ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การปฏิบัติภาวนา เพื่อสู่การเป็นพุทธสาวกนั้น ต้องมีสมาธิ ระดับไหนครับ  (อ่าน 4383 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

pakorn

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 65
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
ผมได้ไปสวดมนต์แปลที่วัดชลประทาน มาในเรื่องของ สัมมาสมาธิ ซึ่งมีข้อความแปลว่า สัมมาสมาธิ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติฌาน จตุตถฌาน แล้วไปจบที่เรื่องของ อุเบกขา 6

แท้ที่จริงแล้ว การภาวนา ในฝ่ายปัญญาวิมุตติ ก็ควรจะมีสมาธิ ถึงขั้น ปฐมฌาน ใช่มั๊ยครับ
บันทึกการเข้า

noppadol

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +13/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 144
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
0
ตั้งแต่ ขณิกะสมาธิ ขึ้นไปครับ ( มหาสีสะดายอ )
อุปจาระสมาธิ ในพระสูตรส่วนใหญ่ จะอ่านพบตรงนี้มากๆ :angel:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 28363
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ขอติดเอาไว้ก่อน ปีหน้า จะหาคำตอบโดนๆ มาฝาก

อดใจรอสักนิด
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 28363
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ผมได้ไปสวดมนต์แปลที่วัดชลประทาน มาในเรื่องของ สัมมาสมาธิ ซึ่งมีข้อความแปลว่า สัมมาสมาธิ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติฌาน จตุตถฌาน แล้วไปจบที่เรื่องของ อุเบกขา 6

แท้ที่จริงแล้ว การภาวนา ในฝ่ายปัญญาวิมุตติ ก็ควรจะมีสมาธิ ถึงขั้น ปฐมฌาน ใช่มั๊ยครับ


คุณปกรณ์ ลองอ่าน ข้อความข้างล่างนี้ แล้วจะทราบคำตอบที่อยากรู้

อรหันต์ ๒ (ผู้บรรลุอรหัตตผลแล้ว, ท่านผู้สมควรรับทักษิณาและการเคารพบูชาอย่างแท้จริง — an Arahant; arahant; Worthy One)

๑. สุกขวิปัสสก (ผู้เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ว คือ ท่านผู้มิได้ฌาน สำเร็จอรหัตด้วยเจริญแต่วิปัสสนาล้วน ๆ — the dry-visioned; bare-insight worker)

๒. สมถยานิก (ผู้มีสมถะเป็นยาน คือ ท่านผู้เจริญสมถะจนได้ฌานสมาบัติแล้วจึงเจริญวิปัสสนาต่อจนได้สำเร็จอรหัต — one whose vehicle is tranquillity; the quiet-vehicled)
____________________________________________________________

แต่คัมภีร์ทั้งหลายนิยมจำแนกเป็น ๒ อย่าง เหมือนในหมวดก่อนบ้าง เป็น ๕ อย่างบ้าง  ที่เป็น ๕ คือ
 
๑. ปัญญาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา — one liberated by wisdom)
 
๒. อุภโตภาควิมุต (ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ได้ทั้งเจโตวิมุตติ ขั้นอรูปสมาบัติก่อนแล้วได้ปัญญาวิมุตติ — one liberated in both ways)

๓. เตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา ๓ — one possessing the Threefold Knowledge)

๔. ฉฬภิญญะ (ผู้ได้อภิญญา ๖ — one possessing the Sixfold Superknowledge)

๕. ปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ — one having gained the Four Analytic Insights)
 
ทั้งหมดนี้ ย่อลงแล้วเป็น ๒ คือ

พระปัญญาวิมุต กับพระอุภโตภาควิมุตเท่านั้น 

พระสุกขวิปัสสก ที่กล่าวข้างต้น เป็น พระปัญญาวิมุต ประเภทหนึ่ง (ในจำนวน ๕ ประเภท)
 
พระเตวิชชะ กับพระฉฬภิญญะ เป็น อุภโตภาควิมุต ที่ไม่ได้โลกิยวิชชาและโลกิยอภิญญา ก็มี  ส่วนพระปฏิสัมภิทัปปัตตะ ได้ความแตกฉานทั้ง ๔ ด้วยปัจจัยทั้งหลาย คือ การเล่าเรียน สดับ สอบค้น ประกอบความเพียรไว้เก่าและการบรรลุอรหัต

ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ของ ป.อ.ปยุตโต


คุณปกรณ์ อ่านที่ตัวหนังสือสีแดงให้ดี โดยเฉพาะคำว่า "สุกขวิปัสสก" จะทราบว่า อรหันต์ประเภทปัญญาวิมุต ไม่มีฌานเลย

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 28363
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ตั้งแต่ ขณิกะสมาธิ ขึ้นไปครับ ( มหาสีสะดายอ )
อุปจาระสมาธิ ในพระสูตรส่วนใหญ่ จะอ่านพบตรงนี้มากๆ :angel:

ผมขออนุญาตช่วยเสริมคุณนพดล โดยขอนำคำเทศนาของพระอาจารย์สองท่านมาให้อ่าน ดังนี้

เปรียบเทียบสมถะ-วิปัสสนา
โดย พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรํสี)





ขอนำบทความบางตอนมาแสดงดังนี้

การเจริญวิปัสสนานั้นเมื่อทำถึงขั้นโลกุตระแล้วกิเลสจะขาดลง
แต่ขณะที่ ยังไม่ถึงโลกุตระขณะที่ยังเป็นวิปัสสนาญาณอยู่
ก็จะละเป็น ตทังคปหานเป็นขณะๆ ไป

มีสติรู้ทันกิเลสก็ถูกละไปขณะหนึ่ง เผลอสติอ้าว กิเลสเกิดขึ้นอีก
เพราะฉะนั้นเจริญวิปัสสนาที่ใช้ขณิกสมาธิคือสมาธิสงบเล็กน้อย
นิวรณ์ย่อมเกิดขึ้นได้ ความงาวงเหงาหาวนอน ความท้อถอย
ความกำหนัดยินดี ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ความพยาบาทเกิดขึ้นได้ในจิตใจของโยคาวจร
คือ ผู้ที่เจริญวิปัสสนาอยู่ ที่ไม่ได้ฌาน แบบว่าทำวิปัสสนาไปเป็นขณิกสมาธิ

เพราะฉะนั้น นิวรณ์หรือกิเลสต่างๆ ก็เกิดขึ้นได้ ก็เจริญสติระลึกรู้ไป
กิเลสอันใดเกิดก็รู้ไป ก็ละไปขณะหนึ่ง เผลอสติก็เกิดขึ้นก็รู้ทัน
เหมือนการเดินทาง คนเจริญวิปัสสนาก็เหมือนเดินทางไปกลางแดดไม่มีที่พัก
มันก็ร้อนหน่อย


คนเจริญสมถะก็เหมือนกับว่าเดินทางไปมีศาลาพักร้อนหลบร้อนเย็นสบาย
แต่ถ้าไม่เดินต่อไปก็ไม่ถึงเป้าหมายที่หมายเหมือนกัน จะติดอยู่ที่ศาลาพักร้อนชมนกชมไม้ชมแม่น้ำลำธาร เหมือนคนที่เจริญสมถะพอได้สมาธิก็ติดสมาธิ ติดในความสุขติดในความสงบ ก็หยุดแค่นั้นไม่ได้ปัญญาได้แต่ความสงบ

ฉะนั้นถ้าจะเจริญสมถะก่อนก็อย่าหยุดยั้งแค่ความสงบเท่านั้น ก็ต้องต่อให้ขึ้นสู่วิปัสสนา
หรือคนจะเจริญวิปัสสนาไปเลย ไม่ต้องไปหันทำฌานก่อนก็ได้เหมือนกัน

แต่ก็ย่อมมีนิวรณ์รบกวนอยู่ แต่ก็ต้องมีความฉลาด คือเมื่อเกิดกิเลสเกิดนิวรณ์อันใด ก็เอานิวรณ์หรือเอากิเลสนั้นน่ะเป็นกรรมฐาน คือเป็นที่ตั้งของสติ เอาสติกำหนดรู้
เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ก็เอาโลภะ โทสะ โมหะ เป็นกรรมฐาน


กรรมฐานก็คือที่ตั้งของสติ ก็กลายเป็นประโยชน์ได้ กิเลสก็กลายเป็นประโยชน์ได้ การเจริญวิปัสสนานั้นก็จะต้องระลึกที่ปรมัตถ์ ระลึกที่ปรมัตถธรรม ปรมัตถ์ก็หมายถึงสิ่งที่เป็นจริง มีจริง เป็นของจริง

___________________________________________________________

ส่องทางสมถวิปัสสนา
แสดงธรรมโดย พระราชนิโรธรังสี (เทสก์ เทสรังสี)
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย



ขอนำคำเทศนาบางตอนมาแสดงดังนี้

วิปัสสนาปัญญา วิปัสสนาปัญญาเป็นผลออกมาจากอุปจารสมาธิโดยตรง ได้อธิบายมาแล้วข้างต้นว่า อุปจารสมาธิเป็นที่ตั้งขององค์ปัญญา อธิบายว่า วิปัสสนาปัญญาจะเกิดนั้น สมาธิต้องตั้งมั่นลงเสียก่อนจึงจะเกิดขึ้นได้ มิใช่เกิดเพราะฌานซึ่งมีแต่การเพ่งความสุขสงบอยู่หน้าเดียว และมิได้เกิดจากอัปปนาสมาธิอันหมดจากสมมติสัญญาภายนอกเสียแล้ว

จริงอยู่ เมื่อจิตยังไม่ถึงอัปปนาสมาธิ วิปัสสนาปัญญาไม่สามารถจะทำหน้าที่ละสมมติของตนให้ถึงอาสวขัยได้ แต่ว่าอัปปนาเป็นของละเอียดกว่าสัญญาภายนอกเสียแล้ว จะเอามาใช้ให้เห็นแจ้งในสังขารนี้อย่างไรได้ อัปปนาวิปัสสนาปัญญาเป็นผู้ตัดสินต่างหาก อุปจารวิปัสสนาปัญญาเป็นผู้สืบสวนคดี

ถ้าไม่สืบสวนคดีให้มีหลักฐานถึงที่สุดแล้ว จะตัดสินลงโทษอุปาทานอย่างไรได้ ถึงแม้ว่าอัปปนาวิปัสสนาปัญญาจะเห็นโทษของอุปาทานว่าผิดอย่างนั้นแล้ว แต่ยังหาหลักฐานพยานยังไม่เพียงพอ ก็คงไม่สมเหตุสมผลอยู่นั่นเอง เหตุนั้น วิปัสสนาปัญญาจึงได้ยึดเอาตัวสังขารนี้เป็นพยาน เอาอุปจารสมาธิเป็นโรงวินิจฉัย


____________________________________________________________


ถึงตรงนี้ คุณปกรณ์และคุณนพดล อาจจะสงสัยว่า ทำไม สัมมาสมาธิ หมายถึง ฌาน ๔

ผมก็สงสัยเหมือนกัน และกำลังหาคำตอบอยู่

อย่างไรก็รบกวนคุณทั้งสอง ช่วยไปถามอาจารย์สนธยา ในห้องสนทนาธรรม นะครับ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ