ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 553 554 [555] 556 557 ... 707
22161  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จิตรกรรมฝาผนัง 'รู้รอบโลก' วัดสุโขทัย เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 01:39:40 pm



จิตรกรรมฝาผนัง'รู้รอบโลก' หนึ่งเดียว ที่ศาลาการเปรียญวัดทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย
ท่องไปในแดนธรรม เรื่อง / ภาพ โดยไตรเทพ ไกรงู

    เรื่องราวของภาพจิตรกรรมฝาผนังตามอุโบสถและวิหาร โดยทั่วไป ส่วนมากเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ชาดก ชุดทศชาติในมหานิบาตชาดก นอกจากนั้นเป็นเรื่องบริวาร เช่น เทพชุมชน นรก สวรรค์ นางฟ้า ท้องฟ้า เมฆ
     นอกจากนี้ เรื่องราวในจิตรกรรมฝาผนัง ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่จิตรกรสะท้อนลงไว้ในภาพด้วย โดยมีความมุ่งหมายรับใช้พระพุทธศาสนาด้วยการแสดงออกทางศิลปะ


     พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่จะเห็นภาพเหล่านี้ตามผนังพระอุโบสถ วิหาร ของวัดต่างๆ ทั่วประเทศจนชินตา แต่จะมีใครกี่คนรู้บ้างว่า ภาพจำนวนไม่น้อยที่เขียนขึ้นมาเมื่อหลายร้อยปีที่แล้วที่สำคัญ คือ ปัจจุบันยังมีความสมบูรณ์อยู่ และยังคงถ่ายทอดเรื่องราวพุทธประวัติได้เป็นอย่างดี จัดเรียงลำดับตามท้องเรื่องพุทธประวัติที่ได้บันทึกหรือเล่าสืบต่อกันมา

      จิตรกรต้องการให้ภาพที่เขียนเป็นเครื่องโน้มน้าวจิตใจผู้ชมให้บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาและเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

      อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ภาพจิตกรรมฝาผนังนิยมเขียนเหตุการณ์ปัจจุบันเข้าไปด้วย
      ปรากฏเป็นข่าวฮือฮาบนหน้าหนังสือพิมพ์อย่างต่อเนื่อง
      อย่างกรณีศาลาการเปรียญเฉลิมพระเกียรติ วัดทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย
      ที่วาดภาพหุ่นยนต์ฝ่ายธรรมะเลียนแบบภาพยนตร์ต่างประเทศชื่อดัง "ทรานส์ฟอร์เมอร์ส"
      รวมทั้งภาพวาดที่ให้ความรู้รอบโลกชนิดที่เรียกว่า "อ่านไม่เบื่อ อ่านไม่เซ็ง"
      ซึ่งเป็นฝีมือของคณะศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมศาสตร์ และคณะนักศึกษาหลักสูตรทัศนศิลป์ มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา (เจ็ดยอด) จ.เชียงใหม่





      "จิตรกรรมฝาผนังที่วัดทุ่งเสลี่ยม เป็นศิลปะร่วมสมัยรัชกาลที่ ๙ ได้ผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตก ตะวันออก และศิลปะไทย ถ่ายทอดออกมาสร้างความสนใจในรูปแบบการ์ตูนภาพยนตร์ทรานส์ฟอร์เมอร์ส โครงการดังกล่าวเริ่มต้นมาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม คาดว่าน่าจะเสร็จสมบูรณ์ปลายเดือนนี้ ตอนนี้ก็มีประชาชนพาลูกหลานมาขอเข้าชมกันมากขึ้น ยังไม่มีเสียงสะท้อนในแง่ลบแต่ประการใด" นี่เป็นคำยืนยันของพระครูสุเขตสุทธาลังการ (อลงกรณ์ อนาลโย) เจ้าอาวาสวัดทุ่งเสลี่ยม

      ส่วนเหตุผลของการวาดภาพนั้น มาจากประวัติการเดินทางของหลวงพ่อศิลา
      ตั้งแต่การการค้นพบ การอัญเชิญมาที่วัด และการหายไปของหลวงพ่อศิลา
      เป็นระยะเวลา ๑๗ ปี กว่าที่จะกลับมาประดิษฐานอยู่ที่วัด
      ช่วงระหว่างนี้เองคิดว่าหลวงพ่อศิลาเดินทางไปอยู่ประเทศต่างๆ มารอบโลก
      จึงคิดว่าน่าจะวาดภาพที่เกี่ยวกับอารยธรรมยุคต่างๆ ซึ่งเป็นความรู้รอบโลกมาไว้ที่ศาลาแห่งนี้ โดยสอดแทรกคุณธรรมต่างๆ ในพุทธศาสนาไว้ทุกภาพ


      เมื่อถามถึงความเหมาะสม พระครูสุเขตสุทธาลังการ พูดไว้อย่างน่าคิดว่า "เมื่อเหรียญมี ๒ ด้าน มุมมองของคนก็มีสองด้าน ความคิดที่แตกต่างเกิดขึ้นเสมอ แต่อาตมามุ่งเน้นเรื่องความรู้เป็นหลัก แม้แต่รูปของศาสนาอื่นก็ยังมี เพราะพระพุทธศาสนาเราไม่ได้อยู่บนโลกเพียงลำพัง การรู้ตัวเองเป็นสิ่งที่ดี แต่จะให้ดียิ่งกว่าเราต้องรู้คนอื่นด้วยถึงจะอยู่รอด"

      พุทธศาสนิกชนทั้งหลายเมื่อมีเวลาและโอกาส ขอเชิญไปสักการะขอพร “หลวงพ่อศิลา” โดยเมื่อวันที่ ๑๙  ธันวาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา วัดทุ่งเสลี่ยมจัดพิธีพุทธาภิเษกพระหลวงพ่อศิลา รุ่น “ฉลองศาลาการเปรียญ ๒๕๕๕” เพื่อหาทุนสมทบการก่อสร้าง ติดต่อสอบถามได้ที่วัดทุ่งเสลี่ยม โทร.๐๙-๑๒๘๓-๑๕๓๒-๔





๑๗ ปี แห่งการเดินทางของหลวงพ่อศิลา
    “หลวงพ่อศิลา” ประดิษฐานเป็นมิ่งมหามงคล ณ มณฑปวัดทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ทั้งนี้สำนักโบราณคดี และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรมศิลปากรได้ทำการจดทะเบียนให้ พระพุทธรูปศิลา เป็นพระพุทธรูปสำคัญของประเทศไทย มีชื่อปรากฏในทะเบียนว่า “พระพุทธรูปศิลานาคปรก ปางสมาธิ”

    วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๒๐ มีการโจรกรรมหลวงพ่อศิลา จากวัดทุ่งเสลี่ยม

    วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๓๗ ได้มีการจัดแสดงที่อังกฤษ กลุ่มอนุรักษ์ชาวไทยได้เขียนหนังสือร้องเรียนผ่านหนังสือพิมพ์มติชนว่า ได้พบพระพุทธรูปปางนาคปรก ในหนังสือประมวลศิลปวัตถุ เพื่อประมูลขายของสถาบันโซธบี (Sotheby's Institute) ในกรุงลอนดอน ทราบถึงชาวทุ่งเสลี่ยม จึงทำหนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย และกรมศิลปากรเพื่อให้ทางราชการติดตามทวงถามพระพุทธรูป เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน กรมศิลปากรจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อตรวจสอบ และตามทวงหลวงพ่อศิลา

     วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๙ คณะกรรมการติดตามทวงพลวงพ่อศิลา นำโดย ร้อยตำรวจโทเชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการขณะนั้น ได้เดินทางไปตรวจสอบรอยตำหนิ และมอบค่าชดเชยเป็นเงินสองแสนหนึ่งพันดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนายธนินท์ เจียรวนนท์ประธานกรรมการในเครือเจริญโภคภัณฑ์ และนายวัลลภ เจียรวนนท์ กรรมการบริหาร เป็นผู้พิจารณาสนับสนุนค่าชดเชยเป็นเงินอีก ๕ ล้านบาท เพื่อนำพระพุทธรูปล้ำค่ากลับคืนสู่ประเทศไทย

     วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๙ ขบวนอัญเชิญหลวงพ่อศิลากลับมาถึงประเทศไทย ณ สนามบินดอนเมือง มีชาวทุ่งเสลี่ยม ได้เหมารถมาร่วมสิบคันรถ พบภาพมหัศจรรย์ มีฝูงค้างคาวมาบินวนเวียนในสนามบินดอนเมือง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะการอัญเชิญหลวงพ่อศิลา เข้าเฝ้าฯ น้อมเกล้าฯ ถวายหลวงพ่อศิลา เนื่องในปีกาญจนาภิเษก ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต

     วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานคืน พร้อมอัญเชิญกลับไปประดิษฐาน ณ วัดทุ่งเสลี่ยม เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ ชาวทุ่งเสลี่ยมจัดงานสมโภชเฉลิมฉลองหลวงพ่อศิลา จากวันนั้นเป็นต้นมา "วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ เป็นงานประจำปีหลวงพ่อศิลา"


ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.komchadluek.net/detail/20130104/148645/จิตรกรรมฝาผนังรู้รอบโลกวัดสุโขทัย.html#.UOZylqzjrRc
22162  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ชมภาพและคลิป "พระพุทธชยันตีองค์ดำนาลันทา" ประดิษฐาน ณ โรงพยาบาลสระบุรี เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 01:01:00 pm


เผยแพร่เมื่อ 3 ม.ค. 2013 โดย nathaponson

ขอขอบพระคุณ บทเพลง "โพชฌังคปริต ล้านนาบารมี"
กัญญนัทธ์ ศิริ / ประพันธ์ทำนอง / ขับร้อง
อาจารย์ นิรุตน์ แก้วหล้า ภาควิชาดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่/ ดนตรี
22163  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ชมภาพและคลิป "พระพุทธชยันตีองค์ดำนาลันทา" ประดิษฐาน ณ โรงพยาบาลสระบุรี เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 12:38:59 pm


กำหนดการเคลื่อนพระพุทธชยันตีองค์ดำนาลันทา
ภาคกลางและภาคตะวันออก
ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๕ ถึง ๒๐ มกราคม ๒๕๕๖

วันที่ ๒๙-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ประดิษฐาน ณ ท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานครฯ
วันที่ ๑-๒ มกราคม ๒๕๕๖ ประดิษฐาน ณ เสถียรธรรมสถาน กรุงเทพมหานครฯ

วันที่ ๓-๖ มกราคม ๒๕๕๖ ประดิษฐาน ณ โรงพยาบาลสระบุรี จังหวัดสระบุรี
(วันที่ ๓ มกราคม เวลา ๑๓.๐๐ บรรยายธรรม " ชีวิตศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ?" โดยท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ณ โรงพยาบาลสระบุรี)

วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๖ ประดิษฐาน ณ โรงพยาบาลสงฆ์ กรุงเทพมหานครฯ
วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๖ ประดิษฐาน ณ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทยกรุงเทพมหานครฯ
วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๖ ประดิษฐาน ณ โรงพยาบาลธนบุรี ๑ กรุงเทพมหานครฯ
วันที่ ๑๒-๑๓ มกราคม ๒๕๕๖ ประดิษฐาน ณ เสถียรธรรมสถาน กรุงเทพมหานครฯ (วันที่ ๑๒ วันเด็กแห่งชาติ)

วันที่ ๑๔-๑๕ มกราคม ๒๕๕๖ ประดิษฐาน ณ ศูนย์มหาวชิราลงกรณ์ จังหวัดปทุมธานี

วันที่ ๑๖-๑๘ มกราคม ๒๕๕๖ ประดิษฐาน ณ โรงพยาบาลชลบุรี จังหวัดชลบุรี
(วันที่ ๑๗ มกราคม เวลา ๑๐.๐๐ น บรรยายธรรม โดยท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ณ โรงพยาบาลชลบุรี)

วันที่ ๑๙-๒๐ มกราคม ๒๕๕๖ ประดิษฐาน ณ เสถียรธรรมสถาน กรุงเทพมหานครฯ



ขอบคุณที่มา http://www.sdsweb.org/sdsweb/index.php?option=com_content&view=article&id=688:2012-11-19-07-45-06&catid=91:2012-11-26-11-12-53&Itemid=211
22164  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ชมภาพและคลิป "พระพุทธชยันตีองค์ดำนาลันทา" ประดิษฐาน ณ โรงพยาบาลสระบุรี เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 11:05:15 am






สังเกตให้ดีๆ จะมีอยู่สามภาพที่ถ่ายติดดวงธรรม มีหลายดวงครับ
22165  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ชมภาพและคลิป "พระพุทธชยันตีองค์ดำนาลันทา" ประดิษฐาน ณ โรงพยาบาลสระบุรี เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 10:55:07 am

ชมภาพและคลิป "พระพุทธชยันตีองค์ดำนาลันทา" ประดิษฐาน ณ โรงพยาบาลสระบุรี








นางแบบท่านนี้ ไม่ได้รับเชิญ ผมแอบถ่ายดื้อๆ
ดูเหมือนจะเป็นนักศึกษาแพศย์ ตัวจริงของเธอ "งามหมดจด"
22166  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: เมื่อเห็น"จักเป็น..สักว่าเห็น" เมื่อฟัง"จักเป็น..สักว่าฟัง" สักว่าคืออะไร.? เมื่อ: มกราคม 03, 2013, 01:07:29 pm



“ความรู้สึก” สักว่าเป็นความรู้สึก
   
     ผู้รู้ก็เห็นความรู้สึกอันนี้จึงเขียนภาพนี้ขึ้นมา พอเห็นความรู้สึกจึงเห็นว่าเป็นธรรมชาติ หรือเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเรา
     ส่วนมากคนเรา เป็น “เรารู้สึก” เลยเข้าใจว่า ตัวความรู้สึกนี่เป็นตัวเรา เรารู้สึกยินดี เรารู้สึกยินร้าย เรารู้สึกเป็นทุกข์เป็นสุข นี่เราก็มาหลง หลงความรู้สึกอันนี้ เราไม่รู้จักความรู้สึกอันนี้ มันจะซับซ้อนหน่อยความรู้สึกตัวนี้


     ธรรมดามันจะเฉยๆ แต่ถ้าเป็นเรารู้สึกจะถูกปรุงแต่งเลย
     ตัวรู้สึก(ตัวใหญ่)นี่ก็หมายถึง มีหู มีตา มีจมูก มีลิ้น มี กาย มีใจ เวลากระทบสัมผัสต่างๆมันเพียง รู้เท่านั้นเอง
     รู้แล้วก็จะไม่มี ไม่มียินดียินร้าย สงบไม่สงบ พอใจไม่พอใจ มันจะไม่มี
     ถ้าเป็นเรารู้สึก มันจะมีทันทีเลย เกิดโลภะ โทสะ โมหะ โมหะแปลว่าไม่รู้ความจริง
     ไม่รู้ความจริงว่าตัวนี้น่ะ มันเป็นธรรมชาติ เป็นความรู้สึก ไม่ใช่ตัวเรา ต้องให้เห็นอย่างนี้ว่า ไม่ใช่ตัวเรา
     มันเป็นเพียง “ความรู้สึก” สักว่าเป็นความรู้สึก


     ถ้าเป็นเรารู้สึกมันจะปรุงแต่งเลย ตรงกับหลวงพ่อเทียนต่างกันที่คำพูด
     ท่านบอกว่าให้ดูความคิด อันนี้เข้าไปอยู่ในความคิด ก็เข้าไปอยู่ในความรู้สึกนั่นเอง


ที่มา http://thamkhowpra.blogspot.com/2012/07/blog-post_9582.html
ขอบคุณภาพจาก http://2.bp.blogspot.com/_


สักแต่ว่า, สักว่า
    ว. เพียงแต่ว่า...เท่านั้น เช่น สักแต่ว่ากวาดบ้าน ยังมีขี้ผงอยู่เลย สักว่าทำพอให้พ้นตัว.


ที่มา พจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
22167  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: เมื่อเห็น"จักเป็น..สักว่าเห็น" เมื่อฟัง"จักเป็น..สักว่าฟัง" สักว่าคืออะไร.? เมื่อ: มกราคม 03, 2013, 12:51:49 pm


"สักว่า" คือ ไม้ไผ่ลำเดียว

    ไม้ไผ่ลำเดียว
    นักปฏิบัติธรรมต้องรู้จักแพ
    ธรรมะเปรียบเหมือนแพ
    แพบางชนิดใช้ทำที่อยู่อาศัย ใช้สำหรับผู้ครองเรือน ใช้เพื่อความผาสุกของตนเองและสังคม


    แพบางชนิด เอาไว้ประกวดประชันขันแข่งกัน ใช้สำหรับความสวยงาม ย่อมประดับประดาด้วยสิ่งประดับหลายหลากชนิด ใครต้องการความเพลิดเพลินก็ต้องใช้แพชนิดนี้ ใช้ประโยชน์ด้านสวยงาม เอามาข้ามทะเลวัฏฏสงสารไม่ได้
    แพบางชนิดเอาไว้ข้ามฝาก ย่อมขาดความสวยงาม มุ่งใช้ประโยชน์ ในการข้ามทะเลวัฏฏสงสารเพียงอย่างเดียว ยิ่งมีเครื่องถ่วงน้อยเท่าไรยิ่งใช้ถ่อใช้ค้ำได้เร็วเท่านั้น


     แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นไม้ไผ่ลำเดียวก้สามารถใช้พยุงตัวพาว่ายข้ามทะเลได้ หากว่ายเป็นใช้เป็น เฉพาะ ไม้ไผ่ที่ชื่อ"สักว่า" ใช้ให้เป็นเถิด ลำเดียวก็พอแล้วสำหรับการว่ายข้ามทะเลวัฏฏสงสาร

     "สักว่า"คือไม้ไผ่ลำเดียว ที่จะพาคุณ ข้ามทะเลวัฏฏสงสาร

     การจะเลิกยึดมั่นถือมั่นได้ ต้องทำสักว่าเป็น ทำให้เก่ง ทำให้ชำนาญ ไม่นานก็จะเลิกยึดมั่นถือมั่นเอง อย่าแค่คิดว่าจะเลิกยึดมั่นถือมั่นเฉยๆ โดยไม่ทำสักว่ากับทุกๆผัสสะ ถ้าแค่คิดจะคลายความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ต้องรู้จักการทำสักว่าด้วยจึงจะประสบผลสำเร็จ และมีความสิ้นสุดทุกข์เป็นรางวัลรออยู่ สำหรับผู้สักว่าเป็นทุกๆคน




เผยแพร่เมื่อ 14 มี.ค. 2012 โดย ธรรมะติดดิน สมสุโขภิกขุ


    คำว่า สักว่าเป็นหัวใจสำคัญอีกประการหนึ่งของการฝึกหยุดคิด การฝึกดับทุกข์ และเป็นคำตรัสที่พระพุทธเจ้าใช้บ่อยมาก มีให้เห็นอยู่ในพระสูตรหลายพระสูตร
     เช่น พาหิยสูตร ที่พระองค์ทรงกล่าวว่า
     "ดูก่อนพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
      เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
      เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
      ดูก่อนพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล


      ดูก่อนพาหิยะ ในการใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น
      เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
      ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มี ในการใด ท่านไม่มี
      ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีระหว่างโลกทั้งสอง
      นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์"


      หรือในสติปัฏฐานสูตร ที่พระองค์ทรงกล่าวว่า
   
      "กายานุปัสสนา สติกำหนดพิจารณากายเป็นอารมณ์ว่า
      กายนี้ก็สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เรียก กายานุปัสสนา


      เวทนานุปัสสนา สติกำหนดพิจารณาเวทนา คือ สุข ทุกข์ และไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นอารมณ์ว่า
      เวทนานี้ก็สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เรียก เวทนานุปัสสนา

      จิตตานุปัสสนา สติกำหนดพิจารณาใจที่เศร้าหมอง หรือผ่องแผ้วเป็นอารมณ์ว่า
      ใจนี้สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เรียก จิตตานุปัสสนา


      ธัมมานุปัสสนา สติกำหนดพิจารณาธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศล
      ที่บังเกิดกับใจเป็นอารมณ์สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เรียก ธัมมานุปัสสนา"


      เจริญธรรม
      สมสุโขภิกขุ


ที่มา http://grongitum.blogspot.com/2012/03/blog-post_5503.html
ขอบคุณภาพจาก http://dhammaway.files.wordpress.com/
22168  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เมื่อเห็น"จักเป็น..สักว่าเห็น" เมื่อฟัง"จักเป็น..สักว่าฟัง" สักว่าคืออะไร.? เมื่อ: มกราคม 03, 2013, 12:38:48 pm



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
๑๐. พาหิยสูตร

    [๔๘] ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกันจงกรมอยู่ในที่แจ้ง พาหิยทารุจีริยะเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้ถามภิกษุเหล่านั้นว่า ข้าแต่ท่านทั้งหลายผู้เจริญ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอข้าพเจ้าประสงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

     ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า ดูกรพาหิยะ พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อบิณฑบาต
     ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะรีบด่วนออกจากพระวิหารเชตวัน เข้าไปยังพระนครสาวัตถี ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี น่าเลื่อมใส ควรเลื่อมใส มีอินทรีย์สงบ มีพระทัยสงบ ถึงความฝึกและความสงบอันสูงสุด มีตนอันฝึกแล้ว คุ้มครองแล้ว มีอินทรีย์สำรวมแล้วผู้ประเสริฐ

    แล้วได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้าแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด ฯ

     [๔๙] เมื่อพาหิยทารุจีริยะกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
     ดูกรพาหิยะ เวลานี้ยังไม่สมควรก่อน เพราะเรายังเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อบิณฑบาตอยู่
     แม้ครั้งที่ ๒ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี
     ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล

     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด ฯ


     แม้ครั้งที่ ๒...แม้ครั้งที่ ๓ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี
     ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล

     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด ฯ



    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
     ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
    เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
     ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล


     ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
     เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
     ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในกาลใด ท่านไม่มีในกาลนั้น
     ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้าย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง
     นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ


     ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย
     เพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มีพระภาค
     ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรด้วยพระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ฯ



อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๑๖๐๗ - ๑๖๙๘. หน้าที่ ๖๙ - ๗๓.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=1607&Z=1698&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=47
ขอบคุณภาพจาก http://3.bp.blogspot.com/,http://www.bloggang.com/
22169  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชี้ พระ ว.วชิระเมธี เขียนโปรโมทร้านอาหาร “อร่อยจนลืมกลับวัด” ผิด 2 เด้ง เมื่อ: มกราคม 03, 2013, 11:59:23 am


ชี้ พระ ว.วชิระเมธี เขียนโปรโมทร้านอาหาร “อร่อยจนลืมกลับวัด” ผิด 2 เด้ง

ประชาไท : “อร่อยจนลืมกลับวัด” ผิด 2 เด้ง
ดร.โสภณ พรโชคชัย

 
กรณีที่พระมหาวุฒิชัยเมธี วชิรเมธี เขียนคำว่า “อร่อยจนลืมกลับวัด” พร้อมลายมือชื่อของตนเองแปะไว้ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นของลูกศิษย์คนหนึ่งนั้น  ถือเป็นความผิด (พลาด) ประการหนึ่งที่ไม่ร้ายแรง  แต่การออกมาบอกว่าไม่ผิดธรรมวินัย โดยไม่ยอมรับว่าเป็นการเขียนที่ไม่สมควร อาจถือเป็นความผิดพลาดที่น่าคิด  สังคมพึงพิจารณาเป็นอุทธาหรณ์

เรื่องนี้ในเบื้องต้นพระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ให้ความเห็นว่า “เป็นความผิดพลาด  ถ้าเขียนว่า ‘รสชาติใช้ได้’ ก็ไม่ผิด เพราะไม่ได้แสดงถึงการติดรสในความอร่อย . . .” {1}  ส่วน รศ.วิทยากร เชียงกูล คณบดีกิตติคุณวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นว่า “เป็นข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น . . . ผมคิดว่ามันเป็นการเรียนรู้ของท่านเองด้วย ท่านก็ยังหนุ่มอยู่ ถ้าเป็นดาราพูดกับแฟนคลับมันคงไม่มีอะไร” {2}

สำหรับความอร่อยลิ้น  ในทางพุทธศาสนา พระที่มุ่งกำจัดกิเลส ใช้วิธี “ธุดงค์” ซึ่งไม่ใช่การเดินจาริกของพระเช่นที่เข้าใจผิดกันในปัจจุบัน แต่คือ “วัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ แต่ไม่มีการบังคับ แล้วแต่ผู้ใดจะสมัครใจปฏิบัติ เป็นอุบายวิธีกำจัดขัดเกลากิเลส  . . . (และหนึ่งในนั้นคือ) ปัตตปิณฑิกังคะ ละเว้นฉันภาชนะที่ 2 ใส่อาหารรวมในภาชนะเดียวกันทั้งหมด สมาทาน ฉันเฉพาะในบาตร” {3}

ยิ่งกว่านั้น พระไม่พึงรู้สึกอร่อย หรือมีความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น แต่ควรปล่อยวางโดยพิจารณาเรื่อง “อาหาเรปฏิกูลสัญญา” โดยนายไพศาล พืชมงคล ได้อธิบายไว้ว่า “เป็นแบบวิธีฝึกฝนอบรมจิตวิธีหนึ่งในจำนวน 36 แบบวิธีที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนชาวพุทธ เพื่อให้เข้าใจความเป็นจริงของชีวิตและสรรพสิ่งว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวตนหรือพึงยึดถือเป็นตัวกู ของกู โดยใช้ความเป็นจริงของอาหารเป็นเครื่องพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงว่าแม้รูปภายนอกจะมีรูป รส กลิ่น สี ที่น่าชื่นชม น่าสัมผัส น่ากินสักปานใด แต่แท้จริงล้วนเป็นสิ่งปฏิกูล เมื่อเห็นความจริงเช่นนั้นแล้วก็จะปล่อยปละละวางละถอนความยึดมั่นถือมั่น . . .” {4}

ดังนั้นการที่พระมหาวุฒิชัย ฉันอาหารโดยใช้ภาชนะมากกว่าหนึ่งตามการประเคนเช่นนี้  จึงถือว่าไม่เคร่งครัด  วัตรปฏิบัติไม่ได้มุ่งที่การบำเพ็ญเพียรเท่าที่ควร  เป็นเหมือนพระบ้านทั่ว ๆ ไป  ต่างจากพระที่เคร่งครัดในธรรมวินัย  โดยเฉพาะพระป่าในสายหลวงปู่ชื่อดังในอดีตหลายแห่ง ที่ยังมีวิธีการเพิ่มเติม เช่น ต้องคนอาหารรวมกันทั้งคาวหวานด้วย เป็นต้น

อย่างไรก็ตามพระมหาวุฒิชัย ได้ชี้แจงว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ถือเป็นการผิดวินัยสงฆ์ โดยการเขียนข้อความดังกล่าว เพื่อให้ขวัญกำลังใจกับลูกศิษย์ เป็นข้อความที่เขียนกันทีเล่นทีจริง ตามประสาครูอาจารย์ ลูกศิษย์ อย่าตีความกันเลยเถิดไป” {5}  นอกจากนั้นเจ้าของร้านยังได้ออกมาชี้แจงว่า “ขอให้ท่านได้เมตตาเขียนให้กำลังใจตามภาพ ผมนำภาพท่านมาประดับในร้านร่วมกับภาพของครูบาอาจารย์อื่นอีกหลายท่านที่เคยมาเยี่ยมเยือน เพื่อเป็นกำลังใจให้ตนเอง . . . มิได้ประสงค์ประโยชน์ทางการค้า” {6}



ในกรณีนี้มีข้อน่าสังเกตดังนี้:

1. พระมหาวุฒิชัยมีความรู้เรื่องพุทธศาสนาเป็นอย่างดีทั้งเรื่อง “ปัตตปิณฑิกังคะ” และ “อาหาเรปฏิกูลสัญญา” ข้างต้น  จึงน่าจะรู้ว่าการเขียนเช่นนี้ไม่เหมาะสม  เมื่อมีผู้ทักท้วง ก็ควรยอมรับถึงความไม่เหมาะสมนี้อย่างสง่างามซึ่งจะทำให้ได้รับความศรัทธายิ่งขึ้น  แทนที่จะเพียงบอกว่า ไม่ได้ผิดวินัยสงฆ์


2. เจ้าของร้านชี้แจงว่าเอาภาพมาแปะเพื่อเป็นกำลังใจเช่นเดียวกับพระรูปอื่นที่เคยนิมนต์มา แต่เชื่อว่าพระรูปอื่นคงไม่เขียนข้อความแบบนี้  และถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า ก็ควรเก็บภาพเหล่านี้ไว้ในห้องพระแทนที่จะนำมาแสดงให้ลูกค้าได้พบเห็นจนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย

โดยสรุปแล้ว แม้สังคมจะเห็นชัดว่าการที่พระมหาวุฒิชัย เขียนข้อความเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่ได้ผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงอย่างไรขนาดว่าต้องสึกเช่นบางคนกล่าวถึง  พระก็เป็นเช่นปุถุชนทั่วไป  และการที่พระมหาวุฒิชัย มีสถานะเป็นพระ ย่อมสามารถแสดงธรรมให้ประชาชนได้น่าเชื่อถือกว่าการถอดเครื่องแบบพระอย่างแน่นอน

ข้อนี้จึงถือเป็นอุทธาหรณ์สำหรับพระหนุ่มดังที่ รศ.วิทยากร ได้ตั้งข้อสังเกตไว้



อ้างอิง
{1}     พระพยอม ชี้ ข้อความ ว.วชิรเมธี อร่อยจนลืมกลับวัด ผิดพลาด http://news.mthai.com/general-news/209943.html
{2}     ความจริงหรือเรื่องโกหก ? กรณีท่าน ว. “อร่อยจนลืมกลับวัด” http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000157549
{3}     โปรดอ่าน พระวิสุทธิมรรค http://www.buddhistelibrary.org/th/displayimage.php?pid=1995 หน้า 201 เรื่อง ปัตตปิณฑิกังคธุดงค์ รวมทั้งเรื่อง “ธุดงค์” จาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C และพึงดูเพิ่มเติมที่ พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=342
{4}     อาหาเรปฏิกูลสัญญา กรรมฐานที่ง่ายเเต่ได้ผลมาก http://www.paisalvision.com/index.php/2008-11-06-06-22-48
5} ว.วชิรเมธี แจง เขียนข้อความ อร่อยจนลืมกลับวัด ไม่ผิดวินัยสงฆ์ http://hilight.kapook.com/view/80046 หรือฟังได้ที่ -http://www.youtube.com/watch?v=dcwPjzG2UCo-
{6}     เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นรับผิด ขออภัยทำ “ว.วชิรเมธี” เดือดร้อน http://www.manager.co.th/Local/viewnews.aspx?NewsID=9550000157661

ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU56QTVPVFF6T0E9PQ==&sectionid=
http://library.cmu.ac.th/




   
22170  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทำตัวให้ "เป็นน้ำมนต์ เป็นน้ำประสาน" ต้องทำอย่างไร.? เมื่อ: มกราคม 03, 2013, 11:45:44 am


สร้างชีวิตใหม่ด้วยใจของตัวเอง : มองนอกดูใน โดยแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

    ธรรมสวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๖ ปีอันผ่องใสที่ใครๆ ปรารถนา ถ้าคุณปรารถนาสิ่งใด ขอให้คุณลงทุนกับสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ ถ้าคุณปรารถนาให้ชีวิตของคุณดีขึ้น คุณต้องลงทุนกับชีวิตของคุณให้เต็มที่
     ปีนี้ เรามาทำตัวของเราให้เหมือนน้ำกันดีไหม มาเป็น
     น้ำใสไหลเย็น...ที่เวลาใครเอามีดมาฟันน้ำ น้ำก็ไม่มีแผล และทันทีที่ยกมีดขึ้น
     น้ำก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวเช่นเดิม ไม่มีแผลเป็น หมายความว่า ถ้ามีใครมาติฉินนินทา ว่าร้ายป้ายสี หรือคิดไม่ดีกับคุณ สิ่งเหล่านั้นจะไม่มีอิทธิพลต่อสุขทุกข์ของคุณ เพราะสิ่งนั้น...มาแล้วก็ไป คุณไม่เต้นตาม


      มาเป็น น้ำมนต์ ที่ประพรมครั้งใด...ผู้คนรอบกายก็ร่มเย็นใจครั้งนั้น
      มาเป็น น้ำประสาน...ที่เชื่อมสิ่งที่เข้ากันไม่ได้ให้เข้ากันได้ และสามารถที่จะผลักดันให้เกิดกระแสของการไหลเพื่อไปถึงเป้าหมายได้


      และหลีกเลี่ยงที่จะเป็นน้ำ ๕ ประเภท ที่เปรียบดั่งนิวรณ์ หรือเครื่องปิดกั้นความเจริญ
      อย่าทำตัวเป็น น้ำเดือด...ที่เร่าร้อน ราดถูกใครก็ร้อนรน และไม่สามารถที่จะมองเห็นความเป็นจริงเวลามองเข้าไปในน้ำเดือด เพราะความเดือดของน้ำไม่สามารถทำให้เราเห็นตะกอน...(พยาบาท)
      อย่าทำตัวเหมือน น้ำผสมสี ที่เปลี่ยนไปตามสีที่ผสม เป็นสีอะไรก็เพลิดเพลิน หลงใหลกับความสวยงามในสีสันนั้นๆ...(กามฉันทะ)
      อย่าทำตัวเป็น น้ำที่มีจอกแหนมาบัง...ที่ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นอะไรๆ ใต้น้ำได้ เหมือนคนที่มีจิตที่ไม่รู้ทัน เหนื่อย เฉื่อย ง่วงเหงาหาวนอน…(ถีนมิทธะ)
      อย่าทำตัวเป็น น้ำในพยับแดด...ที่ไม่ชัดเจน ฟุ้งซ่าน เลื่อนลอย...(อุทธัจจกุกกุจจะ) 
      อย่าทำตัวเป็น น้ำในที่มืด…มองอะไรก็ไม่เห็น มีแต่ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ (วิจิกิจฉา)



      ถ้าลงทุนที่จะเป็นน้ำในฝ่ายแรก ยับยั้งตัวเองไม่ให้เป็นน้ำในฝ่ายหลัง คุณก็จะกลายเป็นคนที่มีพลังของชีวิตขึ้นมา 
      มนุษย์ทุกคนมีพลัง อย่าทำลายพลังในตัวเองด้วยการจมอยู่กับนิวรณ์ซึ่งเป็นอุปสรรคของความเจริญ
      และเมื่อเราดึงพลังของเราขึ้นมาได้ ก็ขอให้ปีใหม่นี้เป็นปีแห่งการทรงพลังของพวกเราทุกคน ที่เราลงทุนร่วมกัน
               ลงทุนกับตัวเรา...เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเรา
               ลงทุนกับโลก...เพื่อเปลี่ยนแปลงโลก


     โลกจะอยู่ โลกจะไป โลกจะเกิด โลกจะดับ โลกจะแตก หรือโลกจะเป็นอย่างไร
     ใจของเราก็ยังเป็นอิสระจากความทุกข์ ก็เพราะการเจริญสติปัญญาที่เป็นพลังสำคัญของชีวิตเช่นนี้
     และถ้าเราหายใจอย่างมีสติ สติจะอารักขากายอารักขาใจของเราให้เฝ้าตามดู ตามรู้ ตามเห็นทุกอย่างที่โลกเป็น
      แต่ใจเป็นอิสระจากทุกข์ ปีใหม่นี้คุณก็จะเห็นชีวิตใหม่ที่เป็นไท คือมีชีวิตที่เป็นอิสระจากกิเลส
      ทั้งๆ ที่กิเลสยังมีอยู่ แต่กิเลสเข้ามา...แล้วก็ไป แต่ใจรู้ ตื่น และเบิกบานต่อไปได้
      นี่คือการเปลี่ยนแปลงโลกครั้งสำคัญ...ที่เริ่มต้นได้ที่ตัวเรา


      ปีใหม่นี้ เสถียรธรรมสถาน ชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างศานติ บ้านหลังที่สองของทุกคนมีของขวัญใหม่ๆ ที่จะมอบให้อย่างมากมาย อาทิ การเยียวยาชีวิต ให้พลังชีวิตด้วยอานาปานสติภาวนา และการบริโภคอาหารที่มีพลังชีวิตด้วยอาหารสุขภาพที่ร้านสายสัมพันธ์ สนใจ...สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร.๐-๒๕๑๙-๑๑๑๙ 

      เด็ก คือ เมล็ดพันธุ์ของแผ่นดิน : วันเด็กปีนี้ ขอเชิญชวนผู้ปกครองทุกท่าน พาเด็กๆ มาร่วมกิจกรรมภาวนา เพื่อเสริมสร้างสมาธิ ในวันเสาร์ที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๖ ณ เสถียรธรรมสถาน รายละเอียดติดตามได้ที่ www.sdsweb.org


ขอบคุณบทความและภาพจาก
www.komchadluek.net/detail/20130103/148573/สร้างชีวิตใหม่ด้วยใจของตัวเอง.html#.UOUH1azjrRc
http://www.girlzeed.com/
22171  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / 'เมตตา' พรหมวิหารธรรมค้ำจุนโลก..ลดขัดแย้ง เมื่อ: มกราคม 03, 2013, 11:30:50 am

'เมตตา'พรหมวิหารธรรมค้ำจุนโลกลดขัดแย้ง : สำราญ สมพงษ์ รายงาน

    คำว่า "เมตตา" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสพระราชดำรัสในเวลาใกล้เคียงกันถึง 3 ครั้ง คือ ในวโรกาสเสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2555 ส.ค.ส.พระราชทานปี 2556 และพระราชทานพรปีใหม่ 2556

   คำว่า "เมตตา" นี้หากแปลตามหลักสากลก็คือความรัก เป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็น 1 ใน 4 ของพรหมวิหารธรรม 4 ประการ

   พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่
     เมตตา  ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข
     กรุณา  ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
     มุทิตา  ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
     อุเบกขา  การรู้จักวางเฉย


     1. เมตตา : ความปราถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ความสุขเกิดขึ้นได้ทั้งกายและใจ เช่น ความสุขเกิดการมีทรัพย์ ความสุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการบริโภค ความสุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้และความสุขเกิดจากการทำงานที่ปราศจากโทษ เป็นต้น

     2. กรุณา : ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความทุกข์ คือ สิ่งที่เข้ามาเบียดเบียนให้เกิดความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน พระพุทธองค์ทรงสรุปไว้ว่าความทุกข์มี 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
              - ทุกข์โดยสภาวะ หรือเกิดจากเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย เช่น การเกิด การเจ็บไข้ ความแก่และความตายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาในโลกจะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรวมเรียกว่า กายิกทุกข์
              - ทุกข์จรหรือทุกข์ทางใจ อันเป็นความทุกข์ที่เกิดจากสาเหตุที่อยู่นอกตัวเรา เช่น เมื่อปรารถนาแล้วไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ รวมเรียกว่า เจตสิกทุกข์

      3. มุทิตา : ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี คำว่า "ดี" ในที่นี้ หมายถึง การมีความสุขหรือมีความเจริญก้าวหน้า ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีจึงหมายถึง ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น ไม่มีจิตใจริษยา ความริษยา คือ ความไม่สบายใจ ความโกรธ ความฟุ้งซ่านซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีกว่าตน เช่น เห็นเพื่อนแต่งตัวเรียบร้อยแล้วครูชมเชยก็เกิดความริษยาจึงแกล้งเอาเศษชอล์ก โคลน หรือหมึกไปป้ายตามเสื้อกางเกงของเพื่อนนักเรียนคนนั้นให้สกปรกเลอะเทอะ เราต้องหมั่นฝึกหัดตนให้เป็นคนที่มีมุทิตา เพราะจะสร้างไมตรีและผูกมิตรกับผู้อื่นได้ง่ายและลึกซึ้ง

     4. อุเบกขา : การรู้จักวางเฉย หมายถึง การวางใจเป็นกลางเพราะพิจารณาเห็นว่า ใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ชั่ว ตามกฎแห่งกรรม คือ ใครทำสิ่งใดไว้สิ่งนั้นย่อมตอบสนองคืนบุคคลผู้กระทำ เมื่อเราเห็นใครได้รับผลกรรมในทางที่เป็นโทษเราก็ไม่ควรดีใจหรือคิดซ้ำเติมเขาในเรื่องที่เกิดขึ้น เราควรมีความปรารถนาดี คือพยายามช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ในลักษณะที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม




เผยแพร่เมื่อ 2 ม.ค. 2013 โดย nathaponson


    และมีหลักธรรมที่ควบคู่กับเมตตา คือ สาราณียธรรม 6 ประการ ซึ่งสาราณียธรรม หมายถึง ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึง หมายถึง มีความปรารถนาดีต่อกัน เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ดังนี้

     1. เมตตากายกรรม ได้แก่ การเข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วย เมตตา นั่นคือ การอยู่ด้วยกันด้วยการกระทำดีต่อกัน ไม่เบียดเบียนทำร้ายกัน ไม่ก่อสงคราม แต่มุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือกัน เพื่อความผาสุขของมวลมนุษย์ เป็นต้น

     2. เมตตาวจีกรรม ได้แก่ การเข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา คือใช้หลักการทูต โดยการเจรจาให้เข้าใจกัน ไม่กล่าวร้ายเสียดสีกัน เป็นต้น

    3. เมตตามโนธรรม ได้แก่ การเข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา คือการไม่คิดทำร้ายซึ่งกันและกัน มีความซื่อสัตย์เคารพในความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มีจิตเมตตาต่อกันเป็นต้น

     4. แบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้มาด้วยความชอบธรรมแก่เพื่อนมนุษย์ ได้แก่ การแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งในด้านอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภคเครื่องมือการเกษตรตลอดจนวิทยาการความรู้ต่างๆให้แก่เพื่อนมนุษย์รวมตลอดถึงการรู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันไม่ทำลายระบบนิเวศน์สิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดผลกระทบมวลมนุษย์ เป็นต้น

     5. รักษาความประพฤติ(ศีล) เสมอกัน ได้แก่ การดำเนินนโยบายต่าง ๆต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับมติสากลหรือหลักการขององค์การสหประชาชาติหรือองค์การระหว่างประเทศไม่ฝ่าฝืนมติหรือหลักการนั้นอันจะก่อให้เกิดความหวาดระแวง ไม่ไว้เนื้อเนื้อเชื่อใจกัน

      6. มีความเห็นร่วมกัน ไม่วิวาทเพราะมีความเห็นผิดกัน ได้แก่ การอยู่ร่วมกันจะต้องยอมรับในกฎกติกาทางสังคมที่กำหนดไว้ ไม่กระทำตนเสมือนว่าเป็นการฝ่าฝืนมติของสังคมโลกไม่เอารัดเอาเปรียบกันหรือข่มเหงกีดกันผู้อื่น มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและสังคมที่ตนอาศัยอยู่ด้วย

      ดังนั้น คงเป็นหน้าที่ของสถานบันศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง และสถานการศึกษาทางโลก ที่จะต้องทำการวิจัยและสร้างกระบวนการให้สังคมไทย สังคมโลก มีคำว่า "เมตตา" ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

      ทำให้ปี  2556  เป็นปีแห่งการสร้างความเมตตาในเกิดขึ้นในสังคม และจะต้องสวดมนต์บทกรณียเมตตสูตรข้ามปี โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม หรือสวดตลอดไปเป็นภาคปฏิบัติ ซึ่งจะเป็นแนวทางการลดความขัดแย้งลงได้


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20130101/148468/เมตตาพรหมวิหารธรรมค้ำจุนโลกลดขัดแย้ง.html#.UOUDOKzjrRc
22172  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปชช.นับหมื่นแห่ไหว้ "หลวงพ่อโต" ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองโคราช เสริมสิริมงคลปีใหม่ เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 01:23:56 pm


ปชช.นับหมื่นแห่ไหว้ "หลวงพ่อโต" ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองโคราช เสริมสิริมงคลปีใหม่

ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดนครราชสีมา รายงานเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ ได้มีประชาชนจากทุกสารทิศกว่า 10,000 คน เดินทางมากราบไหว้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่มหาวิหารสมเด็จพระพุฒาจารย์โต อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา กันอย่างเนืองแน่น เนื่องจากตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพ เส้นทางจากกรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าสู่จังหวัดต่างๆ ของภาคอีสาน

ซึ่งประชาชนที่เดินทางมาส่วนใหญ่ จะเป็นกลุ่มครอบครัว พ่อ แม่ ลูก และญาติๆ ที่เดินทางมาจากหลายจังหวัดในภาคอีสาน และมีบางส่วนที่เดินทางมาจากภาคอื่นเพื่อท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ก็ถือโอกาสมาไหว้พระในครั้งนี้ด้วย

โดยมีนายสรพงศ์  ชาตรี ศิลปินแห่งชาติ และประธานมูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี คอยให้การต้อนรับพุทธศาสนิกชนที่เดินทางมาในครั้งนี้อย่างใกล้ชิดตลอดทั้งวัน ส่วนภายในมหาวิหารสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หรือหลวงปู่โต ก็ได้มีประชาชนแห่เข้าไปปิดทองรูปจำลองหลวงปู่โต ซึ่งประดิษฐานอยู่ด้านหน้ารูปหล่อหลวงปู่โตองค์ใหญ่ที่สุดในโลกกันอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ด้านนอกมหาวิหารฯ ก็มีประชาชนพาครอบครัวเดินชมทัศนียภาพ พร้อมทั้งนั่งพักผ่อนตามสวนหย่อมกันเป็นจำนวนมาก ส่วนคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2555 นี้ จะมีการจัดสวดมนต์ข้ามปีขึ้น ภายในมหาวิหารฯ ด้วย



ด้านนายสรพรศ์  กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 นี้ ตนอยากให้คนไทยรักกัน เนื่องจากประเทศไทยมียิ้มสยาม เป็นเสน่ห์ที่คนทั้งโลกยอมรับ และคนไทยก็เป็นคนยิ้มง่าย ใจดี ใจพระ ชอบทำบุญ และรู้จักให้อภัยกัน จึงอยากให้รักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ ซึ่งในอดีตชาวต่างชาติอยากมาเที่ยวประเทศไทย เพราะอยากเห็นคนไทย ที่ยิ้มสวย มีเสน่ห์ และใจดี แต่ในเวลานี้เป็นอย่างที่ทุกคนรู้กันอยู่ว่า

สิ่งเหล่านั้นกำลังเลือนหายไปจากสังคมไทย จึงอยากให้ปีใหม่นี้ เป็นปีที่เริ่มต้นใหม่ สำหรับคนไทยทุกคน รวมทั้งให้รำลึกถึงบูรพมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ที่ได้เสียสละเลือดเนื้อ เพื่อสร้างชาติไทยให้มีความมั่นคง เป็นปึกแผ่น และเจริญรุ่งเรืองถึงปัจจุบัน ดังนั้นเราจึงควรรักษาความเป็นไทย รักษาพระมหากษัตริย์ รักวัฒนธรรมไทย รวมทั้งรักษาลักษณะนิสัยของคนไทยไว้ให้ดี แล้วเราทุกคนก็จะมีความสุขตลอดไป ตนเชื่ออย่างนั้น

เหมือนตนขณะนี้อายุ 64 ปี แล้ว ยังมีความสุขตลอด สมัยเด็กๆ เราก็อยู่แบบเด็ก น้ำท่วมก็ว่ายน้ำเล่น น้ำลดก็เหยียบย่ำโคลน ทำไร่ ทำนา เก็บผักบุ้ง หาหอยโข่ง เราก็มีความสุขแบบไทยๆ อย่าลืมความเป็นตัวตนของคนไทย ถึงแม้ว่าเราจะทำการค้า หรือทำธุรกิจใหญ่โตระดับโลก แต่ความเป็นคนไทย คนใจดี คนใจพระ ทิ้งไม่ได้



นอกจากนี้  นายสรพงศ์ฯ ยังได้กล่าวอวยพรปีใหม่ให้กับคนไทยทุกคนว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 นี้ ตนขอให้บารมีคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และบารมีของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) รวมทั้งบารมีที่ตนได้ทำไว้ในทุกภพทุกชาติ อำนวยอวยพรให้พี่น้องชาวไทยทุกคน และมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ จงมีความสุขภาพกายแข็งแรง สมองดี สติดี ปัญญาดี และสามัคคีดีตลอดไป

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1356924108&grpid=02&catid=&subcatid=
22173  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แจกฟรี.! ปฏิทินปีใหม่ ๒๕๕๖..ภาพ 'หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์' เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 01:14:23 pm


แจกฟรี.! ปฏิทินปีใหม่ ๒๕๕๖..ภาพ 'หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์'

      หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระพุทธรูปเก่า ที่ขุดพบโดยบังเอิญขณะช่างกรมชลประทาน ใช้รถเกรดดินเพื่อสร้างถนนเลียบคลองระพีพัฒน์ เมื่อปี ๒๕๐๒ ชาวบ้านจึงได้พากันกราบไหว้สักการบูชาด้วยความศรัทธาเลื่อมใส ด้วยเหตุที่มีประสบการณ์ต่างๆ จากการบนบานศาลกล่าว อธิษฐานขอพรสิ่งใดก็มักจะสำเร็จสมหวังเสมอ ชาวบ้านจึงได้จัดสร้างวิหารขึ้นเป็นที่ประดิษฐานอย่างสวยงาม และมั่นคงถาวรจนถึงทุกวันนี้

      ก่อนหน้านี้ หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่รู้จักกันเฉพาะชาวบ้านในท้องถิ่นเท่านั้น ต่อมาเมื่อปี ๒๕๔๘ หน้าพระเครื่อง "คม ชัด ลึก" ได้นำเรื่องราวมาลงเผยแพร่เป็นครั้งแรก จนเป็นที่รู้จักของผู้คนอย่างกว้างขวาง
      มาถึงทุกวันนี้ได้กลายเป็นสถานที่สำคัญที่มีพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก
      ทั้งใกล้และไกลไปกราบไหว้ขอพรหลวงพ่ออย่างต่อเนื่องทุกวัน
      ขณะเดียวกันวัตถุมงคลซึ่งเดิมเช่าหากันเฉพาะคนในท้องถิ่น ได้กลายเป็นวัตถุมงคลยอดนิยมของ จ.สระบุรี และเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ จนทำให้มีราคาเช่าหาสูงขึ้นด้วย

             
      ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ คณะกรรมการมูลนิธิหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ ริมคลองระพีพัฒน์ ตลาดหนองตาโล่ ต.คชสิทธิ์ อ.หนองแค จ.สระบุรี ได้จัดทำ "ปฏิทินปีใหม่ ๒๕๕๖" เป็นรูปหลวงพ่อ สำหรับแจกฟรี ! แก่พุทธศาสนิกชนทุกท่านที่ไปกราบขอพรจากหลวงพ่อ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ มงคลนาม เหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความศรัทธาสนใจอย่างเนืองแน่น

      สำหรับปีนี้ "ปฏิทินหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์" จัดทำอย่างสวยงามมากเป็นพิเศษ นับเป็นปฏิทินมหามงคลที่สามารถนำภาพหลวงพ่อไปใส่กรอบเอาไว้กราบไหว้ขอพรได้ตลอดทั้งปี

      ขณะเดียวกัน ปีนี้มูลนิธิได้จัดทำ "ผ้ายันต์หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์" ขนาด ๑๖x๒๐ นิ้ว
      โดยจัดพิมพ์บนผ้าใบนำเข้าจากญี่ปุ่น เป็นครั้งแรก ทั้งภาพและอักขระเลขยันต์จัดพิมพ์อย่างสวยงามคมชัดมาก
      สีฟ้าพิเศษ มีตรามูลนิธิและหมายเลขกำกับทุกผืน ทำบุญบูชาผืนละ ๕๐๐ บาท
      มีจำนวนจำกัด (ประกอบพิธีพุทธาภิเษกแล้ว)
      ติดต่อสั่งจองได้ที่มูลนิธิหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ โทร.๐๘-๙๐๘๗-๐๗๗๗, ๐๘-๗๐๙๑-๙๓๒๐


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121227/148149/แจกฟรี!ปฏิทินปีใหม่๒๕๕๖ภาพหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์.html#.UOEr_qzjrRc
22174  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'มจร' เดินสายสานสัมพันธ์ 'เถรวาท-มหายาน' เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 01:07:48 pm



'มจร' เดินสายสานสัมพันธ์ 'เถรวาท-มหายาน'

'มจร'เดินสายสานสัมพันธ์เถรวาท-มหายาน ร่วมสัมมนาพุทธศาสนิกชนชาวจีนกว่า 3 พันคน จับมือพระพม่าอบรมเยาวชนกว่า 2 พันคน : สำราญ สมพงษ์ รายงาน

     แม้นช่วงเดือนธันวาคมเป็นเดือนสุดท้ายแห่งปี ก่อนจะเข้าสู่เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่งานเผยแพร่พระพุทศาสนาและการสานสัมพันธ์กับองค์กรพุทธด้วยกันทั้งภายในและต่างประเทศของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)  ก็ไม่เคยหยุดยังคงเดินหน้าต่อไป เพื่อความสงบสุขสันติภาพให้เกิดขึ้นแก่ชาวโลก

     โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านต่างประเทศของ มจร ภายใต้การกำกับดูแลของพระครูปลัดสุวัฒนวชิรคุณ  รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ ได้มีกำหนดเดินทางไปต่างประเทศเป็นระยะอย่างเช่นล่าสุดระหว่างวันที่ 16- 19 ธันวาคม พร้อมคณะได้เดินทางไปร่วมสัมมนาเนื่องในเทศกาล “พระไภษัชยคุรุไวฑูรยะประภาราชพุทธเจ้า จอมราชันย์แห่งศาสตร์การแพทย์”  ณ วัด Ling Quan Temple Wuhan Chinese  โดยมีพุทธศาสนิกชนชาวจีนเข้าร่วมงาน กว่า 3,000 คน  นับเป็นความร่วมมือของนักวิชาการพุทธเถรวาทและมหายาน



    การจัดงานครั้งนี้ พระครูปลัดสุวัฒนวชิรคุณ พร้อมคณะได้เข้าร่วมกิจกรรมและหารือความร่วมมือเกี่ยวกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนากับผู้นำหน่วยงาน องค์กร มากกว่า 10 ประเทศ

    การจัดงานครั้งนี้ เป็นการยกย่องพระพุทธเจ้าในฐานะเป็นยารักษากายและใจของมนุษย์ตั้งแต่การเกิดจนถึงตายและชีวิตหลังความตาย การประชุมได้มีข้อสรุปเป็นอันเดียวกันว่า “พระพุทธเจ้าเป็นยารักษากายและใจของมนุษย์โดยความเอื้ออาทรช่วยเหลือมนุษย์ด้วยจิตที่เมตตาถึงแม้ว่าบางคนยังไม่เข้าใจถึงความปรารถนาดีของพระพุทธเจ้าแต่พระองค์ก็ไม่เคยท้อแท้ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ เมื่อมนุษย์ได้รับการช่วยเหลือจากพระพุทธเจ้าผู้ที่พ้นจากความทุกข์นั้นก็จะดำรงตนเพื่อความเป็นพระโพธิ์สัตย์ โดยการช่วยเหลือบุคคลอื่นต่อไป

      พระไภษัชยคุรุไวฑูรยะประภาราชพุทธเจ้า  จอมราชันย์แห่งศาสตร์การแพทย์ จะมีพระวรกายสีน้ำเงินประดุจดังท้องฟ้าที่กว้างใหญ่มหาศาล พระหัตถ์ขวาอยู่ในท่าภาวนา พระหัตถ์ซ้ายถือบาตรยา หรือ หม้อยา  ลักษณะของพระพุทธรูปแบบนี้ถ้าในความเชื่อในประเทศไทยก็คือ “พระกริ่ง” ที่มีการสร้างขึ้นในประเทศไทยนั้นเอง

      ชาวจีนถือว่าพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ เป็นจอมราชั้นแห่งศาสตร์การแพทย์ คือ ศาสตร์ที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็นสุดยอดแห่งศาสตร์ทั้งปวง การแพทย์ทางพระพุทธศาสนานั้นจะเน้นการรักษาแบบองค์รวม เน้นความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆ ของการรักษา ได้แก่ กาย วาจา ใจ โดยใช้ใช้สมุนไพรใบยา การภาวนา การสวดมนต์ การใช้ สมาธิจิต



      ด้วยเหตุที่ความอ่อนแอในทางสุขอนามัยของสรรพสัตว์เป็นตัวขัดขวางการบำเพ็ญเพียรเพื่อสู่การหลุดพ้น เป็นเหตุให้พระไภษัชยพุทธเจ้าต้องเสด็จมาเพื่อโปรดสรรพสัตว์  ซึ่งชาวพุทธมหายาน เชื่อว่า พระองค์ทรงเข้าร่วมในกิจกรรมทางการแพทย์ทุกขั้นตอน พิธีกรรมในการปรุงยาพระองค์ทรงเป็นประธานและผู้ลงมือกระทำการเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งยา ในการรักษา

       ส่วนการภาวนานั้น พระองค์ทรงประทานคาถาในการภาวนาเพื่อความเชื่อมั่น แน่วแน่เพื่อให้เกิดการมีสุขภาพที่ดี การทำสมาธิเพื่อน้อมอัญเชิญพระองค์เข้าสู่ตัวเรา หลอมรวมพระองค์กับเราให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความเจ็บป่วยทั้งปวงจะถูกหลอมละลายเป็นอากาศธาตุ พระองค์และเราเข้าสู่ศูนยตาสภาวะ เราออกจากสมาธิในสภาวะว่างเปล่านั่นคือ โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หายไปด้วย
       
      ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันในวงการแพทย์อย่างกว้างขวางว่า สมาธิจิตเป็นยาวิเศษชนิดหนึ่งในการบำบัดความเจ็บป่วย การรักษาในแนวทางแห่งพุทธนี้ไม่เพียงได้ความสุขทางกายเพียงประการเดียว สมาธิจิตที่ได้เป็นยานพาหนะนำพาเราเข้าสู่การหลุดพ้น สู่ความเป็นพุทธะในที่สุด บังเกิดความสุขอันนิรันดร นี้เป็นความเชื่อที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นของชาวพุทธในประเทศจีน



      หลังจากเดินทางกลับจากประเทศจีน พระครูปลัดสุวัฒนวชิรคุณพร้อมคณะก็ได้เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจ ณ ประเทศพม่าทันที  ระหว่างวันที่ 22-23 ธันวาคม โดยภารกิจวันแรก ได้เดินทางไปเยี่ยมศูนย์ฝึกอบรมเยาวชน ของ ITBMU ซึ่งมีเยาวชนมาปฏิบัติธรรมประมาณ 2,000 คน และมีอาสาสมัครมาช่วยงานดูแล และช่วยปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ระหว่างการอบรมอีกประมาณ 150 คน

       ซึ่งจัดฝึกอบรมเยาวชนเป็นประจำตลอดปี จำนวน 6 ครั้ง  แบ่งเป็นการจัดอบรมใหญ่ 2 ครั้ง และครั้งย่อย อีก 4 ครั้ง   และการอบรมครั้งเป็นการอบรมใหญ่ครั้งที่ 2 ประจำปี 2555

      ในการนี้ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศได้กล่าวปาฐกถากับเยาวชน ในการให้กำลังใจ และกระตุ้นเยาวชนให้เห็นถึงความสำคัญของการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี เป็นประชาชนที่ดีและมีคุณภาพของประเทศ ผ่านกิจกรรมการฝึกอบรมคุณธรรมเช่นว่านี้

       วันต่อมาได้เดินทางไปเยี่ยมชมกิจกรรมของวัดฮองเมยโยน ปาฉาน เป็นวัดของชาวไทยใหญ่  มีการจัดกิจกรรมปาฐกถาธรรม โดย prof. Dr. Khammai Dhammasami จากนั้นได้มีการเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมสอนพระพุทธศาสนาในวันหยุด ของประเทศพม่า รวมถึงแนวทางการการวิจัยร่วมกันด้วย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121229/148318/มจรเดินสายสานสัมพันธ์เถรวาทมหายาน.html#.UOEqN6zjrRc
22175  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อัญเชิญ 'พระเกศาธาตุ'..มาสนามหลวง เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 12:58:18 pm



อัญเชิญ 'พระเกศาธาตุ'..มาสนามหลวง
เมื่อเวลา 16.30 น.วันนี้ (28 ธ.ค.) ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง สภาศิลปินส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ในอุปถัมภ์สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ร่วมกับกรุงเทพมหานคร (กทม.)
     ทำพิธีอัญเชิญพระบรมเกศาธาตุ ของสมเด็จพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า   
     จากวัดบุปฝาราม เมืองแคนดี้ ประเทศศรีลังกา มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว
     ยังท้องสนามหลวง ประเทศไทยเป็นครั้งแรก
     ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2555-6 มกราคม 2556 ตั้งแต่ 08.00 -20.00 น.


เพื่อถวายเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุ 85 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา และฉลอง 26 พุทธศตวรรษ

รวมทั้งให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลในวันขึ้นปีใหม่ โดยมีพลเอก ณพล บุญทัพ รองสมุหราชองครักษ์ เป็นอัญเชิญพระบรมเกศาธาตุ ประดิษฐานยังมณฑป  มี พญ.มาลินี สุขเวชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมในพิธีครั้งนี้





จากนั้นมีพิธีจุดเทียนบูชาพระเกศาธาตุ 4 ทิศ พิธีสวดอิติปิโส เป็นปฐมฤกษ์ 85 จบ และเปิดให้ประชาชนได้สักการะและเวียนเทียนรอบมณฑป โดย พระมหาดร.กมล ถาวโร รองผอ.สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในฐานะประธานสภาศิลปินฯฝ่ายบรรพชิต กล่าวว่า

    สมเด็จพระสังฆนายก สยามวงศ์นิกาย ฝ่ายมัลลวตะ ประมุขสงฆ์ของศรีลังกา ได้ประทานพระบรมเกศาธาตุ และพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้าที่ได้รับการตกทอดมาอย่างยาวนาน มาประดิษฐานชั่วคราวยังประเทศไทย โดยในวันนี้ได้มีพิธีอัญเชิญประดิษฐานยังมณฑป บริเวณท้องสนามหลวงจนถึงวันที่ 6 ม.ค.






     หลังจากนั้นจะมีพิธีอัญเชิญพระบรมเกศาธาตุและพระทันตธาตุ ไปให้ประชาชนในส่วนภูมิภาคได้สักการะด้วย
     โดยวันที่ 9-12 ม.ค. ประดิษฐาน ณ วัดพระบรมธาตุ จ.นครศรีธรรมราช
     วันที่ 13-26 ม.ค. ณ วัดเทพนารี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ
     วันที่ 26 ม.ค.-2 ก.พ. ณ  จังหวัดเชียงใหม่
     เพื่อให้ประชาชนได้สักการะต่อไป.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/education/175044
22176  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปฏิทินวันพระ ประจำปี 2556 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 11:49:36 am


ปฏิทินวันพระ ประจำปี 2556

สำหรับชาวพุทธที่อยากทราบว่าวันพระและวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ตลอดปี 2556 มีวันไหนบ้าง ลองมาดูกันเลยค่ะ

ปฏิทินวันพระ 2556 เดือนมกราคม
วันเสาร์ ที่ 5 มกราคม เป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน 1
วันศุกร์ ที่ 11 มกราคม เป็นวันแรม 14 ค่ำเดือน 1
วันเสาร์ ที่ 19 มกราคม เป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 2
วันเสาร์ ที่ 26 มกราคม เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 2


ปฏิทินวันพระ 2556 เดือนกุมภาพันธ์
วันอาทิตย์ ที่ 3 กุมภาพันธ์ เป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน 2
วันอาทิตย์ ที่ 10 กุมภาพันธ์ เป็นวันแรม 15 ค่ำเดือน 2
วันจันทร์ ที่ 18 กุมภาพันธ์ เป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 3
วันจันทร์ ที่ 25 กุมภาพันธ์ เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 (วันมาฆบูชา)


ปฏิทินวันพระ 2556 เดือนมีนาคม
วันอังคาร ที่ 5 มีนาคม เป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน 3
วันจันทร์ ที่ 11 มีนาคม เป็นวันแรม 14 ค่ำเดือน 3
วันอังคาร ที่ 19 มีนาคม เป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 4
วันอังคาร ที่ 26 มีนาคม เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4


ปฏิทินวันพระ 2556 เดือนเมษายน
วันพุธ ที่ 3 เมษายน เป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน 4
วันพุธ ที่ 10 เมษายน เป็นวันแรม 15 ค่ำเดือน 4
วันพฤหัสบดี ที่ 18 เมษายนเป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 5
วันพฤหัสบดี ที่ 25 เมษายนเป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 5


ปฏิทินวันพระ 2556 เดือนพฤษภาคม
วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม เป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน 5
วันพฤหัสบดี ที่ 9 พฤษภาคม เป็นวันแรม 14 ค่ำเดือน 5
วันศุกร์ ที่ 17 พฤษภาคม เป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 6
วันศุกร์ ที่ 24 พฤษภาคม เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 (วันวิสาขบูชา)


ปฏิทินวันพระ 2556 เดือนมิถุนายน
วันเสาร์ ที่ 1 มิถุนายน เป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน 6
วันเสาร์ ที่ 8 มิถุนายน เป็นวันแรม 15 ค่ำเดือน 6
วันอาทิตย์ ที่ 16 มิถุนายน เป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 7
วันอาทิตย์ ที่ 23 มิถุนายน เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 7


ปฏิทินวันพระ 2556 เดือนกรกฎาคม
วันจันทร์ ที่ 1 กรกฎาคม เป็นวันแรม 2 ค่ำเดือน 7
วันอาทิตย์ ที่ 7 กรกฎาคม เป็นวันแรม 14ค่ำเดือน 7
วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม เป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 8
วันจันทร์ ที่ 22 กรกฎาคม เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 (วันอาสาฬหบูชา)
วันอังคาร ที่ 30 กรกฎาคม เป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน 8

ปฏิทินวันพระ 2556 เดือนสิงหาคม
วันอังคาร ที่ 6 สิงหาคม เป็นวันแรม 15 ค่ำเดือน 8
วันพุธ ที่ 14 สิงหาคม เป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 9
วันพุธ ที่ 21 สิงหาคม เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 9
วันพฤหัสบดี ที่ 29 สิงหาคมเป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน 9


ปฏิทินวันพระ 2556 เดือนกันยายน
วันพุธ ที่ 4 กันยายน เป็นวันแรม 14 ค่ำเดือน 9
วันพฤหัสบดี ที่ 12 กันยายน เป็นวันวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 10
วันพฤหัสบดี ที่ 19 กันยายน เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 10
วันศุกร์ ที่ 27 กันยายน เป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน 10


ปฏิทินวันพระ 2556 เดือนตุลาคม
วันศุกร์ ที่ 4 ตุลาคม เป็นวันแรม 15 ค่ำเดือน 10
วันเสาร์ ที่ 12 ตุลาคม เป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 11
วันเสาร์ ที่ 19 ตุลาคม เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 (วันออกพรรษา)
วันอาทิตย์ ที่ 27 ตุลาคม เป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน 11


ปฏิทินวันพระ 2556 เดือนพฤศจิกายน
วันเสาร์ ที่ 2 พฤศจิกายน เป็นวันแรม 14 ค่ำเดือน 11
วันอาทิตย์ ที่ 10 พฤศจิกายน เป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 12
วันอาทิตย์ ที่ 17 พฤศจิกายน เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 (วันลอยกระทง)
วันจันทร์ ที่ 25 พฤศจิกายน เป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน 12


ปฏิทินวันพระ 2556 เดือนธันวาคม
วันจันทร์ ที่ 2 ธันวาคม เป็นวันแรม 15 ค่ำเดือน 12
วันอังคาร ที่ 10 ธันวาคม เป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 1 (วันรัฐธรรมนูญ)
วันอังคาร ที่ 17 ธันวาคม เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 1
วันพุธ ที่ 25 ธันวาคม เป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน 1
วันอังคาร ที่ 31 ธันวาคม เป็นวันแรม 14 ค่ำเดือน 1 (วันสิ้นปี)



ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.dmc.tv
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com
horoscope.sanook.com/1127192/ปฏิทินวันพระ-ประจำปี-2556/
22177  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไหว้พระขอพร 9 พระอารามหลวง เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 11:42:52 am




ไหว้พระขอพร 9 พระอารามหลวง (ททท.)

          "การเริ่มต้นที่ดี คือส่วนหนึ่งของความสำเร็จ" จากคติดังกล่าว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้จัดทำกิจกรรม "ไหว้พระขอพร 9 พระอารามหลวง" ขึ้น เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่สนใจได้เดินทางท่องเที่ยวสักการะสถานที่อันเป็นมงคล เพื่อการเริ่มต้นอย่างมีความสุขสงบทางใจ ตามคติความเชื่อของไทย อีกทั้งยังเป็นการเรียนรู้ถึงคุณค่าของโบราณสถานที่สำคัญของเกาะ รัตนโกสินทร์และบริเวณโดยรอบอีกด้วย

สำหรับ 9 พระอารามหลวง ได้แก่...



วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

1. วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
          คติ : เดินทางปลอดภัยดี มีมิตรไมตรีที่ดี
          เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนแดงคู่ ดอกไม้พวงมาลัย


ประวัติ/ความเป็นมา
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ได้อุทิศที่ดิน ซึ่งบริเวณดังกล่าวเดิมเรียกว่า "หมู่บ้านกุฎีจีน" วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2368 ในสมัยรัชกาลที่ 3 และได้ถวายเป็นพระอารามหลวง ได้รับพระราชทานนามว่า "วัดกัลยาณมิตร" พร้อมกับทรงสร้างพระวิหารหลวงเพื่อเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธไตรรัตนนายก" (หลวงพ่อโต) ซึ่งเป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 4 หรือเรียกตามแบบจีนว่า ชำปอฮุดกง หรือ ชำปอกง


      วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่มีองค์พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ โดยประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ นอกจากนี้ ยังมีหอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกและพระคัมภีร์ต่าง ๆ ซึ่งรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2408

การเดินทาง       
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ตั้งอยู่แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี มีโดยรถประจำทาง สาย 40, 57, 149 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 177 หรือจะไปทางเรือก็ต้องข้ามเรือข้ามฟากที่ท่าเรือปากคลองตลาดมาท่าเรือวัดกัลยาฯ



วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร

2. วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร
          คติ : มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง
          เครื่องสักการะสำหรับพระประธานในโบสถ์ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก
          เครื่องสักการะสำหรับรูปเคารพสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท : ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก


ประวัติ/ความเป็นมา
วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท สร้างสมัยก่อนกรุงรัตรโกสินทร์ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาวัดขึ้นมาใหม่ และรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายราชสามัญ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ทหารรามัญในกองทัพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุ รสิงหนาท ต่อมาเมื่อมีชัยชนะต่อกองทหารข้าศึกถึง 3 ครั้ง จึงพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดชนะสงคราม"


      วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร มีพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย เป็นพระประธาน มีพระนามว่า "พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์ มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดมบรมศาสดา อนาวรญาณ" ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ

การเดินทาง
วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บนถนนจักรพงษ์ แขวงบางลำพู เขตพระนคร สามารถเดินทางโดยรถประจำทาง สาย 33, 64, 65 หรือรถปรับอากาศ สาย ปอ. 3, 32, 33, 64, 65



วัดโพธิ์

3. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
          คติ : ร่มเย็นเป็นสุข
          เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว 11 แผ่น


ประวัติ/ความเป็นมา
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือที่รู้จักกันในนาม "วัดโพธิ์" เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก เดิมชื่อ "วัดโพธาราม" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงบูรณะและโปรดเกล้าฯ ให้สร้างประเจดีย์เพื่อบรรจุพระพุทธรูปพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงศรีอยุธยา

     ต่อมาใน พ.ศ. 2377 รัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะพระเจดีย์ แล้วพระราชทานนามว่า "พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ" และทรงสร้าง "พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกนิธาน" เพื่ออุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 และทรงมีพระราชประสงค์ให้วัดโพธิ์เป็น "มหาวิทยาลัยสำหรับประชาชน" จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมสรรพวิชาความรู้มาจารึกบนแผ่นศิลาติดไว้บริเวณพระอุโบสถ เพื่อให้ประชาชนมาศึกษาหาความรู้


     ที่วัดโพธิ์มี "พระพุทธเทวปฏิมากร" ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ ใต้ฐานชุกชี บรรจุพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 1 มีพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไสยาสน์ที่สวยงามที่สุด และองค์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ในประเทศไทย เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนพื้นพระบาทประดับมุก เป็นภาพมงคล 108 ประการ นอกจากนั้น วัดโพธิ์ยังมีเจดีย์ทั้งสิ้น 99 องค์ ถือว่าเป็นวัดที่มีเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย และมีพระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล คือ รัชกาลที่ 1- 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

     ในปัจจุบันวัดโพธิ์เปิดอบรมเผยแพร่วิชาการแพทย์แผนโบราณ โดยผู้ผ่านการอบรมจะได้รับใบประกอบโรคศิลป์จากกระทรวงสาธารณสุข

การเดินทาง
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ด้านหลังพระบรมมหาราชวัง ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร สามารถโดยสารรถประจำทางสาย 12, 44, 82, 91 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 12, 32, 44, 91, 51



วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

4. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
          คติ : เพื่อจิตใจสะอาด ดุจรัตนตรัย
          เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกไม้


ประวัติ/ความเป็นมา
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว เป็นพระอารามที่อยู่ในบริเวณพระบรมมหาราชวัง รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2326 เพื่อความสะดวกเวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลตามราชประเพณี และเพื่อเป็นที่บรรจุพระอัฐิอายุของพระเจ้าแผ่นดินเจ้านายในราชสกุล


    ภายในวัดพระแก้วมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร" (พระแก้วมรกต) ที่พระระเบียงมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่วิจิตรสวยงามและยาวที่สุดในโลก มีปราสาทพระเทพบิดร ซึ่งเป็นปราสาทยอดปรางค์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 1- 8

    มีพระศรีรัตนเจดีย์ประดับกระเบื้องสีทองทั้งองค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรม สารีริกธาตุมีหอพระราชพงศานุสรณ์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำรัชกาลของ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีหอระฆังที่มีระฆังซึ่งตีมีเสียงดังกังวานดี มีพระบรมราชานุสาวรีย์ประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์และยัง มีรูปยักษ์ 6 คู่ เป็นรูปยักษ์ตัวสำคัญจากเรื่องรามเกียรติ์ เป็นปูนปั้นทาสี ประดับกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ สูงประมาณ 6 เมตร ตั้งประจำที่ช่องประตูพระระเบียง

การเดินทาง
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่บริเวณสนามหลวง ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร สามารถโดยรถประจำทาง สาย 1, 3, 25, 32, 33, 59, 60, 70, 82, 91, 201, 203 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 2, 3, 6, 25, 32, 59, 60, 70, 82, 91, 201, 203, 512



วัดระฆังโฆสิตาราม

5. วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
          คติ : ชื่อเสียงโด่งดัง คนนิยมชมชอบ
          เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว


ประวัติ/ความเป็นมา
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม วัดระฆัง เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เดิมชื่อว่า “วัดบางว้าใหญ่” เป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา พระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 1 มีลายหน้าบันเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถนี้ เป็นที่ประดิษฐานของพระประธานซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงเรียกว่า "พระประธานยิ้มรับฟ้า" นอกจากนี้ ยังมีหอไตรเป็นรูปเรือนสามหลังแฝด ภายในมีภาพจิตรกรรมที่สำคัญหลายแห่งทั้งบานประตู และฝาผนังรวมทั้งตู้พระไตรปิฏกสมัยกรุงศรีอยุธยา


          วัดระฆังเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สมเด็จพระราชาคณะในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นพระเถระผู้ทรงเกียรติคุณ วิทยาคุณโด่งดังมากแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน การไปสักการะสมเด็จพุฒาจารย์ เพื่อขอพรโดยการสวดคาถาชินบัญชรเมื่อสวดจบแล้ว ปักธูปที่กระถางและปิดทองที่รูปปั้น แล้วอย่าลืมพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล
 
การเดินทาง
วัดระฆังโฆสิตารามมรมหาวิหาร ตั้งอยู่บนถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย สามารถโดยรถประจำทาง สาย 19, 57 ส่วนทางเรือ โดยเรือด่วนเจ้าพระยาแล้วลงที่ท่ารถไฟ หรือท่าวังหลัง หรือข้ามฝากที่ท่าช้างแล้วขึ้นที่ท่าเรือวัดระฆัง



วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร

6. วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
          คติ : วิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่คนทั่วไป
          เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม


ประวัติ/ความเป็นมา
วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมชื่อ "วัดมหาสุทธาวาส" วันนี้เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2350 เสร็จสมบูรณ์ พ.ศ. 2390 ในสมัยรัชกาลที่ 3 และได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดสุทัศนเทพวราราม"


    ที่พระวิหารมี "พระศรีศากยมุนี" เป็นพระประธานซึ่งอัญเชิญมาจากสุโขทัยเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วย สำริดถอดแบบมาจากพระวิหารพระมงคลบพิตร กรุงศรีอยุธยา บานประตูใหญ่ของพระวิหารสลักไม้สวยงามรอบพระวิหารมีถะ หรือเจดีย์ศิลาแบบจีนตั้งอยู่บนฐานทักษิณ เป็นถะ 6 ชั้น จำนวน 28 องค์ มีพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธตรีโลกเชฏฐ์ เป็นพระประธานปางมารวิชัย ใหญ่กว่าพระที่หล่อในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์องค์อื่น ๆ

    มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันเป็นฝีมือช่างชั้นครูในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่งดงามมาก พระอุโบสถนี้นับว่ายาวที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีศาลาการเปรียญที่มีพระพุทธเสรฏฐมุนี เป็นพระประธานที่หล่อด้วยกลักฝิ่นเมื่อ พ.ศ. 2382 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เช่นกัน

การเดินทาง
วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บริเวณเสาชิงช้า ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร สามารถโดยสารรถประจำทางสาย 10, 12, 42 รถปรับอากาส สาย ปอ. 10, 12, 42



วัดอรุณราชวรมหาวิหาร

7. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
          คติ : ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน
          เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนคู่

 
ประวัติ/ความเป็นมา
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก สร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดมะกอก เมื่อ พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พระเจ้ากรุงธนบุรี) เสด็จทางชลมารคจากกรุงศรีอยุธยามารุ่งเช้าที่หน้าวัดมะกอก จึงโปรดเกล้าฯให้ปฏิสังขรณ์ แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "วัดแจ้ง" ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงปฏิสังขรณ์และพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดอรุณราชวราราม"


    ในสมัยกรุงธนบุรีวัดอรุณราชวรารามเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต ก่อนที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระแก้ว นอกจากนั้นยังมียักษ์ปูนปั้นขนาดใหญ่ 2 ตน ตั้งอยู่หน้าประตูซุ้มยอดพระมงกุฏ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนาม "ยักษ์วัดแจ้ง"

     ภายในวัดอรุณราชวรารามนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ มีพระปรางค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสูง 33 วาเศษ ประดับด้วยชิ้นกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ ยอดพระปรางค์เป็นนภศูล ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีปรางค์ทิศทั้ง 4 ประดิษฐานพระพุทธรูปปางประสูติ เทศน์พระธัมมจักร ตรัสรู้ นิพพาน การเดินเวียนทักษิณาวัดรอบพระปรางค์ 3 รอบ โดยเดินเวียนขวา (ตามเข็มนาฬิกา)

     เพื่อความเป็นสิริมงคล มีพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก" ซึ่งรัชกาลที่ 2 ทรงปั้นหุ่นและพระพักตร์ด้วยฝีพระหัตถ์พระองค์เอง และยังมีพระวิหารที่มีพระบรมสารีริกธาติที่เกศพระพุทธชมภูนุชฯ มีพระอรุณหรือพระแจ้ง ที่รัชกาลที่ 4 ทรงอัญเชิญมาจากเวียงจันทน์


การเดินทาง
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ข้างกองทัพเรือ ถนนอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ สามารถโดยรถประจำทาง สาย 19, 57 หรือนั่งเรือโดยสารข้ามฟากจากท่าเตียน มาขึ้นที่วัดอรุณ



วัดบวรนิเวศวิหาร

8. วัดบวรนิเวศวิหาร       
          คติ : พบแต่สิ่งดีงามในชีวิต
          เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 3 ดอก


ประวัติ/ความเป็นมา
วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชชวรวิหาร สมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้นใหม่ระหว่าง พ.ศ. 2367 - 2375 เดิมมีชื่อเรียกว่า วัดใหม่ ได้รับพระราชทานชื่อใหม่ เมื่อรัชกาลที่ 3 ทรงอาราธนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จมาประทับเมื่อปี พ .ศ. 2375 นอกจากนี้ ยังเป็นวัดที่รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 และรัชกาลปัจจุบันทรงผนวช เป็นวัดของคณะ สงฆ์ฝ่ายคามวาสีของธรรมยุติกนิกาย


     สิ่งสำคัญภายในวัดบวรนิเวศวิหาร ได้แก่ พระอุโบสถ เป็นอาคารแบบตรีมุข หน้าบันประดับกระเบื้องเคลือบ ตรงกลางมีตรามหามงกุฎ พระประธานในพระอุโบสถและพระพุทธชินสีห์ วิหารพระศาสดา พระเจดีย์ใหญ่ และพระตำหนักปั้นหยา สถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์และเจ้าฟ้าที่ทรงผนวช

การเดินทาง
วัดบวรนิเวศวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนบวรนิเวศและถนนพระสุเมรุ แขวงนิเวศ เขตพระนคร สามารถโดยรถประจำทาง สาย 10, 12, 56, 68



วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

9. วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
          คติ : เสริมสร้างความคิดอันเป็นสิริมงคล
          เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 3 ดอก


ประวัติ/ความเป็นมา
วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เป็นวัดสำคัญคู่มากับการสร้างกรุงเทพมหานคร เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดสะแก รัชกาลที่ 1 ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่โปรดให้ขุดคลองรอบพระอารามและพระราชทานนามว่า วัดสระเกศ จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งพระอารามและสร้างสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น พระบรมบรรพต หรือ ภูเขาทอง


     สิ่งสำคัญภายในวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้แก่ พระบรมบรรพต หรือ ภูเขาทอง ซึ่งสร้างเป็นพระปรางค์ในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่เกิดทรุดพังลง รัชกาลที่ 4 โปรดให้ซ่อมแซม โดยแปลงเป็นภูเขาและก่อพระเจดีย์ไว้บนยอด ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สร้างแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 5 นอกจากนี้ ภายในพระอุโบสถที่ภายในมีภาพเขียนจิตรกรรมฝีมือช่าง สมัยรัชกาลที่ 3 และหอไตร ศิลปะสมัยอยุธยา บานหน้าต่างเป็นลายรดน้ำ

การเดินทาง
วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บริเวณปากคลองมหานาค แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://travel.kapook.com/view8373.html
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ททท.
22178  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วินาทีระทึก! ตู้ปลาฉลามระเบิด! กลางห้างดัง (ชมคลิป) เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 11:23:41 am


วินาทีระทึก! ตู้ปลาฉลามระเบิด! กลางห้างดัง (ชมคลิป)

วันนี้ (27 ธ.ค. 2555) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุการณ์ตู้ปลาฉลามระเบิดในห้างสรรพสินค้า ‘เซี่ยงไฮ้ โอเรียนท์ ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์’ ในนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตู้ปลาแห่งนี้อยู่ตรงทางเข้าห้างและมีขนาดความจุ 30 ตัน เกิดระเบิดและแตกขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 15 รายจากเศษกระจกและแรงดันของน้ำ ขณะเดียวกันลูกค้าคนอื่นๆ ต่างก็หนีตายด้วยความตื่นตระหนก โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา





ด้านตำรวจกล่าวว่าผู้บาดเจ็บ 8 คนเป็นลูกค้า ส่วนที่เหลือเป็นพนักงานในห้างและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากถูกเศษกระจกซึ่งหนา 15 ซ.ม.บาดเป็นแผลและบางคนก็บาดเจ็บฟกช้ำ ซึ่งขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง


รายงานกล่าวว่าปลาฉลามเลมอน 3 ตัวและเต่าอีกหลายสิบตัวรวมทั้งปลาตัวเล็กๆ ที่อยู่ในตู้ก็ตกเป็นเหยื่อจากอุบัติเหตุครั้งนี้ด้วย แม้จะยังไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการถึงสาเหตุที่แท้จริง แต่ลูกค้าหลายรายเชื่อว่าน่าจะเกิดจากอุณหภูมิที่ลดลง และอากาศที่หนาวเย็นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงทำให้ตู้ปลาระเบิด




รายงานเพิ่มเติมกล่าวว่าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้วและมีชื่อเสียงมาก ก่อนหน้านี้เคยตรวจพบปัญหาที่ตู้ปลามาก่อน โดยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเกิดท่อน้ำแตกจนทำให้ฉลาม 2 ตัวและเต่าอีกหลายตัวเสียชีวิต

ด้านผู้จัดการของห้างแห่งนี้กล่าวว่า จะไม่มีการสร้างพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในห้างแห่งนี้ขึ้นใหม่ในอนาคต


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1356582079&grpid=&catid=06&subcatid=0600



เผยแพร่เมื่อ 30 ธ.ค. 2012 โดย nathaponson
22179  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรุแตก.! พบพระพิมพ์กว่า 800 องค์ เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 11:09:28 am

กรุแตก.! พบพระพิมพ์กว่า 800 องค์

ชาวเมืองสุพรรณบุรี แตกตื่นข่าวพบพระพิมพ์ต่างๆ ใต้ฐานพระประธาน อุโบสถมหาอุตม์ วัดขุนไกร ทั้งพระขุนแผนยอดขุนพล พระสมเด็จ งบน้ำอ้อย ฯลฯ

        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 ธ.ค. 55  ที่วัดขุนไกร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี มีการพบกรุพระแตกที่ใต้ฐานพระประธานในอุโบสถมหาอุตม์ ตรวจสอบพบพระพิมพ์ต่างๆ กว่า 800 องค์ ที่ทางวัดขุดขึ้นมาจากใต้ฐานพระประธาน อาทิ
        พระขุนแผนยอดขุนพล พระสมเด็จ งบน้ำอ้อย พระดินเผา
        นอกจากนี้ยังพบหอยเบี้ยที่ใช้แทนเงินในสมัยโบราณ ลูกปัด ภาชนะดินเผา ขันสัมฤทธิ์ กำไรเงิน-ทอง เศษทองคำแผ่น ที่ส่วนหนึ่งสภาพยังสมบูรณ์


        พระครูวิมลปริยัติกิจ เจ้าอาวาสวัดขุนไกร เจ้าคณะตำบลบางปลาม้า กล่าวว่า ที่อุโบสถหรือโบสถ์หลังดังกล่าว คาดว่ามีอายุราว 700-800 ปี เมื่อถึงหน้าน้ำท่วมจะถูกน้ำท่วมเป็นประจำ ทำให้ปฏิบัติกิจของสงฆ์ไม่ได้ จึงได้จ้างช่างมาทำการยกให้สูงขึ้น
        เมื่อขุดดินใต้ฐานพระประธานลึกลงไปประมาณ 1.50 เมตร จึงพบพระ เครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ
        ถูกฝังอยู่จำนวนมาก จึงทำการเก็บขึ้นมา เมื่อชาวบ้านทราบข่าวต่างเดินทางมาดูกันจำนวนมาก
        จนทางวัดต้องปิดอุโบสถไว้ชั่วคราว เพราะเกรงว่าชาวบ้านจะแอบลักลอบเข้าไปขุดหาพระที่คาดว่ายังมีอีกจำนวนมาก ภายในอุโบสถดังกล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121227/148175/กรุแตก!พบพระพิมพ์กว่า800องค์.html#.UOELIKzjrRd



เผยแพร่เมื่อ 30 ธ.ค. 2012 โดย nathaponson
22180  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'กทม.' ติดอันดับโลก.! น่าร่วมฉลองปีใหม่ เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 10:53:37 am



'กทม.' ติดอันดับโลก.! น่าร่วมฉลองปีใหม่
กรุงเทพฯ ติด 20 อันดับ เมืองที่น่ามาร่วมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มากที่สุดในโลก

      27 ธ.ค. 55  หลังจากผ่านพ้นช่วงเทศกาลคริสต์มาสไปแล้ว เทศกาลเฉลิมฉลองวันหยุดยาวของปี ยังเหลือวันสำคัญอีกหนึ่งวัน นั่นคือการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ทิ้งความทุกข์และโศกเศร้าของปีเก่าเพื่อเฉลิมฉลองการเริ่มต้นเข้าสู่ปี 2013 ที่มีทั้งการปาร์ตี้กันตามท้องถนน จุดพลุและการแสดงต่างๆ ซึ่งเว็บไซต์ข่าวฮัฟฟิงตัน โพสต์ ได้จัดอันดับ 20 สถานที่ยอดนิยมที่ดีที่สุดสำหรับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไว้ โดยมีกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย ติดอันดับด้วย

      อันดับแรกที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง คือ นครนิวยอร์ก ซิตี ที่คนทั่วโลกคอยที่จะเห็นลูกบอลยักษ์ร่วงลงมาที่จตุรัสไทม์ สแควร์ ซึ่งเป็นประเพณีที่จัดกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1907 ลูกบอลยักษ์ระยิบระยับ ส่องสว่างด้วยแสงไฟแอลอีดี น้ำหนักกว่า 5,300 กิโลกรัม จะถูกหย่อนลงมาอย่างช้าๆ ในทุกๆ ปี จากยอดเสาธงบนยอดตึก วัน ไทม์ สแควร์ หรือ ตึกนิวยอร์คไทม์

      การนับถอยหลังที่ไทม์สแควร์ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในปาร์ตี้แสงสีที่สุดของโลก ดึงดูดคนมาร่วมนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ได้ปีละเป็นล้านคน และถ่ายทอดสดไปยังสายตาชาวโลกอีกหลายล้านคน ส่วนคนที่อยากหนีความจอแจ ก็สามารถจองโต๊ะฉลองแบบเรียบง่ายได้ตามบาร์หรือร้านอาหาร หรือไม่ก็ล่องเรือสำราญที่่ท่าเรือนิวยอร์ก เพื่อชมวิวสวยๆ ดูพลุไฟยามเที่ยงคืนที่จุดบนเกาะลิเบอร์ตี้ก็ได้

      กรุงปารีส เป็นนครที่น่าฉลองส่งท้ายปีเก่าเป็นอันดับที่ 2 สมฉายา เมืองแห่งแสงสี " ซิตี้ ออฟ ไลท์ส์ " จากการจุดพลุหลากสี และคนอีกหลายพันที่ออกไปปาร์ตี้สุดเหวี่ยงตามถนน บาร์และไนท์คลับ ในย่านนูแวลล์ อานน์ หอไอเฟลเป็นศูนย์กลางของการแสดงแสงสีและพลุไฟ ส่วนบริเวณรอบฌองส์ เอลิเซ่ ก็ถูกปลุกให้มีชีวิตชีวาด้วยปาร์ตี้กลางถนน และที่ขาดไม่ได้คือสินค้าส่งออกยอดนิยมของฝรั่งเศสอย่าง แชมเปญ ที่จะถูกเปิดฉลองกันอย่างไม่อั้น แต่ถ้าไม่ชอบฝูงชน ก็สามารถเลี่ยงไปดูพลุไฟสวยๆ ในย่านศิลปะ มงมาตร์ หรือลงเรือสำราญล่องแม่น้ำแซน หรือจะไปเยือนย่านบันเทิงยามราตรีชื่อกระฉ่อนอย่างมูแรง รูจ ก็ได้

        อันดับที่ 3 คือหนึ่งในเมืองหลวงของยุโรป อย่างลอนดอน ที่แน่นอนว่า จะมีคนมากกว่า 2 แสน 5 หมื่นคน หลั่งไหลกันไปอยู่ในเรือและริมฝั่งแม่น้ำ เธมส์ ที่แวดล้อมไปด้วยบาร์และร้านอาหารสัญลักษณ์ของการส่งท้ายปีเก่า จะเริ่มต้นการเฝ้าดูเข็มนาฬิกาบิ๊กเบนเดินไปที่เวลาเที่ยงคืนตามด้วยการต้อนรับปีใหม่ด้วยการแสดงแสงสีเสียง และพลุ โดยเฉพาะลอนดอน อาย , อาคารรัฐสภาและวิหารเวสต์มินสเตอร์ สัญลักษณ์ที่เป็นสีสันอีกอย่างหนึ่งคือ ขบวนพาเหรดใจกลางกรุงลอนดอน วงโยธวาทิต ขบวนเรือ ขบวนแห่/เต้นรำ และการแสดงบังคับม้าในองค์สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2



เผยแพร่เมื่อ 30 ธ.ค. 2012 โดย nathaponson

      ส่วนเมืองที่เหมาะกับการส่งท้ายปีเก่าที่เหลือ ได้แก่ ฮาวาย, ลาสเวกัส, ออร์ลันโด และนิวออร์ลีนส์ของสหรัฐ เวียนนาของออสเตรีย เมลเบิร์น และซิดนีย์ของออสเตรเลีย วิสต์เลอร์ และโตรอนโตของแคนาดา เอดินเบิร์กของสก็อตแลนด์ เบอร์ลินของเยอรมนี เรคจาวิคของไอซ์แลนด์ ริโอ เดอ จาเนโร ของบราซิล บาร์เซโลน่าของสเปน เคปทาวน์ของแอฟริกาใต้ ฮ่องกง เขตปกครองพิเศษของจีนแผ่นดินใหญ่ และกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย

        เป็นที่น่าสังเกตว่า มีเพียงฮ่องกงกับไทยเท่านั้น ที่เป็นดินแดนที่น่าฉลองการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มากที่สุดในโลกที่อยู่ในเอเชีย โดยฮ่องกงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเป็นอันดับที่ 16 ในฐานะที่ขึ้นชื่อในเรื่องศิลปะการทำดอกไม้ไฟ และพลุ ศูนย์กลางของการเริ่มต้นนับถอยหลังส่งท้ายปีเก่าจะอยู่ที่ ไทม์สแควร์ ช็อปปิ้ง มอลล์ ของฮ่องกง ที่จะมีการจำลองลูกบอลยักษ์ให้หย่อนลงมาแบบเดียวกับที่ไทม์สแควร์ของนิวยอร์ก และเสียงนับเวลาถอยหลังจะดังสะท้อนท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือท่าเรือวิคตอเรีย ก่อนจะมีการจุดพลุอย่างตระการตาเหนือน้ำ ซึ่งสามารถชมได้ทั้งทางเรือ หรือจากบนที่สูง และที่ขาดไม่ได้คือการแสดงการเชิดมังกร ตามประเพณี

        ส่วนที่กรุงเทพฯ ที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงเป็นอันดับที่ 19 เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวแบบแบกเป้นั้น ไล่เลียงตั้งแต่ย่านทองหล่อจนถึงข้าวสาร บาร์และไนท์คลับทุกแห่งในกรุงเทพฯ ล้วนแต่เป็นแดนสวรรค์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในวันที่ 31 ธันวาคม คนไทยและคนต่างชาติจะไปรวมตัวกันเพื่อฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันที่เซ็นทรัลเวิลด์ ที่จะมีคนหลายแสนหลั่งไหลไปดูไฟ และการแสดงคอนเสิร์ต ก่อนจะร่วมกันนับถอยหลังตอนเที่ยงคืน โดยมีจอโปรเจคชั่นขนาดยักษ์ถ่ายทอดการเฉลิมฉลองจากทั่วโลกด้วย พร้อมกับการจุดพลุตามริมแม่น้ำ และลานเบียร์ตามถนน

ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121227/148169/กทม.ติดอันดับโลก!น่าร่วมฉลองปีใหม่.html#.UOEJJKzjrRd
22181  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / Re: เชิญดาวน์โหลด "เสียงสวดคาถาพญาไก่เถื่อน ๑๐๘ จบ" เมื่อ: ธันวาคม 30, 2012, 11:20:54 am

              คาถาพญาไก่เถื่อน ๑๐๘ จบ_0001.flv
              คาถาพญาไก่เถื่อน ๑๐๘ จบ_0001.mp3
   
         ขั้นตอนการดาวน์โหลด
         ๑. คลิกที่หัวข้อด้านบน เพื่อเลือก flv(ภาพและเสียง) หรือ mp3(เสียง)
         ๒. จากนั้นจะปรากฏเป็นจอภาพขึ้นมา (เป็นเว็บ www.4shared.com)
             ให้คลิกที่คำว่าดาวน์โหลด ซึ่งอยู่ด้านล่างจอภาพ
         ๓. จะปรากฏตารางให้ลงทะเบียน (ลงง่าย) ต้องลงทะเบียนเป็นสมาชิกก่อน จึงจะดาวน์โหลดได้


 
         "หูฟัง ใจสงบ ตาเป็นทิพย์".....คำสอนหลวงปู่สุก

             ขอแนะนำให้ใช้ หูฟังแบบครอบหัว (head phone) แล้วน้อมนำคาถานี้ลงใส่จิต
         ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม


:25: :25: :25: :s_good: :s_good: :s_good: :25: :25: :25: :s_good: :s_good: :s_good:
22182  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / เชิญดาวน์โหลด "เสียงสวดคาถาพญาไก่เถื่อน ๑๐๘ จบ" เมื่อ: ธันวาคม 30, 2012, 11:18:16 am

เผยแพร่เมื่อ 25 ธ.ค. 2012 โดย nathaponson


"เสียงสวดคาถาพญาไก่เถื่อน ๑๐๘ จบ" มอบเป็นของขวัญปีใหม่..ขอรับ
     
          เสียงสวดนี้เป็นเสียงของพระอาจารย์สนธยา ธัมมวังโส และคณะศิษย์ สวดที่วัดแก่งขนุน สระบุรี
          ขอขอบพระคุณเจ้าของภาพประกอบทุกท่าน โดยเฉพาะภาพเหล่านี้






22183  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ลองเครื่องยานอวกาศทัศนาจรได้ที่ พาขึ้นไปเที่ยวอวกาศคนละ 6 ล้าน เมื่อ: ธันวาคม 28, 2012, 10:50:04 am


ลองเครื่องยานอวกาศทัศนาจรได้ที่ พาขึ้นไปเที่ยวอวกาศคนละ 6 ล้าน

ยานอวกาศสร้างขึ้นโดยบริษัทเอกชนของริชาร์ด เบนสัน ประสบความสำเร็จในการทดสอบ พร้อมที่จะพานักท่องเที่ยวเดินทางไปทัศนาจรอวกาศแล้ว

ยานอวกาศซึ่งมีชื่อว่า “สเปซชิฟ 2” ได้ขึ้นบินทดลอง โดยการปล่อยจากยานลำแม่ และสามารถร่อนลงบนทางวิ่งของท่าอวกาศยาน ในรัฐแคลิฟอร์เนีย นายจอร์ต ไวต์ไนท์ ผู้บริหารบริษัทประกาศว่า “ความสำเร็จในวันนี้ นับเป็นก้าวใหญ่ไปสู่การเดินทางในอวกาศ เที่ยวแรก”

ยานอวกาศ “สเปซชิป 2” เป็นยานอวกาศใช้เครื่องยนต์พันทาง สร้างขึ้นเพื่อพาผู้โดยสาร 6 คนและนักบิน 2 คน เดินทางขึ้นไปถึงขอบอวกาศ ไม่ได้โคจรรอบโลกจนครบรอบ ตั้งราคาเดินทางไว้คนละ 6 ล้านบาท.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/316113
22184  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คิดสูตรชะลอความแก่ขึ้นได้สำเร็จ ทดลองกับฝูงหนูได้ผลดีมาแล้ว เมื่อ: ธันวาคม 28, 2012, 10:47:14 am



คิดสูตรชะลอความแก่ขึ้นได้สำเร็จ ทดลองกับฝูงหนูได้ผลดีมาแล้ว

นักวิทยาศาสตร์ในฮ่องกงกำลังคิดสูตร เพื่อชะลอความแก่ในหนูขึ้นได้ โดยหวังว่าจะนำมาใช้กับคนสำเร็จ

วารสารการแพทย์ “การเผาผลาญอาหารของเซลล์” เปิดเผยว่า พวกเขาได้ใช้ผลการศึกษาเรื่องโรคแก่เกินวัยอันเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ ซึ่งจะเป็นกับเด็กใน 4 ล้านคน สัก 1 คน

โรคนี้จะเป็นกับเด็กที่ก่อนอายุได้ขวบหนึ่งดี แม้ว่าสติปัญญาจะคงปกติ แต่ร่างกายไม่เติบโตขึ้นกลับสูญเสียไขมัน ผิวหนังเหี่ยวย่นและผมร่วง เหมือนกับคนแก่ ข้อก็จะแข็งติด เกิดคราบจับหลอดเลือด ซึ่งทำให้เป็นโรคหัวใจและลมอัมพาต ส่วนใหญ่มักตายก่อนอายุได้ 20 ปี

นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยฮ่องกงได้พบในการศึกษาครั้งนั้นว่าโปรตีนลามิน เอ ซึ่งอยู่ในแกนกลางของเซลล์มนุษย์ ได้ไปก่อกวนขบวนการซ่อมแซมในเซลล์ เป็นเหตุให้แก่ตัวอย่างรวดเร็ว

พวกเขาได้ศึกษากับหนูทดลองต่อมา พบว่าโปรตีนลามิน เอ ที่ปกติจะผูกพันกับยีน “เอไออาร์ที 1” ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า  มันเชื่อมโยงกับการมีอายุยืน ศาสตราจารย์ชีวเคมี นายหลิง เบาฮั้ว กล่าวว่า เราสามารถจะทำยาซึ่งเลียนลามิน เอ หรือผูกพันกับ “เอไออาร์ที 1” ให้แนบแน่นขึ้นได้

จากการทดลองกับหนูที่เป็นโรคแก่เกินวัย เมื่อป้อนให้กินสารในผลองุ่นเข้มข้น ปรากฏว่าพวกมันสามารถอายุยืนขึ้นอีกร้อยละ 30

แต่เมื่อถามว่า การดื่มไวน์แดงจะช่วยชะลอความแก่และลดอันตรายของโรคหัวใจหรือไม่ อาจารย์ซู จงจุน กล่าวว่า “แอลกอฮอล์ในเหล้าไวน์ จะก่ออันตรายให้ ก่อนที่จะทันได้คุณประโยชน์”.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/316112
22185  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "รับแสงแรก" บน "ภูมโนรมย์" มุกดาหาร เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 07:24:32 pm


รับแสงแรกบนภูมโนรมย์

อบจ.มุกดาหาร ชวนชมพระอาทิตย์ขึ้นรับปีใหม่บนภูมโนรมย์ พร้อมยลทัศนียภาพอันสวยงามของฝั่งไทย-ลาว

      วันนี้ (27ธ.ค.)  นางมลัยรัก ทองผา นายก อบจ.มุกดาหาร เผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ขอเชิญชวนให้ประชาชนมาเที่ยวพักผ่อน ที่เขามโนรมย์ ซึ่งทาง อบจ. ได้ปรับปรุงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ มีจุดเด่นหลายอย่างทั้งศาลาชมวิว น้ำตก 7 ชั้น สวนไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาว

      และยังจะได้กราบรอยพระพุทธบาทจำลอง ชมความงามของยอดภู พร้อมทั้ง ทัศนียภาพของตัวเมืองมุกดาหาร หอแก้วมุกดาหาร แม่น้ำโขง สะพานมิตรภาพไทย ลาวแห่งที่ 2 มุกดาหาร และ แขวงสะหวันนะเขต (สสป.ลาว)  นอกจากนี้นักท่องเที่ยวผู้มาเยือนก็จะสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าอย่างสวยงาม ต้อนรับวันแรกของปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงอีกด้วย












ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/174819
22186  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 500 วัด..เมืองกรุงเก่า "สวดมนต์ข้ามปี" เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 07:17:32 pm



500 วัด..เมืองกรุงเก่า "สวดมนต์ข้ามปี"

กรุงเก่าจัดงานยิ่งใหญ่ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ระดม500วัดสวดมนต์ข้ามปี ขอพรคุณพระให้ชีวิตมีความสุขเจริญก้าวหน้า

วันนี้ (27ธ.ค.) นายวิทยา ผิวผ่อง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ระหว่างวันที่ 31 ธ.ค.2555 ถึงวันที่ 1 ม.ค. 2556 ทางจังหวัด ได้ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด และวัดกว่า 500 แห่งในพื้นที่ จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ในบรรยากาศเรียบง่าย สงบสุข ร่มเย็นเป็นกุศล อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี และปลอดจากอบายมุข ซึ่งจะมีประชาชนเข้าร่วมปฏิบัติธรรม สวดมนต์ นั่งสมาธิ เจริญจิตภาวนา และทำบุญตักบาตร

ส่วนที่วัดกษัตราธิราชวรวิหาร อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา พระราชธานินทราจารย์ เจ้าอาวาส  กล่าวว่า ทางวัดได้จัดสวดมนต์ข้ามปีในพระอุโบสถ หากประชาชนเดินทางมากันมากทางวัดได้จัดเตรียมสถานที่ให้นั่งรอบพระอุโบสถ
     โดยพิธีจะเริ่มตั้งแต่เวลา 23.00 น.
     ใช้บทสวดเจริญพระพุทธมนต์ มงคลสูตร

     เพื่อขอพรให้ชีวิตมีความสุขเจริญก้าวหน้า
     ทั้งนี้ทางวัดจะแจกน้ำพระพุทธมนต์ที่สวดข้ามคืนและวัตถุมงคลให้กับประชาชนที่มาร่วมพิธีด้วย.




ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/174850
22187  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ไอซีทีเดินสายเปิด Free Wi Fi...ทั่วกรุง เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 07:09:28 pm


ไอซีทีเดินสายเปิดฟรี ไว-ไฟ ทั่วกรุง

ไอซีทีจับมือกระทรวงคมนาคมติดตั้ง ไว-ไฟ ฟรี พื้นที่หมอชิต 2 อำนวยความสะดวกผู้เดินทางช่วงปีใหม่ พร้อมให้บริการผู้โดยสารท่าเรือกว่า 16 จุด ทั่วกรุงเทพฯ


วันนี้ (26 ธ.ค.) ที่อาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯหมอชิต 2 ถนนกำแพงเพชร 2 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที ) กระทรวงคมนาคม และบริษัท ขนส่ง จำกัด ร่วมกันเปิดโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง “Smart Station Smart Thailand” ให้แก่ประชาชนภายในสถานีขนส่งสามารถใช้งานฟรี ไว-ไฟ ดำเนินการโดย บริษัท ที โอที จำกัด (มหาชน) หรือ ทีโอที ซึ่งได้ติดตั้งอุปกรณ์กระจายสัญญาณ 200 จุดรองรับการใช้งานได้ 1,500 คน

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที  เปิดเผยว่า การดำเนินนี้เป็นโครงการนำร่องเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่
    ก่อนที่จะขยายไว-ไฟ ฟรี ให้ครอบคลุม 100 แห่งทั่วประเทศภายในปี2556   
    ในขณะที่ไอซีทีตั้งเป้าขยายพื้นที่การให้บริการไว-ไฟ ฟรีอีก 3 แสนจุด ภายใน 5 ปี
    เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ 77  จังหวัด


ขณะเดียวกันไอซีทียังได้เปิดโครงการ “MOT ฟรี ไว ไฟ บริเวณท่าเรือแม่น้ำเจ้าพระยา ”  16 จุดทั่วกรุงเทพ อาทิ ท่ากรมเจ้าท่า , ท่าดินแดง , ท่าช้าง , ท่าสี่พระยา , ท่าโอเรียนเต็ล  ,ท่าสาทร 2 แห่ง , ท่าน้ำนนท์ , ท่าพายัพ , ท่าสะพานกรุงธน , ท่าเทเวศน์  , ท่าพระปิ่นเกล้า , ท่าพรานนก , ท่าราชวงศ์ และท่าสาธุประดิษฐ์ โดยได้รับความร่วมมือในการติดตั้งจุดกระจายสัญญาณจาก บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)

    สำหรับการใช้งาน ฟรี ไว-ไฟ ของกระทรวงไอซีที ประชาชนสามารถดูสัญลักษณ์ได้ตามสถานที่ให้บริการ โดยเริ่มต้นเปิดอุปกรณ์ที่รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต
    และค้นหาสัญลักษณ์ @ ICT Free Wi Fi  by TOT และ MOT Free Wi Fi 
    ก่อนเปิดการใช้งานโดยใช้งานได้วันละ 2 ชั่วโมง
    แบ่งการใช้งานครั้งละ 20 นาทีเพื่อให้ประชาชนใช้งานอย่างทั่วถึง.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/technology/174674
22188  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / 10 ข่าวใหญ่ของ "วงการไอทีปี 2012" เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 07:04:56 pm


10 ข่าวใหญ่ของ "วงการไอทีปี 2012"

เนื่องในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ผมก็อยากสรุปเหตุการณ์สำคัญของโลกไอทีในปี 2012 เลือกมา 10 เหตุการณ์ เรียงตามลำดับดังนี้ครับ...

อันดับ 10 ซีอีโอหญิงของยาฮู
เริ่มต้นจากบริษัทที่โลกลืมอย่างยาฮู อดีตยักษ์ไอทีที่เงียบเหงาไปมากในช่วงหลัง
หลังจากยาฮูประสบปัญหาเรื่องการแต่งตั้งซีอีโอเพื่อกู้วิกฤติของบริษัทอยู่พักใหญ่ (เพราะซีอีโอคนก่อนหน้านี้ถูกจับได้ว่าปลอมวุฒิการศึกษา) ในที่สุดบริษัทก็หาทางออกได้สำเร็จ โดยชิงตัวมาริสสา เมเยอร์ (Marissa Mayer) วิศวกรหญิงของกูเกิลและหญิงเก่งแห่งวงการไอทีมานั่งเป็นซีอีโอได้แบบช็อกวงการ



นับจากวันนั้นถึงวันนี้ มาริสสายังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แม้ว่าเธอจะเข้าไปเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรของยาฮูหลายอย่าง แต่กระบวนการเปลี่ยนผ่านย่อมต้องใช้เวลา และเราคงต้องติดตามกันต่อไปว่าเธอจะสามารถ “ปลุกผี” ให้ยาฮูกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้หรือไม่

อันดับ 9 ข่าวประท้วงกฎหมาย SOPA
ข่าวต่างประเทศที่น่าสนใจในปีนี้คือความเคลื่อนไหวของเว็บไซต์และบริษัทไอทีต่างๆ คัดค้านกฎหมายลิขสิทธิ์ออนไลน์ของสหรัฐที่เรียกกันย่อๆ ว่า SOPA ซึ่งเว็บดังหลายแห่งก็ประกาศ “จอมืด” ทำหน้าเว็บเป็นสีดำเพื่อประท้วงร่างกฎหมายฉบับนี้



SOPA เป็นความพยายามของบริษัทสื่อดนตรี-ภาพยนตร์ในสหรัฐฯ ที่ต้องการผลักดันมาตรการทางกฎหมายแก้ปัญหาเนื้อหาละเมิดลิขสิทธิ์บนโลกออนไลน์ ในขณะที่บริษัทไอทีกลับมองว่าเป็นการคุกคามเสรีภาพของอินเทอร์เน็ต ซึ่งสุดท้ายกระแสคัดค้าน SOPA ได้ผล และร่างกฎหมายนี้ก็ถูกผลักตกไป

อันดับ 8 ยุทธศาสตร์ Google Nexus
ยักษ์ใหญ่ของโลกออนไลน์อย่างกูเกิล ปีนี้ไม่มีข่าวใหญ่เด่นๆ เหมือนกับที่ปีก่อนประกาศเข้าซื้อโมโตโรลา แต่ก็มีความเคลื่อนไหวขนาดย่อยๆ มากมาย (คนที่ติดตามข่าวไอทีน่าจะรู้ว่ากูเกิลมีข่าวทุกสัปดาห์ บางสัปดาห์แทบจะทุกวันด้วยซ้ำ)



ข่าวของกูเกิลที่ผมเห็นว่าสำคัญที่สุดในปีนี้คือการปรับยุทธศาสตร์ฮาร์ดแวร์ Google Nexus เสียใหม่ จากเดิมที่ออกโทรศัพท์มือถือแบรนด์ Nexus ปีละรุ่น ก็หันมาออกสินค้าประเภทอื่นๆ อย่างแท็บเล็ตด้วย แถมยังจับมือกับบริษัทฮาร์ดแวร์หลายรายร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนานกันไป ซึ่งปีนี้กูเกิลมีผลิตภัณฑ์ Nexus ที่สำคัญ 3 รุ่น ตั้งชื่อตามขนาดหน้าจอ ได้แก่ Nexus 4 (แอลจี) Nexus 7 (เอซุส) และ Nexus 10 (ซัมซุง)

ประเด็นที่น่าสนในคือเรื่อง “ราคา” เพราะกูเกิลตั้งราคาขายถูกมาก แท็บเล็ต Nexus 7 มีราคาต่ำกว่าหนึ่งหมื่นบาทด้วยซ้ำ ซึ่งการตั้งราคาแบบนี้จะกดดันให้มือถือ-แท็บเล็ตปี 2013 มีราคาถูกลงจากเดิมอีกมากเช่นกัน

อันดับ 7 คดีระหว่างแอปเปิลกับซัมซุง
ต้องย้ำก่อนนะครับว่าแอปเปิลกับซัมซุงมีคดีฟ้องร้องกันทั่วโลกเยอะมาก นับรวมได้หลายสิบคดี แต่ในปีนี้เราเห็นคดีสำคัญคดีหนึ่งคือการฟ้องร้องในสหรัฐฯ คณะลูกขุนตัดสินให้แอปเปิลชนะซัมซุง และกำหนดค่าเสียหายให้ซัมซุง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ



ย้ำอีกรอบว่าคดีนี้ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด เพราะคณะลูกขุนตัดสินแล้วแต่ผู้พิพากษายังไม่ฟันธง (ศาลอเมริกาใช้ระบบลูกขุน ซึ่งต่างไปจากศาลไทย) และสองบริษัทนี้ก็ผลัดกันแพ้ชนะในคดีอื่นๆ ที่กระจายฟ้องกันไปมาทั่วโลก

อันดับ 6 ปัญหาแผนที่ Apple Maps
นานทีปีหนเราจะเห็นแอปเปิลทำอะไรพลาดครั้งใหญ่ และแผนที่ Apple Maps ที่ออกมาพร้อม iOS 6 ก็เป็นกรณีศึกษาคลาสสิกอีกกรณีหนึ่ง



เดิมทีแอปเปิลใช้ข้อมูลแผนที่จากกูเกิลกับแอพแผนที่ของตัวเอง แต่เมื่อสองบริษัทนี้ทะเลาะกัน แอปเปิลจึงพยายามสลายอิทธิพลของกูเกิล และผลออกมาเป็นการทำระบบแผนที่ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม งานนี้แอปเปิล “ท่าดี” แต่ “ทีเหลว” เพราะเปิดตัวระบบแผนที่ในขณะที่ข้อมูลยังไม่สมบูรณ์เอามากๆ จนโดนวิจารณ์อย่างหนัก

แอปเปิลต้องแก้เกมโดยให้ซีอีโอออกมาขอโทษอย่างเป็นทางการ และมีข่าวว่าปลดพนักงานระดับสูงบางตำแหน่งเนื่องจากล้มเหลวกับยุทธศาสตร์ด้านแผนที่


อันดับ 5 ไอโฟน 5
ถึงแม้แท็บเล็ตจะกลายเป็นอุปกรณ์ไอทีที่ได้รับความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายถ้าต้องมาวัดกันแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ยังให้ความสำคัญกับ “สมาร์ทโฟน” มากกว่า เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลา และราชาแห่งโลกสมาร์ทโฟนย่อมหนีไม่พ้น “ไอโฟน” ของแอปเปิล



ข่าวการเปิดตัวไอโฟน 5 จึงได้รับการจับตามองอย่างสูงมาตลอดปี และแอปเปิลเองก็ไม่สร้างความผิดหวังให้กับแฟนๆ เพราะเปิดตัว “ไอโฟน 5” ที่เป็นการปรับรุ่นครั้งใหญ่ (ต่างไปจาก ไอโฟน 4S ที่เป็นการปรับรุ่นย่อย) มีการเปลี่ยนแปลงระดับฐานรากไปจนถึงขนาดของตัวเครื่องที่ยาวขึ้นกว่าเดิม

ไอโฟน 5 ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทั่วโลก ถึงแม้ว่าส่วนแบ่งตลาดในภาพรวมจะเสียแชมป์ให้กับแอนดรอยด์ไปนานแล้วก็ตาม


อันดับ 4 กสทช. จัด ประมูลคลื่น 2100MHz
ข่าวใหญ่อันดับสี่ขอยกให้เป็นข่าวของเมืองไทย นั่นคือการจัดประมูลคลื่น 2100MHz ของ กสทช. เพื่อให้บริการ 3G ที่รอคอยกันมานานแสนนาน



การประมูลคลื่น 3G มีเรื่องราวยิบย่อยมากมายซึ่งปรากฏตามหน้าสื่ออยู่แล้ว คงไม่ต้องเล่าซ้ำให้เปลืองพื้นที่ สถานการณ์ล่าสุดตอนนี้ กสทช. ออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการทั้งสามรายแล้ว และเราจะเห็นบริการ 3G อย่างเป็นทางการในปีหน้า

อันดับ 3 เฟซบุ๊กซื้ออินสตาแกรม
ในสายตาของผมแล้ว แอพมือถือที่โดดเด่นที่สุดในปี 2012 มี 2 ตัวคือ อินสตาแกรม (Instagram) และ ไลน์ (LINE)

กรณีของไลน์ถือเป็นแอพที่ได้รับความนิยมสูงมากในประเทศไทย แต่ตัวผลิตภัณฑ์และบริษัทเองกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ ให้เห็นมากนัก (ข่าวเล็กๆ มีเยอะ เช่น แอพเวอร์ชั่นใหม่ สติกเกอร์ใหม่ เกมใหม่ ฯลฯ)



ในขณะที่อินสตาแกรมเต็มไปด้วยข่าวใหญ่ๆ โตๆ เช่น การออกแอพเวอร์ชั่นแอนดรอยด์ จากเดิมที่มีเฉพาะบนไอโฟนเท่านั้น จนมี “ดราม่า” เกิดขึ้นระหว่างผู้ใช้ไอโฟนกับแอนดรอยด์ไปเสียอย่างนั้น

แต่ข่าวใหญ่จริงๆ คือการขายกิจการให้เฟซบุ๊กด้วยมูลค่าในขณะนั้นสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ (ภายหลังตัวเลขจริงๆ ลดลงเพราะหุ้นเฟซบุ๊กตก) ถือเป็นตัวอย่างของ “ความสำเร็จ” ครั้งใหญ่แห่งวงการผู้สร้างแอพมือถือ ที่สามารถสร้างแอพดีมีคุณภาพ ถูกใจตลาดมีผู้ใช้จำนวนมหาศาล แถมยังขายทำเงินร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีได้อีก


อันดับ 2 เฟซบุ๊กเข้าตลาดหุ้น
หลังจากรอกันมานานหลายปี และแล้ว โซเชียลเน็ตเวิร์กอันดับหนึ่งของโลกก็เข้าขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แนสแดกของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นจุดสูงสุด (และอาจเป็นจุดสิ้นสุด) ของความเคลื่อนไหวที่เรียกว่า “เว็บ 2.0” ซึ่งก่อตัวขึ้นในวงการไอทีเมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน



เว็บ 2.0 เป็นชื่อเรียกเว็บแนวใหม่ที่เน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้งาน กระแสเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นราว ปี 2005-2006 โดยเว็บดังๆ ในปัจจุบันอย่างทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ยูทูบ ต่างเกิดขึ้นและเติบโตในช่วงเวลาเดียวกันนี้ แน่นอนว่ามีบางเว็บล้มหายตายจากไป บางเว็บถูกรายใหญ่ซื้อกิจการ แต่หัวหอกของกระแสเว็บ 2.0 ย่อมหนีไม่พ้น “เฟซบุ๊ก” ที่นำมาเป็นอันดับแรกในเรื่องจำนวนผู้ใช้และความสำคัญ การเข้าขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จึงเป็นสัญญาณว่าเฟซบุ๊กเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว

ผมขอแถมประเด็นเรื่องหุ้นเฟซบุ๊กตกหนักในช่วงแรกๆ ว่าเป็นเพราะความคาดหวังของนักลงทุนที่มีมากเกินไป ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เฟซบุ๊กถูกมองว่าเป็น “พระเจ้า” ของโลกไอที ทำอะไรก็ถูกไปหมด แถมยังมีภาพยนตร์อย่าง The Social Network ช่วยดันกระแส ทำให้เมื่อขายหุ้นจริง ผลประกอบการยังไม่โตเร็วเท่าที่นักลงทุนคาดหวัง หุ้นจึงตกหนักดังที่เห็น (ล่าสุดก็เริ่มไต่ระดับกลับมาดีบ้างแล้ว)


อันดับ 1 เปิดตัววินโดวส์ 8
ผมยกตำแหน่ง “ข่าวใหญ่ที่สุดของวงการไอทีปี 2012” ให้พี่เบิ้มของวงการอย่างไมโครซอฟท์ ที่ทุ่มทั้งบริษัทเปิดตัวระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 เดิมพันชะตาชีวิตในอนาคต ถ้าถามว่าทุ่มเทขนาดไหน? ก็ถึงขนาดว่าไมโครซอฟท์ยอมเปลี่ยนโลโก้บริษัทและโลโก้ผลิตภัณฑ์สำคัญๆ ทั้งหมด ยกชุดรับงานนี้เลยทีเดียว



การเปิดตัววินโดวส์ 8 ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์หรือซอฟต์แวร์เพียงตัวเดียว แต่เป็นการประกาศจุดเปลี่ยนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของบริษัทด้วย เปลี่ยนจากบริษัทที่เคยขายซอฟต์แวร์ หันมาขายฮาร์ดแวร์เซอร์เฟซ และเน้นบริการออนไลน์แบบเช่าใช้งานมากขึ้น ซึ่งยุทธศาสตร์นี้จะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ต้องติดตามดูกันในระยะยาวๆ สัก 2-3 ปีครับ.


เผยแพร่เมื่อ 12 ธ.ค. 2012 Microsoft

From Windows 8 to Surface to 'Halo 4,' 2012 was a momentous year for Microsoft. See how Microsoft is building its devices and services foundation for the year to come.


มาร์ค Blognone

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/tech/315894
22189  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "ไทม์" จัดอันดับ "สุดยอดสิ่งประดิษฐ์ ปี 55" เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 06:34:50 pm


"ไทม์" จัดอันดับ "สุดยอดสิ่งประดิษฐ์ ปี 55"

เปิดโฉมสุดยอดสิ่งประดิษฐ์-ที่สุด แห่งนวัตกรรมยุคใหม่ ที่เจ๋งสุดๆ ตลอด ทั้งปี 2555 คัดเลือกตามระดับมูลค่าของ สิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวโดยฝ่ายข่าวเทคโนโลยี กองบรรณาธิการนิตยสารไทม์ สิ่งพิมพ์แถวหน้าของสหรัฐอเมริกา "ข่าวสดหลาก& หลาย" รวบรวมข้อมูลและรูปภาพเกือบทั้งหมดมารายงานไว้ ณ ที่นี่แล้ว!



กลั่นจากมันสมองล้วนๆ สร้างหมู่เมฆในสถานที่ปิด
กลุ่มเมฆที่เห็นอยู่ในห้องในภาพนี้ ไม่ได้มีต้นตอจากโปรแกรม "แต่งภาพ" แต่ถือกำเนิดขึ้นจากความมานะพยายาม รวมทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมอย่างเฉียบขาวของ "เบอร์นอต สมิลด์" ศิลปินชาวดัตช์ ซึ่งใช้วิธีควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และสภาพแสงภายในห้องเพื่อให้เหมาะกับการก่อตัวของเมฆโดยเฉพาะ

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็ใช้เครื่องปล่อยควัน พ่นคว้นเข้าไป แทบไม่กี่วินาทีมันก็จะแปรสภาพกลายเป็น "เมฆ" ขึ้นมาในบัดดล





ไอเดียแจกฟรี จนถึงราคาขาย 150 ดอลลาร์ (4,500 บาท)

-1-The Civilization Starter Kit : ตำราสร้างอุปกรณ์และเครื่องจักรสำคัญสำหรับการดำรงชีวิต
นายมาร์ซิน ยาคูบาวสกี เกษตรกรและนักเทค โนโลยี ผู้ก่อตั้งบริษัทโอเพ่น ซอร์ส เทคโนโลยี สละเวลาและทุนทรัพย์ เพื่อค้นคว้าวิธีการสร้างเครื่อง จักรสำคัญๆ 50 ชนิด ที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพของมนุษย์ โดยจัดทำเป็นรูปแบบตำราศึกษาฟรีออนไลน์ เน้นการผลิตเครื่องจักรทั้งหลายแหล่ด้วย "ต้นทุนต่ำที่สุด" เพื่อให้ใครๆ ก็มีไว้ในครอบครองได้ เช่น ตำราการสร้างรถแทรกเตอร์ด้วยตัวเองภายใน 6 วัน เป็นต้น

-2-The Motion-Activated Screwdriver : ไขควงปรับทิศทางการหมุนตามการเคลื่อนไหว
ผลิตภัณฑ์ "4v MAX Gyro" ของแบล็กแอนด์เดกเกอร์ เป็นไขควงตัวแรกของโลกที่ปรับทิศทางการหมุนตามทิศทางการเคลื่อนไหวของ "ข้อมือ" เช่น เมื่อเอียงไขควงราวๆ 1 นิ้วไปทางขวา ตัวหัวไขควงก็จะหมุนไปตามเข็มนาฬิกา แต่ถ้าเอียงมาฝั่งซ้ายก็จะหมุนทวนเข็มนาฬิกาโดยอัตโนมัติ

-3-LiquiGlide : ลิควิ ไกลด์
5 นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีแห่งรัฐแมสซาชูเส็ตต์ สหรัฐ และศ.กฤษพา วาราณสี ร่วมกันคิดค้นนำเอา "พืช" มาสร้างเป็น "ลิควิ ไกลด์" สารเคลือบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งแก้ว เซรามิก เหล็ก พลาสติก โดยสารดังกล่าวมีคุณสมบัติ ทำให้พื้นผิวที่ถูกเคลือบด้วยสารตัวนี้มีความ "ลื่น" สูงสุด จึงไม่มีอะไรที่จะเกาะติดอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้
ยกตัวอย่างเช่น ขวดซอสมะเขือเทศที่เคลือบสารดังกล่าว เวลาเทซอสออกมาจะไม่เหลือคราบซอสเกาะติดอยู่ในขวดอีกเลย


-4-OraQuick Home HIV Test : ชุดตรวจเชื้อเอชไอวี/เอดส์ด้วยตัวเองที่บ้าน
นำแถบแท่ง OraQuick (ออราควิก) ไปแตะน้ำลาย จากนั้นรอ 20 นาที ก็จะทราบว่าในร่างกายเรามีเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือไม่ อุปกรณ์ชุดนี้ยังมีคู่มือข้อปฏิบัติเมื่อทราบว่าติดเชื้อเอาไว้ให้ความรู้อีกด้วย


-5-Eliodomestico Solar Water Distiller : เครื่องกรองน้ำพลังแสงอาทิตย์
ออกแบบและคิดค้นโดย เกเบรียล ดิอาแมนติ ใช้ความ ร้อนจากแสงอาทิตย์เป็นตัวกลั่น-กรอง "น้ำ" ที่ไม่ค่อยสะอาด นักในประเทศยากจน หรือประเทศโลกที่สาม ซึ่งหาแหล่งน้ำสะอาดได้ยาก


-6-Enable Talk Gloves : ถุงมือพูดได้
คิดค้นโดยนักศึกษาชาวยูเครน 4 คน เพื่อช่วยให้ "คนใบ้-คนหูหนวก" สื่อสารกับสังคมสะดวกขึ้น โดย "ถุงมือ" ที่ใส่ไว้นั้นจะมีตัวเซ็นเซอร์คอยจำจัดลักษณะการเคลื่อนไหวของ "ภาษามือ" จากนั้นประมวลผลภาษามือออกมาเป็นตัวอักษรและเสียงพูดผ่าน "โทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟน"

-7-Techpet : สัตว์เลี้ยงไฮเทค
บริษัทแบนได เจ้าของตำนานสัตว์เลี้ยงอิเล็กทรอนิกส์ "ทามาก็อตจิ" สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ภายหลังเปิดตัว "เทกเพ็ต แอพ" เป็นผลิตภัณฑ์ของเล่นรูปร่างหน้าตาเหมือน "สุนัข" ตัวจิ๋วที่ต้องสวมเข้ากับ "ไอโฟน" แล้วไปโหลดแอพพลิเคชั่นมาสั่งให้มันวิ่งเล่น-โต้ตอบกับเราเหมือนลูกหมาจริงๆ


-8-Nike Flyknit Racer : รองเท้าถักทอ
"ไนกี้" พัฒนารองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ เกิดจากการถักทอเส้นด้ายชนิดพิเศษจนเป็นเนื้อเดียวกันทั้งคู่ แทบไม่มีการนำวัสดุอื่นๆ มาตัดเย็บรวมกัน ช่วยให้รองเท้าเบาแค่ 160 กรัม กระทั่งสร้างชื่อเป็นรองเท้าวิ่งเบาที่สุดในโลก และกระชับดีกับรูปเท้า



200-500 ดอลลาร์ (6,000-15,000 บาท)

Self-inflating tires : ยางอัจฉริยะ เติมลมด้วยตัวเอง
พัฒนาโดยบริษัทกู๊ดเยียร์ กระบวนการทำงานเริ่มจากภายใน "ยาง" รุ่นนี้จะมี "วาล์วเปิดปิด" พร้อมกับอุปกรณ์ตรวจวัด "แรงดัน" ภาย ในงาน
    เมื่อใดก็ตามที่ "ลมยาง" อ่อนกว่ามาตรฐาน อุปกรณ์ตัวนี้จะสั่งให้วาล์วเปิด "ท่อดูดอากาศ" ออก เพื่อดึง "อากาศ" จากด้านนอกเข้ามาภายในยาง เมื่อแรงดันกลับสู่ภาวะปกติ วาล์วก็จะปิดกลับไปอยู่สภาพเดิม





600-3,000 ดอลลาร์ (18,000-90,000 บาท)

-1-กล้องดิจิตอล Sony RX 100
กล้องขนาดพกพา แต่คุณภาพเทียบเท่ากล้องโปร SLRs ภายในมีเซ็นเซอร์ขนาด 2.5 เซนติเมตร คอยทำหน้าที่จับภาพอย่างไร้ที่ติ ขณะเดียวกัน ตัวกล้องมีขนาดเล็กกว่ากล้อง SLR ถึง 20 เปอร์เซ็นต์


-2-Wingsuit Racing : การแข่งวิงก์สูท
การแข่งขัน "วิงก์สูท ฟลายอิ้ง" ชิงแชมป์โลกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ที่ประเทศจีน ผู้เข้าแข่งขันต้องใส่ชุด "วิงก์สูท" คล้ายๆ ชุดแบ๊ตแมนมีปีก แล้วกระโดด "ร่อน" เหินเวลาลงมาจากหน้าผาความสูง 1,500 เมตร ลงแตะพื้นโลกในเวลาไม่เกิน 30 วินาที
    ผู้ชนะ คือ จูเลียน บูลล์ จากแอฟริกาใต้ ทำเวลา 23.41 วินาที


-3-Google Glass : เปิดตัวแว่นตากูเกิ้ล
แว่นตาไฮเทค พัฒนาโดยบริษัท กูเกิ้ล ยักษ์ใหญ่ธุรกิจเว็บสืบค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเบอร์ 1 ของโลก บนเลนส์ของแว่นดังกล่าวจะมี "จอภาพ" ขนาดเล็ก 1.3 เซนติเมตรติดอยู่ด้วย เพื่อใช้ดูข้อมูลการเชื่อมต่อแว่นเข้ากับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต รวมถึงใช้งานดูไฟล์มัลติมีเดียต่างๆ เช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว คาดวางตลาด ปี 2557


-4-The MakerBot Replicator 2 : เครื่องพิมพ์งาน "3มิติ"
พรินเตอร์ หรือเครื่องพิมพ์ขนาดตั้งโต๊ะ รุ่น The MakerBot Replicator 2 ของบริษัทเมกเกอร์บอต สหรัฐอเมริกา ความสามารถของเครื่องนี้ คือ การพิมพ์งานออกมาในแบบ "3มิติ" เช่นถ้าเราออกแบบ "บ้าน" เครื่องก็สามารถพิมพ์แบบจำลอง "บ้าน" จริงๆ แบบ 3 มิติออกมา ได้เลย



22,000-750,000 ดอลลาร์ (660,000-22,500,000 บาท)

-1-Baxter : หุ่นยนต์แบ็กซ์เตอร์

หุ่นยนต์ใน งานอุตสาหกรรมแน่นอนว่า ส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่โต ดูไม่น่ามอง ไม่น่ารัก แต่สำหรับหุ่นยนต์ราคาประหยัด "แบ็กซ์เตอร์" ออกแบบโดยฐานคิดยุคใหม่ ของ "ร็อดนีย์ บรูกส์" ปรมาจารย์หุ่นยนต์คนดังแดนอเมริกัน แบ็กซ์เตอร์ติดตั้งหน้าจอแสดงภาพ "ใบหน้าหุ่นยนต์ยิ้มแย้มน่ารัก" ออกแบบเพื่อทำงานซ้ำๆ ประเภทแพ็กของ หรือ คัดแยกของ


-2-The Switchblade Drone : เครื่องบินรบบังคับวิทยุ (โดรน) รุ่น สวิตช์เบลด
เปรียบเสมือนกองหนุนทางอากาศส่วนตัวของทหารอเมริกัน มีขนาดยาว 2 ฟุต หนัก 2.7 กิโลกรัม เมื่อปล่อยขึ้นไปแล้ว สามารถบังคับให้พุ่งเข้าไปชนกับ "เป้าหมาย" เพื่อจุดระเบิดที่ฝังอยู่ตรงส่วนหัวของโดรน

-3-The Tesla Model S : ซูเปอร์คาร์เทสลา โมเดล เอส พลังไฟฟ้า
จากัวร์ เผยโฉมสุดยอดรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า "เทสลา โมเดล เอส" ประจุไฟฟ้าเต็ม 1 ครั้ง รถวิ่งได้ไกลประมาณ 462 กิโลเมตร ติดตั้งจอสั่งงานด้วยระบบสัมผัส มีสารพัดระบบไฮเทคให้ใช้ รวมถึง "จีพีเอส" และระบบปรับช่วงล่างให้เหมาะกับสภาพพื้นผิวถนน



1- 2,500 ล้านดอลลาร์ (30 - 75,000 ล้านบาท)

-1-NASA"s Z-1 Space Suit
ชุดมนุษย์อวกาศ "Z-1 Space Suit" พัฒนาโดยสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา หรือ "นาซ่า" มีคุณสมบัติเด่น คือ ข้อต่อของชุดยืดหยุ่นมากขึ้น ชุดป้องกันรังสีได้นานขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับภารกิจสำรวจห้วงลึกในจักรวาล


-2-The Deepsea Challenger Submarine : เรือดำน้ำลึก "ดีพ-ซี ชาลเลนเจอร์ ซับมารีน"
ออกแบบโดย "เจมส์ คาเมรอน" ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อก้องโลก เรือดำน้ำรุ่นนี้หนัก 10 ตัน ยาว 7.3 เมตร ดำลึกลงไปในมหาสมุทรห่างจากผิวน้ำ 11 กิโล เมตร ทนแรงดันได้ 1,000 เท่า ทั้งยังติดตั้งกล้องบันทึกภาพระบบ 3 มิติไว้ด้วย

-3-Bahar Towers : อาคารบาฮาร์ ทาวเวอร์ส ในเมืองอาบู ดาบี
ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน "ตึกระฟ้า" ที่ออกแบบได้สวยที่สุดและแนวคิดการก่อสร้างดีที่สุดในปี 2555 นี้ จุดเด่นคือ "โครงสร้างกระจกกันแสง" รอบนอกตัวอาคารที่ควบคุมการทำงานโดยคอมพิวเตอร์ สามารถเปิด-ปิดตามทิศทางของแสงอาทิย์ เพื่อลดความร้อนที่แผ่เข้าไปในอาคาร รวมถึงช่วยคายความร้อนออกจากตึกได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์


-4-The Curiosity Rover : ยานหุ่นยนต์สำรวจดาวอังคาร "คิวริออสซิตี้" ของนาซ่า
ร่อนลงจอดบนพื้น "ดาวอังคาร" อย่างสวยงามเมื่อเดือนส.ค.2555 มีขนาดพอๆ กับรถเอสยูวี 1 คัน หนัก 10 ตัน ขนเอาอุปกรณ์สำรวจทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากไปเก็บข้อมูลต่างๆ บนดาวอังคาร และเพื่อดูด้วยว่ามีสัญญาณสิ่งมีชีวิตบนดาวแดงดวงนี้หรือไม่


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVEkxTVRJMU5RPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1pMHhNaTB5TlE9PQ==
22190  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เชิญดาวน์โหลด "เสียงสวดคาถาพญาไก่เถื่อน ๑๐๘ จบ" เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 03:01:41 pm


              คาถาพญาไก่เถื่อน ๑๐๘ จบ_0001.flv
              คาถาพญาไก่เถื่อน ๑๐๘ จบ_0001.mp3
   
         ขั้นตอนการดาวน์โหลด
         ๑. คลิกที่หัวข้อด้านบน เพื่อเลือก flv(ภาพและเสียง) หรือ mp3(เสียง)
         ๒. จากนั้นจะปรากฏเป็นจอภาพขึ้นมา (เป็นเว็บ www.4shared.com)
             ให้คลิกที่คำว่าดาวน์โหลด ซึ่งอยู่ด้านล่างจอภาพ
         ๓. จะปรากฏตารางให้ลงทะเบียน (ลงง่าย) ต้องลงทะเบียนเป็นสมาชิกก่อน จึงจะดาวน์โหลดได้

          :49:
22191  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ชีวิตดี...ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 10:37:20 am


มองเป็นเห็นธรรม : ชีวิตดี ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ

       “นมัสการหลวงปู่ ครับ/ค่ะ”     
       “วันนี้ลมอะไรหอบมาวัดล่ะ ทั้งพ่อทั้งลูกเลย”       
       “ก็ลูกสาวผมซิครับ อยากเปลี่ยนชื่อใหม่ บอกว่าเพื่อนๆ ที่ไปเปลี่ยนชื่อแล้วได้ดีกันทุกคน เลยรบเร้าให้ผมพามากราบขอความอนุเคราะห์จากหลวงปู่”

       
       “ว่าไงล่ะเรา เพื่อนที่เขาเปลี่ยนชื่อแล้วได้ดีน่ะ ได้ดีอะไรบ้างล่ะ”     
       “มีคนหนึ่งหางานมาตั้งนานไม่ได้ พอเปลี่ยนชื่อแล้วไปสมัครงาน ก็ได้งานเลย ส่วนอีกคนเปลี่ยนแล้ว ขายของดีขึ้นกว่าเก่า บางคนเปลี่ยนชื่อแล้วได้แต่งงาน แล้วก็อีกหลายคนนะคะที่เปลี่ยนชื่อแล้วได้ดีกันถ้วนหน้าเลย หนูก็เลยอยากเปลี่ยนชื่อบ้าง เผื่อจะได้รวยมากๆ เจริญๆ”
       
       “แล้วหนูชื่ออะไรล่ะ”     
       “หทัยชนกค่ะ”     
       “ชื่อไพเราะดีนะ แปลว่า “ดวงใจพ่อ” ใครเป็นคนตั้งให้ล่ะ”     
       “พ่อค่ะ แม่บอกว่าพ่อรักหนูมาก หนูเป็นแก้วตาแก้วใจของพ่อ พ่อก็เลยตั้งชื่อนี้ให้ค่ะ”   
       “แล้วคิดจะเปลี่ยนชื่อ ไม่คิดถึงใจของพ่อบ้างหรือ ที่ตั้งใจตั้งชื่อหนูตั้งแต่เกิด เพื่อให้หนูได้รู้จักทำตนให้เป็นคนดี สมกับที่เป็นดวงใจของพ่อ”     
       “พ่อบอกว่าตามใจหนู หนูก็คิดว่าเปลี่ยนแล้วน่าจะดี”

       
       “ครับ ผมตามใจลูก เพราะเขาโตแล้ว ผมเองก็เคยคิดแบบลูกเหมือนกัน”     
       “หนูอยากเปลี่ยนชื่อจริงๆ นะคะหลวงปู่ จะได้เป็นมงคล และทันสมัยเหมือนคนอื่นๆ”     
       “ก่อนจะเปลี่ยนชื่อ หลวงปู่จะเล่าเรื่องนามสิทธิชาดกให้ฟัง เป็นเรื่องของชายคนหนึ่งที่คิดอยากจะเปลี่ยนชื่อเหมือนกัน ลองฟังดูนะ”       
       “ค่ะ”

       

      “เรื่องมีอยู่ว่า ในครั้งพุทธกาลมีพระสงฆ์รูปหนึ่ง ท่านชื่อพระปาปกะ ถ้าเรียกในสมัยนี้ก็คงชื่อว่า “พระบาป” เมื่อใครๆเรียกชื่อท่าน ท่านก็ไม่ชอบใจชื่อของตนเอง รู้สึกว่าไม่เป็นมงคล วันหนึ่งท่านจึงเข้าไปหาพระอาจารย์ เพื่อขอให้เปลี่ยนชื่อให้ใหม่ โดยอ้างว่าชื่อตนไม่เป็นมงคล
       
       พระอาจารย์จึงบอกว่า ชื่อเป็นแค่นามบัญญัติ เพื่อใช้เรียกกันเท่านั้น ความสำเร็จในประโยชน์ใดๆ ก็ไม่เกี่ยวกับชื่อเลย แต่พระปาปกะก็ไม่ยอม รบเร้าให้พระอาจารย์เปลี่ยนชื่อตนให้ได้ จนหมู่พระสงฆ์นำเรื่องราวไปโจษขานทั่วพระเชตวันวิหาร
       
       วันหนึ่งในธรรมสภา พระพุทธเจ้าได้สดับเรื่องนี้เข้า พระพุทธองค์จึงทรงเมตตาเล่าอดีตกาลของพระปาปกะให้แก่ธรรมสภาฟังว่า
       
       ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระอาจารย์ทิศาปาโมกข์ สอนมานพจำนวน ๕๐๐ คน ในนครตักสิลา ศิษย์คนหนึ่งชื่อปาปกะได้เข้าไปหาพระอาจารย์ เพื่อขอให้เปลี่ยนชื่อใหม่แก่ตน เพราะคิดว่าชื่อของตนเป็นอัปมงคล     
       พระอาจารย์จึงให้ปาปกะไปแสวงหาชื่อที่เป็นมงคลถูกใจตนมา แล้วจะทำพิธีตั้งให้ใหม่ ปาปกะก็จัดเสบียงออกเดินทางไปหาชื่อมงคลตามต้องการ
       
      เมื่อมาถึงนครแห่งหนึ่ง มีชายชื่อว่าชีวกะ(แปลว่าผู้มีชีวิตอยู่) ได้ตายลง พวกญาติๆกำลังหามศพชายผู้นี้ไปป่าช้า เขาจึงถามว่า ชายผู้นี้มีชื่อว่าอะไร ชาวบ้านก็ตอบว่าชื่อชีวกะ     
       ปาปกะเอ่ยถามขึ้นว่า ชื่อชีวกะก็ต้องตายหรือ ญาติของชีวกะได้ตอบว่า จะชื่อว่าชีวกะหรืออชีวกะ(ผู้ไม่มีชีวิตอยู่) ก็ต้องตายเหมือนกันหมด ชื่อเป็นเพียงบัญญัติไว้เรียกกันเท่านั้น เจ้านี่ถามอะไรโง่ๆ ปาปกะฟังแล้วก็รู้สึกเฉยๆ ในเรื่องชื่อ แล้วก็เดินทางกลับมาหาพระอาจารย์

       
       ระหว่างทาง เขาเห็นนายทุนกำลังทุบตีหญิงลูกหนี้อยู่ จึงเดินเข้าไปถามนายทุนว่าหญิงนางนี้ชื่อว่าอะไร นายทุนตอบว่านางชื่อว่าธนปาลี(คนมีทรัพย์) เขาจึงถามต่อไปว่าเมื่อชื่อว่าธนปาลี ทำไมไม่มีเงินใช้หนี้ แม้กระทั่งดอกเบี้ยเลยหรือ     
       นายทุนจึงตอบว่าจะชื่อธนปาลี หรืออธนปาลี(คนไม่มีทรัพย์) ก็เป็นคนเข็ญใจได้เหมือนกัน ชื่อเป็นเพียงบัญญัติไว้เรียกกันเท่านั้น เจ้านี่ถามอะไรโง่ๆ ปาปกะฟังแล้วก็รู้สึกเฉยๆในเรื่องชื่อยิ่งขึ้น แล้วก็เดินทางต่อไป
       
       ก่อนจะถึงสำนักของพระอาจารย์ เขาพบเห็นชายผู้หนึ่งกำลังหลงทาง จึงเดินเข้าไปถามว่าท่านชื่ออะไร ชายผู้นั้นตอบว่า เราชื่อปันถกะ(ผู้ชำนาญทาง) เขาได้ถามต่อไปว่า ขนาดชื่อปันถกะ ยังหลงทางอีกหรือ?     
       คนหลงทางกล่าวว่า จะชื่อปันถกะหรือชื่ออปันถกะ (ไม่ชำนาญทาง) ก็มีโอกาสหลงทางได้เท่ากัน ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกัน ท่านเองเห็นจะโง่แน่ๆ ปาปกะได้ยินเช่นนั้น เลยวางเฉยในเรื่องชื่อ แล้วกลับไปสู่สำนักของพระอาจารย์

       

      เมื่อเขาเข้าพบพระอาจารย์ ท่านถามว่าได้ชื่อที่ถูกใจหรือยัง ปาปกะจึงเรียนว่า ท่านอาจารย์ขอรับ ธรรมดา คนเราถึงจะชื่อว่าชีวกะและแม้จะชื่ออชีวะ คงตายเท่ากัน   
       ถึงจะชื่อ ธนปาลี และแม้จะชื่อ อธนปาลี ก็เป็นคนเข็ญใจได้ทั้งนั้น     
       ถึงจะชื่อปันถกะ และแม้จะชื่ออปันถกะ ก็หลงทางได้เหมือนกัน     
       ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกัน ความสำเร็จเพราะชื่อมิได้มีเลย ความสำเร็จมีได้เพราะการกระทำเท่านั้น พอกันทีเรื่องชื่อสำหรับกระผม กระผมขอใช้ชื่อเดิมนั่นแหละต่อไป

       
       พระอาจารย์จึงกล่าวขึ้นว่า เพราะเห็นคนชื่อชีวกะตาย นางธนปาลีตกยาก นายปันถกะหลงทางในป่า เจ้าปาปกะจึงกลับมา   
       ตั้งแต่นั้นมาปาปกะก็ไม่ใส่ใจในเรื่องชื่อของตนอีกเลย     
       พระพุทธเจ้าทรงสรุปไว้ตอนท้ายว่า
       ปาปกะได้มาเกิดเป็นพระปาปกะในชาตินี้ ส่วนพระอาจารย์ทิศาปาโมกข์ก็คือพระพุทธองค์เอง ครูบาอาจารย์ที่ท่านแปลชาดกเรื่องนี้เป็นภาษาไทย ท่านให้ชื่อเรื่องว่า ชื่อไม่เป็นของสำคัญ”

       
       “หลวงปู่คะ นี่ก็แสดงว่าความคิดจะเปลี่ยนชื่อ มีมาแต่ครั้งพุทธกาลแล้วสิคะ”       
       “ก็ใช่น่ะสิ ท่านถึงบันทึกไว้ว่า ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกันเท่านั้น ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับชื่อหรอก แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง หนูรู้ไหม ชื่อของคนเรานั้นมีสิ่งที่สำคัญแฝงอยู่ด้วยนะ”
       
       “อะไรคะหลวงปู่”     
       “คุณธรรมประจำชื่อไง อย่างชื่อของหนู “หทัยชนก” ลองคิดสิว่ามีคุณธรรมอะไรแฝงอยู่”     
       “หนูว่าการทำตนให้เป็นที่รักของพ่อแม่ค่ะ เพราะชื่อหนูแปลว่าดวงใจพ่อ”     
       “แล้วหนูคิดว่าทำตัวอย่างไร ถึงจะเป็นที่รักของพ่อแม่ล่ะ”       
       “ต้องเป็นลูกที่กตัญญูกตเวที พ่อแม่จะได้ปลื้มใจและรักหนูเพิ่มมากขึ้นค่ะ”

       
       “รู้ไหมว่า การเป็นลูกที่กตัญญูกตเวที ต้องทำอย่างไร?”     
       “ทราบค่ะ เพราะหลวงปู่สอนให้ท่องทุกครั้งที่พ่อแม่พามากราบหลวงปู่ คือต้องมีสติ รู้ตัว มีสัมปชัญญะ ความระลึกได้ เพราะจะทำให้เรามีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ซึ่งจะช่วยให้เราเป็นผู้ดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบของศีลธรรม     
       มีขันติ อดทนอดกลั้นต่อการกระทบกระทั่งจากผู้อื่น รักษากายของตนให้มีความงดงามอยู่เสมอ ด้วยสำนึกระลึกถึงคุณบิดามารดาไว้เสมอว่า ถ้าเราผิดพลาดไปในชีวิต พ่อแม่จะเสียใจมากที่สุด

           
     
ขอขอบพระคุณหลวงปู่มากค่ะ หนูรู้แล้วว่าจะต้องทำตนอย่างไร จึงจะมีคุณธรรมสมชื่อที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งให้”     
       “ดีแล้ว แต่หลวงปู่อยากให้หนูจำเพิ่มเติมไว้อีกสักนิดนะ คือทุกครั้งที่หยิบเงินมาใช้จ่าย ให้ดูพระบรมฉายาลักษณ์ในเหรียญหรือธนบัตร แล้วระลึกไว้ในใจว่านี่คือในหลวงของเรา พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อเรามาก
 

        พระนามของพระองค์นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯพระราชทานพระนามว่า "ภูมิพลอดุลยเดช"
       สมเด็จย่าทรงรับสั่งกับในหลวง ถึงความหมายของพระนาม "ภูมิพล" ไว้ว่า "อันที่จริงเธอก็ชื่อภูมิพล ที่แปลว่า กำลังของแผ่นดิน แม่อยากให้เธออยู่กับดิน"

       
       ต่อมาในหลวงมีพระราชปรารภถึงสิ่งที่สมเด็จย่าทรงเคยรับสั่งว่า"เมื่อฟังคำพูดนี้แล้วก็กลับมาคิด ซึ่งแม่ก็คงจะสอนเรา และมีจุดมุ่งหมายว่า อยากให้เราติดดินและอยากให้ทำงานให้แก่ประชาชน"
       
       “หนูเข้าใจแล้วค่ะหลวงปู่ ว่าแต่ละชื่อเป็นความปรารถนาของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกได้พบความสำเร็จในชีวิต จึงตั้งชื่อที่มีความหมายงดงามไว้ เมื่อลูกเติบใหญ่ขึ้นมา ได้ทราบถึงความหมายของชื่อตนแล้ว ก็จะได้มีจิตใจมุ่งมั่นที่จะทำตนให้ประสบความสำเร็จในชีวิต
       
       อย่างชื่อหนูนี่ หทัยชนก แปลว่าดวงใจของพ่อ แสดงถึงความรักที่พ่อแม่มีให้แก่หนู ดังนั้น ถ้าหนูประพฤติดีงาม สร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูล พ่อแม่ก็จะได้มีความภูมิใจในตัวหนู ถ้าหนูทำไม่ดีประพฤติชั่ว พ่อแม่ก็จะเศร้าใจ เท่ากับว่าหนูเป็นคนอกตัญญู”
       
      “แล้วยังคิดจะเปลี่ยนชื่ออีกมั้ยล่ะ”       
       “ไม่เปลี่ยนแล้วค่ะ เพราะทราบแล้วว่าชื่อไม่ได้ทำให้ดีหรือรวย แต่หนูยังอยากรู้ว่าทำยังไงถึงจะรวยคะ”
       “คงต้องถามพ่อของหนูดูนะ เพราะเขาสร้างตัวเองมาจากที่ไม่เคยมีอะไร กระทั่งตอนนี้มีโรงสีใหญ่โต”
       “โอ..จริงด้วย หนูลืมไป แล้วคุณพ่อทำอย่างไรคะ จึงสามารถประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของโรงสีใหญ่ในจังหวัดเราตั้งหลายแห่ง”       
       “พ่อก็เหมือนลูกแหละ คิดจะเปลี่ยนชื่อที่ปู่ตั้งให้ว่า ก้อนทอง เพราะเพื่อนชอบล้อ แต่ปู่บอกว่าตั้งชื่อนี้ให้พ่อ เพราะปู่อยากให้พ่อเป็นเศรษฐี ปู่เลยให้พ่อมาบวชเป็นสามเณรอยู่วัดนี้ เพื่อจะให้หลวงปู่ได้อบรมสั่งสอน

       

      หลวงปู่ก็สอนเรื่องการมีสติสัมปชัญญะ ความอดทนอดกลั้น เหมือนที่สอนลูกน่ะแหละ พอพ่อจำได้แล้ว หลวงปู่ก็สอนให้รู้จักการปฏิบัติตามหลักอิทธิบาท ๔ คือ     
       ๑. ต้องมีความพอใจในหน้าที่การงานของตน ฐานะของตน ที่เรียกว่า ฉันทะ     
       ๒. ต้องมีความพยายามอย่างต่อเนื่องไม่ท้อแท้ ในการทำงานในหน้าที่ให้ประสบความสำเร็จ ที่เรียกว่า วิริยะ       
       ๓. ต้องไม่ทอดทิ้งการงานหน้าที่รับผิดชอบ คอยเอาใจใส่สิ่งที่เป็นการงานหน้าที่รับผิดชอบ ที่เรียกว่า จิตตะ       
       ๔. ต้องหมั่นสำรวจการงานหน้าที่รับผิดชอบของตนอยู่เสมอ เพื่อจะได้พัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ที่เรียกว่า วิมังสา

       
       หลวงปู่ให้พ่อหัดทดลองทำตนตามหลักอิทธิบาท ๔ จนเข้าใจ จากนั้นพอพ่อสึกออกมาทำการงาน ท่านก็คอยเป็นกำลังใจให้พ่อเสมอ พ่อก็ตั้งใจทำตนให้ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานตลอดมา ยิ่งเมื่อมีลูกด้วยแล้ว ก็ยิ่งขยันขึ้นเป็นสองสามเท่าเลย กระทั่งมีวันนี้อย่างที่ลูกเห็นนี่แหละ”
       
       “หลวงปู่กับคุณพ่อทำให้หนูตาสว่างแล้วค่ะ ว่าชื่อไม่สำคัญเท่ากับการปฏิบัติตนในกรอบของธรรมะ ซึ่งจะให้ผลสำเร็จตามที่เราปรารถนา กราบขอบพระคุณหลวงปู่กับคุณพ่อมากๆๆ ค่ะ”       
       “ตกลงไม่เปลี่ยนชื่อแน่ๆนะลูก”     
       “แน่ซิคะพ่อ เพราะปาปกะยังยอมใช้ชื่อเดิมเลย แต่หนูชื่อหทัยชนก ไพเราะกว่าเยอะ ทำไมจะต้องเปลี่ยนล่ะคะ เพราะตอนนี้หนูก็ฉลาดเหมือนปาปกะแล้วนะคะ”   
       “ดีแล้วลูก ถ้าอย่างนั้นเรากราบลาหลวงปู่กันเถอะ ท่านจะได้พักผ่อน รบกวนท่านนานแล้ว”     
       “ขอให้เจริญสุขนะ ทั้งพ่อทั้งลูก”
   

       
ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9550000149021
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 144 ธันวาคม 2555 โดย พระครูพิศาลสรนาท (พจนารถ ปภาโส) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กทม.)
http://natakux.exteen.com/,http://statics.atcloud.com/
22192  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เดินทาง-เที่ยวปีใหม่ ไปเส้นทางไหน...สะดวก เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 10:15:19 am




เดินทาง-เที่ยวปีใหม่ ไปเส้นทางไหน...สะดวก

เป็นประจำทุกปี ที่เมื่อถึงช่วงเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พี่น้องประชาชนคนไทยและนักท่องเที่ยวจะพร้อมใจพากันเดินทางออกต่างจังหวัด ทำให้เกิดปัญหาการจราจรแออัด การเดินทางล่าช้า ไทยรัฐออนไลน์ ขอนำเสนอเส้นทางการจราจรที่สะดวกไว้เป็นทางเลือกแก่ท่านผู้อ่าน พร้อมทั้งหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน สอบถามข้อมูลการเดินทาง และเกร็ดความรู้การตรวจสอบสภาพรถเบื้องต้นก่อนเดินทางไกล

4 เส้นทางเลี่ยงสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
     1. จาก กทม. ใช้ ทล.สาย 305 ผ่าน อ.บ้านนา เปลี่ยนใช้ ทล.สาย 3222 มุ่งหน้า อ.แก่งคอย ถึงทางแยก ทล.สาย 2 (มิตรภาพ) มุ่งหน้า จ.นครราชสีมา
     2. จาก กทม. ใช้ ทล.สาย 304 โดยขับตามถนนสายนี้ไป จนถึง อ.ปักธงชัย
     3. จาก กทม. ใช้ ทล.สาย 304 ผ่าน อ.พนมสารคาม แล้วเปลี่ยน ไปใช้ ทล.สาย 359 ผ่าน อ.เขาหินซ้อน และ จ.สระแก้ว จนพบกับ ทล.สาย 33 มุ่งหน้า อ.อรัญประเทศ แล้วเปลี่ยน ไปใช้ ทล.สาย 348 มุ่งหน้า อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์
     4. จาก กทม. ใช้ ทล.สาย 7 (มอเตอร์เวย์ กทม.-ชลบุรี) เปลี่ยนไปใช้ ทล.สาย 314 ฉะเชิงเทรา เชื่อมต่อ ทล.สาย 304


3 เส้นทางเลี่ยงสู่ภาคเหนือ
     1. จาก อ.บางบัวทอง ใช้ ทล.สาย 340 มุ่งหน้า จ.ชัยนาท แล้วเปลี่ยนไปใช้ ทล.สาย 1 มุ่งหน้าขึ้นเหนือ โดยผ่าน จ.นครสวรรค์
     2. จาก กทม. ใช้ทางด่วนแจ้งวัฒนะ ลงด่านเก็บเงินบางปะอิน เปลี่ยนไปใช้ ทล.สาย 347 ผ่านทางต่างระดับบางปะหัน แล้วจึงตัดเข้า ทล.สาย 32 ผ่านตัวเมืองอ่างทองมุ่งหน้า ขึ้นเหนือ ผ่าน จ.นครสวรรค์
     3. จาก กทม. ใช้ ทล.สาย 305 มุ่งหน้าผ่าน อ.บ้านนา เปลี่ยน ไปใช้ ทล.สาย 33 มุ่งหน้า จ.สระบุรีี แล้วเปลี่ยนไปใช้ ทล.สาย 21 เลี้ยวซ้ายเข้า ทล.สาย 113 ที่แยกวังชมภู มุ่งหน้าตัวเมือง พิจิตร เลี้ยวซ้ายเข้า ทล.สาย 115 ที่ จ.พิจิตร เลี้ยวขวาที่แยก ทล.สาย 117 มุ่งหน้า จ.พิษณุโลก


2 เส้นทางเลี่ยงสู่ภาคใต้
     1. จาก กทม. ใช้ ถ.บรมราชชนนี มุ่งหน้า อ.นครชัยศรี จนสุด เส้นทาง เลี้ยวขวาเข้า ถ.เพชรเกษม (ทล.สาย 4)
     2. จาก ทางด่วนบางนา-ดาวคะนอง มุ่งหน้า จ.สมุทรสาคร โดยใช้ ถ.พระราม 2 (ทล.สาย 35) จนถึงแยกวังมะนาวให้ เลี้ยวซ้าย เปลี่ยนไปใช้ ถ.เพชรเกษม


2 เส้นทางเลี่ยงสู่ภาคตะวันออก
    1. จาก กทม. ขึ้นทางด่วนลงบางนา เปลี่ยนใช้ทางด่วน บูรพาวิถี จนถึง จ.ชลบุรี
    2. จาก กทม. ใช้ ทล.สาย 7 (มอเตอร์เวย์) จนถึง จ.ชลบุรี


รวมเบอร์โทรฉุกเฉิน-สอบถามข้อมูลเดินทางปีใหม่
     1586 - สายด่วนกรมทางหลวง
     02 354 6832-39 - ศูนย์อำนวยการปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมง กรมทางหลวง
     038 5770 852-3 - หน่วยกู้ภัย มอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ-ชลบุรี (สายใหม่)
     02 509 6832 - หน่วยกู้ภัยวงแหวนรอบนอกด้านตะวันออก
     1193 - ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ
     1669 - สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ
     191 - ตำรวจท้องที่ทั่วประเทศ


การตรวจเช็กสภาพรถเบื้องต้นก่อนเดินทางไกล Check List เบื้องต้น สำหรับการเตรียมความพร้อมง่ายๆ
    - ตรวจความดันลมยางและสภาพดอกยาง
    - ตรวจดูรอยน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก ใต้ท้องรถ
    - ตรวจสภาพยางปัดน้ำฝน โดยการทดลองใช้
    - ตรวจดูไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยว รวมถึง ตรวจระดับไฟหน้าด้วย
    - ตรวจสภาพยางอะไหล่และเช็กลมยางให้แน่ใจว่าใช้งานได้เป็นปกติ
    - ตรวจเช็กหัวเข็มขัดนิรภัยว่าสามารถล็อกได้ เรียบร้อยดี
    - ตรวจสภาพของแตรให้แน่ใจว่ายังใช้งานได้ดีอยู่
    - ตรวจแผงควบคุมและ อุปกรณ์ว่าทำงานเป็นปกติ
    - ตรวจเช็กระยะฟรีของขา เบรกว่าอยู่ในค่ากำหนด หรือไม่
    - ฟิวส์สำรองต้องมีขนาด ของค่ากระแสใช้ได้ตามที่กำหนดไว้ที่แผงฟิวส์
    - ระดับน้ำหล่อเย็น ควรเติม ให้ถึงขีดสูงสุดในถังพัก น้ำสำรอง
    - ควรตรวจดูว่าหม้อน้ำ ไม่มีเศษวัสดุ หรือใบไม้ ติดอยู่ หรือมีรอยฉีกขาด
    - สายพานขับต่างๆ ต้อง ไม่มีรอยแตก หรือเปื้อน น้ำมันหล่อลื่น
    - เติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับ และเช็กขั้วต่อและสายไฟ ว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่
    - ตรวจระดับน้ำมันเบรกและคลัตช์ ว่าอยู่ในระดับ ที่ถูกต้องหรือไม่
    - ตรวจดูว่าท่อน้ำมันมี การรั่วซึมก่อนออกเดินทางหรือไม่


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/page/holiday2013
22193  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ราชินีแห่งไม้น้ำ นาม..."บัวควีนสิริกิติ์" เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 10:03:27 am

บัวลูกผสมพันธุ์ใหม่ “บัวควีนสิริกิติ์”

ราชินีแห่งไม้น้ำ นาม..."บัวควีนสิริกิติ์"

เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้ สำหรับบัวลูกผสมพันธุ์ใหม่ล่าสุดของโลก ที่มีชื่อว่า “บัวควีนสิริกิติ์”

       
       บัวควีนสิริกิติ์(Nymphaea‘Queen Sirikit’) เป็นบัวลูกผสมที่เกิดจากการผสมพันธุ์ข้ามสกุลย่อย(Intersubgeneric) ระหว่างสกุลย่อย Nymphaea(บัวฝรั่ง หรือ บัวเขตอบอุ่น) กับสกุลย่อย Brachyceras(บัวผันของไทย)
       
       โดยใช้เวลา 5 ปี ในการพัฒนาสายพันธุ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 - 2550 โดยนำพันธุ์บัวทั่วโลกมาผสมพันธุ์ กระทั่งได้พันธุ์บัวฝรั่ง ที่มีดอกสีน้ำเงิน ชื่อว่าบลูฮาร์ดดี้(Blue Hardy Waterlily) เป็นผลสำเร็จ แต่ปรากฏว่าบัวสายพันธุ์นี้ไม่แตกหน่อจึงขยายพันธุ์ต่อไปไม่ได้
       
       ในปี พ.ศ.2551 นายไพรัตน์ ทรงพานิช นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นนักผสมพันธุ์บัวที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้พยายามนำมาผสมข้ามสายพันธุ์จากพันธุ์บัวเขตอบอุ่นสายพันธุ์เพอรี่ส์ไฟร์โอปอล(Perry’s Fire Opal) เป็นต้นแม่ มาผสมกับบัวสายพันธุ์นางกวักฟ้า เป็นต้นพ่อ ใช้เวลาในการผสม 4 ปี
       
       กระทั่งได้ลูกผสมออกมาใหม่ที่มีกลีบดอก 2 สี คือ
       ส่วนปลายกลีบดอกมีสีม่วง โคนกลีบดอกมีสีขาว ส่วนกลีบเลี้ยงมีสีขาวอมเขียว
       ซึ่งสีดอกของบัวลูกผสมนี้ที่ออกมามีสีม่วง ถือว่าเป็นสีใหม่ที่ยังไม่เคยปรากฏมาก่อนในสายพันธุ์บัวเขตอบอุ่น
       ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของโลก และที่สำคัญบัวลูกผสมต้นนี้ยังสามารถแตกหน่อและขยายพันธุ์ได้เองตามธรรมชาติ



สายพันธุ์เพอรี่ส์ไฟร์โอปอล
       
      ศ.ดร.ธีระ สูตะบุตร นายกสมาคมพฤกษศาสตร์ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้ขอพระราชทานพระราชานุญาต ใช้ชื่อบัวลูกผสมพันธุ์ใหม่นี้ว่า “บัวควีนสิริกิติ์” เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระชนมายุครบ 80 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2555 และในโอกาสที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องเป็น
       
       พระมารดาแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ(Mother of Biodiversity Conservation) จากรัฐบาลไทยในปี พ.ศ. 2553 ที่สมัชชา องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้ปี พ.ศ. 2553 เป็นปีสากล แห่งความหลากหลายทางชีวภาพ
       
       ต่อมาเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2555 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามบัวลูกผสมพันธุ์ใหม่นี้ว่า “บัวควีนสิริกิติ์”
       
       โดยขณะนี้มีต้นพันธุ์บัวควีนสิริกิติ์จำนวน 20 กว่าต้น กำลังเร่งขยายเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา และจะกระจายบัวควีนสิริกิติ์ ให้กับหน่วยงานที่สนใจนำไปเผยแพร่และขยายพันธุ์ต่อไป
       
       อนึ่ง “บัว” เป็นราชินีแห่งไม้น้ำ จัดเป็นพันธุ์ไม้น้ำที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความดี และยังเป็นดอกไม้ประจำศาสนาพุทธอีกด้วย


สายพันธุ์นางกวักฟ้า

ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9550000096294     
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 140 สิงหาคม 2555 โดย กองบรรณาธิการ)
22194  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ศูนย์พิทักษ์พุทธศาสนาฯ สลดใจกับโศกนาฏกรรมที่.."วัดพุทธถูกเผาที่บังกลาเทศ" เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 09:52:13 am


ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย สลดใจกับโศกนาฏกรรม
การทำลายล้าง วัดพุทธศาสนาที่  cox’ s bazar บังคลาเทศ
โดย...สมาน สุดโต

ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย สลดใจกับโศกนาฏกรรมการทำลายล้างวัดพุทธศาสนาที่ cox’ s bazar ในเมืองจิตตะกอง บังกลาเทศ เพียง 1 คืน วัดถูกเผาถึง 28 วัด ทั้งๆ ที่แต่ละวัดตั้งอยู่ห่างกันเป็นสิบๆ กิโลเมตร บางวัดกว่าจะนั่งรถเข้าไปถึงก็แสนยาก เพราะอยู่ในถิ่นทุรกันดาร กลางทุ่งนา และป่าเขา แสดงถึงใจเหี้ยมโหดมุ่งล้างชุมชนชาวพุทธ ทั้งพระและฆราวาสโดยแท้

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ท่านสัตยปรียะ มหาเถร สมเด็จพระสังฆราช บังกลาเทศ วัย 82 ปี (เกิด 10 มิถุนายน ค.ศ. 1930) เจ้าอาวาสวัด Ramu Sima Vihar ที่ตกเป็นเหยื่อแห่งแรก ที่วิหาร พระพุทธรูป และพระไตรปิฎกโบราณถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน ถึงกับอาพาธ ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่กรุงธากา เมืองหลวงบังกลาเทศ ตั้งแต่วันนั้นถึงทุกวันนี้

บังกลาเทศ หรือเบงกอลตะวันออกในอดีต เป็นอิสระจากปากีสถาน เมื่อ พ.ศ. 2514 ปัจจุบันมีเมืองหลวงชื่อ ธากา ประชากรรวมทั้งสิ้น 170 ล้านคน 98% นับถือศาสนาอิสลาม ที่เหลือเป็นชาวพุทธ ฮินดู และคริสเตียน แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่วัดของชาวพุทธที่ส่วนมากอยู่ที่จิตตะกอง ถูกเผาโดยมุสลิมประมาณ 2.5 หมื่นคน เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2555 สร้างความหวาดกลัวให้ชาวพุทธ ทั้งพระฆราวาสที่มีไม่ถึงหมื่นคนมาก

ในระหว่างวันที่ 14-18 ธ.ค. 2555 ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย นำโดยพระเทพวิสุทธิกวี จึงได้พาพระสงฆ์ 10 รูป และฆราวาส 4 คน ไปเยี่ยมและมอบปัจจัยและสิ่งของช่วยเหลือวัดที่ตกเป็นเหยื่อการทำร้ายและเผาผลาญ ซึ่งยังหวาดผวา

แม้ว่าคณะศูนย์พิทักษ์ฯ ซึ่งเป็นชาวพุทธไทยคณะแรกที่เดินทางไปเยี่ยมในฐานะชาวพุทธด้วยกัน จะไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมได้ทุกวัด เพราะแต่ละวัดตั้งอยู่ห่างกันนับสิบๆ กิโลเมตร และต่างตำบล ต่างเมืองก็ตาม แต่ทุกแห่งที่ได้เยี่ยม ทำให้ชาวพุทธบังกลาเทศมีกำลังใจที่ไม่ได้ถูกโดดเดี่ยว





3 วัน เดินทาง 2,300 กม.
เพื่อให้เห็นภาพว่าการเดินทางของศูนย์พิทักษ์ฯ ที่ออกไปให้กำลังใจชาวพุทธในต่างประเทศครั้งแรกว่าต้องอดทนแค่ไหน จึงขอลำดับเส้นทางรถยนต์จากเมืองหลวงธากาไปจิตตะกอง และเมืองต่างๆ ที่วัดถูกเผาให้เห็นดังนี้

จากธากาถึงจิตตะกอง เมืองท่าที่อยู่ใกล้กับพม่า ระยะทาง 700 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง เพราะก่อนจะออกจากเมืองหลวงได้รถก็ติดอยู่หลายชั่วโมง จากจิตตะกองไปยังรามู สถานที่วัดถูกเผาแห่งแรก ระยะทางอีก 300 กิโลเมตร จากรามูไปคอกซ์ บาซาร์ ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่ง
     แต่มีชื่อเสียงว่ามีหาดทรายยาวที่สุดในโลก ระยะทาง 25 กิโลเมตร   
     จากคอกซ์ บาซาร์ ไปอูขิยาที่วัดถูกเผาอีกแห่ง ระยะทาง 100 กิโลเมตร
     และจากอูขิยา-รามู กลับจิตตะกอง ระยะทาง 400 กิโลเมตร
     จากจิตตะกองไปสาลบัน คูมิลลา ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร
     และจากคูมิลลากลับธากา ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร


ทั้งนี้ โดยมิได้นับระยะทางจากวัดแห่งหนึ่งไปยังวัดอีกแห่งหนึ่งว่าห่างกันแค่ไหน สรุปว่า 3 วัน เดินทางในเมืองต่างๆ เพื่อเยี่ยมวัดและโบราณสถานทางพุทธศาสนา เป็นระยะทางประมาณ 2,300 กิโลเมตร


วัดสังฆราชอาพาธ
อย่างไรก็ตาม ก่อนเดินทางออกจากจิตตะกอง คณะศูนย์พิทักษ์ฯ ได้เยี่ยมท่านสัตยปรียะ มหาเถร สมเด็จพระสังฆราช บังกลาเทศ วัย 82 ปี ที่อาพาธ รักษาตัวที่โรงพยาบาล

เมื่อพวกเราไปกราบ ท่านดีใจ และเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ที่เอาชีวิตรอดมาได้ เพราะลูกศิษย์พาไปซ่อนตัวในป่าหมากที่อยู่ในวัด และบอกว่าตั้งแต่บังกลาเทศได้อิสรภาพเมื่อ พ.ศ. 2514 เป็นต้นมา ไม่เคยมีเหตุรุนแรงระหว่างศาสนา ครั้งนี้เป็นครั้งแรก

ส่วนการรักษาตัวของท่านก็ได้รับการอุปถัมภ์จากรัฐบาล ถึงกระนั้นก็ต้องการไปรักษาที่เมืองไทย เพราะมีความอุ่นใจมากกว่า


พระรุ่นใหม่ร้อนใจ
พระสงฆ์ระดับผู้นำรุ่นใหม่ เช่น พระคุณเจ้าปรียะ รัตนะเถระ แห่งวัด Chittagong Buddhist เมืองจิตตะกอง ตำแหน่งเลขาธิการ ภิกขุสังสถะ แห่ง cox’ s bazar และบรรณาธิการนิตยสารสุคตะ ซึ่งเป็นนิตยสารพุทธศาสนาและวัฒนธรรม และสมาชิกตลอดชีพแห่งบังกลาเทศสังฆราชภิกขุ มหาสภา ให้ความเห็นว่าสถานการณ์นี้สร้างความหวาดกลัวให้แก่ชาวพุทธทั้งพระและฆราวาส

เพราะมุสลิมกลุ่มนี้จัดตั้งอย่างเป็นขบวนการ ยกมาอย่างกองทัพ เพื่อทำลายชุมชนชาวพุทธ ถ้านายกรัฐมนตรีแห่งบังกลาเทศ นางชีค ฮาสินา ไม่สั่งการ ความเลวร้ายและสูญเสียจะมากกว่านี้ เพราะกลุ่มมุสลิมนับหมื่นคนจะไม่หยุด ตามข่าวว่าได้รับเงินอุดหนุนจากต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 400 ล้านตากา เพื่อทำลายชุมชนชาวพุทธอย่างไร้มนุษยธรรม

แต่กว่าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะออกมาขัดขวางก็สายไปแล้ว ซึ่งท่านปรียะ รัตนะเถระ อยู่วัดที่จิตตะกอง ทราบเรื่องในเวลาประมาณ 23.00 น. วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555 โทรศัพท์ติดต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ ตั้งแต่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง รวมทั้งนายบารัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เป็นชาวพุทธ ก็ไม่ได้รับการสนองตอบ จนกระทั่งความสูญเสียเกิดขึ้นแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐจึงเข้ามา





สภาพวัดต่างๆ
เริ่มจากวัดแรกที่คณะศูนย์พิทักษ์ฯ เข้าไปเยี่ยม คือ วัด Ramu Sima Vihar ตั้งอยู่ที่รามู อายุประมาณ 400 ปี เป็นวัดที่พำนักของสมเด็จพระสังฆราชของบังกลาเทศ ท่านสัตยปรียะ มหาเถร แต่ท่านอาพาธหลังเกิดเผาวัด จึงรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมืองหลวง ภายใต้การอุปถัมภ์ของรัฐบาล

สภาพที่เราเห็นตั้งแต่ปากทางเข้าวัด คือ บ้านชาวพุทธหลายหลังถูกล้อมด้วยรั้วสังกะสี พระสงฆ์ชาวบังกลาเทศที่ไปด้วย บอกว่าบ้านเหล่านี้อยู่ระหว่างสร้างใหม่โดยรัฐบาล หลังจากถูกเผาเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2555 เมื่อเข้าไปในวัด สิ่งแรกที่เห็นคือคนงานกำลังเร่งสร้างอาคารใหม่แทนอาคารที่ถูกเผา มีป้ายกำหนดตารางเวลาการก่อสร้างว่าต้องแล้วเสร็จในเดือน เม.ย.ปีหน้า พร้อมกับระบุว่ารัฐบาลบังกลาเทศและกองทัพบกสร้างให้

อาคารที่เหลือจากถูกเผาจัดเป็นที่ต้อนรับ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นายพร้อมอาวุธรักษาการณ์ และมีนายทหารอีก 4-5 นาย เดินทางเข้ามาสังเกตการณ์สอบถามกับพระเจ้าหน้าที่แล้วก็เดินทางกลับ ในขณะที่ชาวพุทธบังกลาเทศชายหญิงประมาณ 200 คน นั่งในเต็นท์เพื่อต้อนรับคณะจากไทย

ภาพที่น่าสลดใจ คือ ซากพระไตรปิฎกและหนังสือพระพุทธศาสนาที่ถูกเผาเหลือเป็นเถ้าสีดำ ที่ทางวัดรวบรวมมาวางไว้ รวมทั้งพระพุทธรูปขนาดเล็กและใหญ่ที่เหลือรอดจากการเผา แต่เสียหายเป็นส่วนมาก กองรวมกันอยู่ใกล้กับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ผู้ใจบุญชาวไทยสร้างถวาย กำหนดฉลองหลังจากออกพรรษาแล้ว แต่ไม่ทันเวลา ถูกเผาไปบางส่วน ที่ละลายเป็นก้อนโลหะก็มีไม่น้อย เพราะที่วัดนี้มีพระพุทธรูปมากที่สุด คือ ประมาณ 400 องค์ ขณะนี้เกือบไม่เหลือ นอกจากบางองค์ที่ไฟไหม้ไม่หมดเท่านั้น

เป็นที่น่าสังเกตว่าบริเวณต่างๆ ที่ถูกเผา ถูกทำความสะอาด และเสา พื้นกระดาน บันไดที่เสียหายไม่หมด ถูกขนมากองไว้ข้างที่พักที่ยังเหลืออยู่





คณะศูนย์พิทักษ์ฯ ใช้เวลาอีก 2 วัน เดินทางเยี่ยมวัดต่างๆ ที่อยู่ห่างไกล ตั้งอยู่กลางป่า กลางทุ่งนา จะไปถึงได้ต้องนั่งรถผ่านป่าไปตามเส้นทางแคบๆ แต่ละวัดถูกเผาเหลือเพียงเสา หรือที่พักบางแห่งเท่านั้น บางวัดตั้งอยู่ห่างไกลจากชุมชน วัดหนึ่งอยู่ริมถนนชายป่า มีหลวงตาอายุ 70 กว่าปีเฝ้าวัด แต่ที่เราไปเห็นเหลือเพียงซาก ซึ่งไม่ต่างจากวัดที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนา ห่างไกลชุมชน ที่พวกเราต้องเดินเท้าเข้าไปเยี่ยม แต่ผู้ก่อการร้ายก็เข้าไปเผาและทุบพระพุทธรูปและเทพต่างๆ เสียหายสิ้นเชิง

พระเทพวิสุทธิกวี (เกษม) เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย บอกว่า เหตุเกิดที่บังกลาเทศ ทำให้เห็นเจตนาชัดเจนของผู้ทำลาย ศาสนสถานบางแห่งไม่มั่นคง แต่ถูกทำลายไปอย่างน่าสังเวชใจ ท่านเคยไปสังเวชนียสถาน 4 ตำบลในประเทศอินเดียและเนปาล เห็นซากพุทธสถานที่อินโดนีเซีย แล้วมาเห็นที่บังกลาเทศในครั้งนี้รู้สึกสังเวชและสลดใจ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บังกลาเทศ เตือนใจเราชาวพุทธว่าอย่าอยู่กับความประมาท

เมื่อได้มาเยี่ยมสาลบันวิหารที่คูมิลลา เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ขนาดใหญ่ระดับเดียวกับนาลันทา สร้างในศตวรรษที่ 6 ล่มสลายไปในศตวรรษที่ 13 นั้น ทำให้เห็นอนาคต ถ้าเราประมาท ศาสนสถานทางพุทธศาสนาในไทยอาจไม่ต่างจากพุทธสถานในบังกลาเทศ อินโดนีเซียก็ได้ ประวัติศาสตร์เป็นบทเรียนอย่างดี อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เพราะโศกนาฏกรรมที่บังกลาเทศเห็นก็สลดใจมาก ไม่อยากเห็นสิ่งนี้เกิดที่ไหนอีกในโลก รวมทั้งในไทย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/195037/ศูนย์พิทักษ์ฯ-สลดใจกับโศกนาฏกรรมที่วัดพุทธถูกเผาที่บังกลาเทศ
22195  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชมภาพชุด "อีกมุมหนึ่งของ..วิถีชีวิตสุดแออัดในฮ่องกง" เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 09:22:44 am



ชมภาพชุด "อีกมุมหนึ่งของ..วิถีชีวิตสุดแออัดในฮ่องกง"
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม ขอขอบคุณภาพประกอบจาก hongwrong.com

เมื่อกล่าวถึงเกาะฮ่องกง หลายคนอาจนึกถึงความมั่งคั่ง เนื่องจากเกาะฮ่องกงถือเป็นเมืองที่ร่ำรวยเมืองหนึ่งของโลก แต่ใครเล่าจะเชื่อว่าในอีกมุมหนึ่งชาวฮ่องกงบางส่วนกลับมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากแออัดเบียดเสียดอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม เว็บไซต์ hongwrong.com ได้เปิดเผยภาพชุด "บ้าน" หรือ "กล่องรองเท้า" ซึ่งเผยให้เห็นอีกมุมหนึ่งของวิถีชีวิตสุดแออัดของชาวฮ่องกงที่ไม่ได้ร่ำรวยและหรูหราอย่างที่ทุกคนคิด

สำหรับภาพชุดดังกล่าว ถ่ายทอดโดย เบนนี แลม ช่างภาพฮ่องกง ซึ่งได้สำรวจความเป็นอยู่จากมุมเพดาน พร้อมระบุว่า พื้นที่อยู่อาศัยของเกาะฮ่องกงมีไม่ถึงร้อยละ 7 ของพื้นที่ทั้งหมด ขณะที่ผู้อยู่อาศัยไม่น้อยต้องรอคอยเป็นเวลาหลายปีเพื่อจะได้อยู่บ้านเคหะของรัฐ
      และเพื่อรองรับความต้องการของประชาชนที่เพิ่มขึ้น
      รัฐจึงต้องแบ่งอพาร์ทเม้นท์ ซอยพื้นที่จนเล็กขนาดเท่าที่เก็บรองเท้าก็ว่าได้
      จนเกิดการเรียกขานอีกนิยามของบ้านฮ่องกงว่า "กล่องรองเท้า"








ทั้งนี้ จากการสำรวจแฟลตจำนวน 4,045 แห่ง ที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ใน 6 เขตพื้นที่ของฮ่องกง เมื่อเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนที่ผ่านมา พบว่า ร้อยละ 42 หรือ จำนวน 1,639 แห่ง ได้มีการปรับแบ่งพื้นที่ขนาด 1 ห้อง เป็น 10 ห้องเลยทีเดียว ซึ่งโดยปกติแล้วจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1 ห้อง แบ่งเป็น 4.3 ห้อง

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังระบุว่า ค่าเช่ารายเดือนในเดือนตุลาคม อยู่ที่ 27 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อพื้นที่ 1 ตารางฟุต สูงกว่าอัตราเฉลี่ย ที่ 22.20 ดอลลาร์ฮ่องกง และความหนาแน่นต่อพื้นที่อยู่ที่ 6,936 คนต่อ 1 ตารางกิโลเมตร โดยผู้อยู่อาศัยอย่างน้อยร้อยละ 10 ของประชากรเมืองฮ่องกง เป็นผู้มีรายได้ต่ำกว่าเส้นฐานยากจน







ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU5qVXdPVFU1TUE9PQ==&sectionid=
22196  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระใจบุญเลี้ยงควาย 15 ตัว..อย่างดี เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 09:13:06 am


พระใจบุญเลี้ยงควาย 15 ตัว..อย่างดี

พระใจบุญเลี้ยงควาย 15 ชีวิต เป็นอย่างดีแม้ไม่มีเงินพอซื้ออาหาร ต้องเจียดผลไม้ที่ญาติโยมถวายแบ่งควายกิน สร้างความเลื่อมใสแก่ชาวบ้านอย่างมาก

วันนี้ ( 26 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวเดินทางตรวจสอบที่วัดหน้าเขาบ่อทอง  ต.เหมือง  อ.เมือง จ.ชลบุรี  หลังได้รับทราบข้อมูลจากชาวบ้านว่าวัดดังกล่าวมีพระใจบุญเลี้ยงควาย 15 ตัว  ภายในวัด  โดยดูแลควายทุกตัวเป็นอย่างดี  แต่ช่วงนี้ประสบปัญหาอาหารควายขาดแคลนต้องให้ควายทั้ง 15 ตัว กินกล้วยและผลไม้ที่ญาติโยมนำมาถวายพระแทนหญ้าหรือฟาง                    

เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึงที่วัดพบควายลักษณะดี  เขาสวยงามจำนวนมากถูกผูกไว้กับต้นไม้  บริเวณลานหน้าวัดเพื่อรอเวลาให้พระครูวิจิตรพัฒนโสภณ  เจ้าอาวาสวัดหน้าเขาบ่อทองมาให้อาหารในเวลา 13.00 น.  เมื่อเจ้าอาวาสมาถึงควายทุกตัวจะมีอาการดีใจลุกขึ้นต้อนรับ  จากนั้นเจ้าอาวาสจะนำกล้วยและผลไม้ที่ญาติโยมใส่บาตรหรือนำมาถวายโยนให้ควายทั้ง 15 ตัวกินเป็นอาหารแทนหญ้าหรือฟาง 
   



                 

พระครูวิจิตรพัฒนโสภณ  กล่าวว่า เดิมทีเมื่อพ.ศ.2545  ที่วัดมีควายเลี้ยงเพียง 2 ตัว  เนื่องจากมีคนไปไถ่ชีวิตโคกระบือมาแล้วไม่มีที่เลี้ยงจึงนำมาถวายวัดแต่ปัจจุบันควายผสมพันธุ์แล้วออกลูกออกหลานถึง 15 ตัว สาเหตุที่ต้องให้ควายกินผลไม้แทนหญ้าเนื่องจากบริเวณวัดมีหญ้าไม่เพียงพอต่อจำนวนควาย  อีกทั้งการสั่งซื้อฟางต้องสั่งจากจังหวัดสิงห์บุรีและปราจีนบุรี เสียค่าใช้จ่ายสูงถึงครั้งละ 15,000 บาท  ด้วยความที่ไม่อยากให้ควายอดจึงนำกล้วยน้ำว้าและผลไม้ที่ญาติโยมนำมาถวายให้ควายกินแทนหญ้าหรือฟาง   
                     

ผู้สื่อข่าวยังพบว่าภายในวัดดังกล่าวมีสุนัขที่ประชาชนนำมาปล่อยอีกมากกว่า 30 ตัว  ซึ่งพระและเด็กวัดต่างวอนขออย่าให้ประชาชนนำสัตว์มาปล่อยเพื่อเพิ่มภาระแก่ที่วัดอีกด้วย.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/174727



เผยแพร่เมื่อ 26 ธ.ค. 2012 โดย สรศักดิ์ บริบูรณ์
22197  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: "เสียงสวดคาถาพญาไก่เถื่อน ๑๐๘ จบ" มอบเป็นของขวัญปีใหม่..ขอรับ เมื่อ: ธันวาคม 26, 2012, 09:11:12 pm

:25: :25: :25:
22198  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มมร.ยก "ระฆังอโศกพุทธชยันตี" หนึ่งเดียวในโลก เมื่อ: ธันวาคม 25, 2012, 11:58:42 pm


มมร.ยก "ระฆังอโศกพุทธชยันตี" หนึ่งเดียวในโลก

รักษาการรองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ร่วมด้วยศิษยานุศิษย์ประกอบพิธียกระฆังอโศกพุทธชยันตี ใบเดียวในโลกต่อยอดปณิธานของท่านสมเด็จพระญาณวโรดม

วันนี้( 22 ธ.ค. ) ที่มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม พระครูปรีชาธรรมวิธาน รักษาการรองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ร่วมด้วยศิษยานุศิษย์ประกอบพิธียกระฆังอโศกพุทธชยันตี ใบเดียวในโลกต่อยอดปณิธานของท่านสมเด็จพระญาณวโรดม อดีตอธิการบดีและอุปนายกสภามหาวิทยาลัยฯ
     เพื่อติดตั้งชั้นบนสุดของหอระฆัง โดยนักศึกษาวิจัยและหล่อขึ้นเป็นพิเศษ
     ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100 ซม. สูงตั้งแต่ขอบล่างถึงส่วนบน 180 ซม.
     น้ำหนักประมาณ 1.5 ตัน งบประมาณกว่า 2 ล้านบาท


     พระครูปรีชาธรรมวิธาน เปิดเผยว่า ระฆังอโศกพุทธชยันตีใบนี้ ผ่านการศึกษาวิจัยในเรื่องของเสียงเป็นระยะเวลานาน จนเกิดความสมบูรณ์ที่สุด มีความดังกังวานไปไกลไปทุกทิศ
     พร้อมจารึกอักษรพรหมี เป็นตัวหนังสือลายพระหัตถ์ของสมเด็จฯ ทุ สะ นิ มะ คือ
     หัวใจอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
     ส่วนนามของระฆัง หมายความถึงการต่อยอดพระพุทธศาสนา 
     แม้ว่าจะสิ้นไปแล้ว 2,600 ปีแล้วก็ตาม แต่เสียงแห่งธรรมยังดังกึกก้องในใจของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก




ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/173878
22199  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สลด.! 'พระไทย' มรณภาพ 3 รูป ในอังกฤษ เมื่อ: ธันวาคม 25, 2012, 11:51:47 pm


สลด.! 'พระไทย' มรณภาพ 3 รูป ในอังกฤษ

เกิดเหตุสลดครั้งใหญ่วงการพระธรรมทูต พระไทยในอังกฤษประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์มรณภาพ 3 รูป จนท.สถานทูตไทยรุดเยี่ยมคนเจ็บอำนวยความสะดวกนำศพกลับไทย

25ธ.ค.2555 สำนักข่าวบีบีซีประเทศอังกฤษรายงานว่า เกิดอุบัติเหตุบนถนนสาย A68 ในประเทศอังกฤษ เมื่อเวลา 07:30 น. (เช้าตรู่) ของวันที่ 24 ธันวาคม 2555  ตามเวลาท้องถิ่น พบผู้เสียชีวิตในรถเป็นชายจำนวน 3 คน และมีสตรีและบุรุษบาดเจ็บอีก 2 คน  โดยระบุว่าเป็นพระในพระพุทธศาสนา 3 รูปที่มรณภาพ

     ทั้งนี้เว็บไซต์ http://www.alittlebuddha.com ของวัดไทยลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รายงานว่า ได้ติดต่อสอบถามไปยังพระปัญญาพุทธิวิเทศ (เจ้าคุณเหลา ปญฺญาสิริ) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุประเทศอังกฤษ เลขาธิการองค์การพระธรรมทูตไทยในประเทศอังกฤษ  ก็ได้รับคำตอบว่า ทั้ง 3 รูปที่มรณภาพนั้นเป็นพระไทย

     โดยรูปแรกนั้นคือ พระมหาประนอม ธมฺมวิริโย นามสกุล ทองไพบูลย์ อายุ 44 ปี เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธาราม เมืองอเบอร์ดีน ประเทศสก็อตแลนด์ เดิมเป็นชาวอำเภอแปดริ้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา อดีตเคยจำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุประเทศอังกฤษ  เพิ่งเดินทางกลับมาจากเมืองไทยเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา

     รูปที่สองคือ พระมหาเกรียงไกร นิรุตฺติเมธี นามสกุล คำสำโรง ป.ธ.3, พธ.บ., บธ.ม., พระธรรมทูตสายต่างประเทศ มจร  รุ่น 15 (2552) อายุ 34 ปี พระธรรมทูตวัดพุทธปทีป กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นพระอาคันตุกะ สังกัดเดิมวัดประชาศรัทธาธรรม บางซื่อ กรุงเทพฯ  มีกำหนดจะเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 5 มกราคมที่จะถึงนี้

     ส่วนรูปที่สามคือ พระมหาชัย สุตเมธี นามสกุล บุญมา อายุ 36 พรรษา 14 วิทยฐานะ น.ธ.เอก, ป.ธ.3, พธ.บ.  สังกัดเดิมวัดพระงาม ต.พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม ได้มาปฏิบัติหน้าที่เป็นพระธรรมทูตที่วัดพุทธปทีป กรุงลอนดอน ตั้งแต่ปี 2547 และระหว่างปี 2552-2554 ได้เป็นกำลังสำคัญในการริ่เริ่มสร้างวัดสังฆปทีป เพื่อเป็นศูนย์รวมใจ ศูนย์ปฏิบัติธรรมและศึกษาพระพุทธศาสนาสำหรับชุมชนชาวไทยและชาวต่างชาติ ในแคว้นเวลส์

      ทั้ง 3 รูป ได้รับนิมนต์จากญาติโยมชาวสก็อตแลนด์ เพื่อเดินทางไปเจริญพระพุทธมนต์ฉันเพลในวันที่ 26 ธ.ค.นี้ และได้เดินทางออกจากวัดพุทธประทีป กรุงลอนดอน ในเวลาประมาณ 4 ทุ่ม กำหนดเดินทางให้ถึงประเทศสก็อตแลนด์ในเวลาเช้า แต่ต้องมาประสบอุบัติเหตุเสียก่อน



      พระปัญญาพุทธิวิเทศ ยังอธิบายด้วยว่า คณะที่เดินทางไปมีทั้งหมด 5  รูป/คนด้วยกัน โดยมีนายสังข์ทอง เพ็ญศรีใส อดีตพระมหาสังข์ทอง ธมฺมจาโร ป.ธ.5, พธ.บ., ศษ.ม., พระธรรมทูตสายต่างประเทศ มจร  รุ่น 8 (2545) อายุ 46 ปี วัดพุทธปทีป กรุงลอนดอน สังกัดเดิมวัดธาตุ อ.เมือง ขอนแก่น ที่เพิ่งลาสิกขา พ.ศ.2555  เดินทางไปด้วยเพื่อคอยรับใช้พระธรรมทูต  อีกคนหนึ่งเป็นสุภาพสตรีและเป็นคนขับรถ

       โดยนายสังข์ทองนั่งคู่กับคนขับที่ด้านหน้า ส่วนพระไทยทั้ง 3 รูปนั้นนั่งเบาะหลังทั้งหมด เมื่อเกิดอุบัติเหตุนั้น พบว่าพระไทยทั้ง 3 รูปมรณภาพในรถ ส่วนสุภาพสตรีและนายสังข์ทองได้รับบาดเจ็บ แต่อาการไม่สาหัส ขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอดินเบอระ รอยัล อินเฟอร์แมรี่ (Edinburgh Royal Infirmary)

      พระมหาภาสกรณ์ ปิโยภาโส ผู้ช่วยเลขาธิการองค์กรพระธรรมทูตไทยในประเทศอังกฤษ กล่าวว่า สำหรับการจัดการเรื่องทำพิธีศพนั้น พระราชภาวนาวิมล วิ. เจ้าอาวาสวัดพุทธปทีป หัวหน้าองค์กรพระธรรมทูตไทยในสหราชอาณาจักร แจ้งว่า เบื้องต้นจะขออนุญาตจากทางการเพื่อนำศพพระธรรมทูตทั้ง 3 รูป กลับมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดพุทธปทีป และจะจัดบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมตามระยะเวลาที่เห็นสมควร ก่อนที่จะดำเนินการเคลื่อนย้ายศพกลับประเทศไทยตามคำร้องขอของญาติ ๆ ต่อไป

     การสูญเสียพระธรรมทูตไทยพร้อมกัน 3 รูป จากอุบัติเหตุในครั้งนี้ นับว่าเป็นโศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงที่สุด นับตั้งแต่ที่พระธรรมทูตไทยได้เดินทางมาปฏิบัติศาสนกิจที่สหราชอาณาจักรเป็นระยะเวลากว่า 45 ปี นำความเศร้า ความสลดใจมาสู่คณะสงฆ์ไทย  คณะญาติโยมพุทธศาสนิกชนชาวไทย ตลอดจนถึงญาติมิตรของพระสงฆ์ทั้งสามรูปเป็นอย่างมาก

     "องค์กรพระธรรมทูตไทยในสหราชอาณาจักร และชุมชนชาวไทย ขอแสดงความไว้อาลัยต่อการจากไปของท่านทั้งสามรูปในครั้งนี้อย่างสุดซึ้ง ขออำนาจกุศลบุญบารมีจงช่วยส่งดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของท่านทั้งสามไปสู่สุคติในสัมปรายภพด้วยเทอญ" พระมหาภาสกรณ์  กล่าว

จนท.สถานทูตไทยรุดเยี่ยมคนเจ็บ
      กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้รับรายงานว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจของสก็อตแลนด์กำลังอยู่ระหว่างการชันสูตรพลิกศพ ยังไม่สามารถนำศพกลับไปที่วัดได้ โดยทางสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอนได้ประสานงานกับทางตำรวจสก็อตแลนด์ และแจ้งวัดทั้ง 3 แห่ง เพื่อติดต่อญาติของพระทั้ง 3 รูปแล้วว่า

      หลังชันสูตรพลิกศพเสร็จจะนำศพกลับมาทำพิธีทางศาสนาที่ประเทศไทย หรือ จะทำที่วัดที่พระทั้ง 3 รูปอยู่ ส่วนฆราวาสอีก 2 คนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เดียวกันนั้น ล่าสุดได้ส่งเจ้าหน้าที่กงสุลไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล และสอบถามรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว


ขอบคุณภาพข่าวจาก

(หมายเหตุ : ที่มาของภาพ   http://www.alittlebuddha.com และ http://www.bbc.co.uk/news/uk-scotland-south-scotland-20836983)
22200  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: "เสียงสวดคาถาพญาไก่เถื่อน ๑๐๘ จบ" มอบเป็นของขวัญปีใหม่..ขอรับ เมื่อ: ธันวาคม 25, 2012, 11:37:57 pm
     
         "หูฟัง ใจสงบ ตาเป็นทิพย์".....คำสอนหลวงปู่

                ขอแนะนำให้ใช้ หูฟังแบบครอบหัว (head phone) แล้วน้อมนำคาถานี้ลงใส่จิต

          ท่านใดต้องการดาวน์โหลดคาถานี้ ต้องขออภัยด้วยครับ
          ไม่สามารถอัพโหลดขึ้นเว็บมัชฌิมาได้ เนื่องจากไฟล์ใหญ่มาก เกินข้อจำกัดทางเทคนิคของเว็บนี้
          อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้ใช้โปรแกรม IDM หรือ Real Player ดาวน์โหลดเอาเองจาก Youtube

           :25: :25: :25: :s_good: :s_good: :s_good: :25: :25: :25: :s_good: :s_good: :s_good:
หน้า: 1 ... 553 554 [555] 556 557 ... 707