ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 311 312 [313] 314 315 ... 707
12481  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แก๊งปลอมบวชโผล่ กทม.มากสุด เมื่อ: ตุลาคม 22, 2015, 11:38:05 pm


แก๊งปลอมบวชโผล่ กทม.มากสุด


สนพ.-เครือข่ายชาวพุทธ ยื่นหนังสือถึง พศ.ตรวจสอบแก๊งปลอมบวช หวั่นกระทบความมั่งคงพระพุทธศาสนา-ชาติ เตรียมยื่นมส. 30 ต.ค.นี้ ด้าน พศ.ขอเจ้าคณะปกครอง พระอุปัชฌาย์ เข้มงวดบวชพระใหม่ เผยสถิติพบมากที่สุดในกรุงเทพฯ รองลงมาตามจังหวัดแนวชายแดนของประเทศ

วันนี้ (22 ต.ค.) ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ผศ.ดร.เสถียร วิพรมหา นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา(สนพ.) พร้อมตัวแทนศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และเครือข่ายชาวพุทธ เข้ายื่นหนังสือต่อนายพนม ศรศิลป์ ผอ.พศ.เพื่อขอให้ตรวจสอบการปลอมบวช ซึ่งมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอของผู้แต่งกายคล้ายพระสงฆ์ และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในพื้นที่จังหวัดสงขลา


 :91: :91: :91: :91: :91:

โดย ผศ.ดร.เสถียร กล่าวว่า ตนได้ขอให้ พศ.ตรวจสอบกรณีผู้ปลอมบวช เพราะมีเจตนามุ่งทำลายพระพุทธศาสนา เนื่องจากบุคคลที่ปลอมบวชไม่ใช่พระสงฆ์ และพฤติกรรมเช่นนี้ทำให้สังคมไทยเกิดความเข้าใจผิด ซึ่งไม่เพียงก่อให้เกิดผลกระทบในแง่ลบต่อพระพุทธศาสนา แต่ยังมีผลต่อความมั่นคงของชาติด้วย โดยหลังจากนี้ สนพ.และเครือข่ายชาวพุทธ จะรวบรวมข้อมูลกรณีปลอมบวช เพื่อทำหนังสือยื่นต่อมหาเถรสมาคม(มส.) ในวันที่ 30 ต.ค.นี้ เพื่อให้รับทราบปัญหา พร้อมั้งจะเสนอแนวทางแก้ไขกรณีปลอมบวช ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนาด้วย

นายพนม กล่าวว่า ตนได้ประชุมผู้บริหาร พศ.โดยได้นำกรณีปลอมบวช เข้าหารือในที่ประชุมด้วย พร้อมสั่งการไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.)ทั่วประเทศ ให้ประสานงานกับพระวินยาธิการ หรือตำรวจพระ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรวจสอบและจับกุมผู้ปลอมบวช ดำเนินคดีข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีความผิดตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 มาตรา 44 ตรี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 :96: :96: :96: :96:

ทั้งนี้ พศ.จะทำหนังสือแจ้งไปยัง พศจ.ทั่วประเทศ เพื่อขอความร่วมมือเจ้าคณะปกครองในพื้นที่ และพระอุปัชฌาย์เข้มงวดกวดขันบวชพระใหม่ เพื่อไม่ให้ผู้ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมเข้ามาบวชเป็นพระ นอกจากนี้ พศ.เตรียมจะร่วมมือกับกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ในการตรวจสอบและป้องกันไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเข้ามาบวชเป็นพระ และก่อเสื่อมเสียต่อพระพุทธศาสนาด้วย

นายชยพล พงษ์สีดา รอง ผอ.พศ. กล่าวว่า ที่ผ่านมาแต่ละปีพบว่ามีผู้ปลอมบวชมากกว่า 10 ราย มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ โดยสาเหตุของการปลอมบวช ส่วนใหญ่จะมุ่งเรี่ยไรเงิน แสวงหาประโยชน์ รวมทั้งมีเจตนาอื่นๆแอบแฝงอยู่ด้วย ซึ่งส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ได้รวบรวมข้อมูลผู้ปลอมบวชไว้และ พบมากที่สุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่และมีประชาชนจำนวนมาก รองลงมา คือ ภาคตะวันออก และจังหวัดตามแนวชายแดน เนื่องจากมีพรมแดนเข้าออกระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/356091
12482  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หนุ่มเผาตัวเองหน้าอุโบสถ โชคดีช่วยทันก่อนถูกคลอก เมื่อ: ตุลาคม 22, 2015, 11:31:31 pm

หนุ่มเผาตัวเองหน้าอุโบสถ โชคดีช่วยทันก่อนถูกคลอก

หนุ่มภูเก็ตเครียดจัด ราดน้ำมันเบนซินจุดไฟเผาตัวหน้าพระอุโบสถวัดดังเมืองภูเก็ต โชคดีผู้รับเหมาก่อสร้างเห็นช่วยดับไฟได้ทันก่อนจะถูกคลอกร่างดับ

เมื่อวันที่ 22 ต.ค. มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ได้รับแจ้งจาก พระราชวิสุทธิมุนี เจ้าคณะจังหวัดภูเก็ต และเจ้าอาวาสวัดพุทธมงคลนิมิตร ถนนดีบุก ต.ตลาดเหนือ อ.เมืองภูเก็ต ว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการจุดไฟเผาตัวเองหน้าพระอุโบสถภายในวัด จึงรุดไปตรวจสอบและให้การช่วยเหลือ ในที่เกิดเหตุพบ นายพิเชฐ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี ยืนตัวสั่นอยู่ในสภาพผมทั้งศีรษะถูกเผาจนไหม้ไปทั่ว ที่บริเวณผิวหนังด้านหลังและตามแขนทั้ง 2 ข้างมีรอยพุพองจากการถูกไฟคลอก จึงทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนนำส่ง รพ.วชิระภูเก็ต ตรวจสอบรอบพระอุโบสถพบแกลลอนน้ำมันเบนซิน 1 ใบ เสื้อแจ็กเกตและซากแว่นกันแดดถูกไฟไหม้เสียหาย

 :41: :41: :41: :41:

จากการสอบถามผู้รับเหมาก่อสร้างที่เห็นเหตุการณ์ ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุกำลังคุมคนงานก่อสร้างอยู่กับเจ้าอาวาสวัดพุทธมงคลนิมิตร ห่างจากพระอุโบสถเพียงเล็กน้อย ระหว่างนั้นได้เห็น นายพิเชฐ ใช้น้ำมันราดแล้วจุดไฟเผาตัวเอง ที่ประตูด้านหลังพระอุโบสถ ก่อนจะวิ่งทุรนทุรายด้วยความร้อน จึงรีบมาช่วยดับไฟที่กำลังลุกไหม้ร่าง จากนั้นทางเจ้าอาวาสฯได้โทรศัพท์แจ้งหน่วยกู้ภัยมาให้การช่วยเหลือดังกล่าว

เบื้องต้นคาดว่า นายพิเชฐ น่าจะมีอาการเครียดจาปัญหาส่วนตัวบางอย่าง จึงได้เดินทางมาที่วัดแห่งนี้ เพื่อจุดไฟเผาร่างตัวเองต่อหน้าพระประธานในอุโบสถ โชคดีที่มีผู้เห็นเหตุการณ์เข้ามาช่วยเหลือได้ทันเวลา อย่างไรก็ดีทางวัดจะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจให้สอบปากคำ นายพิเชฐ อย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป.






ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/crime/356079
12483  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เร่งแก้น้ำท่วมขังวัดพระมหาธาตุฯ เมืองคอน เหตุทรายอุดตันท่อ-ระบายไม่ทัน เมื่อ: ตุลาคม 22, 2015, 11:25:01 pm


เร่งแก้น้ำท่วมขังวัดพระมหาธาตุฯ เมืองคอน เหตุทรายอุดตันท่อ-ระบายไม่ทัน

ผวจ.นครศรีธรรมราช มอบปลัดจังหวัด ประสานผู้เกี่ยวข้อง แก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังภายในวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร เหตุระบายไม่ทัน เนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนราชดำเนิน บริเวณหน้าวัดฯ ...

เมื่อวันที่ 21 ต.ค.นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เผยว่ากรณีปัญหาเกิดน้ำท่วมขังบริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ในช่วงที่มีฝนตกหนักทุกครั้ง เนื่องจากระบายน้ำไม่ทันสร้างภาพไม่สวยงามให้กับวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ซึ่งสาเหตุหนึ่งเกิดจากมีทรายลงไปอุดตันท่อระบายน้ำ เนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนราชดำเนินบริเวณหน้าวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารด้วย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช

"โดยได้มอบหมายให้นายถาวรวัฒน์ คงแก้ว ปลัดจังหวัดนครศรีธรรมราช และสำนักงานจังหวัดนครศรีธรรมราช ไปหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากสาเหตุใดบ้างทั้งบริเวณลานโพธิ์ การประกันสัญญาจ้างการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร รวมทั้งประสานกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว" นายพีระศักดิ์ กล่าว

นายพีระศักดิ์ กล่าวต่อว่า โดยเฉพาะอย่างการขุดลอกเศษทรายและวัสดุต่างๆ ที่อุดตันท่อระบายน้ำ เพื่อให้น้ำไหลลงท่อระบายน้ำที่เชื่อมต่อกับของเทศบาลได้รวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม การดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนหน้าวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จะครบสัญญาจ้างช่วงเดือนธันวาคม 2558 แต่ทางจังหวัดจะเร่งรัดให้ผู้รับจ้างดำเนินการให้รวดเร็วขึ้น


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/533880
12484  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฝนเทระบายไม่ทัน น้ำท่วมวัดพระแก้ว เปิดเข้าชมปกติ เมื่อ: ตุลาคม 22, 2015, 11:23:13 pm


ฝนเทระบายไม่ทัน น้ำท่วมวัดพระแก้ว เปิดเข้าชมปกติ

หลังฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง กว่า 1 ชั่วโมง ในพื้นที่กรุงเทพฯ ส่งผลน้ำท่วมภายในวัดพระแก้วหลายจุด เนื่องจากระบายไม่ทัน แต่ไม่มีการปิดสถานที่ พร้อมเปิดให้เข้าชมได้ตามปกติ ...

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 22 ต.ค. ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว บริเวณประตูทางเข้าด้านประตูสวัสดิโสภา ตรงข้ามกระทรวงกลาโหม มีปริมาณน้ำท่วมขังสูงประมาณ 15 ซม. นอกจากนี้ภายในบริเวณวัดยังมีน้ำท่วมขังหลายจุด บางจุดมีระดับน้ำสูงประมาณ 20 ซม. โดยพบนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศให้ความสนใจยืนถ่ายรูปทำท่วมกันเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางฝนที่ยังตกโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากรู้สึกแปลกใจและไม่เคยเห็น


นักท่องเที่ยวยังเข้าสักการะตามปกติ

เจ้าหน้าที่ เปิดเผยว่า มีฝนตกหนักลงมาตั้งแต่ช่วงเที่ยง ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง จึงทำให้น้ำระบายไม่ทัน กระทั่งท่วมหลายจุดภายในบริเวณวัด โดยเฉพาะในจุดที่มีพื้นต่ำ แต่ภายในมีเครื่องสูบน้ำเร่งระบาย ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังฝนตกน้ำจึงจะแห้ง แต่ไม่ได้มีการปิดสถานที่ ยังเปิดให้ประชาชนทั่วไปมาสักการะและท่องเที่ยวตามปกติ.

น้ำท่วมขังบางจุด ซึ่งเป็นพื้นที่ต่ำ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/534151
12485  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผัวตกงาน ขอเงินเมียไปบวช ไม่ให้ จุดไฟเผาห้องวอด เมื่อ: ตุลาคม 22, 2015, 11:20:17 pm


ผัวตกงาน ขอเงินเมียไปบวช ไม่ให้ จุดไฟเผาห้องวอด

ผัวตกงาน 2 เดือน ขอเงินเมีย 3 พัน เพื่อกลับบ้านไปบวชหลังออกพรรษา ไม่ให้ จุดไฟเผาห้องวอด โชคดีดับทันก่อนลามไปห้องข้างเคียง ...

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 22 ตุลาคม 2558 พ.ต.ท.ไพจิต โคตรก่ำ พนักงานสอบสวน สภ.สวนพริกไทย จ.ปทุมธานี ได้รับแจ้งมีเหตุเพลิงไหม้ ที่แมนชั่น ปากทางเข้าวัดมะขาม หมู่ 2 ถนนติวานนท์ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมเจ้าหน้าที่สายตรวจ และรถดับเพลิงเทศบาลตำบลบ้านกลาง จำนวน 3 คัน

ที่เกิดเหตุ พบว่าเป็นอพาร์ตเมนต์ให้เช่า มีเปลวไฟ และควันไฟพวยพุ่งมาจากห้องที่ชั้น 3 เจ้าหน้าที่ดับเพลิง จึงรีบลากสายยางขึ้นไปทำการดับไฟภายในห้องดังกล่าว ใช้เวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ในวงจำกัด โชคดีเพลิงไม่ลุกลามไปติดยังห้องห้องเคียง แต่ก็ทำให้ผู้อาศัยต่างวิ่งหนีมาอยู่ด้านหน้ากันอย่างโกลาหล


 :41: :41: :41: :41:

จากการตรวจสอบ พบว่าทรัพย์สินภายในห้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า และเอกสาร ถูกไฟไหม้จนเสียหายหมด เหลือเพียงแต่พระพุทธรูปบูชาไม่กี่องค์ ซึ่งจากการสอบสวน น.ส.แหวน (นามสมมติ) เจ้าของห้อง ให้การกับเจ้าหน้าที่ว่า คนที่จุดไฟเผาคือสามี ชื่อนายแบงก์ (นามสมมติ) อายุ 32 ปี ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย เจ้าหน้าที่ฯ จึงควบคุมตัวมาทำการสอบสวน โดยพบว่ายังอยู่ในอาการเมาสุรา

สอบสวน นายแบงก์ ให้การว่า ตนและภรรยาพักอยู่ห้องดังกล่าว โดยตนตกงานมาประมาณเกือบ 2 เดือนแล้ว ซึ่งก็มีปากเสียงกับภรรยาตลอด เนื่องจากยังหางานทำไม่ได้ จนวันนี้ตัดสินใจจะกลับบ้านต่างจังหวัด จึงได้เอ่ยปากมาขอเงินภรรยาจำนวน 3,000 บาท เพื่อจะไปบวชหลังจากออกพรรษา แต่ภรรยาไม่ยอมให้ จึงมีปากเสียงกัน และมีการท้าทายกันขึ้นว่า ถ้าไม่ให้ตนจะจุดไฟเผาเสื้อผ้า ภรรยาคิดว่าตนไม่กล้า ตนจึงได้ใช้ไฟแช็กจุดเผาเสื้อผ้าของตนกลางห้อง ก่อนลุกลามไปติดที่นอน และลามไปทั่วห้อง จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่มาทำการดับไฟ

เบื้องต้นตำรวจ ได้แจ้งข้อหา ทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ แม้เป็นของตนเอง จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์ของผู้อื่น เป็นเหตุเกิดเพลิงไหม้แก่โรงเรือนของผู้อื่น

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/534213
12486  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หมู่บ้านศีล 5 สู่การพัฒนาชาติที่ยั่งยืน ตามหลักธรรมภิบาล เมื่อ: ตุลาคม 21, 2015, 09:43:50 pm
 

หมู่บ้านศีล 5 สู่การพัฒนาชาติที่ยั่งยืน ตามหลักธรรมภิบาล
พระมหาสิริชัย ธัมมานุสารี วัดอนงคาราม รายงาน

จากความที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี มีนโยบายว่า พระพุทธศาสนามีหลักธรรมคำสอนที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน และมอบให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปจัดทำเอกสารแนวคิดในหัวข้อ “พระพุทธศาสนากับการพัฒนาที่ยั่งยืน” เป็นรูปเล่ม เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีฯเป็นลำดับไป เพื่อแสดงให้เห็นถึงการตอบโจทน์นั้น

ทางคณะสงฆ์ไทยโดยเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้ดำริโครงการ หมู่บ้านรักษาศีล ๕ ดังระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการดำเนินงานโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ พ.ศ. ๒๕๕๗ ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นคณะกรรมการฝ่ายบรรพชิต ตามคำสั่งคณะสงฆ์เขตคลองสาน ๒/๒๕๕๘ ได้มีส่วนในการขับเคลื่อนโครงการนี้ จึงขอนำเสนอความสอดคล้องกันของทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายอาณาจักร นำโดยนายกรัฐมนตรี และฝ่ายพุทธจักร นำโดยเจ้าประคุณสมเด็จฯ เพื่อการพัฒนาชาติที่ยั่งยืนตามความประสงค์ของท่านนายกรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

 :96: :96: :96: :96: :96:

๑.ต้องทำความเข้าใจในส่วนของคณะสงฆ์ก่อนว่า นับแต่สมัยพุทธกาล พระสงฆ์มีอุดมการณ์ในการช่วยเหลือผู้คนให้พ้นทุกข์ตามหลักศาสนามาตลอด ดังพระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุผู้จะไปประกาศพระศาสนาว่า “ให้ภิกษุทั้งหลายจาริกไป เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย...” ความนี้ ถือว่าพระสงฆ์มีส่วนช่วยพัฒนาคนส่งเสริมให้มีศีลธรรม เมื่อประชาชนมีความสุขแล้ว สังคมจึงเป็นสุข และคนเหล่านั้นจะเป็นกำลังในการพัฒนาชาติเป็นการปลูกฝังรากลงจิตใจให้ประชาชนทำความดี ละเว้นความชั่ว อันจะส่งผลให้ประชาชาติร่มเย็นสืบไป

๒. โครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ปัจจุบันนี้ได้มีประชาชนสมัครเข้าโครงการแล้วประมาณ ๓๐ ล้านคน จากประชากรทั่วประเทศกว่า ๗๐ ล้านคน หลังจากได้เริ่มโครงการมาแล้วประมาณ ๔ เดือนขับเคลื่อนทุกระดับตั้งแต่ ผู้นำชาวบ้านจนถึงผู้นำระดับประเทศ ซึ่งการสมัครนั้นใช้ข้อมูลหลักคือ เลขประจำตัวประชาชน ชื่อ-นามสกุล และสถานที่ทำงานเป็นต้น พร้อมทั้งลงชื่อยินยอมถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด จากนั้นทางวัดจะนำข้อมูลมาขึ้นทะเบียนในเว็บไชต์ ดูจากแนวโน้มนี้แล้วผู้เขียนเชื่อว่าในอนาคตจะต้องมียอดผู้เข้าสมัครถึง ๗๐ ล้านคนอย่างแน่นอน


 :25: :25: :25: :25:

ในส่วนของการพัฒนาชาตินั้น ขอเสนอการพัฒนาด้านความสงบของบ้านเมือง โดยนำหลักศีลธรรม กับหลักธรรมาภิบาล มาใช้ควบคู่กันดังนี้ หลักธรรมาภิบาล (Good Governance ) พระพรหมบัณฑิต (ประยูรณ์ ธมฺมจิตฺโต) ให้ความหมายว่า หมายถึงการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี มี ๖ ข้อคือ
     ๑.การมีส่วนร่วม(Participation)
     ๒.ความโปร่งใส(Transparency)
     ๓.ความรับผิดชอบ (Accounttability)
     ๔.หลักนิติธรรม (Rule of low)
     ๕.ประสิทธิภาพ (Efficiency) และ
     ๖.ประสิทธิผล (Effectiveness)

ส่วนศีลธรรม ๕ หรือเบญจศีล พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ให้ความหมายว่า คือความประพฤติชอบทางกายและทางวาจา, ข้อปฏิบัติในการเว้นความชั่ว ฯ
     ๑.ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการปลงชีวิต, เว้นจากการประทุษร้ายกัน
     ๒.อทินฺนาทานา เวรมณี เว้นจากการเอาของที่เจ้าของเขามิได้ให้, เว้นจากการลัก โกง ละเมิดกรรมสิทธิ์ ทำลายทรัพย์สิน
     ๓.กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี เว้นจากการประพฤติผิดในกาม, เว้นจากการละเมิดสิ่งที่ผู้อื่นรักหวงแหน
     ๔.มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเท็จ โกหก หลอกลวง
     ๕.สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี เว้นจากน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท, เว้นจากสิ่งเสพติดให้โทษ


 st12 st12 st12 st12

เรื่องการประกันสังคมตามหลักศีล ๕ นี้ พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) ได้กล่าวไว้ว่า “หลักประกันสังคม ก็คือ ข้อหรือกฎเกณฑ์ที่รับรองได้ ว่าเป็นเครื่องป้องกันสังคมมิให้เกิดภัยอันตราย เกิดความหายนะใดๆ แก่สังคม” ดังอธิบายว่า

ศีลข้อ ๑ ถ้าผู้ใดรักษาได้จะช่วยประกันชีวิตของตนและครอบครัว ให้อยู่เย็นเป็นสุข โดยมีหลักเมตตาธรรม คือความรัก เป็นพื้นฐานของใจ เรื่องนี้ถ้ามองในแง่ธุรกิจ ตามหลักธรรมาภิบาลข้อที่ ๒. ความโปร่งใสเช่นนักธุรกิจ มีการลงทุนและลงหุ้นส่วนกันเป็นบริษัทห้างร้าน ถ้าใครบางคนแจกแจงรายจ่ายต่างๆ ไม่สมเหตุผล ก็อาจมีใครบางคนต้องตายก็ได้ จึงต้องใช้หลักความโปร่งใสมาใช้ในองค์กรคือทุกอย่างตรวจสอบได้ พร้อมกับรักษาศีลข้อนี้ไว้ในใจแล้ว เป็นอันเชื่อได้ว่าจะไม่มีการปองร้ายกันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ศีลข้อ ๒ ผู้ใดรักษาได้จะช่วยประกันทรัพย์สินของตน คือไม่ถูกลักขโมย และไม่เป็นคดีความเพราะลักของใคร เรื่องนี้ถ้ามองในแง่เศรษฐกิจ ตามหลักธรรมาภิบาล

ข้อที่ ๓.ความรับผิดชอบ คือรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลได้แก่ให้รัฐบาลหาทางออกให้พวกเขาด้วยการให้มีงานทำเพราะปัญหาการลักขโมยเกิดขึ้นอาจเพราะประชาชนไม่อิ่มท้องจึงหาทางออกที่ไม่ถูกวิธีและ

ข้อที่ ๔.หลักนิติธรรม คือ ข้อกฎหมายได้แก่ให้รัฐบาลใช้กฎหมายควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย หลังจากที่ให้พวกเขาได้มีงานทำแล้วเพราะหลักศีลธรรมเป็นเพียงเครื่องควบคุมจิตใจ แต่ยากจะควบคุมกายของพวกเขาได้ฉะนั้นหลักศีลธรรม ต้องทำงานควบคู่กันไปในแง่ของการอิงอาศัยกันกับหลักธรรมาภิบาลเช่นนี้จึงจะจัดเป็นการแก้ปัญหาได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ เป็นต้น

เรื่องหลักธรรมาภิบาลกับหลักศีล ๕ นี้ เพื่อประกอบความเกี่ยวเนื่องกัน จึงขอยกตัวอย่างไว้เพียงเท่านี้ก่อน ต่อไปจะเริ่มตั้งพื้นฐานเพื่อการพัฒนาชาติที่ยั่งยืนในแง่ของบทกฎหมายต่อไป


 st12 st12 st12 st12

สืบเนื่องจาก การสัมนาเชิงวิชาการระดมความคิดเห็น เพื่อพัฒนาภารกิจคณะสงฆ์ในการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๘ ณ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครราชสีมามีผู้บริหารระดับสูง อธิการบดี รองอธิการบดี เจ้าคณะภาค และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นต้น ได้ระดมความคิดเห็นกันอย่างเข้มข้น จับใจความได้ว่า

ต้องการผลักดันให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติและเรื่องปลีกย่อย มี พรบ.การศึกษาแผนกนักธรรม-บาลี และธนาคารพระพุทธศาสนาทำให้ผู้เขียนนึกถึงโครงการหมู่บ้านศีล ๕ ที่เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ได้ริเริ่มและดำเนินการให้เป็นรูปธรรมอยู่นั้น ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะทำให้รู้จำนวนประชากรที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งด้านปริมาณ และด้านคุณภาพ คือปัจจุบันนี้ได้มีสมาชิกสมัครเข้าโครงการแล้วประมาณ ๓๐ ล้านคน (ปริมาณ) และพร้อมยินยอมปฏิบัติศีล ๕ (คุณภาพ) เรื่องนี้ถือว่าเป็นนัยยะสำคัญที่แสดงให้เห็นพลังในการขับเคลื่อนให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ภายใต้โครงการหมู่บ้านศีล ๕


 st11 st11 st11 st11 st11

ฉะนั้นถ้ารัฐบาลต้องการพัฒนาชาติที่ยั่งยืน โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้สังคมเกิดความสามัคคี ความสุขอย่างมั่นคงยั่งยืนในแง่ของศาสนา ก็ควรบัญญัติให้เป็นศาสนาประจำชาติตามประสงค์ของท่านนายกรัฐมนตรีพระพุทธศาสนาจะได้มีที่ตั้งมั่น ดังประเทศทั่วโลกที่มีศาสนาประจำชาติเป็นของตน และทำนองเดียวกันคณะสงฆ์ก็จะทำตามอุดมการณ์สูงสุดในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเช่นกัน คือเพื่อประโยชน์สุขของมหาชน

“การพัฒนาชาติที่ยั่งยืน และมั่นคงนั้น ควรมีพื้นฐานที่ดี คือ มีการปลูกฝังประชาชนให้มีศีลธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจ และมีหลักกฎหมายไว้คุ้มครองความปลอดภัย เมื่อหลักศีลธรรมและกฎหมายทำงานกันในแนวคู่ขนานนี้ เป็นอันหวังได้ว่า สุขภาพใจของคนในชาติย่อมดีขึ้นแน่นอนแต่ถ้าเมื่อไรก็ตาม หลักศีลธรรมไม่ทำงานแล้ว ประชาชนก็ไม่ต่างอะไรกับนักโทษที่ถูกโซ่ตรวนคล้องคออยู่ตลอดเวลา คือรู้สึกอึดอัดทั้งกายและใจเมื่อไม่ได้ทำความชั่ว”


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151020/215514.html
12487  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชวนเลิกเหล้าต่อเนื่องหลังออกพรรษา เปลี่ยนชีวิตเป็นคนใหม่ เมื่อ: ตุลาคม 21, 2015, 09:36:11 pm


ชวนเลิกเหล้าต่อเนื่องหลังออกพรรษา เปลี่ยนชีวิตเป็นคนใหม่

สคล. ชวนคนไทยเอาชนะใจ งดดื่มเหล้าต่อเนื่องหลังออกพรรษา ชี้จุดเริ่มต้นเลิกดื่มได้สำเร็จ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น บุคคลต้นแบบเผยเลิกเหล้าช่วยเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ครอบครัวอบอุ่น
       
       วันนี้ (20 ต.ค.) นายธีระ วัชรปราณี ผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวถึงกิจกรรมรณรงค์ “คนเลิกเหล้า...เปลี่ยนชุมชน” จัดโดย สคล. ร่วมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า กิจกรรมนี้ต้องการสื่อสารไปยังคนที่งดเหล้าเข้าพรรษาให้ต่อสู้เอาชนะใจตนเอง โดยงดเหล้าต่อเนื่องหลังออกพรรษาต่อไป ซึ่งจะนำไปสู่การเลิกเหล้าตลอดชีวิตได้ ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา มีคนไทยเข้าร่วมกิจกรรมงดเหล้าเข้าพรรษากว่า 13 ล้านคน งดได้ครบพรรษา ทั้ง 3 เดือนกว่า 7 ล้านคน จากนักดื่ม 17 ล้านคนทั่วประเทศ ประหยัดเงินได้กว่า 3 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ จะช่วยให้ผู้ที่ต้องการเลิกเหล้าในชุมชนต่าง ๆ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เพราะเป็นการสร้างเงินออมและความอบอุ่นให้ครอบครัว ลดปัญหาอุบัติเหตุ ความรุนแรง และอาชญากรรม


        :96: :96: :96: :96:

       นายสมควร ในทอง กำนันตำบลโนนหนามแท่ง จ.อำนาจเจริญ กล่าวว่า ในหมู่บ้านพบปัญหาคนดื่มเหล้ามากถึงร้อยละ 70 สร้างความเดือดร้อนต่อชุมชน ทั้งทะเลาะวิวาท ชกต่อย มีปากเสียง ฯลฯ นอกจากนี้ ในงานพิธีต่าง ๆ จะมีเรื่องจากการดื่มเหล้าอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีการทำประชาคมหมู่บ้านโดยให้ประชาชน ท้องถิ่น สถาบันการศึกษาเข้าร่วม เริ่มจากการจัดงานศพปลอดเหล้า โดยทำความเข้าใจกับเจ้าภาพ ซึ่งภายหลังจากการรณรงค์ให้เป็นชุมชนปลอดเหล้า ผลที่ได้คือ ในชุมชนไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีขโมย ไม่มีความรุนแรงในครอบครัว และขณะนี้ก็มีการเชิญชวนคนในหมู่บ้านที่ตั้งใจงดเหล้าเข้าพรรษาได้งดต่อเนื่องไป เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นลดละเลิกเหล้าตลอดชีวิตให้ได้จนสำเร็จ มีเงินเหลือเก็บเปลี่ยนตัวเองเพื่อครอบครัว

        :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

       นายนิพล วิชัย พ่อค้าย่านพระประแดง จ.สมุทรปราการ กล่าวว่า เดิมเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มเหล้าขาววันละ 1 ขวด ทำให้ค่าใช้จ่ายไม่พอ ครอบครัวทะเลาะกัน ผู้คนในชุมชนมองเป็นคนไม่ดี เอะอะโวยวายสร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อนบ้าน และมีปัญหาสุขภาพบ่อยครั้ง แต่เมื่อปี 2550 ได้เข้าร่วมโครงการชุมชนพอเพียงเพื่องดเหล้า ผลที่เกิดขึ้นคือ ครอบครัวมีความสุข มีรายได้พอใช้ คนในชุมชนให้การยอมรับ จึงอยากฝากไปยังคนที่ยังดื่มอยู่ว่า อย่าดื่มเลย เพราะถ้าติดแล้วมันเลิกได้ยาก ยิ่งอายุมากยิ่งเลิกได้ยาก และจะเป็นคนไม่มีเครดิตกับคนในสังคมเลย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000117375
12488  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สั่ง 4 พศจ.ใต้หาข้อมูลปลอมบวช เมื่อ: ตุลาคม 21, 2015, 09:33:25 pm


สั่ง 4 พศจ.ใต้หาข้อมูลปลอมบวช

พระพรหมดิลก นำภาพถ่ายของบุคคลแต่งกายคล้ายพระสงฆ์ มอบให้รองผอ.พศ.ตรวจสอบ ด้าน พศ.สั่งพศจ.สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สืบข้อเท็จจริงด่วน

วันนี้ (20 ต.ค.) ที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) พุทธมณฑล จ.นครปฐม มีการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) วาระปกติ โดยก่อนการประชุม พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการ มส. เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ได้นำภาพถ่ายของบุคคลที่อยู่ในคลิปวิดีโอที่มีการแต่งกายคล้ายพระภิกษุสงฆ์ และปลอมหนังสือสุทธิ ที่ไปนั่งดื่มเหล้าในวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา มายื่นให้แก่ น.ส.ประนอม คงพิกุล รองผอ.พศ. เพื่อดำเนินการตรวจสอบ โดยภายหลังรับเรื่อง น.ส.ประนอม กล่าวว่า ได้มอบให้ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา ไปหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว และนำมารายงานให้ทราบต่อไป

จากนั้นภายหลังการประชุม มส. นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกพศ. กล่าวว่า ในการประชุม มส. พระพรหมดิลก ไม่ได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือ เข้าใจว่าคงมอบให้น.ส.ประนอม โดยตรง อย่างไรก็ตามในเรื่องดังกล่าว นายพนม ศรศิลป์ ผอ.พศ. ได้สั่งการไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.) สงขลา,ปัตตานี,ยะลาและนราธิวาส ให้สืบหาข้อเท็จจริงของกรณีดังกล่าว ว่ามีการดำเนินการเป็นขบวนการหรือไม่ จากนั้นให้รายงานมายังพศ.ทราบโดยเร็ว เพื่อหาทางดำเนินการตามกฎหมายในข้อหาปลอมบวชต่อไป.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/355648
12489  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รวบคู่หูแก๊งค์ฟันน้ำนม ตระเวนงัดตู้บริจาคตามวัด เมื่อ: ตุลาคม 21, 2015, 09:28:30 pm


รวบคู่หูแก๊งค์ฟันน้ำนม ตระเวนงัดตู้บริจาคตามวัด

เมื่อเวลา 16.00 น.วันนี้ (21 ต.ค.58) พ.ต.อ.นฤชิต เนียวกุล รอง ผบก.ตร.ภ.จว.ลพ.พร้อมด้วย พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ บุญประสิทธิ์ ผกก.สภ.ป่าซาง ลำพูน พร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมคนร้ายคดีลักทรัพย์

สืบเนื่องจากบ่ายวานนี้( 20 ต.ค.58 ) ได้มีคนร้ายเป็นชายวัยรุ่นขับจักรยายนต์ซ้อนท้ายกันไปก่อเหตุฉกต้นเงินกฐินภายในร้านขายของชำในหมู่บ้านหนองดู่ ถนนป่าซาง-ท่าลี่ ตำบลบ้านเรือน อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ขึ้นรถจักรยานยนต์ขับหลบหนีไป โดยได้ทรัพย์สินเป็นเงินที่เสียบไว้ที่ต้นเงินประมาณกว่า 1 พันบาทหลบหนีไป


 :96: :96: :96: :96:

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามแยกต่างๆ ก็พบว่าคนร้ายรายนี้คือเด็กชายอัด (นามสมมุติ)อายุ 14 ปี อยู่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลประตูป่า อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน และนายนุ (นามสมมุติ) อยู่หมู่ที่ 8 ตำบลประตูป่า อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน จึงนำกำลังไปจับกุมตัวได้ที่บ้าน จึงนำตัวมาสอบสวนทั้งสองคนรับสารภาพว่าตนและเพื่อนสองคนได้ร่วมกันก่อเหตุฉกเอาต้นเงินกฐินไปจริงเมื่อวานนี้โดยได้ขับรถวนมาดูลาดเลาสองครั้งก่อนจะจอดรถและวิ่งไปคว้าต้นเงินขึ้นรถหลบหนีไป

 :41: :41: :41: :41:

นอกจากนั้นแก๊งค์ฟันน้ำนมรายนี้ยังสารภาพว่าตนและเพื่อนไม่ได้เรียนหนังสือ และไม่มีงานทำจึงซักชวนกันก่อเหตุขับรถตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆและบ้านเรือนที่ไม่มีคนอยู่เมื่อสบโอกาสก็จะขโมยข้าวของเงินทองทรัพย์สินมีค่า หากเป็นวัดก็จะขโมยตู้บริจาค เมื่อได้ทรัพย์สินแล้วก็จะนำไปขายหากเป็นเงินสดก็จะแบ่งกันแล้วนำไปเที่ยวเตร่จนหมดแล้วก็มาเดินสายก่อเหตุไปเรื่อยๆ และยังรับสารภาพว่าเคยก่อนเหตุในหลายพื้นที่ เช่น อำเภอแม่ทา อำเภอเมืองลำพูน อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ หลายครั้ง

เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันลักทรัพย์ นำตัวส่ง พ.ต.ท.ดุษฎี ศรีสุวรรณ พนักงานสอบสวนเวร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.banmuang.co.th/news/crime/29369
12490  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อิทธิฤทธิ์ ‘หลวงปู่ดู่’ ไล่โจรกระเจิง! งัดเข้าศูนย์เช่าพระ แต่รีบเผ่นเหมือนเจอผี เมื่อ: ตุลาคม 21, 2015, 09:25:22 pm



อิทธิฤทธิ์ ‘หลวงปู่ดู่’ ไล่โจรกระเจิง! งัดเข้าศูนย์เช่าพระ แต่รีบเผ่นเหมือนเจอผี (ชมคลิป)

โจรงัดเข้าศูนย์เช่าพระ‘หลวงปู่ดู่ วัดสะแก’เกจิดังกรุงเก่า แต่แปลกที่พอมองไปที่ฝาผนังเห็นรูปหลวงปู่ดู่แขวนอยู่ โจรรีบหนีไปทันที เจ้าของกลับมาเจอประแจที่ใช้งัดร้านวางอยู่ แต่พระเครื่องไม่ถูกแตะต้อง เชื่อบารมีหลวงปู่คุ้มครอง...   

เมื่อเวลา 20.30 น.วันที่ 20 ต.ค.2558 ร.ต.ท.วิทยา ชมจอหอ ร้อยเวร สภ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายงัดประตูหน้าศูนย์ชมรมพระเครื่องหลวงปู่ดู่ เพื่อจะเข้าไปโจรกรรมทรัพย์สิน อยู่ริมถนนสายวัดใหญ่ชัยมงคล–เจดีย์สามปลื้ม หมู่ 2 ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จึงเดินทางไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุ พบบริเวณประตูเหล็กแบบม้วนลูกกุญแจถูกตัดจนขาด และประตูกระจกด้านในถูกงัดได้รับความเสียหาย ภายในร้านมีตู้โชว์และพระเครื่องของหลวงปู่ดู่จำนวนมากยังอยู่ครบ และไม่มีร่องรอยการรื้อค้นแต่อย่างใด ผิดจากพฤติกรรมของมิจฉาชีพทั่วไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็แปลกใจ จึงขอเปิดดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่ทางร้านติดตั้งไว้


กล้องวงจรปิดจับภาพ ขณะคนร้ายเข้ามาในห้อง

พบว่า ช่วงเวลา 04.00 น ของวันที่ 20 ต.ค. ได้มีคนร้ายสวมใส่เสื้อผ้าชุดหมีเหมือนชุดช่าง สวมหมวก งัดประตูเข้ามาในร้าน นำประแจเลื่อนวางไว้บนเก้าอี้บริเวณตู้โชว์ เดินหายไปสักครู่ก่อนจะเดินกลับมา แต่จู่ๆคนร้ายได้มองไปที่ฝาผนัง แล้วหันหลังรีบเดินออกไปทันที เหมือนไปเจออะไรที่ทำให้ตกใจกลัวอย่างแรง โดยที่ไม่แตะต้องทรัพย์สินหรือพระเครื่องราคาแพงในตู้โชว์ ที่ส่วนใหญ่เป็นเหรียญหลวงปู่ดู่ หรือพระพรหมปัญโญ อดีตเจ้าอาวาสวัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เกจิชื่อดังของจ.พระนครศรีอยุธยา

หลวงปู่ดู่ หรือ พระพรหมปัญโญ อดีตเจ้าอาวาสวัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา

สอบถาม นายศมจรส รัตน์รัตน์ หรือ เซียนเก่ง รัตนะ อายุ 35 ปี เจ้าของชมรมพระเครื่องหลวงปู่ดู่ เปิดเผยว่า ตนมีอาชีพให้เช่าพระเครื่องที่ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นหลวงปู่ดู่ วัดสะแก โดยก่อนเกิดเหตุหลังจากปิดร้านได้ออกไปทำธุระ เมื่อกลับมาที่ร้านก็พบว่ากุญแจประตูหน้าถูกตัด และคนร้ายทิ้งประแจเลื่อนเอาไว้บนเก้าอี้ในร้าน จึงรีบตรวจดูทรัพย์สิน ซึ่งทีแรกคิดว่าคงมีพระเครื่องราคาแพง และของมีค่าในร้านหายไปแน่ แต่แปลกมากที่ไม่มีอะไรหายไปเลย เมื่อดูจากล้องวงจรปิดก็เห็นคนร้ายเดินเข้ามา มองไปที่ข้างฝาผนัง ซึ่งมีรูปหลวงปู่ดู่ติดอยู่ แล้ววิ่งออกไปทันที จึงเชื่อว่าเป็นเพราะบารมีของหลวงปู่ดู่ ที่ช่วยคุ้มครอง และทำให้คนร้ายตกใจกลัวรีบวิ่งออกไปดังกล่าว

เซียนเก่ง รัตนะ เจ้าของร้าน เข้าตรวจสอบแต่ไม่มีอะไรหายไปเลย

"สงสัยว่าคนร้ายรายนี้ น่าจะเป็นลูกค้าที่เคยมาขอชมและขอเช่าพระเครื่องหลวงปู่ดู่ของเก่า หรืออาจจะขโมยตามใบสั่ง จึงเข้ามาก่อเหตุในร้านซึ่งส่วนใหญ่จะเก็บพระเครื่องหลวงปู่ดู่ที่มีราคาสูงเอาไว้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เชื่อว่าเป็นเพราะตัวเราและสมาชิกของชมรมพระเครื่องหลวงปู่ดู่ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงปู่ที่ท่านสอนไว้ให้เป็นคนดี รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จึงทำให้รอดจากการถูกคนร้ายที่ตั้งใจเข้ามาขโมยของ แต่ไม่เสียทรัพย์สินไปแม้แต่บาทเดียว"นายศมจรส เจ้าของศูนย์พระเครื่องหลวงปู่ดู่ กล่าว.

ชมคลิปได้ที่
https://youtu.be/AMrUt_B5Tas
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/533753
12491  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นักวิจัย สกว.ชี้เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา เอียง เหตุดินอ่อน-อิฐเสื่อม เมื่อ: ตุลาคม 21, 2015, 09:19:53 pm


นักวิจัย สกว.ชี้เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา เอียง เหตุดินอ่อน-อิฐเสื่อม

องค์พระเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล จ.อยุธยา เอียง 3.49 เมตร นักวิจัย สกว.หวั่นได้รับความเสียหาย จับมือกรมศิลปากร ศึกษาหาสาเหตุ ใช้เป็นข้อมูลบูรณะ ด้าน ผอ.สำนักสถาปัตยกรรม ยันโครงสร้างยังแข็งแรง ชงของบฯ หากพบความเสียหาย เสี่ยงถล่ม

วันที่ 20 ตุลาคม 2558 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดกิจกรรมสื่อสัญจรงานวิศวกรรมบูรณะโบราณสถาน วัดใหญ่ชัยมงคล และวัดไชยวัฒนาราม ณ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา นำโดย ศ.ดร.อมร พิมานมาศ ภาควิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีโยธา สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร ม.ธรรมศาสตร์ และ รศ.ดร.นคร ภู่วโรดม  คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ในฐานะนักวิจัย รวมถึงนายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ ผอ.สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง ทำให้สถานที่ต่าง ๆ ได้รับความเสียหาย โดยจากการสำรวจของคณะวิจัยชุดโครงการลดภัยพิบัติแผ่นดินไหวในประเทศไทย สกว. พบโบราณสถานเก่าแก่อายุหลายร้อยปีใน จ.พระนครศรีอยุธยา มีการเคลื่อนตัวขององค์เจดีย์เล็กน้อย จนอาจนำมาสู่ความเสียหายได้ หากไม่ได้รับการดูแล

โดยจุดแรก คือ การสำรวจการเอียงขององค์พระเจดีย์ วัดใหญ่ชัยมงคล เอียง 3.49 เมตร ศ.ดร.อมร พิมานมาศ กล่าวถึงสาเหตุว่า  เกิดจากหลายสาเหตุรวมกัน ทั้งการทรุดตัวของชั้นดินหรือฐานอิฐที่เสื่อมสภาพ เกิดโพรง รอยแตกร้าว นอกจากนี้ปัญหาอุทกภัยก็เป็นส่วนทำให้ดินมีกำลังอ่อนลง และเร่งการทรุดตัวได้


ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นักวิจัย สกว.

ด้านหน้าองค์พระเจดีย์ วัดใหญ่ชัยมงคล

“โครงสร้างองค์พระเจดีย์แห่งนี้มีการก่อสร้างเน้นอิฐเป็นหลัก ในลักษณะสมมาตร ฐานใหญ่คล้ายปิระมิด ซึ่งเป็นโครงสร้างแข็งแรงที่สุดในสมัยนั้น แต่อิฐก็มีกำลังเพียง 1 ใน 10 ของคอนกรีต ทำให้การผสานกันไม่ดี เมื่อเวลาผ่านไป อิฐจึงเสื่อมสภาพ และยุบหรือทรุดตัวง่าย” นักวิจัย สกว. กล่าว และว่า ส่วนพื้นดินของ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นชั้นดินอ่อน รับน้ำหนักไม่ดี หากการกระจายไม่สมดุล จะส่งผลให้เทไปสู่จุดใดจุดหนึ่งได้ โชคดีที่องค์พระเจดีย์มีฐานใหญ่ ดังนั้น ไม่ถล่มลงมา แต่อาจสะสมการเอียงตัวเรื่อย ๆ

ศ.ดร.อมร กล่าวต่อว่า การป้องกันจะต้องหยุดการทรุดตัวและทำให้อิฐแข็งแรงมากขึ้น โดยใช้ปูนเกร๊าท์ (Grout) ซึ่งเป็นปูนอัดแรงดัน เข้าไปอุดช่องว่างของเนื้ออิฐ ทำให้เกิดการผสานกัน และใช้ซีเมนต์ปั่นกับดิน เพื่อทำให้ชั้นดินที่อ่อนตัวแข็งแรง แต่การดำเนินงานต้องวิเคราะห์ก่อนว่า การทรุดตัวที่เกิดขึ้นขององค์พระเจดีย์ในเเต่ละจุดเกิดจากอิฐเสื่อมสภาพหรือชั้นดิน เพื่อประหยัดการใช้งบประมาณในการบูรณะ

องค์พระเจดีย์ ด้านทิศตะวันออก วัดใหญ่ชัยมงคล ครั้งบูรณะ เมื่อปี 2522

กิตติพันธ์ พานสุวรรณ ผอ.สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร

ด้านนายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ กล่าวว่า องค์พระเจดีย์ วัดใหญ่ชัยมงคล ยังมีความมั่นคงอยู่  จึงยังไม่มีการตั้งงบประมาณเพื่อบูรณะ ยกเว้นอาจตั้งงบประมาณเพื่อตรวจสอบหรือติดตามความเคลื่อนไหวขององค์พระเจดีย์ โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญแขนงต่าง ๆ ที่มีความรู้เข้ามาช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม หากมีสิ่งบอกเหตุน่าจะก่อให้เกิดความเสียหาย ก็จำเป็นต้องบูรณะ เพื่อความมั่นคงแข็งแรงมากขึ้น

“เจดีย์จะมีความเสี่ยงได้รับความเสียหายต้องเอียงเกิน 1 ใน 3 จากจุดศูนย์กลาง จึงจะเริ่มปรับปรุงได้ แต่เราต้องดูความปลอดภัยในส่วนอื่น ๆ ประกอบด้วย แต่ปกติแล้วความเสี่ยงจะเกิดขึ้นกับเจดีย์ตั้งอยู่พื้นที่ริมน้ำหรือลาดเชิงเขามากกว่า แต่พื้นที่ราบเหมือนวัดใหญ่ชัยมงคลยังไม่พบอันตราย นอกจากกรณีฝนตกหนัก อุทกภัย” ผอ.สำนักสถาปัตยกรรม กล่าว

หลังจากนั้น ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่จุดที่ 2 วัดไชยวัฒนาราม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อสำรวจการเคลื่อนตัวขององค์เจดีย์และพระปรางค์ พบเจดีย์บรรจุพระอัฐิเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) พระราชโอรสองค์ใหญ่ ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เกิดการสไลด์และรอยแตกของเจดีย์ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีพระปรางค์ และฐานวัด ทรุดโทรมด้วย


เจดีย์บรรจุพระอัฐิเจ้าฟ้ากุ้ง เกิดรอยเเตก สไลด์จากด้านขวา

นายกิตติพันธ์  พานสุวรรณ กล่าวถึงเจดีย์บรรจุพระอัฐิเจ้าฟ้ากุ้งควรมีการบูรณะอันดับแรกของวัดไชยวัฒนาราม ว่า สามารถใช้วิธีเสียบเหล็กมุมทะแยง เพื่อหยุดการสไลด์ของเจดีย์ หรือเลือกใช้วิธีดึงกลับให้ตรงเหมือนเดิมได้ ส่วนดึงแล้วจะพังถล่มลงมาหรือไม่ เราต้องยอมเสียบางส่วนไป ดังเช่น ฐานเจดีย์ ส่วนจะเลือกใช้วิธีใดมากที่สุด ต้องมีการศึกษาวิเคราะห์ต่อไป

ด้านข้างองค์พระปรางค์วัดไชยวัฒนาราม

ขณะที่ รศ.ดร.นคร ภู่วโรดม  กล่าวว่า วัดไชยวัฒนารามตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งน้ำใต้ดินมีผลทำให้ความแข็งแรงของดินเปลี่ยนแปลงไป ดินแห้ง ดินอ่อน ดินแห้งสลับดินอ่อน ล้วนทำให้อาคารตั้งอยู่ไม่มั่นคง ซึ่งจะพบว่า ซุ้มประตูบางส่วนของพระปรางค์มีการแยกตัวออกมาจากกำแพงวัด อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาได้จ้างบริษัทเข้ามาดึงให้อยู่ที่เดิมเรื่อย ๆ แต่ปัญหาก็ยังเกิดอยู่

ในอนาคตเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ นักวิจัย สกว. ระบุว่า ควรมีการบันทึกข้อมูล ณ ปัจจุบัน ไว้ มิฉะนั้นจะตอบคำถามอะไรในอนาคตไม่ได้ แต่ปัญหา คือ กรมศิลปากรมีบุคลากรน้อย และรับผิดชอบพื้นที่กว้าง ทำให้การดำเนินงานติดขัด จึงต้องใช้งบประมาณจ้างบริษัทภายนอกแทน ส่งผลให้มีงบประมาณสูง และขาดความต่อเนื่องในการศึกษา ดังนั้น ต้องหาวิธีการให้กรมศิลปากรทำเองได้ ภายใต้เทคนิค และงบประมาณไม่สูง หรือร่วมมือกับนักวิชาการที่มีความรู้ เป็นต้น .


ซุ้มประตูบางส่วนของพระปรางค์เเยกออกจากกำเเพงวัด ซึ่งปัจจุบันได้รับการบูรณะบางส่วนเเล้ว

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.isranews.org/thaireform-news-education/item/42146-ayutthaya_4214611.html
12492  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การให้ทาน ละความตระหนี่ได้ จริงหรือ.? เมื่อ: ตุลาคม 21, 2015, 11:09:51 am


 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

สุภาษิตสอนหญิง — สุนทรภู่

มีสลึงพึงประจบให้ครบบาท    อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์
จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง  อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน
ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ     ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน
เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล     จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดระทดใจ

ด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณ          ได้การุณเลี้ยงรักษามาจนใหญ่
อุ้มอุทรป้อนข้าวเป็นเท่าไร    หมายจะได้พึ่งพาธิดาดวง
ถ้าเราดีมีจิตคิดอุปถัมถ์        กุศลล้ำเลิศเท่าภูเขาหลวง
จะปรากฎยศยิ่งสิ่งทั้งปวง      กว่าจะล่วงลุถึงซึ่งพิมาน

เทพไทในห้องสิบหกชั้น       จะชวนกันสรรเสริญเจริญสาร
ว่าสตรีนี้เป็นยอดยุพาพาล     ได้เลี้ยงท่านชนกชนนี



 :49: :49: :49: :coffee2: :coffee2: :coffee2: :coffee2:

เหนื่อยครับ ขอพักก่อน เรื่องยังไม่จบ โปรดติดตาม.....
12493  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ข่มความตระหนี่ก่อน..แล้วจึงให้ทาน หรือ ให้ทานก่อนเพื่อข่มความตระหนี่..?? เมื่อ: ตุลาคม 21, 2015, 10:59:21 am


ข่มความตระหนี่ก่อน..แล้วจึงให้ทาน หรือ ให้ทานก่อนเพื่อข่มความตระหนี่..??


อันนสูตรที่ ๓ (ฉบับหลวง)

[๑๓๙] เทวดากราบทูลว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวก ต่างก็พอใจอาหารด้วยกันทั้งนั้น เออ ก็ผู้ที่ไม่พอใจอาหารชื่อว่ายักษ์โดยแท้ ฯ

[๑๔๐] พ. ชนเหล่าใดมีใจผ่องใสแล้ว ให้อาหารนั้นด้วยศรัทธา อาหารนั้นแลย่อมพะนอเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
         เพราะเหตุนั้นบุคคลพึงนำความตระหนี่ให้ปราศจากไป
         พึงข่มความตระหนี่ซึ่งเป็นตัวมลทินเสียให้ทาน
         เพราะบุญทั้งหลายเป็นที่พึ่งของเหล่าสัตว์ในโลกหน้า ฯ


ที่มา : พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๕ สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
etipitaka.com/compare/thai/thaimc/15/36/?keywords=อันนสูตรที่ ๓





๓. อันนสูตร ว่าด้วยข้าว (ฉบับมหาจุฬาฯ)

{๑๓๙}[๔๓]  เทวดากล่าวว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวก ต่างก็พอใจข้าวด้วยกันทั้งนั้น ส่วนผู้ที่ไม่พอใจข้าว ชื่อว่ายักษ์โดยแท้

{๑๔๐} พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
         ชนเหล่าใดมีใจเลื่อมใสให้ข้าวนั้นด้วยศรัทธา ข้าวนั้นเองย่อมค้ำชูชนเหล่านั้นทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
         เพราะเหตุนั้น บุคคลพึงกำจัดความตระหนี่ ครอบงำมลทินแล้วให้ทานเถิด
         เพราะบุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า


ที่มา : พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับมหาจุฬาฯ) เล่มที่ ๑๕ สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
etipitaka.com/compare/thai/thaimc/15/36/?keywords=อันนสูตรที่ ๓





๓. อันนสูตร ว่าด้วยผลของการให้อาหาร (ฉบับมหามกุฏฯ)

[๑๓๙] เทวดากราบทูลว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวก ต่างก็พอใจอาหารด้วยกันทั้งนั้น เออ ก็ผู้ที่ไม่พอใจอาหารชื่อว่ายักษ์โดยแท้.

[๑๔๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
        ชนเหล่าใดมีใจผ่องใสแล้ว ให้ อาหารนั้นด้วยศรัทธา อาหารนั้นแลย่อม พะนอเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
        เพราะเหตุนั้น บุคคลพึงนำความตระหนี่ออกไปเสีย
        พึงข่มความตระหนี่ซึ่งเป็นตัวมลทินแล้วให้ทาน
        เพราะบุญทั้งหลาย เป็นที่พึ่งของเหล่าสัตว์ในโลกหน้า.


ที่มา : พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับมหามกุฏฯ) เล่มที่ ๒๔ สุตตันตปิฎก สังยุตตนิการ สคาถวรรค เล่มที่ ๑
etipitaka.com/compare/thaimc/thaimm/15/58/?keywords=
12494  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / บุรุษผู้เลี้ยงดูภรรยา มีน้อยให้ทานแต่น้อย จะมีผลมาก เมื่อ: ตุลาคม 21, 2015, 10:24:01 am


บุรุษผู้เลี้ยงดูภรรยา มีน้อยให้ทานแต่น้อย จะมีผลมาก
ยกเอาอรรถกถามัจฉริสูตรที่ ๒ มาแสดงบางส่วน

      ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีกได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า คำของใครหนอแลเป็นสุภาษิต ดังนี้.

      พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า คำของพวกท่านทั้งหมดเป็นสุภาษิตโดยปริยาย ก็แต่พวกท่านจงฟังคำของเราบ้างว่า
     "บุคคลแม้ใด ย่อมประพฤติธรรมประพฤติสะอาด เป็นผู้เลี้ยงภรรยา และเมื่อของมีน้อยก็ให้ได้ เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ การบูชาของบุคคลเหล่านั้น ย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น"


      ans1 ans1 ans1 ans1

     บทว่า ธมฺมํ จเร ได้แก่ ย่อมประพฤติธรรม คือ กุศลกรรมบถ ๑๐.
     บทว่า โยปิ สมุญฺชกํ จเร แปลว่า บุคคลแม้ใดย่อมประพฤติสะอาด ได้แก่ประพฤติให้สะอาดด้วยสามารถแห่งการชำระล้างความชั่วทั่วๆ ไปตั้งแต่ต้น และด้วยสามารถแห่งการย่ำยี ดุจการนวดฟางข้าวเป็นต้น.
     บทว่า ทารํ จ โปสํ แก้เป็น ทารํ จ โปเสนฺโต แปลว่า เลี้ยงดูภรรยา.
     บทว่า ททํ อปฺปกสฺมึ แปลว่า เมื่อของมีน้อยก็ให้ได้ ได้แก่บุคคลใดแม้สักว่ามีใบไม้และผักเป็นต้นมีน้อยก็ทำการแบ่งให้ได้นั่นแหละ บุคคลนั้นชื่อว่าย่อมประพฤติธรรม.

     บทว่า สตสหสฺสานํ แปลว่า เมื่อบุรุษแสนหนึ่ง คือบุรุษที่ท่านแบ่งออกเป็นพวกละพันๆ นับได้เป็นร้อย จึงชื่อว่าบุรุษแสนหนึ่ง.
     บทว่า สหสฺสยาคินํ แปลว่า บูชาภิกษุพันหนึ่ง. มีวิเคราะห์ว่า
     ชื่อว่าการบูชาพันหนึ่ง เพราะอรรถว่าการบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือว่าการบูชาอันเกิดแต่การบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ. การบูชาพันหนึ่งนั้นมีอยู่แก่ภิกษุนั้น เหตุนั้น ภิกษุนั้นจึงชื่อว่ามีการบูชาพันหนึ่ง.





     ด้วยบทว่า บุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่งนั้น ย่อมเป็นอันแสดงถึงบิณฑบาตสิบโกฏิ (๑-) หรือว่าสิบโกฏิแห่งกหาปณะ ตรัสว่า บุคคลเหล่าใดย่อมให้ของมีประมาณเท่านี้ บุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ถึงค่าแม้ส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น. บุคคลนี้ใดแม้เมื่อประพฤติธรรม ย่อมประพฤติสะอาด เลี้ยงดูภรรยา แม้ของมีน้อยก็ยังให้ได้ การบูชาภิกษุพันหนึ่งนั้น ย่อมไม่ถึงค่าแม้ส่วนร้อยของบุคคลผู้ประพฤติธรรมนั้น.

     อีกอย่างหนึ่ง ทานอันใดสักว่าของผู้คุ้นเคยกันเพียงคนหนึ่งก็ดี สักว่าเป็นสลากภัตก็ดี อันบุคคลผู้ยากจนให้แล้ว ทานทั้งหลายของบุคคลเหล่านั้นแม้ทั้งหมด (๒-) ย่อมไม่ถึงค่าส่วนร้อยของทานอันผู้ยากจนให้แล้ว.

____________________________
(๑-) คำว่าสิบโกฏินี้ หมายเอาส่วนที่ให้ผลเป็นพันส่วน แล้วคูณด้วยบุรุษแสนหนึ่ง.
(๒-) ทานทั้งหมดนี้ หมายเอาทานที่บุรุษแสนหนึ่ง บูชาภิกษุพันหนึ่งด้วย.


 ans1 ans1 ans1 ans1

      ชื่อว่า กลํ แปลว่า ส่วนหนึ่งนั้นแบ่งออกเป็น ๑๖ ส่วนบ้าง เป็น ๑๐๐ ส่วนบ้าง เป็น ๑,๐๐๐ ส่วนบ้าง ในที่นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาส่วนแห่งร้อย ตรัสว่า ทานอันใดอันผู้ยากจนนั้นให้แล้ว ให้เพราะทานนั้น ท่านจำแนกแล้วร้อยส่วน การให้บิณฑบาตโดยรวมตั้งสิบโกฏิของบุคคลนี้ ก็ไม่ถึงค่าแม้ส่วนหนึ่งแห่งทานอันผู้ยากจนนั้นให้แล้ว.

      เมื่อพระตถาคตทรงทำอยู่ซึ่งทานอันหาค่ามิได้อย่างนี้แล้ว เทวดาผู้ยืนอยู่ ณ ที่ใกล้ จึงคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ายังมหาทานอย่างนี้ให้เป็นไปด้วยคาถาบาทหนึ่ง ดุจเอาวัตถุอันประกอบไปด้วยรัตนะตั้งร้อยใส่เข้าไปในนรก ซัดไปซึ่งทานอันมากอย่างนี้ว่า มีประมาณนิดหน่อยอย่างนี้ ดุจประหารอยู่ซึ่งมณฑลแห่งพระจันทร์ จึงกล่าวคาถาว่า
       การบูชาอันไพบูลย์นี้ อันใหญ่โตนี้ย่อมไม่เท่าถึงส่วนแห่งทานที่บุคคลให้ด้วยความประพฤติธรรม เพราะเหตุไรเมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ การบูชาของบุรุษเหล่านั้น ย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น.





       ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงจำแนกทานแสดงแก่เทวดานั้น จึงตรัสว่า
      ททนฺติ เหเก วิสเม นิวิฎฺฐา ฆตฺวา วธิตฺวา อถ โสจยิตฺวา สา ทกฺขิณา อสฺสุมุขา สทณฺฑา สเมน ทินฺนสฺส น อคฺฆเม.
       บุคคลเหล่าหนึ่งตั้งอยู่ในกรรม ปราศจากความสงบ โบยเขา ฆ่าเขา ทำให้เขาเศร้าโศกแล้วให้ทาน ทานนั้นจัดว่าทานมีหน้าอันนองด้วยน้ำตา จัดว่าทานเป็นไปกับด้วยอาชญา จึงไม่เท่าถึงส่วนแห่งทานที่ให้ด้วยความสงบ.

      พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงเนื้อความนี้อย่างนี้ว่า
      เราไม่อาจเพื่อถือเอามหาทานแล้ว ทำให้ชื่อว่ามีผลน้อย หรือทานอันน้อยทำให้มีชื่อว่ามีผลมาก
      เพราะความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แต่มหาทานนี้ ชื่อว่ามีผลน้อยอย่างนี้ เพราะความไม่บริสุทธิ์เกิดขึ้นแก่ตน ทานน้อยนี้ ชื่อว่ามีผลมากอย่างนี้ เพราะความบริสุทธิ์เกิดขึ้นแก่ตน ดังนี้ จึงตรัสคำว่า
      โดยนัยอย่างนี้ เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ การบูชาของบุคคลเหล่านั้น ย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น ดังนี้.


อรรถกถามัจฉริสูตรที่ ๒ 
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=86
12495  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การให้ทาน ละความตระหนี่ได้ จริงหรือ.? เมื่อ: ตุลาคม 21, 2015, 09:36:58 am



ความตระหนี่เป็นเหตุของการไม่ให้ทาน

[๘๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิตเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว พวกเทวดาสตุลลปกายิกามากด้วยกัน มีวรรณงาม ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

[๘๗] เทวดาตนหนึ่ง ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
       เพราะความตระหนี่ และความประมาทอย่างนี้ บุคคลจึงให้ทานไม่ได้
       บุคคลผู้หวังบุญ รู้แจ้งอยู่ พึงให้ทานได้

[๘๘] ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวคาถาทั้งหลายนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
        คนตระหนี่กลัวภัยใดย่อมให้ทานไม่ได้ ภัยนั้นนั่นแลย่อมมีแก่คนตระหนี่ผู้ไม่ให้ทาน
        คนตระหนี่ย่อมกลัวความหิวและความกระหายใด ความหิวและความกระหายนั้นย่อมถูกต้องคนตระหนี่นั้นนั่นแลผู้เป็นพาลทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า
       ฉะนั้น บุคคลควรกำจัดความตระหนี่อันเป็นสนิมในใจ ให้ทานเถิด
       เพราะบุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า


[๘๙] ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวคาถาทั้งหลายนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
        ชนทั้งหลายเหล่าใด เมื่อของมีน้อยก็แบ่งให้ เหมือนพวกเดินทางไกลก็แบ่งของให้แก่พวกที่เดินทางร่วมกัน ชนทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อบุคคลทั้งหลายเหล่าอื่นตายแล้ว ก็ชื่อว่าย่อมไม่ตาย ธรรมนี้เป็นของบัณฑิตแต่ปางก่อน
        ชนพวกหนึ่งเมื่อของมีน้อยก็แบ่งให้ ชนพวกหนึ่งมีของมากก็ไม่ให้
        ทักษิณาที่ให้แต่ของน้อย นับเสมอด้วยพัน


[๙๐] ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวคาถาทั้งหลายนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
       ทาน พวกพาลชนเมื่อให้ ให้ได้ยาก กุศลธรรม พวกพาลชนเมื่อทำ ทำได้ยาก
       พวกอสัตบุรุษย่อมไม่ทำตาม ธรรมของสัตบุรุษ อันพวกอสัตบุรุษดำเนินตามได้แสนยาก
       เพราะฉะนั้น การไปจากโลกนี้ของพวกสัตบุรุษและของพวกอสัตบุรุษจึงต่างกัน
       พวกอสัตบุรุษย่อมไปสู่นรก พวกสัตบุรุษย่อมเป็นผู้ดำเนินไปสู่สวรรค์





มีน้อยให้น้อย แต่มีอานิสงส์มาก

ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค คำของใครหนอแลเป็นสุภาษิต ฯ

[๙๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า คำของพวกท่านทั้งหมดเป็นสุภาษิตโดยปริยาย(โดยอ้อม) ก็แต่พวกท่านจงฟังซึ่งคำของเราบ้าง
       บุคคลแม้ใด ย่อมประพฤติธรรม ประพฤติสะอาด เป็นผู้เลี้ยงภริยา และเมื่อของมีน้อยก็ให้ได้
       เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ การบูชาของบุคคลเหล่านั้น ย่อมไม่ถึงส่วนร้อย ของบุคคลอย่างนั้น


 ask1 ask1 ask1 ask1

[๙๒] ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวกะพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
        การบูชาอันไพบูลย์ใหญ่โตนี้ ย่อมไม่เท่าถึงส่วนแห่งทานที่บุคคลให้ด้วยความประพฤติธรรม เพราะเหตุอะไร เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ การบูชาของบุรุษเหล่านั้นย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น ฯ

[๙๓] ในลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะเทวดานั้นด้วยพระคาถาว่า
       บุคคลเหล่าหนึ่ง ตั้งอยู่ในกรรมปราศจากความสงบ (ปราศจากธรรม) โบยเขา ฆ่าเขา ทำให้เขาเศร้าโศกแล้วให้ทาน ทานนั้นจัดว่าทานมีหน้าอันนองด้วยน้ำตา จัดว่าทานเป็นไปกับ ด้วยอาชญา จึงย่อมไม่เท่าถึงส่วนแห่งทานที่ให้ด้วยความสงบ(ประพฤติธรรม)
       เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ
       การบูชาของบุรุษเหล่านั้น ย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น โดยนัยอย่างนี้ ฯ



อ้างอิง :-
มัจฉริสูตรที่ ๒ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  บรรทัดที่ ๕๒๕ - ๕๘๒.  หน้าที่  ๒๔ - ๒๗.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=525&Z=582&pagebreak=0ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=86
12496  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "พศ."ลั่นฟันเหลือบศาสนา ปลอมบวช/โทษหนักติดคุก เมื่อ: ตุลาคม 20, 2015, 09:35:47 pm



"พศ."ลั่นฟันเหลือบศาสนา ปลอมบวช/โทษหนักติดคุก

รองผอ.พศ.ยอมรับมีกลุ่มปลอมบวชอยู่จริง สั่งพศจ.ทั่วประเทศเฝ้าระวัง หากพบแจ้งตำรวจจับกุม มีโทษหนักติดคุก ขณะที่สนพ.เตรียมยื่นหนังสือถึงผอ.พศ.ดำเนินการผู้ปลอมบวชในคลิปดื่มเหล้าใช้หนังสือสุทธิปลอม

เมื่อวันที่ 19 ต.ค. นายชยพล พงษ์สีดา รองผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า ตามที่ทางศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยข้อมูลว่า ขณะนี้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีมาปลอมบวชเป็นพระสงฆ์ และแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม เพื่อหวังให้พุทธศาสนิกชนเสื่อมศรัทธาในพระสงฆ์นั้น จากการสอบถามข้อมูลจากส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ยอมรับว่า มีกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าวอยู่จริง แต่ยังไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แน่ชัดว่า ต้องการทำไปเพื่ออะไร

 อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าวจะมีการประสานไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.) หากมีการตรวจพบการปลอมบวชในพื้นที่จังหวัดใด นอกจากให้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมแล้ว อยากให้ขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบข้อมูลรายบุคคลเชิงลึกของคนที่ปลอมบวชด้วยว่า มีวัตถุประสงค์ในการปลอมบวชแอบแฝงอะไรกันแน่


 :91: :91: :91: :91:

รองผอ.พศ. กล่าวต่อไปว่า ในส่วนข้อมูลของผู้ที่ปลอมบวชนั้น พบว่าส่วนใหญ่จะปลอมบวชเพื่อหวังลาภสักการะ แต่กลุ่มที่มาปลอมบวชเพื่อมุ่งทำลายความศรัทธาในพระพุทธศาสนาโดยการแสดงพฤติกรรมเสื่อมเสีย เช่น ตั้งวงกินเหล้า เข้าร้านอาหารหรูๆ นั้น พบว่าช่วงหลังมีเกิดขึ้นจริง แต่ พศ.ยังไม่ทราบข้อมูลที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามอยากเตือนไปยังกลุ่มที่มีพฤติกรรมบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาด้วยการปลอมบวชว่า

ตามกฎหมายอาญาแล้วจะถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 ที่ระบุว่า ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายแสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่น เชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ( ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2535 มาตรา 44 ตรี ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์หรือคณะสงฆ์อื่นอันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความ แตกแยก ต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


 :41: :41: :41: :41:

ด้าน ผศ.เสถียร วิพรมหา นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา(สนพ.) กล่าวว่า ชัดเจนแล้วว่า ผู้ที่ปรากฎในคลิปวิดีโอ ผู้แต่งกายคล้ายพระสงฆ์ดื่มเหล้าที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา นั้น เป็นผู้ปลอมบวช ทั้งยังปลอมหนังสือสุทธิ โดยมีวัตถุประสงค์ต้องการเข้ามาทำลายความศรัทธาในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ดังนั้นในวันที่ 22 ต.ค. สนพ.และศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ จะไปยื่นหนังสือต่อนายพนม ศรศิลป์ ผอ.พศ. เพื่อให้ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ปรากฎในคลิปวิดีโอดังกล่าว และให้มีการตรวจสอบยังกลุ่มผู้ที่ปลอมบวชด้วยว่า เป็นคนที่นับถือศาสนาพุทธหรือไม่ และเข้ามาปลอมบวชเพื่อหวังอะไรกันแน่ รวมทั้งขอให้มีการดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับผู้ที่ปลอมบวชเพื่อทำลายศรัทธาในพระพุทธศาสนาด้วย

ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/355408
12497  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มส.ส่งผู้แทน 3 รูป ถก 13 องค์กรปฏิรูปศาสนา เมื่อ: ตุลาคม 20, 2015, 09:31:20 pm


มส.ส่งผู้แทน 3 รูป ถก 13 องค์กรปฏิรูปศาสนา

โฆษกพศ.เผย มส.เห็นชอบตั้งพระพรหมมุนี พระพรหมโมลี พระพรหมบัณฑิต ร่วมถกแนวทางปฏิรูปศาสนาเข้มแข็งของสปช.ร่วมกับ 13 องค์กรหลัก ในวันที่ 21 ต.ค.นี้

วันนี้ (20 ต.ค.) นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยผลการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ว่า จากการที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้ส่งข้อเสนอแนะการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พ.ศ.2557 เรื่องส่งเสริมความเข้มแข็งของสถาบันศาสนา เพื่อให้เป็นสถาบันหลักของสังคม ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ช่วงเวลา 10 ปี 4 ระยะ มาให้พศ.ดำเนินการศึกษา นั้น

ที่ประชุมมส.ได้มีมติเห็นชอบตั้งผู้แทน 3 รูป ได้แก่ พระพรหมมุนี(สุชิน อคฺคชิโน) พระพรหมโมลี(สุชาติ ธมฺมรตโน) และพระพรหมบัณฑิต(ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ไปเป็นที่ปรึกษาและร่วมให้ข้อเสนอแนะในการประชุมเรื่องดังกล่าวกับ 13 องค์กรหลัก ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติ ในวันที่ 21 ต.ค. นี้ ณ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม

 :25: :25: :25: :25:

นายสมชาย กล่าวต่อไปสำหรับแนวทางส่งเสริมศาสนาเข็มแข็ง 4 ระยะ ประกอบด้วย
    ระยะที่1 การจัดทำร่างกฎหมายงบประมาณและหน่วยงานที่จำเป็น กำหนดการปฏิรูปศาสนาเป็นวาระแห่งชาติ
    ระยะที่ 2 การเสริมสร้างองค์กรศาสนาให้เข้มแข็ง การพัฒนาองค์กรศาสนา การให้มีบทบาทในทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และสังคม
    ระยะที่ 3 เกิดผลลัพธ์ที่มองเห็นและวัดผลได้ชัดเจน โดยองค์กรศาสนามีระบบและโครงสร้างที่เข้มแข็ง มีหลักสูตรส่งเสริมการศึกษาศาสนาทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ และ
    ระยะที่ 4 การประเมินและติดตามผล โดยจัดให้มีระบบประเมินและติดตามผลขององค์กรศาสนา ซึ่งให้ประชาชนและภาคประชาสังคมมีส่วนร่วม

 st12 st12 st12 st12

“ในการประชุมร่วมกับ 13 องค์กร พศ.จะมีการหารือข้อเสนอของทาง สปช. ที่จะให้มีการยกร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยสถาบันสร้างเสริมคุณภาพสังคมไทยด้วยศาสนธรรม และการแก้ไขกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ศ.2557 รวมถึงการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณรที่อาพาธ เพื่อเสริมสร้างบุคลากรทางศาสนาให้เข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ เมื่อได้ข้อสรุปจากการหารือแล้ว พศ.จะสรุปเรื่องเสนอกลับไปยังครม.พิจารณาอีกครั้ง” โฆษก พศ. กล่าว.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/355631
12498  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรมการศาสนาฟื้น "ประเพณีประดับธงกฐิน" ก่อนสูญหาย เมื่อ: ตุลาคม 20, 2015, 09:24:20 pm


กรมการศาสนาฟื้น "ประเพณีประดับธงกฐิน" ก่อนสูญหาย 

กรมการศาสนา รณงค์ประชาชนร่วมสืบสานทำบุญใหญ่เทศกาลออกพรรษา ตักบาตรเทโวโรหณะ ทอดกฐินวัดทั่วประเทศ พร้อมขอความร่วมมือวัดช่วยอนุรักษ์ฟื้นฟูประเพณีประดับ“ธงกฐิน”หวั่นสูญหาย

วันนี้ (20 ต.ค.) นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า ตนได้รับรายงานจาก นายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดีกรมการศาสนา(ศน.) เรื่องการรณรงค์พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศร่วมทำบุญใหญ่ในช่วงเทศกาลออกพรรษา โดยในปีนี้ได้ ศน.รณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันตักบาตรเทโวโรหณะ ในวันออกพรรษา วันที่ 28 ต.ค.นี้ และร่วมกันถวายกฐินตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ช่วงระหว่างวันที่ 28 ต.ค. – 25 พ.ย. 2558 เพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา และเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ


 :25: :25: :25: :25:

ด้านนายกฤษศญพงษ์ กล่าวว่า ศน.ได้รณรงค์การสืบทอดประเพณีถวายกฐิน ที่เน้นการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ด้วยการจัดสมโภช โดยใช้วิถีวัฒนธรรม วิถีถิ่น วิถีไทย การแสดงพื้นบ้าน อาหารพื้นถิ่น การรักษาศีล ปราศจากของมึนเมา และงดมหรสพที่ไม่เหมาะสมหรือขัดต่อจารีตประเพณี พร้อมขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ให้ร่วมกันติดป้ายรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันตักบาตรเทโวโรหณะ และทอดกฐินอย่างพร้อมเพรียงกัน

นอกจากนี้ ศน.ได้ประสานขอความร่วมมือไปยังวัดที่ได้รับผ้ากฐินให้ช่วยสืบทอดประเพณีการประดับธงกฐิน ให้คืนกลับมาในสังคมไทย เนื่องจากสังเกตได้ว่าหลายปีที่ผ่านมาประเพณีการประดับธงกฐินค่อยๆลดน้อยลง และกำลังจะสูญหายไปหากไม่มีการสืบทอด

     ans1 ans1 ans1 ans1

    “ธงกฐิน มีอยู่ 4 แบบ ซึ่งแต่ละแบบแฝงไปด้วยความรู้เกี่ยวกับธรรมะ ได้แก่
    1.ธงจระเข้ หมายถึง ความโลภ (ปากใหญ่ กินไม่อิ่ม) ใช้ประดับในการแห่ มีตำนานว่าเศรษฐีเกิดเป็นจระเข้ว่ายน้ำตามขบวนกฐินจนขาดใจตาย
    2.ธงนางมัจฉา หมายถึง ความหลง (เสน่ห์แห่งความงามที่ชวนหลงใหล) ใช้ประดับงานพิธีถวายผ้ากฐิน เป็นตัวแทนหญิงสาว ตามความเชื่อว่าอานิสงส์จากการถวายผ้าแก่ภิกษุสงฆ์จะมีรูปงาม
    3.ธงตะขาบ หมายถึงความโกรธ (พิษที่เผ็ดร้อนเหมือนความโกรธที่แผดเผาจิต) ใช้ประดับเพื่อแจ้งว่า วัดนี้มีคนมาจองกฐินแล้ว ให้ผู้ที่จะมาปวารณาทอดกฐินผ่านไปวัดอื่นเลย ไม่ต้องเสียเวลามาถาม และ
    4.ธงเต่า หมายถึง สติ (การระวังรักษาอายตนะทั้ง 6 ดุจเต่าที่หดอวัยวะซ่อนในกระดอง) ใช้ประดับเพื่อแจ้งว่า วัดนี้ทอดกฐินเรียบร้อยแล้ว จะปลดลงในวันเพ็ญเดือน 12 ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นเพียงธงจระเข้ และธงนางมัจฉา ส่วนธงตะขาบและธงเต่าพบเห็นได้น้อยมาก จะมีปรากฏในบางวัดที่ยังคงรักษาธรรมเนียมเก่าแก่เอาไว้เท่านั้น“
อธิบดีศน.กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/355554
12499  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สัตหีบจัดลอยกระทงเจ ขอขมาแม่คงคา เชิญวิญญาณในทะเลรับเครื่องเซ่นไหว้ เมื่อ: ตุลาคม 20, 2015, 09:19:01 pm


สัตหีบจัดลอยกระทงเจ ขอขมาแม่คงคา เชิญวิญญาณในทะเลรับเครื่องเซ่นไหว้

นายกเล็กเมืองสัตหีบ ร่วมผู้ถือศีลกินเจกว่า 300 คน นุ่งขาวห่มขาว "ลอยกระทงเจ" ทะเลหน้ากรมที่ดิน ถวายเป็นพุทธบูชา ขอพร 9 เทพเจ้า พร้อมขอขมาพระแม่คงคา เชิญวิญญาณเร่ร่อนรับเครื่องเซ่นไหว้

เมื่อวันที่ 20 ต.ค. นายณรงค์ บุญบรรเจิดศรี นายกเทศมนตรีเมืองสัตหีบ ในฐานะประธานมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ พร้อมด้วยคณะกรรมการ และผู้ถือศีลกินเจชาวไทยเชื้อสายจีนใน อ.สัตหีบ กว่า 300 คน พร้อมใจกันนุ่งขาวห่มขาว ร่วมกระทำพิธี "ลอยกระทงเจ" เพื่อสืบสานประเพณีที่สืบทอดมาช้านาน โดยนำกระทงใหญ่ถวายเป็นพุทธบูชา และสักการบูชา ขอพรจากองค์เทพทั้ง 9 องค์ ด้วยการร่วมกันแห่กระทงออกจากมณฑลพิธีมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ นำไปลอยลงสู่ทะเลบริเวณหน้ากรมที่ดิน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อขอขมาแด่พระแม่คงคา และเชิญดวงวิญญาณเร่ร่อนไร้ญาติซึ่งอยู่ในท้องทะเลมารับเครื่องเซ่นไหว้

ระหว่างเตรียมนำกระทงเจ ไปลอยในทะเล สัตหีบ

นายณรงค์ กล่าวว่า เทศกาลกินเจในปีนี้ เทศบาลเมืองสัตหีบ ได้ร่วมกับมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ จัดขึ้น โดยมีอาหารเจบริการให้กับผู้ถือศีลกินเจได้รับประทานวันละ 3 มื้อ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งคำว่า กินเจ ตามความหมายที่แท้จริงคือ การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน ดังเช่นที่ชาวพุทธในประเทศไทยถือ อุโบสถศีล หรือ รักษาศีล 8 จะไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีล ของชาวพุทธฝ่ายมหายานไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมเรียกการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกับคำว่า กินเจ ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วย

จัดพิธีสวดมนต์ ให้ดวงวิญญาณในทะเล มารับเครื่องเซ่นไหว้

ในปัจจุบัน ผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกกันว่ากินเจ ความหมายก็คือ คนกินเจไม่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดี บริสุทธิ์ สะอาด งดงามทั้งกาย วาจา ใจ เป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกัน จึงเรียกว่า กินเจที่แท้จริง.

กระทงเจ อ.สัตหีบ ชลบุรี

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/533583
12500  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดาราสาวจีนชื่อดัง ถวายเงินวัดสว่างฯ เมื่อ: ตุลาคม 20, 2015, 09:14:57 pm


ดาราสาวจีนชื่อดัง ถวายเงินวัดสว่างฯ

ศรัทธา–ถวายเงิน น.ส.หลู เจียหลง ดาราสาวจีนชื่อดัง เดินทางมากราบไหว้ขอพร พระครู ยติธรรมานุยุต หรือ อาจารย์แป๊ะ วัดสว่างอารมณ์ ต.ขุนแก้ว อ.นครชัยศรี จ. นครปฐม เกิดศรัทธาถวายเงิน 1 แสนบาท สมทบทุนในการสร้างศาลาสวดศพวัด อีกด้วย (ตามข่าว)

เมื่อสายวันที่ 16 ต.ค. ที่วัดสว่างอารมณ์ ต.ขุนแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม น.ส.หลู เจียหลง อายุ 32 ปี นักแสดงชาวจีนชื่อดัง พร้อมคณะโดยมีนายซูหลง มัคคุเทศก์ชาวฮ่องกง เดินทางร่วมมาด้วย ได้ขอเข้าพบกราบนมัสการขอพร พระครูยติธรรมานุยุต หรืออาจารย์แป๊ะ เจ้าอาวาส โดยมีการสนทนาธรรมผ่านล่ามชาวฮ่องกง พร้อมกันนี้อาจารย์แป๊ะ ได้พาคณะชมรอบบริเวณวัด พระอุโบสถ และโรงเจวัดสว่างอารมณ์ และดูเมรุเผาศพ ซึ่งกำลังสร้างศาลาสวดศพ บริเวณรอบเมรุ หลังจากพาชม น.ส.หลู เจียหลง ได้ถวายเงิน 1 แสนบาท ให้พระครูยติธรรมานุยุติ เพื่อสมทบทุนร่วมสร้างพื้นศาลาสวดศพวัดสว่างอารมณ์

ก่อนเดินทางกลับได้เผยผ่านล่ามว่า เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นอาจารย์แป๊ะ ดูเป็นพระติดดินไม่ค่อยถือตัวและยังเป็นกันเองพาชมรอบบริเวณวัด จนเกิดความศรัทธา ถวายเงินเพื่อสมทบทุนทำพื้นศาลาสวดศพใหม่ให้ ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะได้มาอีกเมื่อไหร่แต่ถ้าได้มาเมืองไทยก็จะมาแวะวัดสว่างอารมณ์


 :25: :25: :25: :25:

หลังจากที่ดาราสาวชาวจีนเดินทางกลับแล้ว อาจารย์แป๊ะได้เผยชวนสาธุชนร่วมทอดกฐินวัด สว่างอารมณ์ ในวันที่ 2 พ.ย.58 ซึ่งในวันเดียวกันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานผ้าพระกฐิน โดยมอบหมายให้ พล.ต.สุรศักดิ์ ทิมมาศ ผู้ช่วยเจ้ากรมเสมียนตรา เป็นผู้แทน นำมาถวายให้อาตมา ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า ในวันนั้นผู้ที่นำพุ่มกฐินมาร่วมทอด กองละ 2558 บาท

อาตมาจะมอบวัตถุมงคลรุ่นพิเศษ “พระขุนแผน” เนื้อผงที่อาตมาปลุกเสกถึง 3 ไตรมาศ มอบให้กับผู้นำพุ่มกฐินมาถวายในวันนั้นด้วย นอกจากนี้ อาจารย์แป๊ะยังกล่าวเชิญชวนผู้ยากไร้มารับสิ่งของแจกในวันสุดท้ายของเทศกาลถือศีลกินเจ วันที่ 21 ต.ค. ตั้งแต่เวลา 12.00 น.เป็นต้นไป ที่ด้านหน้าของโรงเจวัดสว่างอารมณ์ ที่เตรียมไว้แจกจ่ายถึง 2 พันชุด.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://thairath.co.th/content/532917
12501  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แกะสลักภูเขาสร้าง 'หลวงพ่ออู่ทอง' เมื่อ: ตุลาคม 20, 2015, 09:11:06 pm


แกะสลักภูเขาสร้าง 'หลวงพ่ออู่ทอง'

น.ส.ธนิษฐา สราวิช กำนันตำบลอู่ทอง และ น.ส.วันฤดี วงศ์อติกานต์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 ต.อู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ร่วมกัน เปิดเผยโครงการก่อสร้างพระพุทธรูปปุษยคีรีและพุทธมณฑล เนื้อที่กว่า150 ไร่ บริเวณเขาทำเทียมใกล้วัดเขาทำเทียม ในเขตเทศบาลท้าวอู่ทอง ซึ่งมีพระเทพสุวรรณโมลี เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นผู้ริเริ่มและเป็นประธานโครงการว่า

โครงการได้คืบหน้าไปกว่า 30 เปอร์เซ็นต์แล้วด้วยแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศและชาวอำเภออู่ทองและใกล้เคียงจนคืบหน้าเป็นระยะ โดยเฉพาะองค์หลวงพ่ออู่ทองที่มีความสูง108 เมตร ฐานกว้าง 88 เมตร ช่างได้แกะสลักบนภูเขาเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว โดยมีปะรำพิธีให้พุทธศาสนิกชนร่วมปิดทองพระเกศขนาดใหญ่ที่จะนำขึ้นไปประดิษฐานเหนือเศียรองค์พระเมื่อก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว


 :25: :25: :25: :25:

กำนันคนดังเปิดเผยอีกว่า บริเวณหน้าผาโดยรอบสถานที่พุทธมณฑลจะมีการแกะสลักพระพุทธรูปปางต่างๆขนาดใหญ่อีก 3 องค์นอกเหนือจากหลวงพ่ออู่ทอง ซึ่งทัศนียภาพโดยรอบสวยงามมาก มีน้ำตกตามธรรมชาติตกเป็นสายสะท้อนแสงเห็นเป็นสีทองอร่าม เนื่องจากบริเวณนี้เคยเป็นเหมืองหินเก่าที่หมดสัมปทานไปแล้วกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ที่ให้กรมวิทยาศาสตร์ตรวจสอบสภาพน้ำแล้วพบว่ามีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ดื่มกินได้ ทั่วบริเวณยังเป็นภูเขามีต้นไม้ขึ้นเขียวชอุ่ม ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยโดย อพท.ได้จัดเป็นพื้นที่พิเศษเข้ามาปรับทัศนียภาพโดยรอบให้สวยงามร่มเย็น

จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนและประชาชนทั่วไปเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่อำเภออู่ทอง ที่เป็นเมืองโบราณมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าพันปีและมีสถานที่อันควรค่าแก่การท่องเที่ยวมากมาย การเดินทางไปนมัสการหลวงพ่ออู่ทองก็สะดวกสบาย ออกจากตัวเมืองสุพรรณบุรีไปอำเภออู่ทอง เมื่อมาถึงหอนาฬิกาอำเภออู่ทองแล้วให้เลี้ยวซ้ายไปประมาณ 2 กม.ก็เลี้ยวขวาเข้าทางวัดเขาทำเทียมเล็กน้อยก็ถึงบริเวณพุทธมณฑลองค์พระหลวงพ่ออู่ทอง.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/533525
12502  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / งูเหลือมจะกินไก่วัด! ซุ่มใกล้กุฏิสมภาร เณรมาเจอช่วยกันจับ เมื่อ: ตุลาคม 20, 2015, 09:08:34 pm


งูเหลือมจะกินไก่วัด! ซุ่มใกล้กุฏิสมภาร เณรมาเจอช่วยกันจับ

สามเณรน้อยออกกวาดลานวัด เหลือบไปพบเห็นงูเหลือมตัวใหญ่เลื้อยอยู่ใกล้ๆกุฏิเจ้าอาวาส จ้องเขมือบไก่วัด เลยเรียกเพื่อนทำบ่วงคล้องช่วยกันจับไว้ได้ พบตัวยาวกว่า 4 เมตร  น้ำหนักร่วม 50 กก. แจ้งกู้ภัยมานำไปปล่อยคืนสู่ป่า...

เมื่อตอนบ่ายวันที่ 19 ต.ค.2558 พระครูวีรพัฒน์ จันสีนาค เจ้าอาวาสวัดควนอุโบสถ หมู่ 3 ต.ปริก อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า สามเณรของวัดจำนวนหนึ่ง ได้ลงทำความสะอาดด้วยการกวาดลานวัด โดยขณะนั้น สามเณรน้อยรูปหนึ่ง หันไปเห็นว่าใกล้ๆกับกุฏิของเจ้าอาวาส มีงูเหลือมที่มีขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ลำตัวยาวประมาณ 4-5 เมตร น้ำหนักตัวร่วม 50 กิโลกรัม นอนขดตัวอยู่ใต้กุฏิ แต่ตาจ้องมองไปที่ไก่วัดที่เลี้ยงไว้ และเดินหากินอยู่บริเวณนั้น

เจ้าอาวาสฯ กล่าวอีกว่า แม้จะตกใจแต่สามเณรได้ตะโกนให้เพื่อนเณรด้วยกันเข้ามาช่วยกันจับงูตัวดังกล่าว สามเณรรูปหนึ่งจึงวิ่งไปหาเชือกมาคล้องเป็นบ่วงก่อนจะนำไปคล้องไว้ที่หัวของงู แล้วช่วยกันเอาไม้กวาดที่ใช้กวาดลานวัดกระทุ้งไปที่ตัวงูเพื่อให้มันขยับและให้หัวของงูเข้าไปอยู่ในบ่วงเชือก จากนั้นจึงกระตุกเชือกให้บ่วงรูดรัดคองู ใช้เวลาไม่นานก็สามารถจับงูเอาไว้ได้ และแจ้งให้มูลนิธิใต้เต็กตึ๊งทุ่งใหญ่ มานำงูไปปล่อยในป่า ให้คืนสู่ธรรมชาติของมันต่อไป.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/533467
12503  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เด็กวัดจับโจร! ย่องงัดกุฏิหลวงตา ตอนพระลงศาลาสวดศพ เมื่อ: ตุลาคม 20, 2015, 09:06:45 pm




เด็กวัดจับโจร! ย่องงัดกุฏิหลวงตา ตอนพระลงศาลาสวดศพ

โจ๋กรุงเก่าไม่ทำงานทำการ ย่องเข้าวัดตอนที่พระลงศาลาไปสวดศพ งัดกุฏิเจ้าอาวาส เข้าไปรื้อค้นหาทรัพย์สิน แต่เวรกรรมตามทันลูกศิษย์วัดมาเจอ ไล่ปล้ำจับตัวไว้ได้ พบประวัติแสบ เคยต้องโทษตอนอายุ 16 ปี ออกมาเป็นโจรหาเงินซื้อยาบ้าเสพ...

เมื่อเวลา 20.30 น.วันที่ 19 ต.ค.2558 ร.ต.ท กันทรากร สิรินันทจักร รอง สวป.สภ. พระนครศรีอยุธยา ได้รับแจ้งเหตุจากพระครูประดิษฐ์ กิจจารักษ์ เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐาน ว่า มีคนร้ายเข้ามางัดกุฎิเจ้าอาวาส แล้วถูกลูกศิษย์รวบตัวไว้ได้ เหตุเกิดในวัดราชประดิษฐาน ต.หัวรอ อ.พระนครศรีอยุธยา จึงรุดไปตรวจสอบ โดยที่กุฏิเกิดเหตุซึ่งเป็นกุฏิเจ้าอาวาส พบหน้าต่างกระจกแบบบานเลื่อนถูกงัด ข้าวของในกุฏิถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย และพบคนร้าย ถูกชาวบ้านจับตัวเอาไว้ได้ ชื่อนายจิ๋ว(นามสมติ) อายุ 19 ปี ราษฎร ต.ท่าช้าง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา


จนท.ตร.ตรวจหาร่องรอยของคนร้าย

สภาพภายในกุฏิถูกรื้อค้นหาทรัพย์สิน

จากการสอบสวน ผู้ต้องหา รับสารภาพว่า ได้ขี่รถจักรยานยนต์ ฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 สีน้ำเงิน มาจอดไว้ในที่ลานจอดรถของวัด เพราะเห็นว่าทางวัดดังกำลังมีงานสวดพระอภิธรรมศพอยู่บนศาลา จึงน่าจะไม่มีพระอยู่กุฏิ ซึ่งพบว่าบริเวณกุฏิไม่มีพระอยู่เลยสักรูปจริงๆ จึงเดินไปข้างกุฏิของเจ้าอาวาสแล้วใช้ไขควงงัดหน้าต่างบานเลื่อน ปีนเข้าไปรื้อค้นหาทรัพย์สินอยู่สักพัก ก็ได้ยินเสียงคนเดินมา ซึ่งทราบต่อมาว่าเป็นลูกศิษย์วัด ชื่อนายสรธร ใยบัวขาว อายุ 24 ปี เดินมาที่กุฎิและพบกับตนเข้า ตะโกนร้องว่า‘ขโมย ขโมย’ ตนจึงรีบหนีแต่ถูกนายสรธร เข้ารวบตัวจนเกิดต่อสู้กัน แต่ตนสู้ไม่ไหวทำให้ถูกจับได้ในที่สุด

จนท.ตำรวจควบคุมตีนแมวไม่เกรงบาปไปดำเนินคดี

ด้าน ร.ต.ท กันทรากร สิรินันทจักร รอง สวป. สภ.พระนครศรีอยุธยา  เปิดเผยว่า คนร้ายยอมรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุจริง และเคยต้องโทษมาแล้วเมื่อตอน อายุ 16 ปี ที่สถานพินิจและคุ้มครองเยาวชน ในข้อหาลักทรัพย์ พอพ้นโทษออกมาก็ไม่มีงานทำ จึงมาก่อเหตุเพื่อนำเงินไปซื้อยาบ้าเสพ ซึ่งทางตำรวจ จะสอบสวนขยายผลว่า เคยก่อเหตุในลักษณะนี้มาแล้วกี่ครั้ง เพื่อจะได้แจ้งข้อหาดำเนินคดีต่อไป.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/533473
12504  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พึ่งตนพึ่งธรรม - "อนาคาริกา" กับ สิทธิของหญิงขอทาน เมื่อ: ตุลาคม 20, 2015, 10:58:45 am




พึ่งตนพึ่งธรรม - "อนาคาริกา" กับ สิทธิของหญิงขอทาน

     ท่านผู้อ่านเห็นภาพหญิงขอทานกับลูกน้อยสองภาพนี้แล้วรู้สึกอย่างไร.? และคิดอะไรอยู่.?
     บางท่านอาจบอกว่าสงสารหญิงขอทานนี้จัง ทำไมสามีใจดำทิ้งเมียได้ลงคอ บางท่านอาจคิดว่าทำไมสถานภาพของหญิงไทยตกต่ำขนาดนี้ หญิงไทยถูกกระทำรุนแรงเหลือเกิน หรือบางท่านอาจคิดว่าถ้าสตรีสองท่านนี้ทำแท้งก็คงไม่ต้องมาประสบชะตากรรมดังกล่าว เพราะอย่างน้อยแม่จะได้ลำบากคนเดียว ลูกน้อยจะได้ไม่ต้องมาร่วมประสบชะตากรรมไปด้วย บางท่านอาจบอกว่าหญิงขอทานเหล่านี้ควรได้รับเงินสวัสดิการจากภาครัฐเพราะเธอกำลังได้รับความเดือดร้อน บางท่านอาจบอกว่าเห็นแต่ผู้หญิงออกมาอุ้มลูกขอทาน ไม่เคยเห็นผู้ชายออกมาอุ้มลูกขอทานบ้างเลย

ก็อาจจะคิดและรู้สึกกันไปได้ต่างๆ นานา แต่สำหรับผมแล้วกลับมองว่า หากหญิงไทยได้รับโอกาสให้บวช "ภิกษุณี" จากคณะสงฆ์อย่างเป็นทางการ มีวัดของภิกษุณีกระจายไปทั่วเมืองไทย ผู้หญิงที่อยู่จังหวัดไหนทั้งใกล้ไกลก็สามารถบวชภิกษุณีได้อย่างภาคภูมิใจ ได้รับการยอมรับสนับสนุนเป็นอย่างดีจากพระภิกษุและฆราวาส ชะตากรรมของสตรีในภาพทั้งสองนี้อาจเปลี่ยนไป


 :96: :96: :96: :96: :96:

เพราะ “ก่อน” ที่เธอจะได้พบกับชายซึ่งอาจจะเป็นสามีหรือเป็นบุคคลที่มาล่วงละเมิดทางเพศเธอจนทำให้เธอตั้งท้อง “ก่อน” ที่เธอจะคลอดลูกออกมาขอทานริมถนน เธออาจมีโอกาสบวชเป็นภิกษุณี ณ ที่ใดที่หนึ่งจนเธอมีสติปัญญาสว่างไสวในธรรมบวชเป็นภิกษุณีตลอดชีวิต ซึ่งนั่นหมายความว่าเราอาจจะไม่ได้เห็นภาพของสุภาพสตรีสองท่านต้องตกอยู่ในสภาพนี้ก็เป็นได้

ผมกำลังอธิบายว่า "การบวชภิกษุณี" สามารถ "ตัดตอน" ชะตาชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งมิให้พานพบกับการมีครอบครัว ตัดตอนการพบกับสามีเห็นแก่ตัว ตัดตอนการเป็นเมียที่ต้องถูกสามีทุบตีเช้าเย็น ตัดตอนการตั้งท้องแล้วถูกทิ้ง และในที่สุดก็สามารถ "ตัดตอน" มิให้ผู้หญิงจำนวนมากต้องประสบชะตากรรมร้ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กหญิงภาคอีสานจำนวนมากที่ถูกพ่อแม่จับส่งไปขายบริการทางเพศ เนื่องจากถูกความยากจนเข้าคุกคาม การบวชเป็นภิกษุณีจะช่วยเด็กหญิงเหล่านั้นให้รอดชีวิตได้มากมายมหาศาลทีเดียว เห็นได้จากการที่เด็กชายฐานะยากจนอาศัยการบวชเณรเป็นบันไดปูทางไปสู่การศึกษาเป็นตัวอย่าง





การที่ประเทศชาติของเรามีคนยากจนออกมาร่อนเร่พเนจรขอทานเพราะขาดปัจจัยสี่ เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติพัฒนาได้ช้า หากประชาชนอยู่ดีมีปัจจัยพร้อม ประเทศชาติก็พัฒนาได้ไว  "สถานะของประชาชนไม่ตกต่ำฉันใด สถานะของประเทศชาติก็ไม่ตกต่ำฉันนั้น"

บางคนอาจแย้งว่าเรามีการ "บวชชี" แล้วไง แต่ผมอยากบอกว่า การบวชชีก็ต้องอาศัยปัจจัยตัวเองในการอยู่รอด พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือหากผู้หญิงคนหนึ่งคิดจะบวชชีก็ต้องมีเงินเก็บ ไม่มีใครเอาเงินไปทำบุญถวายแม่ชีเหมือนกับพระภิกษุ อาหารก็ต้องทำฉันเองไม่ได้ออกรับบิณฑบาตอาหารฟรีเหมือนพระภิกษุ ผ้าขาวก็ต้องซื้อเอง เจ็บป่วยยารักษาโรคก็ต้องจ่ายเอง มีที่อยู่เท่านั้นที่อยู่ฟรี (และโปรดสังเกตว่าที่อยู่ของแม่ชีในวัดจำนวนมากมักตั้งอยู่ในทำเลที่ขาดสุขอนามัย (เช่นตั้งอยู่ใกล้เมรุเผาศพ) กุฏิแม่ชีก็ไม่ได้ดูน่าอยู่เท่ากับของภิกษุ) ในเมื่อสถานะของแม่ชีไม่ได้รับการสนับสนุนเช่นนี้ผู้หญิงที่ไหนจะมาบวช


 :49: :49: :49: :49:

ทุกวันนี้สมภารเจ้าวัดหลายวัดกำลังทำการ "คุมกำเนิดแม่ชี" เพื่อลดจำนวนแม่ชีลง คงเพราะท่านรู้สึกเป็นภาระยุ่งยากกับการบริหารวัด บางวัดที่เคยมีแม่ชีบัดนี้ก็สูญสิ้นแม่ชีไปแล้ว ประกอบกับสังคมบริโภคนิยมทำให้ผู้คนไม่คิดที่จะใช้ชีวิตสันโดษเรียบง่าย โอกาสที่ผู้หญิงคิดบวชชีก็น้อยตามไปด้วย เนื่องจากสถานะการบวชชีไม่ได้รับการสนับสนุนด้วยปัจจัยสี่จากชาวพุทธเหมือนกับสถานะของพระภิกษุ

ทุกครั้งที่ผมเห็นภาพหญิงขอทานพร้อมด้วยลูกน้อยบนทางเท้าหรือบนสะพานลอยก็ได้แต่สลดใจ อยากทำบุญกับเธอด้วยเงิน ๑ ร้อยบาท แต่เงิน ๑ ร้อยบาทของผมก็คงช่วยให้เธอรอดพ้นจากความหิวโหยได้ไม่กี่มื้อ และยังคงมีหญิงขอทานอีกจำนวนมากเกินกว่าที่เงินในกระเป๋าสตางค์ของผมจะช่วยเหลือพวกเธอได้
     ผมคิดว่าคนไทยในสังคมไทยสามารถช่วยเหลือหญิงขอทานได้มากกว่าการให้เงิน โดยการหันมาช่วยกันปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคม สวัสดิการ สิทธิ์ในบางเรื่อง ให้เกิดการเกื้อกูลกับเธอก็จะช่วยให้เธอไม่ต้องออกมาร่อนเร่ขอทานเช่นนี้
     โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมมติว่าที่ผ่านมา การบวชภิกษุณีได้รับการยอมรับจากสังคมก็จะสามารถช่วยเหลือผู้หญิงที่กำลังตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ได้มาก และคงไม่ได้ช่วยเธอแค่อาหารมื้อเดียว แต่สามารถช่วยด้วยอาหารถึงสองมื้อ คือ อาหารทางร่างกายกับอาหารทางจิตวิญญาณ แต่เวลานี้หญิงขอทานกำลังขาดอาหารทั้งสองประเภท





ความจริงหญิงขอทานเหล่านี้ก็ไม่ได้ออกมาเรียกร้องสิทธิ์การบวชภิกษุณี เธอเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอมีสิทธิ์บวชภิกษุณี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิทธิ์การบวชภิกษุณีของเธอได้ถูกขโมยไป ในที่สุดชีวิตของเธอก็ต้องตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้

ทุกวันนี้ในหมู่นักปฏิบัติธรรมชาวไทยจำนวนไม่น้อยต่างพากันมองว่า "สิทธิมนุษยชน" เป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่ก้าวร้าว ดูไม่เรียบร้อย และก็เป็น "อริ" กับ "การละตัวตน" อันเป็นจุดหมายปลายทางของพุทธศาสนา แต่ถามว่าถ้า "พระแม่น้านางมหาปชาบดี" ไม่ชักชวนบรรดาสตรีในศากยสกุลออกบวช พวกเธอเหล่านั้นจะได้บรรลุอรหันตผลกันหรือไม่ เพราะในที่สุดสิทธิ์ที่ได้มาก็นำไปสู่การละอัตตาตัวตนในที่สุด และยังผลให้สตรีอินเดียหลายคนบรรลุธรรมตามกันมาอีกหลายท่าน

หากไม่มีสิทธิ์ในวันนั้นก็คงไม่มีการบรรลุธรรมในหมู่ผู้หญิงในเวลาต่อมา แต่ก็น่าเสียดายเพราะในที่สุดสิทธิ์ดังกล่าวก็ถูกริดรอนทั้งๆ ที่เป็นสิทธิ์ที่พระพุทธองค์ประทานให้แก่ผู้หญิงทุกคน


     "หนึ่งลมหายใจ"


หมายเหตุ : อนาคาริก แปลว่า ผู้ไม่อยู่ครองเรือน บรรพชิต นักบวชทั่วไปที่เป็นผู้ชาย ส่วนอนาคาริกา คือ ผู้สละเรือนออกบวชที่เป็นผู้หญิง

ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.komchadluek.net/detail/20110312/91265/พึ่งตนพึ่งธรรมอนาคาริกากับสิทธิของหญิงขอทาน.html
12505  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อนาคามี : พระในเพศฆราวาส เมื่อ: ตุลาคม 20, 2015, 10:27:56 am


อนาคามี : พระในเพศฆราวาส

สำหรับวันนี้จะบรรยายให้ท่านทั้งหลายฟัง ในหัวข้อเรื่องอนาคามี : พระในเพศฆราวาส ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ฆราวาสสามารถที่จะบรรลุอริยบุคคลได้ทุกชั้น แต่พระโสดาบันและสกทาคามีนั้น ยังมีพฤติกรรมบางอย่างที่คล้ายๆ กับ ปถุชน เช่น ท่านยังมีครอบครัว มีสามี ภรรยา และลูก เพีงแต่ท่านมีศีล 5 บริสุทธิ์ ท่านละสังโยชน์ คือ กิเลสทั้ง 3 ตัวได้
 
      สิ่งที่สำคัญก็คือ สำหรับอริยบุคคล 2 ชั้นนี้ ท่านยังสามารถบริโภคความสุขได้ทั้ง 3 ประการ คือ
      1.กามสุข ความสุขจากกาม
      2.ฌานสุข ความสุขที่เกิดจากฌาน
      3.นิพพานสุข ความสุขที่ได้จากการเข้าถึงนิพพาน
      แม้ยังไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างชนิดเต็มตัว แต่ท่านสามารถหน่วงเหนี่ยวอารมณ์แห่งนิพพานได้
             
สำหรับอริยบุคคลชั้นสูงขึ้นไป คือ ในระดับพระอนาคามีและพระอรหันต์ ท่านไม่ได้บริโภคกามสุข ท่านบริโภคเฉพาะฌานสุขและนิพพานสุขเท่านั้น ทั้งนี้ก็สืบเนื่องมาจากการที่พระอนาคามีนั้นท่านสามารถละ สังโยชน์ คือ กิเลสเพิ่มได้อีก 2 ตัว ก็คือ กามราคะ ท่านสามารถตัดความรัก ความยินดีในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส และ สัมผัส ท่านสามารถตัดปฏิฆะ คือ ความโกรธเสียได้


 :25: :25: :25: :25:

เมื่อท่านสามารถตัดความรักและความโกรธได้แล้ว จึงทำให้ท่านเป็นผู้มีศีลบริบูรณ์ แต่ศีลในที่นี้ไม่ได้ เป็นศีลเหมือนอริยบุคคล 2 ระดับ ดังกล่าวแล้ว
     พระโสดาบันและพระสกทาคามีนั้น เป็นผู้ที่มีศีล 5 บริสุทธิ์โดยธรรมชาติ
     ส่วนพระอนาคามีนั้นมีอธิศีลเหมือนพระโสดาบัน
     แต่ข้อแตกต่างกันก็คือ พระอนาคามีมีศีล 8 โดยธรรมชาติหรืออาจเรียกได้ว่าศีลอุโบสถก็ได้

ที่สำคัญก็คือ พระอนาคามีเป็นผู้ที่มีอธิจิตบริบูรณ์ คำว่า อธิจิต ก็หมายความว่า เป็นผู้ที่มีสมาธิที่สมบูรณ์ ท่านทั้งหลายโปรดสังเกตว่า ในการฝึกสมาธินั้นมีกิเลสตัวสำคัญที่รุมล้อมทำร้ายจิตใจของเรา เรียกว่า นิวรณ์ทั้ง 5 ได้แก่
        1. กามฉันทะ ความพอใจในกาม
        2. ความพยาบาท ความขัดเคืองไม่พอใจ
        3. ถีนมิทธะ ความหดหู่และความเซื่องซึม
        4. อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านแระ รำคาญใจ
        5. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย





กิเลสตัวสำคัญที่สุด คือ กามราคะ หรือในนิวรณ์เรียกว่า กามฉันทะนั่นเอง แล้วก็พยาบาท ซึ่งในสังโยชน์เรียกว่า ปฏิฆะ ราคะกับโทสะ สองตัวนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในระดับกิเลสชั้นกลาง เพราะว่าเป็นกิเลสที่มารุมทำร้ายจิตใจ ทำให้จิตใจของเรานั้นไมีความสงบ เดี๋ยวจิตก็ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ของ ความรัก ความโกรธ เมื่อเราสามารถตัดราคะและโทสะได้ พระอนาคามีจึงชื่อว่าเป็นผู้มี อธิจิตสิกขา คือ เป็นผู้ที่มีสมาธิจิตบริบูรณ์

ส่วนปัญญาของท่านก็มีอยู่พอควร  ถ้าท่านไม่มีปัญญา ท่านไม่สามารถละกิเลสในระดับหนึ่งได้ เพียงแต่ท่านยังมีกิเลสเบื้องสูงอีก 5 ตัวที่ท่านยังไม่สามารถละได้ ภาษาพระใช้คำว่า อุทธัมภาคิสังโยชน์ แปลว่า กิเลสที่เป็นไปในฝ่ายสูง คือ
     พระอนาคามียังละรูปราคะ คือ ความพอใจในรูปฌานไม่ได้
     ยังละอรูปราคะ คือ ความพอใจในอรูปฌานไมได้
     ยังละ มานะ คือ ความถือตนว่าดีกว่าเขา เสมอกว่าเขา หรือ ต่ำกว่าเขาไม่ได้
     ยังละอุทธัจจะ คือ ความฟุ้งซ่านระดับเบื้องสูงไม่ได้
     และที่สำคัญคือ ท่านยังละอวิชชา ความหลงไม่ได้
     เพราะฉะนั้น นี่คือ ภาระหนักสำหรับพระอนาคามี ที่ยังมีภาระกิจ คือ กิเลสละเอียด ที่จะต้องละต่อไป


ask1 ans1 ask1 ans1

ครั้งที่แล้วได้อธิบายให้ท่านทั้งหลายฟังว่า ในศีล 8 นั้น ข้อที่น่าสนใจคือ ข้อที่ 3 ในศีล 5 ข้อ คือ กาเมสุมิจฉาจาร หมายความว่า เราจะไม่ยุ่งกับคู่ครองของคนอื่น แต่เราก็ยังมีเพศสัมพันธ์ปกติกับคู่ครองคือสามีและภรรยาของเราได้ แต่พอบรรลุอนาคามีนั้น สภาพจิตของท่านสูงขึ้น เนื่องจากตัดกามระคะได้
     
    ดังนั้น ศีลข้อที่สามจึงเปลี่ยนจาก กาเมาสุมิจฉาจารา เวรมณี มาเป็น อพรัหมจริยาเวรมณี
    คำว่า อพรัหมจริยาเวรมณี หมายความว่า ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางเพศทุกชนิด เพราะท่านไม่มีภารกิจที่ต้องทำในเรื่องเหล่านี้แล้ว เนื่องจากตัดถอนรากถอนโคนกามราคะได้หมดสิ้นแล้ว





คำว่า กามราคะ ในศัพท์จิตวิทยา เรียกว่า สัญชาตญาณทางเพศ ซึงในเรื่องนี้มีมุมมองที่ขัดแย้งกันในทางความคิด เนื่องจากทางตะวันตกนี่ ไม่ว่าจะป็น อริสโตเติ้ล ซิกมันด์ ฟรอยด์ เขาถือว่ากิเลสเป็นสารัตถะ แก่นแท้ของความเป็มนุษย์ มนุษย์ไม่สามารถที่จะตัดทำลายกิเลสได้ เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ตัดทำลายกิเลสหรือสัญชาตญานเหล่านี้ จะทำให้ความเป็นมนุษย์พิกลพิการ นี่คือ แนวคิดของทางตะวันตก ที่ถือว่ากิเลสกับมนุษย์ หรือกิเลสกับจิตเป็นตัวเดียวกัน

แต่ในทางตะวันออกโดยเฉพาะในทางพระพุทธศาสนา ถือว่ากิเลสเป็นคนละตัวกับจิต กิเลสเป็นเจตสิก เป็นสิ่งที่เกิดร่วมกับจิต อาศัยอยู่ในจิต แต่ไม่ใช่จิต ถ้าจิตเปรียบเหมือนเป็นแก้วน้ำ กิเลสก็เป็นเหมือนกับน้ำที่อยู่ในแก้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น แก้วน้ำกับน้ำ เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยกัน แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวกัน

ในทางพระพุทธศาสนาจึงถือว่า เราสามารถตัดทำลายกิเลสอันเป็นอกุศล คือ ความไม่ดีได้และเมื่อทำลายความชั่วในจิตให้หมดไปจากจิตใจได้แล้ว ในจิตใจก็เหลือไว้ซึ่งกุศลและเจตสิก ซึ่งเป็นคุณธรรมความดีเพื่อนจะอยู่เกื้อกูลชาวโลกต่อไป เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท้งหลาย ท่านมีเมตตา มีกรุณา มีปัญญา มีคุณธรรมความดีต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะใช้เกื้อกูลชาวโลก


 :25: :25: :25: :25:

สิ่งที่น่าสนใจอีกข้อหนึ่งคือ ข้อ วิกาลโภชนา เวรมณี พระอนาคามีปกติทานอาหารไม่เกินเที่ยง อันนี้ ก็น่าแปลกเหมือนกัน ซึ่งบางทานอาจสังสัยว่าทำไมทานน้อย มันก็สัมพันธ์กับศีลข้อที่ 3 คือ
     อพพัมจริยา ท่านงดเว้นเด็ดขาดจากเรื่องเพศทุกชนิด ก็ไม่ต้องใช้พลังงานมากมาย
     ทานอาหารมื้อเช้าบำรุงกำลัง ท้องว่างมาหลายชั่วโมง
     มื้อเพลไม่เกินเที่ยง บำรุงปัญญา
     ส่วนมื้อเย็นบำรุงกามรมณ์
 
สำหรับพวกฆราวาสผู้เสพกาม จำเป็นที่จะต้องบริโภคอาหารในเวลาเย็น ถ้าไม่ทาน คุณพ่อ คุณแม่ก็คงไม่มีเรี่ยวแรงผลิตพวกเราให้ได้ออกมาชมโลกใบนี้ อันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นปกติวิสัยของปุถุชนคนมีกิเลส แต่สำหรับพระอนาคามี ท่านไม่จำเป็นในเรื่องเหล่านี้แล้ว ศีลข้อต่อไปคือ ที่เราสมาทานว่า งดเว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรีที่เป็นข้าศึกแก่กุศล คือ สิ่งที่ทำให้จิตใจเพลิดเพลินยินดี ตกไปในอารมณ์แห่งกามคุณ การทัดทรงดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้ ซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่ง ท่านก็ตัดสิ่งเหล่านี้ได้หมด และข้อที่ 8 งดจากการนั่งนอนในที่นอนสูงใหญ่ หรูหราฟุ่มเฟือย สิ่งเหล่านี้ท่านสามารถที่จะตัดได้





เรื่องของพระอนาคามีเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ท่านท้งหลายจะสังเกตว่า ในระดับของพระระดับโสดาบันและสกทาคามีนี้ เราจะเรียกท่านเหล่านี้ว่า เป็นชาวบ้านชั้นดีก็ได้ เป็นสุภาพบุรุษชน เป็นสุภาพสตรีชน เป็นคนผู้ชายผู้หญิงที่เป็นคนดี ที่ไม่ละเมิดศีล 5
    แต่พระอนาคามี เราไม่อยากเรียกท่านว่า เป็นสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี ชั้นดี
     เพราะว่า ท่านมีบุคคลิกภาพที่แปลกไป นั่นก็คือ
     ท่านมีชีวิตอยู่อย่างฆราวาสจริง แต่วิถีชีวิตของท่านไม่เหมือนฆราวาส
     จะเรียกท่านเหล่านี้ว่า อนาคาริก ก็ได้
     คำว่า อนาคาริก ก็แปลว่า ผู้ไม่มีเรือน ไม่ครองเรือน

           
       ask1 ans1 ask1 ans1

    ท่านทั้งหลายอาจบอกว่า
    ถ้าไม่ครองเรือน ก็หมายความว่า อนาคามีต้องออกบวชทิ้งหมดใช่หรือไม่.?
    คำตอบก็คือ ไม่มีความจำเป็นถึงขนาดนั้น เท่าที่ตรวจสอบจากหลักฐานในพระไตรปิฏก ก็พบว่า
    ท่านเหล่านี้บางส่วนเหมือนกันที่ไม่มีภาระทางโลกแล้ว ท่านก็ปลีกตัวออกไปบวช อย่างเช่น บิดา มารดา ของนางมาคันทิยา  ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าได้บรรลุเป็นพระอนาคามี แล้วท่านก็เอาลูกสาวอันเป็นที่รักคนเดียว คือ นามมาคันทิยาไปฝากไว้กับน้องชาย จากนั้นก็ออกบวชเลย ไม่มีความห่วงใยทางเรือนแล้ว ก็มีบ้างที่ออกบวช หรืออย่างวิสาขอุบาสก วิสาอุบาสก ฟังเทศน์ได้บรรลุเป็นอนาคามี แต่ท่านก็ไม่ได้ออกบวช





    ท่านทั้งหลายอาจตั้งคำถามว่า
    อนาคามี แปลว่า ผู้ไม่ครองเรือน ก็หมายความว่า เป็นผู้ที่ไม่มีลูกมีเมียใช่หรือไม่.?
    ถ้าท่านบรรลุเป็นอนาคามี ท่านก็ไม่มีคู่ครอง หมายความว่า ท่านก็จะไม่ยุ่งเกียวฉันท์สามีภรรยากับคู่ครองของตนเอง

    ทีนี้ท่านทั้งหลายอาจถามว่า แล้วถ้าอย่างนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาจะป็นอย่างไร.?
    คำตอบก็คือ ท่านจะอยู่แบบพี่แบบน้อง ยกตัวอย่างกรณี วิสาขาอุบาสกที่ให้อิสระแก่ภรรยาคือ นางธรรมทินนา แต่ตัวธรรมทินนาก็ถือโอกาสออกบวช แล้วก็ได้บรรลุเป็นอรหันต์สูงกว่าสามี อย่างนี้เป็นต้น  ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ทางโลก แต่ท่านามีพฤติกรรมไม่เหมือนกับชาวโลก จึงเรียกท่านว่าอนาคามี

พระที่อยู่ในเพศฆราวาส เพราะว่าท่านไม่ยุ่งเกี่ยวในเรื่องทางเพศ ทีนี้ถ้าเรามามองในด้านสังคมวิทยา พระอนาคามีท่านก็ยังมีภาระอยู่นี่ ยกตัวอย่าง เช่น มีอนาคามีบางท่าน พี่พ่อแม่แก่ชราตาบอด ท่านก็ยังต้องประกอบอาชีพเป็นช่างปั้นหม้อ เลี้ยงตัวเอง บิดา มารดา ผู้ตาบอด นี้ก็ไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาด หรือว่าถ้าท่านมีลูกอยู่ ภรรยาไปมีสามีใหม่ ภรรยาไม่ประสงค์จะเลี้ยงลูก ท่านก็อาจจะรับภาระเลี้ยงลูกทำหน้าที่ความเป็นบิดามารดาได้ตามปกติ

 st12 st12 st12 st12

แต่ท่านจะไม่มีลักษณะของกามราคะ คือ รักในความยึด ในความหวง ในความห่วง ท่านมองสัตว์โลกทั้งหลายเหมือนกับเพื่อนร่วมชะตาเดียวกัน เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย
    สิ่งสำคัญที่เด่นมากที่สุดสำหรับพระอนาคามี ที่อยากอธิบายให้ฟังก็คือว่า
    ตัวเมตตา คือ ความรัก ความปรารถนาดี เป็นจิตที่เด่นมากของอนาคามี
    เพราะว่าในจิตของโสดาบันและสกทาคามี จะสังเกตได้ว่า ท่านเหล่านั้นก็ยังมีความโกรธ แต่ท่านไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาต พยาบาท ความโกรธยังมีอยู่เพราะท่านตัดไม่ได้ แต่พอมาเป็นพระอนาคามีท่านตัดความโกรธได้

 :49: :49: :49: :49:

ศัตรูตัวสำคัญของเมตตา คือ ความรัก ความปรารถนาดี เป็นเมตตาที่ไม่แสดงอานุภาพออกมาได้อย่างแรงกล้า ก็เนื่องมาจากอุปสรรคสำคัญ 2 ประการ นั่นคือ โทสะ
     เมตตา เป็นคู่ปรับกับโทสะ
     ยามใดที่จิตมีเมตตา จิตก็ไม่มีพยาบาท หรือยามใดที่จิตมีความพยาบาท จิตไม่มีเมตตา
     เพราะฉะนั้น ตัวโทสะ เป็นตัวที่ทำให้เมตตาเศร้าหมอง เป็นศัตรูไกล คู่ปรับตัวสำคัญและสิ่งที่เป็นศัตรูใกล้ๆคอยกระแซะๆ ให้เมตตา ต้องสูญเสียความเป็นเมตตาก็คือ ราคะ ความกำหนัด ยินดี

ลักษณะความกำหนัดยินดีมีมากมาย เป็นลักษณะความกำหนัดยินดีทางเพศ มันกลายเป็นเมตตาไปไม่ได้ เพราะมันเปลี่ยนจากเมตตาไปเป็นราคะ หรืออาจจะเป็นลักษระในเชิงเจ้าของก็ได้ว่า นี่ลูกเมียเรา เรารัก เราหวง เราห่วงอะไรต่างๆ       
       
       




อนาคามีสามารถเสพสุขได้เพียง 2 สุข คือ ฌานสุขและนิพพานสุข ท่านทั้งหลาย อาจจะบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็แพ้โสดาบ้นและสกคาทามี เพราะว่าโสดาบัน สกทาคามี เสพสุขได้ทั้ง 3 สุข เป็นกามสุขก็เสพได้ ฌานสุขก็ได้ นิพพานสุขก็ได้ แต่พอมาเป็นอนาคามีเสียกามสุขไปแล้ว อย่างนั้นก็เสียเปรียบ อันที่จริงถือว่า ไม่เป็นการเสียเปรียบแต่เป็นการได้เปรียบมากกว่า

เพราะในทางพระพุทธศาสนา ถือว่าการเสพกามสุขนั้น ก็เหมือนกับเสพทุกข์ การกอดกามสุขนั้นก็เหมือนกับการกอดกองไฟ พระพุทธเจ้าท่านตรัสตำหนิติเตียนโทษของกามไว้มากมายว่า กามทั้งหลายมีรสอร่อย มีทุกข์มาก กามทั้งหลายเป็นของเผ็ดร้อน กามทั้งหลายเป็นเหมือนกับการทานอาหารที่ผสมกับยาพิษ อุปมาเปรียบความทุกข์ที่เกิดจากกามนี้มีมากและก็ตรัสไว้เยอะเป็ฯการตรัสตำหนิติเตียนกาม


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

เพราะฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ยังเสพกามอยู่ ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่ายังเสพทุกข์อยู่ ยังหนีจากความทุกข์ไปไม่ได้ ในสมัยพุทธกาลนี่มีเยอะมากมายที่พระโสดาบันต้องมีความทุกข์จากครอบครัว ยกตัวอย่างง่ายๆ พระโสดาบันผู้หนึ่งภรรยาเป็ฯผู้ไม่อิ่มในเรื่องของกาม ก็ไปมีชู้ ท่านก็เศร้าโศรกเสียใจ ไปปรับทุกข์กับพระพุทธเจ้าก็มี

ในสมัยพุทธกาลนี่ยังไม่มีโรคเอดส์ระบาด ท่านทั้งหลายลองจินตนาการดูว่า ถ้าคู่ครองของพระโสดาบันไปสำส่อนในเรื่องทางเพศนี่ พระโสดาบันจะเอาตัวรอดได้หรือไม่? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าขบคิดทีเดียวว่า แม้แต่ตัวเองจะบรรลุเป็นโสดาบันและสกทาคามีแล้วแตก็ไม่ใช่ว่าตัวเองจะปลอดภัย ยังมีโสดาบันยังมีสิทธิ์ติดเอดส์ได้เหมือนกัน ถ้าคู่ครองของตนยังไม่ดีอย่างนี้




     แต่ถ้าใครก็ตามหลีกหนีออกจากกาม เป็นผู้ไม่ครองเรือน อนาคาริก แปลว่า เป็นผู้ไม่มีเรือน
     คำว่าไม่มีเรือน คำว่าไม่มีเรือนนี่ ไม่ได้หมายความว่า ต้องออกบวชเสมอไป อยู่ในชีวิตฆราวาสก็ได้ อยู่ในครอบครัวก็ได้ แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวในเชิงสัมพันธ์สวาททางเพศ แต่ยังมีความรู้สึกที่เป็นมิตร มีความรู้สึกที่เกื้อกูล ต่อมนุษยชาติ


      แต่ในทางสังคมวิทยานี่ อาจจะโจมตีได้ว่า อนาคามีมีข้อไม่ดี เป็นการทำลายสถาบันครอบครัว ทำให้มนุษยชาติต้องเสื่อมสูญและสูญชาติพันธุ์
     อันนี้เขาอาจโจมตีได้ แต่ก็เป็นเรื่องของเขา เพราะว่าคนในโลกนี้จะมีอนาคามีซักกี่เปอร์เซนต์
     โลกนี้มีคนอยู่ห้าหกพันล้านคน คนที่เป็นพระอนาคามีมีน้อย
     เพราะฉะนั้น ข้อโจมตีหรือข้อวิจารณ์ในเรื่องนี้ก็คงเอามาเป็นประเด็นไม่ได้


     สำหรับเรื่อง อนาคามี : พระในเพศฆราวาส ในวันนี้พอสมควรแก่เวลา ขอให้ท่านทั้งหลาย ตั้งสติ คือ ตัวรู้ไว้ที่ดวงตาทั้งสองข้าง แล้วก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ออกจากสมาธิฯ
 


อ้างอิง :-
การปฏิบัติพระกรรมฐาน : บรรยายโดย อาจารย์ชัชวาลย์ ชิงชัย เป็นการบรรยายครั้งที่ 17
อาจารย์ชัชวาลย์ ชิงชัย อยู่ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จตุจักร กรุงเทพ 10900
โทรศัพท์ 579-5566-8 ต่อ 506 โทรสาร 942-8719 อีเมลล์ fhumcwc@ku.ac.th
การบรรยายนี้จัดโดยคณะอนุกรรมการกิจการพิเศษ ศูนย์พุทธศาสนาศึกษา มก.
บรรยาย ณ พุทธเกษตร ม.เกษตรศาสตร์ เมื่อวันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2544
ที่มา : https://solardogwp.wordpress.com/2005/08/25/อนาคามี-พระในเพศฆราวาส/ 
12506  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ออกจากเรือน บวชเป็น "อนาคาริก" แสวงหาอะไร.? เมื่อ: ตุลาคม 20, 2015, 08:47:13 am



ออกจากเรือน บวชเป็น "อนาคาริก" แสวงหาอะไร.?

ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงขับไล่ภิกษุเหล่านี้ไปในเพราะเหตุไร.?
ตอบว่า ความจริงมีอยู่ว่า ภายในพรรษาหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับจำพรรษาอยู่ในเมืองสาวัตถี ออกพรรษาปวารณาแล้วแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จออกจากเมืองสาวัตถีเที่ยวจาริกไปในชนบท เสด็จถึงเมืองกบิลพัสดุ์ แล้วเสด็จเข้าไปยังนิโครธาราม.

เจ้าศากยะทั้งหลายได้สดับ(ข่าว)ว่า พระศาสดาเสด็จมาถึงแล้ว หลังเสวยพระกระยาหารเสร็จทรงรับสั่งให้ราชบุรุษทั้งหลายหาบเนยใส น้ำมัน น้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้น และน้ำปานะที่เป็นกัปปิยะหลายร้อยหาบ เสด็จไปสู่วิหารมอบถวายพระสงฆ์ ถวายบังคมพระศาสดาแล้วประทับนั่งทำปฏิสันถาร(กับพระศาสดา) ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง. (ฝ่าย)พระศาสดาประทับนั่งตรัสธรรมกถาอันไพเราะ ถวายเจ้าศากยะเหล่านั้น.


      :96: :96: :96: :96:

     ขณะนั้น ภิกษุบางพวกกำลังเช็ดถูเสนาสนะ บางพวกกำลังจัดตั้งเตียงและตั่งเป็นต้น (ส่วน)สามเณรทั้งหลายกำลังถากหญ้า.             
     ในสถานที่แจกสิ่งของ ภิกษุที่มาถึงแล้วก็มี ภิกษุที่ยังมาไม่ถึงก็มี ภิกษุที่มาถึงแล้วจะรับลาภแทนภิกษุที่ยังมาไม่ถึง ก็พูดเสียงดังขึ้นว่า จงให้แก่พวกข้าพเจ้า จงให้แก่อาจารย์ของพวกข้าพเจ้า จงให้แก่อุปัชฌาย์ของพวกข้าพเจ้า.

      พระศาสดาทรงสดับแล้วได้ตรัสถามพระอานนท์เถระว่า
      อานนท์ ก็พวกที่ส่งเสียงดังเอ็ดอึงนั้นเป็นใคร คล้ายจะเป็นชาวประมงแย่งปลากัน.
      พระเถระกราบทูล (ให้ทรงทราบ) เนื้อความนั้น.
      พระศาสดาทรงสดับแล้วตรัสว่า อานนท์ ภิกษุทั้งหลายส่งเสียงดัง เพราะอามิสเป็นเหตุ.
      พระเถระกราบทูลว่า ใช่ พระเจ้าข้า.


      :25: :25: :25: :25:

     พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ ไม่สมควรเลย ไม่เหมาะสมเลย เพราะเราตถาคตบำเพ็ญบารมีมาตั้ง ๔ อสงไขยกำไรแสนกัลป์ เพราะจีวร(เป็นต้น)เป็นเหตุก็หามิได้
     ทั้งภิกษุเหล่านี้ออกจากเรือนบวชเป็นอนาคาริก เพราะจีวร(เป็นต้น)เป็นเหตุก็หามิได้.

     พวกเธอบวชเพราะความเป็นพระอรหันต์เป็นเหตุ (แต่)กลับมาทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ให้เป็นเหมือนกับสิ่งที่มีประโยชน์ ทำสิ่งที่ไม่มีสาระให้เป็นเหมือนสิ่งมีสาระ
     ไปเถิดอานนท์ จง(ไป)ขับไล่ภิกษุเหล่านั้น(ให้ออกไป). ฯลฯ


ที่มา : อรรถกถาปิณโฑลยสูตร ว่าด้วยเหตุที่ต้องดำรงชีพด้วยบิณฑบาต
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=165&p=1




คำว่า การบรรพชา ได้แก่ ความเป็นอนาคาริก.
ก็ความเป็นอนาคาริกนั้นแล ย่อมควรในศาสนา หรือในนิกายของดาบสและปริพาชกผู้เป็นกรรมวาทีและกิริยวาที เหมือนควรแก่สุเมธบัณฑิตฉะนั้น ด้วยว่าสุเมธบัณฑิตนั้นเป็นดาบส ชื่อสุเมธ จึงตั้งปณิธาน.


ที่มา : อรรถกถาขัคควิสาณสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=296&p=1




      อนาคาริกรัตนะ
      แม้ปุริสรัตนะก็มี ๒ อย่างคือ อาคาริกรัตนะ ๑ อนาคาริกรัตนะ ๑.
      แม้ในอาคาริกรัตนะนั้น พระเจ้าจักรพรรดิย่อมทรงนมัสการสามเณรที่บวชในวันนี้ด้วยพระเบญจางคประดิษฐ์.
      ในรัตนะทั้ง ๒ อย่างแม้นี้ อนาคาริกรัตนะเท่านั้นประเสริฐที่สุด.

      แม้อนาคาริกรัตนะก็มี ๒ อย่างคือ เสกขรัตนะ ๑ อเสกขรัตนะ ๑.
      ในอนาคาริกรัตนะ ๒ อย่างนั้น พระเสกขะตั้งแสนย่อมไม่ถึงส่วนแห่งพระอเสกขะ.
      ในรัตนะ ๒ อย่างแม้นี้ อเสกขรัตนะเท่านั้นประเสริฐที่สุด.

ที่มา : อรรถกถาธาตุวิภังคสูตร 
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=673&p=1




อนาคาริกมุนี น. มุนีผู้ที่ไม่ได้ครองเรือน.

ที่มา : dictionary.sanook.com/search/dict-th-th-pleang/อนาคาริกมุนี



มุนีพึงตั้งสติเที่ยวไปในบ้าน เหมือนบุรุษผู้ไม่ได้สวมรองเท้า ตั้งสติเที่ยวไปในถิ่นที่มีหนาม ฉะนั้น


     "ภิกษุ" มี ๒ ประเภท
     ๑. อนาคาริกสมณะ หมายถึง สมณะผูู้ไม่มีเรือน ไม่มีสามี ภรรยาหรือบุตร เรียก่ว่า "ภิกษุ" เช่น พระสารีบุตรเถระ พระอุบลวัณณาเถรี เป็นต้น
     ๒. อาคาริกสมณะ หมายถึง ฆราวาสผู้เป็นอริยะ ยังครองเรือนอยู่ร่วมกับสามีภรรยาหรือบุตร เรียกว่า ภิกษุ เช่น นางวิสาขา อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นต้น


ที่มา : www.dhammahome.com/webboard/topic/20244
12507  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “สำนักพระราชวัง” บวงสรวงพระนารายณ์ทรงสุบรรณที่พระตำหนักประทับแรมปากพนังครบ 8 ปี เมื่อ: ตุลาคม 19, 2015, 09:38:58 pm


“สำนักพระราชวัง” บวงสรวงพระนารายณ์ทรงสุบรรณที่พระตำหนักประทับแรมปากพนังครบ 8 ปี

นครศรีธรรมราช - “สำนักพระราชวัง” จัดพิธีบวงสรวงพระนารายณ์ทรงสุบรรณ เนื่องในวันคล้ายวันถวายพระตำหนักประทับแรมอำเภอปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ครบรอบปีที่ 8
       
       วันนี้ (19 ต.ค.) ที่พระตำหนักประทับแรมอำเภอปากพนัง ภายในโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อเวลา 09.29 น. วันนี้ (19 ต.ค.) นายรัตนาวุธ วัชโรทัย ที่ปรึกษาฝ่ายกิจกรรมพิเศษ (ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการพระราชวัง) สำนักพระราชวัง เป็นประธานในพิธีบวงสรวงพระนารายณ์ทรงสุบรรณ โดยเริ่มจากพิธีพราหมณ์ โดยโหรหลวง กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง ประกอบพิธีบวงสรวงพระนารายณ์ทรงสุบรรณ อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐานด้านหน้าพระตำหนัก การบวงสรวงเทพยดา และเทพเทวาทุกทิศ

       

       สำหรับพระตำหนักประทับแรมอำเภอปากพนัง เป็นพระตำหนักแห่งแรกของประเทศที่ประชาชนร่วมใจกันถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใยพสกนิกร จนมีพระราชดำริโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ประชาชนชาวปากพนังจึงพร้อมใจกันจัดสร้างพระตำหนักปากพนัง เพื่อเป็นพระตำหนักแปรพระราชฐานเสด็จทรงงาน ณ ลุ่มน้ำปากพนัง
       
       ซึ่งโครงการนี้เป็นที่รู้จักในนาม “สร้างบ้านให้พ่อ” ตั้งอยู่บริเวณลุ่มน้ำปากพนัง ล้อมรอบด้วยแม่น้ำ อาจารย์ภิญโญ สุวรรณคีรี สถาปนิกได้ออกแบบให้มีลักษณะสถาปัตยกรรมของภาคใต้อย่างโดดเด่นชัดเจน โดยใช้หลังคาทรง “บรานอร์” ที่มีลักษณะหลังคาบ้านไทยถิ่นใต้ มาเลย์ อินโด บรูไน และฟิลิปปินส์ โดยใช้หลังคาสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีอันเป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ โดย จ.นครศรีธรรมราช ได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระตำหนักประทับแรมอำเภอปากพนังเมื่อวันที่ 19 ต.ค.2550

 


ขอบคุณภาพข่าวจาก     
http://manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9580000116988
12508  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระธรรมทูตไทยร่วมถกสภาศาสนาโลก นำเสนอพุทธสันติวิธีแก้ความขัดแย้ง เมื่อ: ตุลาคม 19, 2015, 09:33:31 pm

พระธรรมทูตไทยร่วมถกสภาศาสนาโลก นำเสนอพุทธสันติวิธีแก้ความขัดแย้ง
สำราญ สมพงษ์ นิสิตปริญญาโท สาขาสันติศึกษา มจร รายงาน

ช่วงนี้ชาวพุทธส่วนหนึ่งในประเทศไทยกำลังสร้างวิวาทกรรมกันในหลายๆกรณี ล่าสุดก็กรณีหนังเรื่อง "อาบัติ" ถูกคัดค้านเปลี่ยนมา "อาปัติ" โดยบอกว่ามาจากภาษาบาลีคือ "อาปตฺติ" แต่คำว่า "อาปัติ" ไม่เคยมีการใช้ในภาษาไทยมาก่อน จะเป็นการเลี่ยงบาลีหรือไม่วิญญูชนพิจารณาเอาเองเถิด

ขณะเดียวกันยังมีชาวพุทธส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นพระธรรมทูตออกไปประกาศหลังธรรมในพระพุทธศาสนาในต่างแดน บางบทบาทมีความสำคัญแต่น้อยนักที่สังคมไทยจะได้รับทราบ อย่างเช่นขณะนี้ตัวแทนพระธรรมทูตไทยในสหรัฐอเมริกาในนามคณะกรรมการสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของพระครูสิริอรรถวิเทศ เลขาธิการสมัชชาสงฆ์ไทยฯ  ได้เข้าร่วมประชุมสภาศาสนาโลก เมืองซอลท์เลค ซิตี้ รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา



พระครูสิริอรรถวิเทศ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมระดับนานาชาติ ระหว่างวันที่ 15-19 ต.ค.นี้  โดยผู้นำศาสนาทั่วโลกมาชุมนุมกับทุกๆ ๔ ปี เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และใช้หลักศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ ตลอดถึงวิชาการต่างๆ ช่วยเหลือมนุษยชาติของแต่ละบุคคลที่เข้าร่วม โดยมีการสัมภาษณ์และเก็บรักษาไว้ในห้องสมุดให้บุคคลเข้ามาศึกษาต่อไป

"สำหรับอาตมานั้นได้มีการนำเสนอหลักในการสร้างสันติสุขตามแนวทางของพระพุทธศาสนาซึ่งจะเป็นเครื่องมีในแก้ปัญหาความขัดแย้ง การสร้างสันติภาพสันติสุขให้เกิดขึ้นกับชุมชนโลกต่อไป" เลขาธิการสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา กล่าวและว่า




ในการประชุมครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญกับบทบาทของสตรีในการดูแลลูกสร้างสันติสุขเป็นอย่างมาก โดยมีการประชุมหัวข้อย่อยตามห้องต่างๆ โดยอาตมาได้เข้าร่วมการเข้าร่วมฟังการอภิปรายกลุ่มของคณะภิกษุณีจากวัด Ten thousand Buddhas เรื่องการเข้าสู่ชีวิตพรหมจรรย์ของความเป็นภิกษุุณี (Parliament of World's Religions, Salt Lake City, Utah 2015) และการแสดงของเยาวชนทั่วโลกในการประชุมสภาศาสนาโลก ที่โบสถ์คริสต์นิกายมอมอนในรายการ Many faiths one family
 



ผู้บริหาร'มจร'ร่วมฉลอง90ปีก่อตั้งวิทยาลัยสงฆ์จีน

ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา พระพรหมบัณฑิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มอบหมายให้ พระโสภณวชิราภรณ์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร พร้อมคณะ เดินทางไปร่วมพิธีเฉลิมฉลองวาระครบ 90 ปี การก่อตั้งวิทยาลัยสงฆ์หมินหนาน (Buddhist College of Minnan) ณ เมืองเซี๊ยะเหมิน มณฑลฟูเจี้ยน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน

โดยมีพระธรรมาจารย์เซี๊ยะเฉิง ประธานพุทธสมาคมจีน (พระสังฆราช) เป้นประธานฝ่ายสงฆ์และ ท่านเจียนเจี๊ยนหย่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการทบวงศาสนาจีน เป็นปรานฝ่ายคฤหัสถ์ โดยมีคณะสงฆ์และภิกษุณีทั่วประเทศพร้อมผู้แทนรัฐบาลท้องถิ่นและผู้แทนจากหน่วยงานการศึกษาในประเทศต่างๆ มาร่วมงานกว่า 2,000 รูป/คน




วิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้เป็นวิทยาลัยสงฆ์ของรัฐบาลจีน ซึ่งเปิดการศึกษาด้านพระพุทธศาสนาในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท โดยการกำกับของพุทธสมาคมจีน มีการจัดการศึกษาพระพุทธศาสนาในสองส่วนคือ ส่วนสำหรับพระสงฆ์ มีพระสงฆ์เป็นผู้บริหาร และส่วนสำหรับภิกษุณี มีภิกษุณีเป็นผู้บริหาร ซึ่งทั้งสองส่วนนั้น มีท่าน พระธรรมาจารย์เซิ้งฮุย นายกพุทธสมาคมเมืองหูหนาน เป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์หมินหนาน ซึ่งท่านได้กล่าวถึงความสำคัญในการจัดการศึกษาพระพุทธศาสนาว่า

“การจัดการศึกษาของวิทยาลัยสงฆ์หมินหนานนี้ เป้าหมายก็เพื่อนำพระพุทธศาสนาเข้าสู่วิถีชีวิตและสร้างความรักความสามัคคีให้เกิดขึ้นแก่ผู้คนทั่วไป สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยเน้นที่เมตตาธรรม พระสงฆ์และภิกษุณีที่ศึกษา ณ สถาบันแห่งนี้ เมื่อมีความรู้ด้านพระพุทธศาสนาแล้ว ก็พร้อมที่จะดูแลและสั่งสอนผู้คนและทำหน้าที่สังคมสงเคราะห์ เพราะการเรียนก็เพื่อการบริการสังคมเพื่อให้สังคมอยู่ได้อย่างเหมาะสม




ด้านความสัมพันธ์ทางด้านการศึกษาระหว่างวิทยาลัยสงฆ์หมินหนานกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนั้น ได้มรการสานสัมพันธ์กันมาโดยตลอดและเมื่อ ปี วันที่ 5 กรกฎาคม 2554 คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย นำโดยพระพรหมบัณฑิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้เดินทางไปเยื่ยมเยือนและปรึกษาหารือด้านการจัดการศึกษาพระพุทธศาสนาระหว่าง ๒ สถาบันและได้เชื่อมสัมพันธ์ทางด้านการจัดการศึกษาตลอดมา

สำหรับเมือง เซียะเหมิน เป็นเมืองในมณฑลฝูเจี้ยน มีพื้นที่ 1,565 ตร. กม. อยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน ติดกับทะเลจีนใต้ ตรงข้ามกับ “เกาะไต้หวัน” มีชื่อตามภาษา ฮกเกี้ยนว่า อามอย หมายความว่า ประตูคฤหาสน์ เป็นเมืองที่อยู่บนเกาะ มีสัญลักษณ์เป็นนกกระยางขาว เซี๊ยะเหมินได้รับการยกระดับขึ้นมาเป็นเมืองใหญ่ใน ปี ค.ศ. 1387  โดยมีสถานะเป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญและเคยเป็นพื้นที่สนามแห่งการศึกสงครามหลายครั้งในอดีต จากนั้นในปี ค.ศ. 1981 เมืองเซี๊ยะเหมินได้กลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือที่เรียกว่า Special Economic Zone หนึ่งในห้าของประเทศที่ประกอบด้วย จงไห่ ซัวเถา เซินเจิ้น และ ไหหลำ เมืองเซี๊ยะเหมินนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นหน้าต่างอีกบานหนึ่งเมื่อประเทศจีนเปิดประเทศออกสู่โลกภายนอกมากขึ้น



ในเมืองเซี๊ยะเหมินมีวัดซึ่งเป็นที่ตั้งของวิทยาลัยสงฆ์หมินหนานคือ วัดหนานปู่โถ (Nanputuo) ตั้งอยู่ทางชานเมืองทิศใต้ของเซี๊ยะเหมิน สร้างขึ้นในช่วงราชวงศ์ถัง ตั้งอยู่บนพื้นที่ 30,000  ตารางเมตร เพื่ออุทิศให้กวนหยิ เทพเจ้าแห่งความเมตตา ซึ่งภายในโถงพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ มีรูปเจ้าแม่กวนอิมถึง 3 องค์ ประดิษฐานอยู่ นอกนี้ยังเป็นที่เก็บเอกสารเกี่ยวกับพุทธศาสนา และพระพุทธรูปที่ได้มาจากประเทศพม่า

ศาสนกิจเหล่านี้คือเหรียญอีกด้านหนึ่งที่มีอยู่






ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151019/215394.html
12509  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พิจิตรจัดงานเผาศพแหวกแนว จัดรำวงย้อนยุค ก่อนวางดอกไม้จันทร์ เมื่อ: ตุลาคม 19, 2015, 09:22:43 pm



พิจิตรจัดงานเผาศพแหวกแนว จัดรำวงย้อนยุคก่อนวางดอกไม้จันทร์

วันที่ 19 ต.ค. 2558 เมื่อเวลา 16.00 น. ที่วัดท่าหอย ตำบลบางไผ่ อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ชาวบ้านจำนวนหลายร้อยคนที่ไปร่วมงานเผาศพของ นางเฉลียว หรุ่นขำ อายุ 63 ปี ซึ่งมีอาชีพทำนาและได้เสียชีวิตลงเมื่อ 5 วันที่ผ่านมา โดยญาติได้กำหนดจัดพิธีเผาศพในวันนี้ ซึ่งทุกคนที่มาร่วมงานต่างต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าที่หน้าเมรุเผาศพมีการตั้งเวทีดนตรี จากนั้นเมื่อได้เวลาก่อนเผาศพ ปรากฏว่าวงดนตรีได้เล่นเพลงลูกทุ่งในจังหวะรำวงและจังหวะสามช่าอย่างสนุกสนานและมีนางรำที่เป็นนางรำของรำวงย้อนยุคที่ล้วนเป็นชาวบ้านออกมารำวงรอบเมรุเผาศพอย่างสนุกสนาน สร้างความประหลาดใจและสร้างรอยยิ้มให้กับผู้ที่มาร่วมงานแทนความโศกเศร้า

สอบถามจึงได้ความว่า นางเฉลียว ผู้เสียชีวิต ก่อนตายเป็นคนชอบรำวงย้อนยุคที่มักออกร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม อสม. เมื่อเสียชีวิตลงก่อนเผาศพเพื่อนๆจึงมาร่วมรำวงย้อนยุครอบเมรุเผาศพเพื่อเป็นการไว้อาลัย ซึ่งถือเป็นกิจกรรรมหน้าเมรุเผาศพที่แปลกแหวกแนวไปอีกรูปแบบหนึ่งตามวิถีชีวิตของคนชนบทที่ทำขึ้นเพื่อไว้อาลัยและรำลึกถึงคุณงามความดีของผู้ตายที่ได้เคยสร้างความประทับใจทิ้งไว้นั่นเอง


 :96: :96: :96: :96:

โดย นายณรงค์ วรรณฐิจภากรณ์ อายุ 55 ปี สมาชิกอบต.บางไผ่ หมู่ 11 หนึ่งในผู้ที่ไปร่วมง่านศพในครั้งนี้ เล่าว่าผู้เสียชีวิตจัดว่าเป็นผู้มีฐานะมีนาเป็นร้อยไร่ มีลูก 2 คน ทำงานอยู่ต่างจังหวัดก็มาเป็นผู้จัดงานศพให้แม่ ซึ่งก็ได้อนุญาตให้มีรำวงย้อนยุค เนื่องจากเมื่อครั้งที่ นางเฉลียว ผู้เสียชีวิต ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ถือได้ว่าเป็นแกนนำของชมรมรำวงย้อนยุคเพื่อสุขภาพ

ดังนั้นเมื่อเสียชีวิตลงคนที่มาร่วมงานส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นสมาชิกในชมรมเดียวกัน จึงได้เป็นสาเหตุของการจัดรำวงย้อนยุคหน้าเมรุเผาศพเพื่อไว้อาลัยให้กับผู้ตายดังกล่าว ซึ่งบรรยากาศงานศพผิดจากที่อื่นๆ เพราะงานนี้มีแต่รอยยิ้มที่ทุกคนได้มารำลึกถึงผู้ตายด้วยการเต้นรำวง จะมีก็แค่เพียงแตรวงที่เป่านำหน้าศพตอนจะขึ้นสู่เมรุ ซึ่งเป็นเพลงธรณีกรรแสง แต่ก็ดูเหมือนไม่มีใครโศกเศร้าเพราะยังติดลมกับบรรยากาศของรำวงย้อนยุคเพื่อสุขภาพที่มาสร้างความประหลาดแหวกแนวในงานศพครั้งนี้


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.banmuang.co.th/news/region/29178
12510  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขอขมา องค์พระร่วงโรจนฤทธิ์ เพื่อประดับไฟงานเทศกาลฯ เมื่อ: ตุลาคม 19, 2015, 09:19:24 pm


ขอขมาองค์พระร่วงโรจนฤทธิ์ เพื่อประดับไฟงานเทศกาลฯ

เจ้าคณะภาค 15 เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม นำเจ้าหน้าที่ จำนวน 9 คน ประกอบพิธีขอขมา องค์พระร่วงโรจนฤทธิ์ เพื่อเตรียมขึ้นไปประดับไฟฟ้า โดยรอบองค์พระปฐมเจดีย์ ในการเตรียมจัดงานเทศกาล นมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ประจำปี 2558 โดยปีนี้ทางองค์พระปฐมเจดีย์ เตรียมนำธนบัตรติดรูป 3 มิติ สะท้อนแสงกว่า 100,000 ฉบับ เป็นที่ระลึกในงานด้วย

เมื่อวานนี้(18 ต.ค.)ที่บริเวณด้านหน้าองค์พระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม พระพรหมเวที เจ้าคณะภาค 15 เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นำเจ้าหน้าที่ชุดประดับไฟฟ้า จำนวน 9 คน ประกอบพิธีขอขมาต่อองค์พระร่วงโรจนฤทธิ์ พร้อมมอบพระเครื่องรุ่นครบรอบ 100 ปี และปะพรหมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล ให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่จะขึ้นไปประดับหลอดไฟฟ้าโดยรอบองค์พระปฐมเจดีย์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดงานเทศกาล นมัสการองค์พระร่วงโรจนฤทธิ์ ประจำปี 2558 ระหว่างวันที่ 22 - 30 พฤศจิกายน 2558 รวม 9 วัน 9 คืน

 

สำหรับองค์พระปฐมเจดีย์ นับเป็นพระเจดีย์ที่ก่อสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก มีอายุนับพันปี ที่สร้างขึ้นสูงใหญ่งดงามตามแบบสถาปัตยกรรม ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็ดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่เคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ดังนั้นในทุกปีทางกรรมการวัดจึงได้กำหนดจัดงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ขึ้นทุกๆปี ทั้งนี้เพื่อเป็นการอนุรักษ์และเผยแพร่วัฒนธรรมและประเพณีของไทย ให้ประชาชนได้ร่วมงานบำเพ็ญกุศลของชาวพุทธ เพื่อรวบรวมรายได้ไว้บูรณปฏิสังขรณ์พุทธสถานต่างๆต่อไป โดยภายในงานจะมีการออกร้านแสดงสินค้า ของดีจังหวัดนครปฐม และการแสดงมหรสพต่างๆ รวมทั้งเปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าและเกษตรกร ได้นำสินค้าและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ผลิตผลทางการเกษตรมาจำหน่ายให้แก่ประชาชนด้วย
 
สำหรับปีนี้ยังเป็นการจัดงานฉลองสมโภช ครบรอบ 100 ปี ของพระร่วงโรจนฤทธิ์อีกด้วย รวมทั้งมีการจัดทำสติกเกอร์รูปองค์พระร่วงโรจนฤทธิ์แบบ 3 มิติ สะท้อนแสงติดในธนบัตรใหม่ฉบับละ 10 บาท จำนวนกว่า 100,000 ฉบับ เตรียมไว้เป็นของที่ระลึกภายในงานอีกด้วย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.banmuang.co.th/news/region/29175
12511  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สุดน่ารัก! พระบิณฑบาตรพร้อมหมูป่าคู่แม่-ลูก ใครสนใจเลี้ยงติดต่อมาได้ เมื่อ: ตุลาคม 19, 2015, 09:02:45 pm


สุดน่ารัก! พระบิณฑบาตรพร้อมหมูป่าคู่แม่-ลูก ใครสนใจเลี้ยงติดต่อมาได้

(19 ต.ค.58) พระวิชัย วิชโย พระลูกวัด วัดใหม่คูมอญ ต.หัวไทร อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งมาจำพรรษาที่วัดแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.เมืองชลบุรี ได้พาแม่หมูชื่อมารวย และลูกชื่อเงินล้าน มาบิณฑบาตรที่บริเวณตลาดบ้านสวน เขตเทศบาลเมืองบ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี สร้างความสนใจให้กับบรรดาผู้มาจับจ่ายใช้สอยที่ตลาด ที่เห็นความเชื่องของหมูป่า บางคนก็อุ้มลูกหมูป่า เพราะมีความน่ารัก

พระวิชัยกล่าวว่า หมูป่าที่อาตมานำมาเลี้ยงนั้นมาจากการไปช่วยเหลือชีวิตของพวกเขาที่กำลังจะเข้าโรงฆ่าสัตว์ หลังจากนั้นได้ออกลูกออกหลานมาจำนวนมาก รวมทั้งประชาชนนำมาให้อีก ขณะนี้มีประมาณ 170 กว่าตัว จึงอยากให้ผู้สนใจอยากนำไปเลี้ยงจะแจกให้ฟรี แต่มีข้อแม้ห้ามขาย ห้ามฆ่า ห้ามขยายพันธุ์ ซึ่งผู้ที่จะนำไปเลี้ยงจะอบรม 1 วัน พร้อมทั้งมอบใบประกาศนียบัตรให้ด้วย

"ส่วนแม่หมูชื่อมารวยใครอยากได้ไม่ว่ากัน เมื่อเอาไปแล้วจะแถมเงินให้อีก 1 แสนบาท ช่วยค่าเลี้ยงดูเพราะค่าอาหารตกวันละ 300 บาท ใครสนใจอยากได้หมูป่าไปเลี้ยงติดต่อได้ที่ 096-5954699" พระวิชัย กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1445254369
12512  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขุดพบ"กระดูกทารก"1.7พันปี พลิกประวัติศาสตร์เมืองอู่ทอง เมื่อ: ตุลาคม 19, 2015, 08:52:56 pm

พลิกประวัติศาสตร์ - โครงกระดูกทารกก่อนประวัติศาสตร์อายุเกือบ 2,000 ปี ภายในเขตเมืองโบราณอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ขุดพบโดยคณะโบราณคดี ม.ศิลปากร นับเป็นหลักฐานสำคัญที่พลิกประวัติศาสตร์ซึ่งเดิมมักเชื่อกันว่าเมืองอู่ทองเริ่มต้นที่สมัยทวารวดี เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม


ขุดพบ"กระดูกทารก"1.7พันปี พลิกประวัติศาสตร์เมืองอู่ทอง

นักศึกษาโบราณคดี ม.ศิลปากร ขุดค้นที่เมืองโบราณอู่ทอง พบโครงกระดูกเด็กทารก ส่งตรวจสอบ′เอ เอ็ม เอส′

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการพบโครงกระดูกทารกโบราณอายุกว่า 1,700 ปีที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี โดยการขุดค้นของคณะโบราณคดี ม.ศิลปากร บริเวณโครงการสวนพฤกษศาสตร์ ภายในเขตเมืองโบราณอู่ทอง

นายสฤษดิ์พงศ์ ขุนทรง หัวหน้าภาควิชาโบราณคดี ม.ศิลปากร กล่าวว่า ตนได้นำนักศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโทกว่า 120 ราย เข้าขุดค้นที่เมืองโบราณอู่ทองเพื่อฝึกภาคสนามประจำปี โดยได้รับงบประมาณราว 3 ล้านบาท จากองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน องค์การมหาชน (อพท.) ระหว่างวันที่ 30 มิ.ย.-10 ส.ค.ที่ผ่านมา มีการขุดหลุมขนาด 2 คูณ 8 เมตร จำนวน 3 หลุม พบโครงกระดูกเด็กทารกมีสร้อยลูกปัดแก้วสีเขียวอมฟ้ามัดอยู่ที่เข่าทั้ง 2 ข้าง ลึกลงไปใต้ดินราว 1.80 เมตร ทำให้ตื่นเต้นมาก เนื่องจากไม่เคยมีรายงานการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ภายในเมืองโบราณอู่ทองมาก่อน


 :96: :96: :96: :96:

นายสฤษดิ์พงศ์กล่าวว่า ที่สำคัญโครงกระดูกดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการประกอบพิธีกรรมบางอย่าง ซึ่งไม่ใช่พิธีทางศาสนาพุทธที่จะมีการเผาศพ ไม่มีการฝังในลักษณะเช่นนี้ ทำให้สงสัยว่าทารกดังกล่าวอยู่ในวัฒนธรรมที่เก่ากว่ารัฐทวารวดีซึ่งนับถือพุทธศาสนา ทางภาควิชาจึงส่งตัวอย่างผงถ่านใกล้กะโหลกศีรษะทารกไปตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิธีที่เรียกว่าเอ เอ็ม เอส ที่มหาวิทยาลัยไวตาโต ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเพิ่งได้รับผลตอบกลับมาเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า โครงกระดูกทารกมีอายุกว่า 1,700 ปีมาแล้ว ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่พลิกประวัติศาสตร์ ซึ่งเดิมมักเชื่อกันว่าเมืองอู่ทองเริ่มต้นที่สมัยทวารวดีแต่ความจริงแล้วเก่าไปถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์

"คนส่วนใหญ่รวมถึงนักท่องเที่ยวที่ไปอู่ทอง จะได้รับคำโปรยว่าไปชมเมืองทวารวดี ไปดูเมืองหลวงทวารวดีแห่งแรก แต่ข้อมูลใหม่นี้ชี้ว่าอู่ทองเก่าไปกว่านั้น ซึ่งตอนที่ขุดค้น ผมและนักศึกษาทุกคนก็ไม่คิดว่าจะเก่าขนาดนี้เพราะคิดกันว่ากำลังขุดที่อยู่อาศัยหรือที่ทิ้งขยะของคนสมัยทวารวดีเพราะเจอสิ่งของต่างๆเช่นเศษหม้อลักษณะเหมือนหม้อทวารวดี แต่พอขุดไปเรื่อยๆ กลับเจอกระดูกทารกซึ่งไม่คาดคิดว่าจะเจอมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พบโครงกระดูกมนุษย์ในเมืองโบราณอู่ทอง ซึ่งมีการทำพิธีกรรมอย่างแน่นอน เพราะมีการใช้สร้อยลูกปัดแก้วสีเขียวอมฟ้ารูปทรงกระบอกมัดเข่าไว้ พอส่งผงถ่านไปตรวจที่ ม.ไวตาโต นิวซีแลนด์ ก็เพิ่งได้รับผลมาว่าเก่าถึง พ.ศ.750-800 จึงตื่นเต้นพอสมควรว่าอู่ทองมีคนอยู่มาก่อนยุคทวารวดี โดยอยู่อาศัยต่อเนื่องไม่ขาดสาย สอดคล้องกับข้อมูลจากนักวิชาการต่างประเทศที่เคยบอกว่าอู่ทองมีคนอยู่มาก่อนหน้ายุคทวารวดี แต่ยังมีหลักฐานไม่ชัดเจนเท่านี้

การพบทารกครั้งนี้เป็นการยืนยันและเป็นหลักฐานที่หนักแน่นด้วย" นายสฤษดิ์พงศ์กล่าว และว่า นอกเหนือจากการพลิกประวัติศาสตร์แล้ว โบราณวัตถุต่างๆ เช่น ภาชนะดินเผาแบบมีสัน ซึ่งเดิมถูกจัดไว้ว่าเป็นหม้อสมัยทวารวดี ก็อาจต้องถูกนำมาพิจารณาตีความใหม่ด้วย แม้แต่ตนซึ่งสอนวิชาเกี่ยวกับโบราณคดีสมัยทวารวดี ก็ต้องมาคิดใหม่ว่ารูปแบบโบราณวัตถุไม่ได้บอกค่าอายุสมัยเสมอไป

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

นายสฤษดิ์พงศ์กล่าวว่า นอกจากนี้ ข้อมูลที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือแหล่งที่มาของลูกปัด ซึ่งต้องรอการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ต่อไป โดยจะนำรังสียิงว่าออกมาเป็นธาตุอะไรบ้าง จะได้ทราบว่ามาจากอินเดีย จีน หรือตะวันออกกลาง ซึ่งตนอยู่ระหว่างการศึกษาการค้าสมัยโบราณยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์ ก็พบว่าอู่ทองมีความสัมพันธ์กับเมืองออกแก้วในเวียดนาม ดังนั้นอู่ทองอาจเป็นเมืองที่ชื่อและมีบทบาทมาก่อนที่จะพัฒนาเป็นรัฐทวารวดี การค้นพบครั้งนี้จึงทำให้ประวัติศาสตร์สมัยก่อนยุคทวารวดีของอู่ทองมีความชัดเจนยิ่งขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากโครงกระดูกทารกแล้ว บริเวณใกล้เคียงกันยังพบโบราณสถานใหม่ที่กรมศิลปากรไม่เคยพบมาก่อนจำนวน 2 หลัง หากขุดเพิ่มคาดว่าจะครอบคลุมพื้นที่ราว 10-20 ตารางเมตร โดยมีการกันพื้นที่ไว้สำหรับเป็นอาคารขุดค้นหรือศูนย์ข้อมูลเหมือนในต่างประเทศ

ด้านนายศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ กล่าวว่า การค้นพบโครงกระดูกทารกนี้สอดคล้องกับข้อสันนิษฐานตั้งแต่เมื่อ 50 ปีก่อนของนายมานิต วัลลิโภดม บิดาของตน ซึ่งศึกษาร่วมกับศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดี บิดาแห่งวิชาก่อนประวัติศาสตร์ไทย ว่าบริเวณเมืองโบราณอู่ทองมีความเก่าแก่กว่ายุคทวารวดี โดยเชื่อว่าน่าจะเก่าถึง 2,500 ปี แต่ขณะนั้นนักโบราณคดีทั้งชาวไทยและต่างประเทศไม่เชื่อถือมองเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะศึกษาจากตำนานและสภาพภูมิศาสตร์ ไม่ได้ขุดค้นตามหลักวิชาการ


 ans1 ans1 ans1 ans1

"มีตำนานลังกาวงศ์บอกว่า พระเจ้าอโศกมหาราชส่งพระโสณะและอุตตระมาเผยแผ่ศาสนาที่สุวรรณภูมิ พ่อผมก็เอาเรื่องนี้เป็นตัวตั้ง แล้วไปหาว่าแหล่งโบราณคดีที่ไหนในเมืองไทยที่มีร่องรอยสอดคล้อง ก็พบว่าพระพุทธรูปและเจดีย์ที่อู่ทองเป็นรุ่นเก่ากว่าที่อื่น นอกจากนี้ยังตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าข้ามคาบสมุทร ซึ่งยุคนั้นเมื่ออินเดียเอาเรือสำเภาออกจากฝั่งน้ำคงคา ก็ตัดเข้ามาขึ้นบกแถวทวายในพม่า แล้วข้ามตะนาวศรี ผ่านราชบุรีมาอู่ทอง จากนั้นถึงจะขนถ่ายสินค้าจากอู่ทองไปจีนและตะวันออกไกล พ่อผมจึงเชื่อว่าเป็นยุคสุวรรณภูมิ แต่ตอนนั้นพูดไปแล้วไม่มีใครเชื่อ โดยเฉพาะนักโบราณคดีไทยบอกว่าเลอะเทอะแล้วพากันหัวเราะ ต่อมาเจอโบราณวัตถุมากขึ้น อย่างพวกขวานหินต่างๆ ตอนหลังบริษัทพาโนรามาที่ทำสารคดีเดินทางไปอินเดียพบเจดีย์เก่าของพระเจ้าอโศกที่บรรจุพระบรมธาตุ ชื่อปุษยคีรี ใกล้เส้นทางที่จะตัดเข้ามาฝั่งอันดามัน แล้วอู่ทองก็พบศิลาจารึกเขียนว่า ปุษยคิริ สอดคล้องกันอีก" นายศรีศักรกล่าว

ทั้งนี้ ช่วงเวลาเมื่อราว 2,500 ปีมาแล้ว ในทางสากลถือเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ เรียกว่ายุคเหล็ก ส่วนในอินเดียเรียกยุคสุวรรณภูมิ เพราะมีการติดต่อค้าขายกันกับดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีความมั่งคั่งทางทรัพยากร ซึ่งประเด็นเรื่องสุวรรณภูมิที่อู่ทองนี้มีผู้สันนิษฐานไว้ตั้งแต่ราว 50 ปีก่อน อาทิ นายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร, นายมานิต วัลลิโภดม, นายชิน อยู่ดี รวมถึงนายศรีศักร วัลลิโภดม ตีพิมพ์รวมเล่มในศิลปวัฒนธรรมฉบับฉบับพิเศษ เรื่อง สุวรรณภูมิ อยู่ที่นี่ที่แผ่นดินสยาม" โดยสำนักพิมพ์มติชน เมื่อ พ.ศ.2545


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1445142739
12513  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรมการศาสนา ดึงทุกภาคส่วน ทำงานศาสนา เมื่อ: ตุลาคม 19, 2015, 08:46:13 pm



กรมการศาสนา ดึงทุกภาคส่วน ทำงานศาสนา


อธิบดีกรมการศาสนา เผย ปีงบประมาณ2559 กำหนดยุทธศาสตร์สำคัญ 3 เรื่อง ขับเคลื่อนงานศาสนาสู่ประชาชน พร้อมผนึกกำลังทุกภาคส่วนขับเคลื่อนคุณธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม

วันนี้(19 ต.ค.)นายกฤศษญพงษ์ ศิริ อธิบดีกรมการศาสนา(ศน.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ2559 ศน.ได้กำหนดยุทธศาสตร์สำคัญ 3 เรื่อง คือ
     1.ทำให้ทุกพื้นที่เป็นชุมชน องค์กร หรือ หน่วยงานคุณธรรม เพื่อให้มีคนคุณธรรมเกิดขึ้นในสังคม ซึ่งทุกภาคส่วนต้องช่วยกันขับเคลื่อน โดยมีหลักศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
     2.ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์มากที่สุด และ
     3.ส่งเสริมให้บุคคล องค์กร และภาคส่วนต่างๆมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนงานศาสนาไปสู่ประชาชน


 :25: :25: :25: :25:

อธิบดี ศน.กล่าวต่อไปว่า สำหรับแผนการดำเนินงานนั้น จะยึดพลัง"บวร" คือ บ้าน วัด โรงเรียน โดยต้องผนึกกำลังกันในการขับเคลื่อนคุณธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งจะเน้นการนำหลักธรรมทางศาสนามาประพฤติปฏิบัติ และประพฤติตนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงต้องรักษาและประพฤติปฏิบัติตามหลักของวิถีวัฒนธรรมไทยที่เป็นวิถีชีวิตที่ดีงามตั้งแต่อดีต

"ในปีงบฯ 2559 ศน.ยังได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนชุมชนคุณธรรม จากเดิมที่มีอยู่ 6,000 ชุมชน เป็น 7,000 ชุมชนทั่วประเทศ โดยหวังว่าชุมชนเหล่านี้จะเป็นชุมชนที่มีศาสนสถานเป็นพื้นที่ในการขับเคลื่อน เป็นศูนย์รวมในการจัดกิจกรรมต่างๆ และเป็นชุมชนในการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่างๆในสังกัดวธ. โดยทุกหน่วยงานจะระดมกำลังในการทำงานร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด" นายกฤษศญพงษ์กล่าว.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/355358
12514  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “อาบัติ”...ผิดศีล ธรรมดาสมมติสงฆ์ เมื่อ: ตุลาคม 19, 2015, 08:37:34 pm


“อาบัติ”...ผิดศีล ธรรมดาสมมติสงฆ์

“อาบัติ” คือ บทลงโทษพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ซึ่งเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาที่ได้กระทำผิดล่วงละเมิดสิขาบทหรือข้อห้ามตามพุทธบัญญัติ เรียกประสาชาวบ้านก็คือ “ผิดศีล”

พระภิกษุถือศีล 227 ข้อ...สามเณรถือศีล 10 ข้อ...แม่ชีถือศีล 8 ข้อ อาบัติที่เบาเรียกว่าลหุกาบัติ เช่น อาบัติถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ อย่างเช่น...พระภิกษุฉันอาหารช่วงเวลาหลังเที่ยงวันไปจนถึงเช้าของ

วันใหม่ไม่ได้ หรือดื่มสุราของมึนเมา หรือเล่นการพนัน เป็นต้น

ถ้าเป็นพระภิกษุประพฤติผิดจะต้องแสดงอาบัติต่อหน้าพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งที่ไม่ผิดอาบัติ เช่นเดียวกันในช่วงก่อนทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น หรือก่อนลงอุโบสถ เรียกว่า “ปลงอาบัติ”...โทษนั้นก็จะตกไป

แต่ถ้าเป็นสามเณรหรือแม่ชีก็ต้องขอศีลใหม่จากพระภิกษุ เรียกว่าต่อศีลในช่วงกรณีดังกล่าว...ทุกอย่างจึงจะเหมือนเดิมคือมีศีลครบถ้วน แต่จะอย่างไรก็ตาม...เมื่อผิดพลาดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมไม่เหมือนเดิมอยู่ดี แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย...หรือไม่สำนึกผิดอะไรเลย

 :96: :96: :96: :96:

พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก เลขานุการมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่ ธนบุรี กทม. บอกว่า “อาบัติ”...ที่นักบวชล่วงละเมิดไปแล้ว จะต้องอยู่ปริวาสกรรมนานหลายวันหลายคืนต้องแสดงตนต่อหน้าคณะสงฆ์ตามหลักพระธรรมวินัย เป็นโทษสถานกลางเรียกว่ามัชฌิมโทษ ได้แก่อาบัติสังฆาทิเสสของพระภิกษุที่มีอยู่ 13 ข้อ

หรือชาวบ้านเรียกว่า “อยู่กรรม” ซึ่งหลายวัดได้จัดกิจกรรมนี้มาอย่างต่อเนื่องทุกปี

เมื่อพระภิกษุได้อยู่ปริวาสกรรมอย่างครบถ้วนอย่างเช่นเคยต้องโทษแตะต้องร่างกายสตรีเพศหรือเรียกว่า “สีกา”...อาบัตินี้หรือโทษนี้ก็จะตกไป และ อาบัติที่หนักที่สุดเรียกว่าครุกาบัติ เมื่อพระภิกษุต้องอาบัตินี้แล้วจะต้องขาดจากความเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาทันที ถึงแม้ว่าจะไม่มีคนอื่นรู้เห็นก็ตาม

นับตั้งแต่...เสพเมถุน ฆ่ามนุษย์ ลักขโมยและอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตัวตน นี่เป็นมหันตโทษของพระภิกษุที่ไม่สามารถผ่อนปรนหรืออนุโลมได้เลย เรียกว่าต้องอาบัติปาราชิกแล้ว

“ถ้ายังครองเพศนักบวชอยู่ก็มิใช่พระภิกษุ แต่เป็นเพียงผ้าเหลืองห่มคนเท่านั้น ชาวบ้านสามารถแจ้งคดีความเอาผิดได้เลยเพราะถือว่าแต่งกายเลียนแบบสงฆ์หรือหลอกลวงชาวบ้าน ชาวพุทธ”

 :41: :41: :41: :41:

ดังนั้น...การต้องโทษของนักบวชในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระภิกษุจึงมี 3 ขั้นตอนคือ โทษเบา โทษปานกลาง และ โทษหนัก ชาวพุทธจึงจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้หลักพระธรรมวินัยให้มากขึ้น เพื่อจะได้ธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา จะได้ดูแลคุ้มครองพระภิกษุรูปที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบให้ท่านได้มีโอกาสประพฤติธรรมจนกลายเป็น “เนื้อนาบุญ”

และ...จะได้กำจัดนักบวชบางรูปที่ไม่ยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่อยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีให้หมดไปจากวงการพระพุทธศาสนา...ในขณะนี้พระภิกษุสามเณรและนักบวชในพระพุทธศาสนาของประเทศไทยมีอยู่เพียงสามแสนกว่ารูปเท่านั้น ซึ่งถือว่ามีจำนวนน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับประชากรทั้งหมด

“พระพุทธศาสนาจะเจริญหรือเสื่อมก็อยู่ที่พุทธบริษัท...ถ้าเราเข้มแข็งภายในเสียแล้ว ภัยภายนอกจะย่างกรายเข้ามาเช่นใดหรือรูปแบบใดก็ไม่สามารถทำลายศาสนาของเราได้”


 :29: :29: :29: :29:

ภาพยนตร์เรื่อง “อาบัติ” ข่าวใหญ่ก่อนจะออกพรรษาไม่กี่วัน พระมหาสมัย บอกว่า เป็นประเด็นที่สำคัญที่ต้องกล่าวถึงโดยเฉพาะเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม นับตั้งแต่...สามเณรซึ่งถือว่าเป็นหน่ออ่อนของพระพุทธศาสนาเสพของมึนเมา เกี่ยวข้องกับสตรีเพศในเชิงชู้สาวหรือกาม... มีพฤติกรรมที่รุนแรง

รวมถึงเป็นการหมิ่นพระพุทธองค์ซึ่งเป็นศาสดาของศาสนาพุทธอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นการชี้นำให้เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว...เสนอให้เห็นผลของกรรมอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็ต้องใคร่ครวญไตร่ตรองให้ถ้วนถี่

กระบวนการตรวจสอบพระภิกษุมีตาข่ายครอบคลุมอยู่ 4 ขั้นตอนด้วยกัน...หนึ่งคือพระธรรมวินัย ที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติขึ้นมา...

สองคือกฎหมายของบ้านเมือง ที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้...สามคือกฎกติกาทางสังคม และ ขั้นตอนที่สี่คือประเพณีและวัฒนธรรม

“พระภิกษุที่เข้าไปจำวัดในพื้นที่นั้นๆ จะต้องเรียนรู้เข้าใจในประเพณี...วัฒนธรรมของท้องถิ่น เราจะปฏิเสธไม่ได้ เพราะเป็นวิถีชีวิต...ความเชื่อความศรัทธาของชาวบ้าน”

 :32: :32: :32: :32:

ส่วนความเชื่อและความศรัทธาใดที่เป็นเดรัจฉานวิชาแล้วเมื่อเราได้สร้างความศรัทธาและความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับชาวบ้านอย่างแท้จริงแล้ว จึงค่อยๆนำเอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เข้าไปแทรกวันละเล็กวันละน้อยให้กับชาวบ้าน...ชาวชุมชน อย่าหักด้ามพร้าด้วยเข่า

“พระสงฆ์” ก็มีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ “อริยสงฆ์”...พระสงฆ์ที่หมดกิเลสแล้ว สามารถบรรลุธรรมขั้นมรรคผลไปจนถึงนิพพาน จึงเรียกว่าพระสงฆ์ผู้ประเสริฐ

อีกประเภทหนึ่งเรียกว่า “สมมติสงฆ์” พระสงฆ์โดยสมมติหมายถึงลูกหลานชาวบ้านที่บรรพชา...อุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่าสามเณรบ้าง พระภิกษุบ้าง บุคคลเหล่านี้ยังไม่สิ้นกิเลส ยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่บ้าง แต่เมื่อเข้ามาสู่เพศนักบวชก็เริ่มรักษาศีล ปฏิบัติธรรมมากขึ้นกว่าการเป็นฆราวาส เพื่อกำจัดกิเลสตัณหา...ให้หมดสิ้นไป

“สมมติสงฆ์อาจจะมีข้อวัตรปฏิบัติที่บกพร่องไปอยู่บ้าง บางกรณีก็เป็นเรื่องเล็กน้อยที่พอสามารถอนุโลมกันได้ บางกรณีเป็นเรื่องที่จะสร้างความเสื่อมเสียก็ต้องมีการตักเตือน คาดโทษกันบ้าง แต่บางกรณีเป็นเรื่องที่หนักหน่วงที่สุดจึงจำเป็นต้องให้ลาสิกขาหรือให้สึกออกไป...ถ้าไม่ยอมต้องบังคับให้สึก”


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

พระมหาสมัย ย้ำว่า พระภิกษุหรือนักบวชในพระพุทธศาสนามิใช่จะแตะต้องไม่ได้ ทุกรูปล้วนมาจากลูกหลานชาวบ้าน...มิใช่เทวดามาเกิด สามารถทักท้วง ตักเตือน สามารถตรวจสอบได้ ดังจะเห็นได้จากหลายกรณีที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์และผ่านสื่อมวลชนอยู่เรื่อยมา

คนเราก็มีความแปลกประหลาดอยู่ว่า อะไรที่ถูกห้าม แล้วผู้คนก็ยิ่งอยากจะรู้กัน ยิ่งปกปิดก็ยิ่งต้องการให้เปิดเผยกัน...คำว่า “อาบัติ” จึงควรเป็นเรื่องของพระสงฆ์ใช้กันในทางพระธรรมวินัยเพียงเท่านั้น ชาวบ้านไม่ควรนำมาเป็นประเด็นทางสังคมหรือล้อเลียนกันให้สนุกปาก

“ผู้ผลิตสื่อให้ผู้คนในสังคมได้บริโภค โดยเฉพาะด้านศาสนาแล้วก็ควรให้ผู้บริโภคหรือผู้เสพแล้วนั้นเกิดอาการตื่น เกิดอาการเบิกบาน เกิดความรู้ตามหลักธรรมคำสอนของศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม...สอนผู้คนให้รู้ดีรู้ชั่ว ให้ตื่นตัวจากความงมงาย ตื่นจากความเข้าใจผิดหรือหลงผิด...”

ผู้ได้ชมแล้วรู้สึกสดชื่น เบิกบานใจ เอิบอิ่มใจ มีความสุขใจ...ศรัทธาในศาสนามากขึ้น แต่มิใช่ชมแล้วเกิดความหดหู่ใจ เอือมระอาใจ เกลียดพระสงฆ์มากขึ้น ใส่ร้ายพระสงฆ์มากขึ้น...ทำลายศรัทธามากขึ้น ไม่ก่อให้เกิดสติและปัญญาที่สร้างสรรค์...สิ่งนั้นก็ไม่ควรทำ

 :25: :25: :25: :25:

คำถามสำคัญมีว่า...ภาพยนตร์หรือสื่อใดสร้างหรือสนับสนุนพระพุทธศาสนา?...เชิดชูพระพุทธองค์ สงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ รวมถึงหมู่ชาวพุทธด้วยกันหรือไม่? หรือได้ทำลายพระสงฆ์โดยตรงหรือไม่เพียงใด?...ได้ทำลายศรัทธาชาวพุทธเพียงใด?...

ขอจงได้ไตร่ตรองด้วย “สติ” และ “ปัญญา” ของผู้คนในสังคมก็แล้วกัน

“พระพุทธศาสนา”...จะเจริญหรือจะเสื่อมก็อยู่ที่ “ชาวพุทธ” เป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น.



ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/533091
12515  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิจารณ์กระหึ่มคลิป "พระลองของ" มีดสับที่ขา..ไม่ระคายผิว เมื่อ: ตุลาคม 19, 2015, 08:32:59 pm


วิจารณ์กระหึ่มคลิป "พระลองของ" มีดสับที่ขา..ไม่ระคายผิว

คลิปนี้เผยแพร่ในยูทูปโดย  ARTBlue▶02◀  ตั้งชื่อคลิปว่า "พระลองของ" เป็นการโชว์ใช้มีดวางที่ต้นขาแล้วให้ฆราวาสใช้สากสับลงไปที่สันมีด 3 ครั้งซ้อน โดยไม่มีบาดแผล

อย่างไรก็ตาม คลิปนี้มีหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม พระภิกษุหรือสามเณรไม่ควรแสดงอวดอุตริแบบนี้  โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

ชมคลิปได้ที่
https://youtu.be/j_4gQMWwwqo


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1445146621
12516  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สิ้นหลวงพ่อถาวรพระดังสอนกรรมฐาน วงการสงฆ์สูญเสีย เมื่อ: ตุลาคม 19, 2015, 08:29:46 pm


สิ้นหลวงพ่อถาวรพระดังสอนกรรมฐาน วงการสงฆ์สูญเสีย

พระเทพวิมลญาณ วิ. หรือหลวงพ่อถาวร พระดังสอนกรรมฐานวัดปทุมวนาราม ด้วยเส้นโลหิตในสมองแตก สิริอายุ63 ปี พระราชทานน้ำสรงศพ 19 ต.ค.นี้ ที่ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม

วันนี้ ( 18 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 01.19 วันที่18 ต.ค.พระเทพวิมลญาณวิ.(ถาวรจิตฺตถาวโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ได้มรณภาพลงด้วยอาการเส้นโลหิตในสมองแตกที่โรงพยาบาลตำรวจ สิริอายุ 63 ปีพรรษา 43 ทั้งนี้ พระเทพวิมลญาณวิ. หรือ หลวงพ่อถาวร มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในเรื่องการสอนกรรมฐาน และเป็นพระสอนกรรมฐานประจำศาลาพระราชศรัทธาวัดปทุมวนาราม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้สร้างขึ้นนอกจากนี้หลวงพ่อถาวร ยังมีผลงานการก่อสร้างศาสนสถานมากมาย เช่น วัดพุทธไทยถาวรรัฐนิวยอร์ค วัดป่าศรีถาวรรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา วัดเนรัญชราวาส ประเทศอินเดีย เป็นต้น


 :96: :96: :96: :96:

สำหรับประวัติ พระเทพวิมลญาณ วิ.มีนามเดิมว่า ถาวร พวงมาลัย เกิดวันที่4 มี.ค.2495 ที่หมู่บ้านโนนศิลาเลิง ต.หนองแปนอ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ เมื่ออายุ 14 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านปอแดง จ.กาฬสินธุ์ จากนั้นได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดสำโรงยุทธาวาส จ.อุดรธานี ต่อมาปี 2510 ย้ายไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี ปี2516 ย้ายมาศึกษาต่อที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ ปี 2519 เข้าอุปสมบทที่วัดราชผาติการาม จากนั้นอยู่จำพรรษาที่วัดปทุมวนารามเรื่อยมา

ส่วนลำดับสมณศักดิ์ ปี 2536 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ "พระภาวนาพิสาลเถรวิ."ปี 2546 ได้เลื่อนขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นราชที่“พระราชพิพัฒนาทร วิ.” ปี 2555 ได้เลื่อนขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ “พระเทพวิมลญาณ วิ.” ทั้งนี้ วัดปทุมวนาราม กำหนดจัดพิธีรับพระราชทานน้ำหลวงสรงศพพระเทพวิมลญาณ วิ.ใน วันที่ 19 ต.ค.นี้ เวลา 17.00 น. ที่ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/355151
12517  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แฉมารศาสนาปลอมเป็นพระ แสดงพฤติกรรม/เสื่อมเสีย!! เมื่อ: ตุลาคม 19, 2015, 08:25:31 pm


แฉมารศาสนาปลอมเป็นพระ แสดงพฤติกรรม/เสื่อมเสีย!!

พระเมธีธรรมาจารย์ แฉพบข้อมูล “กลุ่มมารศาสนา” ปลอมบวชเป็นพระ แสดงพฤติกรรมเสื่อมเสีย ก่อนแชร์ภาพสังคมออนไลน์ หวังทำลายศรัทธา เตรียมส่งข้อมูลสำนักพุทธฯ-สตช.หาต้นตอ

พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสารจนฺทสาโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการส่งต่อคลิปวิดีโอผู้แต่งกายคล้ายพระสงฆ์ นั่งดื่มเหล้าขาว และเบียร์จนมีสภาพเมา ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา โดยในคลิปวิดีโอดังกล่าว ยังมีภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมตัวผู้แต่งกายคล้ายพระสงฆ์ ไปให้เจ้าคณะผู้ปกครองดำเนินการสึกแล้วนั้น แต่กลับพบข้อมูลที่น่าตกใจ คือ เมื่อตรวจสอบหนังสือสุทธิกลับ พบว่า บุคคลดังกล่าวมีการทำหนังสือสุทธิปลอมขึ้นมา เพราะในหนังสือสุทธิดังกล่าวไม่มีตราประทับตรงลายเซ็นพระอุปัชฌาย์ และไม่มีตราประทับประจำตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ ซึ่งชัดเจนว่าเป็นหนังสือสุทธิปลอมแน่นอน


 :25: :25: :25: :25:

ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลที่ศูนย์พิทักษ์ฯได้รับแจ้งว่า ขณะนี้มีกลุ่มผู้ที่ไม่หวังดีเข้ามาปลอมบวชเป็นพระสงฆ์ แล้วประพฤติตัวเสื่อมเสีย เช่น ดื่มเหล้า เข้าไปกินอาหารในร้านหรูๆ เที่ยวในสถานที่อโคจรของพระสงฆ์ เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด เป็นต้น จากนั้นจะมีการเผยแพร่ภาพออกไปทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2558 ทางศูนย์พิทักษ์ฯได้รับแจ้งว่ามีกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าวเฉพาะในเขตกรุงเทพฯกว่า 100 ราย

เลขาธิการศูนย์พิทักษ์ฯ กล่าวต่อว่า ในจำนวนที่ได้รับแจ้งมานั้น มีบางรายที่เมื่อตรวจสอบแล้ว พบว่า อยู่ในพื้นที่ในกรุงเทพฯ ก็มีการประสานพระวินยาธิการ หรือ ตำรวจพระ ในพื้นที่นั้นๆ เข้าไปตรวจสอบและแจ้งให้เลิกพฤติกรรมดังกล่าว มิฉะนั้นจะมีการประสานสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)ให้เป็นเจ้าทุกข์เข้าแจ้งความในความผิดฐานปลอมบวชได้ทันที อย่างไรก็ตามในส่วนที่เข้าไปดำเนินการแล้วมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น โดยผู้ที่ทำผิดส่วนใหญ่ทางศูนย์พิทักษ์ฯกำลังจับตา และเก็บข้อมูลอย่างใกล้ชิดเพื่อประสานพระวินยาธิการและเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดำเนินการต่อไป


 st12 st12 st12 st12

พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวด้วยว่า ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ากลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์อะไรถึงต้องการให้พระพุทธศาสนาเสื่อมศรัทธา การที่ออกมาให้ข้อมูลไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับว่ามีพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม แต่ต้องการให้สาธารณชนได้ทราบข้อมูลอีกด้านว่า มีกลุ่มผู้ที่ไม่หวังดีกับพระพุทธศาสนาอยู่จริงๆ ทั้งนี้ ศูนย์พิทักษ์ฯกำลังอยู่ในระหว่างรวบรวมข้อมูลทั้งหมด เพื่อประสานไปยังพศ. และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการสืบข้อมูลของกลุ่มบุคคลดังกล่าวในการสาวไปให้ถึงต้นตอต่อไป.

ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/355154
12518  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สมาร์ทโฟนสามารถ "ทำลายสมอง" ของคุณได้จริง.!! เมื่อ: ตุลาคม 18, 2015, 10:21:14 am

สมาร์ทโฟนสามารถ "ทำลายสมอง" ของคุณได้จริง.!!

สมาร์ทโฟนเป็นสิ่งที่รบกวนสมองของเรา ข้อแนะนำเพียงหนึ่งเดียวที่ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำ ก็คือเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋าเท่านั้น

       เว็บไซต์ต่างประเทศได้นำเสนอข่าวถึงเทคโนโลยีในยุคนี้เอาไว้ว่า หนึ่งในสามของคนเรามักจะมองไปที่โทรศัพท์มากกว่า 25 ครั้งต่อวัน - 1 ใน 10 คน จะหยิบสมาร์ทโฟนทันทีที่พวกเขาตื่น พฤติกรรมเหล่านี้เป็นการทำลายสมองของพวกเรา ซึ่งเป็นการทิ้งความสามารถในการตั้งสมาธิ หรือแม้กระทั้งเว้นช่วงให้เราสามารถคิดอย่างลึกซึ้งได้

       Nicholas Carr นักเขียนด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรม ระบุว่า วิธีที่อินเตอร์เน็ทได้เปลี่ยนแปลงสมองของเรา กล่าวได้ว่าสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อินเตอร์เน็ทอื่นๆ ได้รบกวนเราอย่างต่อเนื่อง โดยการรบกวนรูปแบบความคิดของเรา ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหาย "สิ่งที่นักจิตวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ด้านสมองได้บอกเกี่ยวกับการขัดขวาง เหล่านั้นว่าจะมีผลกระทบต่อแนวทางทางการคิดของเราอย่างลึกซึ้งพอสมควร มันจะยากมากขึ้นในการรักษาความสนใจในการคิดเกี่ยวกับสิ่งหนึ่งในช่วงระยะ เวลาที่ค่อนข้างยาว รวมไปถึงในการคิดอย่างลึกซึ้งเมื่อสิ่งกระตุ้นใหม่ได้พุ่งมาที่คุณตลอดทั้งวัน"




       Nicholas กล่าวต่อว่า "มันจะกลายเป็นสิ่งเลวร้ายในตอนนี้ถ้าหากเราพกพาอุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่อ ที่ถาวรไปอย่างต่อเนื่อง สิ่งนั้นจะแตกต่างอย่างมากในทางที่จะทำให้ผมกังวลต่อสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น ได้

       เทคโนโลยีมีผลต่อหน่วยความจำของเราอย่างแน่นอน ถ้าคุณวอกแวกอย่างต่อเนื่องและเอาแต่พูดคุยถึงข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ  คุณก็กำลังผลักข้อมูลข่าวสารนั้นเข้าไปสู่และออกจากจิตสำนึกของคุณ คุณไม่ได้เข้าร่วมกับมันในหนทางที่จำเป็นสำหรับการรวบรวมที่เต็มไปด้วยของ มูลของความทรงจำเหล่านั้น"


        :96: :96: :96: :96:

       "ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียเผยให้เห็นว่า เมื่อคนเรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถทำให้เราค้นพบกับข้อมูลข่าวสารด้วย การออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งก็เป็นไปได้น้อยมากที่พวกเขาจะจำรูปแบบของข้อมูลเหล่านั้นได้ แต่ละ'สิ่ง'ที่เราได้ปรับนั้น ทำให้ผมกังวลใจอย่างที่สุด มันไม่ได้ใช้เวลานานนักสำหรับการทำให้ใครบางคนรับใช้ด้วยการเหลือบมองไปยัง สมาร์ทโฟนของพวกเขา 200 ครั้งต่อวัน พวกเราได้สร้างความเคยชินทั้งทางร่ายกายและจิตใจไปแล้ว" Nicholas กล่าวเพิ่มเติม

       ทั้งนี้ทางเว็บไซต์ได้จัดทำผลสำรวจของผู้ที่ได้เข้ามาเปิดอ่านข่าวดังกล่าวเช่นกัน ในคำถาม "คุณรู้สึกอย่างไรที่สมาร์ทโฟนของคุณนั้นมีผลกระทบต่อสมองของคุณ?" พบว่าคำตอบกว่าร้อยละ 52 คือ รู้ แต่ไม่สามารถหยุดได้ รองลงมา ร้อยละ 18 คือ รู้ แต่ไม่สนใจ และ ไม่รู้ น้อยที่สุดในร้อยละ 18 จากผู้ตอบคำถาม 97 คน

Source:Metro
ขอบคุณที่มา: news.voicetv.co.th
http://hitech.sanook.com/1400049/
12519  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตำรวจเยอรมันเตือน พ่อแม่ไม่ควรแชร์ภาพลูกเป็นสาธารณะ (อาจถูกล้อเลียนตอนโต) เมื่อ: ตุลาคม 18, 2015, 10:17:48 am



ตำรวจเยอรมันเตือน พ่อแม่ไม่ควรแชร์ภาพลูกเป็นสาธารณะ

ตำรวจเมือง Hagen (Polizei NRW Hagen) ประกาศเตือนพ่อแม่ที่แชร์ภาพลูกในเครือข่ายสังคมออนไลน์ พร้อมกับย้ำว่าลูกก็มีสิทธิความเป็นส่วนตัวของตัวเอง

     ทางตำรวจระบุว่าพ่อแม่อาจะคิดว่าภาพของลูกน่ารักและอยากแชร์ไปให้มากที่ สุด แต่เมื่อลูกโตขึ้น ภาพเหล่านี้อาจจะกลายเป็นเหตุให้ลูกถูกล้อเลียนไปไม่รู้จบ หรือแย่กว่านั้นคือถูกแชร์ไปในกลุ่มคนมีความใคร่กับเด็ก (pedophile) คำแนะนำของตำรวจคือให้แชร์ภาพเหล่านี้ในหมู่เพื่อนและญาติ

     คำแนะนำนี้ถูกแชร์ไปกว่าแสนครั้งและมีจำนวน reach แล้วกว่า 11 ล้านหลังทางตำรวจแชร์มาได้หนึ่งวัน


ที่มา - Facebook: Polizei NRW Hagen
http://hitech.sanook.com/1400033/
12520  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เรื่องธรรมะอะไรเนี่ย.? มันเสียเวลา อย่ายุ่งได้ไหม จะกดไลค์.!! เมื่อ: ตุลาคม 18, 2015, 09:34:21 am
เรามีไฟฟ้า แต่ว่าวันนี้ ทำไมมืดจัง เหมือนผู้คนมองไม่เห็นทางไป
เรามี Friend เป็นร้อย Follow คอยกด Like เอ๊ะ แต่ทำไมเหงาทุกเวลา

กระทู้นี้เบาๆ ให้เหมาะกับวันพักผ่อน หลายคนอาจรู้สึกไม่ยินดีกับภาพยนตร์เรื่องอาบัติ ขอแนะนำให้ดูละครช่อง 8 เรื่อง "หลวงพี่ดิจิตอล"  ละครเรื่องนี้ผมไม่เคยดูหร็อกครับ บังเอิญไปกดรีโมตผ่านช่องนี้ สะดุดใจกับเพลงประกอบละคร ได้ฟังเพลงตอนจบตอนพร้อมไตเติ้ล รู้สึกชอบมาก เท่าที่ดูไตเติ้ลน่าจะเป็นไปทางตลกแฝงปรัญญาทางพุทธ ใครได้มีโอกาสได้ชม ขอให้มาแสดงความเห็นกันบ้างนะครับ

กลับมาที่เพลงประกอบละคร ผมนำเนื้อเพลงมาแสดงให้ดู เนื้อเพลงบอกชัดเจนถึงธีม(theme)ของละครเรื่องนี้ ผมชอบท่อนแยกที่ร้องว่า "ธรรมะก็เลยอยู่ไกล ทั้งที่ใกล้กันอย่างนี้ โลกก็เลยต้องมี มีแต่เรื่องวุ่นวาย..." ทำให้นึกถึงคำที่ว่า "เกิดเป็นมนุษย์แสนยาก การพบพุทธศาสนาก็เป็นเรื่องยาก" เราเกิดมาอยู่ในประเทศที่มีความเจริญทางพุทธศาสนาสูงสุด ทำอย่างไรเราจะไม่ทำตนไม่ให้เสียโอกาสประพฤติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

เอาล่ะครับ คุยเป็นเพื่อนเท่านี้แหละ


 :welcome: :49: :s_good: :25:

หมายเหตุ
ท่านใดอยากชม MV ของเพลงนี้คลิกไปที่
http://www.rsonlinemusic.com/video.php?vdo_id=7376
หน้า: 1 ... 311 312 [313] 314 315 ... 707