ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กรรมของคนด่าพระ  (อ่าน 4423 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
กรรมของคนด่าพระ
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2012, 12:19:11 pm »
0



กรรมของคนด่าพระ

     มีผู้คนอยู่ไม่น้อยในโลกนี้ ที่ยังไม่ทราบว่าคุณค่าของชีวิตคืออะไร ทำให้ชีวิตของชาวโลกจึงต้องวุ่นวายไปกับการแสวงหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งๆ ที่สิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดนั้น ไม่ต้องออกไปแสวงหาอื่นไกล เพราะสิ่งนั้นมีอยู่แล้วในตัวของทุกๆ คน นั่นก็คือพระรัตนตรัย รวมทั้งบุญกุศลและคุณความดีทั้งหมด เพียงแต่เราต้องมาพิจารณาสักนิด จึงจะพบว่าในชีวิตของเรานี้

    สิ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือบุญ เพราะบุญเป็นบ่อเกิดของทุกสิ่งทุกอย่าง จะช่วยส่งเสริมให้เราไปถึงจุดหมายปลายทางของชีวิตได้ หากขาดบุญกุศลแล้ว ชีวิตของเราจะมีแต่ความมืดมนและเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน ต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่เรื่อยไป เพราะฉะนั้นเราต้องประกอบบุญกุศลไว้ให้มากๆ ทำให้เป็นชีวิตจิตใจ และต้องหมั่นเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนากันอยู่เสมอด้วย
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตร ว่า
 
                    “ทุลฺลภญฺจ มนุสฺสตฺตํ        ความเป็นมนุษย์ หาได้ยาก
                      พุทฺธุปฺปาโท จ ทุลฺลโภ    ความเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าหาได้ยาก
                      ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ       ความถึงพร้อมด้วยขณะสมัย หาได้ยาก
                      สทฺธมฺโม ปรมทุลฺลโภ     พระสัทธรรม หาได้ยากอย่างยิ่ง
                      ทุลฺลภา สทฺธาสมฺปตฺติ     ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา หาได้ยาก
                      ปพฺพชฺชา จ ทุลฺลภา       การบวช หาได้ยาก
                      ทุลฺลภํ สทฺธมฺมสฺสวนํ      การฟังพระสัทธรรม หาได้ยาก”

 
     ขึ้นชื่อว่าความยากแล้ว การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถือว่าเป็นความยากอันดับแรก ครั้นเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์จึงถือว่าได้ความยากนั้นมาแล้ว ส่วนการเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และการได้มาพบพระพุทธองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ก็ถือว่าเป็นการยาก เพราะเป็นการถึงพร้อมด้วยขณะสมัยที่ยังมีพระรัตนตรัยบังเกิดขึ้นยาก

    การได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ด้วยแล้วยิ่งเป็นการยากอีก เมื่อฟังแล้วเกิดความศรัทธาเลื่อมใสก็หาได้ยาก และถ้าใครเกิดศรัทธาแล้วออกบวชก็ยิ่งหาได้ยาก ดังนั้นเมื่อเราได้ความยากดังที่กล่าวมาแล้วนี้ เราก็ต้องหวงแหนและรักษาไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้โอกาสเหล่านี้หลุดลอยไป ดังเช่นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
 
     * ในสมัยนั้น มีพระอรหันต์รูปหนึ่งชื่อ พระสังกิจจะ เมื่อมีอายุเพียง ๗ ขวบเท่านั้น ท่านได้บรรลุพระอรหัตในขณะที่พระอุปัชฌาย์กำลังจรดมีดโกนลงไปที่ปลายผมให้ท่าน ท่านบวชเป็นสามเณรอยู่ในราวป่าพร้อมกับภิกษุประมาณ ๓๐ รูป ครั้งนั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายคือ โจรจะจับพระทั้ง ๓๐ รูปนำไปฆ่าเพื่อบูชายัญ ท่านจึงยอมเสียสละชีวิตของตนเอง โดยยอมให้โจรจับไป

     แต่สุดท้ายโจรทำอะไรท่านไม่ได้ เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ผู้มีอานุภาพ จนกระทั่งพวกโจรเกิดศรัทธา และขอบรรพชาทั้ง ๕๐๐ คน ท่านจึงพาไปเฝ้าพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น  ในเวลาจบพระธรรมเทศนาภิกษุเหล่านั้นได้บรรลุเป็นพระอรหันต์กันทั้งหมด
 
     ต่อมาเมื่อพระสังกิจจะ มีพรรษาครบอุปสมบทแล้ว จึงไปยังกรุงพาราณสีพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป อาศัยอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ชาวบ้านพากันไปหาพระเถระ ฟังธรรมแล้วก็มีจิตเลื่อมใสได้ถวายอาคันตุกทาน ในชาวบ้านเหล่านั้น มีอุบาสกคนหนึ่งได้ทำการชักชวนมหาชนให้ถวายนิตยภัตร มหาชนจึงได้เริ่มตั้งนิตยภัตรตามกำลังของตน
 
     ในกรุงพาราณสี มีพราหมณ์มิจฉาทิฏฐิคนหนึ่ง มีบุตร ๓ คน คือบุตรชาย ๒ คน และธิดา ๑ คน บุตรคนโตได้อุบาสกเป็นกัลยาณมิตร อุบาสกพาเขาไปหาพระสังกิจจะ เมื่อได้ฟังธรรมที่ท่านแสดง เขาเริ่มเกิดจิตศรัทธาเลื่อมใส ต่อมาเมื่ออุบาสกชักชวนให้ถวายภัตตาหารเป็นประจำแก่ภิกษุรูปหนึ่ง บุตรพราหมณ์จึงกล่าวว่า “พวกเราเป็นพราหมณ์และไม่เคยถวายนิตยภัตรเป็นทานแก่พระสมณะผู้ศากยบุตรเลย

     เพราะฉะนั้น เราจักไม่ยอมให้” อุบาสกกล่าวว่า “แม้เราผู้เป็นเพื่อนของท่าน ก็จักไม่ให้ภัตบ้างหรือ” บุตรพราหมณ์กล่าวว่า “เราเป็นเพื่อนกัน ทำไมฉันจักไม่ให้” อุบาสกพูดว่า “ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เธอจะให้เรา เธอจงถวายแก่ภิกษุรูปหนึ่งเถิด” เขารับคำแล้ว จึงนิมนต์ภิกษุมารูปหนึ่งให้มาฉันที่บ้าน
 
     เมื่อวันเวลาผ่านไปอย่างนี้ น้องชายและน้องสาวของเขา เห็นวัตรปฏิบัติของภิกษุทั้งหลาย กอปรกับการได้ฟังธรรมแล้ว มีความเลื่อมใสยิ่งขึ้นในพระศาสนา และมีความยินดีในการสั่งสมบุญอยู่เป็นนิตย์ คนทั้ง ๓ เมื่อให้ทานตามกำลังทรัพย์อย่างนี้ ได้สักการะเคารพนับถือบูชาสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ส่วนมารดาและบิดาของพวกเขา เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส ไม่เคารพในสมณพราหมณ์ ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่รู้สึกพอใจในการบำเพ็ญบุญ
 
     พวกญาติของครอบครัวนี้ ได้ขอธิดาของเขามาแต่งงานกับบุตรของผู้เป็นลุง ซึ่งบุตรคนนั้นเมื่อฟังธรรมในสำนักของพระสังกิจจะแล้วเกิดความสังเวชจึงขอออกบวช และได้ไปสู่บ้านของมารดาตนเพื่อฉันภัตตาหารเป็นนิตย์ ฝ่ายมารดาผู้ไม่มีศรัทธา ก็รบเร้าและชักชวนขอให้สึก ด้วยการนำเด็กรุ่นสาวมายั่วยวน เมื่อเป็นดังนั้น สามเณรรู้สึกกลุ้มใจ จึงเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์แล้วกราบเรียนเรื่องราวเพื่อจะขอลาสิกขา

 
 

  พระอุปัชฌาย์ เห็นว่าศิษย์เป็นผู้มีอุปนิสัยดีงาม เป็นผู้มีบุญบารมีมาก่อน จึงกล่าวว่า “พ่อเณร รอสักเดือนก่อนเถอะ” สามเณรจึงรับคำท่าน เมื่อผ่านไปได้เดือนหนึ่ง พระอุปัชฌาย์ก็กล่าวซ้ำอีกว่ารอไปอีกสักกึ่งเดือนเถิด เมื่อกึ่งเดือนผ่านไป สามเณรเข้ามาหาและกล่าวอย่างนั้นอีก พระเถระก็กล่าวอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นรอไปสัก ๗ วันเถอะ” สามเณรรอมาหลายครั้งแล้ว

    แต่ด้วยความเคารพในพระอุปัชฌาย์จึงรับคำแล้วก็รอต่อไปอีก ด้วยคิดว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว และภายใน ๗ วันนั้นเอง เรื่องก็เกิดขึ้น คือที่เรือนของน้าหญิงของสามเณร ซึ่งจวนจะพังอยู่แล้วเพราะชำรุดทรุดโทรมมาก เมื่อถูกพายุกระหน่ำเท่านั้นก็พังลงมาทันที
 
    พราหมณ์กับพราหมณี และลูกชาย ๒ คนลูกหญิง ๑ คน ถูกเรือนพังทับตายไปหมด ในคนที่ตายไปนั้น
     ฝ่ายพราหมณ์และนางพราหมณีไปบังเกิดในกำเนิดเปรต


     ส่วนลูกชาย ๒ คนลูกหญิง ๑ คน บังเกิดเป็นภุมเทวา บุตรคนโตมีช้างเป็นพาหนะ บุตรคนเล็กมีรถเทียมด้วยแม่ม้าอัสดรเป็นพาหนะ ลูกหญิงมีวอทองเป็นเครื่องแห่แหน

     พราหมณ์และนางพราหมณีถือเอาค้อนเหล็กชนิดใหญ่มาทุบกัน ที่ที่ถูกทุบแล้วปรากฏมีฝีประมาณเท่าหม้อลูกใหญ่ ผุดขึ้นครู่เดียวเท่านั้น หัวฝีแก่เต็มที่แล้วก็แตกออก
     จากนั้นก็พากันดื่มหนองและเลือดที่ไหลออกมา พลางด่าตะคอกด้วยวาจาหยาบคายต่อกันไป ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา

 
    เมื่อครบกำหนดเวลา สามเณรก็เข้าไปหาพระอุปัชฌาย์กราบเรียนว่า ท่านครับ กระผมผ่านวันที่รับปากกับท่านไปแล้ว ทีนี้ผมจะลาสิกขาแล้วกลับไปอยู่เรือน ขอท่านจงอนุญาตผมเถิด พระอุปัชฌาย์กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น เมื่อถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ เวลาพระอาทิตย์ตกดิน เธอจงมาเถิด” สามเณรเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจ เฝ้ารอให้ถึงวันนั้น เมื่อถึงวันและเวลาที่กำหนดแล้ว

     พระอุปัชฌาย์ จึงพาสามเณรเดินไปหน่อยหนึ่งแล้วยืนอยู่ด้านอิสิปตนวิหาร 
     สมัยนั้น เทพบุตร ๒ องค์นั้น พร้อมด้วยน้องสาวเดินผ่านไปทางนั้นพอดี
     ฝ่ายมารดาบิดาของพวกเขาต่างก็ถือไม้ค้อน พูดวาจาหยาบคาย รูปร่างหมองคล้ำ มีเส้นผมยาวรกรุงรัง สูงราวกับลำตาล มีหนองและโลหิตไหลออกมา น่าเกลียดน่ากลัวพิลึก ติดตามพวกบุตรไป
 
     พระสังกิจจะสำแดงฤทธิ์ให้สามเณรได้เห็นชนเหล่านั้นที่กำลังเดินไป แล้วให้สามเณรสอบถามพวกที่ไปด้วยยานช้างเป็นต้น ตามลำดับ คนเหล่านั้นก็กล่าวว่า
     “ท่านจงสอบถามพวกเปรตที่มาภายหลังเถิด” สามเณรจึงถามเปรตเหล่านั้นว่า “พวกท่านมีสภาพแตกต่างกัน เพราะทำกรรมอะไรไว้”

 
     เปรตเหล่านั้น ถูกสามเณรถามอย่างนั้น จึงกล่าวตอบเรื่องราวทั้งหมดว่า
     "ผู้ที่ได้ขี่ช้างเผือกชาติกุญชรที่งดงามไปข้างหน้า คนนั้นเป็นบุตรคนโตของเรา เพราะเมื่อเป็นมนุษย์ เขาได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ จึงได้รับความสุข ความบันเทิงใจ และผู้ขี่รถเทียมด้วยแม่ม้าอัสดร ๔ ตัว แล่นไปท่ามกลาง ผู้นั้นเป็นบุตรคนกลาง เพราะครั้งเมื่อเขาเป็นมนุษย์ เป็นคนไม่ตระหนี่ได้ถวายทานอยู่เป็นนิตย์

     ส่วนเทพนารีที่มีดวงตากลมงดงาม รุ่งเรืองดุจตาเนื้อทราย ขึ้นวอทองมาข้างหลัง เทพนารีนั้นเป็นธิดาคนสุดท้อง นางมีความสุขเบิกบานใจ เพราะผลแห่งทานครึ่งหนึ่ง เขาทั้ง ๓ มีจิตเลื่อมใสจากที่ได้ให้ทานแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย
     ส่วนข้าพเจ้าทั้ง ๒ เป็นคนตระหนี่ และด่าสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผลจึงเป็นอย่างที่เห็นนี้แหละ"
 
     สามเณรได้ฟังดังนั้น ก็เกิดความสลดสังเวชใจ ไม่มีความต้องการด้วยการครองเรือนอีก และเกิดความยินดียิ่งในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ พระสังกิจจะเถระได้บอกกัมมัฏฐานแก่สามเณร ท่านได้ตั้งใจทำความเพียร ไม่นานนักก็บรรลุเป็นพระอรหันต์
 
     เราจะเห็นว่า ไม่มีอะไรเป็นที่พึงที่ระลึกที่แท้จริงได้สำหรับชีวิตเลย นอกจากบุญกุศลและพระรัตนตรัยที่เราได้เข้าถึงเท่านั้น เมื่อเราได้โอกาสในการทำความดีแล้ว ก็จงรีบใช้โอกาสนั้นให้เต็มที่ เพราะขณะนี้เราได้ชื่อว่าได้โอกาสที่หาได้ยากอย่างยิ่งแล้ว เพราะเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มาพบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมจนเกิดศรัทธา แล้วเรายังมีโอกาสได้ประพฤติธรรม  เพื่อขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้ 

     ก็จงรีบไขว่คว้าความโชคดีนั้นเอาไว้ สำหรับท่านใดที่ยังไม่ได้บวช ก็ควรหาโอกาสสักครั้งหนึ่งเพื่อมาฝึกฝนอบรมตนเอง ทำความเพียร เจริญสมาธิภาวนากันอย่างเต็มที่ ให้สมกับที่เราได้โอกาสอันประเสริฐนี้กัน



อ้างอิง
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
* มก. เล่ม ๔๙ หน้า ๑๐๘
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://buddha.dmc.tv/ธรรมะเพื่อประชาชน/กรรมของคนด่าพระ.html
http://www.palungdham.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: กรรมของคนด่าพระ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2012, 06:48:53 pm »
0
 :smiley_confused1: :smiley_confused1: :smiley_confused1:  :25:
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

rainmain

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 323
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: กรรมของคนด่าพระ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เมษายน 07, 2012, 07:59:12 pm »
0
ก็พูดเรื่องพระ ต้องระวังครับ เพราะเสี่ยง ครับ.... ดังนั้นภูมิธรรมไม่ถึง ไม่ควรออกตัวไปวิจารณ์ ให้คณะสงฆ์ตัดสินกันเองด้วยธรรมวินัยดีกว่า ครับ อย่าไปด่าพระเลยครับ .....

  ลำพัง หน้าที่ เรานั้นก็เสีี่ยงนรกหลายอย่างแล้วนะครับ ทุกวันนี้...

   :s_hi:
บันทึกการเข้า
คิดดี พูดดี ทำดี เป็นกุศล และ กรรมฐาน เป็นมหากุศล นะครับ