ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ  (อ่าน 6872 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

naka-54

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 84
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ
« เมื่อ: สิงหาคม 13, 2015, 07:54:00 pm »
0
อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ
  ไม่ทราบว่าใคร มี คะ เอามาลงให้อ่านบางคะ

   thk56 thk56 thk56
บันทึกการเข้า

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2015, 09:48:31 pm »
0
จะเอาแบบละครหรือค่ะ  ask1
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2015, 09:52:05 am »
0


"แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์"  ทั้งสองวัดนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร

ภาพวาดแสดงให้เห็นแร้งวัดสระเกศ ที่กำลังทึ้งศากซพ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยไล่ศพเหล่านี้ คือผู้เสียชีวิตจากอหิวาตกโรค หรือที่เรียกกันเป็นภาษาทางการว่า "ไข้ป่วงใหญ่" ชาวบ้านเรียกว่า "โรคห่า" และคนที่เป็นโรคนี้เรียกกันว่า "ห่ากิน" ซึ่งเป็นโรคเมืองร้อนระบาดในภูมิภาคย่านนี้เป็นประจำทุกปีในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งในขณะนั้นยังขาดความรู้เกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดโรค และการรักษา ส่งผลให้อหิวาตก์จึงระบาดอย่างรวดเร็ว และคร่าชีวิตผู้คนปีละมาก ๆ

      อหิวาตกโรค แปลตามศัพท์ว่า โรคอันเกิดแต่ลม ซึ่งมีพิษร้ายแรงดั่งพิษงู
      อหิ แปลว่า งู 
      วาตก แปลว่า ลม
      โรค แปลว่า ธรรมชาติที่เสียดแทงชีวิต



ยุคสมัยนั้นผู้คนยังต้องอาศัยน้ำในแม่น้ำลำคลองดื่มกิน เมื่อเข้าเดือนเดือนเมษายนอหิวาตก์จะเริ่มระบาดและหลังจากเดือนตุลาคมเมื่อฝนหยุดตก และน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติทั้งหลายค่อยๆ เหือดแห้ง การที่ประชาชนนิยมทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในแหล่งน้ำลำคลอง จึงกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ทำให้อหิวาตก์ระบาดอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งถึงเดือนกรกฎาคมเข้าสู่ฤดูฝน เมื่อฝนตกลงมาอย่างหนักอีกครั้งจึงชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งหลายในแม่น้ำลำคลองให้ไหลลงสู่ทะเล และเชื้ออหิวาตก์ก็จะหายไปเอง

ในปี พ.ศ.2363 ซึ่งอหิวาตก์เกิดขึ้นรุนแรงครั้งแรกโดยแพร่ระบาดจากประเทศอินเดียอีกทั้งการไม่รู้วิธีป้องกันและรักษาโรค พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงใช้วิธีให้กำลังใจ โปรดฯให้ตั้งพิธีขับไล่โรคนี้ขึ้น เรียกว่า "พิธีอาพาธพินาศ"

โดยจัดขึ้นที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มีการยิงปืนใหญ่รอบพระนครตลอดคืน อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบรมสารีริกธาตุออกแห่ โดยมีพระราชาคณะโปรยพระพุทธมนต์ตลอดทาง ทรงทำบุญเลี้ยงพระ โปรดให้ปล่อยปลาปล่อยสัตว์ และประกาศไม่ให้ประชาชนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และให้ประชาชนอยู่กันแต่ในบ้าน



แต่ก็ยังมีคนตายเพราะอหิวาตก์ประมาณ 3 หมื่นคน ซากศพกองอยู่ตามวัดเป็นภูเขาเลากา เพราะฝังและเผาไม่ทัน บ้างก็แอบเอาศพทิ้งลงในแม่น้ำลำคลองในเวลากลางคืน จึงมีศพลอยเกลื่อนกลาดไปหมด

ประชาชนต่างอพยพหนีออกไปจากเมืองด้วยความกลัว พระสงฆ์ทิ้งวัด งานของราชการ และธุรกิจทั้งหลายต้องหยุดชะงัก เพราะหากผู้คนไม่หนีไปก็จะมีภาระในการดูแลคนป่วยและต้องจัดการกับศพของญาติมิตร ผู้ที่เป็นอหิวาตก์ส่วนใหญ่จะเป็น พวกนักโทษ ทาสและสามัญชนโดยทั่วไป ที่ไม่ระมัดระวังในการกินอยู่ ผู้ที่มีฐานะดีจะมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้น้อยกว่า



สำหรับในพระบรมมหาราชวังและบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์นั้น ได้มีการจัดหาดื่มน้ำใช้ที่สะอาดมาจากต้นน้ำเพชรบุรี ซึ่งเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่ได้จากป่าเขาและไหลผ่านกรวดทราย นำตักใส่โอ่งและลำเลียงมาทางเรือ

เจ้าฟ้ามงกุฏฯ คือ รัชกาลที่ 4 ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงเพศบรรพชิตเป็นพระราชาคณะ ได้ทรงบัญชาให้วัดสามวัด  คือ วัดสระเกศ วัดบางลำพู(วัดสังเวชวิศยาราม) และวัดตีนเลน(วัดเชิงเลน หรือวัดบพิตรพิมุข) เป็นสถานที่สำหรับเผาศพ มีศพที่นำมาเผาสูงสุด ถึงวันละ 696 ศพ 



แต่กระนั้นศพที่เผาไม่ทัน จะถูกกองสุมกันอยู่ตามวัด โดยเฉพาะวัดสระเกศ มีศพส่งไปไว้มากที่สุด ทำให้ฝูงแร้งแห่งไปลงทึ้งกินซากศพ ตามลานวัด บนต้นไม้ บนกำแพง และหลังคากุฏิเต็มไปด้วยแร้ง แม้เจ้าหน้าที่จะถือไม้คอยไล่ก็ไม่อาจกั้นฝูงแร้ง ที่จ้องเข้ามารุมทึ้งซากศพอย่างหิวกระจายได้ และจิกกินซากศพ จนเห็นกระดูกขาวโพลน พฤติกรรมของ "แร้งวัดสระเกศ" ที่น่าสยดสยองจึงเป็นที่กล่าวขวัญกันตามปรากฎดังภาพ


นอกจากนี้ยังมีศพนักโทษที่แก่ตาย และศพนักโทษประหารมาทิ้งไว้ที่วัดสระเกศด้วย ทั้งนี่เพราะในสมัยก่อนห้ามเผาศพกันในเมือง เมื่อมีคนตายต้องเอาไปเผานอกกำแพง แล้วประตูเมืองที่อนุญาตให้เอาศพผ่านออกไปมีเพียงประตูเดียวที่เรียกว่า "ประตูผี"   ซึ่งวัดสระเกศเป็นวัดที่อยู่ใกล้กับประตูผี หรือเมื่อเดินผ่านประตูเมืองมาก็เจอกับวัดสระเกศเป็นวัดแรกนั่นเอง จึงต้องเอาศพมาทิ้งที่นี่




"เปรตวัดสุทัศน์" มีที่มาอย่างไรเอ่ย.?

ความเชื่อแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์เกี่ยวกับเรื่องราวของเปรตแห่งวัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่า วัดแห่งนี้มักมีเปรตปรากฏกายในเวลากลางคืนเป็นที่น่ากลัวอย่างยิ่ง สอดคล้องกับอหิวาตกโรคที่แพร่ระบาดจนมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากในรัชสมัยที่ 2 จนเผาศพแทบไม่ทัน ณ วัดสระเกศ จนมีคำกล่าวคล้องจองกันว่า "เปรตวัดสุทัศน์ แร้งวัดสระเกศ"

แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องเล่าเปรตวัดสุทัศน์ฯนั้น มีที่มาจากภาพวาดบนฝาผนังในอุโบสถ ที่เป็นรูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่และมีพระสงฆ์ยืนพิจารณาอยู่ ซึ่งภาพนี้มีชื่อเสียงมากในสมัยอดีตและเป็นที่เลื่องลือกันของผู้ที่ไปที่วัดแห่งนี้ว่าต้องไปดู และสิ่งที่ผู้คนเห็นว่าเป็นเปรตนั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณวัดแห่งนี้มายาวนานบอกว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นเงาของเสาชิงช้าที่อยู่หน้าวัด ในสายหมอกยามเช้านั่นเอง




โพสต์เมื่อ 25th January 2012 โดย Varangkana Niyomrit
ที่มา http://griffonmany.blogspot.com/
ขอบคุณภาพจาก
http://variety.teenee.com/
http://www.bloggang.com/
http://www.alittlebuddha.com/
http://4.bp.blogspot.com/
http://image.ohozaa.com/
http://t3.gstatic.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2015, 10:08:11 am »
0

"แร้งวัดสระเกศ" และ "เปรตวัดสุทัศน์"

    "เนื้อหาที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน" เพราะวันที่ 31 ต.ค. ของทุกปีเป็นวันปล่อยผีของฝรั่งหรือวันฮัลโลวีน ซึ่งในฐานะที่ฉันเป็นผู้นิยมการท่องเที่ยวในเมืองกรุงโดยเฉพาะ ฉันจึงจะพาไปในสถานที่ที่เคยมีเรื่องลึกลับจำพวกผีหรือเปรตเพื่อให้เข้ากับเทศกาลปล่อยผีนี้ แต่แทนที่จะพาไปดูผีฝรั่ง ฉันก็จะพาไปดูผีไทยแทนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเปรียบ

ย่านประตูผียามค่ำคืน ถึงจะไม่มีผีแต่ก็ดูวังเวง

    ที่แรกที่จะพาไปก็คือ "ประตูผี" แน่นอนว่าฉันไม่ได้จะพาไปกินสารพัดอาหารอร่อยแถวๆ นั้นหรอก แต่ดูจากชื่อก็รู้ว่าต้องมีอะไรเกี่ยวกับผีๆ สักอย่าง แต่ก่อนอื่นก็ต้องรู้ที่มาที่ไปของชื่อประตูผีกันเสียก่อน โดยต้องย้อนไปในกรุงเทพมหานครสมัยเมื่อเริ่มสร้างเมืองใหม่ๆ หรือในสมัยรัชกาลที่ 1 นั้น กรุงเทพฯ ยังไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวางแบ่งเป็น เขตๆเหมือนอย่างทุกวันนี้ แต่จะมีศูนย์รวมอยู่ภายในกำแพงเมือง ส่วนด้านนอกกำแพงก็จะมีการทำนาทำการเกษตรอยู่เป็นส่วนใหญ่

    และภายในกำแพงเมืองนี้ก็ถือธรรมเนียมกันอยู่ว่าหากมีชาวบ้านเสียชีวิตในกำแพงเมือง จะต้องขนเอาศพออกไปเผาด้านนอกกำแพง และทางออกที่จะขนศพออกไปได้ก็มีอยู่ทางเดียว คือ ประตูทางด้านทิศตะวันออกของเมือง ถ้าจะให้ระบุตำแหน่งก็น่าอยู่ช่วงระหว่างเสาชิงช้าและวัดสระเกศ หรือใกล้กับสี่แยกสำราญราษฎร์ปัจจุบัน เหตุที่ประตูเมืองด้านนี้ได้ชื่อว่าเป็นประตูผี ก็เพราะเป็นทางขนย้ายศพผีออกไปนอกกำแพงเมืองนั่นเอง ซึ่งวัดคนส่วนมากนำศพมาเผาหรือฝังก็มักจะเป็นที่วัดสระเกศ ซึ่งอยู่ติดๆ กับประตูผีนั่นเอง และไม่เพียงแต่กรุงเทพฯ เท่านั้นที่มีประตูผีเช่นนี้ แต่เมืองใหญ่ๆ ในสมัยโบราณเช่นเมืองเชียงใหม่ก็มีประตูผีเช่นกัน

    แม้จะเรียกย่านนี้กันว่าย่านประตูผี แต่ในปัจจุบันนี้ก็ไม่เห็นจะมีประตูสักบานให้เห็นแล้ว (แต่จะเห็นผีหรือไม่อันนี้ก็แล้วแต่ความซวยของแต่ละบุคคล) เพราะหลังจากที่ได้มีการตัดถนนบำรุงเมืองผ่านประตูผี และมีการรื้อถอนกำแพงเมืองและประตูออกไป ประตูผีก็เหลือแต่ชื่อไว้ให้ระลึกถึง แต่จะว่าเหลือแต่ชื่อก็ไม่ถูกนัก เพราะภายหลังยังได้เปลี่ยนชื่อเรียกบริเวณนี้จากเดิมที่เรียกว่าย่าน "ประตูผี" มาเป็น "สำราญราษฎร์" เพื่อให้เป็นมงคลแก่สถานที่อีกด้วย แต่ชื่อประตูผีก็ยังคงเป็นชื่อเรียกติดปากหลายๆ คนมาจนปัจจุบัน


ลานวัดสระเกศที่อดีตเคยมีศพนับหมื่นวางกองไว้และมีแร้งมาจิกกิน

    และถ้าพูดถึงช่วงที่ประตูผีถูกใช้เป็นเส้นทางลำเลียงขนศพอยู่บ่อยครั้งก็คงจะเป็นช่วงที่เกิดโรคระบาดในกรุงเทพฯ และเมืองใกล้เคียงในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยเกิดโรคห่า หรืออหิวาตกโรคระบาดไปทั่ว ทำให้มีคนตายหลายหมื่นคนด้วยกัน วัดสระเกศซึ่งเป็นสถานที่จัดการศพก็ยังไม่สามารถเผาศพหรือฝังได้ทันจนศพกองพะเนินมากมาย จึงต้องขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วฝังศพไปในหลุมเดียวกัน แต่จำนวนศพที่มากมายเกินไปก็ทำให้ฝูงแร้งจำนวนมากมาจิกกินซากศพเป็นอาหาร

    และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 5 ก็ยังคงมีโรคระบาดเกิดขึ้นและมีคนตายเป็นจำนวนมากซ้ำอีกครั้ง และวัดสระเกศก็ยังคงประสบปัญหาเผาศพไม่ทันเหมือนเดิม และมีแร้งมาจิกกินศพอีกเช่นเคย ทำให้มีคำเรียก "แร้งวัดสระเกศ" เกิดขึ้น

    แต่ถ้าพูดถึงแร้งวัดสระเกศ แล้วไม่พูดถึง "เปรตวัดสุทัศน์" ก็จะดูเหมือนเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ เพราะเรามักจะได้ยินสองอย่างนี้คู่กันเสมอๆ สำหรับ "เปรต" นั้น ก็เป็นชื่อเรียกผีหรือมนุษย์ที่ทำบาปทำกรรมหนักหนาสาหัส เมื่อตายไปแล้วก็จะมาเกิดเป็นเปรตเพื่อชดใช้กรรมที่ทำไว้เมื่อยังเป็นมนุษย์

    เปรตนั้นก็มีหลายประเภทหลายลักษณะด้วยกัน แต่ภาพของเปรตที่คนส่วนมากจะคิดถึงก็คือต้องตัวสูงเท่าต้นตาล มือเท้าใหญ่เหมือนใบลาน ปากเท่ารูเข็ม ส่งเสียงร้องหวีดๆ ตอนกลางคืน และมักมาปรากฏตัวให้เห็นตอนกลางดึกเพื่อขอส่วนบุญ ส่วนคนที่ได้เห็นเปรตก็ถือว่าช่วงนั้นดวงตกต้องไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เปรตตนนั้นเสีย


อย่าลืมไหว้พระศรีศากยมุนีก่อนไปดูเปรต(จิตรกรรมฝาผนัง)ในวัดสุทัศน์

    และสำหรับเปรตที่วัดสุทัศน์นี้ บางคนก็ว่า มีคนเคยเห็นเปรตสองผัวเมียออกมาหลอกคนแถววัดสุทัศน์อยู่บ่อยครั้งจนเป็นที่ร่ำลือถึงความน่ากลัว
    บ้างก็ว่า คำว่าเปรตวัดสุทัศน์นั้นใช้เป็นคำเรียกเชิงประชดประชันของพวกมารศาสนา ซึ่งก็เป็นคนเหมือนๆ เรานี่แหละ แต่ชอบมาหลอกลวงชาวบ้านชาวช่องให้หลงงมงายอยู่แถวๆ วัดสุทัศน์นี่เอง

    ไม่ว่าจะเป็นเปรตแบบไหนก็ตาม แต่ฉันขอฟันธงว่าใครก็ตามที่ได้ไปวัดสุทัศน์ก็จะได้เห็นเปรตแน่นอน!!!
    ถ้าไม่เชื่อวันนี้ก็ลองเดินเข้าไปในพระวิหารของวัดสุทัศน์ ไหว้พระประธานหรือพระศรีศากยมุนีเสียก่อนเพื่อให้อุ่นใจ จากนั้นให้เดินไปทางด้านขวามือของพระประธาน เดินไปให้ถึงเสาต้นที่สี่ซึ่งอยู่ด้านในสุดของพระวิหาร จากนั้นเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนเสาใกล้ๆ กับโคมไฟ สิ่งที่จะได้เห็นก็คือ...เปรตที่กำลังนอนเหยียดยาวอยู่นั่นเอง.!!


ภาพเปรตในวัดสุทัศน์

    ใช่แล้ว... เปรตที่ฉันว่ามานี้ก็คือ ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังเป็นรูปเปรตที่อยู่บนเสาพระวิหารนั่นเอง โดยภาพวาดนี้วาดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 จุดประสงค์ก็เพื่อใช้ภาพวาดสอนคนให้รู้ถึงการทำดีทำชั่ว หากทำดีก็จะได้อยู่ในชาติภพที่ดี แต่หากทำชั่วไว้มากก็ต้องมาเกิดเป็นเปรต ต้องทนทุกขเวทนารอส่วนบุญส่วนกุศลที่จะมีคนอุทิศให้อย่างในภาพวาดนี้... รู้นะว่ามีคนแอบโล่งใจที่ได้เห็นภาพวาดเปรตแทนที่จะได้เห็นเปรตตัวเป็นๆ

แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9500000128822
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9530000103701
http://www.palungdham.com/t213.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 15, 2015, 10:11:10 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2015, 10:15:15 am »
0


 ans1 ans1 ans1 ans1

ฟังเรื่อง แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ ได้ที่นี่
https://www.youtube.com/watch?v=uA2KENwHOUE

สยามสยอง : แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์
อัพโหลดโดย Siams Sayong

หลายๆคนคงเคยได้ยินคำว่า "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" กันมาจนชินหู ทั้งสองวัดนี้.. มักจะได้ยินพร้อมๆกันเสมอ..เพราะครั้งหนึ่­งมันเคยเป็นอย่างนั้นและมันก็คือ นรกจำลองดีๆ นี่เอง
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2015, 04:02:22 pm »
0

             สาธุ สาธุ

           ได้อ่านเรื่องในอดีต กันบ้างก็ดี     มีคนตายตั้งหลายหมื่น

           การเก็บประวัติไว้ ก็เพื่อ ชนยุคต่อไป  จะได้ทราบที่มา......ในทุกเรื่อง ครับ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา