ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 'พิมพวดี' หนูน้อยวิญญาณระลึกชาติ  (อ่าน 4556 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
'พิมพวดี' หนูน้อยวิญญาณระลึกชาติ
« เมื่อ: มิถุนายน 22, 2011, 10:06:23 am »
0
'พิมพวดี' หนูน้อยวิญญาณระลึกชาติ

เรื่องราวของ พิมพวดี เป็นตัวอย่างยืนยันว่า การเวียนว่ายตายเกิด และการระลึกชาติ นั้นมีจริง
โดย หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 ได้ลงรายละเอียดไว้ดังนี้



    มิติลี้ลับและเรื่องราวอันน่าพิศวงเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณและการระลึกชาติ ที่เคยเป็นเรื่องโด่งดังในอดีตของ ด.ญ.พิมพวดี โหสกุล ถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 16 พ.ย. ทั้งนี้ จากการประกาศงานฌาปนกิจศพ ด.ญ.พิมพวดี ที่จะมีขึ้นในวันที่ 20 พ.ย.นี้

ภายหลังจากที่ ด.ญ.คนดังกล่าวได้ล่วงลับไป 40 กว่าปีแล้ว โดยผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บริษัทเสรีวัฒนาหัวมุมถนนหลวง และถนนมิตรพันธ์ ตรงข้ามโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ กทม. สอบถามรายละเอียดและความเป็นมาของพิธีฌาปนกิจศพ ด.ญ.พิมพวดี จากนายเสรี โหสกุลผู้เป็นพี่ชายของ ด.ญ.คนดังกล่าว

    นายเสรีเปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 17-19 พ.ย.นี้จะมีการสวดพระอภิธรรมศพของ ด.ญ.พิมพวดี พร้อมกับนายเสียง โหสกุล บิดาที่เสียชีวิตไปเมื่อ 2-3 เดือนก่อน จากนั้น ในวันที่ 20 พ.ย. จะเป็นพิธีฌาปนกิจ ทั้งนี้ เหตุที่ต้องเก็บร่างของ ด.ญ.พิมพวดีไว้ตั้งแต่ปี 2503 จนถึงขณะนี้เป็นเวลา 40 กว่าปีนั้น เป็นความประสงค์ของคุณพ่อที่รักลูกสาวคนนี้มาก เพราะเป็นลูกสาวคนเดียวและเป็นลูกคนสุดท้อง

เมื่อยังมีชีวิตอยู่หนูพิมเป็นเด็กน่ารัก ว่านอนสอนง่าย เรียนหนังสือเก่ง และเป็นเด็กที่จัดว่าหน้าตาสวยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ต้องเสียชีวิตตั้งแต่เด็กด้วยโรคไข้เลือดออก ซึ่งในขณะนั้นวิทยาการทางการแพทย์ยังไม่ดีเท่าเดี๋ยวนี้ น้องพิมจึงต้องเสียชีวิตลง หลังจากน้องพิมเสียชีวิตคุณพ่อทำใจไม่ได้ที่ต้องเสียลูกสาวไป

จึงได้สร้างศาลาพิมพวดีไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความรักและความคิดถึง ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม รวมทั้งใช้เป็นที่เก็บร่างของน้องสาวด้วย มีการสร้างพลับพลาไว้เหนือศพและติดรูปถ่ายของน้องพิมเอาไว้ กระทั่ง เมื่อคุณพ่อเสียชีวิต เมื่อเดือน ส.ค.44 จึงนำศพน้องพิมออกมาฌาปนกิจพร้อมกับคุณพ่อตามความประสงค์ของท่าน

คุณเสียง โหสกุล

    ทั้งนี้ เรื่องราวซึ่งเป็นที่ฮือฮาเกี่ยวกับวิญญาณและการระลึกชาติได้ของน้องพิม ซึ่งเกิดขึ้นในอดีตนั้น เป็นเรื่องที่เกิดกับ นพ.อาจินต์ บุณยเกตุ ครอบครัวโหสกุลไม่เคยประสบเรื่องราวในลักษณะนี้ แม้แต่การเข้าฝัน ทว่าเมื่อมีดำริจะจัดงานฌาปนกิจศพน้องสาวพร้อมกับคุณพ่อ กลับมีเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้

โดยขณะที่จะจัดทำรูปหน้าศพของน้องพิม ซึ่งมีรูปถ่ายขาวดำเพียงรูปเดียวเหลืออยู่ ตนมีความเห็นว่าจะทำรูปเป็นพื้นสีน้ำตาล หรือรูปสีซีเปีย เช่นเดียวกับรูปคุณพ่อ จึงนำไปให้ช่างภาพทำให้ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ รูปจะออกมาดำๆ แลดูน่ากลัวทุกครั้ง และหน้าตาออกดุๆ

    ต่อมาตนจึงตัดสินใจนำรูปน้องไปให้ช่างวาดรูป ให้ ซึ่งเป็นนักเขียนรูปสมัครเล่น อยู่ที่มาบุญครองเขียนออกมาเป็นภาพสีตามที่ต้องการ โดยคิดว่าจะทดลองให้วาดก่อนว่าจะใช้ได้หรือไม่ ซึ่งเมื่อวาดออกมาครั้งแรก พี่น้องทุกคนลงความเห็นว่าใช้ไม่ได้ ต้องไปแก้ไขใหม่

ซึ่งต่อมาช่างวาดรูปได้มาเล่าให้ฟังว่า น้องพิมไปเข้าฝันบอกให้วาดใหม่ ซึ่งเมื่อช่างวาดรูปมาให้ดูใหม่คราวนี้ทุกคนถึงกับอึ้ง เพราะรูปที่วาดมาเปลี่ยนไปเป็นคนละรูป คราวนี้เหมือนตัวจริงมาก และมีความรู้สึกว่าเป็นภาพเหมือนมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งแววตาที่เป็นประกาย เห็นชัดเจนยิ่งกว่ารูปถ่ายเสียอีก

    นายเสรียังเผยอีกว่า ยังมีเรื่องที่น่าประหลาดใจอีกเรื่องคือ เมื่อนำหีบศพของน้องพิมออกมาจากที่เก็บศพซึ่งเป็นหินอ่อนในศาลา เพื่อเตรียมทำพิธีตั้งสวดพระอภิธรรมก่อนฌาปนกิจ ปรากฏว่า สภาพทุกอย่างอยู่สมบูรณ์ ศพไม่มีกลิ่นใดๆทั้งสิ้น แม้กระทั่งฝุ่นยังไม่มี จนพระที่วัดยังแปลกใจ และตนยังทราบมาว่า เจ้าหน้าที่ที่วัดมกุฏฯถูกหวยเป็นประจำ โดยนำเลขวันเดือนปีเกิด หรือเลขอะไรต่างๆนานาที่เกี่ยวกับน้องสาวมาตีเป็นตัวเลขนำไปแทงหวย

งานฌาปนกิจศพคุณเสียง โหสกุล และด.ญ.พิมพวดี โหสกุล

    ต่อมาผู้สื่อข่าวติดต่อไปยังนางพิจิตร บุณยเกตุ ภรรยา นพ.อาจินต์ ที่บ้านซึ่งอยู่ย่านราชวัตร ซึ่งนางพิจิตรแจ้งว่า นพ.อาจินต์ไม่สบายเป็นโรคหลอดเลือดตีบ ไม่สามารถพูดได้เป็นเวลานานแล้ว เรื่องของ ด.ญ.พิมพวดีนั้น ตนจำไม่ค่อยได้ ให้ไปดูรายละเอียดจากหนังสือที่ระลึก 40 ปี นพ.อาจินต์ บุณยเกตุ พบวิญญาณหนูพิมพวดี ณ โรงพยาบาลศิริราช ที่รวบรวมโดย นพ.กมลพร แก้ว-พรสวรรค์

ซึ่งหนังสือดังกล่าวเป็นเรื่องของ ด.ญ.พิมพวดี โดยการบอกเล่าของ นพ.อาจินต์ ว่า ด.ญ.พิมพวดี โหสกุล บุตรีของนายเสียง โหสกุล เสียชีวิตตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ในปี- 2503 ด้วยโรคไข้เลือดออก ต่อมาจึงเกิดเรื่องราวปาฏิหาริย์ขึ้น นพ.อาจินต์ บุณยเกตุ ซึ่งไม่รู้จักกับ ด.ญ.พิมพวดี ตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต

    ในหนังสือดังกล่าวระบุว่า นพ.อาจินต์ บุณยเกตุ ได้เปิดเผยเรื่องปาฏิหาริย์กับหนังสือพิมพ์ฟ้าเมืองไทย และศาสตราจารย์เอียน เฟลมมิ่ง นักวิญญาณศาสตร์ ซึ่งสัมภาษณ์นพ.อาจินต์ และนำไปตีพิมพ์ในหนังสือที่สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2506 โดย นพ.อาจินต์ได้เปิดเผยในขณะนั้นว่า มีอาการป่วยเป็นโรคไมเกรน และเป็นหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลศิริราช

เมื่อประมาณปี 2504 ระหว่างนอนรักษาตัวอยู่ คืนหนึ่งประมาณ 3 ทุ่มเศษ ขณะอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุ 10 กว่าขวบ เข้ามาหาพร้อมกับเรียก นพ. อาจินต์ว่าพ่อ โดยอ้างว่าเป็นพ่อลูกกันเมื่อชาติก่อน และยังบอกด้วยว่าที่ นพ.อาจินต์ต้องทนทรมานจากการป่วยเช่นนี้ เนื่องจากเป็นกรรมเก่าที่ นพ.อาจินต์ซึ่งมีหน้าที่ ลงโทษนักโทษโดยการบีบขมับ และมีอยู่ครั้งหนึ่งได้ลง โทษคนที่ไม่มีความผิดจนตาย จึงต้องมารับกรรมในชาตินี้

แต่เด็กคนนั้นบอกว่าจะช่วยให้หายปวด จากนั้นจึงเอามือมากุมที่ศีรษะข้างที่ปวด และขอให้เรียกหาทุกครั้งเมื่อมีอาการปวดศีรษะ ซึ่ง นพ.อาจินต์ได้ทำเช่นนั้นทุกครั้ง เด็กหญิงคนดังกล่าวก็จะมาหาและทำเช่นเดิม ซึ่ง นพ.อาจินต์เล่าว่าอาการปวดก็หายไปทุกครั้ง

รูปด.ญ.พิมพวดี โหสกุล ภายในศาลา

โดยครั้งสุดท้ายเด็กคนนี้บอกว่าจะต้องรักษาไปอีก 4 ปี และมาขอลาเพราะจะไปเกิดแล้ว โดยจะไปเกิดเป็นเด็กผู้ชายในชาติหน้า ทั้งยังบอกชื่อให้ นพ.อาจินต์ไปตรวจสอบประวัติดูที่โรงพยาบาล และพบว่ามีชื่อของเด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล มาเสียชีวิตที่ห้องที่ นพ.อาจินต์รักษาอยู่จริง

    เมื่อ นพ.อาจินต์ออกจากโรงพยาบาล จึงไปสืบหาเด็กหญิงพิมพวดีกับครอบครัวโหสกุล ซึ่งนายเสียง โหสกุล ผู้เป็นพ่อ ได้นำรูปของเด็กผู้หญิงหลายคนมาให้เลือกดู ซึ่ง นพ.อาจินต์ได้เลือกรูปของเด็กหญิงพิมพวดีขึ้นมา ทำให้นางสมพร โหสกุล ภรรยานายเสียง ถึงกับร่ำไห้โฮขึ้นมาทันที และบอกว่าเป็นลูกสาวที่เสียชีวิตไป โดยยืนยันว่าลูกสาวเป็นโรคไข้เลือดออก ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลศิริราช

ซึ่ง นพ.อาจินต์ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้แก่พ่อแม่ของด.ญ.พิมพวดีฟังรวมถึงเรื่องที่เด็กหญิงพิมพวดีสั่งเสียด้วยว่า ยังเป็นห่วงเรื่องที่ทำการฝีมือไม่เสร็จ ให้นำผ้าขาว ด้ายสีน้ำเงิน และเข็มโครเชต์ไปวางไว้ที่หน้าศพ ซึ่งต่อมาอีก 4 ปี นพ.อาจินต์ได้หายจากโรคดังกล่าวตามที่ ด.ญ.พิมพวดีบอกไว้ และ นพ.อาจินต์ไม่ได้พบเหตุการณ์เช่นนี้อีกเลย

    วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวไปที่วัดมกุฏฯ พบกับพระครูปลัดสุวัฒนปัญญาคุณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ซึ่งพระครูปลัดฯเปิดเผยว่า ศพของคุณพิมพวดีอยู่ที่นี่มานานแล้ว คนที่นี่จะเรียกคุณพิมทุกคน ซึ่งเจ้าหน้าที่สำนักงานที่นี่จะถูกหวยกันบ่อย แต่จะมีคนมากราบไหว้รูปคุณพิมเป็นประจำ

บางคนมาขอให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แล้วก็ได้สมใจ ก็เอาของเล่นมาให้ ใครมาขออะไรได้ ก็จะเอาของเล่น ตุ๊กตา หรือขนม มาวางที่หน้ารูปเป็นประจำ ซึ่งก่อนที่จะนำศพออกมาฌาปนกิจ มีทั้งของเล่นและขนมเต็มไปหมด ส่วนเรื่องราวปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นนั้น เชื่อว่าเป็นเรื่องของกระแสจิตระหว่างคุณพิมและคุณหมออาจินต์ ที่มีความผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

พลับพลาพิมพวดี

ที่มา  http://www.forthais.org/dharmathailand/pages/pim.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 22, 2011, 10:12:13 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ