ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สัมผัสเสน่ห์ธรรมชาติ “อช. ดอยสุเทพ-ปุย” พร้อมไหว้ “พระธาตุดอยสุเทพ”  (อ่าน 271 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

 :25: :25: :25:

สัมผัสเสน่ห์ธรรมชาติ “อช. ดอยสุเทพ-ปุย” พร้อมไหว้ “พระธาตุดอยสุเทพ” สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่


วิวทิวทัศน์เมื่อมองลงมาจากดอยสุเทพ (ภาพจาก อช. ดอยสุเทพ-ปุย)

ลมหนาวเริ่มโชยมาในบางพื้นที่แล้ว อากาศดีๆ แบบนี้ หลายคนคงกำลังหาที่ปักหมุดไปเที่ยวทางภาคเหนือกันอยู่ อย่าง จ.เชียงใหม่ จังหวัดยอดฮิตที่มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมาย และกำลังจะเปิดประเทศอีกครั้งในวันที่ 1 พ.ย. 64  ภายใต้โครงการ “Charming Chiang Mai” อีกด้วย


ธรรมชาติแสนงามภายในอุทยานฯ (ภาพจาก อช. ดอยสุเทพ-ปุย)

โดยมีพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ อำเภอแม่ริม อำเภอแม่แตง และอำเภอดอยเต่า ที่เข้าร่วมโครงการนี้ แต่หากใครที่ยังไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนในเชียงใหม่ดี ขอแนะนำให้มาเที่ยวที่ “อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย” ที่นอกจะมีความสวยงามของธรรมชาติชวนสดชื่นแล้ว ภายในอุทยานฯ ยังมีสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ให้ได้ชมอีกด้วย

สำหรับ อช. ดอยสุเทพ-ปุย ครอบคลุมท้องที่ อ.แม่ริม อ.หางดง และ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พื้นที่อุทยานประกอบด้วย ดอยสุเทพ ดอยบวกห้า และดอยปุย อันเป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธาร และมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง



พระธาตุดอยสุเทพ

ในอดีต “ดอยสุเทพ” ชื่อว่า “ดอยอ้อยช้าง” โดยดอยสุเทพที่เรียกกันในปัจจุบันนี้เป็นชื่อที่ได้มาจาก “พระฤาษีวาสุเทพ” ซึ่งเคยบำเพ็ญตบะอยู่ที่เขาลูกนี้เมื่อพันกว่าปีมาแล้ว

ที่ดอยสุเทพนี้ เป็นที่ตั้งของ “วัดพระธาตุดอยสุเทพ” วัดสำคัญของเชียงใหม่ ภายในวัดมี “พระธาตุดอยสุเทพ” เป็นพระเจดีย์ที่สูงเด่นสง่าเปล่งประกายสีทอง ด้านในพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย

ซึ่งบริเวณทางขึ้นดอยนั้นก็สามารถแวะสักการะ “อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย”นักบุญแห่งล้านนา ผู้เป็นพระนักพัฒนาและเป็นศูนย์รวมจิตใจและศรัทธาของผู้คนในภาคเหนือและจากทั่วทุกสารทิศได้เช่นกัน

จากวัดพระธาตุดอยสุเทพขึ้นไปอีกราว 5 กิโลเมตรก็จะถึงทางเข้า “พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์” ตั้งอยู่บนดอยบวกห้า ซึ่งที่นี่เป็นพระตำหนักที่ประทับในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถและพระบรมวงษานุวงศ์เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับแรมที่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อทรงเยี่ยมราษฎรในเขตภาคเหนือ


ยอดดอยปุยบริเวณสันหัวหมู (ภาพจากสำนักอุทยานแห่งชาติ)

นักท่องเที่ยวสามารถชมสวนต่างๆ รอบพระตำหนัก มีสวนดอกไม้นานาชนิดให้ได้ชมกันหลากหลายสายพันธุ์ และถัดจากพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ขึ้นไป เส้นทางสายนี้ยังสามารถเดินทางต่อไปที่ “ดอยปุย” เพื่อชมวิถีชีวิตชาวเขาเผ่าม้งกันที่ “บ้านม้งดอยปุย” ได้อีกด้วย โดยสามารถแวะชมวิถีชีวิตชาวม้งและเลือกซื้อของฝากเป็นหัตถกรรมจากฝีมือชาวบ้านได้

และที่ “ยอดดอยปุย” จะเป็นยอดเขาสูงสุดในอุทยานฯ มีความสูง 1,685 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถูกปกคลุมด้วยป่าดิบเขาและป่าสนเขา สภาพอากาศ หนาวเย็นตลอดปี ที่นี่เรียกว่าเป็นสวรรค์ของนักดูนก โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวจะมีนกอพยพหนีหนาว เข้ามาเป็นจำนวนมาก


จุดชมดอกนางพญาเสือโคร่งที่ขุนช่างเคี่ยน (แฟ้มภาพ)

ซึ่งด้านบนนี้ยังมีลานกางเต็นท์และจุดชมวิวทิวทัศน์สวยงามหลายจุด ให้นักท่องเที่ยวได้พักผ่อนชมธรรมชาติรอบตัว อย่างที่ “สถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน” หรือที่คนนิยมเรียกกันว่า “ขุนช่างเคี่ยน” ที่เป็น “จุดชมดอกนางพญาเสือโคร่ง” หรือ “ซากุระเมืองไทย” สีชมพูบานสะพรั่งทั่วพื้นที่

โดยดอกนางพญาเสือโคร่งนี้มักจะเริ่มบานในช่วงกลาง-ปลายเดือนธันวาคมไปจนถึงช่วงปลายเดือนมกราคม ช้าหรือเร็วกว่าเล็กน้อยตามสภาพอากาศในแต่ละปี



น้ำตกแม่สา (ภาพจากสำนักอุทยานแห่งชาติ)

นอกจากนี้ภายในอุทยานฯ ยังมีน้ำตกสวยงามอีกหลายที่ อย่าง “น้ำตกแม่สา” เป็นน้ำตกที่สวยงามที่มีน้ำไหลตลอดปี มีทั้งหมด 10 ชั้น แต่ละชั้นห่างกันประมาณ 100-500 เมตร ถือเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ทั่วบริเวณทำให้สภาพอากาศร่มรื่นเย็นสบายตลอดปี


น้ำตกหมอกฟ้า (ภาพจากสำนักอุทยานแห่งชาติ)

อีกหนึ่งน้ำตกชื่อดังที่ขึ้นชื่อเรื่องความสูงคือ “น้ำตกหมอกฟ้า” เพราะมีลักษณะที่สายน้ำไหลจากผาสูงกว่า 30 เมตร ลงมากระทบแอ่งน้ำขนาดใหญ่เกิดเป็นละอองฟุ้งกระจายไปทั่วเสมือนม่านหมอก ถูกเปรียบเหมือนว่าเป็นสายหมอกจากฟากฟ้า จึงถูกตั้งชื่อว่า “น้ำตกหมอกฟ้า” นั่นเอง

น้ำตกตาดหมอก (ภาพจากสำนักอุทยานแห่งชาติ)

ถัดมาคือ “น้ำตกตาดหมอก” มีลักษณะเป็นผาหินกว้าง ช่วงฤดูฝนถึงปลายฝนต้นหนาวสายน้ำจะไหลผ่านเต็มหน้าผาสวยงามอลังการมาก ส่วนในฤดูร้อนน้ำอาจจะน้อยไปสักนิดแต่ก็ยังพอมีให้เล่นได้


น้ำตกมณฑาธาร (ภาพจากสำนักอุทยานแห่งชาติ)

ต่อที่ “น้ำตกมณฑาธาร” เดิมชาวบ้านเรียกว่า “น้ำตกสันป่ายาง” มีทั้งหมด 3 ชั้น มีต้นกำเนิดมาจากยอดดอยปุย ซึ่งไหลผ่านลำห้วยคอกม้ามายังหน้าผาสูงราว 30 เมตร ลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่างพร้อมละอองน้ำฟุ้งกระจายไป ทั่วบริเวณ


น้ำตกห้วยแก้ว (ภาพจากสำนักอุทยานแห่งชาติ)

และ “น้ำตกห้วยแก้ว” เป็นน้ำตกขนาดเล็กชั้นเดียว สูงประมาณ 10 เมตร เกิดในลำน้ำห้วยแก้ว ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากยอดดอยปุย แอ่งน้ำและธารน้ำ ของน้ำตกหลายจุดสามารถลงเล่นน้ำได้ จัดว่าเป็นน้ำตกธรรมชาติ ที่อยู่ใกล้เมืองมากที่สุดแห่งหนึ่ง ที่นี่จึงไม่เคยเงียบเหงาจากการมาเยือนของผู้คน


พระอาทิตย์ตกดินที่จุดชมวิวใกล้ดอยปุย (ภาพจาก อช. ดอยสุเทพ-ปุย)

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวภายในอุทยานฯ เท่านั้น ซึ่งขณะนี้ (วันที่ 24 ต.ค. 64) อุทยานฯ ได้เปิดแหล่งท่องเที่ยวเป็นบางแห่งแล้ว ได้แก่ น้ำตกหมอกฟ้า, บ้านพักนักท่องเที่ยว (สวนสน), น้ำตกตาดหมอก และน้ำตกมณฑาธาร สำหรับลานกางเต็นท์ดอยปุย จะทำการเปิดประจำปีในวันที่ 1 พ.ย. 64 - 30 เม.ย. 65 สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย Doi Suthep-Pui National Park หรือ โทร. 0-5321-0244




ขอบคุณ : https://mgronline.com/travel/detail/9640000105280
เผยแพร่ : 24 ต.ค. 2564 16:07 , ปรับปรุง : 24 ต.ค. 2564 16:07 ,โดย : ผู้จัดการออนไลน์
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ