ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กฏแห่งกรรม :: ตายเพราะคำสาบาน  (อ่าน 2415 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
กฏแห่งกรรม :: ตายเพราะคำสาบาน
« เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 12:19:33 am »
0
กฏแห่งกรรม :: ตายเพราะคำสาบาน

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 28 เมษายน 2549 09:25 น.



เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของชายหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายเป็นนายทหาร เป็นคนเรียบง่าย ร่าเริง มองโลกในแง่ดี มีเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เข้าได้กับคนทุกระดับ จึงเป็นที่รักของทุกคน ซึ่งเรียกเขาว่า ‘กะปุกกะปุย’ ส่วนเธอ ‘จริยา ประโคน’ จบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รับราชการอยู่ในฝ่ายปกครองของหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง

เขาเป็นลูกชายคนที่สองของกำนันที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ คนหนึ่งที่ทุกคนต่างก็ให้ความศรัทธา เคารพยกย่อง และมีฐานะทางการเงินเข้าขั้นเศรษฐีเมืองไทยคนหนึ่ง เขามีความเป็นลูกผู้ชายที่ใครจะมาลบเหลี่ยมไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มีความทรนง เป็นตัวของตัวเอง และรักศักดิ์ศรีเทียบเท่าชีวิต บ้านของเขาไม่ได้อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ มากนัก เขาได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ซึ่งสมัยนั้นยังตั้งอยู่ที่ถนนราชดำเนินกลาง

ส่วนจริยาเป็นสาวน้อยน้ำหนักแค่ 33 กก. เท่านั้น จึงเป็นคนที่คล่องแคล่ว กร้าวแกร่ง และไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ชอบแต่งกายด้วยชุดกางเกงยีนส์ เสื้อยืดเป็นประจำ

กะปุกกะปุยกับจริยาควงกันเที่ยวอยู่หลายปี ตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ จนกระทั่งเขาเรียนจบและได้เลื่อนยศเป็นนายร้อยโท รับราชการในเขตอีสาน ซึ่งขณะนั้นเต็มไปด้วยภัยจากคอมมิวนิสต์คุกคาม ส่วนเธอก็ได้มารับตำแหน่งในอีสานเช่นกัน ต่างคนต่างทุ่มเทกับการทำงาน จึงห่างเหินไม่ได้ติดต่อกันนานเป็นปีๆ คงมีแต่จดหมายติดต่อกันเท่านั้น และเธอก็ได้ส่งขนมนมเนยไปให้เขาอย่างสม่ำเสมอ

แต่แล้วสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น จู่ๆ มีผู้ชายร่างคมสันคนหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดฝึกทหาร เปื้อนไปด้วยฝุ่นลูกรังสีแดงติดกรังตั้งแต่หัวจดเท้า และผมยาวจดลำคอ ขี่รถจักรยานยนต์คันใหญ่มาหาเธอ เมื่อถอดหมวกออก เธอก็จำได้ทันทีว่าเป็นเขา คนที่เธอห่วงใยอยู่เสมอนั่นเอง

เขาเล่าให้ฟังว่าเพิ่งได้รับคำสั่งให้มารับราชการ ในอำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดที่เธออยู่นั่นเอง ซึ่งเป็นพื้นที่สีชมพู ดินแดนผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิตส์ มีกฎห้ามว่าคนในไม่ให้ออกคนนอกไม่ให้เข้า ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยนั่นเอง เขาจึงจำต้องอดทนใส่ชุดเก่าชุดเดิมออกมาจากหมู่บ้านนั้น แต่หลังจากอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เขาก็มารับเธอไปดูหนัง ไปหาอาหารอร่อยๆ รับประทานกัน แล้วก็จะกลับเข้าฐานในเวลาไม่เกิน 2 ทุ่มตามกฎ เป็นอย่างนี้ประจำแทบทุกวัน เว้นวันที่ต้องนำกำลังออกซุ่มโจมตี หรือว่าเข้าเวรรักษาการณ์เท่านั้น

เขาเป็นทั้งเพื่อนและเป็นทั้งน้องที่ดี มีปัญหาคับข้องใจอย่างไรจะหันหน้าปรึกษา ช่วยกันแก้ปัญหาและให้ความช่วยเหลือตามอัตภาพ สำหรับเธอแม้จะเป็นสาว แต่เลือกคบคน เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่เธอให้ความสนิทชิดชอบ ให้ความไว้วางใจอย่างเต็มที่ คบกันมาหลายปีจนเขาได้รับพระราชทานยศนายพันตรี

มีอยู่วันหนึ่งที่เธอไปเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อครบกำหนดก็จะต้องกลับบ้าน ขณะนั้นค่ำแล้ว ฟ้าครึ้มด้วยฝน และเริ่มมีฝนตกปรอยๆ เขาก็ขับรถจี๊ปไปรับ ระหว่างทางฝนก็ตกหนักอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น จนทั้งคู่เปียกปอน เขาจึงเลี้ยวรถพาเข้าโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่ง เพื่อหลบฝน เวลานั้นเขาสั่งเครื่องดื่มมาดื่มจนเมาและกอดเธอไว้แนบอก พร้อมกับสารภาพว่ารักเธอมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนนายร้อย และขอแต่งงาน

เธอจึงงงงันไปหมด ทำอะไรไม่ถูก มือไม้ไม่รู้ว่าจะวางตรงไหน เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีผู้ชายมาบอกรัก จึงได้ตอบไปว่าไม่เชื่อว่าเขาจะรักเธออย่างชู้สาว เพราะเขาเจ้าชู้ มีสาวๆ หน้าตาดีๆ มากมาย จะมารักคนแก่อย่างเธอทำไม และจะให้เชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง เขาตอบว่า

“อะไร ? ไม่เชื่อใจหรอกหรือ 3-4 ปี ที่ยอมลงทุนไว้ผมยาวประบ่า ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าฝุ่นดินลูกรัง หัวฟู ฝุ่น เกาะเต็มหัวหนาเตอะ เสี่ยงตายถึง 45 กิโล ฝ่าหลุมฝ่าบ่อฝ่าความตายจากผู้ก่อการร้าย มาหาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยขาด แล้วอย่างนี้ยังไม่เชื่อใจเขาหรือ”

แรกๆ เธอก็ยอมรับว่าเห็นใจอยู่บ้างเหมือนกัน แต่เพราะความเป็นผู้หญิงต้องไว้ตัว จึงดุไปว่าเธอเพิ่งจะออกมาจากห้องวิปัสสนา ซึ่งถือว่าไปทำบุญอันยิ่งใหญ่มาใหม่ๆ จะมาพูดพล่อยๆ พูดเล่นๆ สนุกๆ ได้อย่างไรกัน คำพูดออกมาแต่ละคำนั้นศักดิ์สิทธิ์ และจะต้องเป็นไปตามปากพูด ทันใดนั้น !! โดยไม่คาดคิด เขาพนมมือไหว้ต่อหน้าสายฟ้าที่กำลังร้องครืนๆ ส่งเสียงเปรี้ยงปร้างและสายฝนที่กำลังเทลงมาอย่างหนัก และพูดว่า

หากเขาพูดไม่จริง ทรยศมีหญิงอื่น ทำให้เธอเจ็บปวด เสียใจ ผิดหวัง ก็ขอให้ฟ้าผ่าตาย !!

ไม่นานทั้งคู่ต่างคนก็ต่างห่างกันไประยะหนึ่งด้วยภาระหน้าที่การงาน จริยาทราบว่าเขารับตำแหน่งเป็นรองผู้การทหารบก และขลุกอยู่กับงานที่ทำเพื่อความเจริญก้าวหน้า ส่วนเธอก็ย้ายเข้ามารับราชการที่กระทรวงในกรุงเทพฯ ต้องเรียนรู้ระบบงาน ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้ ทันกับยุคสมัย เธอกับเขาจึงแทบไม่ได้ติดต่อกันเลย จนเกือบลืมกันเสียสนิท

กระทั่งวันหนึ่งเพื่อนรักของเขา ซึ่งไปเรียนต่อหลักสูตรสำคัญทางด้านทหารเพิ่มเติมพร้อมกันที่ประเทศอังกฤษ ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจวาย ญาติๆ นำศพมาทำพิธีในเมืองไทย เขาก็ร่วมนำศพกลับมาด้วย ทำให้ทั้งคู่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็ยังเป็นคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน เขาขับรถมาส่งเธอที่บ้าน แสดงทีท่าอาลัยอาวรณ์ สั่งเสียร่ำลาไม่ยอมไปสักที บอกว่าไม่ไปเรียนต่ออีกแล้ว ขออยู่ทำงานที่เมืองไทยเพราะทิ้งงานไปนาน และเห็นว่าเธอกำลังเดือดร้อน สุขภาพก็ไม่สู้ดี จะขออยู่เป็นกำลังใจคอยให้การช่วยเหลือ

แต่แล้วเขาก็หายหน้าไปพักใหญ่ๆ มีเพียงการพูดคุยทางโทรศัพท์และติดต่อกันทางจดหมาย อยู่มาวันหนึ่ง เขาขับรถมารับเธอไปรับประทานข้าวข้างนอกบ้านเหมือนเคย แต่ครั้งนี้เขาทำให้เธอตัวชา เสียใจ และเสียความรู้สึกมาก เขาบอกว่าเพื่อนที่ทำงานกับเธอและคบกันมาเกือบ 10 ปีแล้ว ไปไหนก็ไปด้วยกัน สนิทกันเป็นอย่างดี ไปหาเขาถึงที่ทำงาน ด้วยความที่เขาเป็นสุภาพบุรุษและเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทของเธอ จึงให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แต่เขาเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึกเหมือนกัน และด้วยอำนาจสุราพาไป ขาดความยับยั้งชั่งใจ ความเหงาว้าเหว่ จึงขาดสามัญสำนึกที่ดีและถูกต้อง เขาจึงมีอะไรกับผู้หญิงคนนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกเสียใจ และขอให้เธออโหสิกรรมให้เขาด้วย

เธอไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ฝืนยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครั้นเมื่อกลับมาถึงบ้านเธอจึงร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร และด้วยความที่ได้ผ่านการปฏิบัติธรรมมาบ้างแล้ว ทำให้เธอสามารถประคองจิตให้สงบได้ในที่สุด

เวลาผ่านไปได้เดือนเศษๆ ที่เธอกับเขายุติการติดต่อกัน เพื่อนรักคนนั้นของเธอ ก็มาถามว่าทำไมไม่เห็นเธอไปงานศพเขา ซึ่งขณะนี้ได้เผาเรียบร้อยแล้ว เธอได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจ จึงได้โทรศัพท์ไปสอบถามเพื่อนสนิทของเขา ที่ช่วยกันเล่าให้ฟังว่า เขาได้รับคำสั่งให้นำกำลังไปเสริมที่ชายแดนด้านเขมร

ขณะนั้นฝนตก หนักไม่ลืม หูลืมตา จึงได้สั่งทหารให้กางเต็นท์ เพื่อเข้าไปหลบฝน เมื่อทหารกางเต็นท์เสร็จเขาก็ไปยืนพิงเสาเหล็กของเต็นท์ ขณะนั้นเองก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงเต็มแรงลงมายังเสาเหล็กเปียกน้ำที่เขายืนอยู่ ทำให้เขาถึงแก่ความตายทันที ตัวดำเป็นตอตะโกโดยไม่ทันได้ร้องสักคำเดียว !! เธอไม่นึกไม่ฝันเลยว่า คำสาบานของเขาที่มีต่อเธอจะกลายเป็นเรื่องจริง !!

กรรม ก็คือการกระทำทั้งทางกาย และทางใจ เมื่อประพฤติผิดศีล ผิดธรรม และสร้างบาป ซึ่งจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม กรรมย่อมส่งผล ทำกรรมใดก็ได้รับผลเช่นนั้น ตอบสนองตามโทษานุโทษที่กรรมจะเป็นผู้กำหนดเช่นกัน
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง