สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

กรรมฐาน มัชฌิมา => ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน => ข้อความที่เริ่มโดย: ธัมมะวังโส ที่ สิงหาคม 27, 2015, 08:20:12 am



หัวข้อ: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ สิงหาคม 27, 2015, 08:20:12 am
 ask1
 สำหรับจดหมาย แต่ละท่านที่ส่งมาปรับทุกข์ กับอาตมา ในเรื่องต่าง ๆ นั้น
 หลังจากเมื่อวานออกจากสมาธิ ก็ได้เปิดอ่านจดหมายไปตามลำดับ ประมาณ 160 กว่าฉบับ มีข้อความปรับทุกข์เป็นส่วนใหญ่ มีตั้งแต่ ป่วยหนัก ญาติเสีย เป็นอัมพฤต อัมพาต ถูกโกงที่ดิน แฟนมีชู้ ตกงาน และอีกสาระพัดที่ได้อ่าน แม้ท่านทั้งหลาย จะเขียนจดหมายมาขอ ทรัพย์จากอาตมา เพื่อไปลงทุน จะดั้นด้นเดินทางมาหา จากที่ไกล
   
    สรุปรวมความสาระทุกข์ ของแต่ละท่าน
    อาตมา ก็มีความเห็นใจ ทุกท่าน ไม่อยากให้ท่านทั้งหลาย ประสบทุกข์ อย่างที่ท่านเล่ากันมา ยามเจ็บป่วย ตกทุกข์ นึกถึงกัน ก็เป็นธรรมดา แต่ก็จนใจที่ไม่สามารถจะช่วยท่านทั้งหลาย ได้ถ้วนหน้าทุกคน ที่ช่วยได้ทันที ก็คือ การมอบธรรม เตือนสติ ว่า อย่าประมาท วันนี้ยังมีลมหายใจ อยู่ อย่าท้อ อย่าถอย อย่าคร่ำครวญ อย่าสำออย อย่าบ่น อย่าเพ้อฝันทำเพ้อเจ้อ แต่จงมีสติระลึกถึงลมหายใจเข้า ระลึกถึงลมหายใจออก

    ใครที่มองเห็นโทษแห่งสังสารวัฏ ก็ควรพิจาณา พระดำรัสของพระพุทธเจ้า ต่อไปนี้
     
  พระสุตตันตปิฎก  มัชฌิมนิกาย  มูลปัณณาสก์  (๓.  โอปัมมวรรค)
  ๖.  ปาสราสิสูตร

    (๒๗๖) ภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนเราเป็นโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้   
 ตนเองมีความเกิดเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดาอยู่นั่นแล   
 ตนเองมีความแก่เป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาอยู่นั่นแล   
 ตนเองมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาอยู่นั่นแล   
 ตนเองมีความตายเป็นธรรมดา  ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาอยู่นั่นแล   
 ตนเองมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเศร้าโศกเป็นธรรมดาอยู่นั่นแล
 ตนเองมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเศร้าหมองเป็นธรรมดาอยู่นั่นแล
     




     เราเองมีความแก่เป็นธรรมดา    ทราบชัดถึงโทษในสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแล้ว
ควรแสวงหานิพพานที่ไม่มีความแก่    ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า    และเกษมจากโยคะ
     เราเองมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา    ทราบชัดถึงโทษในสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา
แล้ว    ควรแสวงหานิพพานที่ไม่มีความเจ็บไข้    ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า    และเกษมจากโยคะ
     เราเองมีความตายเป็นธรรมดา    ทราบชัดถึงโทษในสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา
แล้ว    ควรแสวงหานิพพานที่ไม่มีความตาย    ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า    และเกษมจากโยคะ
      เราเองมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา    ทราบชัดถึงโทษในสิ่งที่มีความเศร้าโศก
เป็นธรรมดาแล้ว    ควรแสวงหานิพพานที่ไม่มีความเศร้าโศก    ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
และเกษมจากโยคะ
      เราเองมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา    ทราบชัดถึงโทษในสิ่งที่มีความเศร้าหมอง
เป็นธรรมดาแล้ว    ควรแสวงหานิพพานที่ไม่มีความเศร้าหมอง    ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
และเกษมจากโยคะ



     

     ผู้ได้ อุปายาส สาระทุกข์ พึงสังวร ในธรรมเฉพาะหน้า เห็นโทษแห่งสังสารวัฏ ว่า ความเป็นธรรมดาทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเบียดเบียนผู้ที่ต้องเกิดอีกต่อไป ทุกภพ ทุกชาติ ทุกขณะ

     สังสารวัฏ มีความรัก เป็นมูล มีทุกข์เป็นผล ย่อมผิดหวัง มากกว่า สมหวัง ย่อมถูกประหารด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจบ้าง สัตว์ทั้งหลายล้วนแล้วต้องช้ำชอก ร้องไห้จนน้ำตาแห้งแล้วแห้งอีก คร่ำครวญแล้ว คร่ำครวญอีก อย่างไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น

     สัตว์ทั้งหลาย ล้วนแล้วตั้งข้ออ้างเพื่อให้ตนได้สมหวัง แต่ก็มิได้สมหวัง ไม่มีสัตว์ที่มีปาณะชาติ เหล่าใด ถึงที่ความสมหวัง เพราะการเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ แห่งนี้ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เป็นสิ่งที่อันมารทั้งหลายล่อหลอกสัตว์เหล่านั้น ให้ติดอยู่ในร่างแห แห่งวัฏฏะ และสัตว์ทั้งหลายที่ติดร่างแหนั้น ก็ถูกมารบีฑา ย่ำยี ด้วย ความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ทุกข์ และ นินทา
 
     นานนับเป็น สตวรรษ ทศวรรษ วิวัฏฏะ กัปป์ ภัททกัปป์ อสงไขย ที่สัตว์ทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่ ถูกมารล่อหลอก และย่ำยี ด้วย คำว่า สุข และ ทุกข์ อันเจือปน ในสังสารวัฏ มีบุรุษ และ สตรี เด็ก คนชรา บัณฑิต และ คนทราม ล้วนแล้วก็หลงชื่นชม ในคำลวงของมาร ที่ให้ไว้ ดั่งสัญญา ว่า แกทั้งหลาย ถ้ายังอยู่ในสังสารวัฏ นี้ จักได้สมความปรารถนา เป็น บุรุษ เหนือ บุรุษ เป็น สตรี เหนือ สตรี เป็น บัณฑิต เหนือ บัณฑิต เป็นผู้เลิศในโลก

     คำล่อลวงที่ มารทั้งหลายสร้างไว้ ถูกส่งข้อความเข้าไปเป็นอนุสัย สันดาน ของ สัตว์ทียังเวียนว่ายตายเกิดนี้อย่างไม่สูญสิ้น

     จนกระทั่ง พระพุทธเจ้า ได้อุุบัติอีกครั้ง นานนับอสงไขย ในภัทรกัปป์เป็นองค์ที่ 4 มีพระนามว่า โคตมาศากยพุทธเจ้า ผู้มาโปรดและส่งคำบอกอันเป็นรหัส แก่สัตว์ทั้งหลาย ที่พึ่งรู้ข้อความลับนั้นโดยตรง ซึ่งก็มีไม่นาน พระธรรมถูกเปิดเผยอีกครั้ง โดยจอมพระศาสดา ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ ประตูอมตะที่ถูกซ่อนได้เผยอีกครั้ง แต่เพราะอำนาจของมารก็ยิ่งใหญ่ แม้จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็ตาม แสงแห่งธรรมก็มิได้สาดส่องไปถึงทุกที่ในจักรวาล ยังมีสัตว์ที่ยังต้องคร่ำครวญ ปริ่มใจจะขาด อีกมากมาย

     ที่กล่าวมานี้ อยากให้ท่านทั้งหลายพิจาณาธรรม ในเฉพาะหน้า อย่าได้ง่อนแง่นคลอนแคลน เพราะความลำบาก ที่เกิดขึ้นแม้มันจะเจ็บปวด แสนสาหัส ก็จงอาศัยโอกาสที่มีนี้ ไปสู่ประตูอมตะนั้นเถิด เพราะผู้ที่คอยเปิดประตูไว้นั้น เริ่มจักหมดแล้ว เราทั้งหลายยังอยู่ในช่วงที่พระพุทธศาสน์ ยังเจริญไม่ใช่บั้นปลาย ควรยินดีต่อธรรมอันมีขึ้นในเฉพาะหน้า

     ยามทุกข์ก็พึ่งเปล่งวาจา ว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ อย่าได้ขาดสติ จงมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่ระลึกเถิด

     เจริญธรรม / เจริญพร


หัวข้อ: ถ้าไร้ที่พึ่ง ก็จงเปล่งวาจา ถึง พระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง เสียเถิด
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ สิงหาคม 27, 2015, 08:23:47 am


หัวข้อ: พระนิพพาน ไม่มีสำหรับ บุคคลที่ห่อหุ้มด้วยราคะ มีโมหะเป็นเครื่องนำทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ สิงหาคม 27, 2015, 08:46:04 am
 พระสุตตันตปิฎก  มัชฌิมนิกาย  มูลปัณณาสก์  [๓.  โอปัมมวรรค]
   ๖.  ปาสราสิสูตร เล่มที่ ๑๒ หน้า ๓๐๕


 คาถาอันน่าอัศจรรย์เหล่านี้ที่ไม่เคยสดับมาก่อน    ได้ปรากฏแก่เราว่า

 ‘บัดนี้    เรายังไม่ควรประกาศธรรมที่เราบรรลุด้วยความลำบาก
 เพราะธรรมนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ถูกราคะและโทสะครอบงำจะรู้ได้ง่าย
  แต่เป็นสิ่งพาทวนกระแส    ละเอียด    ลึกซึ้ง    รู้เห็นได้ยาก    ประณีต
ผู้กำหนัดด้วยราคะ    ถูกกองโมหะหุ้มห่อไว้    จักรู้เห็นไม่ได้’

    ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ที่เวลาเราเดินทางไปไหนมาไหน ไม่ว่าสำนักไหน ๆ ล้วนแล้วแต่จะหาผู้ที่ต้องการพระนิพพานจริง ๆ นั้นมีได้น้อยเสียเหลือเกิน เพราะเส้นทางนี้มันมีทุกขเวทนา รออยู่มากมายจริง ๆ และมิใช่เป็นเรื่องง่าย ที่ กล่าววาจา หรือ วาทะ ใด ๆ ให้กับชนทั้งหลายได้เข้าใจง่าย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น พระอริยะสงฆ์ทั้งหลายผู้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ 10 ประการ ก็ยังคงทำหน้าที่ ดั่งเช่นพระศาสดา ยังกล่าวธรรมอัน บุคคลเข้าใจได้ยาก อยู่ นั่นเอง

     ธรรมอันแท้จริง ย่อมทวนกระแส ละเอียด ลึกซึ้ง รู้เห็นได้ยาก ประณึต ธรรมเหล่านี้ อันผู้มีราคะหุ้มห่อ ไม่สามารถจะเข้าใจในอรรถ และ ธรรมนั้น ๆ แต่ ผู้ที่ขจัดนิวรณ์เบื้องต้น ได้แล้ว ย่อมพอมีดวงตาได้เห็นธรรมอันประณีตนี้ได้

     ในสายกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ไม่ได้เน้นปัญญามาก แต่เน้นให้มีสติ รู้ตัว และมีสมาธิ สามารถข่มนิวรณ์ธรรม 5 ประการให้สงบลง เพื่อให้ดวงตาแห่งธรรม อันจักมองเห็นความจริงได้ ด้วย ใจที่ส่วางด้านใน นั่นเอง

     ท่านทั้งหลาย ในยุคนี้เป็น ยุคแห่งสื่อพระธรรมมีมาก จนปัญญากลายเป็นสัญญา และเป็นอุปสรรคต่อการรู้แจ้งเห็นจริง มีกลุ่มคนที่เคารพในพระพุทธเจ้า นำพระดำรัส ตัดข้อความธรรมอันสมควรออกเพราะว่าปัญญามากเกินไป คนที่มีปัญญาเหล่านั้นล้วนเห็นเรื่อง สมาธิเป็นเรื่องเพ้อฝัน เป็นส่ิงที่ทำได้ยาก ทั้ง ๆที่ความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ยากเลย หากท่านทั้งหลาย ภาวนาจริง ๆ ตามแบบอย่างจริง ๆ

    พระอริยะราหุลพุทธชิโนรส ผู้นำธรรมอันเป็นลำดับถ่ายทอด ส่งต่อศิษย์ ศิษย์ต่อ ศิษย์ สืบสายกรรมฐานจนมาถึงปัจจุบัน ถึงแม้จะมีเหลือน้อยที่มีผู้ที่เข้าใจในอรรถและธรรมในปัจจุบัน แต่ท่านที่ถึงธรรมในสายนี้ ก็มีมากมายอยู่เป็นตัวอย่างให้สืบสานตำนาน ธรรมกรรมฐาน อันสมควรที่จะดำรงไว้ อย่างต่อเนื่อง เท่าที่ท่านทั้งหลายจักสืบเชื้อสาย พุทธวงศ์ สายนี้ไว้

    นโม ขอนอบน้อม แด่พระชินสีห์ ผู้เกรียงไกร ผู้ประกาศธรรม ผู้มีน้ำพระทัยเมตตา ต่อสัตว์ที่ยังมีธุลีในดวงตาน้อย ผู้ที่ยังมีความสามารถกล่าว ถึง ไตรสรณคมณ์ ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่ระลึก

    ข้าพเจ้าทั้งหลายผู้ที่ยังดำเนินตนเองในมรรค และตั้งมั่น ในมรรค สืบสานต์กรรมฐาน คำสอนแห่งครูผู้งามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดนี้ ขอให้ข้าพเจ้าทั้่งหลายผู้ที่ยังพอมีโอกาสไปสู่ประตูอมตะธรรมนั้นได้ จงไปสู่ประตูอมตะธรรมนั้นด้วยเถิด

    ที่พึ่งอันอื่นของข้าพเจ้าไม่มี ข้าพเจ้า ขอถือเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก เพื่อธรรมอันงาม เพื่อความไพบูลย์และรอดพ้นจากสังสารวัฏ นี้ ด้วยเทอญ


    เจริญธรรม / เจริญพร


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: ดนัย ที่ สิงหาคม 27, 2015, 08:49:00 am
 st11 st12 st12


หัวข้อ: อะไรเป็นเครื่องนำออก จากมารทั้งหลาย ในเบื้องต้น
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ สิงหาคม 27, 2015, 08:57:38 am
พระสุตตันตปิฎก  มัชฌิมนิกาย  มูลปัณณาสก์  (๓.  โอปัมมวรรค)
   ๖.  ปาสราสิสูตร เล่มที่ ๑๒ หน้า ๓๑๔

(๒๘๗)    ภิกษุทั้งหลาย    กามคุณ    ๕    ประการนี้
            กามคุณ    ๕    ประการ    อะไรบ้าง    คือ
      ๑. รูปที่จะพึงรู้แจ้งทางตา    ที่น่าปรารถนา    น่าใคร่    น่าพอใจ    ชวนให้รัก
          ชักให้ใคร่    พาใจให้กำหนัด
      ๒. เสียงที่จะพึงรู้แจ้งทางหู ที่น่าปรารถนา    น่าใคร่    น่าพอใจ    ชวนให้รัก
          ชักให้ใคร่    พาใจให้กำหนัด
      ๓. กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งทางจมูก    ที่น่าปรารถนา    น่าใคร่    น่าพอใจ
           ชวนให้รัก    ชักให้ใคร่    พาใจให้กำหนัด
      ๔.  รสที่จะพึงรู้แจ้งทางลิ้น    ที่น่าปรารถนา    น่าใคร่    น่าพอใจ
           ชวนให้รัก    ชักให้ใคร่    พาใจให้กำหนัด
      ๕.  โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งทางกาย    ที่น่าปรารถนา    น่าใคร่    น่าพอใจ
           ชวนให้รัก    ชักให้ใคร่    พาใจให้กำหนัด
           
       กามคุณมี    ๕    ประการนี้
            สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งใฝ่ฝัน    ลุ่มหลง    ติดพัน    ไม่เห็นโทษ  ไม่มีปัญญาเครื่องสลัดออก    บริโภคกามคุณ    ๕    ประการนี้    บัณฑิตพึงทราบว่า    ‘สมณพราหมณ์พวกนั้นเป็นผู้ถึงความเสื่อม    ความพินาศ    ถูกมารใจบาปทำอะไร  ๆ    ได้ตามใจชอบ’


     ดังนั้นการที่ท่านทั้งหลาย จะไปสู่ประตูแห่ง อมตะ ก็ต้องเริ่มลดกามคุณ ละจากกามคุณ และไม่ส้องเสพกามคุณต่อไป นั่นแหละท่านทั้งหลาย นี้เป็นมรรค ข้อปฏิบัติเริ่มต้นของผู้ที่มีคุณสมบัติ ในพรหมจรรย์ อันหมดจด

     ผู้ที่ยังส้องเสพในกามคุณทั้ง 5 แล้วบอกว่าปฏิบัติภาวนาอยู่นั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะกามคุณ 5 ปรากฏแก่สมณะผู้สงบ ผู้สันโดษ ผู้วิเวก ผู้สงัดจากอุปธิ ผู้มีธรรมเป็นแก่นสาร เท่านั้น

      เจริญธรรม / เจริญพร


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: kobyamkala ที่ สิงหาคม 27, 2015, 09:10:26 am
ไม่รู้ว่าเป็น ปีติ หรือ อะไร kobyamkala ได้อ่านแล้ว น้ำตาไหล อย่างเนืองนองสองแก้ม
ข้อความธรรม จากพระอาจารย์วันนี้ แม้นานมา แต่อ่านแล้วประทับใจจริง ๆ

  st11 st12 st12


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: Akira ที่ สิงหาคม 27, 2015, 09:28:19 am
 st11 st12 st12 thk56 like1
( เก็บอามรมณ์ หน่อย จ้า แม่ กบ ทำงานก่อนสิ เอ้าผ้าเช็ดหน้าที่โต๊ะมี เดินมาเอา )


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: nopporn ที่ สิงหาคม 27, 2015, 09:29:40 am
 st11 st12 st12
 เดี๋ยวตอนเที่ยงเข้ามาอ่าน คะ

  :25: :25: :25:


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: kittisak ที่ สิงหาคม 27, 2015, 09:32:03 am
 st11 st12 st12


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: Admax ที่ สิงหาคม 27, 2015, 11:20:06 am
 st12 st12 st12  like1 like1 like1


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: Jojo ที่ สิงหาคม 27, 2015, 11:58:28 am
 st11 st12 st12 like1
เนื้อหาสาระ ทางกรรมฐาน ตรง ๆ ถึงว่า คุณ kob น้ำตาคลอ

  :49:


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: Mario ที่ สิงหาคม 27, 2015, 12:01:53 pm
 st11 st12 st12


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: nopporn ที่ สิงหาคม 27, 2015, 12:02:36 pm
สำนวนเนื้อหา ไพเราะ มากคะ


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: ครูนภา ที่ สิงหาคม 27, 2015, 12:40:47 pm
 st11 st12 st12
ไม่ได้เห็นพระอาจารย์ มาโพสต์ตั้งนาน แล้วคะ อ่านวันนี้ แล้ว รู้สึกถึงความทุกข์ ในสงสารนี้ มันมากเหลือเกินคะ

 :25: :25: :25:


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: tcarisa ที่ สิงหาคม 27, 2015, 12:42:47 pm
ภาษา กำเมือง บ้านเฮา

  อู้จะนี้ เจ๊า   "ฮู้คิงก่อ กึ๊ดผ่อหื้อดีดี" 
 
   ความหมาย จะได๋ ..... หื้อ ครูภา เปิ้ล กระจาย เจ๊า

   :58: :49: st11 st12 thk56


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: Namo ที่ สิงหาคม 27, 2015, 12:45:13 pm
 st11 st12 st12


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ สิงหาคม 27, 2015, 03:49:32 pm
ลึกซึ้งกินใจ  st11 st12 thk56


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ สิงหาคม 27, 2015, 06:43:18 pm

        ขออนุโมทนาสาธุ  ครับ


หัวข้อ: คำครู เคยพูดไว้ "ปลูกต้นไผ่ จะเป็น มะละกอ ได้อย่างไร ?"
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ สิงหาคม 28, 2015, 08:43:27 am
(http://www.madchima.net/kittisak2you/images/tonpai-01.jpg)



หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: kobyamkala ที่ สิงหาคม 28, 2015, 11:13:46 am
เป็นครูอาจารย์ ก็ลำบาก นะคะ
 ยามลูกศิษย์ มีสุข ไม่ค่อยคิดถึงครูกัน โชคดีมีกำลัง ก็น้อยครั้งคิดถึงครู
 แต่เมื่อยามป่วยไข้ มีทุกข์จรเข้ามา เจ็บนั่นนิด เจ็บนี้หน่อย ดวงไม่ดี ก็บ่นถึงครู อยากให้ครูได้ช่วย

 kobyamkala เห็นครูอาจารย์อ่านจดหมาย ก็เหมือนต้องคอยรับรู้ว่า ใครเป็นทุกข์
 แต่จะมีใครบ้างหนอ ถามหรือห่วงว่า ครูอาจารย์ ท่านลำบากอย่างไร หรือไม่

   st11 st12 st12 st12


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: fasai ที่ สิงหาคม 28, 2015, 11:44:59 am
เหตุ และ ผล ต้องไปด้วยกัน
 ผล มาจาก เหตุ
 เหตุ เป็นสิ่งนำมาซึ่ง ผล

   ปลูกต้นมะละกอ จะเป็นต้นไผ่ ไม่ได้ นั่นเอง
   หว่านพืชเช่นไร ก็พืชเช่นนั้น
   ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี
   ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว
 

    ผลชั่วที่เกิด ก็คงเป็นกรรมชั่วที่ได้สร้างกระทำไว้ในกาลก่อนนั่นเอง ซึ่งบางครั้งเราก็รู้ บางครั้งเราก็ไม่รู้ เพราะไม่มีการระลึกชาติได้นั่นเอง

  st11 st12 st12


หัวข้อ: Re: มนสิการ ของผู้ภาวนาที่ไม่ควรขาด เพราะถ้าขาดเมื่อใด เมื่อนั้น วิมุตติ ย่อมห่างไกล
เริ่มหัวข้อโดย: นักเดินทาง ที่ กันยายน 13, 2015, 01:06:44 am
เรื่องนี้ ตรงตัว เลยครับ หลายคนอาจจะลืมความจริง ว่าทำไมต้องมาปฏิบัติภาวนา
จะเห็นความสำคัญของพระรัตนตรัย ทันที

 ขอบคุณพระอาจารย์ มากครับ

  :25: :25: :25: :25: st12