ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ลักษณะของผู้เข้าถึงความว่าง เป็นเช่นไร.? คำตอบอยู่ที่นี่..จังสั้นตี้  (อ่าน 1839 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28444
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ลักษณะของผู้เข้าถึงความว่าง เป็นเช่นไร.? คำตอบอยู่ที่นี่..จังสั้นตี้

เรื่องความว่างท่านอาจารย์ฮาโกอิ เป็นตัวอย่างให้เห็นดีมาก ท่านฮาโกอินั้นเป็นบุคคลเข้าถึงความว่าง สุญญะตาแท้ไม่ใช่สุญญะตาเฉยๆ แบบที่เราได้ยิน สุญญะตานั้นท่านอาจารย์ฮาโกอินี้ท่านปฏิบัติธรรมมา เพ่งเห็นความว่าง เข้าถึงความว่าง สุญญะตา สะมะนุ ปัสสะติ สุญญะตา ภะวะกันติ โหติ ก้าวลงสู่ความว่างเห็นความว่าง
   หลังจากนั้นก็ สุญญะตา วิหารัง เป็นอยู่ด้วยความว่าง ความยึดมั่นถือมั่นในสัญญาทั้งหลายหมด
   คำว่าว่างไม่ใช่ไม่มีนะ มีทุกอย่างแต่ว่างจากสัญญาว่าเป็น อัตตะนียา


วันหนึ่งเขามาด่าท่านทั้งบ้านทั้งเมืองเลย ท่านอาจารย์ฮาโกอิ เขามาด่ากันหมดทั้งบ้านเลย เรื่องของเรื่องก็คือว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งตั้งท้องขึ้นมา ตั้งท้องขึ้นมาพ่อแม่ก็ด่า ซักถามว่าไปท้องกับใครมา ทีนี้หญิงสาวนี่ตั้งท้องกับชายหนุ่มหน้าบ้าน เป็นลูกพ่อค้าปลาเหมือนกัน แย่งกันขายปลา พ่อกับแม่ทะเลาะกันเป็นไม้เบื่อไม้เมา แต่ลูกสาวกับลูกชายแอบรักกัน ก็เลยได้เสียกันตั้งท้องตั้งครรภ์ขึ้นมา พ่อแม่ก็ซักถามในที่สุด
   ถ้าจะบอกว่า ท้องกับชายคนนี้พ่อแม่จะช้ำหนักเข้าไปอีก เพราะว่าเป็นศัตรูกันครอบครัวนี้เป็นศัตรูกัน
   แต่พ่อแม่เคารพอาจารย์ฮาโกอิมาก ก็เลยบอกเป็นท่านเพื่อให้พ่อแม่ลดความโกรธลงว่า หนูท้องกับท่านอาจารย์ฮาโกอิ


    :41: :41: :41:

โกรธก็สุดโกรธแต่เป็นอาจารย์สุดที่รักเคารพบูชา เรื่องก็ดังกระฉ่อนไปทั้งหมู่บ้านทั้งคามนิคม ชาวบ้านพากันมาชี้หน้าด่า ท่านเลย ว่า
    ...แหมหลอกลวงโลกให้กราบให้ไหว้ ดูสิเป็นพระทำไมทำอย่างนี้ได้ ด่าท่านจนไม่มีที่จะด่า ท่านก็นั่งเฉย
    พอด่าจบแล้ว ท่านก็พูดได้คำเดียวว่า อย่างนั้นหรือ สามคำว่า อย่างนั้นหรือ
    ภาษาอังกฤษเขาแปลว่า “Is that so.?” แปลว่า อย่างนั้นหรือ
    เขาด่าเหนื่อยเขาก็กลับไป วันหลังใครโกรธขึ้นมาก็มาด่า
    ด่าจบท่านก็ “Is that so.?” อย่างนั้นหรือ





ต่อมาผู้หญิงคนนี้ท้องใหญ่จนคลอด ทีนี้พอคลอดแล้วก็เลี้ยงมาหน่อยสองสามเดือนพอรอดตาย พ่อกับแม่และชาวบ้านพากันไปด่าท่าน แล้วเอาลูกนั้นไปให้ ท่านเลี้ยง บอกท่านว่า กินกับปากอยากกับท้องต้องรับผิดชอบ ต้องเลี้ยงดู ท่านอาจารย์ฮาโกอิท่านเห็นแต่ความว่าง ท่านไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเพราะท่านก็ไม่ได้ทำ ไม่ได้เกี่ยวกันเลยท่านก็บอกว่า อย่างนั้นหรือ พอเอาลูกมาไว้แล้วก็หนี ท่านก็เลี้ยงของท่าน

ต้นไม้ในป่า ก็ยังเอามาปลูก สัตว์ในป่าก็ยังเอามาเลี้ยง ลูกคนแท้ๆ จะปล่อยให้ตายได้อย่างไร เอามาทิ้งให้ท่าน ท่านก็เลี้ยง ชาวบ้านบางคนเขาก็ว่า เป็นยังไงพ่อลูกอ่อนลำบากไหมเลี้ยงลูก เออเหมือนกันเลยนะพ่อกับลูก
   ท่านก็บอกว่า “Is that so?” อย่างนั้นหรือ ไม่ได้ไปฟ้องไปว่าอะไรเขา
   ถ้าเป็นพระทุกวันนี้จะเป็นอย่างไร แต่ท่านก็เลี้ยงเด็กนี้มาจนอายุได้หกเจ็ดปี


 ans1 ans1 ans1

ทีนี้มีคนเข้าถึงธรรมระดับโสดาบัน ที่มีศรัทธาไม่หวั่นไหว พระโสดาบันไม่หวั่นไหวนะ ถึงจะให้ทานเป็นแสนเป็นล้าน ถ้าหากยังเข้าไม่ถึงศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาอย่างมั่นคง
    พระพุทธเจ้าว่าเป็นศรัทธาที่เหมือนกับนุ่น วางไว้ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น แต่ถ้าลมพัดมาจากทิศตะวันออกก็ปลิวไปทิศตะวันตก ลมมาจากทิศตะวันตกก็ปลิวไปทิศตะวันออก ศรัทธาปุถุชนไม่แน่นอน แม้เขาจะให้ทานให้อะไรมากๆ ก็ตาม แต่ถ้าเขายังเข้าไม่ถึงศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    ทีนี้บุคคลสองสามคนนี่ใส่บาตรให้ท่านฉัน เวลาท่านไปบิณฑบาต ชาวบ้านทั่วไปเขาไม่ใส่ มีแต่เขาด่า
    คำตอบของท่านก็คือ “Is that so?” อย่างนั้นหรือ 





    สองสามคนที่ยังศรัทธานี้ก็มาใส่บาตร แล้วพูดกับท่านว่า
    ท่านอาจารย์แม้ท่านอาจารย์จะไปตกนรกหลุมไหนก็ตาม จะผิดจะพลาดอย่างไรพวกผมก็ยังเคารพนับถือท่าน อย่างน้อยพวกผมก็ได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์ ได้เห็นธรรมเพราะท่านอาจารย์
    ถ้าท่านอาจารย์เป็นคนตาบอด ก็เป็นตาบอดที่ถือตะเกียงส่องให้คนตาดีอย่างพวกผมเห็น คือ ผู้ที่สอนคนอื่นให้คนอื่นเข้าใจแม้ผู้สอนยังไม่รู้ อะไรเลย


    แต่คำสอนนั้นถูกต้องพระพุทธเจ้าท่านว่า อันโท ทีปะทาโร
    ตาบอดถือตะเกียงย่างในความมืด คนตาบอดถือตะเกียงมาเขามองไม่เห็นทาง
    แต่เราตาดีมองเห็นทาง เราก็ไปอาศัยไฟจากคนตาบอด


    ถ้าสมมุติว่าผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ผมสอนหลักธรรมให้แก่ท่านทั้งหลาย แต่ท่านทั้งหลายประพฤติปฏิบัติไปได้ เกิดธรรมะเบื่อหน่าย กิเลสจางคลาย นิโรทา ปะตินิสักคา ขึ้นมา
    ก็แสดงว่า ท่านทั้งหลายตาดีมองเห็นอะไรต่ออะไร ผมก็คือ ตาบอดถือตะเกียงให้คนตาดีมองเห็นทาง คือ ให้ท่านได้ประโยชน์ในธรรม


     :25: :25: :25:

    สามคนบอกว่า ท่านอาจารย์สั่งสอนพวกผมให้เข้าใจ ถ้าท่านอาจารย์เสมือนคนตาบอด แต่ก็คือ ตาบอดถือตะเกียงให้พวกผมได้แสงสว่างจากตะเกียงของคนตาบอด จากท่านอาจารย์
    แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าทั้งโลกนี้เขาจะลืม พวกผมก็ยังศรัทธายังมั่นคง ไม่ลืมพระคุณท่านอาจารย์ จะใส่บาตรให้ท่านอย่างนี้ ท่านอย่าได้ลำบากใจเลยพวกผมจะเลี้ยงดู


    ท่านว่าอย่างไร ท่านก็ธรรมดาไม่ได้ประจบประแจงอีก ท่านก็บอกว่า “Is that so?”
    คำตอบก็คือ อย่างนั้นหรือ นี้คือ ลักษณะของผู้ที่เข้าถึงความว่าง
    การประจบประแจง ลัปปะนา ท่านก็ไม่ทำ ไม่ว่าอะไร ไม่มีคำยกย่อง
    มีแต่พูดว่า “Is that so?” อย่างนั้นหรือ
    เขาด่ามาก็ยัง “Is that so?” เหมือนเดิม





ทีนี้เด็กคนนี้ท่านเลี้ยงมาได้เจ็ดปี วิ่งได้แล้ว เรียกว่าพ่อ ๆไปไหนมาไหนสบาย ทีนี้นางคนนั้นสำนึกผิดมานาน ชายหนุ่มก็ไปแต่งงานใหม่แล้ว ได้เวลาวันดีคืนดีก็ไปกราบพ่อแม่ ร้องไห้สะอึกสะอื้น
    บอกกับพ่อแม่ว่า พ่อค่ะแม่ค่ะหลวงพ่อนั้นท่านไม่ได้ผิด ท่านไม่ได้ทำอะไรเลย
    ที่จริงแล้วโน้นพ่อของเด็กมันแต่งงานใหม่แล้ว ถ้าหนูบอกตอนนั้นพ่อแม่คงจะโกรธมาก ไปเอาลูกเรามาเถอะพ่อ บาปหนักเลย ท่านไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย


    โอ้ย...ตรงนี้ทั้งพ่อทั้งแม่นี่ร้องไห้ระงมไปหมดเลย บาปตายแล้วเราจะไปตกนรกหลุมไหน ไปประกาศบอกชาวบ้านชาวบ้านให้ทราบความจริง ชาวบ้านก็พากันไปขอขมาท่าน
    ท่านก็พูดคำเดิมว่า อย่างนั้นหรือ “Is that so?” อย่างนั้นหรือ
    “จังสั้นบ้อ จังสั้นตี้ ภาษาอีสานเฮา”
    ทีนี้ ก็ขอเอาลูกคืนขอเอาไปเลี้ยงท่านเลี้ยงให้ตั้งเจ็ดปี จะเอาไปเลี้ยงเอง
    ท่านก็บอกว่า “Is that so?” อย่างนั้นหรือ
    เอ้าเอาไป ไม่มีเวรไม่มีภัยกันนะ ว่าง ฯลฯ


ที่มา : หนังสือ “ชีวิตที่มีคุณค่า”  เป็นบทคัดลอกจากการบรรยายธรรมในแนวทาง
การประพฤติปฏิบัติของท่านพระอาจารย์สมภพ โชติปัญโญ เรื่อง แนวทางสู่ความว่าง
ขอบคุณภาพจาก
http://www.phraprasong.org/
http://www.flickr.com/photos/90000460@N08/with/8174856134/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 11, 2013, 09:32:20 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ