ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ  (อ่าน 13065 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

patra

  • RDNpromote
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรมรรค
  • *
  • ผลบุญ: +100/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 971
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
« เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 03:39:06 pm »
0

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ มีชาติกำเนิดในสกุล หนูศรี เดิมชื่อ ดู่ เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2447 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง ซึ่งเป็นวันวิสาขปุรณมี ณ บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

โยมบิดาชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ พ่วง ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้อง มีโยมพี่สาวอีก 2 คน มีชื่อตามลำดับ ดังนี้

1.  พี่สาวชื่อ ทองคำ สุนิมิตร

2.  พี่สาวชื่อ สุ่ม พึ่งกุศล

3.  หลวงปู่ดู่

ปฐมวัยและการศึกษาเบื้องต้น

ชีวิตในวัยเด็กของท่านดูจะขาดความอบอุ่นอยู่มาก ด้วยกำพร้าบิดามารดาตึ้งแต่เยาว์วัย นางยวง พึ่งกุศล ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของท่านได้เล่าให้ฟังว่า บิดามารดาของท่านมีอาชีพทำนา โดยนอกฤดูทำนาจะมีอาชีพทำขนมไข่มงคลขาย

เมื่อตอนที่ท่านเป็นเด็กทารก มีเหตุการณ์สำคัญที่ควรจะบันทึกไว้คือ วันหนึ่งซึ่งเป็นหน้าน้ำขณะที่บิดามารดาของท่านกำลังทอดขนมมงคลอยู่นั้น ท่านซึ่งถูกวางอยู่บนเบาะนอกชานคนเดียว ไม่ทราบด้วยเหตุใดตัวท่านได้กลิ้งตกน้ำทั้งคนทั้งเบาะ แต่เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งที่ตัวท่านไม่จมน้ำ กลับลอยน้ำจนไปติดอยู่ข้างรั้ว กระทั่งสุนัขเลี้ยงทื่บ้านมาเห็นเข้าจึงได้เห่าพร้อมกับวิ่งกลับไปกลับ มาระหว่างตัวท่านกับมารดาท่าน เมื่อมารดาท่านเดินตามสุนัขเลี้ยงออกมาจึงได้พบท่านลอยน้ำติดอยู่ที่ข้าง รั้ว ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มารดาท่านเชื่อมั่นว่า ท่านจะต้องเป็นผู้มีบุญวาสนามากมาเกิด

ในโลกนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากทุกข์ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป พึงมองเห็นโลกนี้เป็นความว่างเปล่า ว่างเปล่าจากตัวตนที่เที่ยงแท้ บุคคลใดก็ตามที่ยึดมั่นหมายมั่นแม้ว่าเป็นลูกของตน สามีภรรยาของตน บิดามารดาของตน หรือวัตถุสิ่งของของตน เมื่อความไม่เที่ยงมาถึง ความเสื่อมสลายย่อมบังเกิดขึ้นกับสิ่งเหล่านั้นอันเป็นธรรมดาโลก การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ จึงนำมาซึ่งความทุกข์ระทมใจของผู้ยึดมั่นหมายมั่นนั้น

มารดาของท่านได้ถึงแก่กรรม ตั้งแต่ท่านยังเป็นทารกอยู่ ต่อมาบิดาของท่านจากไปอีก ขณะท่านมีอายุเพียง 4 ขวบเท่านั้น ท่านจึงต้องกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กจำความไม่ได้

ท่านได้อาศัยอยู่กับยาย โดยมีโยมพี่สาวชื่อ สุ่ม เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่และท่านก็ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนที่วัดกลางคองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ

สู่เพศพรหมจรรย์

เมื่อท่านอายุได้ 21 ปี ก็ได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2468 ตรงกับวันอาทิตย์ แรม 4 ค่ำ เดือน 6 ณ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีหลวงพ่อกลั่น เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ มีหลวงพ่อแด่ เจ้าอาวาสวัดสะแก ขณะนั้นเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีหลวงพ่อฉาย วัดกลางคลองสระบัว เป็นพระอนุศาสนาจารย์ ได้รับฉายาว่า พรหมปัญโญ

ในพรรษาแรก ๆ นั้น ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรม ที่วัดประดู่ทรงธรรม ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่าวัดประดู่โรงธรรม โดยมีพระอาจารย์ผู้สอนคือ ท่านเจ้าคุณเนื่อง, พระครูชม เป็นต้น

ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น ท่านก็ได้ศึกษากับหลวงพ่อกลั่น ผู้เป็นอุปัชฌาย์ และหลวงพ่อเภา ศิษย์องค์สำคัญของหลวงพ่อกลั่น ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่าน เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่ 2 ประมาณปลายปี พ.ศ.2469 หลวงพ่อกลั่นก็มรณภาพ ท่านจึงได้ศึกษาหาความรู้จากหลวงพ่อเภาเป็นสำคัญ นอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาจากตำรับตำราที่มีอยู่ในชาดกบ้าง จากธรรมบทบ้าง และด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่รักการศึกษาค้นคว้า ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากพระอาจารย์อีกหลายท่านที่ จังหวัดสุพรรณบุรีและสระบุรี

ประมาณพรรษาที่ 3 ท่านก็ได้เดินธุดงค์ โดยมีสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาเป็นจุดหมายปลายทาง กล่าวคือเดินทางออกจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยามุ่งตรงสู่จังหวัดสระบุรี กราบนมัสการพระพุทธฉายและรอยพระพุทธบาท จากนั้นท่านเดินธุดงค์ไปยังจังหวัดสิงห์บุรี สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี ท่นได้ใช้เวลาเดินธุดงค์ ประมาณ 3 เดือน จนกระทั่งอาพาธจึงได้พักการธุดงค์

หลวงปู่ดู่ท่านได้ถือข้อวัตร คือฉันอาหารมื้อเดียวมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2500 แต่ภายหลังคือประมาณปี พ.ศ.2525 เหล่าสานุศิษย์ได้กราบนิมนต์ให้ท่านฉัน 2 มื้อ เนื่องจากความชราภาพประกอบกับต้องรับแขกมากขึ้น ท่านจึงได้ผ่อนปรนตามความเหมาะสมควรแห่งอัตภาพ แต่เมื่อถามความเห็นของท่านจึงทราบว่า ท่านต้องการโปรดญาติโยมที่มาจากที่ไกล ๆ จะได้มีโอกาสทำบุญ

หลวงปู่ดู่ท่านได้ตัดสินใจไม่รับ กิจนิมนต์ไปนอกวัดตั้งแต่ก่อนปี พ.ฯศ.2490 ส่วนที่นาอันเป็นสมบัติดั้งเดิมของท่าน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 30 ไร่ ท่านก็แบ่งให้กับหลาน ๆ ของท่าน ซึ่งในจำนวนนี้ นายยวง พึ่งกุศล ผู้เป็นบุตรของนางสุ่ม โยมพี่สาวคนกลางที่เคยเลี้ยงดูท่านมาตลอด ก็ได้รับส่วนแบ่งที่นาจากท่านด้วยจำนวน 18 ไร่เศษ แต่ด้วยความที่นายยวงผู้เป็นหลานของท่านนี้ไม่มีทายาท จึงคิดปรึกษากับนางถมยา ผู้เป็นภรรยา เห็นควรให้ยกเป็นสาธารณประโยชน์ คือยกที่ดินแปลงนี้ให้กับโรงเรียนวัดสะแก ซึ่งหลวงปู่ดู่ท่านก็โมทนาในกุศลเจตนาของคนทั้งสอง

ในเรื่องการสวดมนต์ทำวัตร เช้า-เย็น ท่นได้ปฏบัติอย่างสม่ำเสมอมิได้ละเลย นอกจากนี้ท่านยังได้สอนหนังสือให้เด็ก ๆ ในวัดให้อ่านเขียนและทำเลขได้ทั้งชายหญิง

อยู่มาวันหนึ่งเข้าใจว่าก่อนปี พ.ศ.2500 เล็กน้อย หลังจากที่หลวงปู่ดู่สวดมนต์ทำวัตรเย็นและปฏิบัติกิจส่วนตัว เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็จำวัด เกิดนำมิตไปว่า ท่านได้ฉันดาวที่มีแสงสว่างเข้าไป 3 ดวง ในขณะที่กำลังฉันอยู่นั้นก็รู้สึกว่ากรอบ ๆ ดี ก็เลยฉันเข้าไปทั้งหมดแล้วจึงตกใจตื่น เมื่อท่านมาพิจารณาใคร่ครวญถึงนิมิตที่เกิดขึ้นเข้าใจได้ว่า แก้ว 3 ดวงนั้นจะต้องเป็นแก้ว 3 ประการได้แก่ พระไตรสรณคมน์ พอว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจมิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นในจิตท่าน จนเกิดความมั่นใจว่าพระไตรสรณคมน์นี้เป็นแก่นแท้ และรากแก้วของพระพุทธศาสนา การสมาทานศีล 5 ศีล 8 หรือการขอบรรพชาอุปสมบทก็ต้องว่าไตรสรณคมน์นี้ทุกครั้ง ท่านจึงกำหนดเอาเป็นองค์ภาวนา
บันทึกการเข้า
ข้าพจ้า สนับสนุนการเผยแผ่ พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

patra

  • RDNpromote
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรมรรค
  • *
  • ผลบุญ: +100/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 971
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
หลวงปู่ดู่ ตายแล้วต้องลงนรก
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 03:39:56 pm »
0
คัดลอกจากหนังสือ ๑๐๑ ปีหลวงพ่อดู่พรหมปัญโญ
www.watthummuangna.com

 

 

 

วันหนึ่ง หลวงพ่อดู่ท่านมองไปที่ลูกศิษย์ใกล้ชิดกลุ่มหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า "ข้าตายแล้วต้องลงนรก" พอลูกศิษย์ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ เรียนถามท่านในทันทีว่า "หลวงพ่อจะตกนรกได้อย่างไร ในเมื่อหลวงพ่อบำเพ็ญคุณงามความดีมามากออกอย่างนี้"

หลวงพ่อตอบกลับไปว่า "ข้าก็จะลงนรก เพื่อไปเตะพวกแกขึ้นมาน่ะสิ"

คำเตือนของหลวงพ่อนั้น ชวนให้ศิษย์ทั้งหลายต้องมานึกทบทวนตัวเองว่าการที่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์นั้นก็มิใช่เป็นหลักประกันว่าจะไม่ลงนรก ตรงกันข้าม หลวงพ่อท่านได้พูดเตือนทำนองเดียวกันนี้หลายครั้งหลายหน เพราะช่องทางทำบาปของคนเรามีมากเหลือเกิน จนท่านเอ่ยว่า คนเราเป็นอยู่โดยบาปทั้งนั้น เพียงแต่ผู้ที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ก็บาปน้อยหน่อย

หลวงพ่อท่านเป็นแบบอย่างที่หาได้ยากในเรื่องความระมัดระวังไม่ให้เป็นหนี้สงฆ์ ถึงขนาดว่าก่อนที่ท่านจะมรณภาพไม่กี่วัน ท่านได้บอกช่องลับกับโยมอุปัฏฐากให้ทราบ เพื่อว่าจะได้สามารถเปิดประตูเข้ากุฏิท่านในกรณีฉุกเฉินได้ โดยไม่ต้องไปงัดประตู อันเป็นการทำลายของสงฆ์ ซึ่งในที่สุดก็มีเหตุให้ได้เปิดประตูกุฏิท่านผ่านทางช่องลับนั้นจริงๆ ในเช้าตรู่ของวันอังคารที่ 17 มกราคม 2533 อันเป็นวันที่ท่านละสังขาร

นอกจากนี้ ท่านยังได้พูดเตือนอีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราอาจมองข้าม เป็นต้นว่า เอ่ยปากใช้พระหยิบโน่นหยิบนี่ ไม่ยกเว้นแม้กรณีขอให้พระท่านหยิบซองให้เพื่อจะใส่ปัจจัยถวาย การหยิบฉวยของสงฆ์ไปใช้ส่วนตัว การพูดชักไปในทางโลกในขณะที่ผู้อื่นกำลังสนทนาธรรม การส่งเสียงรบกวนผู้ที่กำลังปฏิบัติภาวนา การขายพระกิน ซึ่งเรื่องหลังนี้ ท่านพูดเอาไว้ค่อยข้างรุนแรงว่า ใครขายพระกิน จะฉิบหาย สมัยท่านยังมีชีวิต ท่านจะพูดกระหนาบบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเวลารับประทานอาหาร ทานไม่ให้พูดคุยกัน จะทำกิจอันใดอยู่ ก็ให้มีสติ พยายามบริกรรมภาวนาไว้เรื่อยๆ เรียกว่าเกลี่ยจิตไว้ให้ได้ทั้งวัน เมื่อถึงคราวนั่งภาวนา จิตจะได้เป็นสมาธิได้เร็ว เวลาจิตจะโลภ จะโกรธ จะหลง ก็จะได้รู้ได้เท่าทัน

ดังที่หลวงพ่อสอนว่า การตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเท่านั้น จึงจะช่วยให้เราห่างจากนรกได้ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องคอยสอบทานตัวเองอยู่เสมอๆ ว่าเราเข้าวัดเพื่ออะไร เพื่อความเด่นความดัง หวังลาภสักการะ หวังเป็นผู้จัดการพระ ผู้จัดการวัด ฯลฯ หรือเพื่อมุ่งละโลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นตัวก่อทุกข์ก่อโทษข้ามภพข้ามชาติไม่รู้จักจบจักสิ้นที่มีอยู่ในใจเรานี้

ปฏิปทาที่จะช่วยให้เราปลอดภัย และห่างไกลจากนรกคือ การเกรงกลัวและละอายใจในการทำบาปกรรม หรือสิ่งที่จะทำจิตใจเราให้เศร้าหมองขุ่นมัว ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับหมู่คณะโดยไม่จำเป็น หากแต่ควรมุ่งเน้นการปฏิบัติภาวนาเป็นหลัก เป็นผู้พร้อมรับฟังคำตักเตือนของผู้อื่น โดยเฉพาะคำตักเตือนจากครูบาอาจารย์ อย่างที่ทางพระท่านสอนว่า ให้อดทนในคำสั่งสอน คิดเสียว่าท่านกำลังดุด่ากิเลสของเราอยู่

ท่อนซุงทั้งท่อน ถ้าไม่ได้ขวานช่วยสับช่วยบาก ไม่ได้กบไสไม้ ช่วยทำพื้นไม้หยาบๆ ให้เกลี้ยงเกลาขึ้น ไม่ได้กระดาษทรายช่วยขัดให้ไม้เรียบเนียน ไม่ถูกดัดถูกประกอบ ก็คงไม่กลายมาเป็นเครื่องเรือนเครื่องใช้ที่มีประโยชน์ ฉันใดก็ฉันนั้น จิตใจของเราที่หยาบอยู่ หากไม่ได้รับการขัดเกลาหรืออบรมจากครูอาจารย์ไม่ได้รับการอบรมด้วยธรรมของพระพุทธเจ้า จิตใจนั้นก็ย่อมเอาเป็นที่พึ่งไม่ได้

ครั้งหนึ่ง ได้มีโอกาสเรียนถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อครับ ที่ว่าธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมนั้น ธรรมที่ว่านั้นท่านหมายถึงธรรมเรื่องใดครับ"

เมื่อสิ้นเสียงคำถามของข้าพเจ้า หลวงพ่อท่านก็ตอบในทันทีว่า "กายสุจริต วาจาสุจริต และมโนสุจริต"

ซึ่งคำสอนของท่านข้างต้น ก็เป็นการตอบให้ชัดอีกครั้งว่า อานิสงส์แห่งการประพฤติความดีทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจนี้แหละ จะกลับมารักษาเราไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่ว จึงเป็นหลักประกันที่ช่วยให้เราห่างไกลจากนรก อีกทั้งยังช่วยให้เราสามารถเข้าใกล้หลวงพ่อด้วยการเพิ่มพูนคุณธรรมความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อว่าในที่สุดจะได้ไม่ต้องรบกวนหลวงพ่อให้ต้องลำบากลงนรกมาสงเคราะห์ศิษย์ ดังที่ท่านปรารภด้วยความห่วงใย ตั้งแต่ครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

ที่มาของเรื่อง
http://arwritz.iamspace.com/006buddhasook/wakeup/2009_03_26.html
บันทึกการเข้า
ข้าพจ้า สนับสนุนการเผยแผ่ พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

สถาพร

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 220
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
หลวงปู่ดู่กับวิชากำหราบโจร ของพระอาจารย์ธรรมโชติ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2011, 07:10:38 am »
0
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

หลวงปู่ดู่กับวิชากำหราบโจร
ของพระอาจารย์ธรรมโชติ

อีก เรื่องหนึ่งที่หลวงปู่ดู่มักจะกล่าวเตือนศิษยานุศิษย์ ทั้งที่ใกล้ชิดและห่างไกล ตลอดจนสาธุชนญาติโยมทั้งหลาย ให้พึงสังวรอยู่เสมอก็คือ เรื่องควรงดเว้นกระทำกรรมชั่วโดยเด็ดขาด โดยท่านจะนำเอาพุทธพจน์ที่ว่า “ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า” มาเป็นข้อเตือนสติแก่ทุกคน เพราะการกระทำกรรมใด ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมเลวก็ตาม จิตของผู้นั้นจะบันทึกเก็บงำข้อมูลเอาไว้โดยละเอียด เมื่อใดที่ถึงกาลมรณะ จิตตัวนี้จะเป็นตัวชี้นำไปสู่สุคติหรือทุคติอย่างชัดเจน จิตตัวนี้สำคัญนัก แม้เพียงไปยึดติดหรือข้องอยู่กับกรรมเพียงน้อยนิดขณะใกล้จะสิ้นใจตาย ก็ยังสามารถเบี่ยงเบนจุดหมายปลายทางที่จะไปเกิดได้

ซึ่งในอัตประวัติท่านมีเกร็ดเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นชัดเจนพอสมควร ดังจะนำมาเล่าดังต่อไปนี้ กล่าวคือ เมื่อ ครั้งที่หลวงปู่ดู่มีพรรษาไม่มากนัก ที่วัดสะแกมีเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือ พวกโจรใจบาปหยาบช้ามักจะเข้ามาลักขโมยสิ่งของในวัดเนืองๆ บางครั้งขณะที่หลวงปู่ดู่นอนอยู่ พวกมันก็ยังบังอาจเข้ามาลักขโมยเอาไปต่อหน้าต่อตา หลวงปู่ดู่เคยทราบจากตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่า พระ อาจารย์ธรรมโชติมีคาถาอาคมขลังอยู่บทหนึ่งสำหรับกำหราบขโมย หากมีใครลักขโมยสิ่งของไป จะต้องกลับเอามาคืนหมด แต่พระอาจารย์ธรรมโชติได้ล่วงลับไปนานแล้ว และไม่มีผู้ใดสืบทอดวิชานี้เอาไว้ ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระอาจารย์ธรรมโชติมาสอนวิชาอาคมนี้แก่ท่านใน นิมิต แต่ก็ไม่เคยมีนิมิตปรากฏเอาเสียเลย กระทั่งเวลาผ่านไปหลายปี ทำให้ท่านลืมเรื่องที่อธิษฐานจิตเรื่องนี้โดยสนิท

ท่าน ผู้อ่านอาจจะเลือนๆ เรื่องของพระอาจารย์ธรรมโชติไปแล้วก็ได้ ดังนั้นจะขอทบทวนความทรงจำสักนิด กล่าวคือ ก่อนมหาธานีกรุงศรีอยุธยาจะถึงกาลล่มสลายในครั้งที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ด้วยน้ำมือของพม่าข้าศึก คนไทยทุกคนย่อมจะจำกันได้ถึงวีรกรรมค่ายบางระจัน นักรบไทยใจหาญกล้ามิว่าชายหญิง รวมตัวกันปักหลักสร้างค่ายสู้กับทหารพม่าอย่างยิบตา พม่ายกกองทหารมาตีคราวใดก็ต้องพ่ายแพ้กลับไปคราวนั้น ณ ที่ค่ายบางระจันนี้ นามของ “พระอาจารย์ธรรมโชติ” ก็เป็นที่ปรากฏ และได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

พระอาจารย์ธรรมโชติ เป็นพระภิกษุผู้ทรงวิชาอาคมเป็นเลิศ ได้มาเป็นมิ่งขวัญกำลังใจให้แก่ชาวค่ายบางระจันตลอดเวลาที่สู้ศึกกับพม่า ตราบกระทั่งค่ายบางระจันถูกถล่มจนค่ายแตก ประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับ วีรบุรุษวีรสตรีลูกค่ายบางระจันสู้ศึกจนตัวตายเกลื่อนค่ายเกลื่อนแผ่นดิน เป็นที่เลื่องลือ และพระอาจารย์ธรรมโชติก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในประวัติศาสตร์มิได้บันทึกเอาไว้ว่าพระอาจารย์ธรรมโชติหายสาบสูญไปเช่นไร แต่เป็นที่เชื่อได้ข้อหนึ่งว่า คมดาบของพม่าข้าศึกคงไม่มีทางระคายแม้แต่เงาของท่าน นับแต่ค่ายบางระจันแตก กรุงศรีอยุธยาล่มสลาย ตราบกระทั่ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกอบกู้เอกราช สถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี แล้วมาถึงรัชสมัยของ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขึ้นครองราชย์ ย้ายเมืองหลวงมาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ คือ กรุงเทพมหานคร กาลเวลาล่วงเลยไปนานแสนนานเช่นนี้ พระอาจารย์ธรรมโชติย่อมมรณภาพไปแล้วตามวงวัฏแห่งอนิจจัง วิญญาณของท่านจะไปสถิตอยู่ ณ ที่แห่งใด ย่อมยากที่จะรู้ได้

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ในกาลต่อมา ท่านผ่านพรรษามานานหลายพรรษาแล้วและรับศิษย์ไว้ผู้หนึ่ง ซึ่งกล่าวได้ว่าศิษย์ผู้นี้กับท่านมีวาสนาเกื้อกูลกันโดยตรงก็ว่าได้ เพราะศิษย์คนนี้มิใช่พุทธศาสนิกชน หากนับถือศาสนาคริสต์ ระยะแรกๆ ที่มาฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ เขาไม่มีศรัทธาปฏิบัติธรรมกรรมฐาน

ต่อมาจึงได้ยอมปฏิบัติและก้าวหน้าในทางธรรมกรรมฐานอย่างเหลือเชื่อ กระทั่งวันหนึ่งเข้าไปเจริญสมาธิในกุฏิกับหลวงปู่ดู่ ได้ ปรากฏหลวงปู่ทวดในนิมิต แต่ด้วยเหตุผลทางศาสนาจึงไม่ยอมกราบไหว้นมัสการหลวงปู่ทวด ในที่สุดเขาก็ต้องก้มกราบหลวงปู่ทวดด้วยความเคารพศรัทธาอย่างหาที่เปรียบมิ ได้ วันหนึ่งศิษย์คนนี้มารายงานผลการปฏิบัติของตนต่อหลวงปู่ดู่ตามปกติ จากนั้นจึงได้กราบเรียนถามท่านว่า

“หลวงลุงครับ หลวงลุงรู้จักหลวงปู่พระอาจารย์ธรรมโชติไหมครับ”

ได้ ยินลูกศิษย์ถาม หลวงปู่ดู่เพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ท่านเคยอธิษฐานถึงพระอาจารย์ธรรมโชติ ขอคาถากำราบโจรไว้นานแล้วจนลืม จึงตอบลูกศิษย์ว่า

“รู้จักซิ”

แล้วเล่าให้ฟังที่ท่านเคยอธิษฐานขอให้พระอาจารย์ธรรมโชติมาปรากฏในนิมิต ศิษย์จึงกราบเรียนถวายว่า

“พระ อาจารย์ธรรมโชติท่านสั่งให้มาเรียนหลวงลุงว่า คาถาที่ของนั้นยังเป็นโลก ติดอยู่ในโลก ไปไม่ได้ แต่วิธีการของหลวงลุงเป็นการทำตัวให้พ้นโลก ที่ท่านทำนั้นสูงแล้ว”

ขณะที่ศิษย์ซึ่งเคยนับถือศาสนาคริสต์ มารายงานผลการปฏิบัติ และเล่าเรื่องพระอาจารย์ธรรมโชติ (มาปรากฏในนิมิต) สั่งความมาถึงหลวงปู่ดู่ มีศิษย์คนอื่นๆ นั่งฟังอยู่ด้วยหลายคน ท่านจึงพูดให้ได้ยินกันทุกคนว่า

“ที่จริงข้าลืมไปแล้วด้วยซ้ำเพราะขอมานมนานกาเล แต่ท่านยังอุตส่าห์บอกถึงข้าจนได้”

ขอบคุณแหล่งที่มาเนื้อหา
http://board.palungjit.com/f13/
บันทึกการเข้า
ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2011, 06:51:22 am »
0






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2012, 08:27:08 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ตามกระแสบุญครูบาอาจารย์สายพุทธภูมิ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กันยายน 03, 2012, 04:43:14 am »
0
เที่ยวท่องธรรมนำกล่าวเล่าสิบ
ไปหล่อรูปเหมือน "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ"



















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2012, 06:48:22 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ตามกระแสบุญครูบาอาจารย์สายพุทธภูมิ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กันยายน 03, 2012, 05:12:52 am »
0
เที่ยวท่องธรรมนำกล่าวเล่าสิบ
ไปหล่อรูปเหมือน "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ"















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2012, 05:37:38 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ตามกระแสบุญครูบาอาจารย์สายพุทธภูมิ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กันยายน 03, 2012, 05:28:55 am »
0
เที่ยวท่องธรรมนำกล่าวเล่าสิบ
ไปหล่อรูปเหมือน "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ"















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2012, 05:48:29 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ตามกระแสบุญครูบาอาจารย์สายพุทธภูมิ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กันยายน 03, 2012, 05:52:23 am »
0
เที่ยวท่องธรรมนำกล่าวเล่าสิบ
ไปหล่อรูปเหมือน "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ"















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2012, 06:02:22 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ตามกระแสบุญครูบาอาจารย์สายพุทธภูมิ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กันยายน 03, 2012, 06:03:33 am »
0
เที่ยวท่องธรรมนำกล่าวเล่าสิบ
ไปหล่อรูปเหมือน "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ"



กิจกรรมนี้ผม(ธรรมธวัช) นำพาเพื่อนๆชาวเว็บมาที่สำนักงานใหญ่โรงหล่อ "พุทธรังษี ปฏิมา" (บ้านช่างหล่อ)

เรามาหล่อรูปเหมือนครูบาอาจารย์สายพุทธภูมิ "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ" โดยมีหลวงตาม้า พระอาจารย์วรงคต

วิริยธโร จากวัดถ้ำเมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ มาเป็นประธานนำเจริญมนต์พระคาถามหาจักรพรรดิ์ในพิธี ซึ่ง

ท่านเป็นศิษย์สายตรงรูปสำคัญในสายพุทธภูมิ ครับ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 15, 2013, 04:40:13 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

สมภพ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 485
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กันยายน 03, 2012, 09:22:43 am »
0
อนุโมทนา ด้วยครับ ที่นำภาพมาฝากให้อนุโมทนากันครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

เสกสรรค์

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 419
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กันยายน 03, 2012, 09:37:36 am »
0
เข้่าแถว เข้าคิวยาว เลยนะครับ กับสารธารศรัทธา ของคณะศิษย์ สายหลวงปุ่่ดุ่
อนุโมทนาสาูธุ ครับ

 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กันยายน 03, 2012, 07:35:58 pm »
0


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 04, 2012, 08:18:35 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: กันยายน 05, 2012, 07:40:18 pm »
0
ขอบคุณ คุณธรรมธวัช มากคะ ที่นำภาพมาให้ชื่นชมกันคะ
สาธุ สาธุ สาธุ

  :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: พระผงจักรพรรดิ์ "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ"
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2013, 05:01:02 pm »
0
พระผงกรรมฐาน(กัมมัฏฐาน)
พระกำลังจักรพรรดิ์หลวงปู่ดู่

                                                                                                                       Thanks: Myuppic.com


พระรุ่นนี้เหมาะสมเป็นอย่างมากในการเจริญกรรมฐาน หลวงปู่ดู่สมัยที่ท่านยังทรงธาตุขันธ์อยู่ ท่านสร้างพระผงออกมา

เพื่อให้ลูกศิษย์ได้ใช้ในการเจริญพระกรรมฐานให้ก้าวหน้าได้โดยไว โดยเป็นการใช้พลังจากองค์พระ ในเนื้อพระผง

จักรพรรดิของหลวงตาม้าทุกรุ่นบรรจุมวลสาร ผงจักพรรดิหลวงปู่ดู่ที่ท่านหลวงตาท่าน ได้รับมาจากหลวงปู่ดู่โดยตรง

และช่วงไหนสวดมนต์นั่งสมาธิแผ่บุญ แผ่เมตตาสม่ำเสมอ บุญจะเกิดที่ตัวเราดีมากยิ่งขึ้นครับ ทั้งพระธาตุบนองค์พระ

จะขึ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย (พระผงจักรพรรดิหลวงปู่ดู่ขึ้นพระธาตุทุกองค์) หลวงตาเคยเมตตากล่าวให้ฟังว่าพระที่ท่าน

ทำขึ้นมาชุดนี้ เป็นพระกำลังของพระโพธิสัตว์จึงมีพุทธคุณและ กำลังบารมี 10 เข้มข้นนำไปใช้ประโยชน์ในด้านกุศล

ได้ร้อยแปดพันเก้า หากนำไปบูชาก็จะเป็นการทำให้ภพภูมิเทวดาผีสางสัมภเวสีที่ผ่านไปผ่านมารับกระแสตรงนี้เข้าไป

ปรับให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย (โดยการกำพระขอกำลังพระ/หลวงปู่ สวดจักรพรรดิแล้วน้อมบุญไป) นอกนั้น

ยังมีพุทธคุณเข้มสำหรับการเจริญภาวนากรรมฐาน โดยการเอามากำก่อนนั่งสมาธิแล้วกำหนดจิตเข้าไปที่องค์พระ จะ

ทำให้ภาวนาได้ง่ายขึ้น เพราะมีพลังงานจากองค์พระมาเสริมที่ดวงจิตด้วย จากนั้นจึงไปทำสมาธิในแบบที่ท่านถนัดโดย

เป็นวิธีการที่นิยมกันในหมู่ลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่เรื่อยมาจนถึงหลวงตาม้าในปัจจุบัน และหากนำพระไปแช่น้ำก็สามารถ

ทำเป็นน้ำมนต์รักษาโรค หรือเป็นศิริมงคลแก่ตนก่อนออกไปดำเนินชีวิตก็ยังได้




http://www.jidsai.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=6&Category=jidsaicom&No=1380301
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 15, 2013, 05:52:59 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2013, 05:22:50 pm »
0

Thanks: Myuppic.com

พระผงกรรมฐาน(กัมมัฏฐาน) พระกำลังจักรพรรดิ์หลวงปู่ดู่ จากภาพที่เห็นเป็นพระที่ผม(ธรรมธวัช) ได้มอบไว้แก่สหายท่านหนึ่งที่มีวัตรปกติกำพระผงหลวงปู่ดู่เจริญมนต์คาถามหาจักรพรรดิ์เป็นปกติทุกวัน ปรากฏเหตุเป็นที่ประจักษ์ให้เห็นอย่างน่าแปลกที่ด้านหลังองค์พระเกลี้ยงๆมีสิ่งผุดงอกลักษณะคล้ายเมล็ดกรวดจำนวน 10 เมล็ดกรวดปรากฏเห็นเด่นชัด จึงนำภาพนี้ลงหน้าเว็บไว้ให้สหายธรรมได้พิจารณา ครับ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 15, 2013, 05:38:13 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา