่ยงจำนวนมาก กะลาจึงเป็นส่วนเหลือใช้ ครั้นเมื่อถึงประเพณีบูชาสายน้ำ ประเพณีลอยกระทงของชุมชนลุ่มแม่น้ำปิง วัง แห่งเมืองตาก จึงมีเอกลักษณ์โดดเด่นแตกต่างจากท้องถิ่นอื่นๆ


    งานประเพณีลอยกระทงกาบกล้วยเมืองแม่กลอง จ.สมุทรสงคราม เป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวแม่กลอง โดยก่อนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 หนุ่มสาวแต่ละหมู่บ้านจะรวมตัวกันเตรียมทำกระทง โดยนำต้นกล้วยน้ำว้ามาเป็นวัสดุหลักในการทำกระทง และหาซื้อธูปสำหรับใช้บูชาพระห่อใหญ่ๆ  นำมาจุ่มน้ำมันยาง แล้วนำมาคลี่ผึ่งแดดจนแห้ง ใช้เวลา 2-3 วันแล้วนำต้นกล้วยที่ตัด เตรียมไว้หั่นเป็นท่อนๆ ลอกกาบออก ใช้ธูปที่ตากแดดไว้มาปักลงกลางกาบกล้วย
     พอค่ำของวันเพ็ญเดือน 12  หนุ่มสาวก็จะแต่งตัวอย่างสวยงาม มายังลำน้ำแม่กลอง นำกระทงกาบกล้วยใส่เรือพายปล่อยลอยเป็นสายให้เป็นระยะตามแนวลำน้ำที่ไหลลงสู่ปากอ่าวแม่กลอง  ความสว่างไสวของแสงไฟจากกระทงกาบกล้วย จะส่องแสงพราวระยับให้ลำน้ำแม่กลองสวยงามตระการตา



    งานประเพณียี่เป็ง จ.เชียงใหม่ เป็นงานประเพณีอันยิ่งใหญ่แห่งดินแดนล้านนา ที่ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ในขณะเดียวกันชาวล้านนาก็ยังมีการจุดประทีปโคมลอย ขึ้นไปสว่างไสวบนท้องฟ้า ตามคติความเชื่อว่า เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์อีกด้วย

       นอกจากนี้ยังมีงาน เทศกาลลอยกระทงตามประทีป ศูนย์ศิลปาชีพบางไทรฯ จ.พระนครศรีอยุธยา
       งานประเพณีลอยกระทง จ.สุพรรณบุรี และ งานลอยกระทงพื้นบ้าน สนุกสนานแบบพื้นเมือง จ.สงขลา
       ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี  ทั้งนี้นอกจากจะเป็นการสืบสานประเพณีอันดีงามให้คงอยู่คู่พี้น้องคนไทยสืบไปแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ชื่นชมและรับรู้ถึงความสำคัญของงานลอยกระทงอันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติอีกด้วย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121122/145376/วันเพ็ญเดือนสิบสอง.html#.UK7Spmfvolh
22494  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คืนวัน "ลอยกระทง" ประเพณี-ค่านิยมโจ๋..ที่น่าตกใจ.!.? เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2012, 07:44:21 am


คืนวัน "ลอยกระทง" ประเพณี-ค่านิยมโจ๋
บทความโดย ณัฐพงษ์ บุณยพรหม พลาดิศัย จันทรทัต

เป็นประจำทุกปีที่เมื่อถึง "วันลอยกระทง" หลายคนมัก จะมองว่าวันนี้เป็น "วันเสียสาว" เช่นเดียวกับ "วันวาเลนไทน์" ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าน่าเป็นห่วงจริงๆ เพราะด้วยบรรยากาศครึกครื้นแฝงโรแมนติกแบบนี้ อาจทำให้"วัยโจ๋" ทั้งหลายคึกคะนองและพลั้งเผลอใจ ใช้เทศกาลสำคัญนี้ไปมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ละเลยไปว่าอนาคตไว้ไปคิดทีหลัง ผลที่อาจตามมาก็คือ"ท้องก่อนวัย อันควร!!!"

"พฤติกรรมทางเพศและกิจกรรมในคืนวันลอยกระทงของกลุ่มวัยรุ่น" ในช่วงเทศกาลสำคัญนี้ มีตัวเลขสถิติจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่สำรวจกลุ่มตัวอย่าง 8,317 ราย
     พบว่าในวันลอยกระทง วัยรุ่นจะมีเพศสัมพันธ์ ร้อยละ 14
     ขณะที่เป็นเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ร้อยละ 1.86
     นอกจากนี้ ยังพบว่า มีการดื่มสุราในคืนวันลอยกระทง ร้อยละ 19.63
     ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์นี้ยัง ส่งผลให้เกิดเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ได้ถึงร้อยละ 15.3


นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะคุณแม่ที่มีลูกสาว 2 คน กล่าวถึงสถานการณ์การมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นว่า
     ค่าเฉลี่ยการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเปลี่ยนจากอายุ 18 ปี ลดลงเป็น 9 ขวบแล้ว
     ขณะที่เมื่อเทียบกับต่างประเทศ มีสถิติที่ดีขึ้นจากเดิมอายุ 13 ปี ขยับไปที่ 17 ปี


    "ก่อนหน้านี้พบแม่อายุน้อยที่สุด 11 ขวบ ตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน
    หมายความว่า เด็กเริ่มมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ แต่ตอนนี้พบคุณแม่ที่มีอายุแค่ 9 ขวบเท่านั้น         
    สะท้อนให้เห็นว่าเด็กเริ่มมีเพศสัมพันธ์ในช่วงอายุแค่ 7-8 ขวบ แสดงว่าพ่อแม่สมัยนี้มีช่องว่างห่างกับลูกมากทีเดียว"


    ปลัดศธ.กล่าวต่อว่า หนทางแก้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การป้องปราม แต่อยู่ที่ครอบครัว
    "สำหรับคุณแม่ที่มีลูกสาว ต้องมีเวลาพูดคุยทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อให้เกิดความใกล้ชิด อย่าใช้อำนาจหรือความรู้สึกตัดสิน จนลูก ไม่กล้าบอก ไม่กล้าเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง ในทางกลับกัน แม่ต้องเปิดใจรับฟังเรื่องราวต่างๆ ที่ลูกเล่าให้ฟัง ตั้งแต่เขายังเล็กๆ เมื่อลูกเริ่มโตเข้าสู่วัยรุ่นจะได้มีเราเป็นแม่ และเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด มีแม่และเพื่อนที่คอยรับฟังคอยให้คำปรึกษา
    ไม่เช่นนั้นแล้วเด็กจะขาดที่พึ่งและไม่มีองค์ความรู้ที่เป็นภูมิต้านทานตัวเอง สุดท้ายหากเด็กต้องตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็อาจตัดสินใจพลาดด้วยความรู้เท่า ไม่ถึงการณ์ หนักหน่อยก็อาจเป็นความผิดพลาดตลอดชีวิตอย่างการตั้งครรภ์"
ปลัดพนิตากล่าว

     นอกจากประเด็น"เสียสาว" แล้ว วันลอยกระทงก็มีเรื่องให้น่าเป็นห่วงอีกหลายอย่าง ซึ่งเป็นเรื่อง"ใกล้ตัว" แต่กลับไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร


1.พนิตา กำภู ณ อยุธยา , 2.ปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล

     นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวถึงอันตรายในวันลอยกระทงที่ประมวลออกมาได้ 9 ข้อ คือ
     1. การจมน้ำ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเด็กๆ แม้แต่ผู้ใหญ่เอง หากไม่ระมัดระวังก็อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากประเพณีนี้จัดในช่วงกลางคืน
     2. การสำลักน้ำ น้ำใสอาจแฝงไว้ด้วยเชื้อร้ายโดยเฉพาะน้ำบ่อ คลอง จะมีเชื้อฝีสมองและฝีตับ
     3. อันตรายจากพลุระเบิด ที่เกิดขึ้นบ่อยกับเด็กและต้องระวังเพลิงไหม้ด้วย
     4. คู่รักมักมาลอยกระทงร่วมกัน และอาจติดโรคที่เกิดจากเพศสัมพันธ์ได้ อาทิ หนองใน กามโรค เอดส์ เป็นต้น
     5. โรคผิวหนัง ผื่นคัน เกิดจากเชื้อราที่มาจากน้ำ
     6. ไฟดูด การสัมผัสน้ำจะเป็นสื่อนำไฟฟ้ามาหาตัวได้
     7. เป็นหวัด ท้องเสีย จากมือที่จับกระทง การล้างมือบ่อยๆ จะช่วยป้องกันได้
     8. แมลงสัตว์กัดต่อย และ
     9. ป่วยการเมือง การลอยกระทงดึก ทำให้ตอนเช้าไม่อยากตื่นจนทำให้เสียงานได้


     อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเรื่องที่น่าเป็นห่วงหลายเรื่อง แต่หากมองในมุมบวก วันลอยกระทง ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ปีนี้ตรงกับวันพุธที่ 28 พ.ย. เป็นประเพณีอันดีงาม ที่ส่งเสริมสถาบันครอบครัว ให้ทำกิจกรรมร่วมกัน เติมเต็มความรัก ความอบอุ่น รวมทั้งยังเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ต่อไป

     นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) บอกว่า ลอยกระทงเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญู รู้จักสำนึกถึงคุณค่าของน้ำ ที่ใช้อุปโภคบริโภคทุกวัน สะท้อนถึงวัฒนธรรมที่ดีงามของไทย และอยากให้เด็กและเยาวชนคำนึงถึงคุณค่าของวันนี้ และควรรักษาสิ่งแวดล้อม ใช้วัสดุทำกระทงต้องไม่ทำให้ น้ำเสีย ส่วนการรื่นเริงก็คงเป็นไปตามประเพณีและควรอยู่ในขอบเขต

     "ปัจจุบันรูปแบบการลอยกระทงก็เปลี่ยนไป หลายหน่วยงาน อาจจะมีรูปแบบใหม่ในการลอยกระทง คนที่ไม่สะดวกเดินทาง การลอยกระทงออนไลน์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สวธ.ขอเชิญหน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชน ร่วมกันสืบสานประเพณีลอยกระทงให้อยู่คู่สังคมไทย โดยการใช้กระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ ใครไม่สะดวกก็ร่วมลอยกระทงออนไลน์ได้ที่ www.culture.go.th"

    อธิบดีสวธ. ย้ำอย่างเป็นห่วงว่า ในวันลอยกระทงเด็กจะได้รับอนุญาตออกจากบ้านตอนค่ำไปเที่ยวกับเพื่อน อยากให้ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานใกล้ชิด โดยเฉพาะเด็กอายุ 15-18 ปี



ตัวแทนของวัยรุ่นอย่าง น.ส.กชรัตน์ ปิยะจันทร์ หรือ น้องแพร วัย 23 ปี ชั้นปี 4 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม สะท้อนมุมมองในเชิง"คิดบวก" ว่า
     ลอยกระทงเป็นประเพณีที่คนไทยขอขมาพระแม่คงคา จึงปฏิบัติเป็นประเพณีสืบต่อกันมา
     แต่ทุกวันนี้ค่านิยมที่วัยรุ่นไทยปฏิบัติต่อประเพณีนิยมนี้ กลับเป็นช่วงเวลาที่นัดแนะกันออกมาเที่ยว
     และหาที่สังสรรค์ดื่มเหล้าเบียร์จนเลยเถิดบานปลาย ไม่สนใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่ว่าจะเป็นห่วงอย่างไร


  "เด็กส่วนใหญ่เมื่อยังเล็กจะชอบประเพณีต่างๆ เพราะได้เล่นสนุกกับครอบครัว แต่เด็กสมัยนี้กลับให้ความสำคัญกับเพื่อนหรือแฟนมากกว่า ที่สำคัญเด็กสมัยใหม่ไม่ค่อยได้รับการปลูกฝังเรื่องคุณธรรม จริยธรรม และประเพณีของไทย จึงกลายเป็นช่วงเทศกาลเสียสาว ทำให้ท้อง และไปสู่การทำแท้ง เพราะไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา"

   น้องแพรมองว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ค่านิยมของเด็กเป็นเช่นทุกวันนี้ คือวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของพ่อแม่ สมัยนี้ต้องปากกัดตีนถีบ โดยเฉพาะคนเมือง จึงไม่มีเวลาอบรมลูกหลานแตกต่างกับพ่อแม่ผู้ปกครองที่อยู่ในชนบท ซึ่งเด็กได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวใหญ่ ที่มีทั้ง ปู่ ย่า ตา ยายชี้แนะสิ่งที่ถูกให้กับเด็ก

    "สมัยเด็กๆ หนูจะไปลอยกระทงกับคุณพ่อคุณแม่ ได้ไปดูพลุสนุกมาก ขนาดที่ว่าปีไหนฝนตกก็หงอยไปเลย แต่พอโตขึ้นก็ไม่ค่อยได้ไปลอยกระทงแล้ว จึงอยากฝากให้ทุกคนนึกถึงความสุขที่ได้รับจากครอบครัว และวัตถุประสงค์ของขนบธรรมเนียมประเพณีนี้" กชรัตน์ฝากข้อคิดปิดท้าย

    จริงๆ แล้ววันลอยกระทงไม่ใช่วันเดียวที่วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์
    การป้องกันควรจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่วัวหายแล้วล้อมคอก



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVEl5TVRFMU5RPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1pMHhNUzB5TWc9PQ==
22495  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ว.วชิรเมธี' วืด.! "สมณศักดิ์..อีกปี" เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2012, 07:10:59 am


'ว.วชิรเมธี' วืด.! "สมณศักดิ์..อีกปี"

ไร้ชื่อ 'ว.วชิรเมธี' เลื่อนสมณศักดิ์ปี 55 เผยแม้มีผลงานมากแต่ไร้คุณสมบัติที่จะได้ตำแหน่ง 'เจ้าคุณ' ตามกฎเกณฑ์มส. : ไตรเทพ ไกรงูรายงาน

      เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า บัดนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสถาปนาเลื่อนและแต่งตั้งสมณศักดิ์พระเถรานุเถระ ประจำปี ๒๕๕๕ จำนวน ๖๖ รูปแล้ว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ แต่ไม่มีรายชื่อของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือรู้จักกันดีในนามปากกา "ว.วชิรเมธี" ที่มีชื่อเสียงว่า "เป็นพระนักวิชาการ นักคิดนักเขียน และนักบรรยายธรรม"

    ทั้งนี้ นายนพรัตน์ ได้ให้เหตุผลว่า แม้ว่า ว.วชิรเมธี จะมีผลงานที่เด่นจัด แต่ไม่เข้าหลักเกณฑ์และระเบียบใดๆ ของมหาเถรสมาคม (มส.) ทั้งสิ้น การพิจารณาสมณศักดิ์ต้องไล่ที่ระดับ ต้องดูโควตา โดยมีเสนอตั้งแต่ระดับเจ้าอาวาส ทั้งนี้ ท่าจะได้ก็ต่อเมื่อ ต้องเสนอแต่งตั้งให้เป็นกรณีพิเศษเจริงๆ ไม่มีเกณฑ์ใดที่จะเสนอทั้งสิ้น

    ด้านพระธรรมคุณาภรณ์ หรือเจ้าคุณพิมพ์ รองเจ้าคณะภาค ๗ และเจ้าอาวาสวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร กทม.
    พระผู้ซึ่งรวบรวมและคิดค้นโปรแกรมการตั้งราชทินนามพระราชาคณะ บอกว่า เป็นเรื่องยากที่ท่านจะได้สมณศักดิ์
    เมื่อท่านออกจากสำนักวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กทม. ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตาม เป็นเรื่องยากที่จะได้สมณศักดิ์

     โดยคุณสมบัติเบื้องต้นของพระที่ได้สมณศักดิ์ คือเป็นเจ้าอาวาสวัดราษฎร์อย่างน้อย ๕ ปี
     ถ้าเป็นผู้ช่วยพระอารามหลวงอย่างน้อย ๑ ปี ถึงจะมีคุณสมบัติขอสมณศักดิ์ได้
     แต่ ณ วันนี้ ว.วชิรเมธี ไม่มีคุณสมบัติใดๆ ตามเกณฑ์ของมหาเถรสมาคม

 



    ในอดีตการพิจารณาแต่งตั้งและเลื่อนสมณศักดิ์แก่พระสงฆ์เป็นพระราชอำนาจและเป็นพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ เมื่อทรงเห็นหรือทรงทราบด้วยพระเนตรพระกรรณว่า พระภิกษุรูปใดมีความรู้ความเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก มีศีลาจารวัตรน่าเลื่อมใส มีความสามารถในการปกครองหมู่คณะให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งยังเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาของประชาชนแล้ว ก็จะพระราชทานสมณศักดิ์เพื่อเป็นเกียรติและกำลังใจ ในการจะได้ช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาสืบไป

      ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่วงเวลาที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้า สกลมหาสังฆปริณายกอยู่นั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะโปรดพระราชทานสมณศักดิ์แก่พระสงฆ์รูปใด ก็จะทรงปรึกษากับสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ก่อนทุกครั้ง ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทรงให้พระสงฆ์ได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาเสนอความคิดเห็นได้

    ปัจจุบันเป็นหน้าที่คณะสงฆ์จะช่วยกันพิจารณาให้ความเห็นชอบตามลำดับขั้น คือ จากเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค และเจ้าคณะใหญ่ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากเจ้าคณะผู้ปกครองตามลำดับแล้ว สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จึงได้เสนอเรื่องเพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานสมณศักดิ์ ตามระเบียบของทางราชการต่อไป   

     แต่ในการพระราชทานสมณศักดิ์ชั้นสูง เช่น สมเด็จพระสังฆราช หรือสมเด็จพระราชาคณะ คณะสงฆ์ชอบที่จะถวายพระเกียรติแด่องค์พระมหากษัตริย์ด้วยการเสนอนามพระเถระที่เห็นสมควรขึ้นไปหลายรูปเพื่อให้ทรงพิจารณาตามพระราชอัธยาศัย เป็นธรรมเนียมปฏิบัติเสมอมา เพราะพระราชอำนาจส่วนนี้เป็นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพียงพระองค์เดียว





    แหล่งข่าวจาก มส. ให้ข้อมูลกับ "คม ชัด ลึก" ว่า ตามหลักการเสนอพระมหาเปรียญธรรม ๙ ประโยค ที่จะขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ หรือท่านเจ้าคุณตามระเบียบต้องเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง หรือเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ขึ้นไป หรือมีตำแหน่งปกครองตั้งแต่เจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัดขึ้นไป
    ทั้งนี้ ต้องมาตามลำดับขั้นตอน ส่วนผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ก็จะไม่มีการทำประวัติขอ เพราะทราบด้วยตัวเองอยู่แล้ว่าต้องเป็นไปตามหลักการ


    แต่มหาเถรสมาคมอาจจะเห็นว่าเ ป็นพระที่บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมพระพุทธศาสนา
    ก็จะสามารถขอพระราชทานสมณศักดิ์ให้ได้ แต่ในที่สุดแล้วก็ต้องงด เป็นไปตามกระบวนการอยู่ดี


     ในกรณีของ ว.วชิรเมธี ถึงแม้ว่าจะเสนอไปตามหลักเกณฑ์ก็ต้องมาพิจารณาว่า ใครมีผลงานมากน้อยกว่ากัน เหมาะสมที่จะให้หรือไม่ ถ้าให้ไปแล้วจะเหมาะในเขตปกครองนั้นๆ หรือไม่
     เช่น หากมีพระอยู่ที่อาวุโส และมีตำแหน่งปกครองที่สูงกว่าอยู่ แต่ยังไม่ได้เป็นท่านเจ้าคุณ
     จะเอาประโยค ๙ ขึ้นเป็นเจ้าคุณเลยภาพที่ออกมาก็จะเป็นการกระโดดข้ามเกินไป เพราะส่วนใหญ่พุทธศาสนิกชนก็จะเคารพพระผู้อาวุโสในเขตปกครองนั้นอยู่


    "พระ ปธ.๙ ส่วนใหญ่ท่านรู้ภาวะของตัวเองว่า จะของสมณศักดิ์ได้หรือไม่
     กรณีท่าน ว.วชิรเมธี เข้าใจว่าท่านรู้ตัวว่าไม่อยู่ในเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น แม้จะมีผลงาน
     เว้นแต่กรณีที่ท่านทำงานต่อพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น พรรษามากขึ้น
     มหาเถรฯ อาจจะพิจารณาให้กรณีเดียวกับพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
     โดยไม่มีตำแหน่งปกครอง ซึ่งนับจากนี้ไปน่าจะไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี"
แหล่งข่าวจาก มส.ระบุ





     สำหรับผลงานของ ว.วชิรเมธี ปัจจุบันท่านได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์สอนนักศึกษาระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ นอกจากนั้นก็ยังรับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายวิชาการทางพระพุทธศาสนาให้หน่วยงานต่างๆ อีกมากมาย

     ในแง่จริยวัตรส่วนตัวนั้นนอกจากท่านจะเป็นพระนักวิชาการ พระนักคิด นักเขียน แล้วท่านก็ยังสนใจฝึกสมาธิภาวนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่าสิบปี มีผลงานทางวิพากษ์และแนะนำสังคมหลายเรื่อง เช่น บทละครโทรทัศน์และหนังสือเรื่อง "ธรรมะติดปีก" ซึ่งได้รับพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงานสัปดาห์พระพุทธศาสนาวิสาขบูชาประจำปี ๒๕๕๐

      พระมหาวุฒิชัยบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๐ ณ พัทธสีมาวัดครึ่งใต้ ต.ครึ่ง อ.เชียงของ จ.เชียงราย โดยมีพระครูโสภณจริยกิจ เจ้าคณะอำเภอเชียงของ เป็นพระอุปัชฌาย์ (ต้องการอ้างอิง) ต่อมาได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ ณ พัทธสีมาวัดครึ่งใต้ โดยมีพระเทพสิทธินายก (ชื่น ปญฺญาธโร) เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เป็นพระอุปัชฌาย์

     การศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๓ สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค สำนักวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พ.ศ. ๒๕๔๓ ศึกษาศาสตรบัณฑิต (ศษ.บ.) จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และ พ.ศ. ๒๕๔๖ พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พธ.ม.) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย





ผลงานสำคัญ

  - อาจารย์พิเศษบัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
  - อาจารย์พิเศษ สถาบันพระปกเกล้า วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน
  - อาจารย์พิเศษและวิทยากรบรรยายตามมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นต้น


  - วิทยากรบรรยายธรรมตามสถาบัน หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
  - บรรณาธิการวารสารเบญจมบพิตรสัมพันธ์
  - วิทยากรพิเศษบรรยายวิชาการทางพระพุทธศาสนา สอนวิปัสสนากรรมฐานให้หน่วยงานของรัฐ เอกชน รัฐวิสาหกิจ โรงเรียน และมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนหลายแห่ง
  - ประธานกลุ่มธรรมะการ์ตูน (ผลิตการ์ตูนแอนิเมชั่น ชุด “พุทธประวัติ” เพื่อทูลเกล้าฯ เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา


  - ผู้เขียนตำราหมวดวิชาพระพุทธศาสนาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
  - กรรมการตรวจนักธรรม บาลี สนามหลวง
  - เขียนบทความให้หนังสือพิมพ์ นิตยสารรายเดือน รายปักษ์ รายสัปดาห์ อาทิ เนชั่นสุดสัปดาห์ กรุงเทพธุรกิจ ชีวจิต ศักดิ์สิทธิ์ WE, HEALTH & CUISINE, Secret เป็นต้น
  - เป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตตยาลัย (Vimuttayalaya Institute) อันเป็นสถาบันที่ศึกษา วิจัย ภาวนา และเผยแพร่ภูมิปัญญาทางพุทธศาสนาสู่ประชาคมโลก ภายใต้หลักการ "พุทธศาสนาเพื่อสันติภาพโลก"



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121121/145293/ว.วชิรเมธีวืดสมณศักดิ์อีกปี.html#.UK1n8mfvolh
http://www.palungjit.com/,http://farm5.static.flickr.com/,http://1.bp.blogspot.com/,http://topicstock.pantip.com/
22496  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'นิวัฒน์ธำรง' รับปาก..ดันคลอด 'ธนาคารพระพุทธศาสนา' เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2012, 06:44:57 am



'นิวัฒน์ธำรง' รับปาก..ดันคลอด 'ธนาคารพระพุทธศาสนา'

องค์กรพุทธเข้าพบ'นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล' ขอความมั่นใจหนุนตั้ง ธ.พระพุทธศาสนา ด้านรมต.สำนักฯรับปากช่วยผลักดันหากเป็นความต้องการของคณะสงฆ์และพุทธบริษัท

    ๒๑พ.ย.๒๕๕๕ ผู้แทนองค์กรชาวพุทธภายใต้การนำของพระเทพวิสุทธิกวี ประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา และคณะประกอบด้วยพระเมธีธรรมาจารย์ พระครูศรีชยาภิวัฒน์ พระครูวินัยธรธีรวิทย์  และพระปลัดปิยศักดิ์ ปิยธมฺโม พร้อมด้วย พล.อ.ธงชัย เกื้อสกุล ประธานศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เข้าพบนายนิวัฒน์ธำรงบุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ในฐานะที่รับผิดชอบงานด้านพระพุทธศาสนา ที่ทำเนียบรัฐบาล

     พระเมธีธรรมาจารย์ เปิดเผยว่า ประเด็นการเข้าพบเพื่อปรึกษาหารือถึงความจำเป็นและภารกิจเร่งด่วนในการเสนอร่าง พ.ร.บ. ของคณะสงฆ์ในนามรัฐบาล จำนวน ๓ ร่าง ประกอบด้วย ๑. ร่าง พ.ร.บ. ธนาคารพระพุทธศาสนา พ.ศ.... ๒. ร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ....๓. ร่าง พ.ร.บ. แม่ชีไทย พ.ศ....
    ทั้งหมดได้ใช้เวลาพูดคุยกันกว่า ๒ ชั่วโมง บรรยากาศเป็นไปด้วยมิตรไมตรีที่ดี

    "นายนิวัฒน์ธำรงเข้าใจและยินดีที่จะให้การสนับสนุนโดยเฉพาะ พ.ร.บ. ธนาคารพระพุทธศาสนา และ พ.ร.บ. อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ถือว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเร่งออกให้ได้ ส่วนพ.ร.บ.แม่ชีไทย ก็เร่งรัดและจะนัด ผู้เกี่ยวข้องมาพูดคุยกันต่อไป" พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวและว่า

  โดยเฉพาะพ.ร.บ.ธนาคารพระพุทธศาสนานั้นนายนายนิวัฒน์ธำรงบอกว่า "จะช่วยผลักดันและสำทับว่า เมื่อเป็นความต้องการของคณะสงฆ์และพุทธบริษัทก็ต้องผลักดัน" อาตมาจึงเสนอบทความเรื่องธนาคารพระพุทธศาสนา ไว้ให้รัฐมนตรีพิจารณา พร้อมหลักการและเหตุผลของพระเทพวิสุทธิกวี และนอกจากนั้นวันนี้จึงขอเสนอหลักการเพิ่มเติมถึง เหตุผลและความจำเป็นของการเกิด ธนาคารพระพุทธศาสนาในสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้





๑.เหตุผลด้านความเป็นจริง
     ๑.๑ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์เอกอัครศาสนูปถัมภก
     ๑.๒ พระพุทธศาสนามีคุณูปการต่อประเทศชาติมาช้านานในประวัติศาสตร์ชาติไทย ตั้งแต่สุโขทัยมาจนถึงปัจจุบัน
     ๑.๓ ความสงบ ร่มเย็น สันติ และสมญานาม สยามเมืองยิ้ม ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากอิทธิพลคำสอนของพระพุทธศาสนา


๒. เหตุผลด้านการเมือง
    การที่รัฐบาลจะสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ให้แก่ทั้งรัฐบาลเองและต่อประเทศชาติ และนับเป็นการกระทำอามิสบูชาครั้งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ คุณความดี เกียติยศชื่อเสียงนี้จะติดไปทั้งโดยส่วนตัวของผู้กระทำให้บังเกิด รัฐบาลโดยรวมและแผ่นดินไทย ดังเช่น มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยทั้งสองมหาวิทยาลัยสงฆ์ได้ต่อสู้ผ่านยุคสมัยมายุคแล้วยุคเล่า เพื่อให้มี พ.ร.บ. เป็นของตนเอง

    การต่อสู้ผลักดันยืดเยื้อยาวนานกว่า ๖๐ ปี ในที่สุดรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี ก็ผลักดันให้ทั้งสองมหาวิทยาลัยสงฆ์มี พ.ร.บ.คลอดออกมาจนได้

    ในขณะที่อายุรัฐบาลมีไม่ถึง ๑ ปี จนบัดนี้ก็ยังเป็นเกียรติประวัติ เกียรติยศ คุณความดี ความภาคภูมิใจและคำแสร้ซ้องสรรเสริญของพระสงฆ์ที่มีต่อ นายกรัฐมนตรีที่ชื่อว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในสมัยนั้น คือนายสุขวิช รังสิตพล และคณะรัฐบาลทุกคน


๓. เหตุผลด้านเศรษฐกิจ
    ปัจจุบันรัฐบาลลงทุนในโครงการใหญ่มากมาย ทั้งที่คุ้มและเสี่ยง บางอย่างก็กลายเป็น NPL แต่ก็ต้องเดินหน้าทำต่อไป รวมทั้งนโยบายประชานิยมที่ ต้องใช้เงินมหาศาลแต่ก็ต้องทำเพราะผลดีเกิดกับพี่น้องประชาชนโดยตรง และในหลายโครงการรัฐบาลก็พูดชัดเจนว่ายอมขาดทุนเพื่อประชาชนของประเทศ เช่นโครงการจำนำข้าว ธนาคาร ธกส. เป็นต้น

    แล้วทำไมการลงทุนด้านคุณงามความดีต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งในความเป็นจริงก็ใช้เงินไม่มากนักเมื่อเทียบกับงบประมาณของรัฐบาล แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ได้ประโยชน์ สร้างความมั่นคงให้กับพระพุทธศาสนา จะลงเลไปทำไม


๔. เหตุผลด้านศาสนา
    ชาวคริสต์ก็มีธนาคารใหญ่ที่นครวาติกัน ชาวมุสลิมก็มีธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย อาตมาเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ศาสนิกของทั้งสองศาสนาก็คงเอาใจช่วยชาวพุทธในประเทศไทย ให้มีธนาคารเป็นของตัวเอง เหมือนอย่างที่ทั้งสองศาสนามีอยู่และอำนวยประโยชน์มหาศาลต่อการเผยแผ่ของทั้งสองศาสนาทั้งในประเทศไทยและเวทีโลก

    ขณะเดียวกันทุกศาสนาล้วนสอนให้คนทำดี และสำคัญสอนเรื่องความเสมอภาค ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกันทั้งในศาสนาของตนและต่างศาสนา ไม่เลือกปฎิบัติ ไม่ลำเอียงเพราะกลัว โดยเฉพาะรัฐบาลต้องให้ความเสมอภาคในทุกภาคส่วน ละเอียดอ่อนกว่านั้นคือศาสนา ควรระมัดระวัง

๕. เหตุผลอื่นๆ
   ๕.๑ ตามหลักของพระพุทธศาสนา สามารถตั้งธนาคารได้โดยไม่ขัดหลักธรรมใดๆ โดยอนุวัต ตามเรื่องเมณฑกเศรษฐีในสมัยพุทธกาลเป็นต้นเรื่อง
   ๕.๒ จะไม่มีการบังคับวัดต่างๆให้นำเงินของวัดนั้นๆมาฝากธนาคารพุทธฯ แน่นอน
   ๕.๓ จะไม่ไปข้องแวะเงินศาสนสมบัติกลางเด็ดขาด เพราะมีการบริหารกองทุนอย่างเป็นธรรมาภิบาลแล้ว


      "บัดนี้ หลังจากพวกเราได้เข้าพบ พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเปิดใจกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว เราพบหนทาง มองเห็นแสงสว่าง และมีความหวังอย่างที่สุดว่า รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะทำความปรารถนาของพระสงฆ์และชาวพุทธทั่วประเทศให้บรรลุเป้าหมายแน่นอน" พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121121/145372/นิวัฒน์ธำรงรับปากดันคลอดธ.พุทธ.html#.UK1ldWfvolh
22497  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตะลึง.! งานศพ..."ใส่เสื้อสีแดงทั้งงาน" เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2012, 06:33:18 am


ตะลึง.! งานศพ..."ใส่เสื้อสีแดงทั้งงาน"

ตะลึง งานศพ แม่เฒ่าชาวจีน อายุกว่า 100 ปี บรรดาลูกหลานต่างใส่เสื้อสีแดง ทั้งงาน

วันนี้  21 พ.ย  ที่ศาลาเอนกประสงค์วัดประทุมคณาวาส เขตเทศบาลเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม ได้มีพิธีสวดพระอภิธรรมศพนางเฮี๊ยะ แซ่โถว แม่เฒ่าชาวจีนซึ่งมีอายุยืนยาวถึง 101 ปีกับอีก 10 เดือน งานศพจัดขึ้น่ทามกลางความแปลกใจของผู้พบเห็นที่บรรดาลูกหลานผู้ตายกว่า 50 คน ต่างใส่เสื้อสีแดงกันทุกคน ส่วนผู้ที่มาร่วมงานก็ใส่เสื้อกันหลากสี

นางสุนีย์ แสงพงษ์ อายุ 64 ปี บุตรสาวนางเฮี๊ยะ เปิดเผยว่า มารดาเดินทางมาจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่พร้อมกับบิดามาอยู่ประเทศไทยที่จังหวัดสมุทรสงครามเมื่อกว่า 80 ปีมาแล้ว แรกๆ ประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ขาย เช่นหมู เป็ด ไก่ และมีลูกชาย-หญิง 6 คนต่อมาได้หันมาประกอบอาชีพประมงทะเลจนฐานะความเป็นอยู่เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ

กระทั่งเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2555 มารดาซึ่งปกติสุขภาพแข็งแรงดีเพราะชอบกินปลาทะเลและผักเป็นอาหารได้ป่วยมีไข้สูงลูกหลานจึงพาไปโรงพยาบาลและได้เสียชีวิตด้วยโรคชราเมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา บรรดาลูกหลานจึงนำศพกลับมาตั้งสวดพระอภิธรรมที่วัดประทุมคณาวาส ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน และเมื่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็ชอบมาทำบุญที่วัดนี้เป็นประจำ โดยกำหนดสวดพระอภิธรรมศพ 7 คืน จึงจะประชุมเพลิง





   
    ส่วนสาเหตุที่ลูกหลานใส่เสื้อสีแดงกันทุกคน นางสุนีย์ กล่าวว่า
    เพราะเป็นความเชื่อของชาวจีนว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวเกิน 100 ปี
    จะถือว่าเป็นคนมีบุญหมดทุกข์หมดโศกแล้ว

    เมื่อเสียชีวิตลูกหลาน จึงไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจ จึงไม่ต้องแต่งชุดขาวดำไว้ทุกข์
    นอกจากนี้สีแดงชาวจีนยังเชื่อว่าเป็นสีมงคล
    ส่วนแขกที่มาร่วมงานก็ใส่เสื้อได้หลากสีแล้วแต่ความสะดวก

 



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/168185
22498  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สนง.พระพุทธศาสนาฯ รับรอง 401 สถานีวิทยุพระพุทธศาสนา เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2012, 06:24:18 am


สนง.พระพุทธศาสนาฯ รับรอง 401 สถานีวิทยุพระพุทธศาสนา

'นพรัตน์'ผอ.พศ.เผย มส.รับรอง401วิทยุพระพุทธศาสนา ยื่นขอใบอนุญาต-สั่งห้ามจ้อการเมือง

     วันที่ 21 พ.ย. 55 นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้มีมติเห็บชอบแต่งตั้งให้พระพรหมเมธี กรรมการ มส. เป็นประธานคณะทำงานจดทะเบียนจัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสถานีโทรทัศน์ของคณะสงฆ์ในกำกับของ มส. โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะกรรมการผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานกิตติมศักดิ์และสมเด็จพระวันรัต กรรมการ มส. เป็นประธานที่ปรึกษาฯ

     ผู้อำนวยการ พศ. โดยในการประชุม มส.เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา พระพรหมเมธีได้นำรายชื่อสถานีวิทยุกระจายเสียงเพื่อพระพุทธศาสนาทั้งหมด 401 สถานี ซึ่งที่ประชุม มส. มีเห็นชอบรับรองรายชื่อสถานีวิทยุทั้งหมด เพื่อนำไปยื่นจดทะเบียนและขอใบอนุญาตจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) 

     อย่างไรก็ตามคณะทำงานชุดดังกล่าวยังได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของสถานีวิทยุทั้ง 401สถานีตามหลักเกณฑ์ของ กสทช.ประเภทวิทยุสาธารณะที่ไม่แสวงหาผลประโยชน์กำไรเรียบร้อยแล้ว



    นายนพรัตน์ กล่าวว่า การที่ มส.มีมติรับรองสถานีวิทยุชุมชนให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ มส.ในครั้งนี้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการเผยแพร่ด้านพระพุทธศาสนาอย่างมาก เนื่องจากสถานีวิทยุเหล่านี้เป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงประชาชนอย่างรวดเร็วและเมื่อวิทยุชุมชนเหล่านี้อยู่ภายใต้การกับดูแลของ มส.แล้ว ก็จะสามารถควบคุมและให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการสอนและการเทศน์ให้เป็นไปตามหลักการทางพระพุทธศาสนา

    อย่างไรก็ตามสถานีวิทยุดังกล่าวจะมุ่งดำเนินงานเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยไม่แสวงหาผลประโยชน์และไม่ยุ่งเกี่ยวด้านการเมืองแต่อย่างใด ที่สำคัญแต่ละสถานีต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของ กสทช. และ มส.อย่างเคร่งครัด


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121121/145338/มส.รับรอง401วิทยุพระพุทธศาสนา.html#.UK1gzGfvolh
http://cdn.learners.in.th/
22499  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พุทธศาสนิกชน..ร่วมงาน "ห่มผ้าแดง" วัดสระเกศฯ เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2012, 06:14:19 am


พุทธศาสนิกชน..ร่วมงาน "ห่มผ้าแดง" วัดสระเกศฯ

เมื่อวันที่ 21พ.ย. ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ ได้จัดพิธีอัญเชิญผ้าแดงห่มบรมบรรพต หรือภูเขาทอง เนื่องในงานเทศกาลประจำปี นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ วัดสระเกศฯ เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมทั้งสมโภชในวาระพุทธชยันตี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 85 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา

 สำหรับพิธีห่มผ้าแดง เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. ตั้งขบวนแห่บริเวณหอไตร พร้อมด้วยขวบวนช้างม้า ผู้แต่งกายด้วยชุดเทวดาสมณชีพราหมณ์ผู้ทรงศีล ตามด้วยขบวนชุดไทยโบราณ และขบวนพุทธศาสนิกชน ซึ่งขบวนผ้าแดงจะเวียนขวารอบวัด โดยมีพุทธศาสนิกชนร่วมงานจำนวนมากร่วมขบวนแห่ผ้าแดงที่มีความยาวมากกว่า 1 กิโลเมตร

จากนั้นได้มีการเคลื่อนขบวนแห่ผ้าแดงไปรอบวัดสระเกศฯ ก่อนที่จะมีการเคลื่อนขบวนเข้ามาภายในวัดด้านหน้าภูเขาทอง เพื่อทำพิธีเปิดเทศกาลประจำปี นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ วัดสระเกศฯ อย่างเป็นทางการ ในการนี้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กล่าวสัมโมทนียกถาว่า



พิธีอัญเชิญผ้าแดงห่มภูเขาทองนี้ เป็นประเพณีของวัดสระเกศฯที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่อดีต ถือว่าเป็นการสักการะ บูชาพระพุทธเจ้า ซึ่งการได้มีโอกาสร่วมแห่ผ้าแดงนี้จะถือว่าได้บุญกุศลอย่างยิ่ง และขอให้พุทธศาสนิกชนยึดมั่นในพระพุทธศาสนา ชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือว่าเป็น 3 สถาบันหลักของประเทศไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

จากนั้นพระพรหมสิทธิ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ได้นำขบวนแห่ผ้าแดงขึ้นไปบนยอดภูเขาทองเพื่อประกอบพิธีห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์ ซึ่งภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระสงฆ์ นำประทักษิณรอบองค์พระเจดีย์ 3 รอบ ถวายเครื่องสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ประจำทิศทั้ง 8 

จากนั้นกล่าวคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และอัญเชิญผ้าแดงขึ้นห่มองค์พระเจดีย์ พระสงฆ์ เจริญชัยมงคลคาถา และกล่าวคำลาเครื่องสักการะ ก่อนที่พุทธศาสนิกชนรับเครื่องสักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นอันเสร็จพิธี



ด้านพระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ กล่าวว่า จะมีการห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์เป็นเวลา 10 วัน คือตั้งแต่วันที่ 21-30 พ.ย นี้ ขณะเดียวกันตั้งแต่วันที่ 24 -30  พ.ย. จะมีงานวัดสระเกศฯ หรืองานวัดภูเขาทอง ที่จัดเป็นประจำทุกปีเนื่องเนื่องในงานเทศกาลประจำปี นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ

นอกจากนี้ ภายในงานยังจะมีการแสดงจากดาราศิลปิน การประกวดร้องเพลงลูกทุ่งภูเขาทองและเปิดตัว ศิลปินส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ของสำนักส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มาร้องเพลง “มหัศจรรย์แห่งรัก” ซึ่งแต่งขึ้นเองโดยสำนักส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ฯ ด้วย



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU16UTVNRFkxTnc9PQ==&subcatid=
22500  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดไตรมิตรฯ "สวดนพเคราะห์"....รับราหูย้ายตำแหน่งราชาโชค เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2012, 06:01:55 am


วัดไตรมิตรฯ "สวดนพเคราะห์"....รับราหูย้ายตำแหน่งราชาโชค

พระธรรมภาวนาวิกรม วัดไตรมิตรวิทยาราม เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า วันที่ 10 ธันวาคม 2555 ราหูจะย้ายเป็นตำแหน่งราชาโชคในราศีตุล ซึ่งสถิตในตำเเหน่งเดียวกับพระเสาร์ กล่าวได้ว่า
    ราหูเป็นราชาโชค เสาร์เป็นมหาอุจหนุนส่งกำลังถึงกัน
    ส่งผลให้มีโชคลาภและให้ผลผลิตมากมาย
    แต่อาจส่งผลร้ายอย่างเหลือเชื่อและรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว


    ดังนั้น ปลายปี 2555 เป็นต้นไป จะเห็นทั้งการเปลี่ยนแปลงในสภาวะรอบตัว และเพื่อรับกับเหตุการณ์ที่จะอุบัติขึ้น ตามตำนานโบราณ แม้ว่าราหูจะให้โทษ แต่หากผู้ใดที่บูชาพระราหูแล้ว จะพ้นจากบาปเคราะห์ด้วยเช่นกัน

   ดังนั้นวัดไตรมิตรวิทยาราม กำหนดจัดพิธีสวดนพเคราะห์ขึ้นในวันเสาร์ที่ 8 ธ.ค.2555 ตั้งแต่เวลา 18.18 น.
   สำหรับพิธีสวดนพเคราะห์ มีความเชื่อกันว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวมีความเกี่ยวโยงกับพระราหู ที่ได้อมพระอาทิตย์ เป็นสิ่งไม่ดี อัปมงคลต่างๆ จะเข้ามาในชีวิต การจัดพิธีสวดนพเคราะห์ขึ้น
   สำหรับพิธีสวดนพเคราะห์จัดทำขึ้นเพื่อบูชาเทวดาประจำวันเกิด มนุษย์ทุกนามจะมีเทวดาคอยปกปักรักษา





     พระธรรมภาวนาวิกรมกล่าวต่อว่า
     การบูชาเทวดาประจำวันเกิดนั้น เปรียบเสมือนเราเข้าพบปะผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือเป็นประจำ
     สำหรับพระราหูนั้น เป็นเทพองค์หนึ่ง ที่คอยช่วยมวลมนุษย์ ตามตำนานพระอาทิตย์กับพระจันทร์ เป็นศัตรูกับพระราหู แต่พระราหูไม่สามารถทำอะไรพระอาทิตย์กับพระจันทร์ได้ เพราะพระราหูมีแค่ท่อนบนไม่มีท่อนล่าง เพราะท่อนบนถูกจักรพระนารายณ์ตัดขาดครึ่งตัว   
     สาเหตุเนื่องจากไปขโมยกินน้ำอมฤต แต่กินไปแค่ครึ่งตัว จักรพระนารายณ์จึงตัดขาดแค่ครึ่งตัว อีกครึ่งตัวคือท่อนล่างไปเกิดเป็นพระเกตุ


    จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระราหูโกรธแค้นพระอาทิตย์กับพระจันทร์ ที่นำความไปฟ้องพระนารายณ์
     ดังนั้นไม่ว่าเหตุการณ์สุริยุปราคา (ราหูอมพระอาทิตย์) หรือ จันทรุปราคา (ราหูอมพระจันทร์)
     จึงมีความเกี่ยวข้องกับพระราหูอย่างยิ่ง วัดไตรมิตรวิทยารามจึงจัดพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคล จึงขอเชิญชวนเข้าร่วมพิธีโดยพร้อมเพรียงกัน



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNVEl4TVRFMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHhNUzB5TVE9PQ==
http://www.pixpros.net/,http://www.oknation.net/
22501  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ที่ว่า "พุทธศาสนามีอายุ ๕,๐๐๐ ปี" นั้น...มาจากไหน.? ใครเป็นคนกล่าว.? เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2012, 01:46:45 pm
 

อรรถกถา ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
พรหมชาลสูตร


    นี้เป็นกิจในปัจฉิมยาม.
     ก็วันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังกิจก่อนอาหารให้สำเร็จในกรุงราชคฤห์แล้ว ถึงเวลาหลังอาหารเสด็จดำเนินมายังหนทาง ตรัสบอกกรรมฐานแก่ภิกษุทั้งหลายในเวลาปฐมยาม ทรงแก้ปัญหาแก่เทวดาทั้งหลายในมัชฌิมยาม เสด็จขึ้นสู่ที่จงกรม ทรงจงกรมอยู่ในปัจฉิมยาม ทรงได้ยินภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปสนทนาพาดพิงถึงพระสัพพัญญุตญาณนี้ ด้วยพระสัพพัญญุตญาณนั่นแล ได้ทรงทราบแล้ว.


    ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวว่า เมื่อทรงกระทำกิจในปัจฉิมยาม ได้ทรงทราบแล้ว.
    ก็และครั้นทรงทราบแล้ว ได้มีพระพุทธดำริดังนี้ว่า ภิกษุเหล่านี้กล่าวคุณพาดพิงถึงสัพพัญญุตญาณของเรา ก็กิจแห่งสัพพัญญุตญาณไม่ปรากฏแก่ภิกษุเหล่านี้ ปรากฏแก่เราเท่านั้น เมื่อเราไปแล้ว ภิกษุเหล่านี้ก็จักบอกการสนทนาของตนตลอดกาล.

    แต่นั้น เราจักทำการสนทนาของภิกษุเหล่านั้นให้เป็นต้นเหตุ แล้วจำแนกศีล ๓ อย่าง
    บันลือสีหนาทอันใครๆ คัดค้านไม่ได้ ในฐานะ ๖๒ ประการ ประชุมปัจจยาการกระทำพุทธคุณให้ปรากฏ
    จักแสดงพรหมชาลสูตร อันจะยังหมื่นโลกธาตุให้หวั่นไหว ให้จบลงด้วยยอด คือ พระอรหัต
    ปานประหนึ่งยกภูเขาสิเนรุราชขึ้น และดุจฟาดท้องฟ้าด้วยยอดสุวรรณกูฏ
    เทศนานั้นแม้เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ก็จักยังอมตมหานฤพานให้สำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายตลอดห้าพันปี
    ครั้นมีพระพุทธดำริอย่างนี้แล้ว ได้เสด็จเข้าไปยังศาลามณฑลที่ภิกษุเหล่านั้นนั่งอยู่ ด้วยประการฉะนี้.


อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=09&A=1&Z=1071
ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=2



อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สุญญตวรรค
มหาสุญญตสูตร
๒. อรรถกถามหาสุญญตาสูตร 

   
      แต่นั้นทรงดำริว่า เราบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ ถึง ๔ อสงไขยแสนกัป ก็เพื่อกำจัดการอยู่รวมเป็นคณะ
      แต่ภิกษุเหล่านี้ นับจำเดิมแต่นี้ไป ภิกษุเหล่านี้ย่อมเกาะกลุ่มยินดีในหมู่ กระทำกรรมไม่สมควรเลย.


      พระองค์ทรงเกิดธรรมสังเวช เพราะภิกษุทั้งหลายเป็นเหตุ ทรงดำริว่า ถ้าเราจักบัญญัติสิกขาบทว่า
      ภิกษุสองรูปไม่พึงอยู่ในที่เดียวกัน แต่ไม่สามารถจะบัญญัติได้ เอาละ เราจะแสดงพระสูตรชื่อมหาสุญญตาปฏิบัติ ซึ่งจักเป็นเหมือนการบัญญัติสิกขาบทสำหรับกุลบุตรผู้ใคร่ต่อการศึกษา และเหมือนกระจกสำหรับส่องหมู่สัตว์ทุกหมู่เหล่าที่วางไว้ ณ ประตูเมือง แต่นั้นกษัตริย์เป็นต้นเห็นโทษของตนในกระจกบานหนึ่ง ละโทษนั้นย่อมเป็นผู้หาโทษมิได้ฉันใด

      แม้เมื่อเราปรินิพพานแล้วล่วงไปถึง ๕,๐๐๐ ปี กุลบุตรทั้งหลายย่อมระลึกถึงพระสูตรนี้
      จักบรรเทาความเป็นหมู่ ยินดีในเอกีภาพ จักกระทำที่สุดแห่งวัฏฏทุกข์ได้.
      กุลบุตรทั้งหลายระลึกถึงพระสูตรนี้แล้ว บรรเทาความเป็นหมู่ยังทุกข์ในวัฏฏะให้สิ้นไป แล้วปรินิพพานนับไม่ถ้วน เหมือนยังมโนรถของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้บริบูรณ์.


อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=4846&Z=5089
ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=343
ขอบคุณภาพจาก http://www.luangphor.org/,http://i294.photobucket.com/
22502  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ที่ว่า "พุทธศาสนามีอายุ ๕,๐๐๐ ปี" นั้น...มาจากไหน.? ใครเป็นคนกล่าว.? เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2012, 01:29:05 pm


อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค
ทักขิณาวิภังคสูตร
๑๒. อรรถกถาทักขิณาวิภังคสูตร 


    จริงอยู่ ทักขิไณยบุคคลที่ยอดเยี่ยมกว่าพระศาสดาไม่มี ตามพระบาลีว่า เพราะฉะนั้น ท่านอย่าถืออย่างนั้น ทักขิไณยบุคคลที่ถึงความเป็นผู้เลิศแห่งอาหุไนยบุคคลทั้งหลาย ผู้ต้องการบุญแสวงผลไพบูลย์ที่ประเสริฐที่สุด เช่นกับพระพุทธเจ้าไม่มีในโลกนี้ หรือในโลกอื่น.

      พระเจตนา ๖ ประการของพระนางมหาปชาบดีโคตมีนั้นรวมเข้ากันแล้ว จักมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ตลอดกาลนานอย่างนี้.
     ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายแก่สงฆ์ ทรงมุ่งหมายอะไร. ตรัสอย่างนั้น เพื่อชนรุ่นหลังและเพื่อทรงให้เกิดความยำเกรงในสงฆ์ด้วย.

     นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า เราไม่ดำรงอยู่นาน แต่ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ในพระภิกษุสงฆ์ ชนรุ่นหลังจงยังความยำเกรงในสงฆ์ให้เกิดขึ้น ดังนี้ จึงทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายสงฆ์.
     ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดาจึงทรงให้ถวายผ้าใหม่คู่หนึ่งแม้ที่พระนางจะถวายแด่พระองค์ให้แก่สงฆ์ ทักขิไณยบุคคลชื่อว่าสงฆ์


     เพราะฉะนั้น ชนรุ่นหลังยังความยำเกรงให้เกิดขึ้นในสงฆ์ จักสำคัญปัจจัยสี่เป็นสิ่งพึงถวาย สงฆ์เมื่อไม่ลำบากด้วยปัจจัยสี่ จักเรียนพระพุทธวจนะทำสมณธรรม เมื่อเป็นอย่างนั้น ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ดังนี้.


อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=9161&Z=9310
ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=706&p=1




พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
โคตมีสูตร


    ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงยอมรับครุธรรม ๘ ประการไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต ฯ

     พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ หากมาตุคามจักไม่ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์ก็ยังจะตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๑,๐๐๐ ปี แต่เพราะมาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตั้งอยู่นาน ทั้งสัทธรรมก็จักดำรงอยู่เพียง ๕๐๐ ปี

     ดูกรอานนท์ ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ที่มีหญิงมาก ชายน้อย ตระกูลนั้นถูกพวกโจรกำจัดได้ง่าย แม้ฉันใด มาตุคามได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนั้นจักไม่ตั้งอยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน

     อนึ่ง ขยอกลงในนาข้าวที่สมบูรณ์ นาข้าวนั้นก็ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน
     แม้ฉันใด เพลี้ยลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้นก็ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน
     แม้ฉันใด มาตุคามได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนั้น ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน

     อนึ่ง บุรุษกั้นคันสระใหญ่ไว้ก่อนเพื่อไม่ให้น้ำไหลออก แม้ฉันใด เราบัญญัติ ครุธรรม ๘ ประการ ไม่ให้ภิกษุณีก้าวล่วงตลอดชีวิตเสียก่อน ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=5753&Z=5887&pagebreak=0



อรรถกถา อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต สันธานวรรคที่ ๑
๑. โคตมีสูตร


     ก็ด้วยบทว่า มหโต ตฬากสฺส ปฏิกจฺเจว ปาลี นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความนี้ไว้ว่า เหมือนอย่างว่า เมื่อเขาไม่พูนคันกั้นสระใหญ่ น้ำสักหน่อยหนึ่งก็ไม่ขังอยู่เลย แต่เมื่อเขาปิดไว้ครั้งแรกนั่นแหละ น้ำใดที่ไม่ขังอยู่ เพราะไม่ปิดกั้นเป็นปัจจัย น้ำแม้นั้นก็พึงขังอยู่ได้ฉันใด.

     ครุธรรมเหล่านี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราบัญญัติเสียก่อนเพื่อประโยชน์จะไม่ให้นางภิกษุณีจงใจล่วงละเมิดในเมื่อเรื่องยังไม่เกิดขึ้น เพราะเมื่อเราไม่บัญญัติครุธรรมเหล่านั้น เพราะมาตุคามบวช พระสัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๕๐๐ ปี แต่ครุธรรมที่เราบัญญัติไว้เสียก่อน พระสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้อีก ๕๐๐ ปี รวมความว่าพระสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้เพียง ๑,๐๐๐ ปี ซึ่งได้ตรัสไว้ก่อนดังกล่าวมาฉะนี้.

     ก็คำว่า วสฺสสหสฺสํ นี้
     ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเท่านั้น แต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น
     ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก
     ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระอนาคามี
     ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระสกทาคามี
     ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระโสดาบัน

     ปฏิเวธสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีโดยอาการดังกล่าวมานี้
     แม้พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหมือนกัน.

     เพราะเมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็มีไม่ได้ แม้เมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็ไม่มี ก็เมื่อปริยัติธรรมแม้อันตรธานไปแล้ว เพศ (แห่งบรรพชิต) ก็จักแปรเป็นอย่างอื่นไปแล.


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=141
ขอบคุณภาพจาก http://www.dhammajak.net/,https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/,http://www.kammatan.com/
22503  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ที่ว่า "พุทธศาสนามีอายุ ๕,๐๐๐ ปี" นั้น...มาจากไหน.? ใครเป็นคนกล่าว.? เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2012, 01:00:45 pm

ผมขอนำเนื้อความในพระสูตร/พระวินัย/อรรถกถาและคัมภีร์ต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับอายุของศาสนาพุทธ หรือพระสัทธรรมเลือนหาย มาแสดงบางส่วน

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒
พรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่นาน


    [๕๑๘] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม ๘ ประการแล้ว พระมาตุจฉาของพระผู้มีพระภาค อุปสมบทแล้ว

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นานสัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ตลอดพันปี
    ก็เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว บัดนี้ พรหมจรรย์จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง ๕๐๐ ปีเท่านั้น


    ดูกรอานนท์ สตรีได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด ธรรมวินัยนั้นเป็นพรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่ได้นาน เปรียบเหมือนตระกูลเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีหญิงมาก มีชายน้อย ตระกูลเหล่านั้นถูกพวกโจรผู้ลักทรัพย์กำจัดได้ง่าย อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนหนอนขยอกที่ลงในนาข้าวสาลีที่สมบูรณ์ นาข้าวสาลีนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนเพลี้ยที่ลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน

    ดูกรอานนท์ บุรุษกั้นทำนบแห่งสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้น้ำไหลไป แม้ฉันใด เราบัญญัติครุธรรม ๘
ประการแก่ภิกษุณี เพื่อไม่ให้ภิกษุณีละเมิดตลอดชีวิต ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ


    ครุธรรม ๘ ประการของภิกษุณี จบ


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=7&A=6253&Z=6271&pagebreak=0



อรรถกถา ภิกขุนิกขันธก วรรณนา [ว่าด้วยครุธรรม ๘]
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 499


    ก็แล ด้วยคำว่า มหโต ตฬากสฺส ปฏิกจฺเจว ปาลึ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเนื้อความนี้ว่า เมื่อชอบแห่งสระใหญ่แม้ไม่ได้ก่อแล้ว น้ำน้อยหนึ่งพึงขังอยู่ได้, แต่เมื่อได้ก่อขอบไว้เสียก่อนแล้ว น้ำใดไม่พึงขังอยู่ เพราะเหตุที่มิได้ก่อขอบไว้, น้ำแม้นั้นพึงขังอยู่ได้ เมื่อได้ก่อขอบแล้ว ข้อนี้ฉันใด;

     ครุธรรมเหล่านี้ใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรีบบัญญัติเสียก่อน เพื่อกันความละเมิด ในเมื่อยังไม่เกิดเรื่อง, เมื่อครุธรรมเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้มิได้ทรงบัญญัติ พระสัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ห้าร้อยปี เพราะเหตุที่มาตุคามบวช, แต่เพราะเหตุที่ทรงบัญญัติครุธรรมเหล่านั้นไว้ก่อน พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ได้อีกห้าร้อยปี ข้อนี้ ก็ฉันนั้นแล จึงรวมความว่า พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดพันปีที่ตรัสทีแรกนั่นเอง ด้วยประการฉะนี้.

   
     - แต่คำว่า พันปี นั้น พระองค์ตรัสด้วยอำนาจพระขีณาสพ ผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น. แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง
     - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ,
     - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามี,
     - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี,
     - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจพระโสดาบัน,

     รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดห้าพันปี ด้วยประการฉะนี้.

     ฝ่ายพระปริยัติธรรม จักตั้งอยู่เช่นนั้นเหมือนกัน.
     เมื่อปริยัติไม่มีปฏิเวธจะมีไม่ได้เลย เมื่อปริยัติมี ปฏิเวธจะไม่มี ก็ไม่ได้.
     แต่เมื่อปริยัติ แม้เสื่อมสูญไปแล้ว เพศจะเป็นไปตลอดกาลนานฉะนี้แล.


ที่มา http://www.thepalicanon.com/91book/book09/451_500.htm



อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
สัมปสาทนียสูตร

     
      ได้ยินว่า ระหว่างกาลของพระกัสสปะพุทธเจ้า หนึ่งไม่สามารถจะดำรงศาสนาไว้ได้.
      ก็เมื่อปิฎกทั้งสองถึงจะอันตรธานไป เมื่อวินัยปิฎกดำรงอยู่ ศาสนาก็ดำรงอยู่ได้.
      เมื่อบริวารขันธกะอันตรธานไป เมื่ออุภโตวิภังค์ยังดำรงอยู่ ศาสนาก็เป็นอันตั้งอยู่ได้แท้.
      เมื่ออุภโตวิภังค์อันตรธานไป แม้เมื่อมาติกายังดำรงอยู่ ศาสนาก็เป็นอันตั้งอยู่ได้แท้
.

     เมื่อมาติกาอันตรธานไป เมื่อปาฏิโมกข์ บรรพชาและอุปสมบท ยังดำรงอยู่ศาสนาก็ย่อมดำรงอยู่ได้.
     เพศยังเป็นไปอยู่ได้นาน. แต่วงศ์ของสมณะผู้นุ่งผ้าขาว ไม่สามารถจะดำรงศาสนาไว้ได้

     ตั้งแต่กาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ.
     ศาสนาดำรงอยู่ได้ตลอดพันปีด้วยภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทา.
     ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้ทรงอภิญญา ๖.
     ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้ทรงวิชชา ๓.
     ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้เป็นสุกขวิปัสสกะ.
     ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยเหล่าภิกษุผู้ทรงปาฏิโมกข์.


    ก็ศาสนาย่อมมีอันทรุดลง ตั้งแต่การแทงตลอดสัจจะของภิกษุรูปหลังๆ
    และแต่การทำลายศีลของภิกษุรูปหลังๆ.

    จำเดิมแต่นั้นไป การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ท่านมิได้ห้ามไว้.


อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=11&A=2130&Z=2536
ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11.0&i=73&p=2
ขอบคุณภาพจาก http://www.watisan.com/,http://www.pralanna.com/,http://www.bloggang.com/
22504  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เมื่อต้อง "ทำงานร่วมกับคนโกง"...ทำอย่างไรดี.? เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2012, 12:14:39 pm


เมื่อต้อง "ทำงานร่วมกับคนโกง"...ทำอย่างไรดี.?
เมื่อต้องทำงานร่วมกับคนขี้โกงทำอย่างไรดี? : ปุจฉา -วิสัชนา กับพระไพศาล วิสาโล

ปุจฉา - กราบนมัสการพระอาจารย์ อยากสอบถามเพื่อขอธรรมเป็นทางชีวิต เมื่อต้องทำงานร่วมกับคนที่มีพฤติกรรมเสื่อม เช่น ยักยอกเงินและเวลาทำงาน เมื่อเราเลี่ยงไม่ได้ยังต้องทำงานร่วม อยากถามพระอาจารย์ว่าธรรมใดจะเป็นเกราะป้องกันตัวและใจได้ เมื่อต้องอยู่ใกล้กับคนประเภทนี้ และในบางครั้งจะใช้อำนาจการงานมาบีบให้เราเดินทางเสื่อมตาม ขอกราบพระคุณเจ้า

วิสัชนา :  อย่างแรกที่คุณควรมี คือ สติรู้เท่าทันความเกลียด หรือความรู้สึกลบ ที่มีต่อคนเหล่านี้
     เพราะหากคุณเกลียดชังหรือรู้สึกลบต่อเขา คุณจะมีความทุกข์มากเวลาทำงานร่วมกับเขา
     และหากเป็นไปได้ควรมีเมตตาต่อคนเหล่านั้นให้มาก เพราะเขากำลังสร้างบาปกรรมโดยไม่รู้ตัว
     อย่างไรก็ตาม คนที่จะได้รับประโยชน์จากความเมตตาดังกล่าวก็คือ ตัวคุณนั่นเอง
     เพราะเมตตาจะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ความเกลียดชังครอบงำจิตใจของคุณ


     ขณะเดียวกันคุณก็ควรมีขันติธรรมด้วย เพราะอาจอารมณ์เสียได้ง่ายเวลาทำงานกับเขาเหล่านั้น
     พยายามอดกลั้น อย่าลุแก่อารมณ์หรือบันดาลโทสะ เพราะจะทำให้คุณมีศัตรูเพิ่มขึ้น

     พร้อมกันนั้นคุณควรเสริมสร้างฉันทะในงานให้มีขึ้นหรือเพิ่มขึ้น เพราะจะช่วยให้คุณทำงานอย่างมีความสุข ความสุขนั้นจะหล่อเลี้ยงใจคุณให้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและไม่หวั่นไหวง่ายเมื่อประสบอุปสรรคโดยเฉพาะจากเพื่อนร่วมงาน



เมื่อเพื่อนเศร้า...เราควรทำอย่างไร

ปุจฉา : กราบนมัสการพระอาจารย์ ขออนุญาตเรียนถามว่าหากเราโทรศัพท์ไปหาเพื่อนแล้วเสียงตอบมาเป็นเสียงเพื่อนที่กำลังร้องไห้ คุยกับเราก็ร้องไห้อยู่ พร่ำพูดว่าอยู่ตัวคนเดียวแล้วทุกคนทิ้งไปหมดแล้ว เราก็บอกให้คิดถึงตนเองให้ได้ก่อน คิดถึงลมหายใจของตนเอง มีแค่นี้เอง เขาก็บอกไม่ได้ คิดแต่ว่าคนทิ้งไปและร้องไห้ตลอด จนเขาวางหูไป ก็ยังไม่หยุดร้อง คุยกันอยู่ประมาณ 5 นาที เราควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ? นมัสการขอบพระคุณเจ้าค่ะ

วิสัชนา : เวลาคนมีความทุกข์แบบนั้น การแนะนำธรรมะหรือให้ข้อคิดที่เป็นเหตุผลนั้น มักมีประโยชน์น้อย เพราะใจเขายังไม่พร้อมที่จะรับฟัง แต่หากให้กำลังใจเขา จะช่วยได้มากกว่า เช่น บอกให้เขารู้ว่าเขายังมีคนอื่นที่รักเขา เช่น พ่อแม่ มิตรสหาย หรืออย่างน้อยเขาก็ยังมีคุณอีกคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนเขาและพร้อมจะช่วยเหลือเขา

     ที่จริงเพียงแค่คุณรับฟังเขาระบายความทุกข์ก็ช่วยเขาได้มาก
     เพราะเวลาคนเรามีความทุกข์ ย่อมอยากมีคนรับฟังหรือพร้อมจะเข้าใจเขา
     โดยไม่ด่วนตัดสินว่า "เขาผิด เลวหรือโง่"
     ระหว่างที่เขาร้องไห้ก็ควรปล่อยให้เขาร้องไห้ให้เต็มที่ โดยคุณแค่รับรู้และอยู่เป็นเพื่อนเขา
     ต่อเมื่อเขารู้สึกดีขึ้นแล้ว จึงค่อยแนะนำธรรมะหรือข้อเตือนให้เขา 
     เพราะตอนนั้นเขาจะพร้อมมากขึ้นในการรับฟังคำแนะนำหรือคำท้วงติง


      เปิดสายด่วนให้คำปรึกษาทางจิตใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย
      โทร.๐-๒๘๘๒-๔๙๕๒ และ ๐๘-๖๐๐๒-๒๓๐๒
      จันทร์ถึงศุกร์ เวลา ๑๐.๐๐-๑๖.๐๐ น.


ขอบคุณบทความและภาพจาก
www.komchadluek.net/detail/20121121/145291/เมื่อต้องทำงานร่วมกับคนโกงทำอย่างไรดี.html#.UKxfnGfvolh
http://blog.th.88db.com/,http://palungjit.com/
22505  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / จัดยิ่งใหญ่.! "พิธีห่มผ้าแดงภูเขาทอง" วัดสระเกศ...๒๑–๓๐ พฤศจิกายนนี้ เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2012, 11:56:11 am

จัดยิ่งใหญ่.! "พิธีห่มผ้าแดงภูเขาทอง" วัดสระเกศ...๒๑–๓๐ พฤศจิกายนนี้

จัดยิ่งใหญ่พิธีห่มผ้าแดงภูเขาทองวัดสระเกศ พิธีโบราณอันศักดิ์สิทธิ์สืบทอดกันมานับร้อยปี ระหว่าง ๒๑ – ๓๐ พฤศจิกายนนี้

     ๒๐พ.ย.๒๕๕๕ พระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ  ผู้ช่วยเลขานุการ สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ เปิดเผยว่า งานภูเขาทองปีนี้ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ตระหนักถึงการสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามเพื่อดำรงและสืบทอดพระพุทธศาสนาจึงได้ร่วมกันจัดงานสืบสานตำนาน
    “พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ (งานห่มผ้าแดง) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ๒๕๕๕” 
    ระหว่างวันที่ ๒๑ – ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เวลา ๐๗.๐๐ น.- ๒๔.๐๐ น. ของทุกวัน


    พิธีห่มผ้าแดงภูเขาทองนี้นับเป็นพิธีโบราณอันศักดิ์สิทธิ์สืบทอดกันมานับร้อยปีเหมือนในครั้งอดีตกาลที่เริ่มในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕  จัดอย่างยิ่งใหญ่  เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาในโอกาสที่พระพุทธศาสนามีอายุครบ ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๕ พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา

    โดยจะมีขบวนแห่ในเช้าตรู่ของวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕  เวลา ๐๖.๐๐ น. 
    เป็นพิธีห่มผ้าแดงย้อนยุคสมัยรัชกาลที่ ๕ อย่างอลังการ โดยได้จัดให้มีขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่อลังการตามแบบอย่างประเพณีโบราณ เริ่มจากขบวนผู้แต่งกายด้วยชุดเทวดา สมณชีพราหมณ์ผู้ทรงศีล  และตามด้วยประชาชนในชุดไทยโบราณ โดยจะมีพุทธศาสนิกชนหลายหมื่นคนร่วมขบวนอัญเชิญผ้าแดงยาวหลายร้อยเมตร แห่ไปตามถนนสายต่าง ๆ อย่างสวยงาม ยิ่งใหญ่อลังการ  เพราะเชื่อว่าอานุภาพแห่งการบูชาพระบรมสารีริกธาตุจะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต  อันตรายนานาประการอันตรธานไปสิ้น  เป็นความเชื่อที่สืบมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล


     ริ้วขบวนอัญเชิญผ้าแดงเคลื่อนออกจากมณฑลพิธี หน้าหอไตรวัดสระเกศ ทำประทักษิณเวียนขวารอบวัดผ่านไปตามถนนสายต่างๆ แล้วกลับเข้าวัดตามถนนหน้าพระตำหนัก  จากนั้นจึงอัญเชิญผ้าแดงขึ้นทำประทักษิณห่มองค์พระเจดีย์บรมบรรพต  มีประชาชนมาร่วมพิธีอย่างมากมาย

     ตกเย็น เวลา ๑๙.๐๐ น เป็นต้นไป มีกิจกรรมการแสดงจากดาราศิลปิน
     การประกวดร้องเพลงลูกทุ่งของเยาวชน “ดาวรุ่งภูเขาทอง” เวทีกิจกรรมกลางการแสดงต่างๆ การแสดงดนตรีไทยและการแสดงของเด็ก  ณ บริเวณลานพระวิหารพระอัฏฐารสฯ รวมถึงมีร้านค้าจากทั่วประเทศหยิบเอาของดีของเด่นแต่ละจังหวัดมาจัดแสดงสินค้า  การออกร้านค้างานวัดภูเขาทองย้อนยุคสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้เหมือนจริง ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ ๕๐ ปี ขึ้นไป เห็นบรรยากาศ คงอดคิดถึงวันเก่าๆ ที่เคยเที่ยวงานวัดไม่ได้


   
     ขณะเดินขึ้นภูเขาทองมีเสียงธรรมะตามสายของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ให้ฟังตลอดทาง ฟังแล้วรู้สึกชุ่มชื่นใจ ลืมความวุ่นวายสับสนจากโลกภายนอกไปได้ชั่วขณะ ด้านบนองค์พระเจดีย์ลมพัดเย็นสบาย มองเห็นทิวทัศน์ได้รอบทิศ  กรุงเทพมหานครยามค่ำคืนช่างงดงาม  แสงไฟส่องสว่างเจิดจรัสทั่วพระนคร  เหมือนนครหลวงแห่งนี้ไม่เคยหลับใหล

     ได้รับคำแนะนำจากพระสงฆ์ว่า แสงสีเขียวเรืองรองบนยอดองค์พระเจดีย์นั้น เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ  ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ยิ่งทำให้เกิดปีติ  มองไปรอบข้าง  ผู้คนต่างมีดอกไม้ธูปเทียนในมือ มีจิตใจมั่นคงแน่วแน่เดินทำประทักษิณเวียนขวารอบองค์พระเจดีย์  บูชาพระบรมสารีริกธาตุ  บรรยากาศน่าศรัทธายิ่ง

     เมื่อเดินกลับลงมาด้านล้างแวะไหว้  “หลวงพ่อโต”  “หลวงพ่อดำ”  “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)”  และ “รอยพระพุทธบาท”  ซึ่งประดิษฐานอยู่บริเวณรอบบรมบรรพต  แต่พระพุทธรูปองค์หนึ่งที่ทำให้สะดุดตามาก คือ พระพุทธรูปยืนสูงสง่า ยังไม่เคยเห็นที่วัดไหน ในกรุงเทพมหานคร ได้รับคำแนะนำจากพระสงฆ์ว่า พระพุทธรูปองค์นี้ คือ
    “พระอัฏฐารส” พระพุทธรูปประทับยืนปางห้ามญาติ ศิลปะสกุลช่างสมัยสุโขทัยตอนต้น มีความสูงถึง ๑๐.๗๕ เมตร อายุเก่ากว่า ๗๐๐ ปี รัชกาลที่ ๓ อัญเชิญมาจากวัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก ทางวัดเปิดพระวิหารให้ประชาชนได้กราบไหว้เป็นกรณีพิเศษ 
    นอกจากนั้น ยังมีการละเล่นต่างๆ ให้ชมมากมาย  มีอาหารให้ชิมหลากหลาย เรียกว่า เที่ยวงานภูเขาทอง อิ่มทั้งบุญอิ่มทั้งท้อง

    ทั้งนี้หากพูดถึงงานวัด คนในรุ่นก่อนไม่มีใครไม่รู้จักงานภูเขาทอง วัดสะเกศ เป็นงานที่มีสีสัน เต็มไปด้วยการแสดง การละเล่น และของกินมากมาย  ในแต่ละปีผู้คนต่างรอคอยงานวัดภูเขาทองอย่างใจจดใจจ่อ เพราะปีหนึ่งจะมีโอกาสได้เที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินครั้งหนึ่ง

     งานวัดสระเกศนั้นมีความเก่าแก่ที่สุดของกรุงเทพมหานคร ที่ยังจัดมาจนถึงปัจจุบัน เริ่มมีมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เกี่ยวเนื่องกับงานเทศกาลการละเล่นทางน้ำ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ทรงโปรดให้ขุดคลองใหญ่ข้างวัดสระเกศขึ้นคลองหนึ่ง พระราชทานนามว่า “คลองมหานาค” เพื่อให้ชาวพระนครเล่นเพลงเรือ เล่นสงกรานต์ และลอยกระทง ในเทศกาลทางน้ำ ตามแบบอย่างคลองมหานาคที่ทุ่งภูเขาทอง ครั้งกรุงศรีอยุธยา  จึงเป็นเหตุให้เกิดงานวัดสระเกศสืบต่อมา 

      ครั้นต่อมา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงเห็นว่า  ที่คลองมหานาค  วัดสระเกศ เริ่มมีประชาชนมาเที่ยวงานเทศกาลทางน้ำมากขึ้นทุกปี จึงโปรดให้หล่อพระพุทธรูปขึ้นองค์หนึ่ง ประดิษฐานไว้ที่ริมคลองท่าน้ำวัดสระเกศ  เพื่อให้ประชาชนที่มาเที่ยวงานเทศกาลได้เคารพสักการะบูชา   และถวายพระนามว่า “หลวงพ่อโต”  ภายหลัง เมื่อบ้านเมืองเจริญมากขึ้น จึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่เชิงบรมบรรพต ภูเขาทอง หันพระพักตร์ออกสู่คลองมหานาคเช่นเดิม



     งานวัดสระเกศเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น และเป็นที่รู้จักของประชาชนอย่างกว้างขวางในสมัยรัชกาลที่ ๕
     เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างภูเขาทองต่อจากรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ จนแล้วเสร็จ พระองค์ได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากรัฐบาลอินเดีย ที่ขุดได้จากกรุงกบิลพัสดุ์ โดยมิสเตอร์ วิลเลียม  เปปเป ชาวอังกฤษ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้บรรจุประดิษฐานไว้บนองค์บรมบรรพต ภูเขาทอง และโปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เป็นเวลา ๗ วัน  ๗ คืน  ในช่วงเทศกาลลอยกระทง จนกลายเป็นประเพณีนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ  สำหรับชาวพระนครที่เก่าแก่ที่สุดสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน


     หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์  ปราโมช ได้เขียนเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุ ไว้ในคอลัมน์ซอยสวนพลู หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ว่า  “ประเทศไทยนี้มีเจดีย์และที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุมากมาย แต่ที่แน่ใจว่าพระบรมสารีริกธาตุองค์จริง คือ องค์ที่บรรจุที่บรมบรรพต ภูเขาทอง
    เพราะมีบันทึกเป็นจดหมายเหตุประกอบโดยละเอียดตั้งแต่ขุดพบจนอัญเชิญจากประเทศอินเดียมาสู่ประเทศไทย ประกอบกับทางประเทศอินเดีย ก็มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานอีกด้วย
     ครั้นคณะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาถึงเมืองสมุทรปราการ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานในวิหาร เกาะพระสมุทรเจดีย์ ทำเพื่อการเฉลิมฉลอง
     และที่พระสมุทรเจดีย์นี้เอง พระบรมสารีริกธาตุได้เกิดปาฏิหาริย์ 
     ส่องแสงสว่างแวววาวออกจากองค์พระบรมสารีริกธาตุ  เป็นที่อัศจรรย์”


     นอกจากนั้น วัดสระเกศยังเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์และราชวงศ์จักรี เดิมมีชื่อว่า “วัดสะแก” เป็นวัดเก่าแก่มาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี   เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  รัชกาลที่ ๑  ครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ไปราชการสงครามที่กรุงกัมพูชา ทรงทราบข่าวว่ากรุงธนบุรีเกิดจลาจล
     จึงยกทัพกลับมาถึงบริเวณวัดสะแก ทรงเห็นว่าเป็นสถานที่ต้องตามหลักพิชัยสงคราม  จึงประกอบพิธีมูรธาภิเษกขึ้นบริเวณสระน้ำที่วัดสะแก อันเป็นที่ตั้งหอไตรในปัจจุบัน ก่อนเสด็จไปปราบจลาจลในกรุงธนบุรี ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ผ่านพิภพเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี

     ภายหลังเมื่อทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์แล้ว จึงทรงสถาปนา “วัดสะแก” เป็น “วัดสระเกศ” พระอารามหลวง เพื่อเฉลิมพระเกียรติให้ต้องตามสถานที่ที่พระองค์ประกอบพิธีมูรธาภิเษก  วัดสระเกศจึงถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และราชวงศ์จักรี

     ต่อมาสระที่นำน้ำขึ้นมาทำน้ำพระพุทธมนต์ในพิธีมูรธาภิเษกได้ถูกถมไป  เพราะถือว่าสระน้ำที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้แล้วไม่ควรที่ประชาชนทั่วไปจะใช้อีก ยังคงปรากฏอยู่แต่หอไตร นอกจากนั้น  ยังมีพระตำหนักรัชกาลที่ ๑ อยู่บริเวณเดียวกับหอไตร เดิมเป็นเรือนไม้ 
     ต่อมารัชกาลที่ ๓ ได้เปลี่ยนเป็นตึกก่ออิฐถือปูนในคราวที่บูรณะวัดสระเกศทั้งพระอาราม  เพราะพระองค์เกรงว่าหากพระตำหนักยังเป็นเรือนไม้อาจจะทรุดโทรมเสียหายได้ง่าย  ภายในพระตำหนักมีภาพจิตรกรรมฝาผนังลวดลายกระบวนจีน  อันแสดงถึงลักษณะเฉพาะของจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่ ๓


     
     พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ กล่าวว่า
    พระเจดีย์บรมบรรพต ภูเขาทอง ได้จำลองแบบมาจากพระเจดีย์วัดภูเขาทอง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  มีความสูงประมาณ ๑๐๐ เมตร ความกว้างโดยรอบเส้นศูนย์กลางประมาณ ๕๐๐ เมตร  สร้างโดยพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีถึง ๓ พระองค์ด้วยกัน คือ 
     พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ 
     พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และ
     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ 
    โดยใช้เวลาในการก่อสร้างเป็นเวลากว่า ๕ ทศวรรษ 


    ครั้นสร้างแล้วเสร็จ รัชกาลที่ ๕ ก็ได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากรัฐบาลอินเดีย ที่ขุดได้จากกรุงกบิลพัสดุ์ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้บรรจุประดิษฐานไว้บนองค์บรมบรรพต ภูเขาทอง และโปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ นับว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากที่เหตุการณ์มีความสอดคล้องกันเช่นนี้

     งานเทศกาลนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ  จะเริ่มด้วยการห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์ก่อนวันงาน ๓ วัน เพื่อเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า งานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุเริ่มขึ้นแล้ว เป็นพิธีที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ชาวพระนครให้ความสำคัญมาก 
    เพราะเชื่อว่าเป็นพิธีทำให้เกิดสิริมงคล อานุภาพแห่งการบูชาพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในชีวิต  แคล้วคลาดปลอดภัย เป็นความเชื่อที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล

      ปรากฏความว่า หลังพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๓ พรรษา เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายแก่ชาวเมืองเวสาลี ผู้คนประสบภัยพิบัตินานาประการ ทั้งข้าวยากหมากแพง ฝนแล้ง ภูตผีปีศาจทำอันตราย บ้านเมืองกระด้างกระเดื่อง เกิดโจรผู้ร้ายเข่นฆ่าชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ ไม่เว้นแม้แต่สมณพราหมณ์ผู้ทรงศีล ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก

      เมื่อพระพุทธองค์เสด็จสู่เมืองเวสาลี  ความทุกข์ความเดือดร้อนวุ่นวายก็พลันหายไปสิ้น  เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ประชาชนโดยทั่วไป  เมื่อโรคภัยไข้เจ็บหายก็ทำให้ประชาชนมาแวดล้อมพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นการชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล
      พระพุทธองค์ตรัสว่า สิ่งที่เกิดเช่นนี้มิใช่เรื่องน่าอัศจรรย์ 
      แต่เป็นเพราะอานุภาพแห่งบุญบารมี ที่พระองค์เคยเอาผ้าประดับบูชาเจดีย์ในอดีตชาติ



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121120/145282/จัดยิ่งใหญ่พิธีห่มผ้าแดงภูเขาทองวัดสระเกศ.html#.UKxYKmfvolh
22506  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เรื่องที่ควรพูด ๑๐ ประการ อันเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2012, 09:29:03 am


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
๒. มหาสุญญตสูตร (๑๒๒)
   
     [๓๕๑] พ. ดูกรอานนท์ สาวกไม่ควรจะติดตามศาสดาเพียงเพื่อฟังสุตตะ เคยยะ และไวยากรณ์เลย
     นั่นเพราะเหตุไร เพราะธรรมทั้งหลายอันพวกเธอสดับแล้ว ทรงจำแล้ว คล่องปากแล้ว เพ่งตามด้วยใจแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยความเห็น เป็นเวลานาน


     ดูกรอานนท์ แต่สาวกควรจะใกล้ชิดติดตามศาสดาเพื่อฟังเรื่องราวเห็นปานฉะนี้ ซึ่งเป็นเรื่องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เป็นที่สบายแก่การพิจารณาทางใจ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายส่วนเดียว เพื่อความกำหนัด เพื่อดับกิเลส เพื่อสงบกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน คือ
         - เรื่องมักน้อย
         - เรื่องยินดีของของตน
         - เรื่องความสงัด
         - เรื่องไม่คลุกคลี
         - เรื่องปรารภความเพียร
         - เรื่องศีล เรื่องสมาธิ
         - เรื่องปัญญา
         - เรื่องวิมุตติ
         - เรื่องวิมุตติญาณทัสสนะ ฯ


     ดูกรอานนท์ เมื่อเป็นเช่นนั้น จะมีอุปัททวะของอาจารย์ อุปัททวะของศิษย์ อุปัททวะของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ฯ

______________________
อุปัทว-, อุปัทวะ
    [อุปัดทะวะ-, อุบปัดทะวะ-] ว. อุบาทว์, อัปรีย์, จัญไร, ไม่เป็นมงคล, นิยมใช้คู่กับคำ อันตราย เป็น อุปัทวันตราย. (ป. อุปทฺทว; ส. อุปทฺรว).


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ บรรทัดที่ ๔๘๔๖ - ๕๐๘๙. หน้าที่ ๒๐๖ - ๒๑๕.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=4846&Z=5089&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=343
ขอบคุณภาพจาก http://www.dmc.tv/



คำพูดเป็นประโยชน์ ๑๐ เรื่อง
    เรื่องที่ควรพูด ๑๐ ประการ อันเป็นไปเพื่อขูดเกลากิเลส คือ
         ๑. เรื่องปรารถนาน้อย
         ๒. เรื่องสันโดษ
         ๓. เรื่องความสงบสงัด
         ๔. เรื่องไม่คลุกคลี
         ๕. เรื่องมีความเพียร
         ๖. เรื่องศีล
         ๗. เรื่องสมาธิ
         ๘. เรื่องปัญญา
         ๙. เรื่องวิมุตติ
       ๑๐. เรื่องวิมุตติญาณทัสสนะ



ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=38621
ขอบคุณภาพจาก http://www.watbangklan.com/
22507  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อย.เตือนใช้ "พาราเซตามอล" เกินปริมาณ-เสี่ยงตับวาย "รักษาไม่ได้ทุกอาการปวด" เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2012, 08:29:28 am

อย.เตือนคนไทยใช้"พาราเซตามอล"
เกินปริมาณกำหนด-เสี่ยงตับวายตาย ระบุไม่ได้รักษาได้ทุกอาการปวด !!

     นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากข้อมูลการใช้ยาพาราเซตามอลของคนไทยพบว่า
          ส่วนใหญ่มักใช้ยาพาราเซตามอลเกินกว่าปริมาณที่กำหนด
          เนื่องจากมองว่าเป็นยาพื้นฐาน มีความปลอดภัย
          และเข้าใจว่าสามารถรักษาได้ทุกอาการปวด
     แต่ในความเป็นจริง ยาพาราเซตามอลมีฤทธิ์แก้ปวด ลดไข้เท่านั้น และไม่ควรใช้ติดต่อกันนานๆ
     เพราะอาจนำไปสู่การเกิดพิษต่อตับ จนนำไปสู่ภาวะตับวาย และเสียชีวิตในที่สุด


โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคในการใช้ยาพาราเซตามอล จึงได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาที่ต้องแจ้งคำเตือนการใช้ยาไว้ในฉลากและเอกสารกำกับยา กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ยาที่มีส่วนประกอบของพาราเซตามอล ทั้งที่เป็นยาสามัญ และยาสามัญประจำบ้าน ต้องมีข้อความคำเตือนบนฉลาก ได้แก่

     1) ถ้าใช้ยานี้เกินขนาดที่ระบุไว้บนฉลากหรือเอกสารกำกับยา จะทำให้เป็นพิษต่อตับได้ และไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 5 วัน และ
     2) ผู้ที่เป็นโรคตับ โรคไต ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
     รวมทั้ง อย.มีมาตรการกำหนดให้ฉลากยาระบุวิธีใช้ยาอย่างเคร่งครัด คือ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด ไม่เกินวันละ 4 ครั้ง และต้องมีขนาดบรรจุเป็นแผงละ 4 และ 10 เม็ดเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคใช้ยาเกินขนาดที่ระบุไว้ข้างต้น



     เลขาธิการ อย.กล่าวในตอนท้ายว่า อย่างไรก็ตาม จากการที่องค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) ออกประกาศให้บริษัทยาที่ผลิตยาแก้ปวดสูตรที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ ในกลุ่มยาแก้ปวดที่ใช้ระงับความเจ็บปวดที่รุนแรงถึงรุนแรงมากที่สุด ซึ่งเป็นยาที่ใช้กับคนไข้ในโรงพยาบาลหรือคลินิก ปรับลดปริมาณยาพาราเซตามอลลงจากเดิม จากขนาดยา 500 มิลลิกรัมต่อเม็ด เป็น 325 มิลลิกรัมต่อเม็ด

    รวมทั้งกำหนดให้ระบุข้อความบนฉลากยาถึงผลข้างเคียงว่า “ยามีผลทำให้เกิดพิษต่อตับอย่างรุนแรงได้” นั้น
    เป็นการลดความเสี่ยงของผู้บริโภคในการที่จะได้รับปริมาณยาพาราเซตามอลเกินขนาด และลดความเสี่ยงที่จะเกิดพิษต่อตับลง


     ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา ขอให้ผู้บริโภคใช้ยาอย่างระมัดระวัง ควรอ่านฉลากและเอกสารกำกับยาอย่างถ้วนถี่ และปฏิบัติตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด ไม่ควรรับประทานยาเกินกว่าปริมาณที่ระบุไว้   
     โดยเฉพาะยาพาราเซตามอลไม่ควรรับประทานเกินวันละ 8 เม็ด (เม็ดละ 500 มิลลิกรัม)
     และหากมีความผิดปกติหรือมีอาการข้างเคียงจากการใช้ยา อาทิ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร บวมบริเวณท้อง กดเจ็บบริเวณตับ ขอให้พบแพทย์โดยด่วน
     ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา



ขอบคุณภาพขาวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1353383965&grpid=01&catid=&subcatid=
22508  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ที่ว่า "พุทธศาสนามีอายุ ๕,๐๐๐ ปี" นั้น...มาจากไหน.? ใครเป็นคนกล่าว.? เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2012, 08:11:27 am


ที่ว่า "พุทธศาสนามีอายุ ๕,๐๐๐ ปี" นั้น...มาจากไหน.? ใครเป็นคนกล่าว.?

พุทธศาสนาอยู่ได้ห้าพันปีจริงหรือ.?
Posted on พฤษภาคม 30, 2012

พุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งธรรมดาของสรรพสิ่ง คือ เมื่อมีเกิดขึ้น มีการตั้งอยู่ และมีการเสื่อมไป ช่วงเวลาที่คำสอนอันมีค่าที่เป็นทางไปแห่งความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงเหล่านี้ก็จะไม่อยู่ตลอดไปบ้างก็กล่าวว่า พุทธศาสนาอยู่ได้ห้าพันปี หลังจากพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว

เรื่องนี้มีที่มาจาก อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สัมปสาทนียสูตร ที่กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

    “แต่วงศ์ของสมณะผู้นุ่งผ้าขาว ไม่สามารถจะดำรงศาสนาไว้ได้ ตั้งแต่กาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ
    1. ศาสนาดำรงอยู่ได้ตลอดพันปีด้วยภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทา
    2. ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้ทรงอภิญญา ๖
    3. ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้ทรงวิชชา ๓
    4. ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้เป็นสุกขวิปัสสกะ
    5. ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยเหล่าภิกษุผู้ทรงปาฏิโมกข์
    ก็ศาสนาย่อมมีอันทรุดลงตั้งแต่การแทงตลอดสัจจะของภิกษุรูปหลังๆ และแต่การทำลายศีลของภิกษุรูปหลังๆ”


จะเห็นได้ว่านี่ กรณีที่เชื่อกันว่า พุทธศาสนาอยู่ได้ 5,000 ปีนี่ มีหลักฐานว่าเป็นเหตุการณ์ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า



ส่วนในศาสนาของพระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้าใน พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ ภิกขุนิกขันธก วรรณนา กล่าวว่า อธิบายเรื่องที่พระพุทธเจ้าบัญญัติครุธรรม 8 ประการให้พระนางปชาบดีโคตมี ก่อนบวชภิกษุณีว่า ถ้าไม่บัญญัติครุธรรม 8 ประการ ศาสนาอยู่ได้ 500 ปีแทนที่จะอยู่ได้ 1,000 ปี  ซึ่งตรงจุดนี้อรรถถาอธิบายว่า 1,000 ปีแบ่งเป็นช่วงๆ ดังนี้

    “แต่คำว่า พันปี นั้น
      - พระองค์ตรัสด้วยอำนาจพระขีณาสพผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น.
      - แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ,
      - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามี,
      - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี,
      - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจพระโสดาบัน,
    รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดห้าพันปี ด้วยประการฉะนี้”



แต่ในอรรถกถาทั้งสองนี้ เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของพระอาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์อรรถกถาเท่านั้น (ซึ่งคัมภีร์เหล่านี้เกิดในช่วง 1,000 ปีแรกหลักพุทธปรินิพพาน) ซึ่งไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เพราะพระธรรมก็เป็นสิ่งที่ไม่จำกัดกาลเวลา (อกาลิโก) ดังที่สวดกันในบทสวดสรรเสริญคุณของพระธรรม และนอกจากนี้พระพุทธเจ้าตรัสโดยไม่ได้ระบุเวลา ดังในมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า

    “ในธรรมวินัย (ศาสนา) ใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น
    ไม่มีสมณะที่ ๑ (พระโสดาบัน)
     สมณะที่ ๒ (พระสกทาคามี)
     สมณะที่ ๓ (พระอนาคามี)
     หรือสมณะที่ ๔ (พระอรหันต์)
     ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น
     มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔
     ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วย องค์ ๘ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔  ลัทธิอื่นๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ


     ซึ่งไม่ได้ระบุช่วงระยะเวลาแน่ชัดว่าจะเป็นเมื่อไหร่ ขอเพียงแค่ภิกษุอยู่โดยชอบโลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ ซึ่งคำว่า อยู่โดยชอบ (สมฺมา วิหเรยฺยุํ) ในอรรถถามหาปรินิพพานสูตรนั้นกล่าวว่า
     หมายถึงการที่ พระผู้เริ่มวิปัสสนา เพื่อโสดาปัตติมรรค/สกทาคามิมรรค/อนาคามิมรรค/อรหัตตมรรค กำหนดกัมมัฏฐานที่ตนคล่องแคล่ว กระทำแม้ผู้อื่นให้เป็นผู้เริ่มวิปัสสนาเพื่อโสดาปัตติมรรค/สกทาคามิมรรค/อนาคามิมรรค/อรหัตตมรรค นี่เรียกว่าอยู่โดยชอบ
     หรือการที่พระโสดาบัน/พระสกทาคามี/พระอนาคามี/พระอรหันต์ บอกฐานะที่ตนบรรลุแก่ผู้อื่น ทำผู้อื่นนั้นให้เป็นพระโสดาบัน/พระสกทาคามี/พระอนาคามี/พระอรหันต์ ชื่อว่าอยู่โดยชอบ



นั่นคือ สรุปได้ว่า ข้อความในอรรถกถาน่าจะเป็นแค่การบอกกล่าวคร่าวๆเฉยๆว่า ในช่วงพันปีที่ 1,2,3,4,5 นั้น ส่วนมากพยายามได้เต็มที่แล้วจะได้ผลเช่นไร เช่นในช่วง 4,000 – 5,000 ปี แทบจะไม่มีพระอรหันต์ (แต่ใช่ว่าจะไม่มี เพราะถ้าภิกษุยังอยู่โดยชอบ โลกก็ยังมีพระอรหันต์อยู่ตามที่พระพุทธเจ้าบอก)

เมื่อพิจารณาจากข้อความใน อรรถกถาสัมปสาทนียสูตร  ข้างต้นจะพบว่า ศาสนาเริ่มเสื่อมแล้วตั้งแต่ มีการทำลายศีลของภิกษุรูปหลังๆ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พระภิกษุจะต้องรักษาศีลของพระให้บริสุทธิ์ มิฉะนั้นแล้วจะทำให้ศาสนายิ่งเสื่อมเร็วขึ้น

แต่ที่ระบุว่า ศาสนาปัจจุบันอายุ 5,000 ปีนับจากพระโคดมพุทธเจ้า เท่าที่เห็นคือปรากฏในคัมภีร์ชั้นหลังๆ คือ  คัมภีร์อนาคตวงศ์

    สรุป
      - ศาสนาพุทธ ไม่จำเป็นต้องอยู่ 5,000 ปี อาจจะนานกว่านั้นหรือสั้นกว่านั้นก็ได้ขึ้นอยู่กับว่า ภิกษุยังอยู่โดยชอบหรือเปล่า
      - พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสไว้ในที่ใดเลยว่า ศาสนาของท่านจะมีอายุเท่านั้นเท่านี่ปี
        แต่พระที่แต่งคำอธิบายพระไตรปิฎกเป็นผู้คาดการณ์ว่าศาสนาจะมีอายุ 5,000 ปี
      - ศาสนาพุทธจะเริ่มเสื่อมลงเรื่อยๆ เมื่อมีการทำลายศีลของภิกษุ



อ้างอิง
http://www.thammapedia.com/dhamma/attha_thai.php
http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=21875
ที่มา drronenv.wordpress.com/2012/05/30/พุทธศาสนาอยู่ได้ห้าพัน/
ขอบคุณภาพจาก http://www.trueplookpanya.com/,http://ookbeeasia.s3.amazonaws.com/,http://www.skn.ac.th/,http://www.jk-pra.com/


ต้องการอ่านรายละเอียดในพระสูตร/พระวินัย/อรรถกถาหรือคัมภีร์ เชิญคลิกได้เลย
     อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สัมปสาทนียสูตร
     พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ ภิกขุนิกขันธก วรรณนา
     มหาปรินิพพานสูตร
     อรรถกถามหาปรินิพพานสูตร
     อรรถกถาสัมปสาทนียสูตร
     คัมภีร์อนาคตวงศ์
22509  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน แสงส่องทาง "เพื่อเด็กสลัม" เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2012, 11:44:54 am



มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน แสงส่องทาง "เพื่อเด็กสลัม"

คนเราไม่สามารถเลือกที่เกิดได้ แต่สามารถเลือกที่จะมีหรือจะเป็นได้ คนที่เกิดในครอบครัวที่สมบูรณ์พูนสุขด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง มีปัจจัยสี่ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต มีครอบครัวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความอบอุ่น มีโอกาสทางการศึกษาที่ดี มีสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบข้างล้วนสงบสุขและสร้างสรรค์ คนที่เกิดมาเช่นนั้นจึงถือว่าโชคดีมาก

ในทางตรงกันข้ามกับคนที่เกิดมาบนความยากจนของพ่อแม่ บนความขัดสนของครอบครัว อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมแล้ว โอกาสที่จะพบกับความสุขและความเจริญก้าวหน้าก็แทบจะมองไม่เห็น อย่างเช่นเด็กที่เกิดมาในแหล่งชุมชนแออัดของกรุงเทพมหานครหรือในสังคมเมือง โอกาสที่จะได้มีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับชีวิตจึงมีน้อยเต็มทีเพราะชีวิตเกิดขึ้นมา “กลางสลัม” ของเมืองหลวงประเทศไทย แต่ก็มิใช่ทุกอย่างจะเลวร้ายไปเสียทั้งหมดถ้ารู้จักต่อสู้ดิ้นรนสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้กับชีวิตและอนาคตของตนเอง

ภาพรวมของชุมชนแออัดนับตั้งแต่มีอาคารบ้านเรือนปลูกติดกันอย่างแออัดยัดเยียด มีทั้งบ้านเช่าและห้องเช่าให้ผู้คนที่หลากหลายมาเช่าพักอาศัย สภาพอากาศในห้องพักไม่ถ่ายเท ห้องนอนต้องใช้เป็นทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องเรียนของเด็ก ที่พักอาศัยขาดความสะอาด ขาดความสงบ มีผู้คนพลุกพล่านตลอดเวลา ระบบการกำจัดขยะหรือถ่ายเทของเสียด้อยคุณภาพ

เนื่องจากบ้านพักอาศัยมีผู้คนเช่าอยู่กันมากมาย เวลาจะนอนหลับพักผ่อนจึงไม่ได้พักเต็มที่ พอจะนอนหลับก็มีข้างห้องหรือเพื่อนบ้านใกล้เคียงส่งเสียงอึกทึกครึกโครม ด่าทอกัน ทะเลาะวิวาทกัน หรือหนักไปกว่านั้นคือทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน จึงแทบจะหาความสงบสุขไม่ได้เลยในแหล่งชุมชนแออัด

คนที่เคยอยู่และเคยสัมผัสมาแล้วก็คงจะรู้ดีว่ามันเป็นทุกข์ขนาดไหน ส่วนคนที่ไม่เคยอยู่และไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็คงจะคาดเดาได้ยาก แต่มิได้หมายความว่าคนอยู่ในแหล่งชุมชนแออัดเป็นคนไม่ดี เป็นคนขี้เกียจ เป็นคนสร้างแต่ปัญหาหรือเป็นคนที่ไม่พัฒนา กลุ่มคนเหล่านี้ต่างใช้ชีวิตต่อสู้ดิ้นรน พยายามสร้างชีวิตให้มีความสุขและให้ประสบความสำเร็จ บางรายก็สมหวัง บางรายก็ยังเหมือนเดิม แต่บางรายยิ่งแย่กว่าเดิม ดังนั้นชีวิตของคนในชุมชนแออัดส่วนมากจึงต้องจมปลักอยู่กับ “ความยากจน”






ปัญหายาบ้า ยาเสพติดที่แพร่ระบาดอยู่ในชุมชนแออัด ปัญหาเด็ก เยาวชนขาดโอกาสทางการศึกษา ไม่ได้เรียนหนังสือให้จบตามวัยที่ควรจะเป็น ปัญหาเด็กที่เกิดมาบนความขัดแย้งในครอบครัวจนคนที่เป็นพ่อหรือแม่ต้องแยกทางกัน เด็กจึงตกอยู่ในสภาพครอบครัวแตกแยก ไร้ความอบอุ่น ไม่มีจุดยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ไม่มีคนคอยให้กำลังใจหรือไม่มีผู้ชี้นำให้กับชีวิต มีจำนวนมากที่เป็นเช่นนี้ สุดท้ายก็กลายเป็น “เด็กที่มีปัญหา” กลายเป็นเด็กดื้อ เด็กทำลาย สร้างความเสื่อมเสียและความเดือดร้อนให้กับผู้คนที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงกลายเป็นอาชญากรสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในสังคม

เด็กเหล่านี้จึงเติบโตขึ้นมาอย่างด้อยคุณภาพจนกลายเป็นปัญหาให้กับสังคมไทยเรา การที่จะแก้ไขและการป้องกันสิ่งที่เลวร้ายเหล่านี้ได้นั้นจำเป็นต้องอาศัยหน่วยงานหลายฝ่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชนยื่นมือเข้าไปร่วมมือกันจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในแหล่งชุมชนแออัด

มูลนิธิกลุ่มแสงเทียนได้ตระหนักและห่วงใยปัญหาเหล่านี้ จึงได้จัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ขึ้นมาเมื่อ 16 กรกฎาคม 2527 จำนวน 16 โครงการ เพื่อเข้าไปช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดได้มีชีวิตที่ดีขึ้นมาโดยเริ่มตั้งแต่การเปิดเลี้ยงและสอนธรรมะเด็กเล็กก่อนวัยเรียนขึ้นมาในวัดบางไส้ไก่ ให้เด็กเล็กอายุ 2–5 ขวบซึ่งเป็นลูกหลานคนยากจนในชุมชนแออัดได้มีโอกาสเรียนหนังสือเบื้องต้น ได้รับการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง ได้รับการพัฒนาที่สมควรแก่วัยโดยการเลี้ยงฟรี สอนฟรี

ใช้แนวทางหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา มาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ให้เด็กเล็กได้ซึมซับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ตั้งแต่วัยเยาว์ ให้เด็กได้มีร่างกายที่สมบูรณ์ ได้รับอาหารที่เพียงพอแก่วัย ได้รับไออุ่นและใบบุญจากพระสงฆ์องค์เจ้าในวัดวาอาราม ได้หันหน้าเข้าวัดตั้งแต่เด็กอ่อนจึงเรียกโครงการนี้ว่า “โครงการเด็กอ่อนก่อนสาย” คือ เด็กอ่อนต้องแก้ก่อนที่จะสายเกินแก้ เปิดเลี้ยงอาหารและสอนหนังสือสอนธรรมะวันจันทร์–ศุกร์ วันละร้อยกว่าคน


ต่อจากนั้นได้มองเห็นคุณค่าของเด็กโตขึ้นมาจึงได้เปิดโครงการ “อบรมธรรมะวันหยุด” คือเปิดสอนธรรมะเด็กและเยาวชนอายุ 7–18 ปี สอนธรรมศึกษาตรี โท เอกตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ เด็กได้เรียนหลักธรรมคำสอนอย่างต่อเนื่องจะได้รู้จักนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันในครอบครัวและในชุมชนต่อไป






ดังนั้นทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์จึงมีเด็กและเยาวชนจากชุมชนต่าง ๆ จาก 12 ชุมชน เดินทางมาเรียนธรรมะวันละกว่าร้อยคน ชีวิตของเด็กและเยาวชนต่างมุ่งหน้าเข้าหาวัดวาศาสนาเช่นนี้มารุ่นแล้วรุ่นเล่า ปีแล้วปีเล่าจนผ่านมาแล้ว 28 ปีเต็ม วิถีชีวิตของเด็กในชุมชนแออัดจึงเกี่ยวข้องกับวัดวาศาสนามาโดยตลอดในระยะเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ ต่างได้เรียนธรรมะฟรี ได้เรียนหนังสือฟรี ได้รับการเลี้ยงข้าวปลาอาหารฟรี นี่คือชีวิต “เด็กสลัม”

เมื่อเด็กเติบโตขึ้นมาเป็นเยาวชนที่เรียนจบการศึกษาภาคบังคับของรัฐบาลแล้ว แต่ไม่สมควรเข้าสู่ตลาดแรงงานเพราะยังวัยเยาว์อยู่ ถ้าเด็ก ๆ เหล่านี้ไม่ได้เรียนหนังสือต่อก็คงจะมีเวลาว่างเที่ยวเตร็ดเตร่ ก่อปัญหาให้กับชุมชนอย่างแน่นอน มูลนิธิกลุ่มแสงเทียนจึงได้รับเข้ามาอยู่ในความอุปการะ “โครงการมอบทุนการศึกษาช้างเผือก” เพื่อให้ได้เรียนหนังสือในชั้นสูง ๆ ขึ้นไป

การสอนธรรมะเด็กสลัมและเลี้ยงเด็กสลัมของมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่ ได้ดำเนินงานมาเป็นเวลา 28 ปีแล้ว ได้มีโอกาสยื่นมือช่วยเหลือและชุบชีวิตเด็กด้อยโอกาสในสังคมมานับหลายหมื่นชีวิต มีโอกาสทำให้คุณภาพชีวิตของเด็กในสังคมเราได้ดีขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง แต่ภารกิจตามโครงการต่าง ๆ เหล่านี้คงไม่หยุดนิ่งเพียงเท่านี้ แต่ยังจะเดินหน้ายื่นมือให้ความช่วยเหลือเด็กคนอื่นที่ด้อยโอกาสในสังคมต่อไปเรื่อย ๆ

ซึ่งการดำเนินงานที่ผ่านมาล้วนอาศัยน้ำใจความเมตตาและศรัทธาของผู้คนในสังคมได้แบ่งปันมาช่วยเหลือเด็ก ๆ เหล่านั้น จนบัดนี้ศาสนทายาทได้เติบโตและสดใสขึ้นมาจากข้าวก้นบาตรของวัดวาอารามในพระพุทธศาสนาและความเมตตาจากผู้คนในสังคมอย่างน่าชื่นใจ


    สำหรับผู้มีจิตศรัทธาต้องการมีส่วนร่วมช่วยเหลือ ติดต่อได้ที่
    มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่ ซอยมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ถนนอิสรภาพ
    ซอย 15 แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600
    โทรศัพท์ 0-2465-6165, 0-2466-8354, 0-2465-8532 โทรสาร 0-2472-4212
    ตั้งแต่ 06.00–18.00 น. ไม่มีวันหยุด
    หรือบริจาคทรัพย์ให้เป็นค่าอาหารกลางวันและทุนการศึกษาเด็กด้อยโอกาสได้ที่
    บัญชี “มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน” ธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาเจริญพาศน์
    เลขที่บัญชี 126-0-36151-2 ประเภทสะสมทรัพย์
    มาร่วมกันสร้างสรรค์สังคมด้วยการให้โอกาสแก่ชีวิตน้อย ๆ ในชุมชนแออัดด้วยกัน.


    พระมหาสมัย จินตโฆสโก


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/education/167503
22510  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำอย่างไร จะเลิก.."ผูกใจเจ็บ" ได้ เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2012, 11:26:47 am

ทำอย่างไร จะเลิก.."ผูกใจเจ็บ" ได้

สังเกตความสุขจากการเปลี่ยนใจไม่คิดเอาเรื่อง ว่าเย็นเหมือนคนหายป่วย สังเกตความทุกข์จากการปักใจคิดเอาเรื่อง ว่าร้อนเหมือนคนกำลังเป็นไข้ ในที่สุดใจจะฉลาดเลือกความเย็น และเห็นการทำโลกให้เย็นลง คือการมีสติแบบมนุษย์

จริงๆ ข้างต้นนี้เป็นอุบายวิธีแผ่เมตตาของพระพุทธเจ้านะครับ ท่านให้เห็นความพยาบาทเป็นเหมือนโรค เหมือนกำลังป่วยไข้ ถ้าหายจากโรคและความป่วยไข้ได้ก็จะกลับสดชื่น มีกำลังวังชาขึ้น หมายความว่า ถ้าพิจารณาเห็นความพยาบาทเป็นเหมือนโรค ‘ได้บ่อยๆ’ เข้า จิตก็จะฉลาดเลือก ‘อาการทางใจดีๆ’ มากกว่าจะหลงเลือก ‘ความสะใจแย่ๆ’

เมื่อจิตฉลาดเลือกความสุข และสะสมความสุขไว้มากพอ ก็จะรู้สึกอย่างเป็นไปเองว่าอยากเผื่อแผ่ความสุขให้คนอื่น ไม่เว้นแม้แต่บุคคลผู้น่ารังเกียจ หรือกระทั่งเห็นบุคคลน่ารังเกียจเป็นผู้มีพระคุณ เป็นเหตุให้เรารู้จักความสุขจากการฝึกแผ่เมตตาได้

    แต่เอาเข้าจริง สำหรับมือใหม่หัดอภัย เพิ่งเริ่มนับหนึ่งกันวันนี้
    เมื่อมีอาการผูกใจเจ็บ เหมือนใจมัดแน่นเข้ากับความน่าชิงชังของใครสักคน หรือเหตุอะไรสักอย่าง
    และ ณ จุดเกิดเหตุนั้น คุณจะไม่รู้สึกนึกอยากอภัย หรือกระทั่งไม่เห็นว่า โลกนี้มีเหตุผลสักข้อให้ควรอภัย
    ไหนจะเป็นเหมือนการให้ท้าย ให้คนผิดยิ่งคิดเหลิง และกำเริบเสิบสานหนักเข้าไปใหญ่
    ไหนจะเป็นการปล่อยให้ตัวเองจุก เจ็บ และคันคะเยอ ยิ่งกว่าอยากเกาแขนแล้วไม่ได้เกา


    ณ จุดของการนับหนึ่ง ถ้าอดใจไม่ได้ อยากแก้แค้นนักก็แก้แค้นไป
    แก้แค้นเสร็จค่อยถามตัวเอง เอาแบบคุยกับตัวเองอย่างเปิดอกจริงๆ สักทีว่า ‘เสร็จแล้วหายป่วยไหม?’

   ใจที่ป่วยคือใจที่ฟุ้งซ่านไม่หยุด คือ ใจที่ถูกความมืดแห่งอารมณ์เกลียดครอบงำไม่เลิก
   แล้วเราหายป่วยด้วยการแก้แค้นได้ไหม?


 
   จากนั้นเปรียบเทียบดู แค่สังเกตไปเรื่อยๆ ว่า ‘จะเอาเรื่อง’ คือ ต้นเหตุให้ทุกข์ ให้เหน็ดเหนื่อย
   ส่วนการ ‘จะเลิกเอาเรื่อง’ คือ ต้นเหตุให้สุข ให้หายเหนื่อย
   สังเกตเข้ามาที่ใจกันเป็นเดือนๆ เป็นปีๆ ไม่ใช่แกล้งทำเดี๋ยวเดียว ในที่สุดจะเย็นจริง
   ถึงแม้ยังโกรธได้ ยังไม่ใช่พระอนาคามี
   ก็ไม่ผูกใจเจ็บเยี่ยงปุถุชนทั่วไป ผู้ไม่รู้จักพระสัทธรรมอันเย็นของพระศาสดาแล้ว


   มักมีคำถามว่า ถ้าใครทำผิดร้ายแรงจะไม่ให้เอาเรื่องเลยหรือ?
   ก็ต้องดูแบบอย่างเช่นพระศาสดา แม้ภิกษุทำผิด ท่านก็กำหนดโทษไว้หลายระดับ
   นับแต่ให้สารภาพผิด ประจานให้อาย ตลอดจน ‘ประหารทิ้ง’ (คือจับสึกแล้วไม่ต้องกลับมาบวชอีกเลย)
   นี่ก็แสดงว่าแม้ผู้มีเมตตาธรรมที่สุดในโลกก็ ‘จัดการ’ กับคนผิดเช่นกัน

    การให้อภัย การไม่ผูกใจเจ็บ ไม่ได้เหมารวมถึงการไม่เรียกร้องสิทธิ์
    ไม่ได้เหมารวมถึงการรักษาความถูกต้อง ถ้าเราเรียกร้องสิทธิ์อันชอบธรรม
    ถ้าเรารักษาความถูกต้อง โดยยืนพื้นอยู่บนการไม่ผูกใจ ก็นับเป็นวิถีทางแบบพุทธได้


    ข้อสังเกตคือ เมื่อเรามีเมตตาจนกระทั่งใจเย็นจริง มีความสุขมาก และอยากให้คนอื่นสุขตาม
    เราจะพร้อมยอมผ่อนปรน และใช้วิธี ‘จัดการ’ ที่นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    ไม่คิดอาฆาตมาดร้ายอยากให้ใครเจ็บกายหรือเจ็บใจเลย
    สิ่งแสดงออกที่นำหน้ามาก่อนเพื่อน ก็คือสายตา น้ำเสียง กิริยาอาการภายนอก
    ตลอดจนความคิดในหัวทั้งหมดครับ.


         ดังตฤณ


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.thairath.co.th/content/life/307236
http://www.visalo.org/
22511  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวบ้านแห่พิสูจน์.."พญานาคโผล่กลางหนองน้ำ" เซียนหวยขอเลขเด็ด.."ถูกทั้งหมู่บ้าน" เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2012, 11:01:32 am



ชาวบ้านแห่พิสูจน์.."พญานาคโผล่กลางหนองน้ำ" เซียนหวยขอเลขเด็ด.."ถูกทั้งหมู่บ้าน"

วันที่ 20 พ.ย. ผู้สื่อข่าว ข่าวสด รายงานว่า ได้รับแจ้งจากนายสมบูรณ์ ศรีจันทร์แก้ว ผู้ใหญ่บ้านนาหมาโป้ หมู่ที่ 1 ต.หนองลาด อ.เมืองสกลนคร ว่าชาวบ้านนาหมาโป้และคนในพื้นที่ตำบลหนองลาด อำเภอเมืองจังหวัดสกลนคร ได้เดินทางไปพิสูจน์ความจริงที่บริเวณสระน้ำสาธารณะบ้านนาหมาโป้ที่ชาวบ้านเรียกว่า “หนองขาว”

ซึ่งเป็นหนองน้ำติดกับหมู่บ้านมีพื้นที่กว่า 10 ไร่ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ปฏิกิริยาของน้ำภายในบริเวณสระอย่างใจจดจ่อ หลังจากมีกระแสข่าวว่ามีผู้พบแสงระยิบระยับสวยงามปรากฏกลางสระน้ำแห่งนี้ ซึ่งต่างวิพากษ์วิจารณ์กันต่างนานาและเชื่อกันว่าเป็นพญานาคแสดงปาฏิหาริย์ให้เห็น

นางบัวลอน เซียนล้ำ อายุ 50 ปี อยู่หมู่ 1 ชาวบ้านนาหมาโป้ ต.หนองลาด อ.เมืองสกลนคร เปิดเผยว่า เมื่อช่วงประมาณวันที่ 2 พ.ย.55 ที่ผ่านมาได้พบแสงประหลาดพร้อมเกลียวคลื่นเกิดขึ้นที่บริเวณหนองน้ำไกล้หมู่บ้าน เชื่อว่าเป็นพญานาคมาปรากฏกายให้เห็น และตนเองเป็นคนพบเห็นครั้งแรกขณะขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาตามเส้นทางผ่านหนองน้ำดังกล่าวเพื่อไปธุระอีกหมู่บ้านหนึ่ง

   และได้เห็นปรากฏการณ์ มีแสงแปลกประหลาดพุ่งขึ้นกลางบริเวณหนองน้ำ
   ด้วยความสงสัย จึงได้จอดรถลงไปดูพบว่า มีประกายแสงระยิบระยับ 7 สีคล้ายรุ้งกินน้ำแสงสีสวยงาม

   ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่ตนเอง และเพื่อนที่โดยสารมาด้วยกันเป็นอย่างมาก
   และแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง จึงทดลองนำโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพเพื่อเก็บไว้
   แต่ภาพไม่ชัดเจนเพราะความรีบร้อนและตกใจขณะถ่ายภาพ

    หลังจากแสงปรากฏประมาณ 5 นาทีจึงมีลมวูบปะทะหน้าจนเย็นเยือก จากนั้นมองไปที่กลางหนองน้ำเห็นฟองน้ำเป็นลูกคลื่นวิ่งไล่กันกระทบไปที่ฝั่งหนองน้ำคลายขอนไม้เป็นลูกๆ ตนทำอะไรไม่ถูกจึงนั่งลงพนมมือยกขึ้นพร้อมว่า สาธุ แล้วน้ำในหนองน้ำก็เงียบสงบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

  จากนั้นจึงชวนเพื่อนที่ไปด้วยกันขี่รถ จยย.ไปยังบ้านผู้ใหญ่บ้านเล่าเรื่องให้ฟัง และกลับมาดูอีกปราฏว่า แสงและระลอกน้ำปรากฏให้เห็นอีกท่ามกลางสายตามคนที่ดูกว่า 10 คน ทุกคนบอกว่าน่าจะเป็นพญานาค มาแสดงอภินิหารให้เห็น

    จากนั้นเมื่อชาวบ้านทราบข่าวต่างพากันเดินทางมาเฝ้าดูและติดตามกันตลอดมาตั้งแต่วันออกพรรษาเป็นต้นมาจนขณะนี้ ซึ่งบางวันก็ขึ้นให้เห็น บางวันก็ไม่ขึ้น




 
    ด้านพระสมศักดิ์ จิตจิตโต รักษาการเจ้าอาวาสวัดศรีมงคล ในหมู่บ้านนาหมาโป้ กล่าวว่า ได้มีหญิงวัย 50 ปี ได้มาเข้าทรง และที่เป็นร่างทรงบอกผู้ที่มาดูว่า สิ่งที่เห็นเป็นปรากฏการณ์ของปู่พญานาค ที่อาศัยอยู่ที่นี่ และเรียกว่าเป็น วังของพญานาค

    ปรากฏกายให้เห็นเพื่อมาร่วมอนุโมทนาบุญกับมนุษย์ในการดำเนินการก่อสร้างโบสถ์ภายในวัดให้สำเร็จ ทั้งต้องการให้สร้างรูปจำลองพญานาคที่บริเวณริมสระน้ำหนองขาวแห่งนี้ ให้ใหม่ ซึ่งเดิมหนองขาวได้มีการสร้างศาลากลางน้ำไว้ เพื่อเป็นที่อยู่ของหลวงปู่พญานาค แต่เมื่อต่อมามีการขุดลอกเพื่อพัฒนา มีการรื้อออกไป และชาวบ้านมาสร้างใหม่

    ปรากฏว่าสร้างยังไม่เสร็จถูกพายุลมพัดปลิวหายไปกว่า 3 กิโลเมตร และได้เข้าทรงร่างว่าปู่พญานาคไม่ต้องการสิ่งที่สร้างขึ้นมาใหม่ จึงแสดงอภินิหารย์ทำลมพัดศาลาทิ้งไป และได้มาแสดงปรากฏให้ชาวบ้านเห็นอีกครั้ง โดยร่างทรงบอกว่า หลวงปู่พญานาคต้องการให้สร้างที่อยู่ใหม่ ซึ่งชาวบ้านได้เข้ามาหารือกับคน จึงได้ให้มีการนำตู้รับบริจาคไปตั้ง ตามกำลังศรัทธา สำหรับคนที่เดินทางมาเฝ้าชมจะได้ทำบุญโดยไม่มีการเรียกร้องใด

     รักษาการเจ้าอาวาสวัดศรีมงคล กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ชาวบ้านต้องการสร้างรูปจำลองพญานาคไว้ที่ริมหนองน้ำเพื่อทำตามร่างทรงที่บอก และใช้งบประมาณราว  3-4 หมื่นบาท เป็นรูปพญานาค  3 เศียร ไว้ ขณะนี้ได้มีผู้บริจาคแล้วจำนวนหนึ่ง และส่วนหนึ่งนำไปปฎิสังขรภายในวัดด้วย  ในส่วนนี้ทางพระไม่ได้หวงห้ามในเรื่องของความเชื่อ เพราะเรื่องพญานาคมีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว สิ่งนี้เป็นความเชื่อของชาวบ้านที่ไม่สามารถจะห้ามได้





    นายถาวร คำชมพู อายุ 45 ปี ชาวบ้านนาหมาโป้รายหนึ่งกล่าวว่า เมื่อทราบข่างว่ามีพญานาคมาโผล่ที่กลางหนองน้ำในหมู่บ้าน ซึ่งเดิมตนเชื่อว่ามีจริงอยู่แล้วได้มาดูและตกกลางคืนฝันว่ามีคนแต่งตัวแบบคนโบราณมาบอกว่าเป็นพญานาค ว่าหากอยากมีโชคให้ไปดูที่ต้นไม้ต้นมะขามริมหนองน้ำจะมีโชค จากนั้นก็หายไป ตื่นขึ้นมาจึงรีบไปที่ริมหนองน้ำดังกล่าว

     พบต้นมะขามแล้วนำดอกไม้ธูปเทียนไปจุดบูชาและขอโชคลาภ และมองไปที่โคนต้นมะขามพบตัวเลขลางๆไม่ชัดเจน เขียน  500  เป็นตัวนูนขึ้นมา อยู่ข้างบน และอยู่ไต้ลงไป พบเลข  14 อยู่ชั้นล่าง จึงเอามือไปลูบและบอกว่าขอโชคลาภจากหลวงปู่พญานาคด้วย จากนั้นจึงไปหาซื้อลอตเตอรี่ไว้ 1 ใบ พร้อมกับเล่าให้เพื่อนบ้านหลายคนฟัง และหลายคนนำไปหวยใต้ดิน

    ปรากฏว่าเมื่อหวยรัฐบาลออกมาตรงกับเลขท้ายรางวัลที่  1 ตรงเผง และ 2 ตัวล่างออก 15 
    ทำให้ชาวบ้านที่ซื้อขึ้นลง ถูกหวยกันทั้งหมู่บ้าน รวมทั้งตนด้วย มีเงินใช้หลายตังค์
    ซึ่งตั้งแต่เกิดมาไม่เคยซื้อหวยเลย


    ดังนั้นจึงทำให้ชาวบ้านเดินทางมาคอยเฝ้าดูและขอหวยพญานาค โดยการนำแป้งมาโรยที่ตนมะขาม ทุกวัน
    บางคนนำไปซื้อหวยหุ้นรายวันถูกกันแบบรายวันทีเดียว โดยงวดนี้มีชาวบ้านมองเห็นเลข  205 และ  57     
    แล้วต่างพากันออกไปหาซื้อลอตเตอรี่เก็บไว้แล้วเพราะเชื่อว่าหลวงปู่พญานาคจะให้โชคอีกครั้ง



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU16TTNOemt3TlE9PQ==&subcatid=
22512  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ร.ร.วิถีพุทธ กับ ความท้าทาย.."โตแล้วไม่โกง" เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2012, 10:42:53 am

ร.ร.วิถีพุทธกับความท้าทายโตแล้วไม่โกง!

ร.ร.วิถีพุทธกับความท้าทายโตแล้วไม่โกง!!! : บทความโดยพระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)

วันนี้(19พ.ย.) เดินทางมามหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเป็นผู้ทรงคุณวุฒิให้ความเห็นงานดุษฏีนิพนธ์ เรื่อง
     "ยุทธศาสตร์ในการจัดการศึกษาในโรงเรียนวิถีพุทธ: พหุกรณีศึกษา" ของท่านพระมหาอำนวย มีราคา
     ซึ่งวันนี้ท่านมหาอำนวยนิมนต์พระเถระผู้ใหญ่ เช่น หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชธรรมสารสุธี รองเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ และพระอาจารย์ทั้งจากมหาจุฬาฯ และมหามกุฏฯ ...มาร่วมให้ข้อสังเกตจำนวนมาก


    พร้อมกันนี้ ผู้นำในวงการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโรงเรียนวิถีพุทธในเขตจังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี ทั้งมาจากมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี และศรีสะเกษ และ ผอ.สพฐ. ในเขตพื้นที่การศึกษาต่างๆ รวมถึง ผอ. โรงเรียนต่างๆ จำนวนมาก



แผนภาพ จากหนังสือการพัฒนาที่ยั่งยืน โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต)

   พระมหาอำนวย มีความตั้งใจในการนำผลที่ได้จากการศึกษาไปพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการศึกษาโรงเรียนวิถีพุทธให้สามารถใช้งานได้จริง และเป็นแม่แบบในการพัฒนาโรงเรียนวิถีพุทธในยุคปัจจุบัน เชื่อมั่นว่า งานนี้จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ผู้บริหารนโยบายได้นำไปกำหนดเป็นนโยบายพัฒนาโรงเรียนวิถีพุทธในภาพรวม และเชื่อมั่นว่า จะเกิดประโยชน์ต่อฝ่ายปฏิบัติการที่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    สภาพปัญหาของเยาวชนไทยในปัจจุบันนี้ คือ "ความอ่อน" ของวิถีคิด และวิถีปฏิบัติของเยาวชน
    จึงทำให้เยาวชนขาดไส้กรองจนทำให้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ความอ่อนไม่ได้มีปัญหาที่ตัวของเด็กเอง หากแต่จะนำไปสู่ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ เพราะหากเยาวชนอ่อน ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติจะได้รับผลกระทบจากความอ่อนด้วยเช่นเดียวกัน
 
    ด้วยเหตุนี้ โรงเรียนวิถีพุทธเน้นหนักตามกรอบที่หลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ได้ให้หลักการ "กิน อยู่ ดู ฟัง เป็น"
    เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการ กรอบใหญ่ที่ถอดรูปออกมาคือ "หลักไตรสิกขา" คือ ศีล สมาธิ และปัญญา
    แนวทางเช่นนี้ถือว่า เป็นการจัดการศึกษาที่ "ทวนกระแสวัตถุนิยมและบริโภคนิยม" ที่กำลังถาโถมสังคมไทย
    โดยเฉพาะเยาวชนของไทยเพื่อให้มีภูมิต้าน และรู้เท่าทันกระแสวัตถุนิยมมากยิ่งขึ้น





    ส่วนตัวมีความห่วงใยต่อประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาโรงเรียนวิถีพุทธในบางแง่มุม และมุ่งหวังจะแลกเปลี่ยน และแบ่งปันว่า

    (๑) โรงเรียนวิถีพุทธเป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลยุคต่างๆ พยายามที่จะชูขึ้นเป็นทางเลือกในการจัดการศึกษา เมื่อกระทรวงศึกษาธิการเปลี่ยนรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่กำกับมาก และบ่อยที่สุดเมื่อเทียบกับกระทรวงอื่นๆ จะทำให้มีผลต่อดำเนินนโยบายการจัดการศึกษาในโรงเรียนวิถีพุทธหรือไม่ อย่างไร

    (๒) ในขณะที่เรากำลังจะเดินเข้าไปสู่ประชาคมอาเซียนในปี ๕๘ เราจะจัดวางโรงเรียนวิถีพุทธเอาไว้อย่างไร? จึงจะสอดรับกับความเป็นไปของวิถีของการพัฒนาสังคม และประเทศในประชาคมอาเซียน

    (๓) โรงเรียนวิถีพุทธจะทานกระแสของโรงเรียนทั่วไปที่ไม่ได้เน้นวิถีพุทธอย่างไร? จึงจะอยู่รอด
    บางท่านเคยตั้งข้อสังเกตว่า "โรงเรียนวิถีพุทธเน้นเป็นคนดีมาก่อนความเก่ง"
    แต่คำถามคือ เมื่อสังคมไทยจะพัฒนาไปสู่การแข็งขันกันนั้น การแข็งขันเพื่อความอยู่รอดในสังคมโลกาภิวัตน์นั้น คือ "ความเก่ง" เราจะให้ความมั่นใจได้อย่างไรว่า เมื่อพัฒนาให้เด็กดีแล้ว ต่อไปเด็กเหล่านั้นจะเก่งเอง!!!


    (๔) ใครคือตัวแบบตัวแบบของโรงเรียนวิถีพุทธที่เยาวชนใช้อ้างอิง??? คนจำนวนมากตอบว่า คือ "ครูและบุคลากรทางการศึกษา" แต่เมื่อวิเคราะห์จากสถานการณ์ปัจจุบันคนจำนวนมากเช่นกันที่ห่วงใยต่อเบ้าหลอมทั้งในแง่ของพฤติกรรม อารมณ์ และปัญญาของครู และบุคลากรทางการศึกษา
    หากเป็นเช่นนั้น การพัฒนาโรงเรียนวิถีพุทธจึงไม่ได้หมายถึงเน้นไปที่ตัวเยาวชน หากแต่จำเป็นต้องเน้นมิติอื่นๆ ด้วย เช้น ครู บุคลาการทางการศึกษา สถานที่ หลักสูตร สื่อการสอน วิธีการสอน และกิจกรรมต่างๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของความเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ


    (๕) การที่เยาวชนยอมรับวัฒนธรรม "โกงได้แต่ขอให้ทำงานเก่ง" วัฒนธรรมเช่นนี้ถือว่าเป็นการท้าทายต่อการพัฒนาโรงเรียนวิถีพุทธอย่างยิ่ง คำถามคือ โรงเรียนวิถีพุทธจะเข้ามาช่วยปลูกฝังอุดมการณ์ "โตไปแล้วไม่โกง" ได้อย่างไร??


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121119/145181/ร.ร.วิถีพุทธกับความท้าทายโตแล้วไม่โกง!.html#.UKr31Wfvolh
http://www.moe.go.th/
22513  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตะลึง.! ชาวกรุงเก่าบอกบุญผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบุญงานกฐินผ่าน "ซองขนาดยักษ์" เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2012, 10:20:01 am

ฮือฮา.! 'ซองกฐินยักษ์' กรุงเก่า

ตะลึง! ชาวกรุงเก่าบอกบุญผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบุญงานกฐินผ่านซองขนาดยักษ์

เมื่อเวลา 15.00 น.วันนี้ (19 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้พบว่า จะมีการจัดงานทอดกฐินสามัคคีที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีความเป็นพิเศษตรงซองบอกบุญที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ จึงเดินทางไปตรวจสอบ
     พบนางสโรชา บุญรอดวงศ์ อายุ 51 ปี เจ้าของร้านอาหารตำหนักแก้ว
     ถนนสายหน้าสนามกีฬาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
     กำลังขะมักเขม้นกับการรวบรวมซองกฐินสามัคคี


     เมื่อเข้าไปตรวจสอบก็ต้องแปลกใจเพราะซองกฐินที่กำลังรวบรวมมีขนาดใหญ่
     จนดูเผินๆเหมือนซองพัสดุไปรษณีย์มากกว่า เพราะมีความกว้างถึง 16 นิ้ว ยาว 18 นิ้ว
     แถมหน้าซองยังเขียนยืนยันความอลังการด้วยว่า
     ซองกฐินที่ใหญ่ที่สุดในโลก สมทบทุนสร้าง โฮงเตื่อมบุญ ต่อป๋ารมี
     วัดจามเทวี ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ลำพูน




   
     โดยคุณสโรชา เปิดเผยว่า กฐินสามัคคีกองนี้
     จะนำไปทอดที่วัดจามเทวี จ.ลำพูน กองละ 599 กอง
     จำนวน 1,009 กองเท่านั้น ที่สำคัญมีเจ้าภาพครบแล้ว

     ส่วนสาเหตุที่ทำซองกฐินใหญ่โตขนาดนี้ ต้องการที่จะเรียกร้องความสนใจ
     และต้องการให้คนที่เห็นซองกฐินขนาดใหญ่จะได้ใส่เงินทำบุญเยอะๆ
     หรือจะใส่เป็นโฉนดที่ดินก็ไม่ว่า อันนี้ พูดเล่น ใส่น้อยใส่มากไม่ว่ากัน 

    เรียกว่า เห็นซองขนาดนี้แล้ว เวลานำมาจบอธิษฐาน
     คงถือพร้อมกันทีเดียวหลายๆคนเลย..นะครับ



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/167622
22514  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: มรรคสมังคี คือ อะไร คะ ? เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2012, 10:56:08 am
มรรคสมังคี คือ อะไร คะ ?ไม่ทราบ ว่าพิมพ์ถูกหรือ ไม่ ขอท่านผู้รู้ ศิษย์ พี่ทุกท่านช่วยแนะนำด้วยคะ

  :58: :c017: :25:


   
    คำว่า "มรรคสมังคี" นี้ จำได้ว่า ครั้งแรกที่ได้ยินรู้สึกว่า "คำนี้ไพเราะมาก"
    ตอนนั้นคิดว่า สมังคีน่าจะหมายถึง สามัคคี อย่างแน่นอน
    ที่จริงแล้วผมได้ยินมาผิด ที่ถูกต้องและเต็มๆในขณะนั้น คือ "ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ"
    เป็นหนังสือของหลวงปู่มั่น ผมมีอยู่เล่มหนึ่ง ขอเค้ามานะครับ


   
    ใครสนใจ หนังสือ ขันธะวิมุติสะมังคีธรรม ดาวน์โหลดได้ที่
    www.kanlayanatam.com/Mybookneanam/book98.htm

    ผมหาคำอธิบายมาให้แล้ว หวังว่าจะถูกใจ..นะครับ
:25:
22515  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: มรรคสมังคี คือ อะไร คะ ? เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2012, 10:41:13 am


อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค
ทักขิณาวิภังคสูตร

๑๒. อรรถกถาทักขิณาวิภังคสูตร (ยกมาแสดงบางส่วน)

    ในบทนี้ว่า ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
    แม้อุบาสกผู้ถึงไตรสรณะโดยที่สุดเบื้องต่ำ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล.
    แม้ทานที่ให้ในอุบาสก ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลนั้น นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้.
    ส่วนทานที่ให้แก่ บุคคลผู้ตั้งอยู่ในศีลห้ามีผลมากกว่านั้น.
    ทานที่ให้แก่ บุคคลผู้ตั้งอยู่ในศิลสิบมีผลมากกว่านั้นอีก.
    ทานที่ถวายแก่ สามเณรที่บวชในวันนั้นมีผลมากกว่านั้น
    ทานที่ถวายแก่ ภิกษุผู้อุปสมบทมีผลมากกว่านั้น
    ทานที่ถวายแก่ ภิกษุผู้อุปสมบทนั้น แลผู้ถึงพร้อมด้วยวัตรมีผลมากกว่านั้น
    ทานให้แก่ ผู้ปรารภวิปัสสนามีผลมากกว่านั้น.
    ก็สำหรับผู้มรรคสมังคีโดยที่สุดชั้นสูง ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าปฏิบัติแล้ว.
    ทานที่ให้แก่บุคคลนั้นมีผลมากกว่านั้นอีก.


    ถามว่า ก็อาจเพื่อให้ทานแก่ ภิกษุผู้มรรคสมังคี หรือ.
    ตอบว่า เออ อาจเพื่อให้.
    ก็ภิกษุผู้ปรารภวิปัสสนา ถือบาตรและจีวร เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต.
    เมื่อภิกษุผู้มรรคสมังคีนั้น ยืนที่ประตูบ้าน ชนทั้งหลายรับบาตรจากมือก็ใส่ขาทนียะและโภชนียะ.
    การออกจากมรรคของภิกษุย่อมมีในขณะนั้น.
    ทานนี้ชื่อว่าเป็นอันให้แล้วแก่ ภิกษุผู้มรรคสมังคี.


    ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุนั้นนั่ง ณ โรงฉัน.
    มนุษย์ทั้งหลายไปแล้ววางขาทนียะโภชนียะในบาตร.
    การออกจากมรรคของภิกษุนั้น ย่อมมีในขณะนั้น.
    ทานแม้นี้ ชื่อว่าให้แล้วแก่ภิกษุผู้มรรคสมังคี.


    อีกอย่างหนึ่ง เมื่อภิกษุนั้นนั่ง ณ วิหารหรือโรงฉัน
    อุบาสกทั้งหลายถือบาตรไปสู่เรือนของตนแล้ว ใส่ขาทนียะและโภชนียะ.
    การออกจากมรรคของภิกษุนั้นย่อมมีในขณะนั้น.
    ทานแม้นี้ ชื่อว่าให้แล้วแก่ภิกษุผู้มรรคสมังคี.


    พึงทราบความที่ทานอันบุคคลให้แล้วแก่ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลนั้น เหมือนน้ำในลำรางไม่อาจนับได้ฉะนั้น. พึงทราบความที่ทานอันบุคคลให้แล้วในบุคคลทั้งหลาย มีพระโสดาบันเป็นต้น ดุจน้ำในมหาสมุทรแล ในบรรดามหานทีนั้นๆ เป็นอันนับไม่ได้. พึงแสดงเนื้อความนี้แม้โดยความที่ทำฝุ่นในสถานสักว่าลานข้าวแห่งแผ่นดินเป็นต้น จนถึงฝุ่นทั้งแผ่นดินอันประมาณไม่ได้.
    .......ฯลฯ.......ฯลฯ........



ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=706&p=1
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=9161&Z=9310
ขอบคุณภาพจาก http://www.96rangjai.com/
22516  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: มรรคสมังคี คือ อะไร คะ ? เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2012, 10:13:59 am

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค

       [๑๔๗] อริยมรรคสมังคีบุคคล ย่อมเผากิเลสที่ยังไม่เกิด ด้วยโลกุตตรฌานที่เกิดแล้ว
       เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าว โลกุตตรฌานว่าเป็นฌาน
       บุคคลนั้นย่อมไม่หวั่นไหวเพราะทิฐิต่างๆ เพราะความเป็นผู้ฉลาดในฌานและวิโมกข์
       ถ้าพระโยคาวจรตั้งใจมั่นดีแล้ว ย่อมเห็นแจ้งฉันใด ถ้าเมื่อเห็นแจ้งก็พึงตั้งใจไว้ให้มั่นคงดีฉันนั้น
       สมถะและวิปัสสนาได้มีแล้วในขณะนั้น ย่อมเป็นคู่ที่มีส่วนเสมอกันเป็นไปอยู่


       ความเห็นว่า สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ นิโรธเป็นสุข
       ชื่อว่าปัญญาที่ออกจากธรรมทั้งสอง ย่อมถูกต้องอมตบท
       พระโยคาวจรผู้ฉลาดในความเป็นต่างกัน และความเป็นอันเดียวกันแห่งวิโมกข์เหล่านั้น
       ย่อมรู้วิโมกขจริยา ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะทิฐิต่างๆเพราะความเป็นผู้ฉลาดในญาณทั้งสอง ฉะนี้แล ฯ

       ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้นๆ
       ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด
       เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการออกไปและหลีกไปจากกิเลส ขันธ์และสังขารนิมิตภายนอกทั้งสองเป็นมรรคญาณ ฯ


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๑๖๘๓ - ๑๖๙๗. หน้าที่ ๖๙.
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=31&A=1683&Z=1697&pagebreak=0           
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=143
ขอบคุณภาพจาก http://www.96rangjai.com/




อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา
มรรคญาณนิทเทส
             
      อรรถกถามรรคญาณนิทเทส 
      [๑๔๗] บัดนี้ พระสารีบุตรเมื่อจะพรรณนาถึงมรรคญาณ จึงกล่าวบทมีอาทิว่า อชาตํ ฌาเปติ ดังนี้.
      ในบทนั้น หลายบทว่า อชาตํ ฌาเปติ ชาเตน, ฌานํ เตน ปวุจฺจติ - ย่อมเผากิเลสที่ยังไม่เกิด ด้วยโลกุตรฌานที่เกิดแล้ว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่าเป็นฌาน.
      ความว่า สมังคีบุคคลย่อมเผา คือ ทำลาย ตัดกิเลสนั้นๆ ที่ยังไม่เกิดด้วยโลกุตรฌานนั้นๆ อันปรากฏในสันดานของตน, ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวโลกุตระนั้นว่าเป็นฌาน.


      บทว่า ฌานวิโมกเข กุสลตา - เพราะความเป็นผู้ฉลาดในฌานและวิโมกข์.
      ความว่า สมังคีบุคคลย่อมไม่หวั่นไหวในทิฏฐิต่างๆ ที่ละได้แล้วด้วยปฐมมรรค เพราะความเป็นผู้ฉลาดในฌานมีวิตกเป็นต้น อันสัมปยุตด้วยอริยมรรคนั้น และในอริยมรรคอันได้แก่วิโมกข์ด้วยความไม่ลุ่มหลง.

      ชื่อว่าฌานมี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิชฌาน ๑ ลักขณูปนิชฌาน ๑.
      ฌานมีโลกิยปฐมฌาน เป็นต้น ชื่อว่าฌาน เพราะอรรถว่าเข้าไปเพ่งอารมณ์มีกสิณ เป็นต้น.
      วิปัสสนาสังขารชื่อว่าฌาน เพราะอรรถว่าเข้าไปเพ่งลักษณะอันเป็นสภาวสามัญ,
      โลกุตระชื่อว่าฌาน เพราะอรรถว่าเข้าไปเพ่งลักษณะที่จริงแท้ในนิพพาน.
      แต่ในที่นี้ท่านกล่าวถึงฌานทั่วไป แม้ด้วยโคตรภูว่าฌาน เพราะอรรถว่าไม่แตะต้องสภาพอันเป็นลักขณูปนิชฌาน แล้วเผากิเลสโดยไม่ทั่วไป.


      อนึ่ง ในที่นี้ สภาพแห่งวิโมกข์เป็นสภาพน้อมไปด้วยดีในอารมณ์ คือ นิพพาน และสภาพอันพ้นด้วยดีจากกิเลสทั้งหลาย.
      ......ฯลฯ.......ฯลฯ......


อ้างอิง
www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=143&p=1#ข้อ_๑๔๗
22517  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'โอบามา-ฮิลลารี' สุดประทับใจ..โบสถ์-วิหารพระนอนวัดโพธิ์ เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2012, 08:23:23 am



เจ้าคุณเทียบโชว์พา 'โอบามา' ชมวัดโพธิ์
'โอบามา-ฮิลลารี'สุดประทับใจโบสถ์-วิหารพระนอนวัดโพธิ์ : ผกามาศ ใจฉลาดรายงาน

    ทันทีที่ประธานธิบดี บารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วย ฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ เสร็จสิ้นเข้าเยี่ยมชมโบราณสถานภายใน วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ วัดโพธิ์ โดยมี พระสุธีธรรมานุวัฒน์ หรือ เจ้าคุณเทียบ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดวัดโพธิ์ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) เป็นผู้นำชม พร้อมบรรยายรายละเอียดนั้น
   
     เจ้าคุณเทียบเปิดใจต่อ "คม ชัด ลึก" ว่า ก้าวแรกที่มาถึงผู้นำสหรัฐยกมือไหว้ทักทายแบบไทย
     และบอกว่า วัดสะอาดสะอ้านมาก พูดจาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
     อาตมาก็บอกว่า ยินดีต้อนรับ ประธานาธิบดีที่มาเยี่ยมชมวัดโพธิ์ ถือเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มาเยี่ยมชมวัดนี้
   
     "พอดีอาตมาเกิดปีเดียวกับนายบารัก เลยกล่าวสนทนาไปว่า
     อาตมาเกิดปีเดียวกันท่าน นายบารักก็ตอบกลับมาว่า เพื่อน
     อาตมาก็ถามต่อไปว่า จริงหรือไม่ เมื่อครั้งท่านยังเด็กเคยมาเยี่ยมชมวัดโพธิ์
     ท่านตอบว่า ไม่เคย เป็นเพียงข่าวลือ การมาครั้งนี้เป็นการมาเยี่ยมชมเป็นครั้งแรก

     
      นายบารักมีความสนใจในพระพุทธศาสนา ถามกลับมาอีกว่า
      ทำไมอาตมาถึงบวชในพระพุทธศาสนา มีข้อบังคับให้บวชหรือไม่ อย่างไร
      อาตมาตอบกลับไปว่า ไม่มีการบังคับ เป็นการบวชโดยสมัครใจ เนื่องจากในประเทศไทยการศึกษาในชนบทโอกาสเรียนหนังสือมีน้อย เราก็ได้อาศัยการบวชเรียนได้เรียนหนังสือ และไม่เคยได้เรียนในตัวเมือง เขาก็เข้าใจ"

   



      ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดวัดโพธิ์ เล่าอีกว่า เมื่อทักทายพอประมาณได้เชิญประธานาธิบดีสหรัฐเข้าไปพบ พระธรรมปัญญาบดี เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ พร้อมแนะนำให้โอบามารู้จัก และกล่าวเพิ่มเติมว่าท่านเจ้าอาวาสอายุมากแล้วถึง 96 ปี โอบามายกมือไหว้
       จึงพูดว่าตามความเชื่อของคนไทย หากใครไหว้ผู้ที่อายุมากเหมือนอย่างกับท่าน
       จะมีอายุมากกว่าท่านเจ้าอาวาสอีกประมาณ 100 ปี ทำให้โอบามาหัวเราะชอบใจ

   
      "อาตมากล่าวเพิ่มเติมว่า ท่านประธานาธิบดีบารักไม่ใช่แค่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่เป็นประธานาธิบดีของชาวโลก ฉะนั้นการทำงานของท่านเหมือนพระโพธิสัตว์ เป็นผู้ช่วยเหลือชาวโลก ในฐานะประเทศพี่ใหญ่ดูแลน้องๆ สร้างรอยยิ้มแก่นายบารัก   
      นายบารักได้กล่าวขอบคุณท่านเจ้าอาวาสที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แล้วยกมือไหว้ท่านเจ้าอาวาส
      จากนั้นไปไหว้พระโลกนาถ โบสถ์ วิหารพระนอน และพระมหาเจดีย์สี่รัชกาล ส่วนฤาษีดัดตนนั้น นายบารักไม่ได้ชม เพราะไม่ได้อยู่ในโปรแกรมการเยี่ยมชมครั้งนี้"

   
      จากนั้นเจ้าคุณเทียบพาเดินต่อไปยังวิหารพระนอน ตรงจุดนี้
      ฮิลลารี คลินตัน ถามว่า ทำไมพระต้องนอน
      ได้อธิบายให้ฟังว่า เป็นปางพุทธไสยาสน์ และเป็นสัญลักษณ์ของความสุข สงบ ใครมาไหว้จะประสบความสำเร็จ
      ถ้าระบบรัฐธรรมนูญของอเมริกาสามารถเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ได้ นายบารักจะได้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่ง เพราะได้มาไหว้พระนอน
      นายบารักหัวเราะ แล้วบอกว่า คงไม่เป็นอีกแล้ว เพราะจะกลับไปเลี้ยงลูก
      แล้วก็ชี้ไปทางนางฮิลลารี คลินตัน ให้เป็นต่อก็แล้วกัน สร้างเสียงหัวเราะ ทำให้บรรยากาศเป็นกันเองมาก"


   


      ในการเยี่ยมชมครั้งนี้ เจ้าคุณเทียบเล่าว่า
      โอบามาบอกเจ้าหน้าที่ให้ไปหาของที่ระลึก หรือสัญลักษณ์วัดโพธิ์กลับไปด้วย เพราะจะนำไปฝากลูกสาว
      ในช่วงท้ายฮิลลาลีกล่าวว่า การมาเยือนวัดโพธิ์ครั้งนี้ขอให้ทางวัดสนับสนุนกิจกรรมการช่วยเหลือต่างๆ ของเธอ จึงตอบกลับไปว่า คณะประธานาธิบดีต่างหากที่ต้องให้การสนับสนุนวัด
   
      ทั้งนี้ทั้งสองถือเป็นนักการเมืองที่มีอัธยาศัยที่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในวัด มีอาตมา โอบามา และฮิลลารี เพียง 3 คนเดินชมวัดไป คุยกันไปแบบเป็นกันเอง เดินไปเรื่อยๆ ทั้งคู่มีความประทับใจในความงามของวัดโพธิ์ โดยเฉพาะฮิลลารีประทับใจมาก บอกว่าจะพา "บิล คลินตัน" ผู้เป็นสามี และเป็นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ มาเที่ยวชมในโอกาสต่อไป อาตมารู้สึกยินดี ถือเป็นการประชาสัมพันธ์วัดไปในตัว
   
     “ก่อนที่นายบารักจะลากลับ อาตมากล่าวว่า ขอบคุณที่ท่านมาเยี่ยม และขอให้พุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงปกปักรักษาท่านและครอบครัวตลอดกาลนาน ท่านก็หัวเราะ ยิ้ม ส่วนของที่ระลึกนั้นทางวัดได้เตรียมหนังสือเกี่ยวกับวัดโพธิ์ให้ แต่ธรรมเนียมอเมริกันไม่ได้มอบกันต่อหน้า จึงมอบให้เจ้าหน้าที่ไว้ให้นายบารักแล้ว

     จากเวลาเพียงชั่วครู่ที่ได้นำชมและสนทนากับนายบารัก
     คิดว่าเขาเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก พูดคุยเป็นกันเองแบบธรรมชาติ
     ถามตอบกันแบบเพื่อน ถามเรื่องทั่วไป การบวช
     พูดตรงๆ ประวัติวัด หรือประวัติสถานที่สำคัญที่อาตมาเตรียมไว้ และสิ่งที่ต้องฝึกพูดแทบจะไม่ได้ใช้เลย
     ยืนคุยถามโน้นถามนี่ เหมือนเขามาพักผ่อน"

   
    "สถานที่ที่นายบารักชื่นชอบคือ โบสถ์สวยงาม
    นายบารักถามว่า โบส์สร้างเมื่อไหร่ เพราะว่า สวยงามมาก และวิหารพระนอนมีความสวยงาม
    อาตมารู้สึกดีใจที่ได้เป็นตัวแทนของวัดทำหน้าที่นี้ วัดได้ประโยชน์ ถือเป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงของวัด อาตมามาอาศัยวัดและได้ทำประโยชน์ต่อวัด ไม่ได้มองว่าตัวเองได้อะไร”
เจ้าคุณเทียบกล่าวในช่วงท้าย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121119/145100/เจ้าคุณเทียบโชว์พาโอบามาชมวัดโพธิ์.html#.UKmFmWfvolg
22518  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สดร.เผยภาพ “ฝนดาวตกลีโอนิดส์” เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2012, 07:49:34 am



สดร.เผยภาพ “ฝนดาวตกลีโอนิดส์”

วันนี้(18พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) หรือ สดร.ได้เผยแพร่ ภาพถ่าย “ฝนดาวตกลีโอนิดส์” ที่ถ่ายได้ ณ ยอดดอยอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เมื่อเช้ามืดวันที่ 18 พ.ย.55 ในการจัดงานกิจกรรม “เปิดฟ้า..ตามหาดาว (สัญจร)” ชวนประชาชนนอนนับฝนดาวตก ณ ยอดดอยอินทนนท์ โดยมีประชาชนชาวเชียงใหม่ และต่างจังหวัด ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 200 คน

ภายในงานในช่วงหัวค่ำของวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา มีการบรรยายเกี่ยวกับการดูดาวเบื้องต้น การแนะนำการชมฝนดาวตก และกิจกรรมทางดาราศาสตร์ ณ ศูนย์บริการข้อมูลสารสนเทศและฝึกอบรมทางดาราศาสตร์ กม. 31 อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จากนั้นเวลา 21.00 น. ได้เดินทางขึ้นไปรอชมฝนดาวตกลีโอนิดส์ ณ บริเวณยอดดอย มีอุณหภูมิประมาณ 10 องศา 

    จนกระทั่งช่วงก่อน 24.00 น. สภาพฟ้าปิด มีเมฆปกคลุมทั่วท้องฟ้า ทำให้ไม่เห็น
    แต่หลังจาก 24.00 น. ไปแล้ว ท้องฟ้าเริ่มเปิด ทำให้เริ่มเห็นฝนดาวตกประปราย
    จนกระทั่งถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 18 พ.ย กลุ่มดาวสิงโต ซึ่งเป็นใจกลางของฝนดาวตก ได้โผล่พ้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้เห็นดาวตกถี่มากขึ้นประมาณ 20 ดวงต่อชั่วโมง ประชาชนที่มาร่วมสังเกตการณ์ฝนดาวตกในครั้งนี้ ได้ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นตามการปรากฎของดาวตกแต่ละดวง






ทั้งนี้ในส่วนของพื้นที่อื่นๆของประเทศไทยมีเมฆปกคลุมมาก ไม่สามารถชมปรากฏการณ์ “ฝนดาวตกลีโอนิดส์” ในครั้งนี้ได้ แต่นายศุภฤกษ์  คฤหานนท์ เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์อาวุโส สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ พร้อม ทีมงานได้ตั้งกล้องรอบันทึกภาพ “ฝนดาวตกลีโอนิดส์” ณ ยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งสามารถเก็บภาพฝนดาวตกสวยๆ ได้หลายภาพ

อย่างไรก็ตามในเดือนธ.ค.นี้ ยังมีฝนดาวตกเจมินิดส์ หรือฝนดาวตกกลุ่มดาวคนคู่ ให้ผู้ที่สนใจได้ชมส่งท้ายปี 55  ซึ่งจะเกิดขึ้นมากที่สุดในวันที่ 13-14 ธ.ค.55 สามารถสังเกตได้ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันที่ 13 ธ.ค. ต่อเนื่องไปจนถึงเช้ามืดวันที่ 14 ธ.ค.

โดยในปีนี้คาดว่าจะได้ชมความสวยงามของฝนดาวตกเจมินิดส์อย่างเต็มอิ่ม เนื่องจากเป็นช่วงคืนเดือนมืด ข้างแรม 15 ค่ำ ไม่มีแสงจากดวงจันทร์มารบกวน โดยนักดาราศาสตร์คาดการณ์ว่าในปีนี้จะสามารถสังเกตเห็นฝนดาวตกเจมินิดส์ได้มากกว่า 120 ดวงต่อชั่วโมง โดยจะสังเกตได้ง่ายเนื่องจากมีความเร็วของดาวตกไม่มาก ประมาณ 35 กิโลเมตรต่อวินาที



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/technology/167403
22519  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: เสน่ห์ไทย ณ วัดโพธิ์ ′พญาอินทรี′ ยังอดใจไม่ได้ (ชมภาพ) เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2012, 07:42:34 am













ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/politics/167324
22520  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: เสน่ห์ไทย ณ วัดโพธิ์ ′พญาอินทรี′ ยังอดใจไม่ได้ (ชมภาพ) เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2012, 07:28:13 am

ปธน.โอบามา- ฮิลลารี่ คลินตัน ชมความงามของวัดโพธิ์ (ชมภาพชุด)

วันนี้ (18 พ.ย.) นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีกำหนดการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) โดยหลังจากเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันลงจอดที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ (ดอนเมือง)

ประธานาธิบดีสหรัฐ และคณะ จะไปเยี่ยมชมวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นจุดแรก จากนั้นเวลา 17.00 น. เข้าเฝ้าฯ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ห้องประชุมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อาคารเฉลิมพระเกียรติ  ชั้น 14 โรงพยาบาลศิริราช โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯ ด้วย


เวลา 18.00 น. มีพิธีต้อนรับนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ ณ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

  - ลงนามในสมุดเยี่ยม ณ ห้องสีงาช้างด้านนอก ตึกไทยคู่ฟ้า
   - การหารือทวิภาคีระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและนายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้างด้านใน ตึกไทยคู่ฟ้า
   - การแถลงข่าวร่วมระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐอมริกาและนายกรัฐมนตรี  ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน)
   -  นายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล


เวลา 21.45 น. ประธานาธิบดีสหรัฐ จะร่วมงานเลี้ยงภายในของสถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ที่ CU Sport Complex จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย















ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/politics/167324
หน้า: 1 ... 561 562 [563] 564 565 ... 708