ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ไำฟทั้งสี่ ผู้ปฏิบัติ พึงสังวร ครั้นเมื่อจะตายจักเป็นที่พึ่ง  (อ่าน 5017 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ไฟดวงแรก แลเห็น เท่าหิ่งห้อย
 
     ครั้นได้ไฟนี้แล้ว เมื่อจะตายถือเอาไว้ ไม่ลงนรกและ ปิดอบาย ไฟนี้เป็นของพระโสดา
 
 ไฟดวงสอง เห็นเท่ากับดาวรุ่ง ประเสริฐนัก
 
     ครั้นได้ไฟนี้แล้ว เมื่อจะตายถือเอาไว้ ก็จะไปเกิดในชั้นอินทร์ ชั้นพรหม เกิดอีก 1 ชาติก็สิ้นสุด
 
     ไฟนี้เป็นของ พระสกิทาคามี
 
 ไฟดวงสาม เห็นเท่ากับเดือนเพ็ญ ส่องสว่างให้เห็นทั่ว แต่ก็ขมุกขมัวอยู่
 
     ครั้นได้ไฟนี้แล้ว เมื่อจะตายถือเอาไว้ ก็ไปเกิดในชั้นพรหม ทั้ง 5 ไม่กลับมาเิกิดเป็นมนุษย์อีก
 
     ไฟนี้เป็นของ พระอนาคามี
 
 ไฟดวงที่สี่ สว่างดั่งดวงพระอาิทิตย์ ส่องให้เห็นทั่ว ถึงพระนิพพาน รุ่งเรืองชวาลา
 
     ครั้นได้ไฟนี้แล้ว เมื่อจะตายให้พรแก่มาร ปัญจะมาเร ชิเน นาโถ  ปัตโตสัมโพธิมุตตะมัง  จะตุสัจจัง มะหาวีรัง วันทามิหัง ปัญจะมาเรปะลายิงสุ  ภาวนาให้พรแก่มารทั้ง 5 ยังมาบังเกิดเล่า เหตุว่ามิได้ประจุร่างเสียก่อน
 
 ให้ประจุรูปร่าง ด้วยบาท ฉะนี้ 
 
     สัพเพา สังขารา อุปปัตชิตตะวา นิรุชฌันติ นัตถิ ชะนัง วินาสสันติ
 
     ครั้นประจุร่างแล้ว เอาจิตผูกไว้ เอานิพพานเป็นอารมณ์ แล้วว่าดังนี้
 
     ภัยอันใดอย่าได้มาเบียดเบียนข้าเลย เบียดเบียนข้าวันใดข้าจะนิพพานวันนั้นแล
 
     ว่าดังนั้นแล้ว ก็เอาจิตหน่วงพระนิพพาน ไม่ต้องภาวนาอีก
 
     อันว่าจตุรภูต ทั้ง 4 ย่อมไม่รักษา เพราะได้ประจุร่างเสียแล้ว
 
     จึงให้ไปเกิดใน อกนิษฐพรหม ก็ยังไม่พ้น
 
     อันว่านิพพานย่อมไปเกิดในดวงแก้ว ให้ว่าคาถานี้ก่อน
 
     ยังกิญจิรูปัง อะตีตานาคเต ปัจจุปปันนัง อชฌัตตัง วา พะหิทธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา หีนัง วา
 
     ปะณีตัง วา ยังทูเร วา สันติเก วา สัพเพ นามะรูปัง อนิจจัง ขะยัตเถนะ ทุกขัง ภะยัตเถนะ อะนัตตา
   
     อะสาระกัตเถนะ
 
     ครั้นว่าคาถานี้แล้ว ก็เกิดในดวงแก้ว กล่าวคือพระนิพพาน
 
 
     พรหม เกิดในดอกบัวแก้ว
 
     สวรรค์ เกิดในดอบัวทอง
 
     นรก เกิดแต่ถ่านไฟแดง
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

รักหนอ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +22/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 369
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
รักหนอ พยายาม อ่านก็พอเข้าใจว่า ต้องมีไฟ หรือ ต้องได้ไฟ

อยากเรียนถามพระอาจารย์ว่า

   เอาแค่ ไฟหิ่งห้อย จักทำให้เกิดได้อย่างไร คะ

   รักหนอ ปรารถนาเบื้องต้น เท่านี้ก่อน คะ


 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

ครูนภา

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +25/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 608
  • ภาวนา ร่วมกับพวกท่าน แล้วสุขใจ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 ได้รับคำตอบมาเหมือนกัน คะ

   เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิ มีความตั้งมั่น ในระดับพระอุปจาระสมาธิ แล้ว ถ้าไม่ปรารถนา

   เจโตวิมุตติ ก็ใ้ห้เดินจิตเป็น วิปัสสนา ต่อได้เลย

   โดยภาวนา เร่ิมที่ ทุกขัง ๆ ๆ ๆ  ไปเรื่อย ให้ เห็นทุกข์

   เมื่อจิต นึกหน่วง ในความทุึกข์ แล้วก็ให้ ภาวนาว่า อนิจจัง ๆ ๆ  เมื่อจิตมองเห็น อนิจจัง แล้ว

  ก็ให้ภาวนาว่า อนัตตา ๆ ๆ ๆๆ ไปเรื่อย ๆ

   พระอาจารย์บอกว่า เมื่อภาวนามาถึงตรงนี้ แล้ว จิต จะมองเห็น บาป ที่ตนเองเคยทำในชาติปัจจุบัน จะทะยอย

เข้ามารบกวน จิตไปเรื่อยๆ ให้ข่มด้วย บุญ ที่เราได้ในชาตินี้ ถ้าบาป มีแรงมากก็จะเกิดเป็น สีดำ ในจิต คือมืด

ถ้าอย่างนี้ ไม่สามารถพ้นอบาย ให้รีบขวนขวายในบุญกุศลให้ไวที่สุด ถ้าหากภาวนา แล้วเป็นแสงขาว เจิดจ้า

ก็ให้ภาวนาต่อ ไป อนัตตา ๆๆๆๆๆ

   อย่ากลัว ๆ ๆ ๆ ให้มอบกายถวายชีวิต แก่พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า นั่นแหละจิตก็จักวางจาก

กายมองเห็น นี่สักแต่ว่ากาย สักแต่ว่าลม สักแต่ว่าตัวตน บุคคลเราเขา เป็นแต่เพียงสักว่า

   ให้จิตนึกหน่วงในแสงนั้น อันเรืองรองเท่าแสงหิ่งห้อย พอเห็นอย่างนั้นก็นึกหน่วงไว้

 :25: :25:
บันทึกการเข้า
ศรัทธา ปัญญา ขันติ ความเพียร คุณสมบัติผู้ภาวนา
ขอเป็นกัลยาณมิตร กับทุกท่าน ที่เป็นกัลยาณมิตร

ISSARAPAP

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +11/-1
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 129
  • โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย สัจจะธรรมแท้ ไม่มีสูตร
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เมื่อใจถึงปรมัตถ์ ว่างเปล่า จากบัญญัติ ก็ไม่น่าจะต้องสนใจ

เรื่องของไฟ

โดยส่วนตัวผม ไม่ได้สนเรื่องไฟ

แต่สนเรื่องของใจ ที่ว่างจากกิเลส ปราศจากกิเลส

ใจเข้าถึงปรมัตถ์ เห็นบัญญัติ เป็นเพียง บัญญัติ เมื่อไร้ บัญญัติ ก็ไร้ สิ่งซึ่ง ....

คงเหลือ แต่ธรรม ที่แปรปรวนไปตาม วัฏฏจักร ไม่เีที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัว

เป็นตน เป็นเราเป็นของเรา

( ไม่ทราบอารมณ์ผม ผิดหรือป่าว )

ถ้าผิดจะได้ปรับปรุง ครับ เพราะตอนนี้ใจน้อมรับ กรรมฐาน ไปฝึกครับ

 :25: :bedtime2:
บันทึกการเข้า
ความสันโดษ เป็นบรมสุข

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ด้านใน คือ ใจ ที่หลุด ที่พ้น ไฟแห่งพระอริยมรรค ย่อมเกิด ก่อนเป็น อริยผล

ด้านนอก ก็ เป็นปกติ หาพ้นจากบัญญัติไม่


หมั่นภาวนา ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ก็จักแจ้งชัด

เจริญพร
 ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

fasai

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 540
  • ทางสายกลาง
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
อ่านแล้ว ถึงยังไม่เข้าใจ แต่เชื่อมั่นว่า

เมื่อถึงเวลาจักเข้าใจ คะ
 :25: :25:
บันทึกการเข้า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกรรม
ใครสร้างกรรมอย่างไร ก็รับผลกรรมอย่างนั้น

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

        ข้อควรรู้เกี่ยวกับไฟทั้งสี่
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา