ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระราชอารมณ์ขันของในหลวง  (อ่าน 2411 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
พระราชอารมณ์ขันของในหลวง
« เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2011, 09:11:17 pm »
0

พระราชอารมณ์ขันของในหลวง


ไปอ่านเจอมาจากหลายที่ อ่านแล้วก็รู้สึกดีมากๆ ค่ะ ภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทย ได้อยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ทุกวันนี้เรามีในหลวงที่ทรงเป็นดั่ง 'สรณะแห่งแผ่นดิน' อันหมายถึงว่าทรงเป็นที่พึ่งสูงสุดของพสกนิกรไทยทั้งมวล
เมื่อทรงสถิตอยู่ในดวงใจไทยทั้งผองแล้วจึงพบว่าคราใดในยามเมื่อทรงมีพระราชดำริหรือพระราชกรณียกิจอันใดก็เป็นที่สนใจกันทั้งแผ่นดิน เพราะความรักนบนอบบูชาที่เปี่ยมด้วยความจงรักภักดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของพสกนิกรทั้งหลายในแผ่นดิน นั่นเอง


เรื่องที่ 1
ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับ แก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว


วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์

"..ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้.. วันนี้ ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ.."

ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว

วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการพร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตามและทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า

"วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ.."


เรื่องพระราชอารมณ์ขันอันเปี่ยมด้วยพระเมตตายิ่งนี้ ยังเป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วหน้าตราบทุกวันนี


เรื่องที่ 2
อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน


เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า

”ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า.."

มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..

พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า
"มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"

เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง


เรื่องที่ 3
มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง


พอดีในหลวงเสด็จมา คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า
“เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง”

ในหลวงทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า
“เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง” (สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร)

พอเสร็จก็ก้าวลง พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันได รีบลงมาก้มกราบ


ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า
“แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"
 

เรื่องที่ 4
เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า


"ไปบอกเค้านะ เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"


เรื่องที่ 5
เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว ราษฎรผู้หนึ่งจึงกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า
"ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"
ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"


เรื่องที่ 6
ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์ ก็กราบบังคมทูลว่า
"เอ้อ - ทรง... อ้า- ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ"


พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า
"ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่ จะท้องได้ยังไง"
แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่าหมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า
" เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ"
เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษ

เรื่องที่ 7
เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอฐษ์ ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง


ทางนางสนองพระโอฐก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก้อมีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์

นางสนองพระโอฐก้อ งง ...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก้อยังไม่เปิดนี่หว่า

พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ (อิ อิ ขนลุกเลย)

เรื่องที่ 8
การใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน เพราะเรียนมาตั้งแต่เล็กแต่ไม่เคยได้ใช้เมื่อออกงานใหญ่จึงตื่นเต้นประหม่า ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทั่วไป และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน หรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่างๆนานัปการ


ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เคยเล่าให้ฟังว่า ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้นจนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูล จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาอย่างดีก็ตาม

ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า

”ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"

เมื่อคำกราบบังคมทูล ในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..."


ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัยเพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้

เรื่องที่ 9
เหตุการณ์เมื่อปี 2513 วันนั้นท่านทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง


เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำๆ จับ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วง เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง

แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังทรงรับสั่งว่า "ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด"

เรื่องที่ 10
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงสูงมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า
"ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า"

ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดีว่า
"เรายังไม่ตาย ถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก

เรื่องที่ 11
วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาทแล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง


แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมาย แต่ในหลวงก็ทรงเฉย ๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่

แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะ พระองค์ทรงตรัสว่า

"เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิ ถึงจะถูก"


เรื่องที่ 12
เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่าเมื่อกี้นี้ ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว


และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญใน การถ่ายรูป

พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้งเพื่อจะได้มีรูป ไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม

เรื่องที่ 13
ที่ปักษ์ใต้ทรงมีชาวบ้านไทยมุสลิมที่สนิทสนมกันมาก และมักเสด็จไปเยี่ยมเสมอโดยมิได้บอกให้รู้ตัวล่วงหน้า
วันหนึ่งเมื่อมีพระราชประสงค์ที่ทรงอยากทราบว่า ปัญหาดินเปรี้ยวนั้นมีมากน้อยเพียงใด และบรรดาเกษตรกรนั้นพบกับความเดือดร้อนลำบากยากเข็ญเป็นไฉน


บ่ายนั้น ทรงเอ่ยถามชาวบ้านผู้หนึ่งที่อยู่กลางนาในจังหวัดนราธิวาสว่า.. "ดินที่นี่เปรี้ยวไหม."
ชายผู้นั้นยกสองมือพนมไหว้พร้อมกราบบังคมทูล ด้วยภาษาสามัญสำเนียงปักษ์ใต้ในสีหน้าท่าทางเรียบแบบงงๆ ว่า "..ในหลวงครับ ผมไม่เคยชิมเลยครับ เลยไม่รู้จริงๆ ว่าดินที่นี่เปรี้ยวหรือเปล่า.."

ทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์สำราญพร้อมผินพระพักตร์มายังดร.สุเมธ และรับสั่งว่า
"เออ จริงของเขา เราถามผิดเอง.."


จากเรื่องนี้คือที่มาของหนึ่งในโครงการพระราชดำริ 'แกล้งดิน' ที่ทรงแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวให้เปรี้ยวจัดสุดขีดแล้วผ่อนคลายด้วยหลายวิธีให้มีการปรับคุณภาพของดินให้ใช้การได้ในภายหลัง

เรื่องที่ 14
เรื่องความละเอียดอ่อนและรอบรู้ในสรรพวิชาของในหลวงนั้น มีนานัปการ และทรงเป็นนักวิเคราะห์และสังเกตได้อย่างที่ไม่มีผู้ใดคาดถึง
สมัยเมื่อหลายปีก่อนยามที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงติดตามงานใดในพระราชดำริก็มักมีการเตรียมพื้นที่ประดับต้นไม้ใบหญ้าสารพัดเพื่อให้สมพระเกียรติ
ดร.สุเมธเล่าว่า ทรงเรียกต้นไม้ดอกไม้ทั้งหลายว่า 'ต้นไม้รับเสด็จ' บ้าง หรือ ปลูกผักชีรับเสด็จบ้าง เพราะบางที่มีทั้งกระถางโผล่มาให้ทรงเห็นในแปลงเกษตรทั้งหลายก็มี


หรือในครั้งหนึ่งเมื่อรถพระที่นั่งถึงบริเวณโครงการแห่งหนึ่ง ทรงสัพยอกถามเจ้าหน้าที่ที่นั่นว่า
"...มีปลูกผักชีด้วยหรือเปล่า..."
ผู้นั้นกราบทูลหน้าตาซื่อว่า "มีพระพุทธเจ้าข้า พร้อมทำท่านำเสด็จฯไปทอดพระเนตรอย่างขึงขัง"
ทรงชี้ไปยังกลุ่มกอกล้วยน้ำว้ากอใหญ่ที่ต่างออกดอกปลีมีผลเป็นเครือสวยงาม และตรัสว่า
"นี่ก็เป็นต้นกล้วยรับเสด็จด้วย"

พร้อมนั้นมีพระราชาธิบายว่า "ธรรมชาติของกล้วยนั้นจะออกดอกผลไปในทางทิศเดียวกัน.."
แต่กล้วยที่นี่ออกลูกได้ในทุกทิศ จึงเป็นกล้วยรับเสด็จที่ทรงจับได้ในวันนั้น
นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีพระอารมณ์ขันในยามทรงงานด้วยเช่นกัน


เรื่องที่ 15
พระองค์ท่านเสด็จไปที่จังหวัดสกลนคร เพื่อเยี่ยมเยียนชาวบ้าน
และพระองค์ก็ทรงตรัสถามชายคนหนึ่งที่มาเข้าเฝ้าเพราะแขนเจ็บเข้าเฝือก
ในหลวงทรงรับสั่งถามว่า "แขนเจ็บไปโดนอะไรมา "
ชายคนนั้นตอบว่า "ตกสะพาน"


แล้วในหลวงทรงรับสั่งกลับไปอีกว่า " แล้วแขนอีกข้างหนึ่งละ "
ชายคนนั้นก็ตอบกลับมาอีกว่า "
แขนข้างนี้ไม่ได้ตกลงไปด้วยตกข้างเดียว"
ในหลวงของเราก็ทรงพระสรวล
 

แหล่งข้อมูล http://www.med.cmu.ac.th/ethics/story/story055.htm
ขออภัย บทความนี้ไม่ได้มีการขออนุญาตเผยแพร่จากเจ้าของผลงานโดยตรง
เราเจตนาเพียงเพื่อแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ความรู้สึกดีๆ ส่งต่อให้กับเพื่อน ๆได้อ่าน ได้คิด เพื่อเป็นกำลังใจให้กันเท่านั้นและเพื่อการศึกษาค่ะขอบคุณค่ะ

ที่มา http://iam.hunsa.com/theking6644/article/4729
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ