ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กรรมของคนไทย ทำกันไว้เอง ตอนที่ ๔ วิกฤตศรัทธา คือ โอกาสฟื้นสุขภาวะทางปัญญา  (อ่าน 2345 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


วิกฤตศรัทธา คือ โอกาสฟื้นสุขภาวะทางปัญญา

เป็นโอกาสดีที่เกิดวิกฤตศรัทธา จะได้ตื่นขึ้นมาใช้ปัญญาเสียที

ผู้ฟัง: ขณะนี้มี “วิกฤตศรัทธา” เกิดขึ้นรอบตัว ไม่รู้จะทำอย่างไร ทำอะไรไม่ได้

ท่านเจ้าคุณฯ: ศรัทธาในคนไม่สำเร็จ ก็ศรัทธาในธรรมสิ แน่นอนยั่งยืนกว่า ศรัทธาในธรรมต้องมีเป็นหลักอยู่แล้ว เมื่อคนไม่ตั้งอยู่ในหลัก ก็ตัดคนไปเลย ไม่เอาแล้ว เราศรัทธาในธรรม ในตัวหลักการตัวความจริง ถึงคนจะเป็นอย่างไรไป ธรรมก็ยังอยู่นี่ ธรรมก็เป็นหลักอยู่ ไม่ไปไหน

เมื่อเอาธรรมเป็นหลักแล้ว เราก็หันไปคิดที่จะเอาธรรมมาใช้แก้ปัญหา เราก็ตั้งหลักตั้งตัวขึ้นมาให้เข้มแข็ง ไม่ไปมัวรอหวังพึ่ง คือ เมื่อเราศรัทธาใครก็คือเราเห็นว่าท่านผู้นั้นพึ่งได้ ถ้าเราศรัทธาไม่ได้จริงๆ เราก็มาศรัทธาอยู่กับธรรม ไม่ต้องไปหมดศรัทธา

ศรัทธาในธรรมเป็นหลักยืนตัว ศรัทธาในคนนั้นง่อนแง่นได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้จุดอ่อนของศรัทธาในคน และไม่ให้หยุดอยู่แค่นั้น พระสาวกมาศรัทธาในพระองค์ พระองค์ยังทรงเตือน คือ ยอมให้ใช้เป็นจุดเชื่อมในเบื้องต้น แล้วพระองค์ก็ตรัสบอกว่า ศรัทธาในตัวบุคคลมีข้อเสียอย่างนั้นๆ หนึ่ง สอง สาม สี่ พระองค์ตรัสหมด

เมื่อกี้นี้ ได้ยินบอกว่าเกิดมีวิกฤตศรัทธา ก็เราพูดกันนักหนาว่า ให้เอาวิกฤตเป็นโอกาส นี่ก็ถึงเวลาแล้ว ต้องเอาวิกฤตเป็นโอกาส อย่างน้อยวิกฤตศรัทธานี้ ก็ต้องทำให้เราตื่นตัวขึ้นมา ต้องรู้ตัวว่า นี่เราได้ปล่อยตัวกันมา ฝากชีวิตและสังคมให้ขึ้นต่อศรัทธาอย่างเดียว หวังพึ่งแต่ศรัทธา จนจะกลายเป็นคนที่ไม่มีหลักของตัว จึงเห็นชัดว่า พอเสียศรัทธา ก็อ่อนอกอ่อนใจ มือไม้ปวกเปียก ถ้ามิฉะนั้นก็ตรงข้าม กลายเป็นเกิดเป็นปฏิกิริยาจะทำความรุนแรง

วิกฤตนี้ต้องมาทำให้เราตื่นขึ้นว่า คนไทย สังคมไทยฝากชะตากรรมให้ขึ้นต่อศรัทธามากไปจนจะเสียดุลแล้ว หลงลืมด้านปัญญา ไม่พัฒนามันเลย ก็เลยไม่มีหลัก ไม่รู้ธรรม พอสูญเสียศรัทธา ก็ป้อแป้ ท้อแท้ เบื่อหน่ายอย่างเดียว ตั้งหลักไม่ได้ เพราะไม่มีหลักจะตั้ง


ที่ถูกนั้น ศรัทธากับปัญญาย่อมหนุนกัน จะมีศรัทธาก็ต่อเมื่อปัญญามองเห็นเหตุผลเห็นความจริงว่าน่าเชื่อถือ เมื่อศรัทธาแล้ว ก็ทำให้ตั้งใจศึกษาใส่ใจพิจารณาเรื่องนั้นๆ อย่างจริงจัง จึงทำให้เจริญปัญญา

ตอนนี้เอาปัญญามาเป็นหลัก ปัญญานั้นรู้ธรรม ปัญญาก็เอาธรรมเป็นหลัก ปัญญามีที่จับคือมันอยู่กับธรรม เป็นตัวเข้าถึงธรรม พอปัญญามาปั๊บ ใจก็มีกำลังเข้มแข็งขึ้นมาทันที ก็หายป่วยทางอารมณ์ มีความรู้สึกดีขึ้น
ขอให้ทุกท่านเข้มแข็งทางปัญญาโดยมองไปที่ธรรม ปัญญาก็พาเอาธรรมมาตั้งเป็นหลักให้ เราก็หายป่วยทางปัญญา เกิดมีพลังเข้มแข็งทางปัญญา มีสุขภาวะทางปัญญา แล้วทีนี้ละ สุขภาวะทางจิตใจ ทางสังคม ทางกาย ก็จะตามมา ไม่มากก็น้อย ตามมาแน่ๆ


คนเรานี้ เมื่อปัญญายังไม่มาตั้งธรรมเป็นหลักให้ ส่วนมากก็จะไปขึ้นอยู่กับความรู้สึก ว่าชอบใจ หรือไม่ชอบใจ
แล้วความชอบใจหรือไม่ชอบใจนั้น ก็จะครอบงำใจ เป็นตัวนำความคิด ที่เรียกว่าไปกับอารมณ์ พอไปกับอารมณ์ ก็ล่องลอย คือไม่มีหลัก หรือไม่อยู่กับหลัก ตอนนี้ก็ป่วยแล้วละ

ที่ว่าพระบอกธรรมให้โยมเอาไปใช้วัดคนนั้น ก็คือเปิดโอกาสให้ปัญญาเข้ามานั่นเอง พอโยมเอาธรรมเอาหลักการไปใช้วัดคน ก็ต้องใช้ปัญญา พอปัญญามาตั้งหลักให้ ก็มีทางไปขึ้นมาทันที

เพราะฉะนั้น เริ่มต้นจึงให้มีสติ ไม่ยอมให้ใจไปขึ้นอยู่หรือเลื่อนไหลไปกับความชอบใจและไม่ชอบใจ ตั้งหลักทันทีว่า ไม่เอาความชอบใจหรือไม่ชอบใจมาเป็นตัวกำหนด
แล้วเราก็เอาธรรมมาเป็นตัวกำหนดอย่างที่ว่า “เอาธรรมเป็นประมาณ เอาหลักการเป็นเกณฑ์” อารมณ์ไม่มี ความรู้สึกหมดอิทธิพลไปเลย


เมืองไทยจะฟื้นเต็มที่ เมื่อยอดพระเจดีย์กลับเต็มขึ้นมา
รวมความว่า การพัฒนาคุณภาพของคนไทยเป็นจุดสำคัญในการพูดวันนี้ เราต้องมีการพัฒนาคุณภาพพลเมือง อย่างน้อก็อย่าให้อ่อนแอ ต้องให้เข้มแข็ง ให้คนไทยหวังผลจากการกระทำของตน ไม่ไปมัวหวังผลจากการดลบันดาล ให้นับถือเทวดาใหม่ให้ถูกต้อง แล้วก็ร่วมมือกับเทวดาดี อย่าไปหลงเชื่อมาร

ที่นิมนต์อาตมาพูด ก็ด้วยความหวังร่วมกันว่า ทำอย่างไรเราจะช่วยให้สังคมไทยรวมไปถึงสังคมโลกทั้งหมด พ้นไปได้จากความเสื่อม สามารถตั้งตัวตั้งหลักได้ และพัฒนาไปสู่ความเจริญงอกงามที่เรียกกันว่า เป็นความยั่งยืนที่แท้ ไม่ใช่ยั่งยืนอยู่แค่สิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยั่งยืนในสันติสุขที่แท้จริง ตั้งแต่ในจิตใจคนเป็นต้นไป

การที่จะเป็นอย่างนั้นได้ ก็ด้วยการที่เราทุกคนต้องมีกำลัง และกำลังที่สำคัญก็มีหลายอย่าง หมายถึงกำลังกาย โดยมีสุข-ภาวะทางกายดี กำลังใจ โดยมีสุขภาวะทางจิตใจ หรือสุขภาวะทางอารมณ์ดี และมีสุขภาวะทางสังคมที่ดี อย่างน้อยเมื่อยังเริ่มตั้งตัว ยังไม่ได้อะไร ก็ให้มีความสามัคคีกันในหมู่คนที่มีเจตนาดี เพื่อว่าความสามัคคีนั้นจะได้เป็นกำลังทางสังคม ซึ่งจะทำให้เกิดมีสุขภาวะทางสังคมขึ้นมา แล้วเราก็จะมาเอื้อต่อกัน มาเสริมสุขภาวะของกันและกัน เป็นการย้อนทางให้เกิดสุขภาวะทางจิตใจ และเป็นเครื่องประกันสุขภาวะทางกาย

แต่ทั้งนี้ ในที่สุด จะต้องให้มีสุขภาวะทางปัญญาให้ได้คนไทยจะต้องมีปัญญาที่เข้มแข็ง จะมองเรื่องอะไร ต้องมองให้ชัด จะศึกษาอะไร ต้องให้รู้เข้าใจชัด โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนของเรา จะต้องให้เขาพัฒนาตัวขึ้นมาชนิดได้ปัญญาที่แท้ ไม่ใช่อยู่แค่สักแต่ว่าความโก้ แต่จะต้องกระจ่างแจ่มแจ้ง เรียนรู้อะไรต้องชัดเจน ให้เกิดปัญญาที่แท้จริง แล้วเราก็จะมาช่วยกันแก้ปัญหาสร้างสรรค์สังคมได้จริง สังคมก็จะเดินหน้าไปได้

เมื่อเราเดินหน้าถูกต้อง เริ่มมีปัญญา ศรัทธามันจะมาเอง เช่น ศรัทธาในหลักความจริง ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม ศรัทธาในธรรม ศรัทธาในคนที่มีธรรมมีความจริงความถูกต้องความดีงามนั้น พอศรัทธามา คนก็มีความเข้มแข็งในตัว แล้วคนที่มีศรัทธาถูกต้องด้วยกัน ก็สามัคคีกัน สังคมก็เข้มแข็ง แล้วก็ทำให้สังคมของเราเดินไปข้างหน้าอย่างมีจุดหมาย ไม่ใช่เคว้งคว้างเลื่อนลอยเดี๋ยวจะบอกว่า พม่ามาเผากรุงเก่า ทำลายพระเจดีย์พัง

พินาศ เจดีย์ยอดหักไปตั้งนานแล้ว คนไทยยังปล่อยปละละเลย ไม่สร้างต่อยอดพระเจดีย์ คนไทยเดี๋ยวนี้จึงยังเคว้งคว้างอยู่เหมือนกับเจดีย์ที่ไร้ยอด คือ ไม่มีจุดหมายเจดีย์จะต้องมียอด เราจะมีฐาน มีอะไรต่ออะไรอย่างไรก็ตาม ในที่สุด เจดีย์จะสมบูรณ์ได้ ก็คือต้องมียอด เจดีย์ขาดยอดไม่ได้ ตอนนี้ต้องทำยอดพระเจดีย์ให้มีขึ้นให้ได้ อย่าให้เป็นเจดีย์หักอยู่ที่กรุงเก่าอย่างเดียว แล้วสังคมไทยก็จะเดินหน้าไปได้ด้วยดี

ต้องฟื้นกรุงเทพกรุงไทยขึ้นมาอีกครั้ง เพราะกรุงเทพทวาราวดี ศรีอยุธยา ก็มาต่อด้วย กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ เมื่อฟื้นกรุงได้ และทำให้ฟูขึ้นไปเจริญงอกงามแล้ว ก็จะได้เป็นกำลังไปสร้างสรรค์โลกต่อไปด้วย


ขอให้ทุกท่านมีกำลังทุกอย่างดังที่กล่าวมา ช่วยกันเสริมสร้างให้ประเทศชาติสังคม มีความเจริญงอกงาม และมีความสุขที่แท้จริงยั่งยืนสืบต่อไป ขอให้ทุกท่านเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยทุกเมื่อ


อ้างอิง
หนังสือ กรรมของคนไทย ทำกันไว้เอง (ถึงเวลา มาแก้กรรมกันเสียที)
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
ขอบคุณภาพจากเว็บ t0.gstatic, bloggang, 2.bp.blogspot
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ