ขุทฺทกปาเฐ กรณียเมตฺตสุตฺตํ
[๑] กรณียมตฺถกุสเลน ยนฺตํ สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจุํ
สกฺโก อุชู จ สุหุชู จ สุวโจ จสฺส มุทุ อนติมานี
[๒] สนฺตุสฺสโก จ สุภโร จ อปฺปกิจฺโจ จ สลฺลหุกวุตฺติ
สนฺตินฺทฺริโย จ นิปโก จ อปฺปคพฺโภ กุเลสุ อนนุคิทฺโธ ฯ
[๓] น จ ขุทฺทํ สมาจเร กิญฺจิ เยน วิญฺญู ปเร อุปวเทยฺยุํ ฯ
สุขิโน วา เขมิโน โหนฺตุ สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา
[๔] เยเกจิ ปาณภูตตฺถิ ตสา วา ถาวรา วา อนวเสสา
ทีฆา วา เย มหนฺตา วา มชฺฌิมา รสฺสกา อณุกถูลา
[๕] ทิฏฺฐา วา เย จ อทิฏฺฐา เย จ ทูเร วสนฺติ อวิทูเร
ภูตา วา สมฺภเวสี วา สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา
[๖] น ปโร ปรํ นิกุพฺเพถ นาติมญฺเญถ กตฺถจิ นํ กิญฺจิ
พฺยาโรสนา ปฏีฆสญฺญา นาญฺญมญฺญสฺส ทุกฺขมิจฺเฉยฺย ฯ
[๗] มาตา ยถา นิยํ ปุตฺตํ อายุสา เอกปุตฺตมนุรกฺเข
เอวมฺปิ สพฺพภูเตสุ มานสมฺภาวเย อปริมาณํ
[๘] เมตฺตญฺจ สพฺพโลกสฺมึ มานสมฺภาวเย อปริมาณํ
อุทฺธํ อโธ จ ติริยญฺจ อสมฺพาธํ อเวรํ อสปตฺตํ
[๙] ติฏฺฐญฺจรํ นิสินฺโน วา สยาโน วา ยาว ตสฺส วิคตมิทฺโธ
เอตํ สตึ อธิฏฺเฐยฺย พฺรหฺมเมตํ วิหารํ อิธมาหุ ฯ
[๑๐] ทิฏฺฐิญฺจ อนุปคมฺม สีลวา ทสฺสเนน สมฺปนฺโน
กาเมสุ วิเนยฺย เคธํ น หิ ชาตุ คพฺภเสยฺยํ ปุนเรตีติ ฯ
เมตฺตสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ฯ
ขุทฺทกปาโฐ สมตฺโต ฯ_______________________________________________________________________
ที่มา :
http://www.84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=25&item=10&items=1 เมตตสูตร ว่าด้วยการแผ่เมตตา
(พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ป่า ดังนี้)
[๑] ผู้ฉลาดในประโยชน์มุ่งหวังบรรลุสันตบท(๑-) ควรบำเพ็ญกรณียกิจ(๒-)
ควรเป็นผู้อาจหาญ ซื่อตรง เคร่งครัด ว่าง่าย อ่อนโยน และไม่เย่อหยิ่ง
[๒] ควรเป็นผู้สันโดษ เลี้ยงง่าย มีกิจน้อย(๓-) มีความประพฤติเบา(๔-)
มีอินทรีย์สงบ มีปัญญารักษาตน ไม่คะนอง(๕-) ไม่ยึดติดในตระกูลทั้งหลาย
[๓] อนึ่ง ไม่ควรประพฤติความเสียหายใดๆ ที่จะเป็นเหตุให้วิญญูชนเหล่าอื่นตำหนิเอาได้
(ควรแผ่เมตตาไปในสรรพสัตว์อย่างนี้ว่า) ขอสัตว์ทั้งปวงจงมีความสุข มีความเกษม มีตนเป็นสุขเถิด
[๔] คือ เหล่าสัตว์ที่ยังเป็นผู้หวาดสะดุ้งหรือเป็นผู้มั่นคง(๖-) ขอสัตว์เหล่านั้นทั้งหมดจงมีตนเป็นสุขเถิด
เหล่าสัตว์ที่มีขนาดกายยาว ขนาดกายใหญ่ ขนาดกายปานกลาง
ขนาดกายเตี้ย ขนาดกายผอม หรือขนาดกายอ้วน ขอสัตว์เหล่านั้นทั้งหมดจงมีตนเป็นสุขเถิด
[๕] เหล่าสัตว์ที่เคยเห็นก็ดี เหล่าสัตว์ที่ไม่เคยเห็นก็ดี เหล่าสัตว์ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกลก็ดี
ภูตหรือสัมภเวสี(๗-)ก็ดี ขอสัตว์เหล่านั้นทั้งหมดจงมีตนเป็นสุขเถิด
[๖] ไม่ควรข่มเหง ไม่ควรดูหมิ่นกันและกันในทุกโอกาส
ไม่ควรปรารถนาทุกข์แก่กันและกัน เพราะความโกรธและความแค้น
[๗] ควรแผ่เมตตาจิตอย่างไม่มีประมาณไปยังสรรพสัตว์
ดุจมารดาเฝ้าถนอมบุตรคนเดียวด้วยชีวิต ฉะนั้น
[๘] อนึ่ง ควรแผ่เมตตาจิตอย่างไม่มีประมาณ กว้างขวาง
ไม่มีเวร ไม่มีศัตรู ไปยังสัตว์โลกทั่วทั้งหมด ทั้งชั้นบน(๘-) ชั้นล่าง(๙-) และชั้นกลาง(๑๐-)
[๙] ผู้แผ่เมตตาจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน ควรตั้งสติ(๑๑-)นี้ไว้ตลอดเวลาที่ยังไม่ง่วง
นักปราชญ์เรียกการอยู่ด้วยเมตตานี้ว่า พรหมวิหาร
[๑๐] อนึ่ง ผู้แผ่เมตตาที่ไม่ยึดถือทิฏฐิ(๑๒-) มีศีล ถึงพร้อมด้วยทัสสนะ(๑๓-)
กำจัดความยินดีในกามคุณได้แล้ว ก็จะไม่เกิดในครรภ์อีกต่อไป
เมตตสูตร จบ
ขุททกปาฐะ จบเชิงอรรถ :-
(๑-) สันตบท หมายถึงนิพพาน (ขุ.ขุ.อ. ๙/๒๑๒)
(๒-) กรณียกิจ หมายถึง การศึกษาในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ตรงกันข้ามกับ อกรณียกิจ คือ สีลวิบัติทิฏฐิวิบัติ อาจารวิบัติ อาชีววิบัติ (ขุ.ขุ.อ. ๙/๒๑๒)
(๓-) มีกิจน้อย ในที่นี้หมายถึง ไม่ขวนขวายการงานต่างๆ ที่จะทำให้จิตฟุ้งซ่าน ไม่พูดคุยเพ้อเจ้อ ไม่คลุกคลีหมู่คณะ ปล่อยวางหน้าที่รับผิดชอบ งานก่อสร้าง งานบริหารคณะสงฆ์ เป็นต้น มุ่งบำเพ็ญสมณธรรมเป็นหลัก (ขุ.ขุ.อ. ๙/๒๑๖)
(๔-) มีความประพฤติเบา ในที่นี้หมายถึง มีเพียงบริขาร ๘ เช่น บาตร จีวร เป็นต้น ไม่สะสมสิ่งของมากให้เป็นภาระ เหมือนนกมีเพียงปีกบินไปฉะนั้น (ขุ.ขุ.อ. ๙/๒๑๖)
(๕-) ไม่คะนอง หมายถึง ไม่คะนองกาย วาจา และใจ (ขุ.ขุ.อ. ๙/๒๑๗)
(๖-) หวาดสะดุ้ง หมายถึง มีตัณหาและความกลัวภัย มั่นคง หมายถึง บรรลุอรหัตตผล เพราะละตัณหาและความกลัวภัยได้ (ขุ.ขุ.อ. ๙/๒๒๐)
(๗-) ในที่นี้ ภูต หมายถึง พระอรหันตขีณาสพ สัมภเวสี หมายถึง พระเสขะและปุถุชนผู้ยังต้องแสวงหาที่เกิดต่อไป เพราะยังละภวสังโยชน์ไม่ได้ , อีกนัยหนึ่ง ในกำเนิด ๔. สัตว์ที่เกิดในไข่และเกิดในครรภ์ ถ้ายังไม่เจาะเปลือกไข่หรือคลอดจากครรภ์ออกมา ยังเรียกว่า สัมภเวสี ต่อเมื่อเจาะเปลือกไข่หรือคลอดออกมา เรียกว่า ภูต , พวกสังเสทชะ(เกิดที่ชื้นแฉะ) และพวกโอปปาติกะ(เกิดผุดขึ้น) ในขณะจิตแรก ก็เรียกว่า สัมภเวสี , ตั้งแต่ขณะจิตที่ ๒ เป็นต้นไป เรียกว่า ภูต (ขุ.ขุ.อ. ๙/๒๒๑)
(๘-) ชั้นบน หมายถึง อรูปภพ (ขุ.ขุ.อ. ๙/๒๒๓)
(๙-) ชั้นล่าง หมายถึง กามภพ (ขุ.ขุ.อ. ๙/๒๒๓)
(๑๐-) ชั้นกลาง หมายถึง รูปภพ (ขุ.ขุ.อ. ๙/๒๒๓)
(๑๑-) สติ หมายถึง เมตตาฌานัสสติ คือ สติที่ประกอบด้วยเมตตาฌาน (ขุ.ขุ.อ. ๙/๒๒๔)
(๑๒-) ทิฏฐิ หมายถึงทิฏฐิที่ว่า “กองแห่งสังขารล้วนๆ จัดเป็นสัตว์ไม่ได้” (ขุ.ขุ.อ. ๙/๒๒๕) และดู สํ.ส. (แปล) ๑๕/๑๗๑/๒๒๘
(๑๓-) ทัสสนะ หมายถึง โสดาปัตติมัคคสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งการบรรลุสกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค
อันเป็นเหตุให้ไปเกิดในชั้นสุทธาวาส แล้วบรรลุอรหัตตผลในที่นั้น ไม่กลับมาเกิดในครรภ์อีกต่อไป (ขุ.ขุ.อ. ๙/๒๒๕)ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
http://www.84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=25&siri=9