ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ชอบภาวนาในท่านอนคะ เพราะเป็นคนมีนิสัยหลับยากคะ  (อ่าน 20162 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Jojo

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 237
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ด้วยอุปนิสัย คือ ฟุ้งไปเรื่องต่าง ๆ หลับยากกว่าจะหลับบางคืนก็ตี 2 เลยทำให้นอนตื่นสาย
ติดนิสัยมาตั้งแต่เรียนหนังสือ ต้องดูสือ ดึก ๆ ทุกคืนคะ

จึงอยากขอเรียน กรรมฐานในท่านอน ที่จะทำให้หลับง่าย ๆ มีหรือไม่คะ ต้องทำอย่างไรบ้างคะ
ไปที่วัดท่านสอนให้นอนภาวนาพุทโธ ๆๆๆๆ แต่ภาวนาไปสักพัก ก็ฟุ้งซ่าน และก็ไม่ภาวนาอีกมี
วิธีการที่ได้ผลมากกว่านี้หรือไม่คะ

 :25:
บันทึกการเข้า
ฉันมาเพราะเธอนะ ยายกบ มาศึกษาธรรมะบ้าง ยินดีที่รู้จักทุกท่านคะ
ช่วยเมตตา แนะนำด้วยมิตรภาพ นะคะ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ชอบภาวนาในท่านอนคะ เพราะเป็นคนมีนิสัยหลับยากคะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2011, 10:05:24 am »
0
 

จาก หนังสือแนวคำสอนสมเด็จโต “สมาธิ ทางสงบ ถอดจิต”  โดย แสง  อรุณกุศล

8. ท่านอนสีหไสยาสน์
         นอนด้วยท่าทางสงบ นอนตะแคงขวาเพื่อไม่ให้บีบทับหัวใจมากเกินไป มือขวาวางหงายไว้บนหมอนข้างแก้มขวา มือซ้ายวางราบไปตามลำตัว ขาขวาวางเหยียดไปแบบธรรมชาติไม่ต้องเกร็งให้ตรงเกินไป โคนขาซ้ายทับขาขวาอย่างพอเหมาะ เข่าซ้ายพับงอเล็กน้อย ปลายเท้าซ้ายวางลาดตํ่าไว้หลังเท้าขวา เป็นการช่วยพยุงร่างให้ทรงตัวในท่านอนได้นาน

         ส่วนการกำหนดบริกรรมลมหายใจนั้น กำหนดเหมือนบทเดิม จนกว่าจะหลับไป หรือว่าบริกรรมเพื่อพักชั่วคราว และเมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องมีสติกำหนดบริกรรมกำกับลมหายใจอีกจนกว่าจะลุกขึ้น เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถใหม่

         ท่านที่เป็นโรคกระเพาะอาหารย้อยหย่อนยาน ควรนอนท่าตะแคงข้างขวา เพื่อไม่ให้กระเพาะอาหารย้อยถ่วงลงมามากกว่าเดิม และเมื่อฝึกสมาธิก็พยายามขับลมหายใจลงสู่เบื้องตํ่าเป็นการบีบรัดและเร่งให้กล้ามเนื้อนั้นมีกำลัง กระเพาะอาหารก็จะค่อยๆคืนสู่ตำแหน่งเดิม

         ข้อดี เป็นท่าที่เหมาะสมกับคนแก่ หรือท่านที่เจ็บป่วย หรือมีร่างกายอ้วนมากจนไม่เหมาะกับการที่จะใช้ท่าอื่นเพื่อการฝึกปฏิบัติจิต เป็นท่านอนที่มีสติอยู่ได้นานกว่าท่านอนหงาย

         ข้อเสีย ท่านอนทุกท่า เมื่อวางตัวนอนแล้วศีรษะจะอยู่ในลักษณะระดับลาดใกล้เคียงกับลำตัวที่นอนขนานกับพื้นหรือเตียง เลือดจึงไหลขึ้นไปคั่งอยู่ที่สมองมากกว่าปรกติ เดี๋ยวเดียวที่เข้านอนได้ที่ ส่วนมากก็จะหลับบางครั้งจะหลับก่อนที่จะได้สมาธิที่สมบูรณ์


9. ท่านอนหงาย
ท่านี้เหมาะกับคนที่มีร่างกาย อ้วน หรือไม่สะดวกในการใช้ท่าฝึกสมาธิท่าอื่น
ในขณะเดียวกัน ท่านอนทุกท่าเป็นอิริยาบถของการเตรียมตัวหลับนอน ดังนั้น จึงเป็นการฝึกสมาธิก่อนนอนโดยปริยาย แม้ว่าจะฝึกจิตยังไม่ทันหลับ สติความระลึกรู้ก็จะดับไปพร้อมกับนอนหลับสนิท


         ท่านอนหงายรักษาโรคปวดหลัง ท่านี้เหมาะกับคนที่ปวดหลัง คือนอนหงายเหยียดตรงไปบนพื้นหรือพื้นห้องที่ไม่มีฟูกหรือที่นอนอ่อนนิ่มรองรับอยู่ แล้วเอาผ้าบางๆพับให้เป็นเส้นหนาพอควร ความหนาของผ้านี้อาจจะใช้ความหนาไม่เท่ากันทุกคน ขอให้พิจารณารองแล้วนอนไม่อึดอัดเกินไปก็ใช้ได้ ผ้าที่พับนั้น เมื่อพับแล้วต้องยาวกว่าความกว้างของแผ่นหลังท่านเล็กน้อย พับแล้วจึงนำผ้านั้นสอดขวางกับลำตัววางไว้อยู่ใต้บั้นเอวพอดี

         ส่วนฝ่ามือนั้นให้นิ้วประสานกัน นิ้วหัวแม่มือจรดชนกันวางอยู่ที่หน้าท้อง ไม่ควรวางไว้หน้าอก เพราะธาตุไฟที่ถ่ายเทผ่านฝ่ามือ จะเผาผลาญอวัยวะภายในอก เช่น ตับ ปอด หัวใจ ทำให้ตื่นขึ้นมาเหมือนคนมีไข้ และจะมีอาการหิวน้ำ

         ส่วนลมหายใจนั้นก็กำหนดบริกรรมกำกับเหมือนทุกท่าของการปฏิบัติ
         ถ้าอากาศเย็นควรหาผ้าคลุมร่างให้อบอุ่นไว้ด้วย

         ข้อดี ท่านอนทุกท่าที่นอนแล้วภาวนาปฏิบัติจิตนั้นเป็นการฝึกแบบเก็บเล็กผสมน้อยก่อนนอนหลับ แม้จะเพียงวันละ 5 นาทีก็ยังดี และเป็นผลพลอยได้ คือ จะหลับได้สบายอย่างมีสติด้วย

         ข้อเสีย มีเวลาน้อยมากที่จะภาวนาให้เกิดสมาธิเพราะหลับก่อน แต่ก็ยังเป็นประโยชน์แก่คนที่นอนหลับยากที่จะใช้เวลาก่อนนอนหลับนั้น ภาวนาจนกว่าจะหลับสนิทไปเป็นการแก้ไขการทรมานกระสับกระส่าย ไม่เกิดอาการกระวนกระวายก่อนหลับนอน


สมาธิรักษาโรคนอนไม่หลับ

         ข้อแนะนำสะกดตนเองให้นอนหลับ
         คนที่คิดมากเกิดความกังวลใจ ห่วงนั้น ห่วงนี่ ห่วงลูก ห่วงหลาน ห่วงสมบัติ หรือห่วงว่าจะไม่มีกินคิดแล้วไม่หยุดยั้งชั่งใจให้สงบบ้าง จึงเกิดเป็นโรคประสาทอ่อน หรือโรคประสาทมากๆ นั้น ส่วนมากจะมีอาการอย่างหนึ่ง คือนอนไม่หลับ อันเป็นทุกข์อย่างยิ่งจึงควรปฏิบัติดังนี้

9.1 อย่านอนหลับกลางวัน กลางวันถ้าเกิดอาการง่วงนอน พยายามอย่าไปนอนหลับหรือนั่งพักผ่อน ควรจะหางานทำที่ต้องใช้กำลังกายบ้าง หรือว่า เดินให้หายง่วง อาจจะใช้ท่าเดินจงกรมเดินไปแผ่เมตตาไปตามทุกลมหายใจ จะช่วยให้จิตใจสบายปลอดโปร่งคลายความหงุดหงิดได้

9.2 กลางคืนอย่านอนหลับหัวคํ่าเกินไป ให้นอนหัวคํ่าที่สุดประมาณ 21.00 น. หรือว่าดึกกว่านี้หน่อยเวลานอนจะได้นอนหลับทีเดียวจนถึงเช้า

9.3 ทำจิตใจให้มีอารมณ์สบายๆ ก่อนนอน สวดมนต์ไหว้พระ แผ่เมตตา ระลึกถึงกุศล ความดีที่เคยทำมา แล้วอุทิศผลบุญเหล่านั้นให้กับผู้มีพระคุณทุกท่าน และเจ้ากรรมนายเวร แล้ววางอารมณ์ทุกอย่างลืมเสียให้หมด เช่น ดีใจจนตื่นเต้น เสียใจจนเศร้าโศก ความอาฆาตมาดร้ายพยาบาท หรือว่า ความคิดที่ว่าทำอย่างไรจึงจะได้มีสมบัติมากๆ เป็นต้น

9.4 สะกดใจให้สงบอยู่กับที่ นอนในท่าที่รู้สึกว่าสบายหลับตาแล้วภาวนาหายใจเข้าว่า “พุท ”หายใจออกว่า “โธ ”หรือสวดมนต์ในใจบทใดบทหนึ่งก็ได้ส่วนจิตใจนั้นต้องส่งความรู้สึกทั้งหมด ไปตามคำภาวนาหรือบทสวดมนต์นั้นๆ ไปเรื่อยๆ ภาวนาจนกว่าจิตใจ จะสงบและหลับไป

9.5 ปล่อยใจวางภาระทุกอย่าง นอนในท่าที่รู้สึกสบาย หลับตาแล้วระลึกถึงกุศลความดีที่ได้ทำมา แล้วอุทิศให้ผู้มีพระคุณทุกท่าน และเจ้ากรรมนายเวรแล้วภาวนาแผ่เมตตาไป จนจิตใจสงบหลับไปในที่สุดระหว่างภาวนาแผ่เมตตานั้น จิตใจจะต้องน้อมนำไปตามความหมายของบทแผ่เมตตา

    ถ้ายังไม่หลับ ให้ระลึกว่า กายเรานี้สักแต่ว่ากายเป็นเพียงก้อนธาตุก้อนหนึ่งที่วิญญาณเราอาศัยอยู่ เพื่อใช้กรรม รอเวลาให้หมดวาระตามอายุขัยที่มีอยู่ หรือตามกรรมที่กระทำไว้ในอดีต ที่จะส่งผลมาปัจจุบันชาติให้เราอาจจะตายเมื่อใดก็ได้ บางทีเดี๋ยวก็อาจจะตายร่างนี้พร้อมแล้วที่จะแตกดับไป กายนี้พร้อมแล้วที่จะแปรธาตุสลายไปสู่ธาตุเดิมคือ ดิน นํ้า ลม ไฟ ที่อยู่ตามธรรมชาติ ไม่เป็นแก่นสารสาระอะไรที่เราจะมายึดมั่นถือมั่นให้ทุกข์กาย ทุกข์ทั้งใจ เราไม่มีอะไรที่จะยึด เราไม่มีอะไรที่จะหลง

   เมื่อนั้นเราจึงไม่มีทุกข์ใดๆ ที่จะมาทำให้เราต้องกังวลจนนอนไม่หลับ คิดไปภาวนาไปเรื่อยๆ แล้วทำใจสบายๆ ไม่เครียดแบบเอาจริงเอาจัง ทำใจให้ได้ว่า การนอนหลับของเราก็คือ การตายแบบหนึ่งที่เราปล่อยใจ วางภาวะทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วที่จะตาย เพราะทุกอย่างของคนเรานั้น สิ้นสุดที่ “ ตาย ”


10. ท่าฝึกสมาธิแบบอิสระ
         เป็นการฝึกปฏิบัติสมาธิจิตที่ไม่จำกัดท่าฝึกสถานที่เพียงแต่มีเวลาชั่วขณะหนึ่ง หรือว่า ยามที่ไม่ต้องใช้ความคิดท่านก็หาโอกาสนั้นที่จะภาวนาได้แม้จะไม่หลับตาก็ภาวนาได้ เช่น ขณะนั่งรถ เดินทาง หรือว่า นั่งซักเสื้อผ้า เก็บกวาด ทำความสะอาด ท่านเพียงแต่ภาวนา    “ พุท ” “ โธ ”ควบคุมอารมณ์ให้สงบ ก็เป็นการฝึกจิตให้สงบอย่างเบื้องต้นที่ดีแล้วแม้จะเป็นระยะเวลาสั้น

        ท่าอิสระอีกแบบหนึ่ง
         เป็นวิธีฝึกสมาธิปฏิบัติจิต ที่เหมาะสำหรับท่านที่ไม่มีเวลาว่างจริงๆ เพียงแต่ท่านใช้เวลาให้จิตสงบครั้งละ 5 นาที

         เมื่อท่านเมื่อยล้าจากการงาน การใช้สายตา ประสาทเครียด มึนศีรษะ หรือกำลังโมโหอยู่ ขอให้ท่านนั่งหรือนอนในอิริยาบถที่สบาย หลับตานึกถึง พระพุทธเจ้า หายใจเข้าท่องว่า “ พุท ” หายใจออกท่องว่า “ โธ  ” เมื่อครบกำหนดเพียงประมาณครู่หนึ่งหรือ 5 นาที แล้วออกจากสมาธิ ร่างกายก็จะรู้สึกสดชื่นขึ้น พร้อมที่จะทำงานต่อไป ตาก็ได้พักสายตาคลายความเมื่อยล้าของประสาทตา ประสาทต่างๆ ก็คลายความเครียดลงสมองก็จะปลอดโปร่ง ความโมโหโทโสก็หยุดชะงักลงเกิดสติยั้งคิดทันก่อนที่จะทำอะไรผิดพลาดไปได้

         นี่ละ “ อานิสงส์ของสมาธิเพื่อชีวิตประจำวัน ”

                 การฝึกสมาธิที่ดี
ต้องเน้นหนักทั้งการออกกำลังบริหารกายที่พอเหมาะและการพัฒนาจิตใจอย่างสมํ่าเสมอ
“ ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของสังคม ท่านสามารถอยู่อย่างสงบกาย สงบใจ ท่านก็คือยอดคนที่มีสมาธิอันยอดเยี่ยม ”

         รักษาอารมณ์ให้ดีก่อนปฏิบัติฝึกสมาธิจิต

         ถ้าท่านเป็นคนเจ้าโทสะ โมโหร้าย ด้วยเหตุที่เอาแต่ใจตัวก็ตามหรือภาวะแวดล้อมเป็นเหตุก็ตาม ที่ทำให้ท่านไม่พอใจ ในขณะที่จิตใจปั่นป่วนนั้น ธาตุภายในร่างกายก็พลอยปั่นป่วนด้วยเป็นเหตุให้การปฏิบัติสมาธิจิตสงบได้ยาก

         ท่านควร นิ่งเงียบ หยุดโมโหโทโสสักครู่แล้วพิจารณาว่า โมโหแล้วจะได้มีอะไรดีขึ้นเพราะโมโหแล้วมีแต่ทำให้สุขภาพกายและจิตเสื่อมท่านก็จะหยุด พ้นจากกิเลสเหล่านี้ที่คอยเกาะกุมอยู่เหนือเรา คอยบัญชาเราแล้วท่านก็จะรักษาอารมณ์ให้สงบลงมา มีจิตใจสงบสดชื่น ร่าเริงทุกครั้งก่อนที่จะเข้าปฏิบัติ

         ท่านต้องไม่ใช่ฝึกเพราะถูกบีบบังคับ หรือจำใจที่จะต้องฝึก แต่ฝึกเพราะความสมัครใจที่หวังความสงบและหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ด้วยใจที่สมัครเข้าฝึกนี้เอง จึงทำให้ท่านไม่เกิดความท้อแท้ เบื่อหน่ายรังเกียจที่จะเข้าฝึกครั้งต่อไป

         เริ่มต้นฝึกด้วยความตั้งใจ วางจิตใจ ร่างกายให้อยู่ในอารมณ์สบายๆ ตัดความกังวลทั้งหมดวางไว้นอกกาย เช่นกังวลเรื่องที่อยู่อาศัย งาน การเรียน หมู่คณะครอบครัวและญาติ สำหรับผู้มุ่งหวังโลกุตระแล้วไม่ควรกังวลถึงเรื่องตระกูล ชื่อ เสียง ลาภ เกียรติ ยศ สรรเสริญ ที่ตนเคยมีอยู่และห่วงกลัวว่าจะไม่ได้ในอนาคต ห่วงการเดินทาง ห่วงการเจ็บป่วย ห่วงเรื่องอิทธิฤทธิ์ ควรตัดความกังวลเหล่านี้ออกจากใจชั่วขณะหนึ่งที่ปฏิบัติไม่คิดถึงเรื่องในอดีตแม้ลมหายใจที่ผ่านไปและไม่คิดถึงเรื่องอนาคตแม้ลมหายใจที่ยังมาไม่ถึง แต่ให้คิดถึงภาวะปัจจุบันคือ
         “ ภาวะที่กำลังฝึกปฏิบัติสมาธิจิตให้สงบอยู่ ”

ที่มา http://www.oknation.net/blog/thitiporn/2010/06/01/entry-1


ขอให้เครดิต "ยายกบ" ของคุณ Jojo ด้วยครับ

หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะสร้างความสำราญ(ในการนอน) ให้กับทั้งสองท่าน

 :s_good: ;) :49: :58: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 15, 2011, 10:07:02 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

prachabeodee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 135
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ชอบภาวนาในท่านอนคะ เพราะเป็นคนมีนิสัยหลับยากคะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2011, 03:21:38 pm »
0
นี่เป็นการเจริญกรรมฐานโดยการนอนกำหนด เน๊าะ...
ป้าอยากจะบอกว่า...มีสายกรรมฐานหนึ่งที่เขาใช้การไม่นอนเป็นตัวดู,ตัวกำหนด.....
สายนี้เขาจะอดนอน(คล้ายเนสัชชิกะธุดงค์)หลายๆวัน โดยจงใจให้ง่วงๆมากๆ......แล้วใช้สติคอยเฝ้าดูการทิ้งของจิตออกจากขันธ์๕..........(ลักษณะเหมือนอาการคนขับรถหลับใน-เป็สมมุติฐานที่ป้าตั้งขึ้นเอง)จะเหลือแต่จิต ล้วนๆ......สายนี้จะเห็นความไม่ไปด้วยกันของสติ(ความรู้สึกตัว)และจิตอย่างชัดเจน.(จะเห็นความเผลอ.ว่าเป็นเช่นไร)........แต่ป้าก็ทำไม่ได้ เพราะป้าอดนอนไม่ได้อ่ะ..... :d030: :d030:
บันทึกการเข้า

pongsatorn

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 242
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ชอบภาวนาในท่านอนคะ เพราะเป็นคนมีนิสัยหลับยากคะ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2011, 07:47:20 pm »
0
 
7 ขั้นตอนสู่การนอนอย่างพระอรหันต์
พระนอนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศพม่า
1.ลุก ขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงทันทีที่ตื่น อย่า มัวโอ้เอ้ งัวเงียพ่ายแพ้ให้ความขี้เกียจ เพราะการตื่นขึ้นเองโดยไม่มีใครปลุกเป็นการส่งสัญญาณให้คุณรู้ว่า สมองได้พักผ่อนเพียงพอแล้ว การนอนนานกว่านั้นจึงถือเป็นความขึ้เกียจ
2. หมั่นเจริญสติและฝึกสมาธิระหว่างวัน เพื่อจัดสรรระเบียบสมองและลดการปรุงแต่งอารมณ์
3. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้สมองและร่างกายตื่นตัวก่อนนอน เช่น การดูหน้งแอคชั่น การออกกำลังกาย การดื่มเครืองดื่มที่มีคาเฟอีน การคิดเรื่องงาน ฯลฯเพื่อให้ร่างกายพร้อมเข้าสู่การนอนอย่างสงบและมีสติ
4. นอนอย่างปล่อยวาง ทำจิตใจให้ว่างก่อนเข้านอน ด้วยการสะสางงาน และวางแผนสิ่งที่จะต้องทำวันรุ่งขึ้นให้เรียบร้อย อาจวางกระดาษและดินสอไว้ข้างเตียงเพื่อจดสิ่งที่นึกขึ้นได้ จะได้ไม่ต้องคิดวนไปเวียนมาเพราะกังวล
5. จัดระเบียบการนอน มีกำหนดเวลาการนอนและตื่นที่ชัดเจนเพื่อสร้างวินัยให้ร่างกาย
6. นอนในที่เย็น เงียบ และมืด ปราศจากแสง เสียงและสิ่งรบกวนที่ทำลายสมาธิในการนอน
7. หลับไปด้วยจิตอันนิ่ง สงบ และเป็นกุศล แทนที่จะหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะคิดปรุงแต่งสารพัน ลองหันมาสงบสติอารมณ์ก่อนนอนด้วยกุศโลบายง่ายๆ 2 วิธีนี้

วิธีที่ 1 นอนสมาธิตามหลักสติปัฎฐาน
1. นอนหงายมือวางข้างลำตัว
2. นำไปจดจ่ออยู่ที่หน้าท้อง
3. หายใจเข้าให้รู้ว่าหน้าท้องพอง หายใจออกให้รู้ว่าหน้าท้องยุบ
4. มีสติจดจ่ออยู่ที่การเคลื่อนไหวของหน้าท้องจนกว่าจะหลับไป
5. พยายามสังเกตให้ได้ว่าหลับไปในขณะที่หน้าท้องพองหรือยุบ

วิธีที่ 2 หลับด้วยการผ่อนคลายเชิงลึกในแบบโยคะ
1. นำใจไปจดจ่ออยู่กับการผ่อนคลายส่วนต่างๆของร่างกายโดยเริ่มตั้งแต่ศรีษะ
2. ผ่อนคลายทุกส่วนของอวัยวะที่ใจจดจ่ออยู่ จนกระทั่งไม่รู้สึกถึงความตึงเครียดใดๆที่อวัยวะนั้นแล้วจึงเลื่อนใจไปยังอวัยวะข้างเคียง
3. หากไม่แน่ใจว่าอวัยวะนั้นผ่อนคลายพอแล้วหรือยัง ไห้หายใจเข้าลึกๆแล้วเกร็งอวัยวะนั้นให้ตึงที่สุดพร้อมกับกลั้นใจไว้ แล้วจึงหายใจออกเต็มที่พร้อมกับผ่อนคลาย
4. ค่อยๆผ่อนคลายไล่ไปทีละอวัยวะ จนกระทั่งถึงปลายเท้าแล้วจึงวนกลับขึ้นมาจนถึงศรีษะอีกครั้ง
5. ทำเช่นนี้จนกว่าจะหลับไปอย่างผ่อนคลายและมีสติ



ขอบคุณภาพประกอบจาก http://images.thaiza.com

และขอบคุณที่มาเนื้อหา
http://talk.mthai.com/topic/62108
บันทึกการเข้า

pimpa

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 138
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ชอบภาวนาในท่านอนคะ เพราะเป็นคนมีนิสัยหลับยากคะ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2011, 07:55:56 pm »
0


กำหนดนอนหนอ แบบสติปัฎฐาน ในแนว หนอ

บันทึกการเข้า