กรรมของคนไทย ทำกันไว้เอง
(ถึงเวลามาแก้กรรมกันเสียที)
ธรรมกถาของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
- ๒ -
คนเข้มแข็งขึ้นมา บ้านเมืองก็ฟื้นตัวทันที
อ่านตอนที่ ๑.ได้ที่
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=634.msg2586#msg2586เบื่อการเมือง ผลสืบเนื่องจากบ้านเมืองที่เสื่อมสุขภาวะหลายปีมาแล้ว คนไทยบ่นกันนัก บอกว่าใจคอไม่สบาย ได้ยินญาติโยมบ่นกันว่าเบื่อการเมือง เบื่อเหลือเกิน แม้แต่ทีวีก็ไม่อยากดู เห็นข่าวที่ออกมา เบื่อมากๆ รีบปิดทันที วิทยุก็ไม่อยากฟัง พอคุยกับคนนั้นคนนี้ เขาก็เบื่อเหมือนกันเวลาผ่านไป สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น สภาพจิตของคนก็หดหู่หนักเข้า จนผู้คนชักจะมีคำพูดใหม่บอกว่า “เบื่อบ้านเมือง” จากเบื่อการเมือง จะกลายเป็นเบื่อบ้านเมือง
ทีนี้ ถ้าเบื่อบ้านเมือง ก็จะแย่หนัก เรียกว่าถึงขั้นหมดทางไป บรรยากาศทั่วไปและเสียงคนพูด เหมือนบอกว่า บ้านเมืองนี้ไม่น่าไว้วางใจแล้ว คนทั้งหลายใจคอไม่ดี เสียความมั่นใจ ขาดศรัทธา ราวกับว่าไม่รักประเทศชาติ ไม่เชื่อถือสังคมของตัว บางท่านถึงกับพูดออกมาว่าไม่อยากอยู่แล้วประเทศไทยชักจะอยากย้ายประเทศ ย้ายประเทศไม่พอ จะเปลี่ยนสัญชาติเสียอีก ไม่อยาก
เป็นคนไทยเสียแล้ว คงจะเป็นการพูดแบบประชด เพราะไม่ชอบใจมาก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
ทั้งหมดที่เป็นกันอย่างนี้ ถือว่าน่าเห็นใจ แต่จะตามใจไม่ได้ คือ เห็นใจ แต่ไม่อาจตามใจ เป็นเรื่องที่ต้องมองให้ถูก เป็นสภาพแวดล้อมที่เราต้องมีท่าทีที่ถูกต้อง ที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหา
เรื่องของสังคมนี้ รวมถึงเรื่องการเมืองด้วย เป็นเรื่องของชีวิตของเรา ที่เราต้องเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา มันมีผลต่อชีวิตของทุกๆ คน รวมถึงพระด้วยก็ไม่พ้นสังคมเป็นอย่างไร เช่น คนมีวินัยหรือวุ่นวายสับสน คนส่วนมากยากจนหรืออุดมสมบูรณ์ อยู่กันสงบดีหรือมีอาชญากรรมมาก การเมืองเป็นอย่างไร มีนโยบายด้านนั้นด้านนี้อย่างไร กระทั่งจะออกกฎหมายแบบไหน ก็มีผลกระทบมาถึ
ทุกคน ตรงบ้าง อ้อมบ้าง จึงอยู่ที่ว่า เราจะอยู่จะทำอย่างไร เริ่มต้นตั้งแต่ว่า จะวางท่าทีวางจิตใจอย่างไร จะมองอย่างไร อย่างน้อยต้องมองเป็น ถ้ามองได้ถูกต้อง อาจจะพลิกสถานการณ์ไปเลยก็ได้บอกแล้วว่า
ปัญหาของสังคม เรื่องบ้านเมือง อะไรๆ เหล่านี้ เป็นสภาพแวดล้อมใหญ่ ที่ส่งผลกระทบต่อทุกคน แม้แต่จิตใจของเราก็อยู่ในสภาพแวดล้อมอันนี้ และถูกกระทบตลอดเวลา บางทีก็แทบทั้งวัน เข้ามาทางตา ทางหู หรือทางไหน ในที่สุดก็มาถึงและมาu3619 รวมที่ใจ เพราะฉะนั้น มันมีผลแน่นอน ต้องตั้งท่าให้ถูก เตรียมหลักให้ดี ทำความเข้าใจให้แยบคาย คือ ต้องมองให้ถูกต้องนั่นเอง
สังคมไทยได้รับผลกรรม ที่สั่งสมมานานสังคมของเรามีปัญหามานานนักหนาเราพูดคำว่า “วิกฤต” กันมานานแล้ว อย่างวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี ๒๕๔๐ ก็ ๑๑ ปีมาแล้ว และตอนนั้น ก็ได้พูดว่า ก่อนจะเจอวิกฤตเศรษฐกิจนั้น เมืองไทยมีภาวะวิกฤต
ทางสังคมมานานแล้ว แต่เราไม่รู้จักเอาประโยชน์จากสิ่งที่เตือนสติมาตั้งหลัก แล้วใช้ปัญญาพิจารณาหาทางแก้ไข เจอวิกฤตเข้า ก็ตื่นเต้นโวยวายกันวุ่น แต่แล้วก็อยู่กันในความประมาทต่อไปเมื่ออยู่ในความประมาท ไม่ฟื้น ไม่ตื่นแก้ไขปรับปรุงตัวต่อมาก็ต้องเจอวิกฤตซ้ำซาก แล้วมันก็ยิ่งเลื่อนไหลลงไป ใกล้ปากเหวเข้าทุกทีๆ
ที่บอกเมื่อกี้ว่า เห็นใจ แต่ไม่อาจตามใจนั้น ก็คือจะปล่อยไว้หรือปล่อยไปไม่ได้ ขั้นต้นที่สุดคือ ต้อง
ทำความเข้าใจให้ถูกต้องขอให้เข้าใจว่า สภาพสังคมที่เป็นปัญหากันอยู่ทั้งหมดนั้น ต้องบอกว่าเป็นผลกรรมของสังคมนี้เอง ซึ่งสะสมมานาน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า สังคมไทยได้รับผลสมกับกรรมของตนเองที่ได้ทำมาทำไมจึงว่าอย่างนั้น เราไม่รู้ตัว เราไม่ได้คิด เรามองไปแต่ที่คนอื่น ว่าเขาเป็น
อย่างนั้นอย่างนี้ ยอมรับเสียเถิดว่า ที่จริง สังคมของเราได้เป็นปัญหามานานแล้ว และพวกเราคนไทยนี่แหละ ที่ได้ร่วมทำกรรมกันมาที่จะให้เป็นอย่างนี้ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ชอบพูดกันว่า ให้มี
ส่วนร่วม เช่น พูดถึงประชาธิปไตย ก็บอกว่าประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม นั่นก็ถูกต้อง แต่อย่ามองแค่นั้น ไม่ใช่แค่ว่าจะไปร่วมได้ร่วมเสีย จะไปเอาไปทำเรื่องนั้นเรื่องนี้กับเขา แต่ต้องมอง “ความมีส่วนร่วม” ด้านนี้ด้วย คือต้องมองตัวเราเองว่ามีส่วนร่วมในการที่ได้ทำให้สังคมไทยเป็นอย่างนี้ และจะต้องร่วมรับผิดชอบ เช่น ในการแก้ไขปรับปรุงพัฒนาตนเองด้วย
ความมีส่วนร่วมด้านนี้สำคัญมาก มองเห็นยาก ลึกกว่า ต้องศึกษาให้ดี อย่ามองข้ามไป ถ้าตีตรงนี้ไม่แตก จะแก้ปัญหาสังคมไทยทะลุไปไม่ได้
แล้วเราทำกรรมอะไรมาล่ะ? คำว่า “กรรม” ที่จริงมันก็คือการทำเหตุปัจจัยนั่นเอง หมายความว่า เหตุปัจจัยในแง่ที่เป็นเรื่องของคน คือการกระทำของคน ที่เป็นเหตุปัจจัยจากตัวของเขา เราเรียกว่า กรรม ที่จริงคำว่า กรรม ก็คือเหตุปัจจัย พูดอีกครั้งว่า “กรรม” คือเหตุปัจจัยในแง่ที่เป็นเรื่องของคนกรรมนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันยากที่เป็นเรื่องของคน หมาย ความว่า คนนี่แหละที่ยาก กรรมไม่ได้ยากอะไร ปัญหาอยู่ที่ว่า เราจะเข้าใจเรื่องกรรม ก็ต้องเข้าใจเรื่องคน
ทีนี้ คนนั่นแหละเป็นเรื่องยาก เพราะคนมีทั้งกายทั้งใจ และในจิตใจก็มีดีมีชั่ว มีคุณธรรม มีกิเลส มีเจตนา ทั้งที่บริสุทธิ์และที่ซ่อนเร้น ทำกรรมกันทั้งทางกาย ทางพูด ทางคิด ทำออกมาในสังคมแล้วยังไปทำเงียบๆ อยู่ในใจของตัวเองอีก มีอะไรต่ออะไรซับซ้อนเหลือเกิน เราจะเข้าใจกรรมได้ ก็ต้องเข้าใจคน เพราะกรรมเป็นเรื่องของคน เมื่อเข้าใจเรื่องคนแล้ว ก็จะเข้าใจเรื่องกรรมได้ง่าย
เอง ไม่ต้องห่วงเป็นอันว่า เรื่องคนเป็นเรื่องที่ยาก แล้วคนก็ทำกรรม โดยทำไปตามเจตจำนงของตน จะดีหรือร้ายก็แล้วแต่ให้กุศลหรือกิเลสมากำกับขับดันเจตนา และสุดแต่ปัญญาจะอำนวประสิทธิภาพ
ทีนี้ คนไทยเราก็ได้ทำกรรมที่เป็นเหตุปัจจัยกันมาตลอดเวลายาวนาน จนกระทั่งสังคมนี้ผุกร่อนมากแล้ว บางอย่างเหลือแต่ซาก ถ้าเป็นคนที่เจ็บป่วย เมื่อป่วยหนัก ในที่สุดก็เป็นศพ ทีนี้ สังคมเมื่อผุกร่อนมากๆ เข้า ก็กลายเป็นซาก เหมือนกับวัตถุทั้งหลาย เป็นซากอย่างไร เราก็มาดูกันนี่แหละ แม้แต่เรื่องของสังคมตัวเอง เราก็ไม่ค่อยรู้ ไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็มองไม่เห็นปัญหา เมื่อไม่รู้ปัญหาก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าจะไปแก้ที่ไหน
สังคมไทยแม้แต่วัฒนธรรมก็เสื่อม แทบจะเหลือแต่ซากเมื่อกี้ ที่บอกว่าสังคมไทยเสื่อมโทรมผุกร่อนมากจนจะกลายเป็นซากแล้วนั้น ก็ขอยกตัวอย่างเช่น เมื่อ ๒-๓ วันมานี้ ข่าววิทยุบอกว่า มีคนไปเถียงกันเรื่องการเมือง ในงานศพที่วัด กินเหล้า แล้วก็ยิงกันตาย เอาละ แค่นี้คนเถียงกันในวงเหล้า ยิงกันตายในวัด ข้อความแค่นี้มันบอกอะไรหลายอย่างหนึ่ง ในงานศพ กินเหล้า มันก็ไม่เคารพศพแล้ว นี่วัฒนธรรมหายไปไหน
สอง กินเหล้าในวัด คนเมืองพุทธทำอะไรกันในวัด
สาม ฆ่ากันตาย ทั้งในงานศพ และในวัด
สี่ ฆ่ากันตายเพราะเรื่องการเมือง ที่เป็นเรื่องซึ่งจะต้องช่วยกันสร้างสรรค์การเมืองเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าว่ากันตามหลักแท้ๆ ก็เป็นงานสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ เพราะเป็นเรื่องของการมาช่วยกันจัดการบ้านเมืองให้สงบสง่างามเรียบร้อย มีจุดหมายเพื่อจะให้คนทั้งประเทศ
อยู่ดีมีสุข คือทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทั้งชาติ และแม้กระทั่งทั้งโลก
การที่จะถกเถียงเรื่องการเมืองจึงต้องเป็นการเถียงกันด้วยปัญญา ควรพูดกันให้เป็นเรื่องเป็นราว มาตรวจตราว่าประเทศชาติเจริญงอกงามดีหรือไม่ จะแก้ปัญหาอย่างไร ฯลฯ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใช้ปัญญา แต่นี่ไปเถียงกันในวงเหล้า แล้วไปพูดกันในวงเหล้า จะไปได้อะไร คนเมาก็ได้แต่โมหะ แล้วก็โมโหกันไปเรื่องนี้มันส่อถึงสภาพของสังคมไทยที่น่ากลัว อย่างที่ว่า เริ่มตั้งแต่ในด้านวัฒนธรรม ที่เป็นสภาพพื้นฐานของสังคม เรื่องของงานศพในวัด ทั้งงานศพ ทั้งกิจกรรมในวัด เป็นเรื่องของวัฒนธรรม แล้วสภาพที่เกิดขึ้น ก็คือ มีการตั้งวงเหล้า กินเหล้า แล้วทะเลาะกัน เถียงกัน ฆ่ากัน
นี่หรือคือบรรยากาศของวัด นี่หรือประเพณีงานศพ มันก็แสดงให้เห็นว่า วัฒนธรรมไทยนี้เหลือแต่รูปแบบ สิ่งที่เหลือแต่รูปแบบโดยไม่มีเนื้อหาสาระ ก็คือซากนั่นเอง เพราะฉะนั้น วัฒนธรรมไทยเวลานี้จึงแทบจะเหลือแต่ซากเท่านั้นต่อมา วิทยุอ่านพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ว่า โจ๋ตลุมบอนกันในงานวัด นี่ก็แสดงถึงสภาพของเด็กและเยาวชนไทยในปัจจุบัน ว่าจะเป็นอนาคตแบบไหนของประเทศชาติ แต่เมื่อเทียบกับข่าวข้างบน อันนี้เป็นเรื่องของเด็ก เรื่องที่เด็กทำอย่างนี้ ก็เบากว่า ก็ผู้ใหญ่ยังไปเถียงกัน ไปฆ่ากันตายในงานศพที่วัด แล้วจะไปเอาอะไรกับเด็ก เราจะไปว่าเด็กได้อย่างไร ผู้ใหญ่ยิ่งหนักกว่า ถึงกับฆ่ากันตาย
รวมแล้ว ก็เทือกเดียวกัน คือโจ๋เหล่านี้ก็กำลังก้าวไปในแนวทางที่จะเป็นอย่างผู้ใหญ่เหล่านั้น
รวมความก็คือ นี่เป็นเรื่องของสภาพสังคมที่เป็นเพียงตัว อย่างให้มองเห็นว่า เวลานี้มันเป็นอย่างไร ถ้าสภาพสังคมเป็นอย่างที่ว่า มีวัฒนธรรมที่เหลือแต่ซากอย่างนี้ เราก็ต้องคิดแก้ไขอาการป่วยเหล่านี้แพร่ระบาดไปทั่ว ไม่ใช่แค่ว่าคนป่วยทางสังคม คนป่วยทางอารมณ์ คนป่วยทางเศรษฐกิจแล้ว แต่กลายเป็นว่าเศรษฐกิจป่วย การเมืองป่วย และสังคมป่วยเสียเอง
เวลานี้การที่คนมีอาการเบื่อหน่ายขนาดหนักอย่างที่ปรารภกันในตอนต้นนั้น เป็นไปได้ว่าเราอาจจะ
อยู่ในภาวะที่ว่า ทั้งเศรษฐกิจก็ป่วย สังคมก็ป่วย การเมืองก็ป่วย ป่วยกันไปหมด รวมทั้งการพระศาสนาก็ป่วยไปด้วยเมื่อสถาบัน องค์กร กิจการงานของบ้านเมือง และสังคมส่วนใหญ่มันป่วยเสียเองแล้ว คนที่เป็นส่วนย่อยของสังคมนั้น ก็มีทางที่จะป่วยได้ง่าย เพราะฉะนั้น เราจะมาแก้ปัญหาในตัวของคนแต่ละคนเท่านั้นไม่พอ แต่จะต้องแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจป่วย สังคมป่วย เป็นต้นนี้ด้วย
ทีนี้ ในการแก้ปัญหา ก็ต้องรู้จักมองย้อนกลับ คือว่า พอสังคมหรือหน่วยใหญ่มันป่วยแล้ว แต่ละคนที่เป็นหน่วยย่อยต้องพลิกตัวกลับขึ้นมาตั้งหลักสังคมที่ป่วยจะหายได้อย่างไร ก็ต้องอาศัยคนนี่แหละมารักษา ก็คนนี่แหละที่รวมกันขึ้นเป็นสังคม และเป็นกลไกในการนำและขับเคลื่อนสังคม ถ้าคนไปมัวป่วย ยอบแยบๆ ระย่อ ท้อแท้ หดหู่ เหี่ยวแห้ง หงอยเหงา ซึมเซา หม่นหมอง ขุ่นมัว คับแค้นใจอยู่ คนเป็นอย่างนี้เสียเอง แล้วสังคมมันจะฟื้นคืนดีได้อย่างไร
เมื่อบ้านเมืองสังคมเสื่อมทรุดลงไป คนในบ้านเมืองในสังคมนั้นต้องตั้งหลักให้ได้ เพื่อมาช่วยแก้ไข ตอนนี้กลายเป็นว่าคนนั่นแหละ ต้องตั้งหลักขึ้นมาเพื่อไปรักษาบ้านเมืองที่มันป่วย ทุกท่านจะต้องตั้งหลักขึ้นมาใหม่ อย่าไปคิดว่า บ้านเมืองป่วย แล้วเราก็ละเหี่ยใจ นั่นก็คือเราพลอยป่วยตามบ้านเมืองไปด้วย ก็จะยิ่งแย่กันไปใหญ่ ถ้าเป็นอย่างนั้น ประเทศชาติก็หมดทาง และสิ้นหวัง ถึงเวลาต้องจับหลักให้ได้
ถ้าสังคมล้ม คนต้องลุกขึ้นมาแก้ไขตอนแรกเมื่อคนป่วยเป็นรายๆ สังคมต้องช่วยแก้ แต่ถ้าสังคมป่วยเอง คนต้องตั้งหลักให้ได้ แล้วมาแก้ไข หมายความว่า เราต้องมาชวนกัน ทุกท่านทุกคนมาช่วยกันบำบัดเยียวยารักษาสังคมนี้พอเราตั้งตัวขึ้นมา ใจคิดว่าเราจะเป็นผู้เยียวยาแก้ไข เราก็จะเป็นผู้กระทำขึ้นมาทันที พอรู้สึกตัวว่าเป็นผู้กระทำ เราก็จะมีกำลังขึ้นมา พอเรามีกำลัง เราก็มีสุขภาวะตามมาด้วย ความเสียสุขภาวะที่เป็นอยู่จะเบาไปเลย ใจเราจะหายป่วย
เพราะฉะนั้น ตั้งใจให้ถูก ตั้งหลักขึ้นมาเลย ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องเป็นผู้มาแก้ไข มารักษาสังคมนี้ ฟื้นฟูกู้สถาบันต่างๆ รวมถึงพระศาสนาด้วย ถ้าตั้งใจให้ถูกอย่างนี้แล้ว เราจะเข้มแข็งขึ้นมา พอคนมีความเข้มแข็งเป็นหลัก ก็จะเกิดสติ สมาธิ ตามมาโดยง่าย พอสติมา สมาธิมี ปัญญาจะเข้าประจำที่ แล้วก็เริ่มงานฟื้นชีพกันได้ทันทีถ้าสติไม่มา สมาธิก็ไม่มี ปัญญาหาที่ลงไม่ได้ ก็ขาดที่ทำงาน จะทำงานอะไรก็แกว่งไปหมด ไม่ได้ผลดี แต่พอเราตั้งหลักได้ วางใจถูก กำลังใจก็เกิดมีและเข้มแข็งขึ้นมา สติก็มา สมาธิก็มี ปัญญาทำงานได้ ก็จะเริ่มเห็นทาง จึงต้องตั้งท่าทีของจิตใจให้ถูกก่อนเวลานี้ปัญหาสำคัญของคนก็คือ เราป่วยกันหลายอย่าง ถ้าป่วยทางกาย ก็จำกัดความป่วยไว้แค่นั้น อย่าขยายมันออกไป
วิธีง่ายๆ ก็เรียกสติมาและทำใจให้ถูก บอกตัวเองว่า “ป่วยแต่กาย แต่ใจไม่ป่วย” เพราะถ้าป่วยใจ หรือป่วยทางอารมณ์แล้ว ก็จะมีผลทำให้ปัญญาง่อย ไม่มีกำลังทำงาน ปัญญาก็จะป่วยไปด้วย