ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - suchin_tum
หน้า: [1] 2
1  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / อยากทราบประวัติ พระไม้จันทร์แดง..! เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2016, 08:59:32 pm
  พระไม้จันทร์แดงแกะสลัก พระเจ้าประเสนทิโกศลเป็นผู้สร้างค่ะ ทราบว่าตอนนี้น่าจะอยู่เมืองไทย

  พระองค์นี้แกะสลักตอนพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตนะค่ะ

ช่วยหาข้อมูลมาฝห้เพื่อนๆอ่านหน่อย  นะค่ะ
2  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อยากฝึกธรรมแต่จิตยังดิ้นรน..ทําอย่างไรจะหาย เมื่อ: มีนาคม 06, 2013, 11:15:31 am

        ขอให้ลองตรวจสิ่งนี้ดูก่อน เพราะเป็นพื้นฐานสําคัญมา ที่ในพระสูตรพระพุทธเจ้า ได้ระบุและชี้ชัดเอาไว้

           บารมีธรรมตามขั้น.......ของท่านมีหรือยัง 
     
      ทาน  ศิล  ภาวนา
    ท่านจะมาภาวนา แต่ท่าน ไม่เคยทราบในสิ่งนี้  เพราะ สิ่งนี้เป็นเรื่องของ อาการยอมรับความจริงของจิตโดยตรง

      เพราะเป็นการฝึก ด้วยอุบายของการสละ และรักษา ในสองขั้นต้น

       เพื่อให้จิตยอมรับฟัง และยอมรับความจริง ก็คือ เป็นความพอกพูน อุเบกขา เป็นเรื่อง เริ่มต้น

          เพื่อเปิดฐานธาตุหนึ่งให้ทํางาน ฐานธาตุนํ้าพระโอกันติกา เป็นธาตุปล่อยวางเพราะ ครูอาจารย์กล่าวว่า ธาตุนํ้าไหลลงร่องอก

          จึงจะสามารถ พาทุกธาตุลงไป หมุนพันกัน เป็นวงกลมอุคหนิมิต  และทําลายกิเลสทั้งรูปนามที่ ศูนย์กลางกาย และสัมปยุตธรรม ที่นาภีสะดือได้ และปิดอบายภูมิด้วยอานาปา

            ห้องพุทธคุณ หนึ่ง สอง และ สาม เป็นทาง เดินมา

        แต่ก็ล้างทุก ไปได้บ้าง พอควร

       ตั้งแต่อนุโลมปฏิโลม ขึ้นไป  ได้ล้างธาตุ การล้างธาตุก็คือล้างทุกข์



          ให้ออกไป จากกายและใจ ก็คือรูปนาม ตามขั้นตอน อุบาย วิธี ของครูผู้เห็น ทั้งรูป ทั้งสี ของ ลูกศิษย์

...งง


กลับไป ที่ขั้นทาน ศิล กันต่อเรื่อง ฝึก สมาธิยังไม่ต้องพูด เพราะใจมันยังขืนเหมือน วัว เหมือนควายอยู่ เพราะมันยังมีความร้อนอยู่มาก

          ต้องไปเริ่มรู้จัก ความเย็น มาตามลําดับ

   เพราะบุญคือความเย็น เป็นความสุข และเป็นวิปัสสนาเริ่มต้น

            วิปัสสนาคือความปล่อยวางจิต เพื่อทําลาย ความ ยึดถือ และไม่ยึดถือ

 เริ่มแรกก็ในทรัพย์ และในตัวในตนของเรา ก็คือความหวง ที่มีกันทุกคน คือหวงทรัพย์ ทุกคนต้องมี

              เมื่อปล่อยทรัพย์ จิตก็ปล่อยความหวง เพราะสละเป็น

        ทิ้งความหวง และโบความร้อน ออกไปจากกายจากใจ

      เพราะเริ่ม ได้รู้จักอุเบกขา ด้วยความวางเฉยเป็น เริ่มไม่เสียดาย

             เหตุเพราะได้รู้จักกับความเย็น ตอนที่ได้ ทําบุญทาน ที่ เป็นวิธีสละ

       แบ่ง สละ (ปล่อย...............ปล่อยแล้วดี......อย่างนี้ สุขเป็นแบบนี้.)

      ผู้ทําทาน เริ่มได้ความเย็น ในธาตุนํ้า และอาการใจร้อน ดิ้นรน เริ่มหายไป

       ( การยอมรับความจริงได้บ้าง เริ่มต้นที่นี่).......เราขอวงเล็บไว้เลย

             เพราะเกิดตรงนี้จริง

      ผู้ที่จะทํา ภาวนา ควรเริ่มมาตามขั้นตอน ทาน ศิลก่อน ศิลรักษา ทําให้เรารู้จัก ตั้งมั่น และรักษา ทําให้มีอารมณ์ สุขขุมลุ่มลึก ในความสุขและความเย็น ที่เป็นบุญเพิ่มขึ้น เรียกว่า การไต่ระดับบุญ หรือ การสร้างความดี หรือสร้างบุญแบบไต่ระดับ

            ผู้ที่จะมาภาวนาหวังเอาหมดทุกข์ ในที่นี้ก็คือ มรรคผลนิพพาน จําเป็นต้องมีตรงนี้ทุกคน
เพราะต้องเริ่มสั่งสมมาจากความร่มเย็น ตามขั้นตอน ที่ พระพุทธองค์ ได้แสดงไว้

อาการดิ้นรน ขี้โกรธ ไม่รับฟังคน มีโทสะ เอาแต่ใจ ความหวงเพราะยึดถือเสียดาย จะได้เบา.................ยอมรับฟัง  ก็คือเหตุ มาจาก ทานศิล ที่เราได้สละ จึงได้รู้จักความเย็น
        สําหรับ ผู้ที่ยังมีอารมณ์ร้อน และ ดิ้นรน กวัดแกว่ง ไม่รับฟังคน

            จงพิจราณา การฝึกกรรมฐาน ต้องมี กัลยาณมิตร ก็คือ ครูผู้บอกกรรมฐาน

        ถ้าท่านไม่รู้จักการยอมรับความจริง...หรือรับฟัง ท่านไม่เอียงหูฟัง

                     แล้วท่านจะรู้ถึงการหมดทุกข์  มีแต่สุขได้อย่างได้

             ถ้าจะเรียน ต้องอียงหูฟังครู ครูจะได้บอก และนําไปใช้

            เพราะถ้ารู้อย่างเราท่าน ต่อให้ยกพระไตรปิฏก ไปทั้งตู้ ทุกของท่านก็ยังต้องเกิด

                เพราะไม่รู้จะเริ่มนับ 1..2..3........ตรงไหน

        กรรมฐาน มีไว้ฝึกคน ไม่ใช่ให้ควายไถนามาฝึก...........ฝึกคนให้มีปัญญา

                     ใครเป็นผู้ฝึกให้เรา ก็คงไม่ต้องบอก

            ก็ต้องมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นําทางเราไป

               คนที่จะหวังผล......นิพพาน.......ต้องมีกัลยาณมิตร ที่เป็นพระอาจารย์กรรมฐาน

       ยกตัวอย่าง เช่น พระสารีบุตรผู้เป็นเลิศด้านปัญญา ท่านก็มีพระอาจารย์ราหุล เป็นพระอาจารย์

           ไม่มีใครหรอกที่ฝึกเอง และรู้อะไรเองได้ นอกเสียจาก พระพุทธเจ้า เท่านั้น


             เพราะความคิดของมนุษย์ ที่ว่าใช่ ก็เหมือนควายเทียมแอก
                        ถ้าหลงเชื่อตัวเองเดี๋ยวจะเสียเวลา ต้องมาเกิด  คิดว่าฉลาดแต่กลับโง่

            เข้าให้ถึงกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ

           ถ้าสนใจกรรมฐานนี้ ก็ขอเชิญท่านไปขึ้นกรรมฐาน ได้ที่ คณะ5 วัดราชสิทธาราม

          ครูอาจารจะได้ตั้งธาตุ ตั้งธรรมให้ท่าน

                                   ขอให้ทุกท่านโชคดี

                                            ศิษย์ธัมมะวังโส-อาโลโก
   




           
  :c017:

3  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re:ผู้ปราถนานิพพานอันเกษม มิยอมพรากจากครูผู้บอกทาง เมื่อ: มีนาคม 02, 2013, 04:10:02 pm
       โดยเฉพาะ ครูที่สอน มรรคผล นิพพาน ได้ ด้วยแล้วปัจจุบันหายาก  และบอกได้ยาก ก็ต้องแล้วแต่บุญวาสนา
             ครูอาจารย์ส่วนใหญ่ หลีกเร้นเก็บตัวจึงพบยาก   นั่นก็เป็นเรื่องของปฏิปทาในผู้ปฏิบัติชอบที่คือครู ครูผู้อุทิศตัวเพื่อพระพุทธศาสนา  ที่ไม่เคยทิ้งปณิธาน  ส่วนใหญ่่ มิได้ต้องการโด่งดัง และไม่ได้ต้องการแข่งอะไรกับใคร
            ท่านก็ต้องทํางาน ตามคําสั่งที่ได้รับมาจากครูอาจารย์ ทางนิมิต
     ซึ่งปัจจุบัน การจาริก.....ของผู้ประพฤติดีเหล่านี้  มิได้ใช้การเดินธุดงค์ เพราะปัจจุบัน มีรถโดยสาร ปัจจุบันมีร้านขายอาหาร  บางทีท่านก็ต้องใช้ร่วมกับคนทุกคน
        เพราะพระพุทธองค์ให้อยู่กับปัจจุบัน  ซึ่งก็คือ ปัจจุบันมีอะไรก็ใช้สิ่งนั้น ใช้ได้ทั้งหมด ที่มีในปัจจุบัน ใช้ได้ตามบัญญัติที่โลกมี
         ส่วนที่หลายคนรู้สึก        ว่าพระปฏิบัติใช้ร่วมกับคนไม่ได้ นั่น เป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เพราะอยู่ในโลก ผู้ปฏิบัติ หรือพระปฏิบัติ หรือคนธรรมดา ก็ต้องตามบัญญัติทั้งนั้น
        เพราะเราต้องใช้ไปตามโลก

            อย่าไปสร้างภาพอะไรไว้มาก ว่าพระปฏิบัติท่านต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เข้าใจผิด
 พระปฏิบัติท่านก็มีกายเนื้อเป็นมนุษย์ ท่านไม่ได้ถือตัวว่าคือผู้วิเศษซักหน่อย
      บางทีโลกไปยึดถืออายตนะที่เราไปตั้งกฏเกณฑ์เอาไว้เอง
  พระก็คือมนุษย์ต้องกินข้าว และต้องใช้ชีวิตแบบมนุษย์ เพราะท่านไม่ใช่ผู้วิเศษ จะได้เสกๆ เป่าๆ เอาได้ เข้าใจใหม

        ส่วนเรื่องปรมัตถ์ ก็เป็นเรื่องธรรมของตัวท่านเหล่านั้น เพราะเรื่องนี้เป็นธรรมภายใน จึงไม่สามารถไปอธิบายของท่านได้ แต่ท่านสอนบอกทางให้เราได้ก็เป็นพอ

        เป็นพระปฏิบัติก็ต้องใช้ชีวิต
                 เป็นคนธรรมดาก็ต้องใช้ชีวิต

            พระปฏิบัติกับคนธรรมดา ก็ต้องเดินสวนกันได้ ใช้ของทุกสิ่งได้เหมือนกัน ไม่มีแบ่งแยก

          เพราะพระพุทธองค์สอนสาวกให้อยู่กับปัจจุบัน คือไม่ได้ฝืน หรือขัดต่อโลก ตามโลก

 ก็ต้องอยู่ไปตามความเป็นจริง  ตามที่มี ตามที่เป็น ตามที่เกิด.........ตามปัจจุบันที่มี
4  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อย่าก่นด่าปรามาศ พระอริยเจ้า ด้วยความไม่รู้เรื่องเวรกรรม ที่ตามมา,,,,,,, เมื่อ: มีนาคม 02, 2013, 09:54:33 am
           สําหรับท่านทั้งหลายที่ยังไม่รู้เรื่อง เวรกรรม  ด้วยการว่ากล่าว พระอริยะบุคคล ทุกระดับ นั้นมีเวรกรรมมาก
   สําหรับกรรมในปัจจุบัน จะยกตัวอย่างให้ฟัง มีเรื่องๆหนึ่ง เล่าขาน ไว้โดย พระอภิญญา ลุ่มนํ้าป่าสักรูปหนึ่ง ไม่ขอเอ่ยนาม ท่านจงฟังไว้เป็น อุทาหรณ์

             ท่านเคยสร้างกรรมเรื่องหนึ่ง ไว้ใน อดีตชาติ
      ในชาติก่อนๆ  ท่านเกิดอยู่ในกลุ่ม ศิษย์ ของพระปรมาจารย์ต้นกรุง ที่เป็น ครูอาจารย์ใหญ่ที่สอน กรรมฐาน มัชฌิมาแบบลําดับ คงไม่ต้องเอ่ยนาม คงพอรู้ เพราะการเล่าเรื่อง นั้นเราควรสงวนชื่อ

  จะขอเข้าเรื่องนะ
 
           พระรูปหนึ่ง ท่านเคยปรามาศ ดูหมิ่น  พระปฏิบัติอีกรูปหนึ่ง  ที่อยู่ในกลุ่มศิษย์ ที่ไม่ค่อยอยู่วัด ชอบธุดงค์ จาริกไปในที่ต่าง พระอาจารย...กั...ท่านนี้ ท่านได้ปรอดกรอ คือปรอดกายสิทธิ์ที่มีเทวดาสิงสถิตย์ อยู่ในปรอด ท่านถูกพระรูปนั้นดูหมิ่น เพราะท่านไปป่า อยู่ป่า วิเวก ไม่ค่อยอยู่วัด

            การดูหมิ่น แค่นั้นสร้างกรรมอันใหญ่หลวง ในชาติปัจจุบัน ให้แก่ท่านมาก มาย อย่างเหลือ คณานับ

      พระอริยทรงอภิญญารูปนี้ เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ถึงเวรกรรมที่ต้องชดใช้ แม้ท่านจะได้เป็นพระอริยแล้ว แต่ก็ต้องใช้กรรมที่ทําไว้ ที่เคยดูหมิ่น ปรามาศ พระปฏิบัติชอบรูปหนึ่งชอบรูปหนึ่งในชาติก่อน

    คือเรื่องที่ข้าพเจ้าได้เล่าไว้ข้างต้น

         เวรกรรมที่ท่านต้องรับ
        เช่น  ถูกด่าทอต่างๆนาๆ จากทั่วสารทิศ
                 
                เช่น ถูกขับไล่ไม่ให้อยู่วัด ท่านก็ต้องกระเด็น กระดอน อยู่ไม่ติดที่

                      ท่านต้องถูกเบียดเบียน ด้วยคําที่เสียดสี ดูหมิ่น ดูแคลน ต่างๆนา

              แต่ท่านก็มีขันติ เพราะท่านรู้เรื่องกรรม ในเรื่องที่เกิดนี้เป็นอย่างดี

                                พระอภิญญารูปนี้ ท่านยอมรับความจริง..............



        จึงอยากขอให้ทุกท่านที่ยังไม่รู้ เรื่องกรรม ในการด่าทอ พระ อริยะเจ้า

   เวรกรรมมันหนักมาก ไปทุกชาติ อัดคัตฝืดเคือง ยากจน โดนปิดหนทางไปทุกด้าน

          .................หรือว่าท่านอยาก...........จะเป็นกัน
            ...................อยากมีกรรมแบบนี้กันใช่ใหม......ก็ขอเชิญ ถ้าท่านอยากได้.....


การด่ากล่าว สิ่งที่ไม่เห็นตัว หรือสิ่งที่เราไม่รู้ ทําให้เรามีกรรม หนัก และชีวิตมีแต่ความทุกข์
      ทุกทั้งชาติไม่ได้เจอความสุข


           จึงขอเตือนเรื่องนี้เอาไว้เป็นสําคัญ

................ ผู้ใดเคยปรามาศ...........รู้ตัวเองให้ไปขอขมา........กับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาเอง

                ไม่มีใครสนใจหรอก เพราะคนอื่นเค้าไม่ได้ไป.....สร้างกรรมด้วย
   กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นต้องรับ

               ขอให้ทุกท่านจงโชคดีมีแต่ความสุข

                            จาก...ศิษย์ ธัมมะวังโส-อาโลโก

            สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา....สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา
                     
                             อย่างไม่ต้องสงสัย

                 
5  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอน แด่พระราหุลเถรเจ้า เมื่อ: ธันวาคม 23, 2012, 03:23:13 pm
ตั้งแต่เป็นสามเณร-จนเป็นพระภิกษุ และสําเร็จอรหัตผล
           
  1.ตรัสกุมารปัญหา อัมพลัฎฐิกราหุโลวาทสูตร จุฬราหุลโลวาทสูตร 1 เพื่อมิให้ทําสัมปชานมุสาวาท คือการพูดเท็จทั้งๆที่รู้
  2.ตรัสราหุลสูตร 1-2 การละอหังการ(ตัวกู) มมังการ(ของกู)มานานุสัย
  3.ตรัสราหุลสูตร ดิน นํ้า ลม ไฟ เป็นภายใน ภายนอก ไม่เป็นเรา ไม่ใช่เรา
  4.ราหุลสูตร 11 พระโอวาทที่ตรัสเนืองๆ เมื่อพระราหุลเถร ยังเป็นสามเณร
  5.ตรัสมหาราหุลโลวาทสูตร เมื่ออายุได้ 18 พรรษาตรัสสอนเรื่องรูปทั้งปวง ไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา สอนรูปมีลักษณะหยาบ แข้นแข็ง เช่น ผม ขน เ,็บ ฟัน หนัง ไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา เป็น ปฐวีธาตุ รูปที่มีลักษณะเอิบอาบ เช่น ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ ไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา เป็น อาโปธาตุ รูปเป็นเตโช อาศัยตน รูปเป็น วาโย อาศัยตน และ อากาศ.............สําเร็จ พระโสดาปัตติผล และ พระสกทาคามิผล เป็น เสขบุคคล
  6.ตรัสราหุลสังยุต เพื่อถือเอาห้องพระ วิปัสสนาของพระเถระ
  7.ตรัสสอนอสุภะกัมมัฏฐาน ให้ละฉันทะราคะ สําเร็จเป็นอนาคามิผล เมื่อบวชในพรรษาแรก 20พรรษา ยังเป็น เสขะบุคคล พระผู้ที่ต้องศึกษา
  8.ตรัสจุฬราหุโลวาทสูตร 2 เพื่อถึอเอา อรหัตผล ในเวลาที่ธรรมเจริญด้วยวิมุติธรรม 15 ของพระราหุลแก่กล้าแล้ว สําเร็จ อรหัตผล  เมื่ออายุได้ 32 พรรษา ที่ป่า อันธวัน นอกเมืองสาวัตถี เป็นอเสขะบุคคลสําเร็จกิจในพระศาสนา..(วิมุติธรรมเหล่านี้คือ จรณะ 15)
..............ได้แก่..........
      1.ศิลสังวร
      2.ความคุ้มครองทวารในอินทรีย์
      3.ความรู้จักประมาณในโภชนะ
      4.ชาคริยานุโยค
      5.ศรัทธา
      6.หิริ
      7.โอตตัปปะ
      8.พาหุสัจจะ
      9.ความเป็นผู้ปรารภความเพียร
      10.ความเป็นผู้มีสติตั้งมั่น
      11.ความเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา
      12.ความเป็นผู้ถึงพร้อมด้วย รูปาวจรปฐมฌาน
      13.ความเป็นผู้ถึงพร้อมด้วย  รูปาวจรทุติยฌาน
      14.ความเป็นผู้ถึงพร้อมด้วย    รูปาวจรตติยฌาน
      15.ความเป็นผู้ถึงพร้อมด้วย     รูปาวจรจตุถะฌาน
...
       
     เมื่อท่านพระราหุลเถรเจ้า ได้สําเร็จ อรหัตผลแล้ว ท่านได้ตรัส สรรเสริญคุณพระศาสดาดังนี้

            พระตถาคต ผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ทรงสมบูรณ์ด้วยศิล ทรงรักษาเราเหมือนนกต้อยตีวิด พึงรักษาพืชพันธ์ เหมือนเนื้อจามรี รักษาขนหางสูงสุดฉะนั้น
6  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: ประวัติการศึกษาของพระราหุลพุทธชิโนรส เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2012, 12:04:27 pm
ต่อ.......11.ศึกษามหาสติปัฏฐาน4 กับพระมหากัสสปเถรเจ้า (เป็นโอวาทข้อที่13 ที่พระพุทธเจ้าประทานเเก่พระมหากัสสปเถรเจ้า เราจะไม่ละสติไปในกาย พิจราณากายเป็นอารมณ์ เวทนา จิต ธรรม เป็นพระกัมมัฏฐานต่อเนื่องจากกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

         12.ศึกษาโพธิปักขิยธรรม37ประการ กับ พระบรมศาสดา

         13.ศึกษา เตโชธาตุ ธาตุไฟ(เตโชกสิณ)กับ ชฏิล3พี่น้อง

         14.ศึกษาพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กับ พระอานนท์เถรเจ้า

         15ศึกษาปลงสังขาร(พิจราณาสังขาร) มีเกษา เป็นต้น กับพระอุบาลีเถรเจ้า ท่านเป็นกัลบก(ช่างตัดผมมาก่อน)

         16ศึกษากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กับ พระอนุรุธเถรเจ้า

         17.ศึกษารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ละการยึดมั่นถือมั่น อายตนภานใน อายตนภายนอก เเละ อายตนภายนอกเพื่อคลายกําหนัด จิตหลุดพ้นจากกิเลส พิจราณา ดิน นํ้า ลม ไฟ ไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา เพื่อคลายกําหนัด เจริญอสุภ เพื่อละราคะ เจริญเมตตาภาวนา เพื่อละพยาบาท  เจริญกรุณาภาวนา เพื่อละ วิหิงสา  เจริญมุทิตาภาวนา เพื่อละ อรติ  เจริญอุเบกขาภาวนา เพื่อละ ปฏิฆะ เจริญอนิจจะสัญญา เพื่อละ อัสมิมานะ เจริญอานาปานสติ เพื่อเบื่อหน่าย คลายกําหนัด และ...เจริญเมตตาเจโตวิมุตติ หรือ ออกบัวบานพรหมวิหาร เพื่อความหลุดพ้นอันงดงาม ทั้งหมดนี้ทรงศึกษา กับ สมเด็จพระบรมศาสดา....

   พระราหุลพุทธชิโนรส ท่านทรงเป็นผู้ไฝ่ในการศึกษา และได้รับการชมเชยจากพระศาสดาอยู่เสมอ ว่าเป็นผู้ไฝ่ในการศึกษา

    พระราหุลท่านเป็น องค์ต้นปฐมที่เผยแผ่กรรมฐานนี้ คือ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ  จนมาถึงยุคปัจจุบันนั่นเอง

     อยากศึกษา กรรมฐานนี้ ขอเชิญท่านทั้งหลายไปขึ้นกรรมฐาน และศึกษาได้ที่ คณะ5 วัดราชสิทธารามได้ทุกวัน เป็นกรรมฐาน เพื่อ มรรคผลนิพพานโดยตรง
 
                     ก็ขอเชื้อเชิญทุกท่านที่สนใจและมีเป้าหมายเดียวกัน

   

   
7  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ประวัติการศึกษาของพระราหุลพุทธชิโนรส เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2012, 11:32:33 am
ประวัติการศึกษาพระสมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน ของพระราหุลเถรเจ้า ผู้สมบูรณ์ด้วยชาติสมบัติ ปฏิบัติสมบัติ
             จากกรุงกบิลพัสดุ์ ทางจะไปกรุงราชคฤห์ ผ่านกรุงพาราณสี
     1.พักที่ป่าอิสิปะตะนะมฤศทายวัน สามเณรราหุลศึกษาเบื้องต้นสมถะกัมมัฏฐาน ธรรมตามลําดับขั้นในป่าแห่งนี้ สามเณรราหุลเมื่อบรรพชาแล้ว มักจะปรารภ กับพระสารีบุตร ผู้ทรงปัญญา องค์พระอุปัชฌาย์เสมอว่า ทอดพระเนตรพระบรมศาสดาแล้ว จิตเป็นสุข ตั้งมั่น ท่านสารีบุตรผู้เลิศทางปัญญาจึงตรัสสอน สามเฌรราหุลว่า ที่จิตเป็นสุขและตั้งมั่นนี้ เพราะคุณของพระพุทธเจ้า เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระราหุลแล้ว เกิดปราโมทย์ เกิดปราโมทย์แล้วเกิดปีติ5ประการ คือ
  ขุททกาปีติ- ขณิกาปีติ- โอกกันติกาปีติ- อุพเพงคาปีติ- ผรณาปีติ กายก็สงบจิตก็สงบ เป็นปัสสัทธิ6ประการ  คือ กาย-จิตปัสสัทธิ  กาย-จิตลหุตา  กาย-จิตมุทุตา  กาย-จิตกัมมัญญตา  กาย-จิตปาคุญญตา  กาย-จิตชุคคตา  กาย-จิตสงบ กายและจิตก็เป็นสุข
   มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว พระสารีบุตรก็สอนวิธีปรับจิต เป็นขั้นๆไป เพื่อให้จิตปราณีตเป็นขั้นๆ แก้จิหรอก จิตหลอน จิตอุปาทาน พระสารีบุตรผู้ทรงปัญญา จึงให้สามเณรราหุลศึกษา
   พระรัศมี พระปีติ5ประการ พระรัศมีพระยุคคล6 ประการ พระรัศมีพระสุขสมาธิ2ประการ กับพระสารีบุตรเถรเจ้า เพื่อปรับระดับจิตสมาธิแก้จิตอุปาทาน จิตหลอน จิตไม่ออกนอกลู่นอกทาง จิตก็เป็นอุปจารสมาธิ(เรียนปีติ-ยุคลเป็นดวงธาตุ)

       2.ศึกษาพระอานาปานสติกัมมัฏฐาน 9 จุดสัมผัส(ฝ่ายสมถะ)กับพระบรมศาสดา และพระสารีบุตร เพื่อปรับจิตให้ปราณีตขึ้นสู่อัปปนาสมาธิ

      3.ศึกษากายคตาสติ หรืออาการสามสิบสอง..กสิณ10 ประการ.....อสุภ10 ประการ.....เนื่องจากพระกัมมัฏฐานสามอย่างนี้ เป็นพระกัมมัฏฐานต่อเนื่อง ในกาย....แผ่กสิณ10ประการ....แผ่เมตตา10ทิศ........แผ่กรุณา10ทิศ.......แผ่มุทิตา10ทิศ........แผ่อุเบกขา10ทิศ (กับพระโมคคัลลานเถรเจ้า) ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์

      4.ศึกษารูปฌานปัญจกนัย กับ พระอัสสชิเถรเจ้า (ท่านชํานาญในรูปฌานมาตั้งแต่เป็นพราหมณ์)

     5.ศึกษาอนุสสติ7ประการ คือ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณานุสสติ อุปสมานุสสติ กับพระสารีบุตรเถรเจ้า(ท่านรู้พระกัมมัฏฐานทั้ง40กอง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะท่านเป็นพระอัครสาวกผู้เลิศทางปัญญา)

     6.ศึกษาพรหมวิหาร4 และการเข้าสุขสัญญา ลหุสัญญา กับพระมหานามเถรเจ้า(ท่านเป็นพระมหาเถรเจ้าในกลุ่มพระปัญจวัคคีย์)

     7.ศึกษา วิสุทธิ7ประการ กับพระบรมศาสดา

     8.ศึกษาวิปัสสนาญาณ10   อาหาเรปฏิกูลสัญญา1  จตุธาตุววัฏฐาน1 กับพระติสสะเมเตยยะเถร(พราหมณ์มานพ16คน)

     9.ศึกษาอรูปฌาน4 กับ พระภัททิยะเถร(พระมหาเถรในกลุ่มพระปัญจวัคคีย์)

     10.ศึกษารูป-นาม และ สังขารการปรุงแต่ง มูลกัจจายน์ กับ พระมหากัจจายนเถรเจ้า คัมภีย์มูลกัจจายน์ท่านทรงแต่งก่อนพระราหุลนิพพาน5พรรษา และเนื่อจากท่านมีร่างอันงดงาม จึงปรุงแต่งร่างใหม่ให้ดูอ้วนจะได้ไม่เป็นโทษต่อคนอื่น.
8  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สามเฌรโดมาขอศึกษากรรมฐาน กับพระญาณสังวร(หน้า287) เมื่อ: สิงหาคม 15, 2012, 08:55:43 am
              ประมาณพุทธศักราช 2349 สามเณรโตมีอายุได้ 18 ปี ได้มาขึ้นกรรมฐานมัชฌิมาแบบลําดับ กับพระญาณสังวร ทรงสอบอารมณ์กรรมฐานสมาเฌรโต ปรากฏว่าสามเณรโต ศึกษามาได้สามห้องพระกรรมฐานแล้วคือ ห้องพระปีติ5 ห้องพระยุคล6 ห้องพระสุขสมาธิ2 ได้ขั้นพื้นฐานจากพระอาจารย์เดิม คือท่านอรัญญิกมาแล้ว
             พระญาณสังวรเถร จึงทรงต่อรูปกรรมฐาน และอรูปกรรมฐานให้ และให้สามเณรโตแจ้งพระกรรมฐานกับพระปลัดชิต จบสมถะแล้ว สามเณรโตศึกษาวิปัสสนาธุระต่อ สามเณรโตจยพระวิปัสสนาธุระ ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร
             สามเณรโต มาศึกษากรรมฐานครั้งนั้น พระญาณสังวร ทรงประทานพระอรหัง ให้สามเณรโต 1องค์ด้วย เพื่อเป็นบาทฐานของพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลําดับ
             สามเฌรโต อุปสมบทเป็นภิกษุแล้วได้มาศึกษาต่อกรรมฐานมัชฌิมาแบบลําดับกับพระญาณสังวร เป็นห้องสุดท้ายคือห้อง ออกบัวบานพรหมวิหาร
              ต่อมาพระมหาโต ได้บรรลุมรรคผลตามกาลคือ อนาคามีบุคคล และได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ในรัชกาลที่ 4
             
                พระมหาเถรที่ทรงมาปรึกษา และปรึกษา
             และมาเป็นศิษย์ พระญารสังวรเถร (หน้า 289)
     1.พระสังฆราช(ศุข) ทรงมาปรึกษา ทรงเป็นพระสังฆราชองค์ที่2
     2.สมเด็จพระสังฆราช(มี) ทรงมาเป็นศิษย์ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่3
     3.สมเด็จพระสังฆราช(ด่อน) ทรงมาเป็นศิษย์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่5
     4.สมเด็จพระสังฆราช(นาค)ทรงมาเป็นศิษย์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่6
     5.สมเด็จพระมหาสมฌะเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงมาเป็นศิษย์ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่7
     6.พระพนรัต(ทองดี)วัดระฆัง มาศ
    ........................ยังมีต่ออีกมาก...................
        ส่วนประวัติอีกด้าน คือประวัติในทําเนียบพระอาจารย์กรรมฐาน วัดพลับ
           สามเฌรโต ศึกษากรรมฐานกับ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน  ตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณร เมื่ออายุได้19 อุปสมบทแล้วพระญาณสังวร สุก วัดพลับ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านจึงมาต่อ จนจบ ห้องสุดท้ายคือ ออกบัวบานพรหมวิหาร(มาขึ้นพระอนาคามีให้ตอนที่บวชพระ)

                           
         ในส่วนที่ทราบมาจากแหล่งอื่น
           เกียวกับ ที่สมเด็จโต ศึกษากับ หลวงปู่แสง ทางลพบุรีก็ใช่
แต่เป็นภายหลัง
        ท่านมาเรียน  ทางด้านเดินจงกลม จตุรธาตุจนได้ถึงขั้นสุด โลกุตตระธรรม9
             มีความสามารถทางฤทธิ์มาก เกียวกับเรื่องเดินจงกลมย่นระยะทาง สุขสัญญา ลหุสัญญา นารายแปลงรูป



       ที่มา....พระประวัติสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน(เล่มแดง)หน้าปกรูปหล่อองค์ทองเหลืองพระองค์ท่าน
 
9  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระสังฆราช สุก ถามพระอริยเถราจารย์ว่า.... เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2012, 04:27:26 pm
พละสอง คืออะไรบ้าง  สังขาร 3 คืออะไรบ้าง  ญาณจริยา 16 คืออะไรบ้าง  สมาธิจริยา 9 คืออะไรบ้าง  วสีภาวตา เป็นอย่างไร
        พละ 2 สมถพละ วิปัสสนาพละ
            สมถพละคือ ความไม่ซัดส่ายไป คือความมีอารมณ์เป็นหนึ่งแห่งจิต ด้วยอํานาจเนกขัม เรียกว่า สมถพละ ความไม่ซัดส่ายไป คือ ความมีอารมณ์เป็นหนึ่งแห่งจิต ด้วยอํานาจอาโลกสัญญา ด้วยอํานาจความไม่ฟุ้งซ่าน เป็นต้น ด้วยอํานาจความเป็น ผู้พิจารณาเห็นอย่างสลัดทิ้งลมหายใจเข้า ด้วยอํานาจความเป็น ผู้พิจราณาเห็นอย่างสลัดทิ้งลมหายใจออก เรียกว่าสมถะพละ คือไม่หวั่นไหวนิวรณ์ด้วย ปฐมฌานเรียกว่า สมถพละ คือไม่หวั่นไหวในเพราะวิตกวิจารด้วยทุติยฌาน เรียกว่าสมถพละ  คือไม่หวั่นไหวในอากิญจัญญายตนสัญญา ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เรียกว่าสมถพละ คือไม่ไหว ไม่หวั่น ไม่สั่นไปในอุทธัจจะ เพราะกิเลสที่ร่วมกับอุทธัจจะ และในเพราะขันธ์ นี่เรียกว่า  สมถพละ
       วิปัสนาพละ คือ  อนิจจานุปัสนา ทุกขานุปัสนา อนัตตานุปัสนา นิพพิทานุปัสนา วิราคานุปัสนา นิโรธานุปัสนา คือความคํานึงเห็นนิโรธ ปฏินิสสัคคานุปัสนา คือความคํานึงสลัดทิ้งเสีย ทั้งหมดนี้เรียกว่า วิปัสนาพละ ความคํานึงเห็นว่าไม่เที่ยงในรูป ความคํานึงด้วยสลัดทิ้งเสียในรูป ความคํานึงเห็นว่าไม่เที่ยง ความคํานึงด้วยสลัดทิ้งเสีย ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ...ในจักขุ ในชรามรณะ เรียกว่าวิปัสสนาพละในคําว่า วิปัสสนาพละ
       ความระงับไปแห่ง  สังขาร 3 คือ วจีสังขาร  ได้แก่ วิตก วิจาร ของผู้เข้า ทุติยฌาน ย่อมระงับ
       กายสังขาร คือ อัสสาสะ ปัสสาสะ ของผู้เข้า จตุตถฌาน ย่อมระงับ
       จิตตสังขาร คือ สัญญา และ เวทนา ของผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ย่อมระงับ

            ญาณจริยา 16
   คือ อนิจจานุปัสนา ทุกขานุปัสนา อนัตตานุปัสนา นิพพิทานุปัสนา วิราคานุปัสนา นิโรธานุปัสนา ปฏินิสสัคคานุปัสนา วิวัฏฏานุปัสนา  คือความคํานึงด้วยหมุนกลับ จากสังขารได้แก่ สังขารุเบกขา และ อนุโลมญาณ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลสมาบัติ สกทาคามิมรรค สกทาคามิผลสมาบัติ อนาคามิมรรค อนาคามิผลสมาบัติ อรหัตตมรรค อรหัตตผลสมาบัติ ...เรียกว่าญาณจริยา 16

            สมาธิจริยา 9
       คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุถฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญยายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะสมาบัติ เรียกว่าสมาธิจริยา เป็น 8 สมาธิจริยา
       วิตกก็ดี วิจารก็ดี ปีติก็ดี สุขก็ดี จิตเอกัคคตาก็ดี เพื่อประโยชน์แก่ อันได้ปฐมฌาน ...วิตกก็ดี วิจารก็ดี ปีติก็ดี สุขก็ดี จิตเอกัคคตาก็ดี เพื่อประโยชน์แก่อันได้เนวสัญญานาสัญญายตนะสมาบัติ ....นับเป็นสมาธิจริยา อีก  1 ด้วยสมาธิจริยา 9 เหล่านี้..

             วสี
     ความว่า วสี มี 5  คือ
    อาวัชนวสี
    สมาปัชนวสี
    อธิฏฐานวสี
    วุฏฐานวสี
    ปัจเวกขณวสี
......................................
         เรื่องวสี เป็นการนึกหน่วงเอาปฐมฌานได้ในที่ๆ ต้องการ ตามที่ต้องการ เพียงเท่าที่ต้องการ ความชักช้าในการนึกหน่วงหามีไม่ เหตนี้เรียกว่า อาวัชนวสี
       เข้าปฐมฌานได้ในที่ๆต้องการ ตามที่ต้องการ เพียงเวลาที่ต้องการ ความชักช้าหามีไม่ เหตนี้ จึงเรียกว่า สมาปัชนวสี
       ตั้งอยู่แห่ง ปฐมฌาณไว้ได้ในที่ๆต้องการ ตามที่ต้องการ เพียงเวลาที่ต้องการ ความชักช้าในการยั้งหามีไม่ เหตนี้ จึงเรียกว่า อธิฏฐานวสี
       ออก จากปฐมฌาน ได้ในที่ๆต้องการ ตามเวลาที่ต้องการ เพียงเวลาที่ต้องการ ความชักช้าในการออกหามีไม่ เหตนี้ จึงเรียกว่า วุฏฐานวสี
       ปัจเวกขณ์พิจราณา ปฐมฌาน ได้ในที่ๆต้องการ ตามเวลาที่ต้องการ เพียงเวลาที่ต้องการ ความชักช้าในการปัจเวกขณ์หามีไม่ เหตนี้ จึงเรียกว่า ปัจเวกขณวสี นึกหน่วง ........ปัจเวกขณ์ ทุติยฌาน ...เนวสัญญานาสัญญายตนะได้ในที่ๆต้องการ
ตามที่ต้องการ เพียงเวลาที่ต้องการความชักช้าในการนึกหน่วง ในการปัจเวกขณ์หามีไม่ เหตนี้จึงเรียกว่า อาวัชนวสี.....ปัจเวกขณวสี...

     ...........................ที่มา จากหนังสือพระประวัติ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน
                                       ยุคอยุธยา ยุคธนบุรี ยุครัตนโกสินทร์

                                       
10  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การเจริญ รูปฌาณ4 ชื่อว่าได้เจริญ กายคตาสติ เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2012, 04:52:51 pm
   เรียงลําดับพระกรรมฐานอันนับเนื่องใน  กายคตาสติ  เป็นกายานุปัสสนาสติกรรมฐาน
            พระพุทธเจ้า ตรัสว่า การเจริญอานาปานสติ ชื่อว่าได้เจริญกายคตาสติ
            พระพุทธเจ้า ตรัสว่า การเจริญอาการสามสิบสอง ชื่อว่าได้เจริญกายคตาสติ
            พระพุทธเจ้า ตรัสว่า การเจริญธาตุดิน นํ้า ลม ไฟ ชื่อว่าได้เจริญกายคตาสติ
            พระพุทธเจ้า ตรัสว่า การเจริญอสุภกรรมฐาน ชื่อว่าได้เจริญกายคตาสติ
            พระพุทธเจ้า ตรัสว่า การเจริญรูปฌาณ4 ชื่อว่าได้เจริญกายคตาสติ
                  เพราะเป็นพระกรรมฐาน ต่อเนื่องในอานาปานสติ จัดเป็น (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
                   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหม้อกรองนํ้า มีนํ้าเต็มเปี่ยมเสมอขอบปากพอที่กาจะดื่มกินได้ อันเขาตั้งไว้บนเครื่องดองทันใดนั้น มีบุรุษมาถือเอาเป็นเครื่องตักนํ้า
                   ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสําคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะพึงได้นํ้าเก็บไว้หรือหนอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตามเจริญกายคตาสติแล้ว ทําให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้อารมณ์
                    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไรๆก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้ว ทําให้มากเเล้ว เธอย่อมเป็นผู้มีความสามารถในธรรมที่ควรทําให้แจ้ง ด้วยความรู้ยิ่ง อันเป็นแดนที่ตนน้อมจิตไป โดยการทําให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่งๆนั้นๆได้ ในเมื่อมีสติเป็นเหตุ  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหม้อกรองนํ้า มีนํ้าเต็มเปี่ยมเสมอขอบปาก พอที่กาจะดื่มกินได้ อันเขาตั้งไว้บนเครื่องรอง บุรุษมีกําลังมายังหม้อนํ้านั้นๆได้โดยทางนั้นๆหรือ
          ภิกษุ.ได้พระพุทธเจ้าข้า
          พ.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันภิกษุไรๆ ก็ตามเจริญกายคตาสติแล้วทําให้มากแล้ว เธอย่อมถึงความเป็นผู้สามารถในธรรมที่ควรทําให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่ง อันเป็นแดนที่ตนน้อมจิตไปโดยการทําให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่ง นั้นๆได้ในเมื่อมีสติเป็นเหตุ
         ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนสระโบกขรณีสี่เหลี่ยมในภูมิภาคที่ราบ เขาพูนคันไว้ มีนํ้าเต็มเปี่ยมเสมอขอบปาก พอที่กาจะดื่มกินได้ บุรุษมีกําลังเจาะคันสระโบกขรณีนั้นทางด้านใดๆ จะพึงถึงนํ้าทางด้านนั้นๆได้หรือ
         ภิกษุ.ได้พระพุทธเจ้าข้า
             
                         ที่มา..จากหนังสือ หลักปฏิบัติสมถะวิปัสสนากรรมฐาน
                                 ของ สมเด็จพระสังฆราช(สุก ไก่เถื่อน)
                                 เรียบเรียงโดย พระครูสิทธิสังวร ผู้ช่วยเจ้าอาวาส คณะ5 วัดราชสิทธาราม
11  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ปณิธานพระพุทธาพุทธเจ้า เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2012, 04:24:13 pm
พระพุทโธ คือชีวิต คุณภาพ
   พระพุทโธ ส่งให้ใจ ไม่หวั่นไหว
   พระพุทโธ ให้ชีวี นี้ปลอดภัย
   ย่างก้าวไป พระพุทโธ ก็พานํา
   พระพุทโธ คือความหมาย แห่งความสุข
   พระพุทโธ ให้ชีวิ มีทุกอย่าง
   พระพุทโธ ให้ยอมรับ เรื่องรูปนาม
   ใจไม่ห่าง ใจไม่ขาด สิ่งใดใด
   พระพุทธา นุสติ กายพุทธะ
   ศาสดาเรา คือผู้นํา อันยิ่งใหญ่
   เปิดบัญญัติ เปิดปรมัตถ์ สัจจะใจ
   แก้เกิดดับ ชาติสุดท้าย ใช้พุทโธ...
    ................................................
   นอมประณต พระศาสดา ด้วยเศียรเกล้า
   พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า สรรเสริญไว้
   พระสังฆเจ้า คือสังฆคุณ ผู้ประศิตใจ
   สถิตย์มองไว้ เตือนกายใจ ไม่หลงลืม
   แอบดื่มดํ่า พระพุทธา นุสติ
   ชุบชีวี ที่หมดแรง ให้ลุกได้
   โลกชุ่มชื้น อรรศจรรย์ ขวัญอําไพ
   ไม่เกี่ยวกับ สิ่งใดได ในโลกา
   คิดพูดทํา อยู่กับมรรค มีองค์แปด
   ในแสงแดด ก็ไม่ร้อน สุขจริงหนา
   ที่น่าหนาว ก็ไม่หนาว สุดพรรณนา
   พระกรรมฐาน มัชฌิมา เครื่องอยู่สบาย
   คือครูใหญ่ อยู่กลางใจ ทําให้สุข
   และยังมี พระอาจารย์ ยังสอนได้
   ท่านสามารถ เข้าศึกษา ด้วยใจกาย
   ไม่เพี้ยนไป จากความจริง ที่เชิดชู
   ผู้หมดแรง ตั้งหวังใหม่ ให้ถนัด
   ให้รู้ชัด ว่าความสุข ยังมีอยู่
   รัตนตรัย ยังปกปักษ์ เป็นคุณครู
   เรียนให้รู้ ดูให้เห็น เป็นให้ได้
       .....น้อมถวาย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์กรรมฐานมัชฌิมาทั้งจักรภพ
       อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร พ่อแม่ตั้งแต่ชาติต้นถึงปัจจุบัน
       ท้าวจตุมหาราช ท้าวสักกะ ท้าวมหาพรหม รวมทั้งสัตว์ 31 ภพ
                            รู้ไม่รู้ แปลว่าข้าให้...
12  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / 4 มิถุนายน วันวิสาขบูชา ไปร่วมบุญสมทบบุษบกถวาย พระพุทธมัชฌิมาที่วัดราชสิทธาราม เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2012, 05:57:35 pm
4 มิถุนาสมทบทุนสร้างบุษบกฉลอง
        ถวาย องค์พระพุทธ มัชฌิมา งามเรืองรอง
         งามดั่งทอง สุกประกาย ในใจเรา
         ได้เชิดชู กรรมฐาน มัชฌิมา
         คณะ5 พระอาจารย์ ท่านจัดใหญ่
         พระสังฆราช(สุก) วัดราชสิทธาราม เป็นครูใหญ่
         สร้างถวาย ฉลองให้ ท่านทุกคน
         ไปร่วมกัน อธิฐาน บารมี
         กรรมฐานนี้ กาลผ่านเลย มิสูญหาย
         พระธรรมคําสอน พระศาสดา อยู่ในใจ
         ปฏิเวธมรรคผล ไม่สูญหาย อยู่ได้ห้าพัน
         น้อมถวายพระพุทธ พระราหุล ชิโนรส
         ครูบาทั้งหมด ทั้งแผ่นฟ้านภากาศ
         ขออาราธนา จงคุ้มครอง ผู้ภาวนาธรรม
         สวด (เวทาสากุ)นํา ถวายชีพนี้ ขอถึงไม่ตาย
         ขอน้อมถวาย แก้วรัตนตรัย หมดทั้งจักรภพ
         ถวายบุษบก พระพุทธมัชฌิมา ขอธรรมยิ่งใหญ่
         ในผลภาวนา ครูบามัชฌิมา คือขุมพลังใจ
         เอกัคคตาจิต ขอให้หวังได้ กันแทบทุกคน
                 .........บุญที่ได้ปรุงแต่งนี้ ขอถวายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
                ..........ครูบาอาจารย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ที่เคยมีมาทั้งจักรภพ.
13  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ธาตุอากาสอยู่กับธาตุอื่นได้หมด แต่ถ้าธาตุอื่นอยู่กับธาตุอากาส อากาศไม่ให้อยู่ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2012, 09:09:49 am
            ธาตุอากาศเหมือนเป็นธาตุใจดําอะไรทํานองนั้น    วันนี้คุยเรื่องมนุษย์กันดีกว่า เพราะเราคือมนุษย์ มีหน้าที่สร้างความดี
                ต้องขออนุโมทนา สาธุ ให้คะแนนเต็มร้อย กับคุณพี่ NATTAPONSON และอีกหลายๆคน ที่ร่วมงานเผยแผ่กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ช่วยเหลือครูบาอาจารย์ เพื่อถวายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยเฉพาะ พระปรมาจารย์ สมเด็จพระสังฆราช พระญาณสังวร(สุก)ไก่เถื่อน ของเราทุกท่าน
               ขอให้ร่วมความดีนี้กันไปจนกว่าจะหาไม่ ก็คือดสิ้นลมดับ ถวายหัวใจ ถวายชีวิตกันไปเลย ว่างั้น
               ใครท้อ จะหาแรงใจด้วยวิธีง่ายๆก็ให้นึกคิดไป แบบนี้ เดี๋ยวอารมณ์พุทธานุสสติมันทรงตัว ก็เข้าใจอารมณ์เพิ่มขึ้น เองทุกคนเก่งได้เท่ากัน เพราะเป็นมนุษย์เหมือนกัน
               การทํางานในพระศนา ก็มีที่ไม่สบอารมณ์ นั่นคือภพ ไม่ใช่เรา มันต้องมี มันต้องเกิด
               ในบางคราวที่ภูมิใจ ดีใจ พอใจ มันก็ต้องมีด้วย มันก็ต้องมี มันก็ต้องเกิด
               บางคราวเฉยๆ เมื่อกระทบกับทุกข์ หรือสุข หรือได้คําตอบที่ไม่ชอบใจ ไม่สมใจ หรือไม่ได้คําตอบเลย อารมณ์นี้ก็ต้องมีก็ต้องเกิด
               เป็นของดี นะจ๊ะ เป็นการเข้าปีติโดยธรรมชาติ หาซื้อไม่ได้นะ ประสบการณ์ กับเหล่ากัลญาณมิตรอย่างเราๆ
               ก็ยังดีกว่าไปคบโจร หรือ ขนาดโจรยังยอมพระตถาคตเราเลย อะไรที่มนุษย์ทําไม่ได้ ไม่มี อย่างพระเทวทัตตอนนี้เข้าปีติอยู่ ในนรก แต่ก่อนเข้าปีติรู้ตัว ยกพนมอธิฐานไว้ เดี๋ยวท่านก็ต้องมา
               บางทีเราอย่าได้ไปคิด ว่าคนนั้นทําไมเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ ทุกคนอยู่กันตาม ปีติ ตามจริต
              ธาตุประจําตัวมีไม่เหมือนกัน
              บางทีเราคิดอย่าง บางคนอาจจะมองว่าเราบ้าอยู่ก็ได้ แต่ในเวลาตรงกัน เรากําลังคิดว่าเราวิเศษอยู่  การทําอะไรเพื่อเอาโล่ เพื่อให้เป็นแบบที่เราตั้งอารมณ์ไว้ บางทีมันก็ต้องถูกขึง อยู่บนไตรลักษณ์ ไม่ควรไปตั้งอารมณ์รอดู การเฝ้ารอดูเป็นการรอกิเลส เพราะมีคําตอบให้การเฝ้ารอดูนั้นๆ ได้อยู่ สองอย่าง และทั้งสองอย่างนั้นเป็นแค่การยึดถือใน กาย
             ถ้าฝึก รู้ไว เพราะมีการเพิ่มขนาดของ องค์อุเบกขาแบบไต่ระดับ ฝึกตลอด ก็เพิ่มตลอด เหมือนได้คะแนนทุกวัน
             อุเบกขาที่ได้จากการพอกพูน ได้แล้วได้เลย ไม่สูญ เพิ่มขนาดจนกว่าจะถึงที่สุด

             ยกตัวอย่างผู้มีธาตุอากาศ เข้ากับธาตุอื่นได้หมดทั้งทางโลกทางธรรม รู้ธาตุอื่น เเละเข้าใจธาตุอื่น เข้าไปอยู่ในธาตอื่นได้หมด
               แต่ธาตุอากาสเวลาอยู่อยู่ธาตเดียว
                    ขอขยายตามความรู้สึกหน่อย
           ธาตุอากาสหยุด นิ่ง ใบ้ ไม่อธิบาย แต่รู้ทัน ธาตุอื่นหมดว่าต้องการอะไร
           ธาตุไฟ มีสุข มีทุกข์มีโทสะ ไม่ชอบใจ ไม่พอใจเก่ง
          ธาตุนํ้า ดีใจเก่ง คล้อยตามเก่ง แต่ก็เป็นธาตุไฟได้เก่ง กลับไปกับมา       
           ธาตุลม เพลิดเพลินได้หมด ทั้งที่ชอบและไม่ชอบ
นํ้า ลม อากาส ปกปิดสิ่งที่ไม่ชอบใจไว้ในอารมณ์ได้เก่ง ไม่ปล่อยกาย ออกไปในรูป เช่นดินกับไฟ (ไปเถียงกัน) ซ่อน แต่ถ้ารูปยังไม่ดับ สังเกตุได้จากทางกายทั้งหก (ออกทางหูตา ท่าทาง)ปิดไม่ได้ แม้ไม่ออกทางวาจา ก็เห็นทางกายอื่น ที่ไม่ใช่วาจา ประโยค
          ธาตุดิน วิตกเก่งขี้สงสัย ไม่เลิก เรื่องนี้หมด ก็เรื่องใหม่อีก
                       วิธีแก้ให้หายเป็นก็ต้องเป็นไปตามปีติ หรือไม่ก็มา ปฏิบัติ สัมปยุตธาตุธรรม แก้ความรู้สึกในฐานจิตร คือการปฏิบัติธรรม ความดี
          เชิงกรรมฐานเน้นการเข้าปีติ ก็คือสุขทุกข์เป็นของจริงคือประโยชน์ของเรา
            เพื่อละและวางเป็นอุเบกขา ตามธรรม
                            ขออนุโมทนาสาธุกับทุกท่านที่ได้ทํางานถวายพระพุทธเจ้า
                                                 ก็ว่ากันไปตามธรรมความจริง     
               
14  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / รอยพระพุทธบาทเขาวงพระจันทร์ บารมีบุญใหญ่ อย่าท้อ มีผู้ขึ้นลงเป็นว่าเล่น เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2012, 09:08:43 am
    วันก่อนพาสุชินตุ้ม  ไปกราบอธิฐานบารมีกับรอย พระพุทธบาทเขาวงพระจันทร์  เที่ยวนี้พาคนไป เที่ยวแรกพระอาจารย์พาเราไป ครานั้นไปกัน 5 ชีวิต มีพระอาจารย์ และธรรมธวัช และเพื่อนๆ ครานี้ไป 2 บางกว่าเดิม มีแค่สุชินตุ้ม กับเรา
                   ออกจากบ้านนา สามโมงกว่า เป็นวันเสาร์กระเป๋าใบเดียว ต่อรถที่เสา 11 ขนส่งสระบุรี ถึงหน้าวัด กินข้าว จ้างมอร์เตอร์ไซด์ ปากทางเข้าถึงวัด ค่ารถคนละ 40 ขอเบอร์มอเตอร์ไซด์ไว้ตอนลง จากเขาวงพระจันทร์ ตลาดโคกสําโรง ห่างออกไป 10 กม กะว่าต้องพักนั่น
                  แต่สรุปแล้ว ขาออก หกโมงเย็นเกือบยํ่าทุ่ม มอเตอร์ไซด์โทรจองตั๋ว รถตู้โคกสําโรง-สระบุรีให้ ถึงสระบุรีรถหมด นอนสระบุรี กลับบ้านนาเช้า ได้รสชาติแบบทัวร์กระเป๋าใบจุดหมายคาดฝันไม่ได้ ตามที่คิด
                   ได้กราบรอยพระพุทธบาทเขาวงพระจันทร์ และทํากิจที่ตั้งใจไว้
           ที่บนยอดเขา มีนํ้าดื่ม นํ้าแข็งเครื่องดื่มโคล่า ขายด้วย มีคนดูแลอยู่ สามคน เป็นหญิงสองคน ชายหนึ่งคน อยู่เฉพาะ เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดสําคัญเท่านั้น ข้างทางที่มี ศาลาพัก ก็พอมี พ่อค้าแม่ค้าอยู่ประปรายเห็นอยู่ที่ทางผ่านขึ้นมาประมาณอีก สามสี่คน เน้นตามวันที่ว่าดังกล่าว
            ความอุตสาหะ ที่ต้องขึ้นไปดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ กับจํานวนขั้นบันได กับความบ่อยครั้ง และจํานวนครั้งที่ขึ้นลง ไม่เป็นอุปสรรคสําหรับ พวกเค้า ผู้ดูแลภาระกิจศาสนา บนยอดมีธูปเทียนพร้อม มีตู้รับบริจาค มีคนดูแล
            ผู้ชายผู้เป็นสามี ได้นําข้าวที่เหลือจากพระฉันท์ ใส่กระสอบปุ๋ย แบกข้าวด้วยใหล่สองข้าง ข้างละใบ ดูใบหนึ่งก็หนักมากทีเดียว และต้องแบกขึ้นบันได ไปเลียงหมา ที่อยู่ข้างบน เป็นหมาวัด ที่หลวงปู่เคยเลียงไว้ มันมีมาก ก็กระจัดกระจายขึ้นไปอยู่ตามเขา แก่งหิน หน้าผา ข้างๆทาง เราดูมันเป็นมิตและฉลาด ไม่เห่า เพราะมันคง หิว บางตัวโซเหมือนจะหมดแรงก็มี ข้าวคงไม่ได้กินทุกวัน
           ที่เห็นมีประมาณ 20 30 ตัว ที่เจอระหว่างทาง ไม่เห่าคน เพราะว่ามันคงคิดว่าเราเป็นคนให้ข้าวมันมั๊ง ไอ้เราก็ไม่มีอาหาร สงสารมันจัง
          มันอยู่ตามเหลียวเขา เหลี่ยมหินที่เป็นเพิงธรรมชาติที่อยู่ข้งๆ ทางบันได มีเป็นครอกๆ แม่ลูกน้อย ที่เป็นพี่น้องของมัน สังเกตุจาก สีกลุ่ม แยกอยู่เป็นกลุ่มเป็นสีเหล่ามัน แต่สงสารที่อาหารมันคง ไม่พอเพียง อย่างแน่แท้
              มีอยู่ตัวหนึ่งตัวเล็กมากผอม ๆนั่งตัวสั่น เป็นไข้นําตาไหล ใครจะดูแลมัน เพราะไม่เห็น มันมีใครเลย อยู่ตัวเดียวเจ่าอยู่บนโขดหิน ไม่รู้ว่ามันเป็นไข้หนาวกระมัง จึงมานั่งตากแดด บนโขดหิน เท่าที่ดูอาการคงจะต้องตายในไม่ช้าถ้าไม่มีใครช่วย คุยกับมันไปคําหนึ่ง ว่าขอให้ไม่อดนะลูก
         มันนั่งมองเราด้วยแววตาอันละห้อย
             แต่เราไม่มีอะไรให้มันเลย ตอนนี้
           หมาที่อยู่บนเขาผมว่ามันคงลงไปกินข้างล่างไม่ได้ เพราะธรรมชาติหมามีอานาจักร ลํ้าถิ่น แย่งอาหารและกัดกัน อ่อนแอแรงน้อย ก็ต้องถอย สู้แรงพวกด้านล่างไม่ได้
            จํานวนบันได และการที่ต้องแยก และนําอาหาร ขึ้นไปเลียงมัน ที่อยู่ข้างบน ช่างแสนสงสาร ทั้งทั้งคนเลี้ยงทั้งหมาที่อาหาร มีกิน เฉพาะวันหยุด ที่เค้าขึ้นมา
             อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
       ..............................................เห็นเวทนา แก้ไขอะไรไม่ได้
             บันไดเขาวงพระจันทร์ เกือบสี่พันขั้น เมื่อความสงสารหมามันเกิด กระสอบข้าวหมาก็ไม่หนัก ขึ้นบันไดก็ไม่เหนื่อย ผมคุยกับคนเลียงหมารู้ว่ามันไม่ได้กินทุกวัน อาทิตย์หนึ่งหลายวันที่ไม่ได้กิน เพราะเค้าบอกว่าไม่ได้มาประจํา มาตามวันเวลา
          ขาลงผมมีเศษนํ้าก้นถุง ที่นํ้าแข็งละลาย เทให้มันกินที่ศาลา แต่กินได้ตัวเดียว อีกสองตัวหลบ กลัว กําลังน้อยกว่า
          ผมบอกสุชินตุ้ม ว่าดูไว้ มันพูดไม่ได้ มันขอกินก็ไม่ได้ ต้องอยู่ตามมีตามเกิด ตามสันชาติญาณสัตว์
          มันเชื่องและดูเป็นมิตกับเราเพราะต้องการ สิ่งแลกเปลียน คืออาหาร
          มันมามองดูว่าเราใครจะมีอะไรให้มันได้กิน
         รอยพระพุทธบาทเขาวงพระจันทร์ บารมีพระพุทธเจ้ายังไม่่เสื่อมคลาย เข้าให้ถึงพระพุทธเจ้าเขาวงพระจันทร์
        ........อย่าท้อ.....ดูตัวอย่างคนเลียงข้าวหมา....ยังไม่ท้อที่จะต้องขึ้นบันใดเกือบสี่พันขั้น
  เพื่อขึ้นไปดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และดูแลบรรดาสัตว์ของวัด ที่อยู่บนยอด เมตตากรุณาคํ้าจุนโลก เมื่อความสงสารเกิด ความเห็นว่าทุกข์จึงไม่มี
       
        ใครมีใจรักหมาถืออาหารไปเผื่อมันบ้าง ก็คงเป็นบุญ มันจะได้ไม่โซ
           หลวงปู่ท่านเลียงไว้ตอนนี้มันก็ขยายมากพอสมควร
                              อย่าลืมไปเดินเมตตาเพิ่มบารมีที่เขาวงพระจันทร์
                                           บารมีพระพุทธเจ้ายังอยู่จวบ 5000ปี ได้กราบพระพุทธบาทอันศักดิ์สิทธิ์ หรือจะไปอธิฐานเข้าสาวกภูมิก็ได้ทั้งนั้น



[/color]
[/font]
15  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / คาถา (เวทาสากุ )คาถานําพระคาถาทั้งปวง. เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2012, 05:22:53 pm
         เวทาสากุ  กุสาทาเว-ทายะสาตะ ตะสายะทา-สาสาทิกุ กุทิสาสา-กุตะกุภู-ภูกุตะกุ
                  พระเถราวุฒาจารย์ ครูบารุ่งเรือง ได้สอนพระคาถา แก่ สมเด็จพระสังฆราชสุก กล่าวว่าเป็นคาถานํา พระคาถาทั้งปวง ใช้ในทางสําเร็จประโยชน์ ผู้ใช้พระคาถานี้ ต้องมีสมาธิจิตเป็นเอกัคตาจิตชั้นสูง ถึงเมตตาเจโตวิมุตติ จึงจะใช้พระคาถานี้ได้
                 เพราะเป็นพระคาถา ปลดปล่อยสัตว์ และปลดปล่อยจิตตัวเอง
                 พระอริยเถราจารย์ครูบารุ่งเรือง ท่านเห็นธรรมอะไร ในพระคาถา พระยาไก่เถื่อนบ้าง พระอาจารย์สุกนั้นทรงใกล้ชิดกับไก่ป่า มาแต่ยังทรงพระเยาว์ และทรงเรียนรู้ พระคัมภีร์มิลินท์ปัญหา มาแล้ว พระองค์ท่านจึงทราบธรรม ที่เกียวกับไก่ป่าอย่างมากมาย
                   ทรงกล่าวกับพระอริยเถราจารย์ว่า
       
ไก่ป่านี้ปราศเปรียว คอยหนีคน หนีภัยอย่างเดียว เหมือนกับจิตของคน ไก่ป่าเชื่องคนยากเหมือนจิตของคนเรา ซึ่งเชื่องต่ออารมณ์ยากมากเหมือนกัน ไก่ป่าแม้เสกข้าวด้วยเมตตาให้กิน แรกๆมันก็ไม่กล้าเข้ามาหาคน นานๆเข้าจึงจะกล้าเข้ามาหาคน เหมือนจิตคนเราก็ชอบท่องเทียว ไปไก :040:ลตามธรรมารมณ์ต่าง ฝึกตั้งจิตเป็นสมาธิแรกๆนั้น จิตมักจะอยู่พักเดียวก็เตลิดไป ต่อๆนาน จิตชินกับอารมณ์ดีเเล้ว จึงจะเชื่องและ ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
               พระอริยเถราจารย์ครูบารุ่งเรือง ถามพระอาจารย์สุกอีกว่า
         พระคาถาไก่เถื่อน สี่วรรค แต่ละวรรค กลับไป-กลับมา เป็น อนุโลม-ปฏิโลม หมายถึงอะไร
              พระอาจารย์สุกตอบว่า
             แต่ละวรรค หมายถึงโลกธรรมแปด  วรรคหนึ่งหมายถึง มีลาภเสื่อมลาภ  วรรคสองหมายถึง มียศเสื่อมยศ วรรคสามหมายถึง มีสรรเสริญก็มีนินทา วรรคสี่ หมายถึงมีสุขก็มีทุกข์  ทุกอย่างย่อมแปลปรวนมีดีและมีชั่ว
            ไม่แน่นอน ไม่ควรยึดติด มีหยาบ ก็มีละเอียด
           ต่อมาพระอาจารย์สุก ทรงยกคุณแห่งไก่ป่าใน มิลินท์ปัญหา มาให้พระอริยเถราจารย์ครูบารุ่งเรืองฟังว่า ผู้ที่จะบรรลุ มรรค ผล นิพพานต้องประกอบด้วย คุณสมบัติอันเปรียบเทียบได้กับไก่ หรือไก่ป่า มี 5 ประการดังนี้คือ
              1.เมื่อเวลายังมืดอยู่ ก็ไม่บินลงหากิน
                              2.พอสว่างก็บินลงหากิน
                              3.จะกินอาหารต้องใช้เท้าเขี่ยเสียก่อน แล้วจึงจิกกิน
                              4.กลางวันมีตาใสสว่างเห็นอะไร ได้ถนัดแต่เวลากลางคืน ตาฟางคล้ายคนตาบอด
                              5.เมื่อถูกเขาขว้างปา หรือถูกตะเพิดไม่ให้เข้ารัง ก็ไม่ทิ้งรังของตน นี้ เป็นองค์คุณ 5 ประการของไก่
                 ผู้มุ่งมรรคผลต้องประกอบให้ได้กับคุณสมบัติ อันเปรียบเทียบได้กับ องค์คุณเหล่านี้
             1.เวลาเช้าปัดกวาดที่อยู่และจัดตั้งเครื่องใช้สอย ให้เรียบร้อย อาบนํ้าชําระกายให้สะอาด บูชากราบไหว้ปูชนียวัตถุ
             2.ครั้นสว่างแล้วจึงกระทําการ หาเลี้ยงชีพ ตามหน้าที่ของเพศตน
             3.พิจราณาก่อนแล้วจึงบริโภค ดังพุทธภาสิตว่า ผู้บริโภคอาหารพึงพิจราณา เห็นเหมือนคนบริโภคเนื้อบุตร ของตนในทางกันดาร และไม่มัวเมา มุ่งแต่ทรงชีวิตไว้ เพื่อทําประโยชน์สุขแก่ตน และผู้อื่น
             4.ตาไม่บอดก็พึงทําเหมือนคนตาบอด คือไม่ยินดียินร้าย ดุจภาษิต ที่พระมหากัจจายนะ กล่าวไว้ว่า มีตาดีก็พึงทําเหมือนคนตาบอด มีหูดีก็พึงเป็นเหมือนหูหนวก มีลิ้นเจรจาได้ก็พึงเหมือนเป็นใบ้ มีกําลัง ก็พึงเหมือนคนอ่อนเพลีย เรื่องร้ายเกิดขึ้น ก็พึงนอนนิ่งเสีย เหมือนคนนอนเฉยอยู่ฉะนั้น
             5.จะทํา จะพูด ไม่พึงละสติ สัมปชัญญะ ประหนึ่ง ไก่ป่า ไม่ทิ้งรังฉะนั้น
         
           ถ้าปฏิบัติได้ อย่างนี้ จะบรรลุมรรคผลนิพพาน
                   
          จากหนังสือพระประวัติ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน
                                 วัดราชสิทธาราม(พลับ)
16  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สมเด็จพระสังฆราชสุก ทรงสําเร็จอิทธิวิธญาณ การเข้าสุขสัญญาและลหุสัญญา เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2012, 05:00:47 pm
ภาพจาก http://www.mahamodo.com/

สมเด็จพระสังฆราชสุก ทรงสําเร็จอิทธิวิธญาณ การเข้าสุขสัญญาและลหุสัญญา

    ครั้งสมเด็จพระญาณสังวร ทรงสัญจรจาริกธุดงค์ครั้งแรก ทรงพบพระภิกษุเถระ วุฒิปรมาจารย์ นามว่าพระพนรัต(รอด) หรือหลวงปู่เฒ่า ครั้งนั้นหลวงปู่เฒ่าได้สอน การเข้าสุขสัญญา และลหุสัญญา โดยมี ฌานบาทเป็นบาท ให้แก่พระองค์ท่าน และพระองค์ท่านได้ทรงฝึกฝน

     การเข้าสุขสัญญา และลหุสัญญา โดยมีฌานเป็นบาทอธิฐาน ให้จิตเป็นกาย เรียกว่าแบ่งกายบ้างซึ่งเป็นอย่างเอก หรือให้กายเป็นจิต คือกายที่ประกอบด้วยมหาภูตรูปสี่ ไปไหนมาไหน แคล่วคล่องว่องไว เรียกว่าเป็นอย่างตรี โท   กล่าวว่ากาลต่อมาพระองค์ท่าน ก็สําเร็จการเข้าสุขสัญญา และลหุสัญญา หรือเรียกว่า อิทธิวิธญาณ

      กล่าวไว้ในบทแห่ง อิทธิวิธญาณว่า ปัญญาในความสําเร็จด้วยการกําหนดรูปกาย ของตน และจิตของตน มีฌานเป็นบาทเข้าด้วยกัน และด้วยสามารถแห่งการตั้งไว้ซึ่ง สุขสัญญา คือสัญญาอันประกอบด้วย อุเบกขา ในจตุตถฌาน เป็นสุขละเอียด และลหุสัญญาคือสัญญาเบา เพราะพ้นจากนิวรณธรรม และเป็น ปักขิยธรรม เป็นอิทธิวิธญาณ

ภาพจากhttp://www.kunkroo.com/

     ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญ อิทธิบาท อันประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วย วิริยะ และสังขารเป็นประธาน ย่อมเจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วยสมาธิยิ่งด้วย จิตตะ เเละสังขารเป็นประธาน ย่อมเจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วย  วิมังสาและสังขารเป็นประธาน

      ภิกษุย่อมอบรมข่มจิต ทําให้เป็นจิตอ่อนควรแก่การงาน ในอิทธิบาทสี่ประการนี้ ครั้นแล้วย่อมตั้งกายไว้ในจิตบ้าง ตั้งจิตไว้ในกายบ้าง น้อมจิตไปด้วยความสามารถแห่งกายบ้าง น้อมกายไปด้วยความสามารถแห่งจิตบ้าง

      ครั้นน้อมจิตไปด้วยสามารถแห่งกาย น้อมกายไปด้วยสามารถแห่งจิต แล้ว ย่อมหน่วงสุขสัญญา และลหุสัญญา ลงในกายอยู่ เธอมีจิตอันอบรมแล้วอย่างนั้นบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธญาณ

    เธอย่อมแสดงฤทธิ์ได้เป็นอันมาก คือ
     คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้
     ทําให้ปรากฏก็ได้ ทําให้หายก็ได้ 
     ทะลุฝา กําแพง ภูเขา ไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้
     ผุดขึ้นดําลงในแผ่นดินเหมือนในนํ้าก็ได้
     ดินไปบนนํ้าไม่แตกเหมือนเดินไปบนดินก็ได้
     เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้
     ลูบคลําพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้
     ใช้อํานาจทางกายไปได้ตลอดพรหมโลก



ที่มา จากหนังสือสมเด็จพระสังฆราช พระญาณสังวร ( สุก)ไก่เถื่อน
บรมครูฝ่ายวิปัสสนาธุระ ประจํายุครัตนโกสินทร์ และพระธรรมทายาท
วัดราชสิทธาราม ศูนย์กลางพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลําดับ ประจํายุครัตนโกสินทร์.
17  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อโยคุฬสูตร "เรื่องสุขสัญญา ลหุสัญญา"ของพระตถาคตเจ้า เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2012, 04:10:15 pm
                   มีกล่าวไว้ใน อโยคุฬสูตร ว่า ดูกรอานนท์ สมัยใด ตถาคตตั้งกายไว้ในจิต หรือตั้งจิตลงไว้ที่กาย ก้างลงสู่ สุขสัญญา และลหุสัญญา ในกายอยู่สมัยนั้น
            กายของตถาคตย่อมเบากว่าปกติ อ่อนกว่าปกติ ควรแก่การงาน กว่าปกติ และผุดผ่องกว่าปกติ
             ดูกรอานนท์ เปรียบเสมือนก้อนเหล็กที่เผาไฟอยู่วันยังคํ่า ย่อมเบากว่าปกติ อ่อนกว่าปกติควรแก่การงานกว่าปกติ และผุดผ่องกว่าปกติฉันใด สมัยใดตถาคตตั้งกายลงไว้ในจิต หรือตั้งจิตลงไว้ที่กาย ก้าวลงสู่ สุขสัญญาและลหุสัญญาในกายอยู่ สมัยนั้นกายของตถาคต ย่อมเบากว่าปกติ อ่อนกว่าปกติ ควรแก่การงานกว่าปกติและผุดผ่องกว่าปกติ ฉันนั้นเหมือนกัน
              ดูกรอานนท์ สมัยใด ตถาคต ตั้งกายลงไว้ในจิต หรือตั้งจิตลงไว้ที่กายก้าวลงสู่ สุขสัญญาและลหุสัญญา ในกายอยู่ สมัยนั้นกายของตถาคต
             ย่อมลอยจากแผ่นดินขึ้นสู่อากาศได้โดยไม่ยากเลย ตถาคตนั้นย่อมแสดงฤทธิ์ได้หลายคน คือคนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หรือ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ใช้อํานาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้
             ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนปุยนุ่น หรือปุยฝ้าย ซึ่งเป็นเชื้อธาตที่เบา ย่อมลอยจากแผ่นดินขึ้นสู่อากาศได้โดยไม่ยากเลย ฉันใด สมัยใดตถาคต ตั้งกายลงไว้ในจิต หรือตั้งจิตลงไว้ที่กาย ก้าวลงสู่สุขสัญญา และลหุสัญญา อยู่สมัยนั้น กายของตถาคตย่อมลอยจากแผ่นดินขึ้นสู่อากาศได้โดยไม่ยากเลย ฉันนั้นเหมือนกัน
           ดูกรอานนท์ สมัยนั้นกายของตถาคต ย่อมลอยจากแผ่นดินขึ้นสู่อากาศ ได้โดยไม่ยากเลย
           ตถาคตนั้นย่อมแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือคนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หรือหลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ใช้อํานาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้................................
                           ที่มาจาก..อโยคุฬสูตร
18  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ศึกษากรรมฐาน มัชฌิมาหากไม่แหกคอก ย่อมถึงสุขตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เมื่อ: กุมภาพันธ์ 12, 2012, 05:20:12 pm

คงต้องบอกให้เพิ่มความสนใจ ในแต่ละขั้น และขอยํ้าว่าทุกลําดับ ตั้งแต่ห้องเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็น พระปีติ 5 พระยุคคล พระสุข รวมทั้ง การเข้าคืบ เข้าสับ ในองค์ธรรม  อนุโลม-ปฎิโลม เข้าวัด-ออกวัด เเละเข้าสะกด ใครได้เรียนมาตามลําดับ มาถึงตรงนี้ ขออนุโมทนาสาธุ จําอารมณ์กรรมฐานเป็นวสี ไว้ให้รู้สึกว่าจําได้บ้างในสิ่ที่ผ่านมา

    เมื่อท่านไต่ถึงระดับหนึ่ง
    กรรมฐานทุกกองจะมารวมกัน โดยอัติโนมัติ ศิษย์กรรมฐานมัชฌิมา จะไม่มีความสงสัยในสภาวะอัดนิ่ง และตายนํ้าตื้นแบบกรรมฐานอื่น เมื่อถึงลมดับ จะไม่มีการกลับมาถาม

     ถึงวันหนึ่ง ในสภาวะ ที่ของเก่าของใหม่รวมกัน ของใหม่เช่นอานาปา กสินของเก่าตั้งเเต่ห้องหนึ่งถูกมัดฟ่อนเข้ามารวม ธาตุไฟมันดิ้น เดี๋ยววิจารย์มันถูกปีตินํ้าเย็นเข้าไปดับวิจารย์มันก็ไม่ดิ้น นั่งฟังเค้าทั้งวันก็ไม่ดิ้น เกิดขึ้นมาเท่าไรมันก็ดับไหลลงหมด หมุนฐาน4 ไหลลงร่องอก อากาสปล่อยลมออกตัวตามจักรที่เปิดอินทรีย์ไว้ตอน เรียนธรม อารมณ์ออกจากทุกข์ออกได้ตามธาตุ ที่ตั้งใจพอกพูน

      เราจะสามารถ แก้สภาวะอัดนิ่งโดยตัวเอง ด้วยตัวเอง
      โดยยึดกายพุทธะเป็นอารมณ์เริ่มต้นเเห่งรูปวัตถุ 16 ส่วนญาณสติก็ค่อยๆอธิบายพระธรรมให้เราได้รู้
     พระธรรมผุด ไม่ใช่สิ่งที่เราปรุงแต่งนั่นเป็นแค่ญาณ ก็ค่อยดูไป บางทีญาณก็หรอก บางทีญาณใหม่มาถล่มญาณเก่า

   เมื่อถึงสภาวะอัดนิ่ง ที่ไม่เคยพบเคยเจอ จงใช้อนุโลมปฏิโลมเข้าวัดออกวัดมาช่วย
     พระอาจารย์บางรูปท่านบอกว่า บางคนหายใจพรวดเดียวเข้าห้อง 4 เลยก็มี บางคนนั่งอธิฐานกรรมฐาน เห็นกายพุทธะ ว๊อบๆแวมก็มี

      การเรียนในฐาน4 ของเก่าเรื่องแผ่เมตตา 8ทิศ 10 ทิศ รวมด้านบน ล่าง นั่นเป็นแค่การเรียน ขั้นตอน แต่ตอนใช้จริง บางทีมัน อาจจะหมุน ได้ ตอนที่ได้ลมหมุนวัฏจักรธาตุ หรือว่าหมุนโลก โลกคือ ดินนํ้าลมไฟอากาส สิ่งเหล่านี้เราต้องจับมันหมุนได้ จะได้อยู่เหนือมัน ไม่ให้มันอยู่เหนือเรา เรียกว่าเราอยู่เหนือกิเลส ก็คือลมอานาปา

     ถึงตอนนั้นกสินก็มาด้วย
          กรรมฐานมัชฌิมา แบบลําดับ พุทธานุสสติ สําคัญที่สุด ได้รู้จักขั้นตอน และรู้จักรูปนาม
        เมื่อถึงสภาวะอัดนิ่ง ก็จะได้เอาตังรอดได้ และไม่ตายในฌาน หรือมีอันต้องล้มกลัว
   ปฏิบัติกรรมฐานมีแต่ สนุก มีแต่ สุข ไต่ระดับ เราได้ตั้งมั่นในความสุข ลูกประคํา 84000 จบ วันนี้เพิ่งได้ 40 จบ

           กรรมฐานมัชฌิมา
ในกรรมฐานยังไม่ให้ไปยุ่งกับความตาย หรืออสุภะ คิดว่าสองพระแรกคงไม่ต้อง ยุ่งรอคําสั่งครูบาอาจารย์ตามลําดับ
       อสุภะของครูบาอาจารย์ที่เคยเล่า ก็น่าจะเป็นทั้งมรณา และอสุภะ เรียกว่าป่าช้า 10สายเจโตป่าช้า 10 อย่างเดียวนะจะ เห็นในนิมิตเลย ครูเล่าว่า เห็นตัวเองตาย จะขอดูภาพ 1วัน หรือตาย1ปี หรือเห็นเป็นกองกระดูก และเห็นสลายไปในดิน เห็นของครูอาจารย์ ท่านสามารถจับต้องได้ และขอให้มีกลิ่นด้วยก็ได้ เรื่องอสุภะ เอาไว้ตอนจะเป็น พระอนาคา นะจ๊ะ

       กรรมฐานมัชฌิมาทุกห้องมีวิปัสสนาอยู่แล้ว ก็คือมีกายานุปัสสนาอยู่แล้ว ขึ้น อานาปา ก็มีความรู้ตัวทั่วพร้อม วิปัสสนาออกโดยความได้ลมนอก ลมใน อุเกขามีเิดทุกวินาที เป็นสติปัฏฐานในองค์ธรรมพระกรรมฐานในตัว ไม่ต้องไปเปรียบเทียบยกให้เป็นแบบสุขวิปัสสก เราเจโตๆๆๆรู้เองไม่ต้องมีใครบอก ได้มาเพราะมีครูกรรมฐานองค์เดียว รักครู และไม่ต้องการให้ครูเหนื่อยกับเราจงตั้งใจ

         อย่าเพิ่งไปยุ่งกับความตาย และ อสุภะ เดี๋ยวจะสลายปีติ เข้าห้องสี่ไม่ได้ กําลังไม่พอ
   เข้าห้องสี่ได้ ต้นจนจบแค่เคี้ยวหมากแหลก ก็อ่านดูตามสโรริกาญาณเลย หรือไม่ก็ไปฟังครูอธิบายในสัญญา 10 ก็ได้

     ศึกษากรรมฐานมัชฌิมาควรหมั่นพอกพูนศรัทธา ศรัทธาในพุทธานุสสติ นําให้ ไปถึงเมตตาเจโตวิมุติได้ ก็คือเชื่อใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
      เรื่องความตายกับอสุภะ เอาไว้ข่มจิต ระงับยับยั้งกิเลส ในชีวิตประจําวันได้ แต่ศิษย์กรรมฐานมัชฌิมาตอนภาวนาไม่ต้อง

          อย่าไปเอากรรมฐานสายอื่นมารวม
มันไม่ละเอียด นั่นไม่ใช่กรรมฐานมัชฌิมา มันไม่หมดจรด
         กรรมฐานบางสายเมื่อถึงลมดับแล้ว มันไปไม่เป็นนะซิจึงไปดึงโน่นดึงนี่มา ของเราไม่ต้อง เราดึงพุทธานุสสติมา ก็ไปได้ จะได้ถึงและขอให้ถึง เมตตาเจโตวิมุติกันทุกองค์ ไปดึงความตายหรืออสุภะมาสลายรูปนามกายจิต สลายกายสลายจิต ไว้รอให้ครูสอนได้เรียนกันหมด เรื่องการเผยแผ่ตอนนี้ต้องเอาชนะสื่อด้วย สื่อมันเเรง เทคโนโลยีมันสูง คนไปยึดสื่อ

     สมัยโบราณห้ามเผยแผ่ ห้ามตีสื่อ ต้องเรียนกับครู ได้ดีหมด มีสื่อไม่ได้ทําให้ฉลาดนะ โง่ขึ้น ติดอุเพงคาปีติ หลงในความคิดติดปีติองค์ที่ 4 จ้า ทิ้งความคิดเอาไปเพิ่มที่ศรัทธา จะได้มากกว่า ผมเคยเห็น อาจารย์เตือนบ่อย ขอให้เชื่อครูสําเร็จแน่ไม่ต้องไปดิ้น ที่ดิ้นไม่ใช่เราเป็นสังขตะในไฟ ขนิกกา ถ้าไฟมันเป็นไฟนํ้า ไฟสีฟ้า เค้าเรียกไฟเย็น กสินไฟมี 7 สี ครูบอกว่าไฟที่ร้อนที่สุดคือไฟสีฟ้า

พระพุทธเจ้าท่านเอาพญานาคลงบาตรได้ ไฟโกรธไฟสีแดงยังไม่เจ๋งเท่าไฟสีฟ้า ขนาดพญานาคยังต้องยอมสยบพระพุทธะ ถ้าอยากได้ของดี เราดีเองมันไม่หมดจรด ดีเองหลงตัวหลงกายหลงใจไม่หมด ทิ้งความคิด และฟังครู ก็ได้หมดอยู่แล้วไม่ต้องเหนื่อยคิดด้วยแค่ตั้งใจ

        ขอให้มีศรัทธา และเชื่อมั่น ในครูบาอาจารย์กรรมฐานมัชฌิมาอย่าแหกคอกเป็นใช้ได้ เรียนเท่าไหร่ก็สําเร็จหมด
                         ช่วงนี้ครูคงเข้านิโรธ ขอเสริมกําลังใจไว้เท่านี้.
                                                  ขอให้ได้ดีทุกท่าน
19  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การขอขมาจําเป็นต่อการภาวนา เมื่อ: กุมภาพันธ์ 12, 2012, 08:17:49 am
การขอขมาจําเป็นต่อการภาวนา
       เนื่องด้วยโทษบริภาษพระอริยะสงฆ์นั้น มีโทษ 10ประการ
    1.ผู้นั้นยังไม่บรรลุธรรมที่บรรลุ หรือที่บรรลุแล้วในคุณธรรมเบื้องตํ่า ก็จะไม่บรรลุในคุณธรรมเบื้องสูง.
    2.เสื่อมจากคุณธรรมที่บรรลุแล้ว มีโลกียฌาณ เป็นต้น.
    3.สัทธรรมของผู้นั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว.
    4.เป็นผู้เข้าใจตนว่าบรรลุสัทธรรมทั้งหลาย.
    5.เป็นผู้ไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์.
    6.ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง.
    7.ย่อมเป็นโรคอย่างหนัก.
    8.ถึงความเป็นบ้า จิตฟุ้งซ่าน.
    9.เป็นผู้หลงไหลในการทํากาลกริยา.
    10.เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบายภูมิ
   หากผู้ภาวนา ไม่ทําการขอขมา ก็จะถูกปิดกั้น ด้วยอกุศลกรรมนั้นๆ ดังนั้นผู้ภาวนา ต้องทําการขอขมา เพื่อมิให้คุณธรรมทั้งหลายถูกปิดกั้น.

    จากหนังสือคู่มือ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ
(ฉบับสําหรับขึ้นกรรมฐาน) เรียบเรียงโดยครูบาอาจารย์
20  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ความต่างในการควบคุมแสงสว่างรัศมี ของกรรมฐานแต่ละแนว เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 09:59:31 am
   จะขอยกเหตุเฉพาะผู้ที่ฝึกท่านั่งเท่านั้นนะ เพราะท่านั่งมีสับคืบ-เข้าคืบ มีการสับธาตุ
         ความชอบในพระรัศมี ต้องควบคุม เพราะเป็นการเข้าสะกด เข้าขณิกา ในตัว กรรมฐานที่มีแบบแผน เช่น กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ เน้นความหมดจด ทั้ง สังขตะ และ อสังขตะ หมดกิเลส ทั้งรูป นาม  เน้นการเข้าให้ได้ถึงขั้น 5 และเรียนส่วนพระลักษณะก่อน เพื่อละความชอบไม่ชอบ ผู้ฝึก 5 ขั้นมีการสะกดแต่ละขั้น ไว้โดยครู ธาตุไม่หาย เดี๋ยวจะเปรียบเทียบกับ กรรมฐาน อื่นให้ดูซัก1
        ธาตุ 5 ที่ครูสะกดไว้ สนับสนุน การเข้าห้อง 4 เข้าถึงฌาน เพื่อเข้าถึง รูปวัตถุ 16 ญาณสติ 200 ตรงนั้นที่ครูบอกว่า เป็นสมถะอย่างเดียว เพราะปราศจาก ปีติ ยุคคล ขันธ์มีกิจเป็นอันเดียวกันไม่ล่วงเกินกัน
          ครั้งอดีต ครูบาที่เรียน กรรมฐานนี้น้อยองค์ ที่ไม่ได้ ปฏิสัมภิทา มันเกียวกับธาตุ 5 ตรงนี้ด้วย ก็คือองค์ 5 ครูจึงจี้ให้เรียนพุทธานุสสติก่อน เพื่อไปถึงผลตรงนั้น เพื่ออะไร เพื่อ ละ ความชอบไม่ชอบ จาก กายา ทั้งรูปกายและนามกาย
          ธาตุ 5 มีธาตุสุข และความหมดจรดแทรกอยู่ พระที่ละเอียด หรือไม่ละเอียด ครูเล่าให้ฟัง ที่ดุก็มี ที่แบกกลดหนีก็มี แต่ก็ได้พระทั้งหมดนะ แต่ความหมดจรดมันต่างกัน ที่ธาต ที่ได้
         จิตที่เอารัศมีที่ธาตุไหนก็ได้วิปัสสนาญาน แค่ธาตุนั้น จึงต้องมี อุบายมาก เพื่อให้ได้ เข้าให้ถึงความละเอียดหมดจรด เพราะธาตุที่เสียไปไป หาก ได้ไม่ครบ 5 คือเสียธาตุสุขไปแล้ว
        เมื่อจิตที่เอาแสงสว่าง รัศมี ก็เท่ากับเข้าสะกดตัวเองในตัว
     ผู้ที่ฝึกตามครู กรรมฐาน มัชฌิมา นั้นไม่ค่อยมีปัญหา เพราะครูท่านจะสามารถ ปรับกรรมฐาน หรือ แก้ไขให้ได้ เพราะครูท่านจะได้ นวหรคุณ แทบทุกองค์
      ####################################
                   แต่สําหรับผู้ที่ฝึกเอง ที่ไม่มีครู ส่วนใหญ่ ก็จะมีกิเลส ด้านชอบไม่ชอบ อยู่มาก จึงต้องคุม ปีติ ยุคคล เอาเอง ในเรื่องความชอบไม่ชอบ ต้องคุมเรื่องรัศมีด้วย ไม่งั้นธาตุสุข อาจจะหาย และได้ไม่ครบ หายตอนไหน ก็เมื่อจิตไปเอารูปรัศมี ก็เท่ากับเข้าสะกดตัวเอง ก็ต้องพึงสนใจอยู่กับการงานกรรมฐานที่ตัวเองทําอยู่ รัศมีก็จะหายไป ต้องคุมเอง อย่าเพิ่งด่วนไปเอาแสงสว่าง หรือเพ่งกสิน มันยังไม่ละเอียด หากมีครูตรงนี้ ครูท่านดูให้ เข้าพระรัศมีจะต้องเข้าตรงหน้าครูจะดี กันวิปลาส 
         ท่านเคยสงสัยบ้างใหม ว่า พระอริยะ ทําไมจึงมีหลายอย่าง และก็สอนไม่เหมือนกัน ก็เพราะท่านสอน ตามที่ท่านได้ บางองค์มีตาทิพย์ บางองค์ไม่ได้ตาทิพย์ ที่ไม่ได้เจโตท่านก็สอน ไม่ให้ติดเรื่องฤทธิ์ ก็เพราะท่านไม่ได้ แต่ท่านก็เป็นพระอรหันต์สุขวิปัสสก นะ ทําไม จึงมี วิชชา 3  อภิญญา 6   มีปฎิสัมภิทาญาณ มันอยู่ที่ธาตุ ทั้งหมด
           ผู้ที่ฝึกกรรมฐานควรเก็บธาตุไปให้หมด ท่านนําธาตมาเกิด 5 ธาต แต่ท่านไปด่วนคว้า พระรัศมี บางที ธาตุสุขที่น่าจะได้มันหายไปสองธาตุ  เสียธาตหมดจรดไปเลย ได้มาเกิด 5 ธาต เสียไปเพราะกิเลส ความโลภ กลัวไม่ได้เห็น รัศมี
          พระอริยะทีดุก็มี ไม่ดุก็มีมันเกี่ยวกับธาต  บางองค์ท่านได้หมดจรดทั้ง5 ธาตุ ไม่นอน หรือ นอนไม่หลับทั้งคืน เยอะแยะไป ท่านไม่ได้ออกมา แสดงก็เพราะท่านหมดจรด โดยความได้ที่ธาต ทั้ง5 นี้แหละ
 ควรมาเรียนพุทธานุสสติ จะได้ไม่หลง ไปในความชอบใจ ไม่ชอบใจ
      จบแค่ห้อง 1 ครูก็สะกดไว้ให้ครบแล้ว ธาตุไม่มีหาย สําหรับศิษย์กรรมฐาน มัชฌิมา
       จบพุทธานุสสติ ได้ขึ้นอานาปาห้อง 4กันทุกคน เพราะธาตมี เพราะมีครู
       นี้คือ อานาปาในพระสูตร
              ผู้ที่ปฏิบัติอานาปาแบบดูลม ก็ชอบเอามาเทียบกับพระสูตรเช่นกัน แต่มันเห็นลม ได้ลม คนละอย่างบอกกันไม่ได้  เพราะผู้ไม่ได้ถึงบอกไปมันก็ไม่รู้
        ติดรู้ติดตํารา อุปทานมันเยอะ
ควรมาทําความรู้จักธาตุรู้จักรูปนาม ก็คือ มาเรียน พุทธานุสสติแล้วไม่หลง ไม่สงสัย ไปตามลําดับ
           สนใจเรียนกรรมฐานนี้ ไปคณะ 5 วัดราชสิทธาราม พระอาจารย์กรรมฐานท่านใจดี ใครไปกราบสมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน ในช่วงนี้ ก็เป็นมงคลหลังปีใหม่ มีไก่แก้ปีชง วันนั้นผมได้รับมา 1 องค์ หรือใครจะดูไก่จริงก็มี ขอให้โชคดีทุกท่าน

21  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทําไมปฏิบัติธรรม จึงเห็นทุกข์เพิ่มขึ้น. เมื่อ: มกราคม 21, 2012, 09:46:13 am
       การปฏิบัติธรรมก็คือการรวมจิต หรือรวมการปรุงแต่งที่มีทั้งหมด เพื่อปล่อย เพื่อทําลายทุกข์นั้นทิ้งไป เพื่อดับ และไม่ให้กําเริบขึ้นมาให้ทุกข์อีก เพื่อไม่เห็น ไม่มี ไปจากใจ
        ในพระปีติ 5 คือการรวมรูป และ นาม เพื่อศึกษา การรวมจิต และ ปล่อยจิต ธาตุ เค้าทําหน้าที่ของเค้าเอง แต่ให้เข้าใจไว้ว่าทุกข์ที่ว่า จะต้องถูกบําบัด และถูกรักษา เพราะ การปฏิบัติธรรม ก็คือการรักษา โรคที่เป็นทุกข์ เพื่อไม่ให้มี ไปจากใจ
         ในพระปีติ 5 คือธาตุ พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ นั้น มีทั้ง องค์ธาตุที่เป็นรูปกรรมฐานหรือ สมถะ อย่างเช่น พระ ขุุททกา ธาตุดิน(ฐานที่ 1) อยู่ใต้นาภีใต้สะดือสองนิ้ว นั้น สร้างให้เรามีความวิตก ความตรึกนึกคิด สติ
        รูปกรรมฐานสมถะ ฐานที่ 2 พระขณิกา ธาตุไฟ(ฐานที่2) ความอ่าน เราฉลาดขึ้น และมีสุขและทุกข์มากขึ้นเป็นธรรมดา เพราะการเลือกเฟ้นธรรมทั้งหลายเพื่อเป็นสุข เพื่อมีความสุข ฐานธาตุไฟ เป็นธาตุความรู้ ความอ่าน เป็นการรวมทุกข์ เป็นที่รวมจิตสังขารทั้งหลายทั้งปวง ภาษามนุษย์ รวมความทุกข์ที่เราปรุงแต่ง ไว้ด้วยกัน เพื่อดับ คือรวมโลกียะกิเลสทั้งหลาย เรียกว่าการตั้งภพ ฐานนี้ทํางานต่อเนื่องมาจากฐานธาตุดิน ทุกฐานธาตุ ก็เหมือนคนที่มีงาน มีหน้าที่  การปฏิบัติธรรม เมื่อเรา อยู่กับการงาน ฐานธาตุ เค้าก็ทํางาน
     กรรมฐาน การสร้างความดี เพื่อให้ถึงสุขใช้กระบวนการ ธาตุล้างธาตุ ในห้องพระลักษณะ เราต้องมาทําความรู้จักธาตุ กันก่อน ตอนที่ต้องการผ่าน ต้องแจ้ง อารมณ์ กับพระอาจารย์ เอาเอง ใครได้เลื่อนไว ไม่ไว อยู่ที่ ความตั้งใจของท่าน
          สององค์นี้คือการตั้งภพ ยังไม่มีปล่อย เพราะธาตุปล่อยเป็นองค์ที่เหลือในพระปีติ 5 อีกสามองค์
        ธาตุปล่อยคือส่วนที่เป็นนาม หรือธาตุสุขจัดเป็นธาตุ ส่วน อรูปกรรมฐาน
         ฐานที่3 พระโอกกันติกา ธาตุนํ้า  จัดเป็นธาตุวิปัสสนาในรูปกรรมฐาน และส่วนวิปัสสนาในอรูปกรรมฐานธาตุนี้ ทําหน้าที่ทั้งสองฝ่าย เป็นธาตุปล่อยวางจิต เป็นธาตุที่มีมากในร่างกายมนุษย์ ธาตุนํ้ามีถึงุ 60 เปอร์เซ็นต์ ของร่างการ เป็นธาตุสุขธาตุ แรก ควรตั้งใจ และเข้าให้ถึงธาตุสุข
         หน้าที่ของฐานนี้ ปล่อยวาง ปล่อยทิ้ง ปล่อยทุกข์ อย่างเดียว ลองเทขันนํ้าดูซิ นํ้าไหลลงอย่างเดียว ไม่มี ลุกขึ้นเหมือนธาตุไฟ
     พระพุทธองค์ยกตัวอย่างธาตุทั้ง 5 ไว้กับสิ่งที่เห็นง่าย
          เช่นดิน ไฟ นํ้า เป็นรูป แต่นํ้าเป็นอรูปด้วย ส่วนลมอากาศ เห็นยาก เป็นนามเป็น อารมณ์ หรือกรรมฐาน อารมณ์ จึงเรียกว่า อรูปกรรมฐาน
        เมื่อตั้งรูปกรรมฐานได้ รูปกรรมฐานนี้ ก็เข้าไป สนับสนุน ส่วนที่ ไม่มีรูป ให้สมบูรณ์ ทําให้เรา สามารถ มีวิตกวิจารย์ ความคิด ความอ่าน ไปเห็น ได้ทั้ง นํ้า ทั้งลม ทั้ง อากาศ
         ปีติ ทั้ง 5 ทําหน้าที่ ต่อเนื่องกัน เป็นลําดับ  และสนับสนุนกัน เป็น วัฏจักร
       ธาตุวิปัสสนาที่ไม่ได้อธิบาย เป็นธาตุ สุข สุข สุขทั้งหมด สุขเพิ่มขึ้นไม่อธิบาย
          แต่โดยหลัก ได้กําเนิดความปล่อยเป็น มาแต่ ธาตุนํ้า ที่ฐาน 3
         การเรียนปีติทั้ง 5 คือทําความรู้จักรูปและนาม จริงๆก็คือรู้จักการ ตั้งจิต และปล่อยจิต เป็นการเรียนรู้หน้าที่
    แต่การจะได้เลื่อนขั้นไว ต้องส่งอารมณ์กับครูบาอาจารย์
        ส่วนการล้างธาตุ และเสริมธาตุ เป็นกรรมฐาน กองต่อๆไป
        เข้าให้ถึงทุกข์ รู้จักทุกข์ ปล่อยทุกข์
        รูปนาม หรือธาตุ เค้าทําหน้าที่เอง
        เราเพียงเป็นผู้เริ่ม ทํางาน
    การฝึกก็เหมือน การเริ่มเล่นกีฬาประเภท 1 มันก็ต้องมีหมดเวลา เลิกแข่ง
       ธรรมชาติของจิต เมี่อเข้าถึงจิต ไม่เอาทุกข์ไว้
เพียงแต่ให้เราอยู่กับการงาน....เอาจิตทํางาน ขอให้มีความสุข กันทุกคน
22  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คลายปมด้วยเมตตา อย่าคลายเค้าแต่ผูกเรา เมื่อ: มกราคม 15, 2012, 12:30:32 am
บางที ในการทํางานทุกเรื่องก็ต้องมีอุปสรรค ทําไม่ดี ก็ถูกว่า ทําดี ไม่มีคําชม จะชมไม่ชมเราผู้ปฏิบัติต้องละสุข
                  ในคําด่าคําชม นั้นมีไว้ ปลุกธาต เราจะได้มีแรงลุกขึ้นมา ทํางานต่อ ดีนะ มีผู้ตั้งธาตุไฟให้ ถ้าตั้งให้เราทุกวันตอนเช้า จะได้ไม่ต้องหุงข้าวกิน
           เราเองก็มาจากผู้ ไม่รู้อะไรเหมือนกัน คนหลายคนเค้าก็มีสิทธิ์ ไม่รู้ได้
        เราต้องช่วยมนุษย์เหมือนเราทุกคน คงไม่ต้องแยก เราก็ไม่ได้วิเศษมาจากไหนเน๊าะ เอาเป็นว่าช่วยกันแก้กรรม ตามสิ่งที่เห็นไป เจือด้วยเมตตา
      แก้กรรมอย่าไปเจือ ขณิกา เดียวผู้ที่เราจะช่วยเค้าจะร้อน จงใช้ไฟนํ้าไฟลม ไฟอากาศ ดีน่าของดี เข้ากรรมฐานจะได้ไม่มีภาพ เพราะไม่มีเจตนา
       พระพุทธเจ้าดูตอนที่ท่านไปช่วยโจรป่า ท่านใจดี มีเมตตาสูงมาก เกือบจะฆ่ามารดา โจรเกือบจะไม่ได้ อุปนิสัยสมาบัติซะแล้ว
       บางทีเค้าว่า เค้าก็ไม่ได้มาฆ่าซักหน่อย จงคลายปมไปช้าๆเหมือนเกลียวเชือก อย่าไปกระตุกปม บางทีอาจจะแก้ยากกว่าเดิม
      มนุษย์ทุกคน เป็นฝ่ายเดียวกับเรา เราต้องช่วยแก้ ช่วยคลาย และสุดท้ายก็ช่วยขนไปกับเรา
การฝึกกรรมฐาน ไม่จําเป็นต้องรูปแบบ ในความคิดผม ต้องการใช้ความถนัด เฉพาะหน้า วสีที่ครูให้สั่งสอนบ่มมา
ฝึกนอกวัดมีโจทย์เยอะดี ครูอาจารย์ท่านจัดไว้ให้เลย จะได้โดน เยอะๆ มันกว่า
     งานเว็ปเป็นโจทย์ได้อีก ต้องรีบพลิกให้เป็นโอกาส ต้องขอบคุณพระพุทธ ศาสนาพุทธที่ให้เรา ได้ภาวนา ภาวนาไป แล้วก็ดูของจริงไป ตอนที่ดูของจริงก็อย่าลืมดูจิตด้วย มีสติก็สักว่า ช่วย ช่วย ช่วยแก้กรรม ไม่เพิ่มกรรมให้เค้าและตัวเรา เมตตาๆๆๆ
  ความเห็น ความเห็น ปฏิบัติเพื่อละมิจฉา ปฎิบัติเพื่อเอามรรคผล 24ชั่วโมงคือเวลาปฏิบัิต หรือว่าใครยังคิด แบบอื่นอยู่ ไม่รู้นะ ก็แล้วแต่ความเห็น เปิดตาในไว้ พลาดเผลอ ตอนไหน คืนนั้น มันตามไปเข้าภาวนาด้วยทุกที ต้องกลับมาแก้ให้ถูกคนด้วย ไม่ถูกคน หรือฟอร์มอากาศเอาลมเข้าลู่ก็ไม่หาย ต้องแก้ถูกคนที่เราสร้างไว้ จิตมันรู้ ว่าถูกไม่ถูก มันไม่ยอมเราหรอก ถ้าถูกคนมันยอม มันปล่อยเรา
         ทุกข์ที่เราสร้างขึ้น ต้องแก้อารมณ์ด้วยตัวเอง นักปฏิบัติทําแบบนี้ให้เก่ง รับรองอย่าง ว่ามันจะไม่ไปทําอะไรเพิ่ม สมาธิฟู กิเลสเข้าได้ยาก ถึงเข้าได้ เราก็มีวิธี ภาวนา กรรมฐาน มัชฌิมา อย่าทิ้ง รับรองไม่บ้า อย่างที่เค้าว่า หลังพระอาจารย์บวช ไม่กี่เดือนผมก็ได้เข้าศึกษา วัดพลับ ก็ไม่รู้จัก พระอาจารย์พาไปทั้งหมด พาไปกราบ สมเด็จพระสังฆราช(สุก)ไก่เถื่อน   และได้สั่งสมวิธีการให้
           ปีแรกๆฝึก 2 เวลา คํ่า และช่วงตี 2ประมาณแบบนี้ 2 ปี ก็หันมาเพิ่ม ในทุกอิริยาบท ที่ทําได้ ในโลกธรรม ลับหลังที่ไม่ได้ยินเค้าว่าบ้าทั้งนั้นแหละ เราก็ทําของเราไป อย่าไปสนใจเลย เราเห็นผลของเรา และเราก็ยังมีครู คอยกํากับวันนี้สบายดี โชคดีที่ไม่รู้ว่าบ้าเป็นยังไง ผมทํางานบริษัทงานหนัก ช่วงฝึกต้นๆง่วงนอนมาก แต่เป็นคนชอบกินกาแฟ เพราะปีติชนิดซองมันมี จึงบ่ยั่น
   ขอให้ทุกท่านเข้าให้ถึงความสุขสดชื่นแจ่มใสสมใจ ทุกรูปทุกนามด้วยเทอญ
     ขอถวายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สมเด็จพระสังฆราช(สุก)ไก่เถื่อนและพระอาจารย์กรรมฐาน.
 อยากปฏิบัติธรรมไปคณะ 5 วัดราชสิทธาราม ฝั่งธน ของดียังมีอยู่
23  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ปลุกขวัญกําลังใจ. เมื่อ: มกราคม 14, 2012, 12:17:50 am
ก็เท็จเป็นจริง ก็จริงเป็นเท็จ
 ยืนยันเบ็ดเสร็จ  ว่าใช่ไม่ใช่
 อวดรู้ตู่เข้าข้างใด  จะใช่ไม่ใช่ก็ไม่สําคัญ
 ของคู่ไม่มีในว่าง  ถ้ามีไม่วางผิดทั้งขาวดํา
 ระหว่างยึดถือกับปล่อย  เอียงซ้ายขวาเล็กน้อย ไม่ได้ต้องระหว่าง
 พระพุทธเจ้านิพพานตรงกลาง  พระพุทธเจ้านิพพานตรงกลาง
 จะเอียงขาวเอียงดํา เอียงดีชั่วไม่มี
อนัตตายืนยันใดไม่มี จะข้างโน้นข้างนี้ไม่มีอนัตตา
อนัตตาไม่สรุปอารมณ์ใจ อนัตตาไม่สรุปอารมณ์ใจ
 ยืนยันรู้ใด  ก็ไม่เป็นอนัตตา
 ของคู่มีอยู่เป็นหมื่นพัน ยืนยันอย่านั้นมันก็เป็นเรา
ติดรู้ติดคิดคือเก่ง ติดสุขนั่นเองมันก็เป็นเรา
นิโรธจะเกิดได้ใหม นิโรธจะเกิดได้ใหม
สักว่า...ใส่ไป   มันก็ไม่ใช่เรา
ดีชั่ว ผิดถูก ชั่วดี  ดีชั่ว ผิดถูก ชั่วดี
ยืนยันแบบนี้ ไม่มีอนัตตา
เมื่อไหร่จะได้ลมดับ เมื่อไหร่จะได้ลมดับ
คิดยังไม่ดับ  ลมดับได้ไง
ลมดับพระเริ่มเข้าใกล้ ติดรู้ยังไม่ไปพระที่ไหนจะมา
เห็นไม่ตรงก็ได้เข้าปีติ แล้วก็ปล่อยปีติตอนที่มันเลิกลา
ตอนนั้นมันวางอุเบกขา แต่เดี๋ยวมันก็มาเพราะมันยังไม่ตาย
มัชฌิมาเค้าทําไม่เห็นเลย เอาละเพื่อนๆเอ๋ย  ไปที่คณะ5
วัดราชสิทธารามนั้นหนา วัดราชสิทธารามไปน่า
กรรมฐานมัชฌิมา  ฝึกแล้วสบาย
ขึ้นกรรมฐานกราบพระสังฆราช(สุก) ครูใหญ่แห่งยุคไปกราบท่านไวๆ
แล้วจะรู้ว่าเกิดมาไม่เสียหลาย ถึงแม้ตายไปก็คือศิษย์มัชฌิมา
ต่อยอดกันที่ชาติต่อไป หรือจะเอาไวๆก็ชาตนี้เลยนะ
ก็ไปสร้างพระพุทธมัชฌิมา  ก็ไปร่วมสร้างพระพุทธมัชฌิมา
29มกรา.......ไปกันทุกคนนนนนนนนนน
...........การเชิดชูพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และนํา ศิล สมาธิมาปฏิบัติคือทางสายเอกให้ถึงผลปัญญา
            ใครกล่าวตู่ ดูหมิ่นธรรม พระพุทธองค์ อย่าเลยนะเดี๋ยวจะได้ไม่คุ้มเสีย
                ศรัทธาเป็นตัวนํา ให้ถึงพุทธานุสสติ กายพุทธะ
                               

                                   
24  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ความเกิด "ทุกครั้ง" มีนํ้าตา..รออยู่ เมื่อ: ธันวาคม 16, 2011, 04:45:10 pm
มาตรงวันนี้ ก็ยังไม่สาย ที่จะหาแนวทางหรือวิธีปฏิบัติกัน ก็โชคดีแล้วที่เราได้เกิดมาเป็นผู้ที่ปฏิบัติได้ ..เราคือมนุษย์ ครั้นเราก็ยังได้พบพระศาสนานี้
      พระเจ้าอโศกมหาราช เล็งเห็นแล้วว่าในกาลข้างหน้า พุทธศาสนา ในอินเดียแผ่นดินแผ่นดินพระพุทธบิดา ใกล้จะถึงคราวอนัตตา พระองค์พระเจ้าอโศก จึงเร่งให้มีการทําสังคายนา ให้เป็นบันทัดฐานเดียวกัน เพื่อจุดประสงค์ จะกระจาย พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ของพระพุธเจ้า ไปเติบโตยังถิ่นแดนไกล แบ่งเป็น เก้าทิศ เก้าสาย
       
     การทําสังคายนา แปลว่า สวดพร้อมกัน ก็คือ ก็คือ ทําให้เข้าใจว่าเป็นอันเดียวกันก่อน พระเจ้าอโศกทรงสั่งคัดเลือกพระภิกษุ จากที่มีอยู่ในอินเดีย ประมาณ หกสิบแสนรูป คัดให้เหลือเอาแค่ 45 รูป
     45 รูปนี้ ต้องเป็น พระอรหันต์ อภิญญา ปฎิสัมภิทา ทั้งหมดตํ่ากว่านี้ไม่เอา ก็คือพระอรหันต์แบบอื่นไม่เอา เพราะมีพระอรหันต์สุขวิปัสสก ท่านไม่มีตาทิพย์ เดี๋ยวจะไปขัดกันเองในการทําสังคายนา ว่าผีไม่มี เทวดาไม่มี
     45 รูปนี้ แบ่งเป็น เก้าสาย หารด้วยเก้าได้ สายละ 5 รูป 5รูปไปทางทิศใดก็สามารถทําสังฆกรรม อุปสมบท บวช เพศชายที่ศรัทธาในศาสนานี้ได้แล้ว
      การทําสังคายนา คือสวดพร้อมกัน ถ่ายทอด ซักซ้อม ต่อกันด้วยปาก จํากันด้วยความจํา 45รูปจํากันแบบนี้ทั้งหมด  พูดคําเดียวกันเหมือนกัน
      เช่น นะ นะ นะ นะ เอานะคําเดียวก่อน ถ้านะไม่ได้ ทั้ง45รูป คําว่าโม "ก็ยังไม่มี" เอาทีละคํามิให้เพี้ยนเลย
พระเจ้าอโศกแบ่งผู้สืบทอด กัมมัฏฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ เป็น 9 สาย
       
      พระโสณะเถระ พระอุตตระ และอีกสามท่าน จําไม่ได้ รวมเป็น 5 มายังบ้านเรา คือ ดินแดน สุวรรณภูมิ
      กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ท่านเเป็นผู้มาขยับ มาปัด มาเป่า พระพุทธศาสนา ในดินแดนนี้
          พุทธาภิถุติง
          ธัมมาภิถุติง
          สังฆาภิถุติง
  ก็เริ่มเป่า ขยับมาจากท่าน และโชคดีที่เราทุกท่าน ยังสามารถ เข้าศึกษา กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ของพระพุทธองค์ได้อยู่
       เมื่อครั้งที่มาถึง สมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน พระเจ้าแผ่นดินเข้มงวด กลัวรูปแบบ กรรมฐานมัชฌิมา จะผิดเพียน มีการทําสังคายนาอืกครั้งตอน รัชกาลที่ 2
 และสั่งห้ามสอนกรรมฐาน พระใดไม่มีใบตราตั้ง ในสํานักหลักที่พระเจ้าแผ่นดินตั้งไว้ แค่ 2 แห่ง
     ห้ามบอกห้ามสอนกรรมฐาน จะถูกจับสึก และ ถูก อาญาแผ่นดิน
ประมาณพอศอ สองพันสี่ร้อย พระภิกษุมากมายต่าง หลั่งไหลเข้ามา พระนคร มาที่ ว้ดพลับ วัดราชสิทธาราม มายังสํานักสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน
      ระยะหลังๆปลายรัชกาลที่4 พระเจ้าแผ่นดินท่านปล่อย เรื่องสอนกรรมฐาน ไม่เข้มงวด ใครจะสอนก็ได้
     ปัจจุบันไม่ต้องพูดถึง แล้วแต่ศรัทธา แล้วแต่ตา เลือกที่เรียน ที่ชอบใจ ได้ ตามสบาย
     แต่หากผู้ใดสนใจกรรมฐานนี้ เมื่อทราบประวัติ อยากมาก็เชิญมา
     ให้ไปขึ้นกรรมฐานที่ วัด ราชสิทธาราม มีพระอาจารย์จิ๋ว ไปที่คณะ 5
       อย่ามัวลังเลสงสัย มีแต่จิตเท่านั้น ที่เดินทาง ความเกิด ทุกครั้ง มี นํ้าตา รออยู่
                          ศิษย์ธัมมะวังโส อาโลโก
25  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / จงเลือกเหตุ(มรรค)...ถ้าเหตุถูก(ผล)มี เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2011, 11:06:20 am
         ถ้าจะเอาเห็นผล ต้องดูที่เหตุ   ถ้าเหตุถูกผลต้องเกิด มีได้ เป็นได้
     เช่นเด็กนักเรียน ถ้าไม่ตั้งใจเรียน ไปคัดลอกเค้ามา ไม่ได้ทําเอง ถึงรู้ก็รู้แบบจําเค้ามา ถ้าจะให้อธิบายวิธีทํา ก็อธิบายไม่ได้หรอก เพราะลอกมา ลักจํามา ก็เลยรู้ไม่หมด เพราะไม่ได้รู้เหตุ(วิธีทํา)รู้แบบปริยัติ อุปปาทาน ตายนํ้าตึ้น ไม่มีที่มาที่ไป  แบบนี้สอนคนอื่นไม่ได้
    ผลนั้นได้กับตัวเอง    จะสูง จะตํ่า อยู่ที่ทําตัว จะดี จะชั่ว อยู่ที่ตัวทํา
        พระพุทธองค์ ตรัส ศิล สมาธิ ปัญญา คือแนวทางไปสู่ความสุข
    มีทาน ศิล สมาธิ เป็นมรรคทาง  ปัญญา คือ ผล  มรรคคือทางเดินไปสู่ผล
    จุดเริ่มต้นกรุงเทพ-ไปถึงเชียงใหม่ ยังไป ไม่ถึงแต่เอาเรื่องเชียงใหม่มาคุยแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่เคยไป เมื่อถามว่า ผ่านตรงนั้น ตรงนี้ เห็นอะไรมั๊ย ก็ไม่รู้ ตอบไม่ได้ บอกไม่ได้ สอนไม่ได้ แต่ตอบเชียงใหม่ได้ รู้แบบปริยัติ จําเค้ามาตอบ รู้แบบนึกคิด รู้แบบสัญญาความจํา ไปจําพระเทศน์มา ไปจําหนังสือมา
   แต่ทุกข์ที่กาย-ที่ใจยังเห็นอยู่ ธาตุยังผัดผันยังแปรปรวน ยังไม่สามารถทําให้ ดิน นํ้า ลม ไฟ เสมอภาคกันได้.
   ใช้ความคิด ออกจากทุกข์ ไม่ได้ แม้จะบําเพ็ญ อิริยาบท อันใด ทุกข์ก็ยังเข้ามาเยี่ยมกราย
   พระพุทธองค์บําเพ็ญทุกกริยา คือ ทําทุกอย่าง ในทุกอิริยาบท จึงเรียกว่า ทุกกริยา ทําทุกอย่าง พระองค์เสียเวลาอยู่ 6 ปี ทรงบําเพ็ญแบบนี้อยู่หกปี  รวมถึงอดอาหารร่างกายผ่ายผอม.
   ทุกท่านลองคิดดู  บารมีพระพุทธเจ้าของเรา มีมากมายพรรณนาทั้งวันทั้งคืนยังไม่หมด
   ถ้าการกําหนดอิริยาบทในชีวิตประจําวัน ทําให้บรรลุได้ พระองค์คงไม่เลิก ถอน เมื่อผู้ที่ปกปักษ์รักษาสงสารพระองค์ ทนดูมิได้ จึงเอานิมิต พิณ 3 สายมาบอก
              พระองค์ได้อธิฐานกับถาดใส่อาหาร พระองค์จึงทรงทราบว่า ในกาลข้างหน้า พระองค์ต้องได้ตรัสรู้อย่างแน่นอน
     หลังจากนั้น พระองค์ก็ได้รับถวายหญ้าแฝก 3 กํา ใช้ปูรองนั่ง ทรงเลือกท่าขัดสมาธิ พระองค์อธิฐานว่า ไม่ลุกขึ้น แม้ร่างกาย แตกดับ
     จนกระทั่งพระองค์ค้นพบอริยสัจน์ 4   
           นักปฏิบัติทั้งหลาย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อะไรเริ่มก่อน มรรคผล มิได้มีเกิดขึ้นได้เลย พระองค์ เรียงไว้ให้แล้ว ท่าขัดสมาธิ คือวิธีบําเพ็ญที่พระองค์เลือก มีคําว่า ศิล สมาธิ ปัญญา เป็นทั้งมรรค เป็นทั้งผล อยู่ในตัวอยู่แล้ว
     ผลนั้น คือ ตั้งแต่ พระโสดาบัน ขึ้นไป
            อย่าลืม ไปขึ้น กรรมฐาน ที่ วัดราชสิทธาราม ไปที่คณะ 5  ท่านจะได้กราบ สมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน บูรพาจารย์ผู้ทรงในบารมีธรรม
                              ขอบารมีท่านนําทางสู่แสงสว่างสุข 
         ศิษย์ธัมมะวังโสอาโลโก
26  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / กัมมัฏฐาน คือ งานสร้างฐานความดี เมื่อ: ตุลาคม 29, 2011, 06:24:23 pm
มีเสียงวิตกวิจารย์ ถึงครูบาอาจารย์ ด้วยรูปแบบต่างๆ กันสรุปว่าเป็นเสียงปีติ 5 อันผัดผัน โต่งข้างสุขทุกข์ก็มาก โต่งข้างประคองไว้ก็มี ได้คะแนนเท่ากัน คือความเห็นนั้นเป็นอนัตตา เป็นศูนย์คือไม่ได้อะไร เดี๋ยวถึงเวลาท่านก็ออกมา..... ย้อนไปดูกันหน่อย ตอนที่พระอาจารย์ท่านอยู่เราทําตามที่ท่านบอกหรือเปล่า และตอนที่ท่านไม่อยู่ เรายังคงไว้ซึ่งคําสอนของท่านหรือเปล่า(ตอบไม่ได้) เอาไปทํากันหรือเปล่า สร้างงานของความดีกันหรือยัง เริ่มหรือยัง...กัมมัฏฐาน ฐานของความดี มีแต่จิตเท่านั้นที่เดินทางอย่างอื่น เรื่องอื่นคือติดในสมมุติ เรื่องศิล สมาธิ ปัญญา ไปวิมุติ.....อย่ามัวติดวิจิกิจฉาลังเล ติดไม่วางถือตัวหลงสักกายหลงตัว...จะเสียเวลาไม่ได้ไปเที่ยวนี้นะจ๊ะ.....ก่อนที่พระตถาคตจะเสด็จดับขันธ์ ท่านทรงตรัสว่า"ถึงตอนที่พระตถาคตไม่อยู่ พระธรรมก็คือตัวแทนของพระศาสดา แทนเราตถาคต"ฉะนั้น ศิล สมาธิ ปัญญา คือทางเดิน คือมรรค อย่างอื่น ไม่ใช่มรรค ความคิดไม่ใช่มรรค เชื่อความคิดติดความเห็น อาจจะขวางกั้นคุณธรรมที่อาจมีได้ เป็นได้ อย่าปิดกั้นความดีของตัวเอง ให้เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ที่มั่นคง อํานาจพระพุทธานุสติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนุนเราจวบถึง พอศอห้าพัน...อย่ามัวหลงไหลไปในกระแสโลก คือภพสาม ความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ เฉยนี้อย่าเข้าใจว่าเก่ง เพราะเตรียมที่จะเป็นสุขกับเป็นทุกข์...ส่วนผู้ที่ได้ปฏิบัติอยู่แล้วก็ดีอยู่แล้ว เพราะได้เข้าปีติ ได้ล้างสังขต ฟอกธาตุ ล้างธาตุ กันไป ทําต่อเนื่องทุกวันนะ เบาบางเอง เห็นเอง กระบวนการ ธาตุล้างธาตุ ก็จะดําเนินไปตามระบบของเค้าเอง  เราแค่ทําเป็นก็เป็นพอ เดียวได้เอง ได้อะไร คนที่ปฏิบัติอยู่แล้วคงพอเข้าใจ ระบบของ ศิลสมาธิ ปัญญาในที่นี้ พูดถึงเฉพาะศิษย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ เท่านั้นนะ กรรมฐานอื่นเราไม่ไปกล่าวล่วง เราทราบจุดมุ่งหมายของเราก็เพียงพอ สําหรับผู้ที่สนใจมาใหม่ ขอเชิญไปขึ้นกรรมฐานที่วัดราชสิทธาราม ที่คณะ 5 ได้กราบ บูรพาจารย์พระอาจารย์กรรมฐานยุคตันกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านคือ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน" เวทาสากุ กุสาทาเว ทายะสาตะ ตะสายะทา สาสาทิกุ กุทิสาสา กุตะกุภู ภูกุตะกุ"แล้วจะรู้เองว่าได้อะไร เกาะธรรมยังดีกว่าเกาะกิเลส เกาะธรรมได้เห็นกิเลสนอนตาย..ไปไว ได้ทํา ไปช้า ยังไม่ได้ทํา-ความดี ไม่มีขาย ต้องทํา ทําแล้วรู้ได้ด้วยตัวเอง ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ-ทําให้ได้ถึงที่สุด"ไม่ตาย ไม่เกิด" เช่นสิ่งสองสิ่ง ความสงสัยกับความสงบระงับ อย่างไหนดีกว่า รู้กับไม่รู้อย่างไหนดีกว่า มีกับไม่มีอย่างไหนดีกว่า ไม่เอากับเอาอย่างไหนดีกว่า ใบไม้ทั้งป่ากับใบไม้กํามือ อย่างไหนมากกว่า มีความเห็นกับหมดสงสัยอย่างไหนสงบระงับ ตอบตัวเองได้ตามกระแสจริต......ขอให้ถึงความสุขกันทุกรูป-ทุกนาม อย่าลืมฟอกธาตุล้างธาตุกันเน้อ...
                        ศิษย์ธัมมะวังโสอาโลโก
27  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การกําหนดอิริยาบท ไม่ทิ้งกายหลงกาย เมื่อ: ตุลาคม 05, 2011, 11:40:39 am
การกําหนดรู้ ในชีวิตประจําวันจิตเพลิดเพลิน อยู่ในปีติในส่วนนามกาย และติด นิกันติ ในวิปัสนูปกิเลส ...การกําหนดอย่างนี้ ดับกิเลสได้ชั่วคราว เป็นครั้งๆคราวๆไป ที่ว่าสุขคือเพลินอยู่ในลมความคิด เพลินอยู่ในปีติ และผ่านไปจากหมวดกายไม่ได้ ก็คือ ที่จะพ้นข้ามเวทนา สุขทุกข์ คงไม่ผ่าน เพราะติดอยู่ในกาย ขั้นจิต ขั้นธรรม ไม่ต้องไปนึกถึง เพราะเรื่องจะผ่านขั้นกายยังทําไม่ได้เลย ติดอยู่แค่อิริยาปทบรรพ เป็นหนึ่งในหมวด กายานุปัสนาสติปัฏฐาน คือหลงอยู่ในกาย....อย่าไปเรียกว่าเป็นสติปัฏฐาน4 นะเดี๋ยวจะหลงต้องมาเกิด และสุขทุกข์ก็ไม่ดับ ยังมีให้เห็นทุกวันอยู่แล้ว ปฏิบัติหวังเอามรรคผล พระพุทธองค์ บอกไว้อย่าให้เกิน7ปี.....ใครทํามาเกินนี้ให้ถอย รีบเปลี่ยนกรรมฐาน....เชื่อพระพุทธเจ้าใหม..พระพุทธองค์ว่าไว้พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง บางพวกว่าสายสมาธิทําให้ติดสุข ก่อนจะทิ้งสุขมันต้องรู้จักสุขก่อน สมาบัติแปดคือการเรียนรู้นามสุข คือนามกายและคือ องค์ประกอบแห่ง ปฏิสัมภิทามรรค องค์ฌานคือการเรียนรู้รูปกาย....การฝึกกรรมฐานแบบเข้าปีติ5 ก็เพื่อ ถึงกาย และจิตนั่นคือฌานและสมาบัติ(ได้เรียนความถือ-ความปล่อย)หรือรป-นาม เรียกได้หลายอย่าง รูปนามกายจิตก็คือปีติ5อันเดียวกัน....ติดสุขสมาธิ ก็เพื่อนําถึงสุขพระนิพพาน....เพราะพระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง หรือใครจะคัดค้านพระธรรมคําสอน...ไม่ต้องกลัวติด พระอาจารย์กรรมฐาน ท่านมีอุบาย คือกรรมฐานต่อเนื่องให้อีก เรื่องติดไม่มี...คําว่าติดสุขคงเป็นคําคม ของผู้ทําไม่ได้และถูกใช้มานานสืบทอดกันมา.........อย่าลืมไปขึ้นกรรมฐานที่คณะ5 วัดราชสิทธารามได้กราบบารมีสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน.....ขอให้โชคดีมีปราโมทย์กันทุกรูปทุกนาม..
28  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การทําให้เกิดมรรค -ผลแค่...พระโสดาบัน อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นเรื่องง่าย. เมื่อ: กันยายน 03, 2011, 10:25:36 pm
:035:การปฏิบัติบูชาเป็นเรื่องของการละกิเลส หรือล้างปีติ ฟอกธาตุ เพื่อทําลายความหลงอยู่ในสุข-ทุกข์-ไม่สุขไม่ทุกข์ คือภพ 3 ด้วยการรู้ได้ตามครูผู้สอน ไม่ใช่รู้เอง เพราะรู้เองเป็นกิเลส รู้แล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด...ไม่ได้อะไร...หากทําไม่ถูก กิเลสก็ไม่ได้ตายจริง วันต่อไปก็ยังเห็นว่าความทุกข์ยังมีให้เห็น เกิดมาแล้วเสียเวลาต้องมาเกิดอีก อย่าเพิ่งไปฝันว่าจะเป็นพระใหญ่ แค่พระโสดาบันยังทําไม่ได้เค้าเรียกฝันเฟื่อง(หลงอยู่ในปีติ)บอกได้เลยว่า หากใครเป็นแบบนี้ อุปจาร ก็ยังไม่ได้รู้ไว้ด้วย การรู้ปริยัติมาก บางทีมันทําให้ฟุ้ง การคาดคะเนคือวิจิกิจฉา ทําให้มีปลิโพธิความกังวล ไม่สามารถรวมปีติ องค์5 ได้ บาทฐานของอุปจาร ฌาน ก็จึงไม่เกิด หรือบางคร้งเกิด ก็ไม่รู้เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ผู้บอกว่าได้ไม่ได้ใช่ไม่ใช่ จําพวกที่สองคือพวกที่เข้าปีติได้คือเข้าฌานโลกียะได้ แต่ออกฌานไม่เป็นก็ฟุ้งเพราะออกไม่เป็น เพราะเรียนไม่มีตํารา ได้แค่พรหม ต้องออกฌานได้ด้วย การออกฌานออกเพื่อลงอุปจาร จึงพิจราณาธรรมได้...สําหรับผู้ออกฌานได้แล้วที่ไม่รู้ก็มีอีก แต่ไปติิดอยู่ห้อง 8 เนวนาสัญญายตนะ ห้องนี้พิจราณาธรรมไม่ได้ เข้าออกสมาบัติได้อย่างเดียว ต้องถอยหลังลงมาที่ห้องไหน และวิธีถอยทําอย่างไร และถอยมาแค่ไหน ที่ฐานจิตอดวงอุปจารอยู่ตรงไหน จึงต้องมีครูบาผู้สอน ในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ นั้นมีจริงฐานจิตทุกฐานเป็นเรื่องที่ใช้มาตั้งแต่พระพุทธองค์ ไม่งมงาย
ครูผู้สืบทอดปัจจุบันยังมีอยู่ สําหรับผู้ที่ได้สมาบัติแปดติดอยู่ในห้องนี้ พระพุทธองค์จงต้องไปโปรดพรหม เพราะมันเงียบสุขแต่ไม่ใช่ทาง ยังเหลือจิต ครูผู้สอนจึงให้ถอยห้องไม่มีรูปนี้ลงมา ให้มีรูปแล้ว ครูบาก็พาเข้าห้อง วิปัสสนา....ห้อง1วิสุทธิ7 ทําได้ 3 ข้อเป็นสัมมาสมาธิจริงไม่โลภแล้ว ต้องการแค่พระธรรมหยิบมือเพื่อให้องค์ วิสุทธิ7 สมบูรณ์เข้าพระโสดาบัน...เป็นผลของมรรค  เรื่องจริงของจริงครูผู้รู้วิชชาและรู้ตําราพระกรรมฐานยังมีอยู่......กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ มีตําราพระกรรมฐาน มีครูบาผู้บอกพระกรรมฐานเป็นเหมือน มีแสงไฟฉายนําทางอยากเรียนมีตํารา มีครูบา ควรไปขึ้นกรรมฐานที่วัดราชสิทธาราม ได้พบได้กราบสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน ด้วยเป็นนิมิตหมายที่ดี มามืดไปมืด มีครูบาพาไปสว่าง
                                  หลงทางเสียเวลา หลงอวิชชาเสียอนาคต...จากมนุษย์เองจ้า
                                                                         ศิษย์ธัมมวังโสอาโลโก

color]
29  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ปลุกขวัญกําลังใจ..กลอนแปด เมื่อ: สิงหาคม 19, 2011, 08:35:24 pm
ตั้งพุทโธ ใส่ในฐาน ใต้สะดือ-จุดนั้นคือ ตํ่ากว่าสะดือ สองนิ้วนั้น-ฐานธาตุดิน ศึกษารูป ใส่บริกรรม-พุทโธนั้น ถ้านับด้วย เป็นการดี-พุทโธ1 พุทโธ2 พุทโธ3-เพิ่มวิตก ปนวิจารย์ คิดอ่านนี้-มีสุขทุกข์ เพราะกลัวผิด ตรวจถ้วนถี่-เข้าปีติ ตามแบบที่ สร้างอารมณ์-ได้ธาตุไฟ มาอีกองค์ บ่งสุขทุกข์-กลัวนับผิด เช็คให้ถูก ตรวจด้วยญาณ-ตรวจสอบดี จิตพอใจ ได้ธาตนํ้า-ยินดีนํา ความเพลิดเพลิน เข้าธาตุลม-นับชํานาญ นับได้มาก จิตเป็นหนึ่ง-ได้ซาบซึ้ง ในเด็ดเดี่ยว จิตทํางาน-ธาตอากาศ เขายอดเดียว เอกัคคตานั้น-ธรรมปีติสั่น แผ่ซ่านขึ้น แผ่ซ่านลง-ทํากรรมฐาน ให้หยุดคิด ไม่มีอะไร-ตามครูไป อย่าตามใจ ผิดประสงค์-จุดมุ่งหมาย คือนิพพาน ตามจํานงค์-ธรรมปีติส่ง ให้พ้นข้ามได้ อย่าตามใจตัว......เริ่มรักษา โรคที่กาย ให้หายก่อน-แล้วจึงย้อน ตามครูบา รักษาใจ-กรรมฐาน มัชฌิมา ปฏิบัติได้-โรคทางกาย และจิตใจ ต้องหายดี-ไม่มาเกิด คือแพคเกต เป็นเรื่องอื่น -จิตชื่นมื่น อายตนะ มีราศี-ปล่อยโลกไป ตามทวาร ไม่ใยดี-ทั้งสิบที่ ทวารสิบ โลกไหลไป-มีครูบา พาปล่อยธาต คืนธรรมชาติ-ฟังเสียงธาตุ มีครูบา นําจิตให้-พระราหุลโลวาทสูตร มีในใจ-อ่านก็ได้ ศาสตร์ภายใน ไม่ธรรมดา-ฟังเสียงดิน เหลือแต่ดิน ไม่มีสังขาร-ฟังเสียงนํ้า เหลือแต่นํ้า ไม่มีปรุงแต่ง-ฟังเสียงลม เหลือแต่ลม ไม่มีแสดง-ฟังเสียงไฟ ไม่ปรุงแต่ง แข่งธาตุเอย-ฟังเสียงอากาศ ก็เงียบๆ ดูเฉยๆ-ราหุลโลวาทสูตร เปรย พระพุทธแสดง-ลงนาภี เสกพุทคุณ สมถะแรง-ดึงรัศมีแสง ขยายกสิณ ยกอนุโลม-วางที่หทัย ช่องหัวใจ ใกล้ธาตุที่5-ไม่มีมานะ บริกรรมเสกไป จนเต็มหัวใจ-นําปิดที่ตา นําปิดที่หู ข้างขวาข้างซ้าย-และอีกมากมาย มันบอกไม่ได้ เฉพาะศิษย์มัชฌิมา -ลมที่ดับไซร้ ระบายออกได้ ต้องเอียงหูดู-สอนสูตรต่างๆ อยู่ในคัมภีย์ พระกรรมฐาน-จงตั้งใจเถิด เพื่อนศิษย์ทั้งหลาย มีครูบานํา-สอนในระหว่างนั่ง ไม่มีตํารา ครูบาเดินญาณ......โชคดีทุกท่านทุกคนเทอญ
30  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ฐานธาตุดิน องค์วิตก แห่งการบรรลุคุณธรรม เมื่อ: สิงหาคม 17, 2011, 07:42:59 pm
  บริเวณจุดนี้อยู่ตํ่ากว่าสะดือ สองนิ้วมือ ชื่อเต็มเรียกว่าฐานธาตุขุททกาปีติธรรมเจ้า หรือ ธาตุดิน ส่วนรอยต่อที่ติดกันระหว่าง สะดือทารกกับสะดือแม่ตรงนั้นเรียกว่า นาภี หรือสะดือ เป็นจุดชุมนุมธาตุ และสัมปยุตธาตุ เป็นที่รวมนิสัยทุกภพชาติที่เราเิดมา พูดถึงฐานธาตุดินหากเราเจิญพระกรรมฐาน หากเราบริกรรมพุทโธใส่ไปในฐานนี้ มีฐานนี้ไว้เป็นอาภรณ์รองรับพุทโธ คําบริกรรมพุทโธก็จะไม่หายไปกับอากาศ โดยไม่มีฐานรองรับ พุทโธ ก็สลายเปล่าไป ที่ฐานธาตุดินหรือขุททกาปีติ เป็นฐานที่มีอานุภาพมาก ทําให้ได้ความวิตก ความตรึกหรือตัวสติก็ได้ ยิ่งทําตรงฐานนี้ไปนานๆ ยิ่งเหมือนมีแรงกด เหมือนเอานิ้วมือกดไว้เลย จับแน่นเลยแบบนั้น ผู้ที่เริ่มต้นฝึกต่างก็มาจากจริตที่ต่างกัน เมื่อมาทําที่ฐานนี้ ก็จะได้จริตใหม่ คือวิตกจริต จริตนี้มีคุณเอนกอนันต์ เป็นองค์แห่งการบรรลุคุณธรรมด้วย เป็นองค์แยกแยะ ตรึก และไตร่ตรอง องค์แรก ซึ่งฐานต่อไปก็จะมีธาตุไฟคือ วิจารณ์ เพิ่มขึ้นอีกองค์หนึ่ง สององค์นี้เป็นการเรียนรู้รูปในห้องปีติห้า ถ้าจะให้ดีให้ไปขึ้นกรรมฐานที่คณะ 5 วัดราชสิทธารามอย่างเป้นการเป็นงาน ควรไปให้ครูบาอาจารย์ตั้งธาตุตั้งธรรมให้ก่อน จะเจริญงอกงาม กรรมฐานฟู และยังได้กราบสักการะ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน ท่านคือ ปรมาจารย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ การขึ้นกรรมฐานทําให้ได้อารมณ์พุทธานุสสติ ระหว่างศิษย์กับครูบาอาจารย์ ช่วงนี้พระอาจารย์ของข้าพเจ้าทางสระบุรี ท่านไม่ได้รับขึ้น ติดเข้าพรรษา ท่านปลีกวิเวก...ในห้องพระปีติ 5ท่านให้ฝึกในฐานนี้ก่อนทุกคน ตั้งรูปที่ฐานธาตุดิน ธาตุไฟ สองฐาน เเละต่อถ้าก้าวหน้าก็เรียนรู้เรื่องนาม มีวิปัสสนาในรูปอยู่สององค์ คือธาตุนํ้า ธาตุลม และวิปัสสนานอกรูป เพราะไม่มีรูปเป็นอรูป อีกหนึ่งองค์ ก็คือธาตุอากาศ ธาตุหลังทั้งสาม จัดเป็นนาม และเป็นวิปัสสนาด้วย วิปัสสนาก็คือธาตุปล่อยวางจิต สามธาตุนี้เป็นธาตุสุขทั้งหมด เป็นธาตุปล่อยวางเป็นธาตุวิปัสสนาในปีติห้า ธาตุวิปัสสนาที่เป็นนามทั้งสาม คือ นํ้า ลม อากาศ เป็นเป็นธาตุอารมณ์ คือไม่มีรูป แต่ได้อาศัยองค์วิตก วิจารย์ ที่ได้จากการตั้งธาตุดิน ธาตุไฟมาก่อนแล้ว จึงมีแรงกดเหมือนนิ้วมือกดไว้เมื่อเลื่อนฐานธาตุ และวิตกวิจารนั้นยังสามารถ หยั่งเห็นอารมณ์พระลักษณะ ในฐานธาตุต่างๆได้อีกนําไปแจ้งอารมณ์ได้ นั่นคืออานุภาพของฐานธาตุดิน(พระขุททกาปีติธรรมเจ้า) ปีติห้าถ้าได้ศึกษาจะทําให้ไม่หลงตัวหลงตน ผู้ฝึกกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ไม่ต้องกลัวว่าจะติดสมาธิ เพราะการได้เรียนพระลักษณะพระปีติ 5 ก็เหมือนได้เรียนรู้ทั้งความยึดถือ ความอยาก ไม่อยาก เรียนในรูป และได้เรียนธาตุที่เป็นวิปัสสนาที่เป็นความปล่อยวางหรือธาตุสุขอีกสามองค์ ส่วนวิปัสสนาที่เป็นการยกอารมณ์ในตอนภาวนาก็มีอยู่แล้วทั้ง 5 ปีติ   คือทางมรรค เพราะกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ สอนมรรคสมถะก็มีวิปัสสนาก็มาก รู้แล้วมันก็วางของมันเองเห็นแล้ว รู้แล้วปล่อยหมด ปล่อยฟืนปล่อยไฟ ให้ไปลองดู อย่าเอาจิตปรามาศพระกรรมฐานที่ยังไม่เคยทํา อย่าเอาความคิดมาวัด ใช้ความคิดไม่พ้นอวิชชาความคิดสร้างกรรมได้อาจปิดกั้นทําให้ไม่ถึงคุณธรรม อย่าลืมไปขึ้นกรรมฐานที่คณะ 5 วัดราชสิทธารามนะครับ ขอให้ทุกท่านโชคดี.
31  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การแยกทุกข์ออกจากสุข ให้เหลือเฉพาะสุุขคงทําได้ยาก แต่มีตัวอย่าง ท่านที่สําเร็จ เมื่อ: สิงหาคม 01, 2011, 10:01:05 am
พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ดังนี้ ...ดูก่อนอานนท์เราตถาคตจักแสดงในข้ออันเป็นที่สุดแต่โดยย่อๆ พอให้เข้าใจง่าย ที่สุดก็คือ จิตต์ กับ ตัณหา จิตต์นั้นจําแนกออกไปเรียกว่ากองกุศล คือกองสุข ตัณหานั้นจําแนกออกไปเรียกว่ากองอกุศล คือ กองทุกข์ ต้นเง่าเค้ามูลแห่งทุกข์นั้น ก็คือจิตต์และตัณหานี้เอง จิตต์เป็นผู้คิดให้ได้เป็นสุขมีขึ้น ส่วนตัณหานั้นก็ได้เกิดตามเห็นตาม (จิตต์มีความสุขมากขึ้นเท่าใด ตัณหานั้นก็ได้เกิดทุกข์ตามมากขึ้นเท่านั้น)....ดูก่อนอานนท์ แต่เบื้องต้นเมื่อเราตถาคตยังไม่รู้แจ้ง ว่าสุขและทุกข์ติดอยู่ด้วยกัน เราก็ถือเอากุศลจิตต์อันเดียวหมายจักให้เป็นสุขอยู่ทุกเมื่อ ส่วนทุกข์จักไม่ให้มีมา ก็ตั้งหน้าบําเพ็ญกุศลจิตต์เรื่อยไป เมื่อได้สุขเท่าได ทุกข์ก็พลอยเกิดมีเท่านั้น ครั้นภายหลังเราพิจราณาด้วยญาณจักษุปัญญาและเห็นแจ้งชัดว่า สุขและทุกข์ติดอยู่ด้วยกัน ครั้นรู้แจ้งแล้วก็ตรึกตรองหาอุบายที่จะกําจัดสุขและทุกข์ ให้พรากจากกันนั้นแสนยากแสนลําบากเหลือกําลังจนสิ้นปัญญาหาทางไปมามิได้ (เราตถาคตจวางเสียซึ่งสุขคืนให้แก่ทุกข์ ก็คือวางใจไว้ให้แก่ตัณหา ครั้นเราวางใจไว้ให้แก่ตัณหาแล้วความสุขในพระนิพพานก็เลยเข้ามารับเราให้ถึงพระนิพพานดิบ)เมื่อวางใจได้จึงเป็นอัพยากฤต เป็นองค์พระอรหัง คือได้เข้าไปตั้งในพระนิพพานด้วยอาการดังนี้..คิริมานนทสูตร.
32  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เหตุและผลในการอธิฐานและการเลื่อนฐานจิตในพระกรรมฐาน เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2011, 10:59:46 am
บางท่านที่ยังไม่ใช่ ศิาย์พระกรรมฐานอาจมีข้อสงสัยมาก ว่าทําไมจึงมีการอธิฐานมากจัง และการเลื่อนฐานขึ้น ๆ ลง ด้วยมากจัง ตรงนี้ขออธิบายไว้หน่อยว่าทุกอย่างมีเหตุและผล และผลนั้นเริมจากเหตุดี และตําราพระกรรมฐานนั้นมิได้มาเขียนขึ้นใหม่ตํารานั้นมีมาใช้มาแล้วตั้งแต่ยังไม่เกิด คําว่า พ.ศ. เรื่องการเดินจิตเลื่อนจิต อุปมา เหมือนนักกีฬาออกกําลังกาย เล่นกีฬาประเภทหนึ่งต้องการไปแข่งเพื่อชนะ ต้องมีการฟิตซ้อมเป็นอย่างดี อีกกตัวอย่าง ก็เหมือนการเรียนประถมมัธยม ตั้งใจเรียนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ครูที่สอนก็ต้องมี แบบเรียน ตํารา วิชชา ที่จะสอนเรา และมีอุบายมากมายที่จะให้เราสําเร็จ เพื่อให้เด็กนักเรียนสอบได้ที่ดีๆ จึงต้องมีการทบทวน เข้มงวด ในวิชชาการ ให้เด็กนักเรียนมีความชํานาญ มีวสี คือความชํานาญแคล่วคล่อง ว่องไว จนกระทั่ง เด็กนักเรียน ที่ได้ถูกฝึกฝน เก่ง และไม่กลัวอุปสรรค อะไร มีใจตั้งมั่น ในการเรียน การสอบ การแข่งขัน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มีเหตุและผล มีที่มาและมีทางไป ในพระกรรมฐาน จึงต้องมีวสี ในการอธิฐาน ฝึกฝน เหมือนดั่งการเรียน วิชชาโลกทั่วไป แม้กระทั่งเรื่องการประกอบอาชีพก็เช่นกัน ก็ต้องมีความชํานาญ และมี วสี ประสบการณ์ เรื่องพระกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ ก็ได้นําแบบแผน ท่านก็สืบทอดมาจาก ตําราของเดิม เรื่องการเดินจิตเรื่องการอธิฐานเป็นต้นแบบเดิมทั้งหมด เพื่อผู้ศึกษาที่มีความตั้งใจปฏิบัติ ได้เรียนรู้ และปล่อยวาง ได้ชัดเจนจริง ตามแบบที่ครูบาอาจารย์ มุ่งหมายให้ผู้ปฏิบัติมีความสําเร็จตามที่อธิฐานต้องการ นักกีฬาฟิตซ้อมก็เพื่อชนะในการแข่งขัน จิตก็เช่นกัน จิตก็ต้องออกกําลังกาย เพื่อความรู้และปล่อยวาง เพื่อความสําเร็จในวิชชา จิตที่ตกเป็นทาสของความคิดก็คือตกเป็นทาสของกิเลสนั่นเอง ความคิดกับปัญญาคนละอันกัน ในที่นี้กล่าวถึงปัญญาญาณในภาวนามัย หากใช้ความคิดก็คงไม่พ้นโลกียะ ความคิดเป็นเหมือนดั่งลมพัด พัดไปเรื่อยๆ ถ้าลมหยุดพัดก็ลมหยุด ลมดับ ดับลม ดับรู้บรรดาพระอริยะทั้งหลาย ชอบบอกใบ้เอาไว้ ความคิดของมนุษย์ผู้ปฏิบัติ กับคําว่าปัญญา ที่พระอริยะเทศนา คนละอันกันอย่าได้ไปกล่าวให้เป็นอันเดียวกัน ไปยึดถือว่าความคิดของเราคือปัญญานั่นเป็นปัญญามันไม่ใช่ ถูกกิเลสอุปทานจิตหรอกให้ติดอยู่ในโลก.....เก็บมา..จํามาเล่าฝากกัน ขอให้ทุกท่านโชคดีมีความสําเร็จ..กันทุกคน.
33  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระตถาคต..แสดงไว้..อย่าอาลัยสุข. เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2011, 08:34:13 pm
:banghead:พระพุทธเจ้าทรงตรัสเทศนาต่อพระอานนท์ว่า บุคคลผู้ปรารถนาพระนิพพาน แต่ยังวางใจไม่ได้ ยังอาลัยถึงความสุขอยู่ คิดว่าพระนิพพานอยู่ในที่นั้นที่นี้ จะเอาจิตต์แห่งตนไปเป็นสุขใจที่แห่งนั้น ครั้นจักปล่อยวางใจเสีย ก็กลัวว่าจะไม่มีอันใดนําไปให้เป็นสุขเหตุนั้น จึงมิได้พ้นนิพพานพรหม ดูก่อนอานนท์ เราตถาคตแแสดงว่าให้ปลงใจให้ปลงใจนั้น เราชี้ข้อสําคัญเอาที่สุดมาแสดง เพื่อให้รู้ให้เข้าใจได้ง่าย การวางใจปลงนั้นคือ วางสุข วางทุกข์ วางบาป บุญ คุณ โทษ วางโลภ วางโกรธ หลง วางลาภ ยศ นินทา สรรเสริญ หมดทั้งสิ้น
    ทําเหมือนดังไม่มีหัวใจ จึงชื่อว่าทําใจให้เหมือนแผ่นดิน(วางจิตให้เป็นดัง ธาตุ เข้ากับธรรมชาติ ดิน ไฟ นํ้า ลม อากาศ ภาวนาเสมอด้วยธาตุทั้งห้า มีอยู่ในมหาราหุโลวาทสูตร) ถ้ายังทํามิได้ อย่าหวังว่าจักได้โดยโลกุตตรนิพพานเลย ถ้าทําตัวให้เหมือนแผ่นดินได้ในกาลใด พึงหวังเถิดซึ่งโลกุตตรนิพพาน คงได้คงถึงในกาลนั้นโดยมิต้องสงสัย พระนิพพานเป็นของได้ด้วยยากยิ่งนัก แสนคนจักได้แต่ละคนก็ทั้งยาก ดูก่อนอานนท์ ผู้มิได้ทําอริยมรรคปฏิปทาให้เต็มที่ ยังเป็นปุถุชนหนาไปด้วยกิเลส หาปัญญามิได้ และจักวางใจให้เหมือนแผ่นดินนั้นไม่อาจทําได้เลย
   เหตุที่เขาวางใจมิได้ เขายังถือใจอยู่ว่าเป็นของๆตัวแท้จึงต้องทรมารทนทุกข์อยู่ในโลก เวียนว่ายตายเกิด ๆ เล่า ๆ ไม่มีที่สินสุด ฯ ดูก่อนอานนท์ ผู้ที่วางใจทําตัวให้เป็นเหมือนแผ่นดินได้นั้นมีแต่บุคคลผู้เป็นนักปราชญ์และเป็นสัตบุรุษจําพวกเดียวเท่านั้น เพราะท่านไม่ถือตนถือตัว(เช่นผู้ที่เจริญอยู่ในมรรคแปด ผู้ที่ได้สัมมาสมาธิแล้ว สัมมาสมาธิองค์นี้ห้ามหายเพราะสัมมาสมาธินั้น เบาแล้วซึ่ง นิวรณ์ทั้งห้าประการ คือกามฉันทะ ความคับแ้น ความท้อแท้ ความฟุ้งซ่าน และความลังเล มีจิตต์ ตั้งมั่น ที่จักประกอบกุศลทั้งปวง ทั้งวิชชา และจรณะ)
    จาก...คิริมานันทสูตร
34  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระอริยะในโลงแก้ว ไม่ใหม้ไม่เน่าเปื่อย ใช้กรรมฐานอะไร. เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2011, 10:37:36 am
      เคยสงสัยบ้างใหม ว่า กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ จึงสรรเสริญ พระขุททกาปีติธรรมเจ้า ห้องแรก ธาตุดิน เป็นอย่างยิ่ง ก็เพราะมีอานุภาพมากมาย และเป็นห้อง พระพุทธคุณพุทธานุสสติ
       ควรไปกราบ ความดี ของพระปฏิบัติดี ทั้งหลาย ที่ในโลงแก้ว ร่างกายสังขารไม่เน่าเปื่อย บางองค์ก็ไม่ใหม้ ท่านมิได้ไปไหน ก็รอช่วยเหลือ ผู้ปฏิบัติที่ไปขอพรจากท่าน ช่วยเหลือผู้ที่มีทุกร้อน ที่ไปกราบขอบารมี
     ส่วนใหญ่ท่าน สําเร็จ กรรมฐาน ปฐวีกสิณ สามารถ ทําดินให้เป็นไฟ ทําไฟให้เป็นดิน ก็เลยไม่ใหม้ เพราะไฟไม่ใหม้ดิน เพราะดินนั้นเย็น  และดินเป็นธาตุที่ แข็ง มั่นคง ทําให้ร่างกายของท่านทั้งหลายไม่เน่าเปื่อย เมื่อท่านปลุกเสกวัตถุมงคล จึงแข็ง แน่น กันลูกปืน อุดลูกปืน ก็ลองเอาปืนไปยิงใส่ดินดูซิ ยิงดินเข้ามั๊ย สัมผัสดินนิดหน่อยก็กระเด็น กระดอน ไป นักเลงหัวไม้สมัยก่อนชอบมีพกของดีท่านติดตัว
      เคยได้ยินพระอาจารย์พูดว่า พระในโลงแก้วที่ไม่เน่าเปื่อย เผาไม่ใหม้ ประเทศเรามีมาก สระบุรีมี 13 รูป นครนายกมี 8 รูป กรุงเทพมี 30 กว่า ลพบุรี(พระอาจารย์กําลังดําเนินงานอยู่) รายละเอียด...ให้พิมพ์ชื่อ หาได้ในเว็บค้นหา หรือถามครูบาอาจารย์ ที่ท่านเคยพาไปกราบมา
     หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง ผิวเนื้อท่านแปลสภาพเป็นเนื้อไม้ ท่านสําเร็จปฐวีกสิณ
           หลวงพ่อผัน วัดแปดอาร์ หนองแค สระบุรี เนื้อท่านเป็นหินสีขาว องนี้ยังไม่ได้ไปกราบ
   พระ 2ท่านนี้ ท่านชอบปลุกเสกวัตถุมงคลร่วมกัน ตอนที่ท่านมีชิวิตอยู่
    ต่อไปเป็นรายชือท่านทั้งหลาย(มอบให้นักแสวงบุญขอบารมีท่าน)
  -หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง อยุธยา
 -หลวงพ่อผัน วัดแปดอาร์ หนองแค สระบุรี
 -หลวงพ่อผินะ วัดสนมลาว หินกอง สระบุรี(ทรงอยู่ท่านั่งสมาธิ)ดับขันธ์ท่านี้
 -หลวงพ่อชื่น วัดเขาหัวนา นํ้าตกกระอาง บ้านนา นครนายก ได้ใหว้พระพุทธชินราช ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย ท่านนั่งอยู่บนภูเขา
 -หลวงปู่สนธิ์ วัดเขาคอก อยู่ข้าง ร.ร.เตรียมทหาร บ้านนา นครนายก
 -หลวงปู่สี วัดเขาชะโงก อยู่ใน ร.ร.นายร้อยพระจุลจอมเกล้า นครนายก ที่นี่มีพระพุทธฉาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย มีพระพุทธบาท บนยอดเขาด้วย และมีท่านกรมหลวงชุมพรด้วย ทางเข้ามีศาลเจ้าพ่อขุนด่าน นครนายก ท่านเป็นนักรบ สู้กับพวกขอม
 -หลวงพ่อแดง(ร่างเป็นหิน) วัดท่าแห นครนายก
 -หลวงพ่อ...(จําชื่อไม่ได้ พระทางวัดเทพศิรินทร์) ในมณฑบ วัด วังกระโจม หน้าวิทยาลัยเทคนิคนครนายก
 -กราบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต   วัดถํ้าสาริกา นครนายก ทางเข้าไปทางนํ้าตก สาริกา นครนายก มีหินก้อนใหญ่และมีซอกลึก ที่ท่านเข้าไปปฏิบัติ กันฝนได้ เป็นหน้าผา และมีนั่งร้าน อยู่บนต้นไม้หน้าผา ท่านทําแคร่กางมุ้งแขวนกลด อยู่บนต้นไม้หน้าผา มีคนเถ้าคนแก่ห้ามไม่ให้ท่านขึ้นไป แต่ท่านจะขึ้น บอกว่าพระขึ้นไปไม่ได้ลงมาซักองค์ แต่พอรุ่งเช้า ชาวบ้านมาเฝ้าดู ท่านก็ลงมาบิณฑบาตร ที่นี่มีวิหารพระบรมสารีริกธาตุมากมาย แน่นไปหมด มีท่านผู้ใจบุญ นามสกุลดัง มาสร้างรูปเหมือนท่ายืนของท่านองค์ใหญ่มาก หลวงตามหาบัวท่านมาเทศน์ธรรมมะสัญจรที่นี่ด้วย
    ผู้ปฏิบัติธรรมควรกราบขอบารมี กราบความดี ของพระปฏิบัติ เพราะท่านคือ สาวก ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเรา และท่านๆทั้งหลายเช่นกัน
   -รายละเอียดหาเอาในเว็บนะครับ พิมพ์ชื่อค้นหา ผมทําแผนที่ไม่เป็น หาให้ได้เท่านี้.
35  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระกรรมฐานนั้นมี 2 ภาค. เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2011, 04:48:17 pm
      พระกรรมฐานมี 2 ภาค
  1.พระกรรมฐานภาคปริยัติ คือเรียนรู้ตามคัมภีร์ ได้แก่ คัมภีร์วิสุทธิมรรค คัมภีร์มูลกรรมฐาน.
  2.พระกรรมฐานภาคปฏิบัติ คือพระกรรมฐาน มัชฌิมาแบบลําดับ สืบทอดมาโดยการประพฤติปฏิบัติ และทรงจําสืบๆต่อกันมา ไม่ขาดสาย เพื่อป้องกันอุปทานจิต และทางเดินของจิตเสีย.
         เมื่อเรียนปฏิบัติจบตามขั้นตอนแล้ว จึงเรียนพระกรรมฐานภาคปริยัติ คือการอ่าน พระคัมภีร์วิสุทธิมรรค คัมภีร์มูลกรรมฐาน เพื่อนําความรู้ทางจิต ออกมาเป็นคําพูด เพื่อทําความเข้าใจ ได้อย่างถูกต้อง และอธิบายให้ได้ใจความ.
      ตัวอย่าง เช่นพระคัมภีร์บาลีมูลกัจจายน์ เป็นคัมภีเรียนหลักไวยากรณ์บาลี เล่มเเรกของพระพุทธศาสนา คัมภีร์นี้เขียนด้วยอักษรขอม บาลีขั้นต้นการศึกษาบาลีมูลกัจจายน์ ซึ่งมีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้
   มาติกา ๖๗๓ สูตร
  -ต้องท่องจําหลักไวยากรณ์ ศัพท์ในคัมภีร์มูลกัจจายน์ทั้งหมด ๘ กัณฑ์ ดังนี้.
   สนธิกัณฑ์ ๕๑ สูตร
   นามกัณฑ์ ๒๑๙ สูตร
   การกกัณฑ์ ๔๕ สูตร
   สมาสกัณฑ์ ๒๘ สูตร
      ตัทธฺิตกัณฑ์ ๖๒ สูตร
      อาขยาตกัณฑ์ ๑๑๘ สูตร
      กิพพิธาน ๑๐๐ สูตร
      อุณาทิกัณฑ์ ๕๐ สูตร
 
 และยังมีคัมภีร์เสริม เช่น คัมภีร์โยชนามูลกัจจายน์ เป็นคัมภีร์อธิบายหลักการ เพื่อให้เข้าใจในการศึกษา คัมภีร์คัมภีร์มูลกัจจายน์ ได้ง่ายขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น เข้าใจขึ้น มากขึ้น
  -คัมภีร์บาลีมูลกัจจายน์ เป็นคัมภีร์เล่มแรกในพระพุทธศาสนา รจนาไว้โดย พระมหากัจจายน์เถรเจ้า เอตทัคคะผู้เป็นเลิศในทาง ขยายความย่อความให้พิศดารได้
    ในสมัยก่อนต้องมีเรียนการแปลคัมภีร์ด้วย และมีการสอบด้วย พระปฏิบัติก็จะศึกษาคัมภีร์ และมาสอบแปลคัมภีร์โดย สอบกับพระหลวง สนามสอบกลาง เช่น สอบสนามหลวง.
 แบ่งออกเป็นสามบั้น สามตอน คือ บั้นต้น บั้นกลาง บั้นปลาย ส่วนรายละเอียด ชื่อคัมภีร์ที่ต้องสอบแปลก็มี เช่น
  -หัดแปลปาฏิโมกข์
  -คัมภีร์ธรรมบท
  -คัมภีร์มงคลทีปนี
  -คัมภีร์สมันตปาสาทิกา
  -คัมภีร์พระวิสุทธิมรรค
  -คัมภีร์พระอภิธรรม
(การสอบ สอบว่าปากเปล่าโดยส่วนใหญ่)
   ที่มาจากบรมครูแห่งยุครัตนโกสินทร์ ครูบาอาจารย์ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ วัดราชสิทธาราม(วัดพลับ)...ศูนย์กลางกรรมฐานมัชฌิมา แบบลําดับ ประจํายุครัตนโกสินทร์.
36  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การกําหนดนับ คู่สั้น-คู่ยาว(องค์วิตก-วิจาร)ห้อง 4 อานาปานสติ เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2011, 10:40:27 am
   เริ่มคู่สั้นก่อน ถ้าเช็ค วิตก-วิจาร ชํานาญและคล่องแคล่ว ไม่ผิดเพี้ยนแล้ว ให้เริ่มที่คู่ยาวต่อ(กรรมฐานห้ามเปลียนเองนะ) ต้องครูบาอาจารย์สั่งให้เปลี่ยนเท่านั้น กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ เน้นความเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และครูผู้สอน ศิษย์กรรมฐานต้องเคร่งครัด ห้องพุทธานุสสติ จะสําเร็จมีกําลังมาก เน้นความตั้งตรง ไม่โลเล โงนเงน
    ( ดูเป็นคู่ทีละ 2 บรรทัด) คือ ลมเข้า 1 บรรทัด-ลมออก 1 บรรทัด นับสั้นมี 5 คู่-นับยาวมี 9 คู่
    เข้า 1  1  2  3  4  5
       ออก  5  4  3  2  1  1
              2  1  2  3  4  5
              5  4  3  2  1  2
              3  1  2  3  4  5
              5  4  3  2  1  3
              4  1  2  3  4  5
              5  4  3  2  1  4
              5  1  2  3  4  5
              5  4  3  2  1  5(จบ 5คู่สั้น)
1  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  1
2  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  2
3  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  3
4  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  4
5  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  5
6  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  6
7  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  7
8  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  8
9  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  9(จบคู่ยาว 9 คู่)
    ตอนฝึก ใช้ปากกาเคมี สีแดง เขียนใส่ กระดาษขาว แปะข้างฝาตรงหน้าไว้เลย กันนับผิด ถ้านับคล่องแล้วไม่ต้องลืมตา เพราะมีงานอื่น เช่นต้องตรวจลม เข้าถูกใหม ออกถูกใหม  คู่นับ ว่าผิดคู่กันหรือเปล่า เข้าออกถูกกับคู่นับแล้ว ลมเข้าสุดใหม ออกสุดใหม (เป็นการซ้อม อารมฌ์ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา แบบขั้นฝึก (ให้อารมฌ์เป็น 1 เหมือนภูเขาที่มียอดเดียว) ห้ามผิดขอบอก และอย่าลืมแจ้งอารมณ์ มันเป็นยังไงก็ต้องแจ้งครูบาอาจารย์ ให้มีสติอยู่กับการนับถูก ลมถูก ลมสุด ฐานกระทบต่าง ว่าไปให้ถูกทั้ง 4 ขั้น ในห้องนี้ ห้ามแอบนั่งเฉย ไม่ได้นับ ไม่ได้ตรวจลม เสียกาล(จะเสียเวลา)เพราะผิดทาง ไม่ใช่ทางมรรค ป่่วยการลําบากเสียเปล่า ต้องมีวิตก -วิจาร ขอให้ผ่านทุกท่าน ตั้งใจ ทําไปๆๆๆๆๆๆ.
      จากคําสอนครูบาอาจารย์-พระอาจารย์กรรมฐานของข้าพเจ้า
  อาการถ้าผิด หงุดหงิด เกิดเวทนา ไม่สบายใจ นับให้คล่องซะก่อนแล้วทําก็ได้

         
37  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ความหมายคําว่า"สัมปยุต"ใน พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2011, 09:31:08 am
  สัมปยุุต คือ การรวมพลังจิตเข้ากับกาย เพื่อให้กายและจิต เกิดสภาวะความสงบ มีการทําอยู่ 2 แบบ ตามนี้.
 1.สัมปยุตธรรม คือการที่จิตนึกองค์ธรรมแล้วอธิฐาน เข้ากับกายจิต และระลึกถึงผลบุญกุศลจนใจแช่มชื่น แล้วอธิฐานไว้ในฐานจิต.
 2.สัมปยุตธาตุ คือการที่จุดรวมศูนย์ได้แล้ว ในที่นี้หมายถึง"พุทโธ"ประสานกับฐานจิต และจิตที่เป็นศูนย์จิต เข้าไปตรวจดูธาตุธรรมในฐานจิต
  การสัมปยุตทั้ง 2 แบบ นั้น จัดเป็นวิปัสสนา
   -แบบที่ 1 สงเคราะห์ใน จิตตานุปัสสนา โดยตรง
   -แบบที่  2 สงเคราะห์ใน กายานุปัสสนา โดยตรง
                คําสอนของครูบาอาจารย์-พระอาจารย์กรรมฐานของข้าพเจ้า.
38  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ลําดับแห่ง 7 ชาติ สลับ "อนุโลมญาณ" ย่อมเข้าถึงขั้นตอน ของสติดังนี้ เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2011, 07:16:33 pm
  ลําดับแห่งอนุโลมญาณ
  1.โคตะระภูจิต(โคตรภูจิต) จิตเหนี่ยวนําพระนิพพานเป็นอารมณ์
  2.มัคคะจิต(มรรคจิต) จิตน้อมนําปฏิบัติเข้าสู่หนทางแห่งพระนิพพาน
  3.ชะวะนะจิต(ชวนจิต) จิตเข้าชวนะ 7 สลับไปสลับมา
  4.ผะละจิต(ผลจิต)
  5.ภวังคะจิต(ภวังคจิต)
  6.มโนทะวาราวัชชะนะจิต(มโนทวาราวัชชนจิต)
  7.ปัจจะเวกขะณะญาณ(ปัจจเวกขณญาณ) ญาณกําหนดทบทวน ลักษณะดังนี้ 1.มรรค 2.ผล 3.กิเลสที่ละได้แล้ว 4.กิเลสที่ยังเหลืออยู่ 5.นิพพาน
 ดังนั้น ท่านผู้มีการเจริญ สติปัฏฐาน 4 ย่อมเข้า ถึงความรู้ มรรค ความรู้ผล และ ความรู้ นิพพาน ดังนี้
    -รู้มรรค ได้แก่ รู้มรรค 4 มี 1.โสดาปัตติมรรค 2.สกิทาคามิมรรค 3.อะนาคามิมรรค 4.อรหัตตะมรรค.
    -รู้ผล ได้แก่ รู้ผลทั้ง 4 มี 1.โสดาปัตติผล 2.สกิทาคามิผล 3.อะนาคามิผล 4.อรหัตตะผล
    -รู้นิพพาน คือ รู้นิพพาน ทั้ง 3 มี 1อะนิมิตตะนิพพาน 2.อัปปะณิหิตะนิพพาน 3.สุญญะตะนิพพาน
 ทั้ง 3 รู้นี้ เรียกรวมๆ ว่า โลกุตรธรรม 9 อันมี(มรรค 4 - ผล 4 - นิพพาน 1)
                       จากหนังสือ....ที่ระลึก "วันอุปสมบท" ของครูบาอาจารย์

39  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เมื่อจิตของเธอสงบเป็นสมาธิ เธอจะเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2011, 06:30:53 pm
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สั่งสอนไว้ให้ทําสมาธิ และเมื่อจิตของเธอสงบก็จะเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง เมื่อฝึกสมาธิ สติ ก็เริ่มเกิด สมาธิ ก็เริ่มเกิด วิปัสสนาญาณ ก็เริ่มเกิด มีได้ เป็นได้ ตามลําดับ.... ตามองค์โพชฌงค์ 7
   โพชฌงค์ 7 มีดังนี้
   1.สติสัมโพชฌงค์ คือ สติ ระลึก ตามรู้ รู้ตัว เป็นไปในภายในจิต สมบูรณ์ด้วย กาย เวทนา จิต
   2.ธัมมะวิจยะสัมโพชฌงค์ คือ การพิจราณา ธรรมเป็นเครื่องนําออก จากกิเลสาสวะ ด้วยสติ ปัญญา สัมมาทิฏฐิ อันสมบูรณ์  แล้วด้วย กาย เวทนา จิต
   3.วิริยะสัมโพชฌงค์ คือ ความเพียรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสมบูรณ์มาจาก กาย เวทนา และ จิต
   4.ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์  คือ ความสงบระงับ ( อันเนื่องเข้าสู่การบรรลุธรรมขั้นต้น )
   5.ปิติสัมโพชฌงค์ คือ ความยินดี อันเกิดแต่ การเข้าสู๋ ( การบรรลุธรรมขั้นกลาง )
   6.สมาธิสัมโพชฌงค์ คือ สมาธิ อันเป็นอัปปนาสมาธิ เพราะการเข้าสู่ ( การบรรลุธรรมขั้นสูง )
   7.อุเบกขาสัมโพชฌงค์ คือ (การเข้าสู่ นิโรธ สัญญาเวทยิตนิโรธ ขั้นสูงสุด )
เมื่อโพชฌงค์ทั้ง 7 จะเจริญบริบูรณ์ ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดด้วยประการนั้น
                 เรื่องโพชฌงค์ 7 จากคําสอน-ตําราครูบาอาจารย์(ในหนังสือวันอุปสมบท)
   
40  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เมื่อผลการปฏิบัติเกิดที่ใจ ศิษย์ส่วนใหญ่จึงต้องการพบแต่ตัวครูผู้สอนกรรมฐานของตน เมื่อ: เมษายน 30, 2011, 10:58:55 am
       บรรดาลูกศิษย์ทุกคน ที่ได้ฝึกแล้ว ย่อมตอบตัวเองได้ ว่าทําไมต้องอาราธนาให้ท่านมาสอน ก็เพราะทุกคนเมื่อ ปฏิบัติแล้วมีความสุข ทําได้ เดินจิตได้ ตามที่พระอาจารย์สอน ทําได้จริง เพราะผลของความสุขนั้นมีจริง จึงอยู่ที่ตัวลูกศิษย์ของพระอาจารย์ทุกคน คือได้ปฏิบัติกรรมฐานนี้แล้วมีความสุข ตรงนั้น จิตนั้น มันเห็นความจริง ประจักษ์ที่ใจเป็น ปัจจัตตัง ชาตินี้มันไม่ให้ใครมาสอนแทนได้หรอก จิตมันไม่หนีแล้ว ให้อมพระมาพูด มันก็ไม่ไป....ถึงแม้พระอาจารย์ไล่ให้ตายมันก็ไม่หนี ไปที่อื่น
        เรื่องอุปสรรค ไม่มี จะสอนที่ไหน ให้อาราธนาพระอาจารย์มาได้ ลูกศิษย์ที่รอก็ครบหน้าทุกที ไม่เห็นจะเกี่ยวกับสถานที่ เรื่องสถานที่ ไม่จําเป็น วัดกันที่ใจ อันนี้สําคัญที่สุด ท่านสอนจริง เราปฏิบัติได้จริง ปฏิบัติแล้วมีความสุข มีครูบาอาจารย์ชี้แนะอยู่ทุกระยะ อันนี้เป็นสิ่งที่ลูกศิษย์ทุกคนตั้งตารอ เรื่องสถานที่มันเป็นเรื่องสังขาร  "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ มีแต่คําว่า โน่นโคนไม้ โน่นเรือนว่าง หาวิเวกเอาตามลําพัง ตั้งกายตรงดํารงค์สติเฉพาะหน้า" ไม่มีคําว่า"วัด" เลยซักคํา พระตถาคต มีแต่ไล่เข้าป่่า แต่ล้วนบรรลุพระอรหันต์ทั้งสิ้น
    แม้พระอาจารย์จะสอนที่ไหน เราทุกคนก็จะไป ไม่ว่าจะเป็น ที่บ้าน ที่โรงเรียน ในวัด ในป่าช้า หรือตามป่่า ขอให้มีพระอาจารย์ ของเรามานั่งสอน เราไปได้หมด เราต้องการแต่พระธรรมของครูบาอาจารย์เราองค์เดียวเท่านั้น เรื่องสถานที่ หรือรูปแบบ ยกออกไปเลย ไม่ใช่อุปสรรค หลับตาแล้วก็ไม่เห็นอะไรหรอก มีเสียงพระอาจารย์ ลําดับจิตให้เป็นใช้ได้
  ศิษย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ปฏิบัติแล้ว มีแต่สรรเสริญครูบาอาจารย์ ไม่เป็นอย่างอื่นไปได้
                              นัยยะนี้....ปรารพจากผู้ฝึกและปฏิบัติ. 
หน้า: [1] 2