ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - ธัมมะวังโส
หน้า: 1 ... 28 29 [30] 31 32 ... 35
1161  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / ถ้าวันนี้ไม่มีเสียง RDN แสดงว่าสัญญาเช่า หมด แล้ว เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2011, 06:18:26 am
ถ้าวันนี้ไม่มีเสียงสัญญาณ RDN แสดงว่าสัญญาเช่า สัญญาณ หมด ลงแล้ว
จะทำการเปลี่ยนสัญญาเช่า น่าจะใช้เวลา 7 วัน รวมทั้งการเปลี่ยน Code ด้วย
โปรดอดใจรอหน่อย นะจ๊ะ

เจริญธรรม

 ;)
1162  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ความเป็นผู้มีลาภ กึ่งหนึ่ง และ ถึงภาวนากึ่งหนึ่ง เทียบไม่ได้กับการทำสัมมาสมาธิ เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2011, 06:47:48 am
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

             [๒๐๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ความเป็นผู้
ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ความเป็นผู้ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ความเป็นผู้ถือ
ทรงไตรจีวร ความเป็นพระธรรมกถึก ความเป็นพระวินัยธร ความเป็นผู้มี
พระพุทธพจน์อันได้สดับแล้วมาก ความเป็นผู้มั่นคง อากัปปสมบัติ บริวาร
สมบัติ ความเป็นผู้มีบริวารมาก ความเป็นกุลบุตร ความเป็นผู้มีผิวพรรณงาม
ความเป็นผู้เจรจาไพเราะ ความเป็นผู้มักน้อย ความเป็นผู้มีอาพาธน้อย นี้เป็นกึ่ง
หนึ่งของลาภ ฯ
             [๒๐๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเจริญปฐมฌานแม้ชั่วกาลเพียงลัด
นิ้วมือ ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจากฌาน ทำตามคำสอนของพระศาสดา
ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะป่วยกล่าวไปไย
ถึงผู้กระทำให้มากซึ่งปฐมฌานนั้นเล่า ฯ
             [๒๐๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุผู้เจริญทุติยฌานแม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้ว
มือ  ... เจริญตติยฌาน  ... เจริญจตุตถฌาน  ... เจริญเมตตาเจโตวิมุติ  ... เจริญ
กรุณาเจโตวิมุติ ...  เจริญมุทิตาเจโตวิมุติ  ... เจริญอุเบกขาเจโตวิมุติ ...
พิจารณากายในกายอยู่ พึงเป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา
และโทมนัสในโลก ...  พิจารณาเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ ...  พิจารณาจิตในจิต
อยู่ ...  พิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ ...  ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภ
ความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อไม่ให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น ...  ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้
เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว ...   ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภ
ความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ...
ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อความ
ตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฝือ เพื่อความมีมาก เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความ
บริบูรณ์แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ...  เจริญอิทธิบาทที่ประกอบด้วยฉันทสมาธิ
ปธานสังขาร ...  เจริญอิทธิบาทที่ประกอบด้วยวิริยสมาธิปธานสังขาร ...  เจริญอิทธิ
บาทที่ประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร ...  เจริญอิทธิบาทที่ประกอบด้วยวิมังสา
สมาธิปธานสังขาร ... เจริญสัทธินทรีย์ ...  เจริญวิริยินทรีย์ ...  เจริญสตินทรีย์ ...
เจริญสมาธินทรีย์ ...  เจริญปัญญินทรีย์ ...  เจริญสัทธาพละ ...  เจริญวิริยพละ ...
เจริญสติพละ ...  เจริญสมาธิพละ ...  เจริญปัญญาพละ ...  เจริญสติสัมโพชฌงค์
...  เจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ...  เจริญวิริยสัมโพชฌงค์ ...  เจริญปีติสัมโพชฌงค์
เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ...  เจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ ...  เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์
...  เจริญสัมมาทิฏฐิ ... เจริญสัมมาสังกัปปะ ...  เจริญสัมมาวาจา ... เจริญ
สัมมากัมมันตะ ...  เจริญสัมมาอาชีวะ ...  เจริญสัมมาวายามะ ...  เจริญสัมมาสติ
... ถ้าภิกษุเจริญสัมมาสมาธิแม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้วมือ ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่
เหินห่างจากฌาน ทำตามคำสอนของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาต
ของชาวแว่นแคว้นเปล่า จะป่วยกล่าวไปไยถึงผู้กระทำให้มากซึ่งสัมมาสมาธิเล่า ฯ
1163  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / วัตถุมงคล จำเป็นสำหรับ ชาวพุทธหรือไม่ ? เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2011, 08:35:18 am




วัตถุมงคล จำเป็นสำหรับ ชาวพุทธหรือไม่ ?





จำเป็นของเรา อาจจะไม่จำเป็นของเขา จำเป็นของเขา อาจจะไม่จำเป็นของเรา

ถ้าเอาเงื่อนไข คนอื่นวัดตัวเรา ปัญหาที่ถามก็สร้างความขัดแย้งกันไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ถึงแม้ผู้รู้ต่าง ๆ จะแสดงความคิดเห็น ก็มีทั้งชอบและไม่ชอบ แตกต่างกันด้วยเหตุ และ ผล

ดังนั้นย้อนถามกลับไปว่า

  คุณมีความจำเป็น ต้องมี ต้องบูชา ต้องนับถือ วัตถุมงคล หรือไม่ ?

  ถ้าตอบว่าไม่

  ที่ภาคเหนือ มีคุณยายคนหนึ่ง เป็นโรคเรื้อนตั้งแต่สาว ๆ จนอายุ 70 ปี เธอคิดจะฆ่าตัวตายก็หลายครั้ง

แต่ทุกครั้ง ที่เธอไปนั่งมองพระพุทธรูปในบ้าน เธอก็มีกำลังใจจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวคนเดียว มาตลอด 60 ปี

ที่ไม่ได้สนทนาอยู่กับใคร จนกระทั่งมือเธอเริ่มหดหาย กระดูกหน้ายุบ เท้าและมือถูกโรคเรื้อนกินจนเป็นคน

พิการอย่างผิดรูปเดิม ความทุกข์ที่ทับถมโยมยายท่านนี้ ไม่เกินคำบรรยาย แต่สรณะที่พึ่งของคุณยายก็คือ

วัตถุมงคล และ พระธรรมที่ค่อย ขยับประจุเข้าไปในใจคุณยาย อย่างต่อเนื่อง


  นี่เป็นเคสหนึ่ง ที่พระพุทธรูปวัตถุมงคล มีความสำคัญต่อจิตใจของผู้นับถือ


  แต่ถ้าตอบว่าใช่

  สิ่งสักการะเหล่านี้ อาจเป็นเหตุให้เราไม่ถึงธรรม ก็ได้เพราะเราเอาใจเกาะเกี่ยวพึ่งพาแต่วัตถุมงคลต่าง ๆ เหล่านี้ จนลืมไปว่า การภาวนานั้น ต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น ไม่ใช่ให้คนนั้นไปภาวนาแล้วเราจะเป็นผู้บรรลุ

โจทย์นี้ถึงจะตอบอย่างไร ก็ใช่ว่าจะถูกใจ คนทุกระดับ เพราะชาวพุทธนั้น มีอยู่หลายระดับ

  เจริญธรรม

   ;)
1164  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / รับบริจาค แบตเตอรี่รถยนต์ ที่ไม่ใช้แล้ว หรือเสื่อม เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2011, 07:47:10 am


ถ้าใครมี แบบเตอรี่ ที่เสื่อมเก็บไว้อยู่ที่บ้าน ถ้าเกะกะมาก
หรือเก็บไว้แล้วดูไม่มีประโยชน์
หรือใครกำลังจะเทิร์นเพื่อแลกลูกใหม่ในราคา 200 บาทก็มาเทิร์นได้ที่ อาตมานะจ๊ะ
ตอนนี้ต้องการประมาณ 5 ลูกนะจ๊ะ
ก็มาบริจาคได้ที่ สนง.นะจ๊ะ
จะนำมาซ่อมใช้กับโครงการ เซลล์สุริยะ นะจ๊ะ

หรือใครต้องการให้ตัวใหม่ก็ได้

เจริญพร
 ;)
1165  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ท่านคิดอย่างไรกับการไหว้พระราหู คะ เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2011, 07:44:06 am




ท่านคิดอย่างไรกับการไหว้พระราหู คะ



สำหรับปุถุชนแล้ว การกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นธรรมดา นะจ๊ะ เพราะที่พึ่ง และ ความหวังของเขานั้นเป็นส่วนที่ทำให้เกิดความนับถือ

พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนว่าถ้าคุณเคารพพระรัตนตรัย แล้วคุณไม่ควรเคารพในเทวดา ต่าง ๆ นะจ๊ะ

การให้ความเคารพ การบูชา บุคคลที่ควรบูชา เป็นอุดมมงคล นะจ๊ะ อยู่ที่ปัญญาของท่านทั้งหลายใคร่ครวญ

เป็นพระห้ามไหว้ หรือ บุคคลอื่น ๆ หรือไม่ อันนี้อาจจะเข้าใจผิดกันนะ การที่พระไม่ไหว้ผู้ืือื่นบ้างจะทำให้เกิดมานะได้ว่า เรานี้สูงส่งต้องมีแต่คนกราบ คนไหว้ จะทำให้หลงตัวเองได้ ดังนั้นการภาวนาก็ให้เคารพตนเองให้ได้
แต่ก็ใ่ช่ว่าจะไปเที่ยวไหว้ เี่ที่ยวกราบไปดะ ก็ไม่ใช่ ให้ใช้สติปัญญา ควรหรือไม่ควรด้วยนะจ๊ะ

ดังนั้นท่านที่เป็นพุทธศาสนิกชน แบบเทวดา ไม่ได้หวังนิพพาน เพียงหวังให้ชีวิตมีความสุข ก็ย่อมมีความปรารถนาในสุขอันเกิดแต่โลกธรรม ก็ย่อมมีวิธีการที่จะเข้าถึงความสุขส่วนนั้นอีกแบบ

ส่วนท่านใดที่มีความปรารถนา ในพระนิพพาน ในพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ก็ต้องมั่นคงในพระรัตนตรัยให้มากขึ้น

ผิดไหมที่ท่านทั้งหลาย ยังไม่ต้องการนิพพานในพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ก็ตอบว่าไม่ผิด ขึ้นอยู่ที่ใจและความปรารถนาของท่านทั้งหลายที่บำเพ็ญกันมานั่นแหละคือคำตอบนะจ๊ะ

ดังนั้นการที่ท่านจะกราบ พระอินทร์ พระพรหม พ่อแม่ เืทพต่าง ๆ นั้นมีความผิดหรือไม่ ก็ตอบว่าไม่มีความผิดหรอกนะจ๊ะ เพราะเป็นการบูชา ที่เป็นกุศลอยู่

เจริิญธรรม

 ;)
1166  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ทำไมเวลานั่งกรรมฐาน รู้สึกกระวนกระวาย มากจนบางครั้งรู้สึกหงุดหงิด เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2011, 07:05:20 am




ทำไมเวลานั่งกรรมฐาน รู้สึกกระวนกระวาย มากจนบางครั้งรู้สึกหงุดหงิด คะ



นั่งกรรมฐาน ปกติแล้ว ควรจะมีใจสงบ นะจ๊ะ
แต่เข้าใจในสิ่งที่ถาม นะจ๊ะ เพราะส่วนใหญ่ นั้นมักจะนั่งกรรมฐาน ภาวนาตอนที่จิตไม่พร้อมในเบื้องต้น
คือชอบภาวนาตอนที่จิต คร่ำครวญ เป็นทุกข์ กระวนกระวาย เพราะมีความเข้าใจว่า ถ้านั่งกรรมฐานในขณะนั้น
จะทำให้จิตสงบลงในทันที มีหลายคนที่ทำอย่างนี้แล้ว ถามพระอาจารย์ว่าทำไมนั่งกรรมฐาน แล้วใจไม่สงบลง

เอาละขั้นตอนมีดังนี้นะจ๊ะ

ในยามที่จิตมีความกระวนกระวาย หรือ ทุกข์ อยู่นั้นการที่จะให้ใจสงบลงด้วยสมาธิ นั้นทำได้ยากถ้าเราไม่มีวสีในความชำนาญในสมาธิ ไม่มีทางที่จะทำให้ใจสงบลงได้นะจ๊ะ

ดังนั้นผู้ปฏิบัติ ควรทำดังนี้

1. หางานให้จิตทำ กวาดบ้าน จัดบ้าน อ่านหนังสือ ฟังธรรม สวดมนต์ สนทนากับกัลยาณมิตร แล้วแต่วิธีการ ที่จะชอบนะจ๊ะ เจริญสติ ระลึกนึกถึง ความตาย ก่อน เพื่อให้จิตมีสติ ก่อน

2. เมื่อจิตมีสติพร้อมแล้ว ก็ให้ภาวนาได้

3. การภาวนาทุกครั้ง อย่ามุ่งไปเรื่องเวลา และ ภาวนาทุกครั้งถวายการภาวนาเป็นพุทธบูชา

4. มุ่งที่ความสงบระงับแห่งจิต แม้เพียง เสี้ยววินาทีหนึ่งนั้น ก็ชื่อว่า ดีกว่าใช้เวลาเป็นวันโดยไม่มีความสงบระงับจากกิเลส คือ นิวรณ์ เป็นต้น

5.ทุกครั้งที่เกิดความขัดเคือง ให้แผ่เมตตาให้กับกิเลส คือ ความขัดเคือง ขอให้ความขัดเคืองจงเป็นสุข ๆ เถิด

แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอกับนักภาวนา มือใหม่ และ มือเก่า ที่ยังเจริญสมาธิไม่ได้ นะจ๊ะ

เจริญธรรม

 ;)
1167  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / วันอัฏฐมีบูชา วันที่ชาวพุทธส่วนใหญ่มักจะลืม( วันนี้จัดเป็นวัน อัฏฐมีบูชา 26/5 ) เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2011, 06:43:59 am

ขอบคุณภาพจาก http://www.wathuadong.net/private_folder/picture_resize_2.jpg

วันอัฏฐมีบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง  คือ เป็นวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า หลังจากเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานได้  ๘ วัน คือหลังจากวันวิสาขบูชาแล้ว ๘วัน เป็นที่น่าเสียดายว่า วันอัฏฐมีบูชานี้ ในเมืองไทยเรามักลืมเลือนกันไปแล้ว  จะมีเพียงบางวัดเท่านั้น ที่จัดให้มีการประกอบกุศลพิธีในวันนี้
ประวัติ 
พิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ  หลังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานใต้ต้นสาละในราตรี  ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พวกเจ้ามัลลกษัตริย์จัดบูชาด้วยของหอม ดอกไม้  และเครื่องดนตรีทุกชนิด  ที่มีอยู่ใน เมืองกุสินาราตลอด ๗ วัน แล้วให้เจ้ามัลละระดับหัวหน้า ๘ คน  สรงเกล้า  นุ่งห่มผ้าใหม่ อัญเชิญพระสรีระไปทางทิศตะวันออก ของพระนคร เพื่อถวาย  พระเพลิง พวกเจ้ามัลละถามถึงวิธีปฏิบัติพระสรีระกับพระอานนท์เถระ  แล้วทำตามคำของพระเถระนั้นคือ ห่อพระสรีระด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี  แล้วใช้ผ้าใหม่ห่อทับอีก  ทำเช่นนี้จนหมดผ้า ๕๐๐ คู่ แล้วเชิญลงในรางเหล็กที่เติมด้วยน้ำมัน  แล้วทำจิตกาธานด้วยดอกไม้จันทน์  และของหอมทุกชนิด จากนั้นอัญเชิญ พวกเจ้ามัลละระดับหัวหน้า ๔ คน  สระสรงเกล้า และนุ่งห่มผ้าใหม่  พยายามจุดไฟที่เชิงตะกอน แต่ก็ไม่อาจให้ไฟติดได้ จึงสอบถามสาเหตุ  พระอนุรุทธะ พระเถระ  แจ้งว่า "เพราะเทวดามีความประสงค์ให้รอพระมหากัสสปะ และภิกษุหมู่ใหญ่ ๕๐๐  รูป ผู้กำลังเดินทางมาเพื่อถวายบังคมพระบาทเสียก่อน  ไฟก็จะลุกไหม้" ก็เทวดา เหล่านั้น เคยเป็นโยมอุปัฏฐากของพระเถระ  และพระสาวกผู้ใหญ่มาก่อน  จึงไม่ยินดีที่ไม่เห็นพระมหากัสสปะอยู่ในพิธี
ครั้งนั้นพระมหากัสสปะเถระและหมู่ภิกษุเดินทางจากเมืองปาวา  หมายจะเข้าเฝ้าพระศาสดา ระหว่างทาง ได้พบกับพราหมณ์คนหนึ่ง ถือดอกมณฑารพสวนทางมา  พระมหากัสสปะได้เห็นดอกมณฑารพก็ทราบว่า มีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น ดอกไม้นี้มีเพียงในทิพย์โลก  ไม่มีในเมืองมนุษย์ การที่มีดอกมณฑารพอยู่ แสดงว่าจะต้องมีอะไร เกิดขึ้นกับพระศาสดา  พระมหากัสสปะถามพราหมณ์นั้นว่า ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับพระศาสดาบ้างหรือไม่ พราหมณ์นั้นตอบว่า  พระสมณโคดมได้ปรินิพพานไป ล่วงเจ็ดวัน แล้ว "พระศาสดาปรินิพพานแล้ว" คำนี้เสียดแทงใจของพระภิกษุปุถุชนยิ่งนัก  พระภิกษุศิษย์ของพระมหากัสสปะบางรูป ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็กลิ้งเกลือกไปบนพื้น  บ้างก็คร่ำครวญร่ำไห้ ว่า "พระศาสดาปรินิพพานเสียเร็วนัก" ส่วนพระภิกษุผู้เป็นอรหันต์  สิ้นอาสวะแล้ว ย่อมเกิดธรรมสังเวชว่า "แม้พระศาสดา ผู้เป็นดวงตาของโลก ยังต้องปรินิพพาน  สังขารธรรมไม่เที่ยงแท้เสียจริงหนอ"

แต่ในหมู่ภิกษุทั้ง  ๕๐๐ รูปนั้น เสียงของสุภัททะ วุฑฒบรรพชิตก็ดังขึ้น "ท่านทั้งหลายอย่าไปเสียใจเลย  พระสมณโคดมนิพพานไปซะได้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่มีคนมาคอยจ้ำจี้จ้ำไช ว่าสิ่งนี้สมควรกับเรา  สิ่งนี้ไม่สมควรกับเรา"
คำพูดของหลวงตาสุภัททะ เป็นที่สังเวชต่อ พระมหากัสสปะยิ่งนัก  ท่านคิดว่า "พระผู้มีพระภาคยังนิพพานไปได้ไม่นาน ก็มีภิกษุบาปชนกล่าวจาบจ้วงพระศาสดา  จาบจ้วงพระธรรมวินัยเช่นนี้ ถ้าเวลาผ่านไป ก็คงมีภิกษุบาปชนเช่นนี้ กล่าวจาบจวงพระธรรมวินัยเกิดขึ้นเป็นอันมาก"  แต่ท่านก็ยั้งความคิดเช่นนี้ไว้ก่อน เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะกระทำสิ่งใดๆ นอกจากจะต้องจัดการ  ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเสียก่อน

เมื่อพระมหากัสสปะ  และภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางมาถึงสถานที่ถวายพระเพลิงมกุฏพันธนเจดีย์แล้ว ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง  ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณ รอบเชิง ตะกอน ๓ รอบ พระมหากัสสปะเปิดผ้าทางพระบาทแล้ว  ถวายบังคมพระบาททั้งสองด้วยเศียรเกล้า โดยท่านกำหนดว่าตรงนี้เป็นพระบาทแล้ว เข้าจตุตถฌาน  อันเป็นบาทแห่งอภิญญา ออกจากฌานแล้วอธิษฐานว่า "ขอพระยุคลบาท ของพระองค์ที่มีลักษณะเป็นจักรอันประกอบด้วยซี่พันซี่  ขอจงชำแรกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ พร้อมทั้งสำลี ไม้จันทน์ ออกเป็นช่อง ประดิษฐานเหนือเศียรเกล้าของข้าพระองค์ด้วยเถิด"  เมื่ออธิษฐานเสร็จ พระยุคลบาทก็แหวกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ออกมา พระเถระจับยุคลบาทไว้มั่น  และน้อมนมัสการเหนือเศียรเกล้าของตน มหาชนต่างเห็นความอัศจรรย์นั้น ก็ส่งเสียงแสดงความอัศจรรย์ใจ  เมื่อพระเถระและภิกษุ ๕๐๐ รูป ถวายบังคมแล้ว ฝ่าพระยุคลบาทก็เข้าประดิษฐานในที่เดิม  ครั้นแล้วเปลวเพลิงก็ลุกโพลงท่วมพระสรีระของพระศาสดา ด้วยอำนาจของเทวดา ในการเผาไหม้นี้  ไม่มีควันหรือเขม่าใดๆฟุ้งขึ้นเลย เมื่อเพลิงใกล้จะดับ ก็มีท่อน้ำไหลหลั่งลงมาจากอากาศ  และมีน้ำพุ่งขึ้นจากกองไม้สาละ ดับไฟที่ยังเหลืออยู่นั้น เหล่าเจ้ามัลละก็ปะพรมพระบรมสารีริกธาตุ  ด้วยของ หอม ๔ ชนิด รอบๆบริเวณ ก็โปรยข้าวตอกเป็นต้น แล้วจัดกองกำลังอารักขา จัดทำสัตติบัญชร  (ซี่กรงทำด้วยหอก) เพื่อป้องกันภัย แล้วให้ขึงเพดานผ้าไว้เบื้องบน ห้อยพวง ของหอม  พวงมาลัย พวงแก้ว ให้ล้อมม่านและเสื่อลำแพนไว้ทั้งสองข้าง ตั้งแต่มกุฏพันธนเจดีย์  จนถึงศาลาด้านล่าง ให้ติดเพดานไว้เบื้องบน ตลอดทางติดธง ๕ สีโดยรอบ ให้ตั้งต้นกล้วย  และหม้อน้ำ พร้อมกับตามประทีปมีด้ามไว้ตามถนนทุกสาย
พวกเจ้ามัลละนำพระธาตุทั้งหลายวางลงในรางทองแล้ว  อัญเชิญไว้บนคอช้าง นำพระธาตุเข้าพระนครประดิษฐานไว้บนบัลลังก์ที่ทำด้วยรัตนะ ๗ อย่าง  กั้นเศวตร ฉัตรไว้เบื้องบน แล้วจัดกองกำลังอารักขาอย่างนี้คือ "จัดเหล่าทหารถือหอกล้อมพระธาตุไว้  จากนั้นจัดเหล่าช้างเรียงลำดับกระพองต่อกันล้อมไว้ พ้นจากเหล่าช้างก็เป็น เหล่า ม้าเรียงลำดับคอต่อกัน  จากนั้นเป็นเหล่ารถ เหล่าราบรอบนอกสุดเป็นทหารธนูล้อมอยู่" พวกเจ้ามัลละจะจัดฉลองพระบรมธาตุตคลอด  ๗ วัน ต้องการความมั่นใจว่า ๗ วัน นี้แม้จะมีการละเล่นก็เป็นการละเล่นที่ไม่ประมาท

  หลังจากนั้น เมื่อข่าวการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า และการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ  พระสรีระกลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุแล้ว เหล่ากษัตริยน์ในนครต่างๆ เมื่อทราบข่าวก็ปรารถนาจะได้พระบรมธาตุไปบูชา  จึงส่งสาสน์ ส่งฑูตมาขอพระบรมสารีริกธาตุ ด้วยเหตุผลว่า "พระผู้มีพระภาคของเรา" "พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น  กษัตริย์ แม้เราก็เป็นกษัตริย์ เราจึงมีส่วนที่จะได้พระบรมธาตุบ้าง" เหล่ามัลละกษัตริย์ก็ไม่ยอมยกให้  ด้วยเหตุผลว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานในเมืองของเรา" ดังนั้น กษัตริย์ในพระนครต่างๆ  เช่น พระเจ้าอชาตศัตรู จอมกษัตริย์แคว้นมคธ และกษัตริย์เหล่าอื่นๆ จึงยกกองทัพมาด้วยหวังว่า  จะแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อยกกองทัพ มาถึงหน้าประตูเมือง ทำท่าจะเกิดศึกสงครามแย่งชิงพระบรมธาตุ  ครั้งนั้น พราหมณ์ผู้ใหญ่คนหนึ่ง คือ โทณพราหมณ์ หวั่นเกรงว่าจะเกิดสงครามใหญ่ จึงขึ้นไปยืน  บนป้อมประตูเมือง ประกาศว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ทรงสรรเสริญขันติ สรรเสริญสามัคคีธรรม  การที่เราจะมาประหัตประหารเพราะแย่งชิง พระบรมธาตุ ของพระองค์ผู้ประเสริฐ ย่อมไม่สมควร  ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลาย จงยินดีในการที่จะแบ่งกันไปเป็น ๘ ส่วน และนำไปบูชายังบ้านเมืองของท่านทั้งหลายเถิด  เพราะ ผู้ศรัทธาในพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีมาก"

ในพระไตรปิฎก  ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตรได้กล่าวถึงเหตุการณ์ขณะที่โทณพราหมณ์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ  ว่า หมู่คณะเหล่านั้นตอบว่า  ข้าแต่พราหมณ์ ถ้าเช่นนั้นขอท่าน นั่นแหละจงแบ่ง พระสรีระพระผู้มีพระภาคออกเป็น ๘  ส่วนเท่าๆ กัน ให้เรียบร้อย เถิด โทณ พราหมณ์ รับคำของ หมู่คณะเหล่านั้นแล้ว แบ่งพระสรีระพระผู้มีพระภาค  ออกเป็น ๘ ส่วนเท่ากันเรียบร้อย จึงกล่าว กะหมู่คณะเหล่านั้นว่า ดูกรท่านผู้เจริญ  ทั้งหลาย ขอพวกท่าน จงให้ตุมพะนี้แก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้า จักกระทำพระสถูป และกระทำการฉลองตุมพะบ้าง  ทูตเหล่านั้นได้ให้ตุมพะแก่โทณพราหมณ์ ฯ

พวกเจ้าโมริยะเมืองปิปผลิวัน  ได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาค เสด็จปรินิพพาน ในเมืองกุสินารา จึงส่งทูตไปหาพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า  พระผู้มีพระภาค เป็นกษัตริย์ แม้ เราก็เป็นกษัตริย์ เราควรจะได้ส่วนพระสรีระ พระผู้มีพระภาคบ้าง  จักได้กระทำพระสถูปและการ ฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาค พวกเจ้ามัลละ เมือง กุสินาราตอบว่า  ส่วนพระสรีระพระผู้มี พระภาคไม่มี เราได้ แบ่งกันเสียแล้ว พวกท่านจงนำพระอังคารไปแต่ที่นี่เถิด  พวกทูตนั้น นำ พระ อังคารไปจากที่นั้นแล้ว ฯ
ครั้งนั้น  พระเจ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่า อชาตศัตรู เวเทหิบุตร ได้กระทำ พระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาค  ในพระนครราชคฤห์ พวก กษัตริย์ ลิจฉวีเมืองเวสาลี ก็ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มี  พระภาคในเมืองเวสาลี พวกกษัตริย์ ศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ ก็ได้กระทำพระสถูป และการฉลอง  พระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองกบิลพัสดุ์ พวกกษัตริย์ถูลีเมือง อัลกัปปะ ก็ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมือง  อัลกัปปะ พวกกษัตริย์ โกลิยะเมืองรามคาม ก็ได้กระทำพระสถูปและการฉลอง พระสรีระพระผู้มี  พระภาคในเมืองรามคาม พราหมณ์ผู้ครองเมืองเวฏฐทีปกะ ก็ได้ กระทำพระสถูป และการฉลอง  พระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองเวฏฐทีปกะ พวก เจ้ามัลละเมืองปาวา ก็ได้กระทำพระสถูปและ  การฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาค ในเมืองปาวา พวกเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา ก็ได้กระทำพระสถูป  และการ ฉลอง พระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองกุสินารา โทณพราหมณ์ ก็ได้กระทำสถูปและ  การฉลอง ตุมพะ พวกกษัตริย์โมริยะ เมืองปิปผลิวัน ก็ได้กระทำพระสถูปและการ ฉลองพระอังคารในเมือง  ปิปผลิวัน ฯ พระสถูปบรรจุพระสรีระมีแปดแห่ง เป็นเก้าแห่งทั้งสถูปบรรจุตุมพะ เป็นสิบแห่ง  ทั้งพระสถูปบรรจุพระอังคาร ด้วยประการฉะนี้ การแจกพระธาตุและการก่อ พระสถูปเช่นนี้  เป็นแบบอย่างมาแล้ว ฯ
พระสรีระของพระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ  แปดทะนาน เจ็ดทะนาน บูชากันอยู่ในชมพูทวีป ส่วนพระสรีระอีกทะนาน หนึ่งของพระพุทธเจ้า  ผู้เป็นบุรุษที่ ประเสริฐ อันสูงสุด พวก นาคราชบูชากันอยู่ในรามคาม พระเขี้ยวองค์หนึ่งเทวดา  ชาวไตรทิพย์บูชาแล้ว ส่วนอีกองค์หนึ่ง บูชากันอยู่ใน คันธารบุรี อีกองค์หนึ่งบูชากันอยู่ใน  แคว้นของพระเจ้ากาลิงคะ อีก องค์หนึ่ง พระยานาคบูชากันอยู่ ฯ ด้วยพระเดชแห่งพระสรีระพระพุทธเจ้า  นั้นแหละ แผ่นดินนี้ ชื่อว่า ทรงไว้ซึ่งแก้วประดับแล้วด้วยนักพรตผู้ ประเสริฐที่สุด  พระสรีระของพระพุทธเจ้า ผู้มีจักษุนี้ ชื่อว่าอันเขาผู้สักการะๆ สักการะดีแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์ใด  อันจอมเทพจอมนาคและจอมนระบูชาแล้ว อัน จอมมนุษย์ผู้ประเสริฐสุดบูชาแล้วเหมือนกัน  ขอท่านทั้งหลาย จงประนม มือ ถวายบังคมพระสรีระนั้นๆ ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นพระพุทธเจ้า  ทั้งหลายหาได้ยากโดยร้อยแห่งกัป ฯ พระทนต์ ๔๐ องค์ บริบูรณ์ พระเกศา และ พระโลมาทั้งหมด  พวกเทวดานำไปองค์ละองค์ๆ โดยนำต่อๆ กันไปในจักรวาล ดังนี้แล ฯ
( พระสุตตันตปิฎก  ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร ข้อที่ ๑๕๙-๑๖๒)
Aeva Debug: 0.0009 seconds.
1168  ธรรมะสาระ / บทสวดมนต์ มนต์พิธี / บทสวดภาณยักษ์ เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2011, 07:19:33 am
บทสวดภาณยักษ์



ขอเชิญทุกท่านร่วมกันสวด เพื่อให้บ้านเมืองพ้นภัย ครอบครัวพ้นภัย

บทนี้มีอีกชื่อว่า บทอาฏานาติยสูตร

เจริญพร

 ;)
1169  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / 5 ทุรานชาดก หญิงผู้ประพฤตินอกใจสามี เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2011, 06:09:57 am
ทุราชานชาดก
อาการของหญิงรู้ได้ยาก

 ***********



 

                 ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภอุบาสกผู้มีภรรยาคบชู้ คนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...

                กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองพาราณสี ที่สำนักเรียนของอาจารย์ทิศาปาโมกข์อยู่แห่งหนึ่ง มีลูกศิษย์ประมาณ ๕๐๐ คน ลูกศิษย์คนหนึ่งอยู่ต่างเมืองได้ภรรยาชาวเมืองพาราณสี ภรรยาของเขามีนิสัยชั่วใฝ่ต่ำ ในวันที่ประพฤตินอกใจสามีได้จะสดชื่นร่าเริง ในวันที่ประพฤติไม่ได้จะดุร้าย หยาบคาย เขาไม่ทราบความประพฤติของนาง จึงเกิดเอือมระอาขุ่นข้องหมองใจ ไม่ได้ไปบำรุงอาจารย์เป็นเวลาหลายวัน

               ครั้นเวลาผ่านไป ๗-๘ วัน เขาจึงได้ไปที่สำนักเรียน เมื่อถูกอาจารย์ถามก็ได้เล่าสาเหตุให้อาจารย์ฟัง อาจารย์จึงกล่าสอนว่า " ก็ธรรมดาผู้หญิงที่มีนิสัยชั่วช้า ถ้าวันใดประพฤตินอกใจสามีได้ จะดูสดชื่นแจ่มใสร่าเริง โอนอ่อนผ่อนตามสามี วันใดประพฤตินอกใจสามีไม่ได้ จะดูกระด้าง ดุร้าย หยาบคาย ไม่ยอมรับนับว่าเป็นสามี สภาพของหญิงรู้ได้ยาก นางจะต้องการหรือไม่ก็ตาม พึงตั้งตนเป็นกลางเข้าไว้ " แล้วให้โอวาทว่า
               " อย่ายินดีเลยว่า นางปรารถนาเรา อย่าเสียใจเลยว่า นางไม่ปรารถนาเรา สภาวะของหญิงรู้ได้ยาก เหมือนรอยของปลาในน้ำ"

                 อาจารย์ได้สั่งสอนเขาต่อไปอีกว่า
                          " ผู้หญิงเป็นของทั่วไปแก่ผู้คน บัณฑิตจะไม่ทำความขุ่นเคืองในหญิงเลย "

                 แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
                           " ขึ้นชื่อว่า หญิงทั้งหลายในโลก มีอุปมาเหมือนแม่น้ำ หนทาง โรงน้ำดื่ม ที่ประชุม
                             และบ่อน้ำ บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่ถือโกรธหญิงเหล่านั้น "


1170  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เวลานั่งกรรมฐาน รู้สึก ร้อน และ คันตามตัว ตามใบหน้า เพราะอะไรคะ เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2011, 07:54:11 am




เวลานั่งกรรมฐาน รู้สึก ร้อน และ คันตามตัว ตามใบหน้า เพราะอะไรคะ



เป็นอาการเมื่อจิตรวมลงฐานจิตได้ จะเกิดความร้อนขึ้นทั้งกาย ชั่วขณะหนึ่ง

ส่วนอาการคันยุบยิบ ทั้งกาย หรือ บางส่วนเป็นอาการของปีติ อันนี้ยังเป็นอย่างเบา บางคนเป็นมากกว่านี้อีก

เป็นอาการส่วนพระลักษณะในพระธรรมปีติ ถ้าปฏิบัติ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

เจริญธรรม
 ;)
1171  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / นำของไหว้เจ้า มาใส่บาตรจะได้บุญหรือไม่คะ ? เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2011, 07:27:30 am




เนื่องด้วยที่บ้านมีการเซ่นไหว้แม่ มีผลไม้ และอาหารมาก จึงนำของไหว้เจ้าไปใส่บาตร อยกาทราบว่าจะได้บุญหรือไม่ ?


อาหารใดได้มาโดยความบริสุทธิ์ เราเป็นเจ้าของโดยบริสุทธิ์ อาหารนั้นนับว่าเป็นอาหารใหม่สำหรับเรา เมื่อมีจิตศรัทธาในส่วนบุญกุศลจะใส่บาตร ก็ไม่มีมีความผิดนะจ๊ะใส่แล้วก็เป็นบุญ นะจ๊ะ แต่เพื่อความสบายใจเราแจกทานแก่คนยากที่ต้องการอาหารก่อนก็ได้นะจ๊ะ เช่นมีลูกน้องนำไปฝากลูกน้อง ญาติ มิตร ก็น่าจะแจกกันได้เพียงพออยู่แล้ว

สรุป ได้บุญอยู่แล้วนะจ๊ะ จะมาก หรือ จะน้อย อยู่ที่ศรัทธา และ ความบริสุทธิ์ของอาหาร

  ทานจะมีผลมาก ก็ต่อเมื่อ ผู้ให้ และ ผู้รับ มีองค์ประกอบที่ถูกต้อง

เจริญธรรม

 ;)
1172  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / อยา่คิดว่า การปฏิบัติธรรม เป็นของง่าย...โปรดระลึกไว้ว่า... เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2011, 08:52:14 am
เจริญธรรม ทุกท่าน

เนื่องด้วยในปัจจุบัน พุทธบริษัท มักจะมีความคิดว่า การภาวนาธรรม เพื่อการบรรลุเป็นเรื่องง่าย จึงตั้งอยู่ในความประมาทว่า ยังไม่แก่ ยังไม่เจ็บ เอาไว้ไปภาวนาตอนที่แก่ ตอนที่เจ็บ ตอนที่ใกล้จะตาย กันเถิด

หากท่านมีความคิดอย่างนี้ ก็ขอบอกว่า "ท่านกำลังคิดผิด"

เพราะธรรมะที่พระพุทธเจ้า ตรัสแสดงไว้ดีแล้วนั้น อันเรียกว่า อริยมรรคนั้น มิใช่ที่ท่านทั้งหลาย จักภาวนากันแบบเล่น ๆ ทำแบบไปที ผ่านไปวัน ไม่ได้นะจ๊ะ เพราะธรรมะเป็นเรื่อง ประณีิต ธรรมะมีสภาวะ ทีจิตอันประณีตเท่านั้น ที่จักเข้าถึงได้ เีพียงเห็นแต่หยาบ ไม่สามารถดับกิเลสได้สิ้นเชิง นะจ๊ะ

ดังนั้น ของให้ท่านทั้งหลาย อย่าพึงตั้งอยู่บนความประมาท

อย่ามัวผลัดวันประกัน พรุ่ง ถ้าท่านเห็นความร้ายกาจของสังสารวัฏ แล้ว พึงรีบขวนขวายในการภาวนาเถิด

เจริญธรรม ขอให้ทุกท่าน มีสติ ตั้งอยู่บนความไม่ประมาทเถิด

พรหมจรรย์นี้ ไม่ใช่มีเพื่อสักการะ เพื่อชื่อเสียง เพื่อความเป็นอยู่ในโลก แต่พรหมจรรย์นี้เป็นเพื่อสิ้นสุดกิเลสเป็นไปเพื่อพระนิพพาน


 ;)

1173  ธรรมะสาระ / บทสวดมนต์ มนต์พิธี / มหาสมัยสูตร บทสวดที่อยากให้ทุกท่านได้สวด ถ้ามีโอกาส เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2011, 08:45:35 am

 มหา สมัยสูตรปรากฎความในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกามหาวรรค  ภายหลังการบรรลุอนุตราสัมมาสัมโพธิญาณของพระบรมศาสดา  พระองค์ได้เสด็จจาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก  และเมื่อทราบทราบว่าพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาประชวรหนัก  จึงเสด็จกลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์อีกครั้งเพื่อเยี่ยมอาการพระพุทธบิดา  พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเป็นจำนวนมาก ทรงถวายพยาบาลพระพุทธบิดาตามพุทธวิสัย  และโปรดให้พระพุทธบิดาได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาทั้งหลาย  ในกาลต่อมาพระพุทธบิดาก็ปรินิพพานบนพระแท่นบรรทมภายใต้เศวตฉัตรนั้งเอง  ภายหลังถวายพระเพลิงพระศพพระพุทธบิดา พระพุทธองค์ตรัสว่า  "บุคคลใดมีจิตปรารถนาพระโพธิญาณ จงอุตสาหะภิบาลบำรุงบิดามารดา  ประพฤติกุศลสุจริตธรรม จักสมปรารถนาทุกประการ"
 
 
 รุ่ง ขึ้นอีกวัน ขณะทีพระองค์ประทับอยู่ที่นิโครธาราม กรุงกบิลพันดุ์  เหล่าพระญาติข้างฝ่ายศากยะ และ  โกลิยะที่ตั้งหลักแหล่งอยู่สองฝั่งแม่น้ำโรหิณีได้วิวาทกันเรื่องแย้งน้ำทำ นา กษัตริย์ทั้งสองจึงยกกองทัพออกไปจะทำสงครามกัน เพราะไม่สามารถตกลงกันได้  พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุการณ์นั้นด้วยพระญาณ  ทรงถือบาตรและจีวรด้วยพระองค์เอง ไม่ทรงแจ้งให้ใคร ๆ ทราบ  เสด็จพุทธดำเนินแต่เพียงพระองค์เดียว  ไปประทับนั่งขัดบัลลังก์ระหว่างกองทัพกษัตริย์ทั้งสองนคร
 
 
 ครั้น กองทัพชาวเมืองกบิลพัสดุ์และชาวเมืองโกลิยะเห็นพระองค์นั้น  ต่างก็คิดว่าพระศาสดาผู้เป็นพระญาติ ผู้ประเสริฐของพวกเราเสด็จมา  จึงทิ้งอาวุธเขาไปเฝ้าพระพุทธองค์ทั้งที่พระองค์ทรงทราบสถานการณ์ขณะนั้นดี แต่ก็ตรัสถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วตรัสสอนว่า มหาบพิตร  พวกพระองค์อาศัยน้ำที่มีค่าน้อยแล้วทำให้กษัตริย์ซึ่งหาค่ามิได้ให้ฉิบหาย ทำไมกัน
 
 
 ครั้นแล้ว  พระพุทธองค์ได้ตรัส ผันทนชาดก ทุททุภายชาดก และลฏุกิกชาดก  เพื่อระงับการวิวาทของพระญาติทั้งสองฝ่าย และตรัสรุกขธรรมชาดก และวัฏฏชาดก  เพื่อให้เกิดความสามัคคีพร้อมเพรียงกันว่า "หมู่ญาติยิ่งมากยิ่งดี ต้นไม้ที่เกิดในป่าแม้จะโตเป็นเจ้าป่า ถ้าตั้งอยู่โดดเดี่ยวย่อมถูกแรงลมพัดโค่นลงได้ และว่านกทั้งหลายมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ย่อมพาตาข่ายไปได"้ และในที่สุดก็ตรัส อัตตทัณฑสูตร
 
 
 กษัตริย์ เหล่านั้นได้สดับพระธรรมเทศนาแล้ว เกิดความสังเวชพากันทิ้งอาวุธกล่าวว่า  หากพระบรมศาสดา ไม่เสด็จมา  พวกเราก็จะฆ่าฟันซึ่งกันและกันเลือดไหลนองเป็นสายน้ำ  ไม่มีโอกาสได้กลับบ้านเห็นหน้าลูกเมียญาติพี่น้อง  กษัตริย์ทั้งสองพระนครจึงถวายพระราชกุมาร 500 องค์ คือ ฝ่ายละ 250 องค์  ให้บรรพชา อุปสมบทกับพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา
 
 
 อรรถกถา มหาสมัยสูตร เล่าถึงเหตุการณ์ที่ภิกษุราชกุมารเหล่านั้นบรรลุธรรมไว้ว่า  เมื่อพระพุทธองค์นำภิกษุราชกุมารเหล่านั้นมาสู่ป่ามหาวัน  ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ภิกษูปูถวาย ในโอกาสทีสงัด ตรัสบอก  กัมมัฏฐานแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับกัมมัฏฐานแล้ว  ต่างแยกย้ายกันไปเจริญวิปัสสนาตามเงื้อมผา และโคนไม้ในโอกาสที่เงียบสงัด  และก็ทยอยบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  จนครบทั้ง 500 รูป
 
 
 อรรถถาได้ อธิบายความคิดของพระที่ได้บรรลุพระอรหันต์ไว้ว่า  พระผู้บรรลุพระอรหัตสิ้นกิเลสอาสวะทั้งหลายแล้ว ย่อมมีความคิดอยู่ 2  อย่างคือ
 
 
 1. มีความคิดว่า คนทุกคนตลอดจนเทวดาทั้งหลาย ก็สามารถที่จะบรรลุธรรมตามที่เราบรรลุได้เช่นเดียวกัน
 

 
 2. พระที่บรรลุธรรมไม่ประสงค์จะบอกคุณธรรมที่ตนได้บรรลุแก่ผู้อื่น  เหมือนคนที่ฝังขุมทรัพย์ไว้ไม่ต้องการให้ใครรู้ที่ฝังขุมทรัพย์ของตน
 

 
 เมื่อ เทวดาทั้งหลายทราบว่า พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่ป่ามหาวันใกล้กรุงกบิลพัสดุ์  พร้อมด้วยภิกษุ 500 รูป ล้วนเป็นพระอรหัตบวชจากราชตระกูล ต่างก็กล่าวว่า  นี้เป็นสมัยแห่งการประชุมใหญ่ในป่ามหาวัน  พวกเราจักไปชมความงดงามของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกผู้หมดจด  ต่างก็แต่งคาถากล่าวสรรเสริญ พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก  เทวดาที่มาประชุมกันใวนนั้นมีจำนวนมากมาย ภิกษุบางรูปก็เห็นเทวดาร้อยหนึ่ง  บางรูปก็เห็นพันหนึ่ง บางรูปก็เห็นหมื่นหนึ่ง บางรูปก็เห็นแสนหนึ่ง  บางรูปก็เห็นไม่มีที่สิ้นสุด แตกต่างกันไปตามกำลังญาณของแต่ละองค์
 
 
 ใน ยุคของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีการประชุมเทวดาจำนวนมากเช่นนี้ก็เพียง ครั้งเดียว พระพุทธองค์ ได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า  เทวดาในแสนจักรวาลมาประชุมกันเพื่อชมตถาคตและหมู่ภิกษุสงฆ์  เทวดาประมาณเท่านี้แหละได้เคยประชุมกันเพื่อชมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าในอดีตกาลแล้ว  และพวกเทวดาประมาณเท่านั้นแหละจักประชุมกันเพื่อชมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าในอนาคตกาล  แล้วพระองค์ก็ทรงแนะนำเทวดาแต่ละจำพวกให้ภิกษุทั้งหลายฟังตามลำดับ  ตั้งแต่กุมมเทวดาไปจนถึงพรหมโลก
 
 
 ขณะ ที่เทวดาจากหมื่นจักรวาลมาประชุมกันจนครบนั้น ท้องฟ้าโปร่งใส่ไม่มีเมฆหมอก  ก็กลับเกิดเมฆฝนคำรณคำรามกึกก้องฟ้าแลบแปล๊บพราย  พระพุทธองค์ทรงพิจารณาทราบว่า หมู่มารก็ได้มาด้วย  จึงทรงแนะนำให้ภิกษุรู้จักพญามารเอาไว้
 
 
 พญา มารกำลังสั่งบังคับเสนามารให้ผูกเหล่าเทวดาไว้ในอำนาจแห่งกามราคะ  แต่พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานไม่ให้เหล่าเทวดาเห็น  พญามารไม่ได้ดั่งใจจึงทำให้เกิดฟ้าร้องกึกก้องกัมปนาทไปทั่ว
 
 
 โดย ปกติในที่จะไม่มีการบรรลุมรรคผล  พระพุทธองค์จะไม่ทรงห้ามมารแสดงสิ่งอันน่ากลัวของมาร  แต่ในที่จะมีการบรรลุมรรคผล  พระองค์จะทรงอธิษฐานไม่ให้ใครรู้เห็นสิ่งที่พญามารกำลังทำ  เนื่องจากการประชุม ใหญ่ของเทวดาครั้งนั้น จะมีเทพบรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก  พระพุทธองค์จึงทรงอธิษฐานไม่ให้พวกเทวดา  รับรู้สิ่งอันน่ากลัวของหมู่มารนั้น พญามารนั้นจึงกลับไปด้วยความเดือดดาลฯ
 
 
 
สวดเมื่อไร ? สวดแล้วได้อะไร ?

 มหา สมัยสูตร เป็นสูตรว่าด้วยสมัยเป้นที่ประชุมใหญ่ของเหล่าเทพ  ในยุคของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีการประชุมใหญ่ของเหล่าเทวดาทั้งหลาย เช่นนี้เพียงครั้งเดียว เทวดาทั้งหลายจึงพากันคิดว่าพวกเราจะฟังพระสูตรนี้  เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงมหาสมัยสูตรจบ เทวดาจำนวนหนึ่งแสนโกฎิได้บรรลุพระอรหันตฺ
 
 
 พระ สูตรนี้จึงเป็นที่รักที่ชอบใจของพวกเทวดา  เทวดาทั้งหลายต่างก็คิดว่าพระสูตรของตน  เมื่อสวดพระสูตรนี้จะทำให้เหล่เทวดาทั้งหลายประชุมกัน  เมื่อเทวดาประชุมกันก็จะทำให้สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายถอยห่างออกไป  เป็นการป้องกันสิ่งที่ไม่ดีไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวเรานั้นเอง
 
 
 พระอรรถกถาจารย์จึงแนะนำว่า "มหาสมัยสูตรนี้ เป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดา ในสถานที่ใหม่เอี่ยม เมื่อจะกล่าวมงคลกถา ควรสวดพระสูตรนี้"  หมายความว่าในสถานที่สำคัญที่จะประกอบกิจใหม่  หรือในสถานใดที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ  เมื่อจะสวดมงคลกถาในสถานที่เช่นนี้ควรสวดมหาสมัยสูตรนี้
 
 
 เนื่อง จากมหาสมัยสูตรเป็นสูตรใหญ่ จึงไม่นิยมใช้สวดในงานทำบุญทั่ว ๆ ไป  แต่จะนิยมนำไปสวดเฉพาะในพิธีที่เกี่ยวข้องกับความอยู่เย็นเป็นสุขของทางบ้าน เมืองเป็นหลัก นอกนั้นแล้ว  การเจริญพระพุทธมนต์ยังเป็นรูปแบบของการเจริญสมาธิภาวนาอย่างหนึ่ง  แต่แทนที่จะใช้วิธีนั่งบริกรรมให้จิตเกาะเกี่ยวอยู่กับคำใดคำหนึ่งหรือสิ่ง ใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพื่อเป็นสื่อให้เข้าถึงความสงบ  ก็ใช้วิธีจิตเกาะเกี่ยวไปกับอักขระเป็นเกาะแสเช่นนี้ ไม่ปล่อยให้ความรัก  โลภ โกรธ หลง กามราคะ อาฆาตพยาบาท ได้โอกาสแทรกเข้ามาครอบงำจิต  ทำให้จิตมีความผ่องใส  เป็นจิตมีพลังในการต้านทานกิเลสที่จะเข้ามามีอำนาจเหนือสติปัญญา  จิตเช่นนี้เป็นจิตสงบ คือสงบจากกามราคะ อาฆาตพยาบาท หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน  รำคาณ เบื่อหน่าย จึงชื่อว่า "จิตเป็นสมาธิ"
 
 
 จากหนังสือ "มหาสมัยสูตร" บทสวดมนต์เพื่อความร่มเย็นแห่งแผ่นดิน และเพื่อสันติภาพโลก
 
 
 รวบรวมโดย พระมหาเหลา ประชาษฎร์
 
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลที่มาhttp://www.dhammathai.org/indexthai.php


สามารถดาวน์โหลด เสียงสวดนี้ได้ที่

http://audio.palungjit.com/f21/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B0-688.html
 
1174  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / จะเข้าถึงธรรม ควรทำอย่างไร โปรดแนะนำด้วยครับ ? เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2011, 07:06:41 am




จะเข้าถึงธรรม ควรทำอย่างไร โปรดแนะนำด้วยครับ ?



การเข้าถึงธรรมะ มีธรรมะ ทรงธรรมะ เห็นธรรมะ บรรลุธรรมะ

จะเข้าถึงธรรมะ ควรทำดังนี้

 1. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อมั่นต่อการตรัสรู้ของ พระพุทธเจ้า ว่าเป็นจริง มีจริง ทำได้จริง
    ความเชื่อมั่น ก็คือความสัทธา

 2. ทำความเข้าใจ ในอริยสัจจะ 4 ประการ เพื่อให้คำตอบกับการมีชีวิต ที่เวียนว่ายตายเกิด

 3. ศึกษา อริยมรรคมีองค์ 8 ทางสายกลาง อันเป็นข้อปฏิบัติให้ช่ำชอง ชำนาญ

 4. ภาวนา ตามทางสายกลาย หรือ อริยะมรรคมีองค์ 8  ( มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา )

มีแค่นี้นะจ๊ะ สำหรับวิธีการเข้าถึง จะกี่สำนัก ก็มีเท่านี้นะจ๊ะ


เจริญธรรม
 ;)
1175  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.wattraimitr-withayaram.com/new_t/index_home.php วัดไตรมิตร เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2011, 11:26:43 am

วัดไตรมิตร ( วัดหลวงพ่อทองคำ )

http://www.wattraimitr-withayaram.com/new_t/index_home.php
Aeva Debug: 0.0005 seconds.
1176  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / ต้นสายปลายเหตุ สำหรับบอร์ดพระเจ้า 500 ชาติ ซึ่งเป็นพุทธประวัติชาดก จากพระไตรปิฏก เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2011, 11:01:32 am
เนื่องด้วยอาตมาได้รับการถวายหนังสือ
จากคุณโยมจิตตรี แป้นแก้ว
ในวันที่ 1 พ.ค.2554


เป็นหนังสือชื่อว่า พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ



หลังจากได้อ่าน ก็เหมือนตรงกับใจว่า ที่เคยคิดไว้ว่า จะเผยแผ่เรื่องภพชาติ แบบ เพราะกายแตกทำลาย เพื่อทำให้พุทธบริษัทได้ประจักษ์แจ้ง เรื่องภพชาติ มิได้เป็นแต่เพียงธรรมสภาวะเท่านั้น เพื่อส่งเสริมกำลังใจ ผู้กำลังภาวนา ผู้หลงผิด หลงทางได้ประจักษ์แจ้ง และรู้จักกลัว วิบากกรรมอัน เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์กันบ้าง ก็จะนำทยอยลงในบอร์ดไปเรื่อย ๆ



ใครสามารถนำมาโพสต์ลงไปเป็นตอน ๆ
เรื่องใดเรื่องหนึ่งจากหนังสือนี้
ก็ขออนุโมทนาล่วงหน้าด้วย

คิดว่าทะยอยลงไปเรื่อย ๆ สักสองปีก็น่าจะหมด 500 ชาตินะจ๊ะ
1177  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / กาลามสูตร โดย มหาระแบบ วัดบวรนิเวศน์ เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2011, 07:48:22 am
คลิ๊กที่ลิงก์เพื่อดาวน์โหลด


http://www.mediafire.com/?i8po7kor3m8r5zd
1178  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / อยากปฏิบัติภาวนาให้สำเร็จไว ๆ ต้องทำอย่างไร คะ เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2011, 08:17:43 am




อยากปฏิบัติภาวนาให้สำเร็จไว ๆ ต้องทำอย่างไร คะ



วางอารมณ์ ปฏิบัติบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะสำเร็จ

อ่านที่ลิงก์นี้ ด้วยนะจ๊ะ
จงพอใจในความระงับอารมณ์ ในกรรมฐาน เจริญธรรม

 ;)


1179  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / พระอรหันต์ ฝันหรือไม่ ? เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2011, 07:56:37 am




พระอรหันต์ ฝันหรือไม่ ?
พระอรหันต์เสพสิ่งเสพติดหรือไม่ ?
พระอรหันต์ หัวเราะร้องไห้ อีกหรือไม่ ?



จะตอบอย่างไรดี ในเมื่อผู้ตอบ ต้องเป็นพระอรหันต์ จึงจะตอบภาวะวิสัยของพระอรหันต์ได้ เอาเป็นว่าตอบที่ได้ฟังมาจากครูอาจารย์ก็แล้วกันนะจ๊ะ

  พระอรหันต์ ฝันหรือไม่ ?

  ในสุบินวิถีจิต มีในพระอภิธรรม กล่าวว่า พระอรหันต์ ไม่ฝันอีกแล้วนะจ๊ะ


  พระอรหันต์เสพสิ่งเสพติดหรือไม่ ?
 
  พระอรหันต์ท่านมีพลังจิตแล้วตั้งแต่ พระอรหันต์สุกขวิปัสสก ก็มีแล้ว รู้ถูก รู้ผิด ดังนั้นไม่เสพสิ่งเสพติด ของมึนเมา แต่ถ้าเสพก็มึนเมาเช่นกับปุถุชนเช่น พระอรหันต์ ที่เหาะขึ้นไปเอาบาตรชาวบ้าน ต้อนรับท่านด้วยเมรัย ( เหล้า ) ท่านก็ดื่ม ก็เมาเหมือนกัน ( ไม่รู้ขาดสติหรือไม่ อันนี้ไม่วิจารณ์)

  พระอรหันต์ หัวเราะหรือร้องไห้ อีกหรือไม่ ?

  ถ้าจะมา้ร้องไห้ หรือ หัวเราะ เพราะตัณหานั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
  แต่การพูดคุย ของพระอรหันต์ธรรมชาติมากกว่า บางรูป ก็เพียงหัวเราะ ร้องไห้ พอเป็นพิธีเท่านั้นเพื่อให้คนอยู่ใกล้วเคียงไม่ ตึงเครียดเกินไป สนทนาธรรมพอให้ได้อัธยาศัย ก็เท่านั้น

 เจริญธรรม

  ;)
1180  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / บุญโอนให้กันได้จริงหรือไม่ ถ้าให้แล้วบุญเราหมดด้วยหรือไม่ ? เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2011, 07:04:31 am




ทุกครั้งที่ทำบุญ ต้องมีการอุทิศส่วนกุศล ด้วยการให้ในใจ อย่างนี้บุญที่เราทำทุกวันจะมีจริงหรือครับ เพราะทำแล้วก็อุทิศให้ ถึงเวลาที่เราตายเพราะกายแตกนี้ จะมีบุญส่วนไหนหรือไม่ ครับ



ถามได้ดี เพราะเมื่อก่อนอาตมาก็เคยสงสัยเช่นนี้ในสมัยเป็นเด็ก ๆ เวลาทำบุญจึงมีินิสัยไม่ค่อยแผ่ส่วนบุญ
แต่ในทางกลับกัน บุญนั้นยิ่งแผ่ ยิ่งได้

  บุญ มีเหตุ คือ ความเต็มใจ เพราะบุญเมื่อทำแล้ว ต้องทำด้วยความเต็มใจ ไม่หวง ไม่ห่วง เป็นต้น

  บุญ มีผล คือ ความอิ่มใจ เพราะเมื่อทำลงไปแล้ว จะันั่ง นอน ยืน เดิน ที่ไหนก็ตามเมื่อ นึกได้ก็อิ่มใจทุกครั้ง

  บุญ มี 3 แบบ คือ ให้ทาน ออกแรงกาย แรงวาจา  และ ภาวนา

  บุญ ที่ต้องให้ทาน คือ ปัจจัย 4 และ อวัยยวะ ชีวิต มีเพียงหนึ่ง เรียกว่า ทานมัย

  ส่วนบุญอื่น ๆ เกิดได้จากออกแรงกาย แรงวาจา และ การภาวนา

  เช่น ออกแรงกาย เป็น เวยยาวัจนมัย ช่วยเหลืองานกิจกรรมที่เป็นกุศล อันนี้ออกแรงกาย

  ปัตตานุโมทนามัย กล่าวอนุโมทนากุศล ยินดีในกุศล ที่คนอื่นทำ ออกแรงวาจา แรงจิต และ แรงกาย

  สีลมัย  รักษาศีล เป็นภาวนามัยเป็นต้น

  ดังนั้น บุญ ทำแล้วอุทิศได้ ยิ่งอุทิศให้ ก็ยิ่งได้บุญ ดังนั้นการอุิทิศบุญนั้น ไม่มีหมด และ ไม่มีจบ นะจ๊ะ

  เจริญธรรม

   ;)
1181  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เมืองลับแลมีจริง หรือไม่ครับ ? เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2011, 09:45:08 am




อยากทราบว่า เมืองลับแลมีจริง หรือไม่ครับ มีอยู่ี่ที่ไหนบ้างครับในประเทศไทย โปรดระบุจังหวัด



มีอยู่จริง เท่าที่ฟังจากครูอาจารย์มา แต่ถามว่าเคยไปหรือยัง อันนี้ตอบไม่ได้ ?

   มีที่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ เพชบูรณ์ พิษณุโลก เลย แม่ฮ่องสอน ตาก  หนองคาย สระบุรี ลพบุรี นครราชสีมา
ราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี
 
   ถึงตอบจังหวัดได้ ก็มีตำนานทุกจังหวัด นะจ๊ะแต่จะจริง หรือ ไม่จริง อย่านำมาเป็นสาระเลยนะจ๊ะ เพราะแก่นของเมืองลับแล ก็คือเมืองแห่งคนดี มีศีลธรรม เป็นสังคมที่ตั้งมั่นอยู่ในธรรม ในศีล

   ดังนั้นเรามาเริ่มจากที่บ้านเราก่อนให้เป็นบ้านลับแลกันก่อนนะจ๊ะ ถือศีล ภาวนาธรรม นี่แหละบ้านลับแลส่วนหนึ่งของเมืองลับแล แล้วนะจ๊ะ

  เจริญธรรม

   ;)
1182  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พระอาจารย์เชื่อเรื่องร่างทรง เสน่ห์มนต์ ยาแฝด ยาสั่ง พวกนี้หรือไม่ครับ เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2011, 09:36:36 am




พระอาจารย์เชื่อเรื่องร่างทรง เสน่ห์มนต์ ยาแฝด ยาสั่ง พวกนี้หรือไม่ครับ บางครั้งผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มีจริง ครับ




พระอาจารย์เชื่อ นะจ๊ะ ว่าโลกนี้ โลกหน้า มีจริง ชาติหน้า ชาติอดีต มีจริง เชื่อว่า เปตร สัมภะเวสี สัตว์นรก เทวดา ทั้งหลายเหล่านี้มีจริง นะจ๊ะ เพราะเชื่อมั่นใน การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นจริง ก็ต้องเชื่อ บางอย่างก็เชื่อเพราะเกิดจากการเห็น ด้วย เชื่อการฟังด้วย เชื่อจากพระดำรัสด้วย

หลักกาลามสูตร ขอยกไว้ไม่กล่าว เพราะอันนี้จัดเป็นเรื่องความเห็นว่าควรจะเชือ นะจ๊ะ

ยกตัวอย่างเรื่องเปตร ปรากฏในพระสูตร ซึ่งเป็นพระญาตของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นต้น

ส่วนเรื่องร่างทรง ในปัจจุบัน มีทั้ง เก๊ และ แท้ มีปะปนกันไป เชือได้มากน้อยขนาดไหนอยู่ที่ดุลย์พินิจของท่านทั้งหลาย แต่การเชื่อเรื่องพวกนี้ อาจจัดเป็นความงมงายได้ ดังนั้น ถึง จะ เชือ หรือไม่เชื่อ การภาวนาจริงเท่านั้นจึงจักทำเรื่องนี้ให้ปรากฏได้ นะจ๊ะ

เจริญธรรม

 ;)
1183  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / คิดว่าสามีถูก เสน่ห์คุณไสยคะ จึงไปอยู่แต่ที่บ้านเมียน้อย มีวิธีแก้คุณไสย หรือไม่ เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2011, 09:29:55 am




คิดว่าสามีถูก เสน่ห์คุณไสยคะ จึงไปอยู่แต่ที่บ้านเมียน้อย มีวิธีแก้คุณไสย หรือไม่?



กรณีการที่สามีไปอยู่บ้านเมียน้อย แล้วพาลทะเลาะกับเรา และไม่ยอมกลับมาอยู่กับเรานั้น ไม่ใช่เป็นเพราะเกิดจากแต่เรื่องมนต์ดำ อย่างเดียว

  ใช่อาจจะถูก "คุณไสส่ง" ไปด้วยเรื่องอื่น ๆ บ้างก็ได้ เช่น จู้จี้ ขี้บ่น เรื่องมาก งก ไม่ดูแลบ้าน ไม่เอาใจใส่สามี ถ้าเป็นกรณี นี้ก็ ควรจะต้องมาปรับปรุงตัวเราก่อน ก่อนที่จะไปปรับความเข้าใจ อย่างน้อยเขาก็ยังไม่บอกเลิกกับเรา ก็แสดงว่ายังเคารพเเราอยู่บ้าง เพราะยุคสมัยนี้ หญิง ชาย หย่าร้างกันง่าย นะจ๊ะ ที่สำคัญลูก ๆ จะเคว้งคว้าง
อาจจะต้องทำใจยอมรับ เมียน้อย ด้วยในฐานะเราเป็น เมียหลวง ก็ย่อมดีกว่าเมียน้อย นะจ๊ะ

  แต่ถ้าเป็น :: "คุณไสย มนต์ดำจริง ๆ " ลำพังแต่เราจะพึ่งความดีอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องพึ่ง พระพุทธคุณ
ให้สวดบท พระพุทธคุณ วันละร้อยแปด จบ ทำน้ำมนต์ด้วยน้ำสะอาด สวดคาถาพญาไก่เถือน 9 จบด้วยทุกครั้ง
เป็นเวลา 49 วัน ให้ทำก่อนเข้านอนทุกวันไม่เว้น ทุกวันให้ทำบุญใส่พระให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 รูป และเราต้องรักษาศีล 5 ด้วย แต่จะให้ศักด์สิทธ์มากๆ ต้องรักษาศีล 8 เมื่อทำครบเสร็จทั้งหมด 49 วัน เสร็จแล้วให้สามีอาบน้ำมนต์ ก็จักหายแล

   ( อันนี้ไม่ใช่มาเขียนล้อเล่นนะ เพราะเห็นมาแล้วกับตาตัวเอง พวกผู้ชายที่โดน เสน่ิห์ยาแฝด น้ำมันพราย จะมีอาการหลงลืม ละเมอเร่าร้อน กระวนกระวาย ขาดสติ พูดจาไม่เป็นตัวของตัวเอง อาการเหมือนผีเข้า ผีออก )

    ถ้า 49 วัน ช้าเกินไปให้ ทำ 15 วัน

    แต่ทำ 15 วัน ต้องปฏิบัติกรรมฐานด้วย อย่างน้อยวันละ 2 ชม.ขึ้นไป
   
    ให้คนอื่นทำแทนได้ไหม ตอบว่าไม่ได้ เพราะความรักหญิงชาย เป็นของเฉพาะคู่ เพราะพุทธมนต์จะศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ความรัก ที่มีในสามี ดังนั้นผู้เป็นภรรยาต้องทำเองนะจ๊ะ ให้พระมาทำก็ไม่ได้ ต้องทำเอง

    เจริญธรรม

     ;)
1184  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ควรบอกความจริงเรื่องการจำนำให้ลูกทราบ หรือ ไม่คะ เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2011, 09:11:48 am




 ก่อนโรงเรียนเปิดเทอม ได้นำสินทรัพย์ไปจำนำไว้เพื่อเป็นค่่าเสื้อผ้า ค่าเรียนของลูกชาย ลูกสาวแต่ทุกครั้งดิฉันก็ไม่เคยบอกลูก เพราะกลัวลูกจะอายเพื่อน ๆ ที่พ่อแม่ ไม่มีเงินต้องนำสินทรัพย์ไปจำนำ ก็ทำมาหลายปีแล้วอยากสอบถามพระคุณเจ้าว่า ดิฉันควรจะบอกลูก ๆ ของดิฉันดีหรือไม่คะ เพราะกลัวพวกเขารับไม่ได้



เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ของ พ่อแม่ ที่มีลูก ต้องการส่งเสริมให้ลูกได้เรียน ได้สบาย โดยไม่เคยบอกความลำบากของตนเองให้กับลูก ๆ รู้เรื่องเพราะเพียงอยากให้ลูกเรียนอย่างสบายใจ ก็อนุโมทนากับความโชคดีของพวกลูก ๆ ที่มีบุญมีพ่อแม่ ทีุ่ทุ่มเทให้กับลูกได้สบาย ไดยไม่เอาความลำบากของตนเองไปให้ลูกรับทราบ

ผลที่ได้จะดีบ้างไหม ?

อาจจะมีลูกบางคน ไม่เคยเห็นอก เห็นใจ พ่อแม่เลย เมื่อออกไปทำงานมีครอบครัว ก็ทิ้งพ่อแม่ไปก็มี

บางคนอาจจะฟุ้งเฟ้อ เห่อตามสังคม เพราะขออะไรแม่ก็หาให้ อยากได้ชุดใหม่ ก็ได้ อยากได้อะไรพ่อแม่ ก็พยายามหาให้

อาจจะมีลูกบางคนที่พยายามตั้งใจเรียน เพราะรู้พ่อแม่ว่าเหนื่อยอยู่นะ

ในยุคนี้เศรษฐกิจนี้ มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ภาระของพ่อแม่ก็ต้องเพิ่มทวีคูณ

 ดังนั้นความลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา ก็ควรบอกให้รู้บ้าง ไม่ใช่ให้แต่ลูกดีใจว่ามีเงินซื้อของแต่ละชิ้นให้ได้ โดยที่ลูกไม่รู้สถานะของตัวเองจะได้ช่วยประหยัด ไม่ฟุ้ง เห่อ เหิม ไปตามกระแสโลก

 เจริญธรรม

  ;)



1185  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.madchima.net/ เว็บฝากไฟล์ภาพธรรมะ สำหรับชาวธรรมะ เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2011, 09:07:14 am


http://www.madchima.net

เว็บฝากไฟล์ภาพ ธรรมะ สำหรับ ชาวธรรมะ เพื่อ


เป็นที่สำเร็จ เรียบร้อยจากฝีมือเว็บมาสเตอร์
แต่เว็บนี้ต้องสมัครสมาชิก
และ ต้องใช้ email จริงทำ Actived ทางลิงก์ด้วยนะ
ถ้าไม่ Email ก็ติดต่อขอสมัครมาที่ เว็บมาสเตอร์


1186  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ทหารไปปกป้องประเทศ ถ้าใช้วิธีฆ่าศัตรู.... นี้บาปหรือไม่ เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2011, 08:54:57 am




การรบการสงคราม ต้องปกป้อง ประเทศแต่ ต้องมีการฆ่าศัตรูด้วย สำหรับทหารนั้น เป็นบาป หรือ บุญ ครับ
ถ้่าเป็นบาป มีทางออกหรือไม่ ที่จะไม่ต้องฆ่ากัน


มองอย่างโลก
   ใช้เหตุ ผล ของโลก ก่อน

     เหตุ เพราะถูกรุกราน และ ถูกทำร้าย และถูกเข่นฆ่า
     ผล ผู้ถูกรุกราน ก็ูถูกย่ำยี ถูกทำ้ร้าย ถูกฆ่า
     การปกป้อง ชีวิตของตนเอง และ ครอบครัว เป็นสิ่งจำเป็น
     ถามว่า คุณทนเห็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก ผัว เมีย ญาติ มิตร ถูกฆ่าต่อหน้า ต่อตา ได้หรือไม่ ยิ้มออกทุกครั้งที่ เขายิง เขาฟัน เขาทุบ เขาฆ่า  ซึ่งความเป็นจริงเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่สะเทือนใจมาก ๆ นะจ๊ะ เราไม่เบียดเบียน แต่เขาก็เบียดเบียนเรา ดังนั้น กฏหมายจึงมีไว้ป้องกันสิทธิ์ ส่วนนี้ให้พวกเราอยู่อย่างสงบ การปกป้องประเทศ เป็นกฏหมายของชนที่มีประเทศ ต้องมีการป้องกันประเทศ เพื่อความสงบสุขของทุกครอบครัวที่อยู่ในประเทศ ดังนั้น ในกรณีโลก ทหาร จัดเป็นวีรกรรม เป็น วีรบุรุษที่ต้องเสียสละชีวิตของตนเอง เพื่อปกป้องประเทศชาติบ้านเมือง เพื่อทุกนที่อยู่ในประเทศ จะได้ไม่ถุฏย่ำยี ข่มเหง ทำร้าย ต้องเป็นทุกข์เพราะโจรต่าง ๆ  ที่หมายมั่นครอบครองดินแดน


มองอย่างธรรม
     
    ใช้เหตุ ผล ของธรรม

     เหตุ เพราะการเบียดเบียน ประหัตประหาร ชีวิต
     ผล ก็คือจิตเศร้าหมอง ก็คือ บาป ( แปลว่า ความเศร้าหมอง )
     ถ้าว่าโดยธรรม ก็ผิด เพราะการฆ่า จัดเป็นบาป

     การฆ่า ย่อมเป็น เหตุ ผูกเวร ผูกกรรม กันต่อไปในสังสารวัฏ เธอฆ่าฉัน ฉันก็กับมาฆ่า แก เหมือนหนังจีน
ตามล้างแค้น จากรุ่น สู่ รุ่น ไม่มีสิ้นสุด จนกว่าจะถึงคำว่า อภัย ขอให้เธอเป็นสุข เป็นสุขเถิด


โลก กับ ธรรม ไปด้วยกันไม่ได้ทุกเรื่อง ทุกอย่างหาเหตุผลเป็น อจิณไตรย สำหรับ ทหาร ก็ควรจะต้องปกป้องประเทศ ตามหน้าที่ อย่าใส่จิต ที่คิดอยากจะฆ่า ในระหว่างที่จะทำหน้าที จงคิดเสียว่าเราทำตามหน้าที่คือปกป้อง ดินแดน ประเทศ ส่วนธรรม เป็นเรื่องภายในเอาเหตุ ผล ของชาวโลกมาใส่ไม่ได้ นะจ๊ะ

  พระอริยะเจ้า มองเห็น ภัยจากวัฏฏะสงสารแล้ว ท่านกระทำกิจจบภัย ในวัฏฏะสงสาร ได้จึงไม่ใช่เรื่องที่ชาวโลกจะใส่เหตุผล กับพระอริยะเจ้าได้ เพราะพระอริยะเจ้าเลือกความตาย แทนที่จะไปทำให้เขาตาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวโลกเข้าใจไม่ได้

  เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียด ทางจิต และ อ่อนไหวต่อความคิด พึงระมัดระวังจิตในการวิจารณ์ตามความเหมาะสม
ไม่ควรใช้เหตุ ผล ใด เหตุ ผล หนึ่งไปตัดสินว่าอาชีพนั้นผิด อาชีพนั้นถูก เพราะถูก ผิด อยู่ที่ไหน ?

  เพราะระหว่างที่เรากำลัง พูด ถูก หรือ ผิด นั้น ก็กำลังมีทหาร ที่เสียสละชีวิตปกป้องความเป็นสุขของคนที่แสดงความคิดเห็นอยู่ ให้มีชีวิตอยู่ พูด เรื่อง ถูก หรือ ผิด เพิ่มโอกาสแห่งความสุข และชีวิตให้แก่เรา

เจริญธรรม

 ;)
   
1187  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ มีขอบเขต ขนาดไหนตอนแผ่เมตตา ครับ เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2011, 07:43:59 am



เรียนถามพระคุณเจ้า เรื่องการแผ่เมตตาครับ

ขอบเขตของการแผ่ ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ มีขอบเขต ขนาดไหนตอนแผ่เมตตา ครับ

แล้วเราจะรู้ขอบเขตนั้นได้อย่างไร มีหลักการภาวนาอย่างไร ครับ


ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีประมาณ นั้นเป็นขอบเขตของการกำหนดจิตใจ ซึ่งต้องฝึกฝนกันมาประจำ

 อยู่ ๆ นึกเอาไม่ได้ดอกนะจ๊ะ

ต้องผ่านการฝึกฝน การแผ่เมตตาแบบออกทิศ ทั้ง 10 มาถึงจะทำได้ทันที

ส่วนวิธีการฝึกแผ่เมตตา  ขั้นตอนการฝึก เมตตาเจโตวิมุึตติื

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=480.0

อ่านได้จากลิงก์ นี้ส่วนหนึ่ง นะจ๊ะ

สรุป ขอบเขตของใจ ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ก็คือไม่มีประมาณ คือ ไม่หมด

 จะรู้ได้อย่างไร ในขอบเขตนั้น รู้ได้จากการภาวนาจริง ๆ นะจ๊ะ

เจริญธรรม

 ;)

Aeva Debug: 0.0004 seconds.
1188  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ปฏิบัติมาหลายปี ทำไมจึงไม่สำเร็จเสียที คะ เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2011, 07:32:12 am


 

ปฏิบัติกรรมฐาน หรือ สมาธิ หรือ ภาวนา มานานหลายปีแล้ว 7 ปีแล้ว เมื่อถามครูอาจารย์ ก็จะได้รับคำตอบว่า "ภาวนาให้มากขึ้น""ปฏิบัติไปก่อน""ให้ปฏิบัติไปเรื่อย"ทั้ง ๆ ที่ ก็มีความพยายามที่จะภาวนา แต่ก็ไม่เห็นจะได้อะไรจากการภาวนา เลยคะ ทำไม พระธรรม นี้เข้าถึงยากจังคะ สมาธิภาวนา ทำไมจึงทำได้อยากจังคะ

เพราะวางอารมณ์ผิดในการภาวนา ในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ จะให้ลูกศิษย์วางอารมณ์ ในการภาวนาว่า อยากได้ ก็คือไม่ได้ ไม่อยากได้ ก็คือไม่ได้ ต้องวางใจเป็นกลาง ถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระชินสีห์ การถวายการปฏิบัติบูชานั้น ย่อมทำให้เราเข้าถึง สภาวะธรรมได้จริง เพราะสภาวะธรรม ที่พระพุทธเจ้า ตรัสแสดงไว้เป็น ทางสายกลาง นะจ๊ะ
Aeva Debug: 0.0004 seconds.
1189  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.dhammatippatai.com/ วัดท่าเรือ ภูเก็ต เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2011, 07:15:58 am

http://www.dhammatippatai.com/
วัดท่าเรือ ภูเก็ต
1190  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / การฝืนธรรมชาติ จะเข้าถึงธรรมชาติ ได้อย่างไร ? เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2011, 07:17:51 am



ข้อปฏิบัติหนึ่งที่เห็นใน มหาสติปัฏฐาน นั้นก็คือ สัปปชัญญะบรรพ อิริยาปถบรรพ อันนี้ต้องการให้กำหนดสติรู้ในธรรมชาติของกายใช้หรือไม่ครับ ดังนั้น ในหลักการปฏิบัติจะเห็นว่า เมื่อเราหิว ก็ควรทาน เมื่อเราง่วง ก็ควรนอน
เมื่อเรามีความต้องการ อันเป็นสภาพที่เป็นธรรมชาติ ก็ควรตอบสนองเท่าที่ควรจำเป็นอย่างนี้ จึงจะสมควรใช่หรือไม่ เพราะไม่ฝืนธรรมชาติ
การฝืนธรรมชาติ จะเข้าถึงธรรมชาติ ได้อย่างไร ?


 ธรรมชาติ ก็มี 3 แบบ ธรรมชาติฝ่าย เป็น อกุศล กับธรรมชาติผ่าย กุศล  และธรรมชาติที่รอจะเป็น กุศล และ อกุศล อยู่

จะเอาธรรมชาติแบบไหนละจ๊ะ

เมื่อหิว ต้องทานหรือไม่  ต้องไปย้อนดูว่า เวลาที่หิวจริง หรือ อยากกิน

เมื่่อง่วงนอน ต้องกลับไปดูว่า อยากนอน หรือ จำเป็นต้องนอน


ลองพิจารณา ดูสั้น ๆ เท่านี้ก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวค่อยมา วิสัชชนา เพิ่มเติม

เจริญธรรม
 ;)

1191  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / สัมมาทิฏฐิ คืออย่างไร ? เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2011, 06:51:48 am




สัมมาทิฏฐิ คืออย่างไร ?



สัมมาทิฏฐิสูตร
              ว่าด้วยความเห็นชอบ
     [๑๑๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:
     สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้น ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายแล้ว ภิกษุพวกนั้น
รับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ที่เรียกว่า
สัมมาทิฏฐิๆ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ อริยสาวกจึงจะชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไป
ตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้ พวกภิกษุกล่าวว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุ พวกกระผมมาจากที่ไกล ก็เพื่อจะรู้ทั่วถึงเนื้อความแห่งภาษิตนี้ ในสำนักของท่าน
พระสารีบุตร ดังพวกกระผมขอโอกาส เนื้อความแห่งภาษิตนี้ จงแจ่มแจ้งกะท่านพระสารีบุตรเถิด
ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อท่านพระสารีบุตรแล้ว จักทรงจำไว้ ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ถ้าอย่างนั้น
จงฟังเถิด ท่านผู้มีอายุ จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว.
     [๑๑๑] ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อใดอริยสาวกรู้ชัดซึ่ง
อกุศลและรากเง่าอกุศล รู้ชัดซึ่งกุศลและรากเง่าของกุศล แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่า
เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้วประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่
พระสัทธรรมนี้
ก็อกุศลเป็นไฉน? ได้แก่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ
พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ อยากได้ของผู้อื่น ปองร้ายเขา เห็นผิด อันนี้เรียกว่า
อกุศลแต่ละอย่างๆ
 รากเง่าของอกุศลเป็นไฉน? ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ อันนี้เรียกว่ารากเง่า
ของอกุศลแต่ละอย่างๆ
กุศลเป็นไฉน? ได้แก่ ความเว้นจากฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิด
ในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่อยากได้ของผู้อื่น ไม่ปองร้ายเขา
เห็นชอบ อันนี้เรียกว่า กุศลแต่ละอย่างๆ
รากเง่าของกุศลเป็นไฉน? ได้แก่ อโลภะ อโทสะ
อโมหะ อันนี้เรียกว่า รากเง่าของกุศลแต่ละอย่างๆ
ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อใด อริยสาวกรู้ชัด
ซึ่งอกุศลและรากเง่าของอกุศลอย่างนี้ๆ รู้ชัดซึ่งกุศลและรากเง่าของกุศลอย่างนี้ๆ เมื่อนั้น ท่านละ
ราคานุสัย บรรเทาปฏิฆานุสัย ถอนทิฏฐานุสัย และมานานุสัยว่า เรามีอยู่โดยประการทั้งปวง
ละอวิชชา ยังวิชชาให้เกิด ย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันนี้เทียว แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ  มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอัน
แน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้
     [๑๑๒] ภิกษุเหล่านั้นชื่นชม อนุโมทนาภาษิตของท่านพระสารีบุตรว่า สาธุ ท่านผู้มีอายุ
แล้วได้ถามปัญหากะท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ จะพึงมีอยู่หรือปริยายแม้อย่างอื่น
ที่อริยสาวกซึ่งชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใส
อันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้.
1192  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / นัดขึ้นกรรมฐาน สำหรับ ศิษย์ที่สระบุรี ไปขึ้นที่วัดราชสิทธาราม ที่คณะ 5 เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2011, 06:35:56 am
สำหรับผู้ปฏิบัติ กรรมฐาน ยังไม่ได้ขึ้นกรรมฐาน หรือศิษย์เก่า ที่ต้องการไปขึ้นกรรมฐาน กราบหลวงปู่ หลวงพ่อพระครู จะำกำหนดวันให้อีกที แจ้งความประสงค์กับมา ค่าเดินทางไปน่าจะไม่เกินคนละ 300 บาท นะจ๊ะ

เอาไว้หารือ ในคราวพบกันเดือน 12 มิถุนายน 2554
บอกไว้เผื่อใครมี ความคิดที่ดี และ สะดวก

เจริญพร
 ;)
Aeva Debug: 0.0004 seconds.
1193  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / สำรวจเส้นทาง สาย อยุธยา ทริปต่อไป นะจ๊ะ เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2011, 10:55:47 am
ตั้งใจจะไปสำรวจเส้นทาง ธรรมสัญจร สายอยุธยา ใครอยากไปด้วยก็แจ้งความประสงค์นะจ๊ะ

คิดว่าใช้ค่าน้ำมันไม่เกิน 1000 บาท

ภายในเดือนนี้ น่าจะเป็นวันเสาร์ นะจ๊ะ

ที่จะไปนะจ๊ะ

  วิหารหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์

  วัดหลวงปู่ดู่

  วัดบางนมโค

  วัดหลวงพ่อโหน่ง

  อื่น ๆ พิจารณาเพิ่มเติมที่หลัง นะจ๊ะ




 ;)

1194  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / เิชิญร่วมเป็นเจ้าภาพ ต่ออายุ RDN และ Hosting เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2011, 07:33:11 am
บอกข่าวบุญงานธรรมทาน ค่าใช้จ่าย RDN ประจำปี 2554 และ Hosting

เป็นค่าใช้จ่าย  3,000 บาท ท่านใดเป็นเจ้าภาพในปีนี้ ติดต่อมาที่เมล

จะบอกหมายเลขบัญชี ที่เกี่ยวข้องให้นะจ๊ะ รับบริจาค แค่นี้นะจ๊ะ

เสียงธรรม RDN  กำลังหมดอายุ ในเดือนหน้าแล้วนะจ๊ะ



มีความประสงค์ สอบถาม ก็เชิญที่ email pra_sonthaya@madchima.org นะจ๊ะ

เจริญธรรม
 ;)
1195  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / สำรวจเส้นทาง ธรรมสัญจร ลพบุรี วันที่ 7 พ.ค.2554 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2011, 07:25:48 pm
วันนี้ได้นัด คณะ สำรวจเส้นทางธรรมสัญจร กัน มีไปด้วยกัน 1 โยม ( พลขับ ) และ 2 พระ
เริ่มเดินทางกันตั้งแต่ 07.00 น. จากวัดบ้านอ้อย กลับถึง วัดบ้านอ้อย 18.30 น.

วันนี้สำรวจเส้นทาง ธรรมสัญจร สายลพบุรี นะจ๊ะ เพื่อจะได้พาคณะธรรมสัญจรกันในเดือน มิ.ย.54 กันสักหน่อยก็ไปกลับกันวันเดียว

เริ่มต้นออกเดินทาง วันนี้ จากวัดบ้านอ้อย ไปวัดพะเยาว์ ไปวัดอัมพวัน ไปวัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์) ผ่านวัดพระพุุทธบาท อันนี้เป็นเส้นทางเสริม ทดสอบระยะทางดูนะจ๊ะ

ที่จุดประสงค์ไปจริง

 ก็จะไปวัดโบสถ์โก่งธนู เคารพศพพระเกจิ คือหลวงพ่อพริ้ง แห่งบ้านแพรก ( อันนี้งดก่อน )

 ไปวัดมณีชลขันธ์ เพื่อกราบไหว้ หุ่นไฟเบอร์ ขรัวตาแสง อจ.หลวงปู่โต ( อันนี้ผ่านแต่ไม่เข้า )

 ไปวัดเขาสมอคอน กราบศพ หลวงพ่อบุญมี หลวงพ่อฉลวย พระเกจิแห่งเขาสมอคอน ที่นี่อากาศดี มี Unseen  หนุมานบนยอดเขา ( แต่ไม่ได้ขึ้นไปเพราะเที่ยง ร้อน ) ขึ้นแต่เขามณฑปจตุรทิศ ครอบพระธาตุบันไดประมาณ 70 ขั้น ที่นี่มีสถานที่ ๆ มณฑปอากาศดีมาก มองวิวได้มากมาย และใต้มณฑป มีถ้ำ 1 ถ้ำในบริเวณยังมีถ้า น้อยใหญเท่าที่ทราบ อีก 2 ถ้าคือ ถ้ำพราหมณี และ ถ้าน้ำ ใครเป็นคอแนวผจญภัย ก็มาเที่ยวได้ แต่ศาลาที่เก็บศพ 2 หลวงพ่อ ติดแอร์เย็นฉ่ำ นะจ๊ะ

  จากวัดเขาสมอคอน ได้ไปต่อที่วัดเกริ่นกฐิน พระเกจิอย่างหลวงพ่อเพี้ยน ซึ่งตอนนี้ที่วัดกำลังสร้างพระปางถวายเนตรองค์ใหญ่ อยู่ในการก่อสร้าง คิดว่าน่ีาจะเสร็จโดยไว เพราะฐานก็พร้อมแล้ว เหลือแต่องค์พระนับว่าถ้าสร้างเสร็จ เราคงบนเขาสมอคอน ก็สามารถมองเห็นพระพุทธรูปปางยืนนี้ได้แน่นอน

  จากวัดเกริ่นกฐิน ก็ไปกราบศพ หลวงพ่อเจริญ ที่วัดเขาวงกฏ ภายใต้อ้อมกอดแห่งขุนเขานั่งอยู่หน้ากุฏิลมพัดเย็นสบาย ๆๆ ไม่ร้อนมาก ตรงส่วนหน้า มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ อยู่เชิงเขาเข้าไปกราบได้สะดวก

  จากนั้นก็เป็น unseen ตามที่ตั้งใจไว้ คือ ไปกราบรอยพระพุทธบาท 5 รอยที่เขาเล่าลือกัน ยังไม่เคยไปก็ที่วัดเขาสนามแจง ซึ่งเป็นวัดสาขาวัดหนองป่าพง ที่ 177 วัดนี้มีทางขึ้นทางเดียวนะจ๊ะ ต้องขึ้นบันไดเท่านั้น รถต้องจอดที่เชิงเขา แต่บันไดเดินขึ้นไม่ร้อน มีต้นไม้เป็นร่มตลอดทาง เดินขึ้นไม่ร้อนเหมือนที่ วัดเขาวงพระจันทร์นับขั้นบันไดกันก็ไม่เท่าไร ประมาณ 600 กว่าขั้น สังเกตว่าที่เรามองจากถนนเข้าไปที่เขาในเขตบ้านหมี่
จะเห็นสิ่งก่อสร้างบนเขา เหมือนที่พักเป็น ศาลา สูงที่สุดก็คือวัดเขาสนามแจง ที่นี่มี พระอาจารย์ทนง ดูแลอยู่
มีพระอีกรูป และ แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา อยู่ช่วยงานกันบนวัด กำลังก่อสร้างมณฑปครอบรอยพระพุทธบาทอีก 1 รอย

   เดินขึ้นกันเย็น ๆ สบาย มีสถานที่สำคัญ หลายที่บนนี้

   ก็มาเล่าให้ฟังรอบแรกก่อน เท่านี้นะจ๊ะ ส่วนรูป และ รายละเอียด รอคุณ nathaposon มาช่วยเล่าต่อ
นะจ๊ะส่วนรูป ที่ถ่ายมาขอแปลงไฟล์ให้เล็กลงหน่อย ต้องอัพไว้ส่วนกลางก่อนตอนนี้ กำลังรอคุณทินกรดำเนินการเรื่อง โฮสต์ และ โดเมนใหม่ อยู่

  เจริญธรรม

   ;)


1196  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / พระพุทธเจ้า มีกี่ประเภท เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2011, 07:01:41 am




พระพุทธเจ้า มีกี่ประเภท คะอยากทราบประเภท ของผู้ที่ปรารถนา เป็นพระโพธิสัตว์ด้วยคะ



ในพระไตรปิฎกจะแบ่งประเภทของพระพุทธเจ้าไว้ ดังนี้*

ปัญญาธิกพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี ๒๐ อสงไขยกับอีก ๑๐๐๐๐๐ มหากัปป์ตั้งความปารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้ในใจ ๗ อสงไขย กล่าววาจาปารถนาเป็นพระพุทธเจ้า 9 อสงไขย นับเวลาตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก ๔ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐๐๐๐ มหากัปป์*

ศรัทธาธิกพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี ๔๐ อสงไขยกับอีก ๑๐๐๐๐๐ มหากัปป์ตั้งความปารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้ในใจ ๑๔ อสงไขย กล่าววาจาปารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ๑๘ อสงไขย นับเวลาตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก ๘ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐๐๐๐ มหากัปป์*

วิริยะธิกพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ความเพียรเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี ๘๐ อสงไขยกับอีก ๑๐๐๐๐๐ มหากัปป์ตั้งความปารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้ในใจ ๒๘ อสงไขย กล่าววาจาปารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ๓๖ อสงไขย นับเวลาตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก ๑๖ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐๐๐๐ มหากัปป์

ส่วนพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระปัญญาธิกพุทธเจ้า

**********************************************************

อนุพุทธ หมายถึง ผู้ได้ตรัสรู้ธรรมโดยอาศัยการสดับคำสอนจากพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตามจนได้บรรลุ มิใช่ผู้ตรัสรู้ธรรมได้เองตามลำพังหากตรัสรู้ธรรมได้เองเรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้าอนุพุทธ ได้แก่พระสาวกของพระพุทธเจ้าที่เป็นพระอรหันต์ มีทั้งภิกษุและภิกษุณี เช่น พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระอานนท์ มหาปชาบดีโคตมีเถรี ปฎาจาราเถรี เป็นต้น

**********************************************************

พระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง ได้บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยกำไรแสนกัป และตรัสรู้อริยสัจ ๔ ด้วยพระองค์เองเช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่จะเสด็จมาตรัสรู้ในคราวที่โลกว่างเว้นพระพุทธศาสนา และมาตรัสรู้ได้หลายพระองค์ในสมัยเดียวกัน แต่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น มิได้ทรงประกาศพระศาสนาเกิดสาวกพุทธบริษัทเหมือนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในปรมัตถโชติกา อรรถกถาสุตตนิบาตอธิบายว่า การบรรลุธรรมของพระปัจเจกพุทธเจ้า เปรียบเสมือนรสกับข้าวที่พรานป่าได้ลิ้มในเมือง ฉะนั้น จึงไม่อาจสอนให้บุคคลอื่นรู้ตามตนได้ ( คือสอนได้แต่ไม่อาจให้รู้ตามได้ ) ไม่ก่อตั้งหรือสถาปนาในรูปสถาบันศาสนา แต่เน้นอนุโมทนาแก่ผู้ถวายทานให้ท่าน จะอุบัติขึ้นในช่วงพุทธันดร กล่าวคือ เป็นช่วงเวลาที่โลกว่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น ในปัจจุบันนี้ จึงไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าอุบัติขึ้นพระปัจเจกพุทธเจ้าแต่ละองค์มีประวัติคล้ายกัน คือ เป็นมาจากกษัตริย์ พราหมณ์ หรือคหบดี ในสมัยโบราณที่เบื่อหน่ายในโลกิยสมบัติ ได้ออกบวชศึกษาพระธรรมจนบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณ เมื่อบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณแล้ว ก็ไปชุมนุมที่เขาคันธมาทน์กูฏ ซึ่งเป็นยอดเขาแห่งหนึ่งของเทือกเขาหิมพานต์หรือหิมาลัย มีฝูงช้างฉัททันต์คอยปรนนิบัติอยู่เป็นนิจคุณลักษณะพิเศษที่สำคัญประการหนึ่งของพระปัจเจกพุทธเจ้าคือ การดำเนินชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว หรือการดำเนินชีวิตอยู่เพียงลำพัง (เอกะ) ในวรรณคดีพระพุทธศาสนา เปรียบเทียบ การดำเนินชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวของพระปัจเจกพุทธเจ้า เหมือนกับนอแรด (ขคฺควิสาณกปฺโป) ซึ่งแรดของอินเดียมีเพียงนอเดียว ส่วนแรดในประเทศอื่นมี ๒ นอก็มี แต่กระนั้นก็ตาม พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้องมาประชุมพร้อมกันเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน คือในวันที่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติขึ้นและในวันอุโบสถพระพุทธองค์ตรัสแก่พระอานนท์ในคัมภีร์ปัจเจกพุทธาปธานว่า "ในโลกทั้งปวง เว้นเราแล้ว ไม่มีใครเสมอพระปัจเจกพุทธเจ้าเลย".

1197  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การบนบาน ศาลกล่าว ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นั้นให้ช่วยเช่น ขอ บารมีหลวงพ่อโสธร ให้.. เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2011, 11:55:09 am




การบนบาน ศาลกล่าว ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นั้นให้ช่วยเช่น ขอ บารมีหลวงพ่อโสธร ให้ช่วยขายได้ดี ให้หายโรค หายป่วย อยากถามว่าการบนบาน ศาลกล่าว อย่างนี้เป็นวิธีการที่ พระพุทธเจ้าสอนหรือไม่ ครับ


ก็ขอตอบว่า พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เรา ขอใด ๆ จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นอกเสียจากตั้ง สัจจะอธิษฐาน นะจ๊ะ ส่วนการที่เราไปบนบาน กล่าวขออะไรต่าง ๆ กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นเรื่องปกติของปุถุชน ทางพระพุทธศาสนา นั้นไม่ได้ห้ามโดยตรง แต่ให้มีความฉลาด รู้จักพึ่งตนเอง แต่การกล่าววาจาขอนั้นเป็นการเสริมกำลังใจ กับคนที่ต้องการบ้างก็ไม่ผิดอันใด จะได้สมหวัง หรือไม่สมหวัง อันนี้กล่าวลำบาก แต่ที่แน่นอนคนที่มาทำการบนบาน หลวงพ่อ หลวงปู่ เป็นต้น ก็มักจะได้ทำบุญกันเป็นประจำ ซึ่งผลแห่งบุญนั้นจะได้ช้า หรือ ได้เร็ว ก็อยู่ที่คนทำบุญสั่งสมมาไว้ดีแล้วหรือยัง

 คนนับถือ พระพุทธศาสนา จะกล่าวว่าปรารถนาหลักธรรมจริง ๆ ก็มีน้อยมาก ส่วนใหญ่นับถือเพราะว่า พ่อแม่ นับถือ เป็นประเพณีสืบกันมา บางคนยังไม่รู้ศีล 5 มีอะไรด้วยซ้ำไป แต่ฉันก็นับถือพระพุทธศาสนา ก็ถือว่าเบื้องต้นก็ดี บางครั้งอาจจะทำผสมความงมงาย ไปบ้าง

  แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีจริงหรือไม่ ก็ขอตอบว่า มีจริงถ้าเราสื่อกับเขาได้ ก็อาจจะได้รับการช่วยเหลือ ก็เป็นได้

สำหรับคนที่ได้ศึกษา หลักธรรมมาแล้ว พอมีปัญญาเพิ่มพูนในพระพุทธศาสนานั้น ก็อาจจะมองเป็นเรื่องธรรมดา หรือ มองเป็นเรื่องงมงามไปก็เป็นได้ อันนี้ไม่ขอวิจารณ์

 เอาเป็นว่า เชื่อถือ ศรัทธาตามภูมิธรรมของตนเบื้องต้น ทำแล้วสบายใจ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ทำไปเถอะนะจ๊ะ จะกล่าวว่าถูก หรือ ผิด ไปจริง ยังไม่ได้

เจริญธรรม

 ;)

1198  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / อาจริยบูชา “สองศรีพระศาสนา” (พุทธทาสภิกขุ-ปัญญานันทภิกขุ) 5 พ.ค.54 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2011, 11:34:46 am
บ้านอารีย์เชิญชวนทุกท่าน ร่วมงาน
กิจกรรมธรรมสมโภช ๑๐๐ ปี ชาตกาลปัญญานันทภิกขุ
วันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๙.๐๐-๑๑.๐๐ น
เชิญร่วมสวดมนต์ ฟังธรรม เจริญภาวนา
ทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล “วันฉัตรมงคล”
และอาจริยบูชา “สองศรีพระศาสนา” (พุทธทาสภิกขุ-ปัญญานันทภิกขุ)
๐๙.๐๐ น. สวดมนต์แปล เจริญภาวนา
๐๙.๓๐ น. สนทราธรรม-ดนตรี-เวทีธรรม โดย พระครูสังฆกิจพิมล / ดินป่า – ณพา จีวัน
๑๑.๑๕ น. ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน
เชิญท่านมา รับธรรมใส่ตัว โดยผ่านจากเสียงแสดงธรรม และดนตรีธรรม
กิจกรรมจัดที่ศาลาปันมี ไม่มีค่าใช้จ่าย
สอบถาม ๐๒ ๒๗๙ ๗๘๓๘ / ๐๒ ๖๑๙ ๗๔๗๔ หรือ info@baanaree.net

เชิญทุกท่าน หากมาเองไม่ได้ก็ร่วมบุญโดยการส่งต่อๆ กัน
 เพื่อใช้พื้นที่บนเฟซบุ๊คคุณ เป็นพื้นที่บุญด้วยกันนะครับ อนุโมทนาครับ

Aeva Debug: 0.0005 seconds.
1199  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร กับการที่ผู้ภาวนา ๆ เดือนละครั้ง เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2011, 08:10:56 am




โดยส่วนตัวจะภาวนากรรมฐานเดือนละครั้ง ๆ ละ ชั่วโมง  ไม่ทราบว่าทำเพียงแค่นี้เพียงพอหรือไม่ หรือ ท่านมีความเห็นอย่างไร  กับการที่ผู้ภาวนา ๆ เดือนละครัง


การภาวนากรรมฐาน เดือนละครั้ง ๆ ละ ชั่วโมง ก็ขออนุโมทนาด้วย  ซึ่งถือว่าดีแล้ว ดีกว่าไม่ได้ทำเลย แต่การภาวนาจะว่าเพียงพอหรือ ไม่  ก็อยุ่ที่ผู้ภาวนาเอง สำหรับคุณก็น่าจะเพียงพอ  ถ้าไม่เพียงพอก็คงจะภาวนากันมากกว่านี้เป็นแน่ ดังนั้นจะตอบว่า พอ หรือ ไม่  ก็อยู่ที่เป้าหมายของผู้ภาวนานั้นเห็นอย่างไรในการภาวนาต่างหาก

ทำเพียงแค่นี้พอ หรือ ไม่ ก็อยู่ที่เป้าหมายของผู้ภาวนา ว่าบรรลุเป้าหมายในการภาวนา หรือไม่ ?

มีความคิดเห็นอย่างไร กับผู้ที่ภาวนากรรมฐาน ครั้งละ 1 ชม. เดือน ละ 1 ครั้ง
ก็อนุโมทนา นะจ๊ะ
แต่ให้ดีมากกว่า นี้ภาวนาทุกวัน วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 10 นาที ได้หรือไม่ ก็คือวันหนึ่ง 30 นาที แต่ทำทุกวัน
เดือนก็ประมาณ 15 ชม. นะจ๊ะ น่าจะดีกว่าที่ความถี่

เจริญธรรม

 ;) Aeva Debug: 0.0005 seconds.
1200  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / อยากเข้าใจเรื่องกรรม และ ดวง ถ้าจะโทษกรรม โทษดวง ควรรู้เรื่องกรรมก่อน เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2011, 10:08:20 am
ตอบปัญหาจากเมล

ปุจฉา ดวง กับ กรรม ต่างกันอย่างไร ครับ เพราะเวลาที่เราโชคร้าย ก็จะโทษ ดวง บ้าง บางคนก็กล่าว เพราะกรรม บ้าง อันที่จริงแล้วควรกล่าวอย่างไรจึงจะูถูกในหลักศาสนาครับ

วิสัชชนา ตอบตามพระสูตร เลยก็แล้วกัน อ่านไม่เข้าใจ ก็ถามเพิ่มเติม ก็แล้วกันนะจ๊ะ

 
                ภิกษุทั้งหลาย ! ลัทธิ 3 ลัทธิเหล่านี้มีอยู่.
 เป็นลัทธิ ซึ่งแม้บัณฑิตจะพากันไตร่ตรอง จะหยิบขึ้นตรวจสอบ จะหยิบขึ้นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไร
 แม้จะบิดผันกันมาอย่างไร ก็ชวนให้น้อมไปเพื่อการไม่ประกอบกรรมที่ดีงามอยู่นั่นเอง.
 ภิกษุทั้งหลาย ! ลัทธิ 3 ลัทธินั้นเป็นอย่างไรเล่า ? 3 ลัทธิคือ
(1)
 สมณะและพราหมณ์บางพวก มีถ้อยคำและความเห็นว่า
 “บุรุษบุคคลใดๆ ก็ตาม ที่ได้รับสุข รับทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
 ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน” ดังนี้.
(2)
 สมณะและพราหมณ์บางพวก มีถ้อยคำและความเห็นว่า
 “บุรุษบุคคลใดๆ ก็ตาม ที่ได้รับสุข รับทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
 ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะการบันดาลของเจ้าเป็นนาย” ดังนี้.
(3)
 สมณะและพราหมณ์บางพวก มีถ้อยคำและความเห็นว่า
 “บุรุษบุคคลใดๆ ก็ตาม ที่ได้รับสุข หรือได้รับทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์
 ทั้งหมดนั้น ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเลย” ดังนี้.

ภิกษุทั้งหลาย ! ในบรรดาลัทธิทั้ง 3 นั้น สมณพราหมณ์พวกใดมีถ้อยคำและความเห็นว่า
 “บุคคลได้รับสุข หรือทุกข์  หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
 เพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อนอย่างเดียว”  มีอยู่
เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว สอบถามความที่เขายังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว
 เรากล่าวกับเขาว่า
“ถ้ากระนั้น คนที่ฆ่าสัตว์…ลักทรัพย์…ประพฤติผิดพรหมจรรย์…พูดเท็จ …
 พูดคำหยาบ … พูดยุให้แตกกัน … พูดเพ้อเจ้อ…มีใจละโมบเพ่งเล็ง…มีใจพยาบาท …
 มีความเห็นวิปริตเหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นก็ต้องเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน.
เมื่อมัวแต่ถือเอากรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน มาเป็นสาระสำคัญดังนี้แล้ว
 คนเหล่านั้น ก็ไม่มีความอยากทำ  หรือความพยายามทำในข้อที่ว่า
 สิ่งนี้ควรทำ (กรณียกิจ)  สิ่งนี้ไม่ควรทำ (อกรณียกิจ) อีกต่อไป.
เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจ  ไม่ถูกทำหรือถูกละเว้นให้จริงๆ จังๆ กันแล้ว
 คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครองตนเหล่านั้น
 ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเรียกตนว่าเป็นสมณะอย่างชอบธรรมได้” ดังนี้.

ภิกษุทั้งหลาย ! ในบรรดาลัทธิทั้ง 3 นั้น สมณพราหมณ์พวกใดมีถ้อยคำและความเห็นว่า
 “บุคคลได้รับสุขหรือทุกข์  หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
 ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะอิศวรเนรมิตให้ (อิสฺสรนิมฺมานเหตูติ)”  ดังนี้  มีอยู่
เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว สอบถามความที่เขายังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว
 เรากล่าวกะเขาว่า
“ถ้ากระนั้น คนที่ฆ่าสัตว์…ลักทรัพย์…ประพฤติผิดพรหมจรรย์…พูดเท็จ …
 พูดคำหยาบ … พูดยุให้แตกกัน … พูดเพ้อเจ้อ…มีใจละโมบเพ่งเล็ง…มีใจพยาบาท …
 มีความเห็นวิปริต เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ นั่นก็ต้องเป็นเพราะการเนรมิตของอิศวรด้วย.
ก็เมื่อมัวแต่ถือเอาการเนรมิตของอิศวร มาเป็นสาระสำคัญดังนี้แล้ว
 คนเหล่านั้นก็ไม่มีความอยากทำ หรือความพยายามทำในข้อที่ว่า
 สิ่งนี้ควรทำ (กรณียกิจ) สิ่งนี้ไม่ควรทำ  (อกรณียกิจ) อีกต่อไป.
เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจ  ไม่ถูกทำหรือถูกละเว้นให้จริงๆ จังๆ กันแล้ว
 คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครองตนเหล่านั้น
 ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเรียกตนว่าเป็นสมณะอย่างชอบธรรมได้” ดังนี้.

ภิกษุทั้งหลาย ! ในบรรดาลัทธิทั้ง 3 นั้น สมณพราหมณ์พวกใดมีถ้อยคำและความเห็นว่า
 “บุคคลได้รับสุข หรือทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
 ทั้งหมดนั้น ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเลย” ดังนี้ มีอยู่.
เราเข้าไปหาสมณะและพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว  สอบถามความที่เขายังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว
 เรากล่าวกะเขาว่า
“ถ้ากระนั้น คนที่ฆ่าสัตว์…ลักทรัพย์…ประพฤติผิดพรหมจรรย์…พูดเท็จ …
 พูดคำหยาบ … พูดยุให้แตกกัน … พูดเพ้อเจ้อ…มีใจละโมบเพ่งเล็ง…มีใจพยาบาท …
 มีความเห็นวิปริต เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ นั่นก็ต้องไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเลยด้วย.
ก็เมื่อมัวแต่ถือเอาความไม่มีอะไร เป็นเหตุเป็นปัจจัยเลย มาเป็นสาระสำคัญดังนี้แล้ว
 คนเหล่านั้นก็ไม่มีความอยากทำ หรือความพยายามทำ
 ในข้อที่ว่าสิ่งนี้ควรทำ (กรณียกิจ) สิ่งนี้ไม่ควรทำ (อกรณียกิจ) อีกต่อไป.
เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจ  ไม่ถูกทำหรือถูกละเว้นให้จริงๆ จังๆ กันแล้ว
 คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครองตนเหล่านั้น
 ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเรียกตนว่าเป็นสมณะอย่างชอบธรรมได้” ดังนี้.

- ติก. อํ. 20/224/501

เนื้อหานี้นำมาจาก

http://watnapp.com/read/karma/i020/
                            
หน้า: 1 ... 28 29 [30] 31 32 ... 35