ภาพถ่ายบุคคลที่เห็นนี้เกิดจากเทคนิคซ้อนภาพชาวศากยะที่เชื่อว่ามี “สายเลือดบริสุทธิ์” หกคนที่พบในเมืองปาทาน ประเทศเนปาล บุคคลทั้งหกมีตั้งแต่แม่ชี เด็กวัยรุ่น ไปจนถึงชายวัยกลางคน ศากยวงศ์เป็นสายตระกูลของเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งต่อมาล่มสลายลงจากสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยกษัตริย์โกศล
ศากยวงศ์ล่มสลาย
ผมกำลังยืนอยู่ริมสระนํ้า “ศากยฆาต” ในกรุงกบิลพัสดุ์ หนองนํ้ากว้างไกล มีกอบัวและวัชพืชขึ้นรกเรื้อ ว่ากันว่าบริเวณนี้เป็นสถานที่ปลิดชีพชาวศากยะนับแสนคนจากโศกนาฏกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตระกูลศากยะโดยพระเจ้าวิฑูฑภะ การล่มสลายของศากยวงศ์ครั้งนี้มีชนวนเหตุมาจากความต้องการรักษาสายเลือดศากยะให้คงความบริสุทธิ์ ตามธรรมเนียมชาวศากยะจะไม่แต่งงานกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ทว่าเมื่อครั้งพุทธกาล พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์แห่งแคว้นโกศล ซึ่งทรงอำนาจเหนือแคว้นสักกะ (แคว้นของศากยะ) ทรงต้องการร่วมวงศ์พระญาติกับพระพุทธองค์ จึงส่งคณะทูตไปขอมเหสีจากแคว้นสักกะ แต่พระเจ้ามหานามะ กษัตริย์ผู้ครองแคว้นสักกะในเวลานั้น (ต่อจากพระเจ้าสุทโธทนะ) ได้อุปโลกน์ให้นางทาสีซึ่งมีวรรณะตํ่ากว่ ถวายตัวแด่พระเจ้าปเสนทิโกศล
ในเวลาต่อมา นางทาสีได้ให้กำเนิดวิฑูฑภะ และเมื่อวิฑูฑภะหวนคืนสู่แคว้นสักกะ ได้ค้นพบความจริงว่า ตนเองมีวรรณะจัณฑาล และถือกำเนิดจากนางทาสีของแคว้นสักกะ จึงกลับไปยังแคว้นโกศล ทำรัฐประหารพระบิดาของตนเอง แม้พระพุทธเจ้าจะทรงห้ามศึกครั้งนี้ถึงสามครั้ง แต่วิฑูฑภะก็ยกทัพหลวงมาทำลายล้างแคว้นสักกะจนราพนาสูร
หลังการล่มสลายของแคว้นสักกะ และถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นโกศล ชาวศากยะที่รอดจากการสังหารหมู่ได้หลบหนีไปยังเนปาล อินเดีย และปากีสถาน ศากยวงศ์กลายเป็นตระกูลเก่าแก่ที่เชื่อกันว่ายังรักษาธรรมเนียมสายเลือดบริสุทธิ์ และนับถือพุทธศาสนาตั้งแต่กำเนิด ทว่าทุกวันนี้คนที่ “ถือนามสกุล” ศากยะมีอยู่ทั่วไป แต่ส่วนใหญ่มักเป็นคนที่เปลี่ยนจากศาสนาฮินดูมานับถือพุทธศาสนา (ส่วนมากเป็นจัณฑาลในอินเดีย) และคนที่แอบอ้างศากยะเพื่อทำการค้าเนื่องจากศากยวงศ์เป็นตระกูลที่น่าเชื่อถือ ดังนั้นการพบชาวศากยะ “สายเลือดบริสุทธิ์” จึงเป็นการยืนยันการมีตัวตนอยู่จริงขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า และเค้าโครงลักษณะทางกายภาพของชาวศากยะ
“ตั้งแต่ผมอยู่เนปาล ผมก็ตามหาพวกเขาเหมือนคุณนี่แหละ แต่ไม่เคยเจอเลย ผมเลยไม่เชื่อว่ายังมีพวกศากยะเหลืออยู่จริง” อจิตมัน ตามัง เลขานุการกองทุนพัฒนาลุมพินี บอก เมื่อผมถามถึงชาวศากยะที่ยังหลงเหลืออยู่พระสงฆ์ในวัดญี่ปุ่นที่สารนาถกำลังสาธยายมนต์ตามหลักความเชื่อทางพุทธศาสนา สารนาถเป็นหนึ่งในสี่สังเวชนียสถาน ตั้งอยู่ในรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ในอดีตที่แห่งนี้คือป่าอิสิปตนมฤคทายวันสถานที่บำเพ็ญพรตของเหล่านักบวชหลากลัทธิ และเป็นที่แสดงปฐมเทศนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตามหาศากยวงศ์
พระสุพัทธ์ สุพัทโธ พระสงฆ์ไทยแห่งวัดราชวัง กรุงกบิลพัสดุ์ แนะนำผมให้เดินทางไปที่วัดศรีศากยะสิงหะวิหาร เมืองปาทาน ประเทศเนปาล ”พอถึงที่นั่นให้ลองถามหาแม่ชีชื่อ ‘เขมา’ อาจได้เบาะแสเพิ่มเติม” สอดคล้องกับพระไมตรี พระชาวเนปาลที่ผมพบที่ลุมพินี ก็บอกในทำนองเดียวกันว่า ชาวศากยะส่วนใหญ่อยู่ในหุบเขากาฐมาณฑุโดยเฉพาะที่เมืองปาทาน
จากเมืองโบราณกบิลพัสดุ์ ผมใช้เวลาเดินทางมายังวัดศรีศากยะสิงหะวิหาร เมืองปาทาน หนึ่งวันเต็มๆ และพยายามโทร.หาแม่ชี “เขมา” แต่ก็คว้านํ้าเหลว กระนั้น การค้นหาชาวศากยะของผมกลับสำเร็จโดยบังเอิญ
ระหว่างออกถ่ายรูปสถานที่ต่าง ๆ ตามตรอกซอยของเมืองมรดกโลกแห่งนี้ ครั้งแรกผมได้พบกับอนันด ศากยะเด็กหนุ่มวัย 18 ปีที่เพิ่งกลับจากไหว้พระก่อนไปเรียนหนังสือในซอยแคบๆ แห่งหนึ่ง อนันดานับถือพุทธนิกายมหายาน และเป็นเหมือนเด็กหนุ่มทั่วไปที่แต่งตัวเก่งและชอบฟังเพลงฮิปฮอป หลังเลิกเรียน ผมพบเขาอีกครั้งแต่เขาปฏิเสธไม่ยอมให้ผมถ่ายภาพเขาในชุดแรปเปอร์หนุ่ม ”ปู่ของผมเล่าให้ฟังว่า ต้นตระกูลของเรา ‘หนี’ ออกมาจากทางตะวันตก” ซึ่งก็คือกรุงกบิลพัสดุ์นั่นเอง
“ผมจะหาชาวศากยะได้อีกที่ไหน” ผมถามอนันดา
“ก็แล้วแต่ดวงของคุณ” เขาตอบ
ทว่าการเดินเท้าในเมืองปาทานทำให้ผมพบชาวศากยะได้ง่ายกว่าที่คิด ความบังเอิญครั้งที่สองเกิดขึ้นที่วัดสุรัชดามหาวิหาร ผมพบกับธิตามุนี ศากยะ ชายเคร่งศาสนาวัย 58 ปี “ผมเป็นชาวเนปาลแต่กำเนิด และบวชเป็นเณรตั้งแต่ยังเด็กครับ” ธิตาเล่าว่า ในยุคหนึ่งมีความขัดแย้งทางการเมืองในเนปาล (ช่วงคอมมิวนิสต์และสงครามเย็น) ทำให้พระสงฆ์และเณรทั้งหมดต้องอพยพออกนอกประเทศ เขาเป็นหนึ่งในพระศากยะที่ลี้ภัยไปอยู่ในเมืองพิหาร รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย เมื่อมรสุมทางการเมืองสงบลงจึงสึกกลับมาคนงานก่อสร้างชาวอินเดียกำลังบูรณะโบราณสถานในเขตเมืองสารนาถ ซึ่งอดีตคือสถานที่แสดงปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า
ทุกวันนี้ ธิตาทำอาชีพค้าขาย ”ผมยืนยันว่าผมเป็นชาวศากยะแท้ครับ เพราะตระกูลของผมสืบเชื้อสายมาจากชาวกบิลพัสดุ์”
ปัจจุบัน ประมาณการว่ามีชาวศากยะอยู่ประมาณ 2,000-3,000 คน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองปาทานและกรุงกาฐมาณฑุ ชาวศากยะที่ผมพบยังคงรักษาธรรมเนียมการแต่งงานในสายตระกูลเดียวกันอยู่ และนับถือพุทธศาสนาแต่กำเนิด ที่น่าสนใจคือเค้าโครงใบหน้าของพวกเขากลับไม่คล้ายชาวอารยันหรือชาวอินเดียที่นับถือฮินดูแม้แต่น้อย กลับคล้ายชาวมองโกลอยด์ที่มีผิวเหลืองมากกว่า นี่เป็นข้อสันนิษฐานที่ถกเถียงกันมาหลายศตวรรษแล้วว่ พระพุทธองค์ทรงมีเชื้อสายและเค้าโครงพระพักตร์แบบใดกันแน่ (เนื่องจากพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมีต้นแบบจากช่างฝีมือชาวกรีก ราว พ.ศ. 500 – 550 เมื่อครั้งพระเจ้ามีนานเดอร์ที่หนึ่งยกทัพมาครองแคว้นคันธาราฐ)
หลังโทรศัพท์ติดต่อแม่ชีเขมาสำเร็จ ท่านแนะนำให้ผมไปที่วัดธรรมกีรติวิหาร ห่างจากเมืองปาทานไปราว 30 กิโลเมตร ที่นั่นเป็นสถานที่จำวัดของแม่ชีธมาวาตี ศากยะ วัย 81 ปี แม่ชีชาวศากยะผู้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ท่านอนุญาตให้เราสัมภาษณ์และถ่ายภาพ ผมมองเข้าไปในอารามที่ท่านจำวัดอยู่ ในห้องนั้นมีรูปถ่ายคู่กับบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงมากมายแขวนอยู่
ตลอดหลายชั่วโมงที่วัดแห่งนั้น ผมยังพบกับแม่ชีธรรมา ดินนา ศากยะ วัย 76 ปี และแม่ชีไบเรนดา ไรนา ศากยะ วัย 50 ปี ทั้งคู่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับต้นตระกูลคล้าย ๆ กับที่ผมได้ฟังมาจากอนันดาและธิตา นั่นคือบรรพบุรุษของพวกเขาถือกำเนิดและ “หนี” ออกมาจากทางตะวันตกหรือกรุงกบิลพัสดุ์ ธรรมเนียมของตระกูลคือยังคงรักษาสายเลือดบริสุทธิ์ โดยแต่งงานกับคนตระกูลเดียวกัน และนับถือพุทธศาสนาตั้งแต่กำเนิด
ผมรีบเดินทางออกจากเนปาลหลังพบชาวศากยะได้ไม่นาน ก่อนที่รัฐบาลจะประกาศปิดประเทศอย่างเร่งด่วนเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ ไม่ถึงหนึ่งเดือนต่อมาก็เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในเนปาล และชาวศากยะส่วนใหญ่ที่ผมพบในคราวนั้นยังไม่สามารถติดต่อได้เด็กหนุ่มในหมู่บ้านอันธยะกำลังเดินข้ามแม่นํ้ากกุธานที แม่นํ้าสายสุดท้ายใกล้เมืองกุสินารา ที่พระพุทธองค์เสด็จข้ามก่อนดับขันธปรินิพพาน
ตรัสรู้และเผยแผ่หลักธรรม
แม้สายนํ้าจะแห้งเหือดเหลือเพียงหาดทราย แต่ขอบตลิ่งเนินทรายเป็นแนวชี้ว่า บริเวณนี้เคยเป็นสายนํ้าใหญ่ ชาวบ้านท้องถิ่นยังอาศัยตานํ้าที่เหลืออยู่เป็นแหล่งนํ้าสำหรับอุปโภคบริโภค ผมตามรอยสมณสิทธัตถะมาจนถึงฝั่งแม่นํ้าเนรัญชราที่เมืองคยา รัฐพิหาร ท่ามกลางหมู่ชาวพุทธจำนวนมากที่เดินทางมาแสวงบุญ
ตลอดหกปีนับตั้งแต่เจ้าชายหนุ่มเสด็จออกจากประตูพระราชวัง พระองค์ทรงตระเวนแสวงหาความรู้ตามสำนักลัทธิต่าง ๆ มากมาย ทรงกระทำอัตตกิลมถานุโยคหรือทุกรกิริยา ซึ่งถือเป็นการทำร้ายหรือทรมานร่างกายตนเองอย่างรุนแรงทว่ากลับไม่มีประโยชน์อันใด นักบวชหนุ่มกลับมารับบิณฑบาตข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดาเพื่อฟื้นฟูร่างกาย แล้วใช้เวลาทบทวนความรู้โดยใช้สมาธิบนพื้นฐานสติปัญญาและร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงอีกครั้ง จนกระทั่งบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่สุด
หลังตรัสรู้ พระพุทธองค์ทรงออกเดินทางเพื่อเผยแผ่หลักธรรม ผมและผู้ช่วยออกเดินทางจากพระมหาโพธิเจดีย์ในพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธองค์ มุ่งหน้าสู่เมืองสารนาถหรือป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แคว้นกาสี หรือเมืองพาราณสีในปัจจุบัน ไปตามถนนหลวงระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร ตามรอยเส้นทางที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนาแก่เหล่าปัญจวัคคีย์ทั้งห้าที่เคยร่วมศึกษาแสวงหาความหลุดพ้นมาด้วยกัน
พระพุทธองค์ทรงค้นพบหลักธรรมอันลึกซึ้งว่าด้วยธรรมชาติของชีวิต ทว่าการอธิบายให้ผู้คนในยุคสมัยที่มีความเชื่อหลากหลายเข้าใจได้นั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย นักประวัติศาสตร์บางคนวิเคราะห์ว่า การเผยแผ่หลักธรรมใหม่โดยนักบวชวัยเพียง 35 ปี นับว่าเสี่ยงมากที่จะล้มเหลว เหล่าปัญจวัคคีย์ทั้งห้าซึ่งเพียบพร้อมด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ เมื่อได้รับฟังและมีดวงตาเห็นธรรมในเวลาไม่นานจึงเป็นพุทธสาวกกลุ่มสำคัญที่ช่วยกระจายหลักธรรมของพระพุทธองค์จนเป็นที่ยอมรับของเหล่ากษัตริย์พราหมณ์ ตลอดจนเจ้าลัทธิต่างๆชายชราชาวอินเดียนั่งอยู่บนแนวอิฐทางทิศตะวันออกของประตูเมืองกบิลพัสดุ์ บริเวณเดียวกับที่เชื่อกันว่าเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช ภาพชีวิตเกิด-แก่-เจ็บ-ตายเช่นนี้ คือสัจธรรมที่ทำให้หวนนึกถึงเรื่องราวในพุทธประวัติที่ว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงมุ่งหวังที่จะหลุดพ้นจากสังสารวัฏหรือการเวียนว่ายตายเกิด
เมื่อมีพุทธสาวกจำนวนหนึ่งแล้วพระพุทธองค์ทรงจาริกสู่กรุงราชคฤห์เมืองหลวงของแคว้นมคธ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของพุทธคยา บนเส้นทางนี้เอง สันนิษฐานว่าพระพุทธองค์น่าจะทรงได้พบปะสนทนาธรรมกับกลุ่มชฎิลสามพี่น้องลัทธิบูชาไฟ และเหล่าสาวกจำนวนมาก ภายหลังพวกลัทธิบูชาไฟเหล่านี้เกิดเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนาและประกาศรับหลักคำสอนของพระพุทธองค์ นี่อาจเป็นที่มาของเหตุการณ์ในวันมาฆบูชาซึ่งเหล่าชฎิลพากันมาขออุปสมบทกับพระพุทธองค์พร้อมกับสาวกของพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรจำนวนมากที่เวฬุวันมหาวิหาร
กรุงราชคฤห์ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาทั้งห้าเรียกว่าเบญจคีรีนคร พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์ผู้ครองกรุงราชคฤห์ในสมัยพุทธกาล พระราชทานพื้นที่แต่ละเนินเขาให้เจ้าลัทธิต่างๆ สร้างสำนักเพื่อแสวงหาหนทางแห่งการหลุดพ้น (ผมอยากให้นิยามส่วนตัวว่าที่นี่เป็นเหมือน “ศูนย์วิจัยทางการหลุดพ้น”) ที่นี่จึงเป็นที่ตั้งของสำนักความเชื่อหลากหลาย ทั้งพราหมณ์ เชน และพุทธ บริเวณที่ราบแห่งหนึ่งเป็นที่ตั้งของเวฬุวันมหาวิหาร วัดแห่งแรกในพุทธศาสนา
เช้าวันหนึ่งผมเดินขึ้นไปยังเนินเขาคิชฌกูฏ ในกรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นเขาหินปูนสูงชันเต็มไปด้วยหลืบโพรงถํ้ากระจายไปทั่ว เหมาะแก่การปลีกวิเวกบำเพ็ญภาวนา บนยอดเขาแห่งนี้คือสถานที่พำนักของพระพุทธองค์และศิษยานุศิษย์สมัยเมื่อครั้งเดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนาแก่พระเจ้าพิมพิสารและพสกนิกรในกรุงราชคฤห์
ตลอด 45 พรรษาหลังจากตรัสรู้ พระพุทธองค์ทรงจาริกเพื่อเผยแผ่หลักธรรมคำสอนในแคว้นต่าง ๆ ได้แก่ โกศล มัลละ วัชชี วังสะ มคธ สักกะ พระองค์ทรงอธิบายหลักธรรมที่เที่ยงตรง และเป็นความจริงของธรรมชาติแก่ผู้คนในหลายลัทธิความเชื่อ โดยมุ่งหมายให้เข้าถึงสัจธรรมของชีวิตอันเท่าเทียมและไม่ได้ถูกกำหนดโดยชนชั้นวรรณะสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศหลักธรรมในดินแดนชมพูทวีปที่มีความเชื่อทางจิตวิญญาณหลากหลาย กระทั่งจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะศาสนาพราหมณ์-ฮินดูซึ่งเป็นศาสนาดั้งเดิมของชาวอารยันในภาพนักบวชฮินดูยืนให้พรจากท่านํ้าแห่งหนึ่งในเมืองพาราณสีริมฝั่งแม่นํ้าคงคา
ดับขันธปรินิพพาน
“เจ้าชายทรงข้ามแม่นํ้าตรงนี้ครับ” อจิต กุมาร เด็กหนุ่มผู้เป็นตัวแทนชาวบ้านในหมู่บ้านอันธยะ ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษเมื่อได้พบกับผม “ประมาณสิบกว่าปีที่แล้วเคยมีคนของทางการเข้ามาที่นี่ครับ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเข้ามาอีกเลย แม้ผมและคนในหมู่บ้านจะนับถือศาสนาฮินดู แต่ปู่ย่าตายายของเราเคยเล่าเรื่องการข้ามแม่นํ้าผามูหรือแม่นํ้ากกุธานที ก่อนที่เจ้าชายจะสิ้นพระชนม์ ณ ป่าสาลวันใกล้กรุงกุสินารา เราก็เลยพอทราบเรื่องราวอยู่บ้าง” อจิตบอก
ภารกิจตามรอยจาริกของพระพุทธองค์ของผมใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เมื่อผมมาถึงริมฝั่งแม่นํ้ากกุธานทีสีเขียวใส มองเห็นท้องนํ้าและฝูงปลาแหวกว่าย ผมเดินลัดเลาะไปตามสายนํ้าเล็กๆ บางช่วงตื้นเขินจนเด็กเล็กๆ สามารถเดินลุยข้ามได้ ที่นี่อยู่ใกล้กับบ้านของนายจุนทะผู้ศรัทธาถวายภัตตาหาร “สูกรมัททวะ” แด่พระพุทธองค์เป็นมื้อสุดท้าย ก่อนจะทรงอาพาธหนักและเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ปัจจุบัน หมู่บ้านของนายจุนทะเป็นชุมชนมุสลิมเรียกว่า ปาวานคร อยู่ห่างจากกรุงกุสินาราราว 18 กิโลเมตร ลักษณะคล้ายซากสถูปขนาดใหญ่ และยังไม่มีการขุดค้น อย่างไรก็ตาม ทางการอินเดียกำลังมีแผนบูรณะฟื้นฟูที่นี่อีกครั้งในฐานะสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ”คงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนครับกว่าที่นี่จะเสร็จสมบูรณ์ เราทำงานควบคู่กับนักโบราณคดีที่ทางการส่งมา พวกเราจะทำให้ดีที่สุด เพราะผมรู้ว่าสิ่งนี้มีความหมายสำหรับพวกคุณ” นิสรูดิน หัวหน้าฝ่ายบูรณะบอกกับผม
กระทั่งปัจจุบัน นักวิชาการด้านพุทธศาสนายังถกเถียงและไม่ได้ข้อสรุปแน่ชัดว่า “สูกรมัททวะ” ภัตตาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธองค์ คืออาหารชนิดใดกันแน่และเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การอาพาธหนักของพระองค์ก่อนดับขันธปรินิพพานจริงหรือ บ้างตีความว่าอาหารชนิดนั้นคือเนื้อหมูอ่อน (สูกร = สุกร หรือหมู, มัททวะ = อ่อน) บ้างว่าเป็นเห็ดพื้นเมือง บ้างว่าเป็นข้าวที่หุงด้วยนํ้านมวัว
ทว่าหากพิจารณาตามธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชนผู้หนึ่งแล้ว สังขารของพระพุทธองค์ในพระชนมายุย่าง 80 พรรษา ย่อมไม่แข็งแรงเช่นเดิม การบำเพ็ญทุกรกิริยาในวัยหนุ่ม และการตรากตรำจาริกไปยังสถานที่ต่างๆ ในยุคที่การสาธารณสุขและการคมนาคมยังไม่พัฒนา ย่อมส่งผลให้สังขารของพระองค์ทรุดโทรมลงเป็นธรรมดา
ที่หมู่บ้าน “เจ้าชายสิ้นชีพ” ตามคำนิยามของชาวบ้านท้องถิ่น ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในตำบลกาเซียจังหวัดกุศินาคาร์ รัฐอุตตรประเทศ แม้เรื่องราวจะผ่านมากว่า 2,500 ปี ทว่าภายในสวนป่าสาลวันแห่งนี้ซึ่งปัจจุบันแปรสภาพเป็นหมู่บ้านและพุทธสถานนานาชาติกลับยังคงอบอวลไปด้วยบรรยาเศร้าหมอง นี่คือสถานที่สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปัจฉิมโอวาทแก่เหล่าพุทธสาวก เป็นสัจธรรมที่ยังคงดังก้องดั่งคำเตือนของพุทธบิดาที่ประทานแก่พุทธบุตรและพุทธิดาทั้งปวงว่า
“สังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตน และประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด”Thank to :
https://ngthai.com/cultures/38005/thebuddhapath/Cultures, NGThai , 16 ก.ย. 2021
เรื่องและภาพถ่าย : ทรงวุฒิ อินทร์เอม
เผยแพร่ครั้งแรก : ในนิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก เดือนสิงหาคม 2558