ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - มานพ
หน้า: [1]
1  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พิจารณาอาหาร ของพระคืออย่างไรครับ เมื่อ: ธันวาคม 14, 2011, 10:12:41 am
ผมเห็นเวลา พระท่านตั้งโต๊ะเพื่อรับอาหาร ก็เห็นพระเดินเลือกอาหาร ต่าง ๆ ตามความชอบใจ ( เข้าใจอย่างนี้ )

การที่พระ่ท่านเดินเลือกอาหารใส่บาตรไปเพื่อฉันนี้ จัดว่าเป็นการพิจารณา ที่ถูกตามหลักของพระสงฆ์หรือไม่

เพราะท่านเลือกอาหารอันปราณึต ( ชอบใจ ) อาหารอันไม่ปราณีต ( ไม่ชอบใจ ) ไม่ตักดังนั้นทุกท่านมีความเห็น

อย่างไร กับการที่พระพิจารณาอาหาร การปัจจเวกขณวิธี ต้องการอย่างนี้หรือครับ

 เรียนถามสมาชิก ทุกท่านด้วยความสงสัยครับ

  :c017: :smiley_confused1:
2  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระฉันน้ำแข็ง และ เคี้ยวหมาก ผิดศีล วิกาละหรือไม่ครับ เมื่อ: ธันวาคม 14, 2011, 10:09:45 am
เพราะถ้าแปลความหมายของ วิกาละโภชนา แล้วแปลว่า เว้นจากของขบเคี้ยว ของฉันตั้งแต่เที่ยงแล้วไป อย่างนี้

ดังนั้นหากพระ เคี้ยวน้ำแข็ง เคี้ยวหมาก ในเวลาหลังเที่ยงแล้วไปอย่างนี้ผิดศีลใช่หรือไม่ครับ

 ขอบคุณมากครับ

 ด้วยความสงสัยครับ

  :c017: :smiley_confused1:
3  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สตตวิหารธรรม๑ (ธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นนิตย์ของพระขีณาสพ) ๖ เมื่อ: สิงหาคม 31, 2011, 09:36:31 am
[๓๒๘]    สตตวิหารธรรม๑    (ธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นนิตย์ของพระขีณาสพ)    ๖
            ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
 ๑.    เห็นรูปทางตาแล้ว    เป็นผู้ไม่ดีใจ    ไม่เสียใจ    มีอุเบกขา    มีสติสัมปชัญญะอยู่
 ๒.    ฟังเสียงทางหูแล้ว   เป็นผู้ไม่ดีใจ    ไม่เสียใจ    มีอุเบกขา    มีสติสัมปชัญญะอยู่
 ๓.    ดมกลิ่นทางจมูกแล้ว   เป็นผู้ไม่ดีใจ    ไม่เสียใจ    มีอุเบกขา    มีสติสัมปชัญญะอยู่
 ๔.    ลิ้มรสทางลิ้นแล้ว   เป็นผู้ไม่ดีใจ    ไม่เสียใจ    มีอุเบกขา    มีสติสัมปชัญญะอยู่
 ๕.    ถูกต้องโผฏฐัพพะทางกายแล้ว  เป็นผู้ไม่ดีใจ    ไม่เสียใจ    มีอุเบกขา    มีสติสัมปชัญญะอยู่
 ๖.    รู้แจ้งธรรมารมณ์ทางใจแล้ว    เป็นผู้ไม่ดีใจ    ไม่เสียใจ    มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่

         พระสุตตันตปิฎก  ทีฆนิกาย  ปาฎิกวรรค  [๑๐.  สังคีติสูตร]
                    สังคีติหมวด  ๖


4  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เข้าพรรษา แล้วห้ามบวชพระ หรือไม่ครับ เมื่อ: สิงหาคม 05, 2011, 09:38:36 am
เข้าพรรษา แล้ว พระท่านก็จะอยู่ติดวัดมากกว่า ออกพรรษา
แต่ทำไมเข้าพรรษา แล้ว ทำไมในช่วง เข้าพรรษา จึงไม่มีการนิยม บวชพระกัน เหมือนหลังออกพรรษา
 หรือว่า มีเหตุผล อันใดที่ชาวบ้านไม่นิยม บวชลูกหลาน ในระหว่างที่เข้าพรรษา ครับ

  :s_hi: :c017:
5  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / จริงหรือไม่ครับ ถ้าเรานั่งสมาธิ จิตสงบแล้ว เราจะเห็น ผี ( วิญญาณ ) ต่าง ๆ เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2011, 11:06:14 am
จริงหรือไม่ครับ ถ้าเรานั่งสมาธิ จิตสงบแล้ว เราจะเห็น ผี ( วิญญาณ ) ต่าง ๆ

ไม่ทราบว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ มีวิธีการไม่ให้เห็นหรือไม่ครับ

หรือ มีวิธีการรับมือ กับการเห็นนี้กันอย่างไรครับ

ขอให้ พี่ๆ ที่ปฏิบัติ สมาธิ มีประสพการณ์ แล้วช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับ

เพราะผมไม่กล้านั่งสมาธิ เพราะเหตุนี้ครับ

กลัว จริง ๆ พวกเพื่อนบอกว่า เห็นแล้วเดี๋ยวจะเป็นบ้าครับ

 :'(
6  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ถามจริง ๆ เถอะครับ ใครเคยเห็นผี จริง ๆ บ้างครับ เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2011, 11:03:11 am
ถามจริง ๆ เถอะครับ ใครเคยเห็นผี จริง ๆ บ้างครับ

เอาแบบเห็นจริง ๆ นะครับ ไม่ใช่แค่ รู้สึก หรือ ได้ยิน หรือ นึกไปเอง

อยากให้เพื่อนสมาชิก ได้แชร์ประสพการณ์ กันหน่อยครับ



ขอบคุณภาพจาก http://btgsf1.fsanook.com/

7  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ทำอย่างไรไม่ให้ใจว่อกแว่ก ไม่เป็นสมาธิครับ เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2011, 08:46:21 am
คือผมเป็นคน ว่อกแว่กฟุ้งซ่านง่าย คิดมาก บางครั้งก็จะมีอาการวิตกกังวล ด้วยครับ แล้วยิ่งมีคอมพิวเตอด้วยเเล้ว รู้สึกไม่มีสมาธิเลย เริ่มเครียดครับ เพราะเกรดในมหาลัยไม่ค่อยดีเท่าที่ควร ผมควรจะเริ่มฝึกอย่างไรดีครับ ที่จะทำให้จำหนังสือได้เข้าใจมากขึ้น  ขอบคุณครับ

 :c017: :41:
8  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / หนีเสือ ปะจระเข้ วัดเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้แล้วครับ เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 05:15:43 pm
คนที่เป็น อุบาสก อุบาสิกา ยามทำงานก็ต้องขวนขวาย ก็ประกอบด้วยความทุกข์อยู่แล้ว เมื่อมีควาทุกข์ก็หาทางที่จะให้ใจสงบลง ด้วยการเข้าวัดทำบุญ ภาวนามาก ๆ ขึ้น แต่สุดท้ายพอเข้าไปในวัดกับต้องไปพบเรื่องของพระ ที่สารพัดจะให้ทุกข์ไม่ว่า เรื่องการขอให้ทำผ้าป่า ทำกฐิน สร้างนั้น สร้างนี้ หนักที่สุดแทนที่จะได้สนทนาธรรมกับพระ พระกับคุยเรื่องโลกให้เราปวดหัว บางครั้งกลายเป็นเรื่องพระ ทะเลาะกัน ในเรื่องต่าง ๆ

 กรรมจริง ๆ ครับใจเป็นทุกข์เข้าวัด เพื่อให้ใจสงบ แต่กับเหมือนเข้าวัด พาใจให้เศร้าหมอง อีก

 อย่้างนี้ เหมือนหนีเสือ ปะจระเ้ข้า หรือไม่ครับ พี่น้อง

  :41:
9  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โอม~ คำนี้เจ๋งกว่าที่คุณคิด เมื่อ: เมษายน 21, 2011, 06:54:31 pm
มีคนให้วาดสัญลักษณ์ "โอม" ให้
แต่แรกก็ไม่มั่นใจว่าจะวาดได้ไม๊แต่สุดท้ายออกมาก็ค่อนข้างชอบ

แบบปรับสีในคอม(บ่ได้ปรับเอง^^)

ไหนๆ ก็เอา"โอม" มาลงแล้ว ไม่ให้เสียเที่ยวก็เลยเอาเกร็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับคำนี้มาฝาด้วย
ไม่อยากพูดในเชิงศาสนาให้เกิดกังขาในอารมณ์...และเราก็ไม่ได้เชี่ยว-_-"
แต่ยังไงก็ต้องเกริ่นพาดพิงหน่อยนะ

"โอม" เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ในศาสนฮินดู แต่รู้รึเปล่าว่าคำนี้มีพลังและมีความหมายมากกว่านั้น
ตามความเชื่อของฮินดู "โอม" มาจากตัวอักษร 3 ตัวประกอบกันนั่นก็คือ
อะ - อุ - มะ
ซึ่งหมายความถึงพระนามของมหาเทพสูงสุด3 พระองค์คือ
อะ คือ พระศิวะ
อุ คือ พระวิษณุ
มะ คือ พระพรหม
มาถึงตรงนี้แล้วสงสัยมะ ว่าจากชื่อแล้วย่อยังไงถึงเป็น 3 คำนี้ได้
ได้สิ! เพราะมาจากพยางค์ท้ายขอชื่อน่ะเอง
พระ(ศิว)อะ  พระ(วิษณ)อุ  และ (พระพรห)มะ

ในทางพุทธ
สมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 ทรงดัดแปลงคติเรื่องโอม จากของฮินดูมาเป็นพุทธ โดยทรงอธิบายว่า
อะ   มาจาก  อรหํ (พระอรหันต์) หมายถึงพระพุทธเจ้า
อุ.    มาจาก  อุตฺตมธมฺม (ธรรมสูงสุด) หมายถึง พระธรรม
ม.    มาจาก  มหาสงฺฆ (สงฆ์หมู่ใหญ่) หมายถึงพระสงฆ์
รวมแล้วเป็นพระรัตนตรัยนั่นเอง

พอ~......เรื่องศาสนาดีกว่า ลองมามองแบบวิทยาศาสตร์บ้าง
อันนี้มันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องเสียงบำบัด
ที่จริงเคยอ่านเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว ด้วยสมองปลานิล(ทอง!) ของเราจึงจำได้รางๆ เท่านั้น555
เค้ามีพูดถึงเสียงต่างๆ [เช่น อา อู โอ อี ฯลฯ] ว่ามันมีธรรมชาติของคลื่นเสียงที่แตกต่างกัน
ซึ่งส่งผลกระทบ หรือกระตุ้นประสาท อวัยวะ หรือจักระในร่างกายเราในแบบต่างๆ กัน
จำได้อยู่ตัวอย่างนึงคือเสียงคำว่าฉี่ อย่างเวลาทำเสียง ชี่ ชี่ กระตุ้นให้เด็กทารกฉี่
ก็เป็นเพราะคลื่นเสียงลักษณะนี้มันช่วยกระตุ้นร่างกายบริเวณกระเพาะปัสสาวะอะไรประมาณนั้น
คิดแล้วก็ปวดฉี่....เฮ้ย! อุปทานนอกเรื่องแล้ว!! ต่อๆ

ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์
"โอม" เป็นเสียงที่เกิดจากการผสมจากเสียง 7 เสียง คือ
โอ อู อา เอ อี อือ อึม
ซึ่งจะส่งผลสั่นสะเทือนจักระ 6 จุดในร่างกาย
(ร่างกายมนุษย์มี 7 จักระ แต่อันนี้ยกเว้นจักระที่ 1 คือบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์กับทวารหนัก)

เสียง โอ และ อู    แรงสั่นสะเทือนอยู่ที่ ท้อง
เสียงอา               แรงสั่นสะเทือนอยู่ที่ หัวใจ
เสียง เอ              สั่นสะเทือนที่คอ
เสียง อี               สั่นสะเทือนที่หน้าผาก
เสียง อือ และ อึม สั่นสะเทือนที่จอมประสาท และทั่วศีรษะ

ดังนั้นเวลาที่เราเปล่งเสียงคำว่า โอมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
ให้ออกมาจากท้อง จึงเป็นการบริหารจักระ หรือเป็นการบริหารระบบประสาทนั่นเอง
เรื่องนี้สัมพันธ์กับการที่ในบทสวดต่างๆ ซึ่งมีเสียงต่างๆ เหล่านี้อยู่
เวลาที่คนเรารู้สึกไม่สบายใจ เมื่อเปล่างเสียงบทสวดจึงเป็นการช่วยคลายความคับข้องหมองใจไปได้ในระดับนึง

ถ้าใครไม่เชื่อเรื่องพลังของคลื่นเสียงว่ามันมีผลกับร่างกายและจิตใจเราจริงๆ
แนะนำให้ลองไปอ่านเอนทรี่นี้ดู >>>
http://--ame--.exteen.com/20081105/messages-from-water


ขอบคุณข้อมูล ติดตามอ่านได้ใน
http://--ame--.exteen.com/20090315/entry
10  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เครื่องดื่ม ยามเช้า ที่ควรสนใจครับ เมื่อ: มีนาคม 04, 2011, 11:01:42 am
ใน ตอนเช้าๆ หลายๆ คนคงต้องการที่จะหาอะไรดื่มก่อนทำงาน เพื่อให้ร่างกายมีพลังในการทำกิจกรรมต่างๆ เราเลยหาเครื่องดื่มที่เหมาะสมกับเช้าวันใหม่มาแนะนำกัน

น้ำมะนาว ลองหาน้ำมะนาวดื่มตอนเช้า เพราะในน้ำมะนาวจะมีกรดกรดซิตริกมีวิตามินซีที่นอกจากจะช่วยขับเสมหะ แก้อาการเจ็บคอแล้วยังช่วยให้ร่างกายสดชื่น แถมกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเปลือกที่โดนคั้นยังช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ดีอีกด้วย

น้ำขิง สำหรับ คนที่มีอาการเมาค้าง คลื่นไส้ อยากอาเจียน ก็ขอแนะนำน้ำขิงร้อนๆ สักแก้วเพราะในขิงมีสารเคมีชนิดที่เรียกว่า “จินเจอรอล” (Gigeyol) ที่เป็นสารเคมีประเภทน้ำมันหอมระเหยที่ให้รสและกลิ่นพิเศษไม่เหมือนใคร จัดอยู่ในกลุ่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ทำให้เรารู้สุกมึนเมา แถมยังแก้อาการเมาได้ดี การทำน้ำขิงให้อร่อยนั้น ควรบุหัวขิงที่ไม่แก่จัดจนเกินไป ต้มด้วยน้ำร้อนพอเดือดอย่าต้มนานเกินไป เพราะขิงจะเสียรสและกลิ่นไปได้

น้ำผักและผลไม้ เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ โฟลิคแอซิค และแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี นอกจากนั้นในน้ำผักและผลไม้ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลโดยธรรมชาติ ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่ร่ายกาย ช่วยให้เราหายเหนื่อยหายเพลีย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น

น้ำหวาน คนที่นอนดึกส่วนใหญ่ยามเช้าของคุณจะมีอาการปวดหัว มึนศีรษะ เกิดอาการเครียดทางประสาท ซึ่งอาจเป็นเพราะร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ควรรับประทานอาหารเช้าที่มีแป้งและน้ำตาลซึ่งจะสามารถช่วยได้ โดยเฉพาะน้ำตาลนั้นจะถูกดูดซึมได้ดีและง่าย ดังนั้นน้ำหวานจะทำให้จิตใจสงบ คลายอาการเครียดและมึนงงได้อย่างดี

นมถั่วเหลือง ปัจจุบันนมถัวเหลืองหาซื้อได้ง่าย และเหมาะสมสำหรับคนที่รักสุขภาพ เพราะนมถัวเหลืองเป็นเครื่องดื่มที่ให้โปรตีนที่มีคุณสมบัติเหมือนโปรตีนจาก เนื้อสัตว์ อุดมไปด้วย คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ, บี, บี1, บี2, บี6, บี12 ในเมล็ดถั่วเหลืองนั้นยังมีเลซิทิน ซึ่งเป็นสารบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ ลดไขมันและลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย นมถั่วเหลืองยังช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจล้มเหลว ท้องผูก สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งในลำไส้ ริดสีดวง ลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้อีกด้วย

กาแฟ กาแฟเป็นเครื่องดื่มยามเช้าของคนทำงาน เพราะกาแฟช่วยกระตุ้นความสดชื่นและความกระปี้กระเปร่าก่อนลงมือทำงาน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดอาการหอบในผู้ที่เป็นโรคหอบหืด และเป็นผลดีต่อนักกีฬาในการเพิ่มความทนทานและความอืดในกีฬาที่ต้องใช้เวลา นาน
11  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อีกมุมหนึ่งของอินเดีย สภาพจริง ๆ ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด เมื่อ: มีนาคม 04, 2011, 10:58:09 am












ขอบคุณที่มาภาพ http://uppic.happymass.com/upload/054116fa6b3e4a48b2c0ea4b9856c33a.jpg
12  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โรงเรียนต้นแบบ สร้างเด็กด้วยธรรมะ รายงานพิเศษ มานิตย์ สนับบุญ เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 12:16:56 pm
การ กระจายอำนาจการศึกษาในทุกระดับทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทำให้เกิดการจัดการด้านการศึกษาด้วยประชาชนเองอย่างคึกคัก ตามแผนการศึกษาแห่งชาติที่เป็นแม่บท
โรงเรียนเทศบาล 5 (บดินทรเดชาประ สิทธิ์) สังกัดเทศบาลเมืองปราจีนบุรี อ.เมือง เป็นสถานศึกษาเล็กๆ ที่โดดเด่นน่าจับตามองในการจัดการศึกษาที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลางให้เป็นคนดี คนเก่ง เรียนรู้อย่างมีความสุขอย่างแท้จริง

ด.ญ.อภิระมณ พูลธนพันธุ์ ประธาน นักเรียน อายุ 12 ปี บอกว่า โรงเรียน คณะครู เพื่อนๆ และน้องๆ กว่า 140 คน ตั้งแต่ระดับอนุบาล-ป.6 จะร่วมกันเข้าวัดทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ ที่วัดแจ้ง ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงเรียน โดยนักเรียนนำปิ่นโตใส่ข้าว อาหารคาว-หวาน ดอกไม้ธูป เทียนมาร่วม


ทำ ให้เรารู้จักการกราบพระ ไหว้บุคคล การกล่าวอาราธนาศีล อาราธนาธรรม การใส่บาตร การกรวดน้ำ ส่วนวันศุกร์จะรวมนักเรียนทุกระดับชั้นมาร่วมสวดมนต์ไหว้พระ พร้อมกับโรงเรียนได้นิมนต์พระมาเทศน์ สอนหลักธรรมเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน

ด.ญ.อภิระมณ เล่าอีกว่า แต่ละวันโรงเรียนได้จัดให้นักเรียนปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน 10 อย่าง เมื่อกลับบ้านแล้วให้นักเรียนบันทึกการปฏิบัติลงสมุดบันทึกความดี คือ สวดมนต์ก่อนนอน นั่งสมาธิ 15 นาที เก็บที่นอนตอนเช้า แต่งกายสุภาพ สมาทานศีล 5 ออมบุญ ช่วยงานบ้านและงานโรงเรียน อ่านหนังสือที่มีประโยชน์ กราบพ่อ-แม่ โดยให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ร่วมประเมินผล อันเป็นการสร้างวินัย ฝึกระเบียบ ร่วมกันระหว่างบ้านกับโรงเรียน

ส่วนช่วงหลังออกพรรษา จะนำนักเรียนร่วมทอดกฐินสามัคคี ปฏิบัติศาสนพิธี การแห่กฐินร่วมกับชุมชนและนำกล่าวอาราธนาศีล ถวายกฐิน ตลอดจนร่วมพิธีทางศาสนาอื่นๆ เช่น แห่เทียนเข้าพรรษา หรือปัดกวาดลานวัด ทั้งยังมีค่ายธรรมะวัยใสใจสะอาดในการปฏิบัติธรรมร่วมกันกับสถานศึกษาอื่นๆ

ด.ญ.อภิ ระมณ เล่าว่า กิจกรรมต่างๆ ที่ได้ร่วมปฏิบัตินั้นจะมีการรวบรวมเผยแพร่ข่าวสาร ข้อเสนอแนะผ่านหนังสือพิมพ์ทำมือ ที่ได้เขียนด้วยลายมือและภาพวาด และนำมาแปะแผ่นฟีเจอร์บอร์ดลักษณะหนังสือพิมพ์กำแพง สะท้อนผลงานและประชาสัมพันธ์กิจ กรรมที่ได้ทำแต่ละอย่างด้วย

"อยาก ให้ผู้ใหญ่เห็นความสำคัญของเด็กและเยาวชน การให้งบประมาณ หรืออุปกรณ์จัดการศึกษาให้มากขึ้น อาทิ อุปกรณ์การกีฬา อุปกรณ์การเรียนการสอน อยากให้ลงมาร่วมกิจกรรมกับเด็กและเยาวชนให้มากกว่าปัจจุบัน"

ด้านนาง ศิริวรรณ สัตยธีรานนท์ ผู้อำนวยการโรงเรียน กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าว เป็นการร่วมฟื้นฟูศีลธรรมสู่เด็กและเยาวชน ที่เป็นโครงการร่วมระหว่างโรงเรียน บ้าน วัดและชุมชนให้ศีลธรรมกลับคืนมา นอก จากวิชาการความรู้ที่เด็กพึงได้รับ โดยผลสำเร็จนี้เด็กและเยาวชนเป็นผู้ได้รับจากการจัดการศึกษาที่ครู สถานศึกษา ผู้ปกครอง ร่วมกันดูแล เป็นอีกนิมิตหมายของท้องถิ่นที่จะสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีคุณธรรมและศีลธรรม ขึ้นมา

กิจกรรมจัดการศึกษาและผลงานที่เด็กและเยาวชนได้ร่วมกับครู สถานศึกษา เป็นอีกบริบทแห่งการจัดการศึกษาโดยท้องถิ่นที่ดูแล้วไม่ธรรมดาเลย
ที่มา ข่าวสด
13  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ต้าน"โรคหวัด"..ด้วยอาหาร 7 อย่าง เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 12:11:25 pm
ต้าน"โรคหวัด"..ด้วยอาหาร 7 อย่าง


อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ดูเหมือนว่าคนใกล้ตัวจะเป็นหวัดกันมากขึ้น มาป้องกันหวัดด้วยวิธีง่ายๆ กับอาหาร 7 อย่างที่ช่วยต้านหวัด

1.โยเกิร์ต
ไม่ ว่าจะกินเปล่า ๆ หรือกินคู่กับซีเรียล และผลไม้ โยเกิร์ตก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตนับล้าน ที่ปกป้องร่างกายจากแบคทีเรียอันตรายและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่จะเข้ามาทำร้ายเรา พวกมันเหมือนกองทหารที่อยู่ในลำไส้ คอยขับไล่สิ่งแปลกปลอมที่คิดร้าย โดยกองทหารพวกนี้ มีชื่อคุ้นหูว่า 'โปรไบโอติกส์' ทั้งแล็กโตบาซิลลัส และไบไฟโดแบคทีเรียม ซึ่งจะไปเพิ่มเม็ดเลือดขาว ในร่างกายและป้องกันเชื้อโรคได้นั่นแหละ

2.ชา
เครื่อง ดื่มเพื่อสุขภาพ ยอดนิยมรองลงมาจากน้ำเปล่า ชาทั่วไปจะมีสารโพลีฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยฆ่าแบคทีเรีย ไวรัส และยับยั้งอาการอักเสบ นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังเชื่อว่าประโยชน์ส่วนหนึ่งของชาอยู่ที่ความอุ่น สำหรับคนที่เป็นหวัดแล้ว เครื่องดื่มหรือน้ำซุปอุ่น ๆ จะให้ความรู้สึกไหลลื่น และการสูดเอาไออุ่น ๆ จากชาเข้าไปก็จะช่วยให้โล่งจมูกได้มาก อย่างไรก็ดี การเติมนมลงไปในชา อาจทำให้ร่างกายของเราดูดซึมสารคาเตชินได้ไม่มากเท่าที่ควร ดังนั้น ถ้าอยากต้านหวัดจริง ๆ ก็ดื่มชาอุ่น ๆ ธรรมดาดีกว่านะ

3.หอยนางรม
อย่า เอ็ดไป แต่เขาบอกว่า หอยนางรมคือยาปลุกพลังชั้นดีที่สุดที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพราะสังกะสีที่มีอยู่ในหอย จะช่วยปลุกฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนให้แก่ทั้งชายและหญิง หุหุ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ประเด็นอยู่ที่ว่า สังกะสีช่วยปกป้องเราจากหวัดและไข้หวัดใหญ่ได้ต่างหาก มันจะทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดีขึ้น เพื่อตักจับและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย

แต่ทั้งนี้ FDA เขาก็เตือนมาว่าอย่ากินสังกะสีเกินวันละ 11 มิลลิกรัม ไม่งั้นมันจะเป็นพิษ โดยหอยนางรมตัวปานกลางหนึ่งตัวจะมีสังกะสีมากถึง 12.7 มิลลิกรัม มากกว่าปริมาณที่สาว ๆ ต้องการในหนึ่งวันอีกนะ ดังนั้น 1 วัน 1 ตัว ก็พอแล้วจ้า

4.ขมิ้น
ใคร นึกไม่ออกว่าจะกินขมิ้นอย่างไรก็ควรจะลองกินแกงกะหรี่สีเหลืองดู และสาเหตุที่ขมิ้นมีสีเหลืองออกทองก็เป็น เพราะสารเคอร์คิวมินซึ่งเป็นโพลิฟีนอลตัวหนึ่งนี่เอง โดยการศึกษาในปี 2008 จาก Biochemical and Biophysical Research Communications ชี้ว่าสารเคอร์คิวมินนี้ช่วยไม่ให้เกิดการอักเสบในร่างกายได้ สำหรับผงขมิ้นแล้ว ถ้าใช้ภายนอกจะมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้ออีกด้วย...วิเศษสุด ๆ

5.พริกหวานสีแดง
ถ้า เทียบกันแบบนักมวยกิโลฯ ต่อกิโลฯ พริกหวานสีแดงมีวิตามินซีมากกว่าผักและผลไม้อื่น ๆ ถึงสองเท่า วิตามินซี เป็นที่รู้จักดีในฐานะวิตามิน เพื่อดูแลผิวพรรณ ดังนั้น เมื่อผิวพรรณแข็งแรง ก็เท่ากับว่าปราการด่านแรกของร่างกายแข็งแรงไปด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวและการสร้างแอนตี้บอดี้ด้วย

6.ฟักทอง
ท่อง กันมาตั้งแต่เด็กว่าฟักทองมีวิตามินเอ และวิตามินเอนี่ล่ะที่ช่วยให้เซลล์ แต่ละเซลล์ของเราสื่อสารกันได้อย่างปกติ (จึงช่วยป้องกันมะเร็งด้วย) การกินวิตามินเอเป็นประจำจะทำให้ทางเดินหายใจมีสุขภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งเหมาะกับหน้าหวัดเป็นอย่างยิ่ง แต่จุ๊ ๆ อย่าเพิ่งดีใจไป การกินวิตามินเอมากเกินไปไม่ดีเลยนะ มันอาจไปสะสมอยู่ในเซลล์ไขมัน และเมื่อมีมาก ๆ ก็เป็นอันตรายได้ ถ้าใครคิดอยากกินวิตามินเอจากแคปซูล ก็น่าจะลองกินฟักทองดีกว่านะ ปลอดภัยกว่ากันเยอะ

7.บร็อกโคลี่
สี เขียวเข้มสวยกับใบพุ่มใหญ่ ๆ คอยบอกใบ้ว่าบร็อกลี่ดีต่อสุขภาพของเรามาก ๆ บร็อกโคลี่เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลผักกาด ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย และเป็นแหล่งของวิตามินเอ ซี อี นอกจากนี้ ยังมีสารกลูโคไซโนเลต สังกะสี และซีลีเนียม ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานจากเชื้อโรคต่าง ๆ ขอแค่เพียง บร็อกโคลี่วันละหนึ่งถ้วย เราก็ได้วิตามินซี เท่าที่ต้องการในแต่ละวัน ป้องกันเชื้อโรค และอาการอักเสบภายในร่างกายได้
14  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แพทย์อึ้งพบ"ถั่ว" เติบโตในปอดคนไข้ เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 12:26:45 pm
แพทย์อึ้งพบ"ถั่ว" เติบโตในปอดคนไข้


     สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 12 ส.ค.ว่า นายรอน สวีเด็น ได้เข้าโรงพยาบาลหลังเกิดอาการเจ็บปอดมเด้วยอาการไม่ทราบสาเหตุ โดยเจ้าตัวคิดว่าตัวเอ็งเป็นมะเร็ง จึงได้เดินทางไปหาแพทย์เพื่อหวังจะเอ็กซ์เรย์ปอด ก่อนทั้งแพทย์และเขาต้องตะลึงเมื่อพบว่า อวัยวะดังกล่าวของเขา ปรากฎว่ามีถั่วเจริญเติบโตอยู่ โดยเติบโตมีขยายใหญ่ราว 1.25 ซม ทำให้แพทย์ต้องผ่าตัดเอาถั่วดังกล่าวออกมาจากปอดของผู้ป่วยรายนี้

     รายงานระบุว่า นายรอนต้องต่อสู้กับอาการภาวะพองลมในเนื้อเยื่อหรือถุงลมเป็นเวลานานหลาย เดือนและอาการเริ่มทรุดแย่ลงเรื่อยๆ ขณะที่แพทย์เชื่อว่า อาการดังกล่าวเป็นเรื่องประหลาด นายสวีเดนคงจะกินถั่วลงไปในท้อง แต่มันเกิดการผิดปกติและกลายเป็นเจริญเติบโตในปอดของเขา

ข้อมูลจากมติชนออนไลน์
15  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ครูบาธรรมชัย ธัมมชโย ฮือฮา... อีกแล้ว เกจิดังวัดแม่แตง ศพ20ปีไม่เน่า เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 11:40:10 am
ฮือฮา... อีกแล้ว เกจิดังวัดแม่แตง ศพ20ปีไม่เน่า

ฮือฮา... อีกแล้ว เกจิดังวัดแม่แตง ศพ20ปีไม่เน่า

ข่าวจา กนสพ.ข่าวสดรายวัน ของวันที่ 02 ธันวาคม พ.ศ. 2550 รายงานเรื่องพระสมศักดิ์ ปัญญาวโร รองเจ้าอาวาสวัดทุ่งหลวง วัดทุ่งหลวง ต.สันมหาพน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ได้เปิดวิหารให้ผู้สื่อข่าวได้เข้าชมสรีรสังขารของพระครูวรเวทย์วิสิฐ หรือครูบาธรรมชัย ธัมมชโย ซึ่งถูกบรรจุอยู่ในโลงแก้วรูปทรงแบบที่ใช้กับมัมมี่อียิปต์ พร้อมกับให้ดูกลไกของสถานที่เก็บศพของครูบาธรรมชัย ที่ได้เก็บศพของครูบาธรรมชัยมาจนครบ 20 ปี สภาพร่างหรือสรีระยังคงสภาพเดิมทุกส่วนกลายเป็นดินแข็งโดยไม่เน่าเปื่อยแต่ อย่างใด ซึ่งครูบาธรรมชัย ธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดทุ่งหลวง ได้มรณภาพไปตั้งแต่ วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2530 แล้ว สิริอายุ 73 ปี 6 เดือน พรรษา 53 เมื่อครูบาธรรมชัยมรณภาพลง ทางลูกศิษย์และคณะกรรมการวัดก็จัดพิธีการเก็บศพของครูบาธรรมชัยไว้ โดยได้สร้างห้องกระจกขึ้นมาภายในติดตั้งกลไกสำหรับทำความสะอาดศพไว้ และนำโลงแก้วโดยรูปทรงโลงแก้วนั้นจัดสร้างเป็นรูปทรงพีระมิดแบบเก็บศพของ มัมมี่ ประเทศอียิปต์ บรรจุร่างของครูบาธรรมชัย โดยใช้การหักเหของแสงช่วยในการรักษาศพให้คงสภาพ โดยแรกๆ หลังครูบาธรรมชัยได้มรณภาพและทำการบรรจุศพของครูบาธรรมชัยในโลงแก้วพีระมิด ก็มีการสร้างห้องกระจกอีกชั้นหนึ่งพร้อมระบบกลไกในการเคลื่อนย้ายศพขึ้นลง และภายในห้องกระจกได้นำรูปเหมือนหุ่นขี้ผึ้งของครูบาธรรมชัยตั้งไว้ และบริเวณฐานตั้งโลงแก้วนั้นจะมีสลักสามารถเคลื่อนศพของครูบาธรรมชัยขึ้นลง ได้


พระ สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ช่วงแรกประมาณ 1 เดือนก็จะเคลื่อนศพของครูบาธรรมชัยมาทำความสะอาดโดยใช้น้ำและน้ำยาวาสลี นเช็ดที่สรีระของครูบาธรรมชัย ต่อจากนั้นก็จะเป็น 3 เดือนทำครั้ง 6 เดือนทำครั้ง และ 1 ปี ทำครั้งหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ศพเกิดเน่าเปื่อย จนปัจจุบันนี้สรีระของครูบาธรรม
ชัย ไม่ต้องทำความสะอาดอีกเลยเวลาผ่านไป 20 ปี สภาพศพเริ่มแข็งกลายเป็นดินแข็งคงสภาพเดิมไว้ทุกอย่าง สรีระของครูบาธรรมชัย จากสีขาวเหลืองก็กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มและดำในที่สุดจนทุกวันนี้ อีกนานไปสภาพศพก็จะกลายเป็นหินไปในที่สุด

ในวันที่ 30 ธ.ค. นี้ จะเป็นวันครบรอบการมรณภาพของครูบาธรรมชัย ครบ 20 ปี ทางวัดจะได้ทำบุญสวดสืบชะตา-เสริมสิริมงคลแก่คณะศิษย์และศรัทธา บำเพ็ญกุศลครบรอบการมรณภาพ 20 ปี เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อบุพการี โดยจะอาราธนาพระเถรานุเถระ 60 รูป มาสวดธัมมนิยาม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ศรัทธาประชาชนได้กราบนมัสการสรีระของครูบาธรรมชัย




ด้าน นายวัลลภ นามวงศ์พรหม คณะกรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เรื่องการเก็บศพหรือสรีระพระเกจิชื่อดังไว้ไม่ทำการฌาปนกิจศพนั้น ในทางกฎระเบียบทั้งทางกฎหมายและระเบียบสงฆ์ไม่ได้มีการบังคับไว้ ทำให้ศรัทธาหรือกรรมการวัดเมื่อพระเกจิของวัดนั้นๆ ได้มรณภาพจึงได้ทำการเก็บศพไว้ จุดประสงค์มีอยู่ 2 อย่างคือหวังว่าจะให้ศรัทธานั้นมากราบไหว้และมาทำบุญที่วัดเพื่อหาปัจจัย เข้าวัดต่อไป เพราะตอนที่เกจิชื่อดังมีชีวิตอยู่ก็จะมีประชาชนเข้าวัดจำนวนมาก และเมื่อสิ้นพระเกจิ ศิษยานุศิษย์กลัวว่าจะไม่มีใครเข้าวัดแล้ววัดจะขาดปัจจัยจึงได้เก็บศพพระ เกจินั้นไว้ ใส่โลงแก้วและตั้งในวิหาร เพื่อหวังว่าศรัทธาจะกลับมาที่วัด อีกอย่างที่เก็บศพพระเกจิไว้เพื่อต้องการรำลึกถึงคุณงามความดี แต่มีส่วนน้อย ส่วนมากเพื่อหวังปัจจัยเพื่อมาบำรุงวัด จริงๆ แล้วเมื่อพระเกจิชื่อดังมรณภาพควรจะทำการฌาปนกิจแล้วเก็บกระดูกหรืออัฐิของ ท่านไว้ให้คนได้กราบไหว้บูชาจะดีที่สุด

สาเหตุอีกอย่างที่เหล่า ศิษยานุศิษย์และคณะกรรมการวัดเก็บศพพระเกจิของวัดนั้นๆ ไว้เพราะมีตัวอย่างวัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ มีหลวงปู่แหวนเป็นเจ้าอาวาส เมื่อสิ้นหลวงปู่แหวนและได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ปรากฏว่าหลังจากนั้นวัดก็ไม่มีประชาชนเข้าไป วัดขาดรายได้ เงินที่จะเข้าไปบำรุงสิ่งปลูกสร้างในวัดก็ไม่มี วัดถูกปล่อยให้รกร้าง หลายวัดที่มีพระเกจิชื่อดังเห็นเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่นั้นมาก็พากันเก็บศพพระเกจิชื่อดังของวัดตนเองไว้ไม่ยอมเผา เพราะกลัวจะเป็นอย่างวัดของหลวงปู่แหวนที่ไม่มีคนเข้าไปหรือไปน้อยมากจนทุก วันนี้ การที่คนจะเข้าวัดหรือไม่เข้านั้นขึ้นอยู่กับศรัทธาพระเกจิรูปนั้นๆ หากเป็นทางเมตตามหานิยมก็จะยั่งยืนคนจะศรัทธามาก หากเป็นแบบไสยศาสตร์เวทมนตร์รักษาคนไข้ วัดเหล่านี้หากสิ้นพระเกจิทุกอย่างก็จะจบไปด้วยพร้อมกับพระเกจิรูปนั้น

แพทย์ ประจำแผนกนิติเวช ร.พ.มหาราชนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เรื่องกรณีการเก็บศพไม่ให้ศพเน่าเปื่อยนั้น มีหลายวิธีซึ่งเป็นเทคนิคของทางการแพทย์ ตัวอย่างการใช้วิธีดองศพด้วยน้ำยา หากต้องการเก็บไว้นานๆ ให้คงสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด สำหรับกรณีพระเกจิชื่อดังที่เหล่าคณะศรัทธาหรือลูกศิษย์ที่เก็บศพท่านไว้ใน โลงแก้วนานๆ จนศพแห้งและไม่เน่าเปื่อยนั้น เพราะใช้วิธีให้อากาศแห้งและอุณหภูมิสม่ำเสมอ ประกอบกับพระสงฆ์ระดับเกจิส่วนมากนั้นจะผอมการถูกฉีดยากันศพเน่าครั้งเดียว ประกอบกับอยู่ในบริเวณจุดที่อากาศแห้งก็จะทำให้ศพไม่เน่า สภาพอากาศที่แห้งจะทำให้ศพแห้งไม่เน่าเปื่อย บางแห่งก็จะใช้วิธีนำไส้หรืออวัยวะภายในออกให้หมดเหลือแต่ร่างกายและเก็บไว้ ในโลงที่มีอากาศแห้งก็จะไม่เน่าได้เช่นกัน

ส่วนที่ทำเป็นโลงพีระมิด บรรจุศพลงไป โลงศพทรงพีระมิด ที่ทำขึ้นไม่ได้ช่วยให้ศพไม่เน่าแต่อย่างใด เป็นรูปทรงเพื่อความสวยงามหรือทำตามแบบเท่านั้น เป็นความเชื่อที่ผิดไม่ได้ส่งผลหรือมีผลต่อกระบวนการรักษาศพ การรักษาศพนั้นก่อนที่จะนำไปบรรจุลงโลงต้องทำให้ศพแห้งและอุณหภูมิจุดนั้น ต้องสม่ำเสมอ อากาศแห้งแล้วศพก็จะไม่เน่า จะแห้งไปตามกาลเวลาคงสภาพไว้จนศพดำและกลายเป็นดินแข็ง หากถูกกระทบด้วยของแข็งก็จะแตกสลายไปในที่สุด



จาก ข่าวดังกล่าว ทำให้เกิด 2 มุมมองขึ้น ฝ่ายหนึ่งก็จะว่า การที่ศพไม่เน่าเปื่อยนั้น เป็นการจงใจที่จะรักษาสภาพศพไว้ด้วยวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ ส่วนอีกฝ่ายก็เชื่อว่าเกิดจากความศักดิ์สิทธิ์จริง ในกรณีนี้ เราจะเห็นว่าทางวัดได้มีความตั้งใจที่จะเก็บรักษาศพตั้งแต่ต้น คือหลังจากมรณภาพใหม่ๆ ดังนั้นการคงสภาพของสรีรสังขารนี้จึงไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน ว่าเกิดจากอะไร ซึ่งวิธีการนี้ก็มีหลายวัดหลายสำนักที่มีวัตถุประสงค์การเก็บรักษาศพไว้ เพื่อให้บรรดาสานุศิษย์ได้กราบไหว้ต่อไปไม่ทำการฌาปนกิจตามปกติ แต่ในกรณีที่ทางวัดไม่ได้จงใจที่จะเก็บศพไว้ แต่เก็บเพื่อรอกำหนดการเผา เช่น 100 วัน 1 ปี อะไรทำนองนี้ จึงไม่ได้มีการกระทำที่เป็นการรักษาสภาพศพมากกว่าธรรมดา แต่เมื่อจะทำการฌาปนกิจจึงพบว่าศพไม่เน่าเปื่อย ก็จึงจะเก็บรักษาไว้ให้สานุศิษย์กราบไหว้ต่อไป อย่างนี้ก็จะมีประเด็นเดียวคือเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของท่านจริงๆ คือหลวงพ่อท่านละสังขารแล้ว แต่สังขารท่านไม่ยอมละโลกไปตามวัฏจักร กลับอยู่คงทนไม่เน่าเปื่อยอย่างศพคนธรรมดาสามัญ

ที่จริงการที่ศพไม่ เน่าเปื่อยนี้ ผมถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่ประการใด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับพระปฏิบัติ ที่บรรลุธรรมได้ขั้นหนึ่ง แม้เน่าเปื่อย หรือทำการฌาปนกิจไปแล้วอัฐิของท่าน ก็สามารถกลายเป็นพระธาตุ รูปพรรณต่างๆกันไปได้อีก ในเมืองไทยนี่จากอดีตมาจนปัจจุบัน สามารถนับรวมสรีรสังขารของพระเกจิอาจารย์ต่างๆได้ถึง 400-500 องค์ทีเดียว (ใครสนใจลองเข้าไปดูรายชื่อที่เวป : รวบรวมรายชื่อ พระที่ทิ้งสังขารไม่เน่า
http://board.dserver.org/r/ruttanatri/00000076.html ) เป็นพระที่อยู่ตามวัดทั่วประเทศ ทุกภาคทุกจังหวัดเลยก็ว่าได้ แต่พระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบนั้น ท่านไม่อวดอ้าง ไม่สร้างวัตถุมงคล ท่านให้แต่ธรรมะ อยู่อย่างสมถะ คนก็ไม่ชอบ ไม่ฮือฮาตอนเป็น แต่มาฮือฮาเอาตอนตาย... ก็สายเสียแล้ว! เพราะการฟังเทศน์ ฟังธรรม ทำบุญกับพระอริยสงฆ์นั้น ได้บุญมากจริงๆ ยิ่งกว่าการทำบุญใดๆ

ประวัติครูบาธรรมชัย

หลวง ปู่ครูบาธรรมชัย เกิดที่บ้านสันป่าสัก อ.เมือง จ.ลำพูน เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2457 บิดามารดาประกอบอาชีพทำนาและรับจ้าง ในช่วงที่ท่านเกิดมีถุงรกคลุมศีรษะออกมาคล้ายสวมหมวก ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ทราบข่าวต่างพากันมาดูมารกน้อย และร่ำลือกันไปว่า เมื่อเติบใหญ่ทารกน้อยนี้จะเป็นที่พึ่งแก่คนทั้งหลาย เพราะเป็นผู้มีบุญญาธิการมาโปรดชาวบ้านต่างพากันขนานนามทารกน้อยนี้ว่า "เด็กชายหมวก"

เด็กชายหมวกได้เข้าศึกษาในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนบ้านสันป่าสัก ด้วยความที่เป็นคนขยันหมั่นเพียร อ่อนน้อมถ่อมตน จนได้รับเมตตายกย่องเป็นนักเรียนตัวอย่างและเป็นหัวหน้าชั้นทุกปี จนอายุได้ 14 ปี จึงได้ตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสันป่าสัก โดยได้นามใหม่ว่า "กองแก้ว" มีครูบาคำมูล ธมฺมวงฺโส วัดบ้านตองเป็นพระอุปัชฌาย์

หลัง จากที่เดินทางเข้าสู่ร่มกาเสาวพักตร์ สามเณรกองแก้วได้ฝึกฝนสมถะ วิปัสสนากรรมฐานตามควรแก่เวลาและโอกาสอย่างสม่ำเสมอ จนสอบนักธรรมตรีได้เมื่ออายุ 19 ปี สอบ และสอบนักธรรมโทได้อีกในปีต่อมา จนถึงวันที่ 23 มีนาคม 2476 สามเณรกองแก้วได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยมีครูบาคำมูล ธมฺมวงฺโส เป็นพระอุปัชฌาย์ พระชัยยะเสนา วัดบ้านหลุกเป็นพระกรรมวาจา และพระคำปัน วัดทุ่งยาวเป็นพระอนุสาวนาจารย์ พร้อมพระสงฆ์ 50 รูป ณ วัดหนองหล่ม ต.ทุ่งยาว อ.เมือง จ.ลำพูน ได้รับฉายาว่า "ธมฺมชโย ภิกขุ"


พระ กองแก้ว รับหน้าที่เป็นครูสอนนักธรรมแก่สามเณรและสอนหนังสือแก่เด็กนักเรียนโรงเรียน สันป่าสักได้ 6 ปี จนทราบข่าวว่า ครูบาศรีวิชัย สิริวิชโย นักบุญแห่งล้านนาท่านได้มาสร้างวิหารอยู่ที่วัดจามเทวี พระกองแก้วจึงได้เดินทางไปกราบนมัสการมอบกายเป็นศิษย์ ขออยู่ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติสมถะวิปัสสนากรรมฐานจากครูบาศรีวิชัย พระกองแก้วได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติจากท่านครูบาศรีวิชัยที่วัดจามเทวีเป็น เวลา 1 ปี จากนั้นท่านจึงได้ออกเดินทางเพื่อไปปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น วัดร้าง ถ้ำคูหา ป่าช้า และสถานที่ชุกชุมไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด



กระทั่ง ปี พ.ศ.2491 ท่านได้เดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำตับเตา อ.ไชยปราการ และได้อยู่บุกเบิกพัฒนาจนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป จากนั้นได้มีศรัทธาญาติโยมบ้านทุ่งหลวงและบ้านหนองบัว อ.แม่แตง ได้พร้อมใจกันมานิมนต์ท่านให้มาพัฒนาสร้างวัดทุ่งหลวงและนิมนต์มาปฏิบัติ ธรรมจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งหลวง ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งหลวง หลวงปู่ครูบาธรรมชัยได้เดินลัดข้ามทุ่งนามาปฏิบัติกรรมฐานที่บริเวณวัดร้าง ที่บ้านหนองบัว ซึ่งแต่เดิมเป็นวัดร้างชื่อ "วัดสามเศรษฐี" นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าวัดนี้น่าจะมีอายุราว 1,300 ปี หลวงปู่ได้บูรณะวัดร้างแห่งนี้เพื่อใช้สำหรับเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและฝึก กรรมฐาน โดยตั้งชื่อว่า "เมืองนิพพาน" อยู่บริเวณเนินเขามีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก บรรยากาศเงียบสงบเหมาะแก่การท่องเที่ยวพักผ่อนและฝึกบำเพ็ญภาวนา มีพระสถูปเจดีย์ 8 เหลี่ยมสูง 9 ชั้นภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุล้อมรอบด้วยคูน้ำ แต่ละมีห้องสำหรับนั่งวิปัสสนาสมาธิ 51 ห้อง





บริเวณ ห้องโถงชั้นล่างเป็นสถานเพื่อการสักการะและแสดงพระธรรมเทศนา มีภาพเขียนพระพุทธประวัติ ภาพเขียนปางชนะมาร ภาพปริศนาธรรม พระพุทธรูปต่าง ๆ รวมถึงรูปปั้นของพระเกจิชื่อดัง นอกจากนั้นยังมีตู้แสดงเครื่องอัฏฐบริขารของหลวงปู่ครูบาธรรมชัย ภายในบริเวณกว่า 40 ไร่นั้น ร่มรื่นไปด้วยหมู่พรรณไม้ยืนต้น ทั้งไม้ดอกไม้ประดับ ทั้งยังมีไม้หายากและสมุนไพร สมดั่งเจตนารมย์ของหลวงปู่ที่ต้องการให้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ปฏิบัติ ธรรมเพื่อจรรโลงให้ไว้เป็นศาสนาสมบัติทางพระพุทธศาสนาต่อไป ทว่าน่าเสียดายที่การก่อสร้างพระสถูปเจดีย์ยังไม่แล้วเสร็จ หลวงปู่ครูบาธรรมชัยท่านก็ได้ละสังขารด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2530 รวมอายุ 83 ปี 62 พรรษา ท่ามกลางความโศกเศร้าของศิษยานุศิษย์


ที่มา : ข่าวสดรายวัน
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd01ERXhNVEF5TVRJMU1BPT0=§ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd055MHhNaTB3TWc9PQ
และ
http://www.chiangmainews.co.th โดยนายจักรพงษ์ คำบุญเรือง
16  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กล(โกง)ร้านกล้อง อ่านเถอะครับจะได้ไม่ถูกหลอกแบบ....ป๋ม เมื่อ: ธันวาคม 28, 2010, 04:53:35 pm
กล(โกง)ร้านกล้อง
ในวงการร้านขายกล้อง ก็มีการแข่งขันกันสูงมาก กำไรก็น้อยลง ผู้บริโภคก็ฉลาดขึ้น หันมาเช็คราคาของก่อนไปซื้อเป็นอย่างดี ทำให้กรณี?ต้มหมู? เหมือนสมัยยุคก่อนๆทำได้ยากมาก ผมเคยไปแอบดูร้านของเพื่อนที่มันขายกล้องอยู่ คุณเชื่อไหม ว่ากล้องบางรุ่นกำไร 2-3 ร้อยบาทเท่านั้นเอง เทียบกับราคากล้องที่เหยียบหลักหมื่นกันทั้งนั้น คุณลองคิดดูว่าถ้าขายไม่ออกซักตัว 2 ตัวก็ลำบากแล้ว(น่าเห็นใจ) แต่ในเรื่องนี้ผู้บริโภคอย่างเราไม่เกี่ยว(ก็อยากเปิดร้านขายเองนี่หว่า ตูไม่ได้บังคับซักหน่อย) แต่ที่เกี่ยวก็คือกลยุทธหลอกลวงผู้บริโภคแบบหลอกลวงนี่ซิที่ผมยอมไม่ได้ และต้องมาแฉให้ทุกคนได้รู้ไว้


กลยุทธที่ผมเคยเจอมาเอง(สมัยยังเป็นหมูให้เค้าเชือด) และจากที่ได้ยินได้ฟังมาพอจะสรุปเป็นข้อๆได้ดังนี้
1.แสดงราคาขายไว้ แต่เป็นราคาที่เอาอุปกรณ์มาตรฐานออก
ข้อนี้เรามักจะเจอกันอยู่บ่อยๆ แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าร้านดังๆหลายๆร้านเคยใช้วิธีนี้ จริงๆแล้วโดยปกติถ้าเป็นกล้องรุ่นเดียวกัน ทางตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย จะแถมอุปกรณ์มาตรฐานมาให้เหมือนกันทุกร้านอยู่แล้ว เช่น รุ่นนี้จะแถม memory เท่าไหร่ แบตเตอรี่หรือกระเป๋ากล้องมีมั๊ย แต่เนื่องจากในยุคที่อินเตอร์เนตเข้ามามีผลกับชีวิตประจำวัน คนที่จะซื้อกล้องเป็นจำนวนมากจะเช็คราคากล้องผ่านระบบ internet ก่อน ว่าร้านไหนถูกสุด จึงทำให้มีบางร้านที่หัวใส (แถวบ้านผมเรียกขี้โกง) ใส่ราคาไว้ใน internet ราคาถูกกว่าชาวบ้าน แต่พอไปถึงร้าน กลับบอกว่า ต้องซื้อโน่นเพิ่มบ้าง นี่เพิ่มบ้าง หรือแถมน้อยกว่าชาวบ้านบ้าง ทั้งที่ร้านอื่นแถมให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน(หมายถึงบริษัทแม่แถมมาให้อยู่ แล้ว) พอรวมๆราคาแล้ว ราคาแพงกว่าชาวบ้านเค้าซะงั้น แต่ทำไงได้ละว่ะ ก็มาถึงร้านแล้วนี่ ยังไงก็ต้องซื้อ
สำหรับวิธีการแก้ไขสำหรับกรณีนี้คือ ก่อนจะไปซื้อเช็คให้ดีก่อนหลายๆร้าน โทรศัพท์ที่มีนะใช้ให้เป็นประโยชน์ เช็คให้ดีว่ารุ่นนี้เค้าแถมอะไรบ้าง เท่าไหร่ ที่สำคัญคือ
-? Memory แถมเท่าไหร่? 32,64,128 , 256 หรือ 512 เช็คให้ดี ถามให้ชัดเจนว่า ?แถม? หรือต้องซื้อเพิ่ม โดยส่วนใหญ่(99%)กล้องดิจิตอลทุกรุ่นจะมีแถมมาด้วยอยู่แล้ว จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง
- Battery แถมรึเปล่า ซึ่งอันนี้ก็ไม่แน่บางรุ่นก็ไม่แถม โดยเฉพาะรุ่นที่ราคา ไม่ถึง 12,000 นี่ไม่ค่อยแถมครับ ต้องซื้อเพิ่ม
- กระเป๋า อันนี้ก็แล้วแต่รุ่นเหมือนกัน บางทีทางร้านก็แถมของทางร้านเองให้
- ขาตั้งกล้อง อันนี้ไม่ค่อยแถมครับ ส่วนใหญ่จะเป็นของทางร้านเอง (ซึ่งส่วนใหญ่ก็แถมของโหล ใช้งานไม่ค่อยได้)? หรือถ้ามีแถมมาจากผู้ผลิต ก็จะเป็นอันเล็กๆ เหมาะจะเอามาประดับซะมากกว่า
แต่หากไปถึงร้านแล้วปรากฏว่า ไม่เป็นอย่างที่พูด หรือเห็นว่าเข้าข่าย ?หลอกกันนี่หว่า? แล้วละก็ วิธีการเดียวคือ ?กลับ? ครับ อย่าไปซื้อของมัน ถ้าไม่อย่างนั้นเท่ากับเป็นการส่งเสริมไอ้พวกนี้ให้ได้ใจใหญ่เลย
2.แสดงราคาขายที่เป็นราคาเครื่องหิ้ว แต่เขียนให้เข้าใจผิดว่าเป็นราคาเครื่องศูนย์
กำไรของการขายเครื่องหิ้วและเครื่องศูนย์ต่างกันพอสมควรครับ อีกอย่างเครื่องศูนย์ มักจะมีการกำหนดราคาขายมาตายตัวมาจากบริษัทแม่(บางบริษัท นะครับ ไม่ใช่ทุกยี่ห้อ) ว่าให้ขายราคาเท่ากันหมด ทำให้ตัดราคาขายไม่ได้ จึงมีบางร้านหัวใส(อีกแล้ว) ใส่ราคากล้องไว้ในเว็บว่าราคาของตูถูกกว่าเป็นพันบาท แต่พอไปถึงร้านแล้ว ขอโทษ ไม่ใช่เครื่องศูนย์ครับ เป็นเครื่องหิ้ว(เรียกอีกอย่างว่าหนีภาษีนั่นเอง) อันนี้ก็เจอบ่อยครับ โดยเฉพาะจ้าวใหญ่ๆที่มีการหิ้วกล้องเข้ามาขายเอง แล้วโฆษณาว่า?ถูกที่สุดในประเทศไทย? นี่แหละ ตัวดีเลย
วิธีแก้ก็เหมือนเดิมครับ โทรเช็คก่อน ว่าราคานี่เป็นเครื่องหิ้วหรือเครื่องศูนย์ แล้วแถมอะไรบ้าง ซึ่งเดี๋ยวนี้ราคาไม่ต่างกันมากครับ โดยเฉพาะถ้ารวมราคาของแถมด้วยแล้วละก็ บางรุ่นเครื่องศูนย์ราคาถูกกว่าก็ยังมีเลย
3.ขายเครื่องหิ้ว ในราคาเครื่องศูนย์
อันนี้ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงพอสมควร เพราะสามารถเรียกได้ว่าโกงอย่างเต็มปาก จึงไม่ค่อยเห็นร้านไหนทำเท่าไหร่ นอกจากหน้าตาคุณจะละม้ายคล้าย หมู(น่าต้ม) หรือ ลา(โง่) นั่นแหละ อาจจะมีโอกาสเจอได้
วิธีแก้ไขข้อนี้ไม่ยากครับ ดูใบรับประกันให้ดี(ดูว่าเป็นใบรับประกันของแท้ด้วยนะ ไม่ใช่ใบรับประกันทำเอง) ให้หมายเลขเครื่องตรงกับในใบรับประกันเป็นพอ
?
4.ใส่ราคาไว้ถูกกว่าชาวบ้าน แต่ถึงเวลาไปจริงๆไม่มีของ แต่เชียร์รุ่นอื่นแทน
อันนี้บอกยากเหมือนกันครับ ว่าเจตนาเป็นยังไง บางที่เค้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณหรอกครับ อย่างที่บอกว่ากล้องเดี๋ยวนี้กำไรไม่ได้มากมายอะไร ถ้าเทียบกับราคากล้อง ร้านส่วนใหญ่จึงมี stock ของเก็บไว้ไม่กี่ตัว โดยเฉพาะรุ่นที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมด้วยแล้ว บางร้านก็ไม่มีติดไว้ที่ร้านเลย แล้วถ้าจู่ๆคุณไปที่ร้านเค้าเลยแล้วเค้าบอกว่าของไม่มี หรือหมด คุณจะไปบอกว่าเค้าหลอกลวง มันคงไม่ใช่ แต่ที่จะเข้าข่ายหลอกลวงคือเค้าตั้งใจให้คุณไปที่ร้านแล้ว หว่านล้อม ชักแม่น้ำทั้ง 7 ให้คุณซื้อรุ่นอื่น(ซึ่งเค้าอาจจะได้กำไรดีกว่า) อันนี้ก็ต้องถือว่าไม่ถูกต้องนัก
วิธีการแก้ไขก็ไม่อยากเช่นกันครับ โทรศัพท์(อีกเช่นเคย) ไปถามเค้าก่อนว่ารุ่นนี้มีมั๊ย แล้วนัดเค้าให้ดีว่าวันไหนจะเข้าไปเอา ที่สำคัญอย่าลืมทิ้งเบอร์ไว้ให้เค้าด้วย ในกรณีที่ของหมดหรือไม่มีของกระทันหันให้เค้าโทรมาแจ้งเรานิดนึงจะได้ไม่ เสียเวลา
5.โจมตีคู่แข่ง ยกหางร้านตัวเอง
เมื่อคู่แข่งมีมาก ตลาดยังมีเท่าเดิม วิธีการที่ร้านกล้องบางแห่งเลือกใช้คือ?โจมตี ป้ายสี ?ร้านคู่แข่ง และยกหางร้านตัวเองขึ้นมา โดยเฉพาะชุมชนที่มีผู้ใช้กล้องมารวมกันเยอะๆ เช่น ในเว็บ Pantip หรือ เว็บ Taklong พวกนี้จะใช้วิธีให้คนของตนสมัครสมาชิกไว้หลายๆชื่อ หลังจากนั้น ก็จะคอยดูกระทู้ที่มีคนเข้ามาถามเกี่ยวกับการซื้อกล้อง แล้วก็จะตอบว่า ?ร้าน....บริการดีครับ? ?ไปที่ร้าน.....ซิ ดีครับ ผมเคยซื้อมาแล้ว? อะไรทำนองนี้ครับ ส่วนใหญ่พวกที่มาตอบแบบนี้ 80% จะเป็นพวกหน้ายาว(เหมือนม้า)ครับ ซึ่งสำหรับกรณีนี้ยังพอให้อภัย แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อว่าร้านคู่แข่งอย่างเสียๆหายๆ แต่งเรื่องที่ไม่เป็นความจริงขึ้นมา น้ำเน่ายิ่งกว่าละครหลังข่าวเสียอีก ทั้งที่จริงแล้วร้านที่มาโพสว่าคนอื่นเนี่ย อาจจะ?ห่วย?ที่สุดก็ได้
อันนี้เราคงไม่ต้องแก้ไขหรอกครับ แต่จำไว้ในใจก็พอว่า?อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ?ครับ โดยเฉพาะในสื่อ internet ที่ไม่เห็นว่าใครเป็นใครเนี่ย ลองหาข้อมูลแบบอื่นๆดูบ้าง โทรไปคุยกับทางร้านดูก็ได้ ผมว่าร้านดีๆเค้าก็พร้อมที่จะให้คำปรึกษาครับ
?
?
ที่มา http://www.klongdigital.com
17  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ถ้าขึ้นกรรมฐาน แต่ไม่ต้องการปฏิบัติ ห้องที 1 ได้หรือป่าวครับ เมื่อ: ธันวาคม 12, 2010, 10:18:57 am
คือผมมีความสนใจ เรื่องการฝึก กสิณ ครับ

แต่ต้องการฝึก กสิณ ในแนวทาง กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ครับ

 ถ้าขึ้นกรรมฐานแล้ว ขอเรียน กสิณ เลยได้หรือป่าวครับ

   :25: :25: :25:
18  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สมาขิกธรรม ดูไปแล้วห้ามหัวเราะนะครับ กับเมลชื่อว่า "อลังการงานส้วม" เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 01:10:49 pm
19  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "ลอยโคม" .. ความเชื่อของคนล้านนา ไม่ใช่ "โคมลอย" ใกล้ลอยกระทงแล้ว เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 02:52:55 pm

   
ลอยโคม ความเชื่อของคนล้านนา





< วัฒนธรรม ความเชื่อของคนไทยในแต่ละภาค มีความแตกต่างกัน ตามลักษณะชีวิตความเป็นอยู่ค่ะ ดังเช่นประเพณีลอยโคมของชาวล้านนา ซึ่งในดินแดนสิบสองปันนาตอนเหนือของประเทศไทย

ประชาชน นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ผสมผสานกับการนับถือผีบรรพบุรุษ ลัทธิถือผีฟ้า ผีดิน ที่เรียกว่า ปู่แกน ย่าแกน มีการประดิษฐ์โคม และพิธีลอยโคม เพื่อเป็นการบูชาตามลัทธิประเพณีนี้มีการสืบทอดกันมา เมื่อมีการอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน


ลอยโคม ความเชื่อของคนล้านนา


ที่มีความเชื่อว่าเมื่อปล่อยโคมขึ้นฟ้า เป็นการปล่อยความทุกข์โศกและเรื่องราวร้ายๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ให้พ้นออกไปจากตัว และถือว่าเป็นการบูชาบรรพบุรุษแสดงความกตัญญู กตเวที

เดิมประเพณีนี้ เจ้าผู้ครองนครจะจัดขึ้นเพื่อสังเวยเทพยดาอารักษ์ บูชากุมภัณฑ์ และมีพิธีเข้าทรงผีเจ้านาย เพื่อสอบถามว่า ฝนฟ้าจะอุดมสมบูรณ์ และชะตาบ้านเมืองจะดีหรือไม่ หากชะตาของบ้านเมืองไม่ดี

ก็ จะจัดพิธีสืบชะตาเมืองเพิ่มขึ้นด้วย และปัจจุบันได้เพิ่มการทำพิธีทางพุทธศาสนาเข้ามาอีกอย่างหนึ่ง โดยการแห่พระพุทธรูปคันธารราษฎร์ (พระเจ้าฝนแสนห่า) รอบเมือง และจะนำมาประดิษฐาน ณ วัดเจดีย์หลวง

เพื่อให้ชาวเมืองสรงน้ำ จากนั้นพระสงฆ์ 9 รูป จะเจริญพระพุทธมนต์บูชาเสา อินทขีล ซึ่งฝังอยู่ใต้ดิน การประกอบพิธีนี้ เพื่อมุ่งเสริมสร้างขวัญและกำลังใจของชาวเมืองก่อนที่จะเริ่มต้นฤดูกาลเพาะ ปลูก
20  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คนเป็นเอดส์ บวชได้ หรือป่าวครับ เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 07:47:10 pm
คุณคิดยังไงกับคนที่รู้ว่าตัวเอง ติดเชื้อเอดส์แล้วมาบวช

คือรู้ว่าตัวเองเป็นอยู่แล้ว ก็ยังจะบวชโดยที่ คณะสงฆ์ ไม่ทราบว่าเป็น เอดส์

 :smiley_confused1: :smiley_confused1:
21  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ภาพถ่าย ที่มีประวัติศาสตร์กับความแตกต่าง และความตาย เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 11:38:28 am
สุดยอด 12 ภาพ สะเทือนโลก
 
Timothy H. O’Sullivan – Battle of Gettysburg
ธีโมธีท์ เอช. โอ ซัลลิแวน – ภาพสมรภูมิ แห่ง เกตติเบิร์ก

ภาพ ถ่าย นี้ได้แสดงความเหมือนของสมรภูมินองเลือดระหว่างสมรภูมิแห่ง เกตติเบิร์ค และสมรภูมิสงครามกลางเมืองแห่งสหรัฐ บันทึกภาพไว้โดย ธีโมธีท์ เอช. โอ ซัลลิแวน ในบันทึกสารคดีแห่งสมรภูมิ ภาพนี้ได้ถ่ายทอดห้วงอารมณ์ที่หลากหลาย และตีแผ่ช่วงเวลา แห่งสงครามกลางเมืองให้แก่ผู้ที่ได้เห็นภาพในครั้งแรก หรือผ่านประสบการณ์นั้นมา อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่การแพร่ภาพอย่างกว้างขวาง และภาพนี้ก็ยังเป็นภาพที่ไม่เคยมีการนำเสนอมาก่อน ภาพถูกทำให้เหมือนการพิมพ์ในสมัยโบราณ แต่ภาพได้แสดงถึงการตายหมู่ของทหารในสมรภูมิ และภาพได้ทำการบันทึกส่วนหนึ่งถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์

 
Lawrence Beitler – Lynching
ลอเรนซ์ เบลท์เลอล์  - ศาลเตี้ย

ลอเรนซ์ เบลท์เลอล์  ได้บันทึกภาพนี้ไว้เมื่อ วันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1930 ภาพ แสดงถึงการประชาทัณฑ์ ชอง โธมัส ชิปป์ และ อาร์บ สมิธ มันถูกขายออกไปกว่าพันสำเนา โดย เบลท์เลอล์ ที่ใช้เวลาตลอด 10 วัน 10 คืนในการพิมพ์มันออกมา  ภาพกลายเป็นสัญลักษณ์กล่าวขานสืบเนื่องต่อมาเป็นเวลาหลายปี ถึงความเด่นในแง่มุมของการจดจำ ถึงการถูกประชาทัณฑ์ศาลเตี้ย ซึ่งในเวลานั้นเหมือนมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ประจำวัน  ภาพนี้ต้องการแสดงถึงยุคก่อนสงครามกลางเมืองเท่านั้น  ภาพแสดงถึงผู้คนพยายามเลี่ยงสายตาจากภาพการลงทัณฑ์ ด้วยอารมณ์อันหลากหลาย ระคนด้วยความโกรธและความสะใจ  ภาพนี้ได้รับความนิยม และได้ถูกนำมาเป็นแรงบันดานใจในการเขียนกลอน และแต่งเพลงในช่วงหลายปีต่อมา

 
Joe Rosenthal – Raising the Flag on Iwo Jima
โจ โรเซนไทล์  - การอัญเชิญธง ณ อิโวจิม่า

ภาพ อัญเชิญธง ณ อิโวจิมา ถูกบันทึกไว้เมื่อ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 โดย โจ โรเซนไทล์ ได้บันทึกภาพ นาวิกโยธินสหรัฐและ นาวาอากาศสหรัฐ 5 นาย ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งทหารเสนารักษ์ กำลังพยายามปักธงบนยอดเขา ซึริบาฉิ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ณ อิโวจิมา  ภาพนี้ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในปีเดียวกัน นอกจากการได้บันทึกช่วงเวลานี้เป็นภาพ แต่ยังเป็นหมายเหตุให้กับสหรัฐด้วย ถึงการจดจำและการบันทึกภาพเหตุการณ์ในช่วงต่างๆ

 
Alberto Korda – Che Guevara
อัลเบอโต คอร์ดา - เช กูวารา นายแพทย์นักปฏิวัติ

อัล เบอโต คอร์ดา กับภาพที่โด่งดังภาพหนึ่งในการปฏิวัติ มาร์คซิส ของ เช กูวารา ชื่อ เกอริโลโร ฮิรอยโค่ หรือ ฮีรอย เกอริล่า ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ในศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นอนุสรณ์การระเบิดแห่ง ลา คูบร์ ภาพได้ถูกบันทึกมาร่วม 31 ปีมาแล้ว แต่ก็ยังนำภาพสัญลักษณ์นี้มาแสดง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืด รอยสัก และบนกำแพง ซึ่งพบเห็นได้ทั่วโลกถึงความเป็นประวัติศาสตร์ โคร์ดา ตลอดชีวิตคอมมิวนิส และการสนับสนุนกลุ่มการปฏิวัติเพื่อประชาชนคิวบา ภาพแสดงออกถึงการเรียกร้องสิทธิ์ และภาพก็ยังแสดงออกถึงความขัดแย้งซึ่งยังคงมีอยู่ และดำรงอยู่

 
Eddie Adams – Nguyễn Ngọc Loan executing Nguyễn Văn Lém
เอ็ดดี้ อดัม

ภาพ สัญลักษณ์ที่ได้รับความนิยมในศตวรรษที่ 20 และ 21 อีกภาพหนึ่ง ของ เอ็ดดี้ อดัม ช่างภาพรางวัลพูลิตเซอร์ และภาพนี้ด้วยเช่นกัน เอ็ดดี้ อดัม มีชื่อเสียงในการถ่ายภาพบุคคลที่มีชื่อเสียงลงตามสือสิ่งพิมพ์มากมาย มีชีวิตในช่วงสงครามถึง 13 ครั้ง อย่างไรก็ดี ภาพที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็เห็นจะเป็นภาพในสงครามเวียดนาม อดัม ได้ขอขมาต่อผู้คนในบังคับบัญชาของ พันเอก นูเยน และครอบครัวของเขาถึงเหตุร้ายที่เกิดขึ้น และรางวัลเกียรติยศในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่

*ขยายความ The Photograph That Ended a War But Ruined a Life
"Murder of a Vietcong by Saigon Police Chief"
ไซ่ง่อน, เวียดนาม, โดย Eddie Adams, 1968

"ภาพ ถ่ายคืออาวุธที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในโลก" เอ็ดดี้ อดัมส์เคยเขียนประโยคนี้ไว้ และเข้าใจได้ไม่ยาก หากทราบที่มาและที่ไป ในปี 1968 เอ็ดดี้ ได้ถ่ายรูปตำรวจ ที่จ่อยิงศีรษะของนักโทษเวียดกง ที่ถูกใส่กุญแจมืออยู่ และภาพนี้ ได้รางวัลพูลิตเซอร์ ในปี 1969 ดูแล้วก็น่าสงสาร รันทดใจ ในชะตากรรมของผู้ตกเป็นเหยื่อ และอดดูถูกนายตำรวจตัวร้าย ผู้ลั่นไกมิได้ และทำให้นายพล Nguyen Ngoc Loan กลายเป็นผู้รายในสายตาชาวโลก และเป็นสัญลักษณ์ของความร้ายกาจ รุนแรง

แต่ อย่างที่พอจะเดากันได้ โลกนี้ไม่ใช่มีเฉพาะ ขาว-ดำ, ถูก-ผิด อย่างที่เอ็ดดี้ได้เสนอไว้ในภาพนี้ เบื้องหลังก็คือ ผู้ที่ถูกยิง เป็นหัวหน้าหน่วยล่าสังหาร ของฝ่ายเวียดกง ที่วันนี้เพิ่งฆ่าหมู่ชาวบ้านที่ไม่มีอาวุธ และไร้ทางต่อสู้นับสิบคน ส่วนนายพล Loan ท่านนั้น ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากมายจากภาพนั้น ถูกไล่ออก โรงพยาบาลทหารผ่านศึกก็ปฏิเสธที่จะรักษาท่าน และเมื่อเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ก็ถูกต่อต้าน และต่อว่าเปิดร้านอาหารในอเมริกา ก็ต้องถูกบังคับให้ปิด และมีชีวิตที่ยากลำบาก ตลอดชีวิตที่เหลือ ในภายหลัง เอ็ดดี้ ได้แถลงขออภัย ต่อนายพล Loan  ที่ได้ถ่ายทอดภาพออกมาในลักษณะนั้น "ท่านนายพลได้สังหารเวียดกงด้วยปืน แต่ผมกลับสังหารท่านด้วยกล้อง"
 
Moon Landing
การลงจอดบนดวงจันทร์

ภาพ หนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการกล่าวขาน และการโต้เถียงมากมาย ภาพการลงจอดบนดวงจันทร์  เป็นการประกาศถึงบทสำเร็จทางวิศกรรมของมนุษยชาติ โดยอีกนัยหนึ่งเป็นการวิพากวิจารณ์ถึงการหลอกลวงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  มีความสงสัยต่อข้อเท็จจริงในภาพถ่าย ซึ่งได้รับการวิจารอย่างกว้างขวางในแง่ของการปลอมแปลงภาพ ด้วยคำถามว่า ทำไม และ อย่างไร  อย่างไรก็ตามข้อกล่าวหาต่างๆ ก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริง และความสงสัยก็ขยายออกเป็นวงกว้าง หลายๆ กรณีถูกกล่าวถึงในแง่ภารกิจที่สำเร็จลุล่วของมนุษยชาติ ที่สามารถส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ได้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ธงชาติสหรัฐได้ถูกปักลงเพื่อเป็นเกียรติภูมิแห่งความสำเร็จ และได้ชื่อว่าเป็น ผู้พิชิตอวกาศ และยังคงประกาศถึงมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ด้วย

 
Richard Drew – The Falling Man
ริชาร์ด ดริว – เดอะ ฟอลลิ่ง แมน

“เด อะ ฟอลลิ่ง แมน”  ถูกบันทึกภาพไว้โดย ริชาร์ด ดริว เมื่อเวลาเช้าของวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ณ เวลา 9.41.15 น.  เป้นภาพชายคนหนึ่งกำลังร่วงลงมาจากตึก เวิร์ดเทรดเซนเตแอร์  นครนิวยอร์ค ซึ่งไม่ทราบชื่อชายในภาพ หลายคนลงความเห็นว่า เป็นภาพที่รบกวนจิตใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นภาพที่อกสั่นขวัญแขวนต่อผู้ชมภาพ ที่แสดงเหมือนเป็นภาพลวงตา อย่างไรก็ตาม มีหลายคนวิจารย์ว่าทำไมคนถึงร่วงลงมาในแนวดิ่งแบบนั้น แต่ยังไงภาพนี้ก็เป็นเพียงภาพเดียวจากหลายๆ ภาพของการตกลงมา และภาพนี้ก็อาจเป็นภาพที่เขากำลังตีลังกาขณะร่วงลงมาจากตึกโดยปราศจากการควบ คุมก็เป็นได้

 
Huynh Cong Ut – Napalm Strike

Huynh Cong Ut หรือ Nick Ut ช่างภาพแนว Photojournalism จาก AP บันทึกภาพการทิ้งระเบิดนาปาล์มลงหมู่บ้าน Trang Bang โดยเครื่องบินของกองทัพอากาศเวียดนาม ในวันที่ 8 มิถุนายน 1972 เนื่องจากสงสัยว่าจะมีกองกำลังเวียดกง ซุ่มซ่อนอยู่ในหมู่บ้าน Kim Phuc อายุ 9 ขวบ วิ่งหนีออกจากหมู่บ้านมาตามถนน ในสภาพไม่มีทั้งเสื้อผ้า และเสียขวัญสุดขีด มาพร้อมกับพี่ชายอายุ 12 ปี ทางซ้ายสุดของภาพ น้องชายอายุห้าขวบที่วิ่งไป พร้อมกันเหลียวมองไปที่หมู่บ้าน และลูกพี่ลูกน้องอีกสองคนที่จูงมือกันวิ่งมาด้วย

" ...บรรณาธิการ AP ไม่ยอมให้ตีพิมพ์รูปของ Kim Phuc ที่กำลังวิ่งไปบนถนน โดยไม่ใส่เสื้อผ้า เพราะเป็นภาพที่เห็นด้านหน้าชัดเจน และนโยบายของ AP ในยุคนั้นจะไม่ตีพิมพ์ภาพเปลือย ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ และเพศใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพด้านหน้า โดยไม่มีข้อยกเว้น...การโต้เถียงผ่าน Telex อย่างดุเดือดกับสำนักงานใหญ่ของ AP ที่นิวยอร์ค ให้ยกเว้นกฎระเบียบ โดยมีข้อตกลงกันว่า จะต้องไม่มีภาพถ่ายใกล้ของเธอ เผยแพร่ออกไป Hal Buell บรรณาธิการภาพของ The New York ที่จะนำภาพไปตีพิมพ์ เห็นด้วยว่าคุณค่าของภาพข่าวนี้ มีเหนือกว่า แนวทางปฏิบัติใดๆ เกี่ยวกับภาพเปลือย" ...Nick Ut... ภาพนี้ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ ในปีนั้น

 
Stanley J. Forman – Fire on Marlborough Street
สแตนเลย์ เจ. ฟอร์แมน – ไฟไหม้ที่ถนนมาล์บอรอช

ใน วันที่ 22 กรกฏาคม ค.ศ. 1975 สแตนเลย์ เจ. ฟอร์แมน ได้ถ่ายภาพที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมได้ ในขณะเดินทางไปทำงานที่ ฮารอล บอสตัน เขาคลานข้ามรถดับเพลิงขึ้นมาเพื่อทำข่าวไฟไหม้ที่ถนนมาล์บอรอช ขณะที่คลานเข้ามาใกล้เหตุการณ์ หญิงสาว กับ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็ร่วงลงมาจากอพาร์ทเม้นท์ด้านบน หญิงสาวตายสนิททันที แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ รอดชีวิตมาได้ ภาพนี้ทำให้ฟอร์แมนได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ และยังสามารถนำภาพนี้ไปใช้ในการออกกฏหมายเกี่ยวกับอัคคีภัยในเมืองบอสตันอีก ด้วย

 
Tank Man – Jeff Widener
แทงค์ แมน – เจฟ วิเดนเนอร์

หลาย ภาพที่ได้รับการพิจารณา ให้เป็นภาพแห่งประวัติศาสตร์ คือ ภาพ แทงค์ แมน หรือ กบฏแห่งจลาจล เป็นพฤติกรรมที่กล้าหาญ และ ท้าทายเป็นอย่างมาก เป็นการถ่ายภาพหน้ากว้าง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่จตุรัสเทียนอันเหมิน ปักกิ่ง ในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1989  ในเหตุการณ์นี้เป็นสัญลักษณ์แห่งการจบสิ้นสงครามเย็น ภาพนี้ยังเป็นภาพที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในศตวรรษที่ 20 ด้วย
 
Mike Wells – Uganda
ไมค์ วอลล์ – อูกันด้า

นี่ เป็นตัวอย่างการถ่ายทอดอารมณ์และจิตนาการภาพหนึ่ง ภาพมิชชันนารีกำลังประคองมือของเด็กน้อยชาวอูกันดา  ภาพแสดงออกถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างมนุษย์ 2 คน ที่ได้รับทรัพยากรที่แตกต่างกัน ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา ช่างภาพ ไมค์ วอลล์ ถ่ายภาพนี้เพื่อแสดงถึงภาวะการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงในทวีปอัฟริกา เขาถ่ายภาพนี้เสนอนิตยสาร โดยไม่ได้รับการตีพิมพ์ถึง 5 เดือน ทำให้เขาต้องเข้าไปเจรจากำสำนักพิมพ์ด้วยตนเอง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถนำภาพเด็กอดอยากภาพนี้ลงในนิตยสารได้

 
Kevin Carter – Vulture Stalking a Child
เควิน คาร์เตอร์ – นกแร้งกำลังใกล้เข้ามา

ภาพ ที่ดูแล้วน่าตกใจนี้ เกิดขึ้นกับเด็กน้อยชาวซูดาน ที่กำลังถูกนกแร้งย่องเข้ามาใกล้โดยที่เค้าไม่รู้ตัว มันเป็นภาพที่น่าขนลุกมาก ที่เห็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ที่ ซาหาราน อัฟริกา เควิน คาร์เตอร์ ผู้ถ่ายภาพได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในภาพนี้ เควิน ได้ใช้เวลาไคร่ครวญอย่างมาก เขาใช้เวลาถึง 20 นาที กว่าจะถ่ายภาพได้ โดยไม่เข้าไปช่วยเด็ก หลังจากเขาได้ถ่ายภาพนั้น 3 เดือน เค้าตัดสินใจที่จะจบชีวิตของเขาตามไป รู้ไหมครับว่าทำไม?

*ขยาย ความ:...ภาพ ต่อมาที่เขาถ่ายนั้น เป็นวินาทีชีวิตของเด็กน้อยผู้หิวโหยหมดแรงฟุบลงผู้นั้น ที่ถูกนกแร้งจิกตีตายแล้วทึ้งกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหย โดยที่เขาไม่ได้ขยับเข้าไปช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย ...รางวัลพูลิตเซอร์ที่แลกมาด้วยของชีวิตเด็กน้อย ทำให้เขาไม่สามารถอภัยให้ตัวเองได้เลย
บอร์ด ขอนแก่น จ๊ะ
22  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ปล่อยวางตัวกู เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 11:24:50 am

ความตาย ไม่ว่าจะน่ากลัวอย่างไรในสายตาของคนทั่วไป ก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับ ความกลัวตาย ความตายหากวัดที่การหมดลมหรือหัวใจหยุดเต้น ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ความกลัวตายนั้นสามารถหลอกหลอนคุกคามผู้คนนานนับปีหรือยิ่งกว่านั้น ความกลัวเกิดขึ้นเมื่อไร ก็ทุกข์เมื่อนั้น จึงมีภาษิตว่า "คนกล้าตายครั้งเดียว แต่คนขลาดตายหลายครั้ง"

ความกลัวตายยังน่ากลัวตรงที่เป็นแรงผลักดันให้เราพยายามผลักไสความตายออกไปให้ ไกลที่สุด จนแม้แต่จะคิดถึง เรียนรู้ หรือทำความรู้จักกับมัน ก็ยังไม่กล้าทำ เพราะเห็นความทุกข์เป็นศัตรู ยิ่งเมื่อความตายมาอยู่ต่อหน้า แทนที่จะยอมรับ กลับปฏิเสธผลักไสสุดแรง แต่เมื่อไม่สมหวังก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งผลักไส ยิ่งผลักไสก็ยิ่งผิดหวัง ผลคือความทุกข์เพิ่มพูนเป็นทวีตรีคูณ หารู้ไม่ว่าหากยอมรับความตาย ความทุกข์ก็จะน้อยลงไปมาก บางคนที่รู้ว่าเครื่องบินกำลังตก รถกำลังพุ่งชนคันหน้า ในชั่วไม่กี่วินาทีที่เหลืออยู่ ทำใจพร้อมรับความตายโดยดุษณี ไม่คิดต่อสู้ขัดขืน ปล่อยวางทุกอย่าง กลับพบว่า จิตใจนิ่งสงบอย่างยิ่ง

คนเรากลัวตายด้วยหลายสาเหตุ กล่าวคือ ความตายนอกจากจะมาพร้อมกับความเจ็บปวด และทำให้เรา พลัดพรากไปตลอดกาลจากบุคคลและสิ่งอันเป็นที่รัก แล้ว ความตายยังหมายถึงการสิ้นสุดโอกาสที่จะได้เสพสุข ในยุคบริโภคนิยมซึ่งถือว่าการเสพสุขเป็นสุดยอดปรารถนาของชีวิต อย่าว่าแต่การหมดโอกาสที่จะได้ทำเช่นนั้นเลย แม้เพียงการไม่สามารถที่จะเสพสุขอย่างเต็มที่ จะเป็นเพราะความชรา ความเจ็บป่วย ความพิการ หรือความผันแปรของร่างกาย (เช่น เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ) ก็ตาม ถือว่าเป็นทุกข์มหันต์อันยากจะทำใจได้

อย่าง ไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้คนที่ไร้ญาติขาดมิตร ยากจนแสนเข็ญ และกำลังประสบทุกขเวทนาอย่างแรงกล้าเพราะป่วยหนักในระยะสุดท้าย จำนวนมากก็ยังกลัวตาย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นโอกาสเสพสุขแทบจะไม่มีเลย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะยังมีความหวังว่าจะหายป่วยและกลับไปเสพสุขใหม่ แต่อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะยังมีความหวงแหนในชีวิต แม้สิ้นไร้ไม้ตอกเพียงใดก็ยังมีชีวิตเป็นสมบัติสุดท้ายที่อยากยึดเอาไว้อยู่

มอง ให้ลึกกว่านั้นก็คือ ยังมีความยึด ติดในตัวตน แม้ไม่มีอะไรหลงเหลือในชีวิต แต่ก็ยังมีตัวตนให้ยึดถือ หากตัวตนดับสูญเสียแล้ว จะมีอะไรทุกข์ไปกว่านี้ ในอดีตอิทธิพลทางศาสนาทำให้ผู้คนเชื่อว่าแม้หมดลมแล้ว ตัวตนก็ยังไม่ดับสูญ หากยังสืบต่อในโลกหน้า หรือมีสวรรค์เป็นที่รองรับ จึงไม่หวาดกลัวความตายมากนัก ตรงข้ามกับคนสมัยนี้ ซึ่งไม่ค่อยเชื่อในโลกหน้าหรือชีวิตหน้าแล้ว ความตายจึงหมายถึงการดับสูญของตัวตนอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง แต่สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่ามีอะไรอยู่หลังความตาย ความตายก็ยังน่ากลัวอยู่นั่นเอง เพราะไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน อะไรที่เราไม่รู้ ดำมืด ย่อมเป็นสิ่งที่น่ากลัวอยู่เสมอ

ตราบใดที่ ความตายเป็นสิ่งลี้ลับแปลกหน้า มันย่อมน่ากลัวสำหรับเรา แต่เมื่อใดที่เราคุ้นชินกับความตาย มันก็ไม่น่ากลัวอีกต่อไป ความตายก็เช่นกัน การเตรียมใจรับมือกับ ความตายที่ดีที่สุดคือ การทำใจให้คุ้นชินกับมันเป็นเบื้องแรก เพื่อมิให้มันเป็นสิ่งแปลกหน้าสำหรับเราอีกต่อไป เราสามารถทำใจให้คุ้นชินกับความตายได้ด้วยการระลึกนึกถึงความตายอยู่เสมอ นั่นคือเจริญ "มรณสติ" อยู่เป็นประจำ

การเจริญมรณสติ คือ การระลึกหรือเตือนตนว่า

(1) เราต้องตายอย่างแน่นอน

(2) ความตายสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อ อาจเป็นปีหน้า เดือนหน้า พรุ่งนี้ คืนนี้ หรืออีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็ได้ เมื่อระลึกได้เช่นนี้แล้ว ก็ต้องสำรวจหรือถามตนเองว่า

(3) เราพร้อมที่จะตายหรือยัง เราได้ทำสิ่งที่ควรทำเสร็จสิ้นแล้วหรือยัง และพร้อมที่จะปล่อยวางสิ่งทั้งปวงแล้วหรือยัง

(4) หากยังไม่พร้อม เราควรใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ เร่งทำสิ่งที่ควรทำให้เสร็จสิ้น อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่า หาไม่แล้ว เราอาจไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งเหล่านั้นเลยก็ได้

ข้อ (1) และ (2) คือความจริงหรือเป็นกฎธรรมชาติที่เราไม่อาจปฏิเสธหรือขัดขืนต้านทานได้ ส่วนข้อ (3) และ (4) คือสิ่งที่อยู่ในวิสัยที่เราจะจัดการได้ เป็นการกระทำที่อยู่ในความรับผิดชอบของเราโดยตรง

การระลึก หรือเตือนใจเพียง 2 ข้อแรกว่า เราต้องตายอย่างแน่นอน และจะตายเมื่อไรก็ได้ หากทำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราตื่นตระหนกน้อยลงเมื่อความตายมาปรากฏอยู่เบื้องหน้า เพราะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ทันทีที่เราตระหนักว่าความตายจะทำให้เราพลัดพรากจากทุกสิ่งที่มีอยู่ อย่างสิ้นเชิง ในชั่วขณะนั้นเอง หากเราระลึกขึ้นมาได้ว่ามีบางสิ่งบางคนที่เรายังห่วงอยู่ มีงานบางอย่างที่เรายังทำไม่แล้วเสร็จ หรือมีเรื่องค้างคาใจที่ยังไม่ได้สะสาง ย่อมเป็นการยากที่เราจะก้าวเข้าหาความตายได้โดยไม่สะทกสะท้าน ยิ่งความตายมาพร้อมกับทุกขเวทนาอันแรงกล้า หากไม่ได้ฝึกใจไว้เลยในเรื่องนี้ ก็จะทุรนทุรายกระสับกระส่ายเป็นอย่างยิ่ง เพราะไหนจะถูกทุกขเวทนาทางกายรุมเร้า ไหนจะห่วงหาอาลัยหรือคับข้องใจสุดประมาณ ทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องทุกข์ทรมานอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ลำพังการ ระลึกถึงความตายว่าจะต้องเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว จึงยังไม่เพียงพอ ควรที่เราจะต้องพิจารณาต่อไปด้วยว่า เราพร้อมจะตายมากน้อยแค่ไหน และควรจะทำอย่างไรกับเวลาและชีวิตที่ยังเหลืออยู่ การพิจารณา 2 ประเด็นหลังนี้จะช่วยกระตุ้นเตือนให้เราไม่ประมาทกับชีวิต เร่งทำสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ให้แล้วเสร็จ ไม่ผัดผ่อนไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็เห็นความสำคัญของการฝึกใจให้ปล่อยวางบุคคลและสิ่งต่างๆ ที่ยังยึดติดอยู่

การเจริญมรณสติ รวมทั้งการฝึกตาย หากทำอย่างสม่ำเสมอมากเท่าไร จะมีผลดีต่อจิตใจมากเท่านั้น วิธีที่จะทำให้การฝึกตายเป็นไปอย่างสม่ำเสมอก็คือการทำให้เป็นส่วนหนึ่งของ ชีวิต "ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ" ได้เสนอแนะวิธีการการฝึกตายที่กลมกลืนไปกับการดำเนินชีวิต นั่นคือ "ตายก่อนตาย" หมายถึง ฝึกการตายจากกิเลส หรือตายจากการยึดมั่นในตัวตน คือทำให้ตัวตนตายไปก่อนที่จะหมดลม

ตัว ตนนั้นมิได้มีอยู่จริง หากเกิดจากการปรุงแต่งของใจ เมื่อเกิดความสำคัญมั่นหมายในตัวตนแล้ว ก็จะเกิดการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ตามมาว่าเป็น "ตัวกู ของกู" ไม่ว่าทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง ความสำเร็จ รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย ไม่จำกัดเฉพาะสิ่งที่พึงปรารถนา

แม้สิ่งที่ไม่พึงปรารถนาก็ยังอดยึดไม่ได้ว่าเป็น "ตัวกู ของกู" ด้วยเหมือนกัน เช่น ความโกรธ (ของกู) ความเกลียด (ของกู) ศัตรู (ของกู) ความยึดมั่นในตัวกูของกูนี้เองที่ทำให้เรากลัวความตายเป็นอย่างยิ่ง เพราะความตายหมายถึงการพลัดพรากสูญเสียไปจากสิ่งทั้งปวง และสิ่งที่เรากลัวที่สุดคือ พลัดพรากจากตัวตนหรือการดับสูญของตัวตน

เมื่อ ใดก็ตามที่เราสามารถปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ ความตายก็จะไม่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะจะไม่มีความพลัดพรากสูญเสียใดๆ เลย ในเมื่อไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ที่สำคัญที่สุดคือไม่มี "เรา" ตาย เพราะตัวเราไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยเหตุนี้การฝึกใจให้ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน จึงเป็นวิธีเตรียมตัวตายที่ดีที่สุด

"ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ" ได้แนะนำวิธีปฏิบัติหลายประการเพื่อการละวางตัวตน วิธีหนึ่งก็คือฝึก "ความดับไม่เหลือ"

กล่าวคือ ทุกเช้าหรือก่อนนอนให้สำรวมจิตเป็นสมาธิ แล้วพิจารณาให้เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นเรา หรือของเรา แม้แต่สักอย่างเดียว รวมทั้งพิจารณาว่า การ "เกิด" เป็นอะไรไม่ว่าเป็นแม่ เป็นลูก เป็นคนรวย เป็นคนจน เป็นคนดี เป็นคนชั่ว เป็นคนสวย เป็นคนขี้เหร่ ก็ล้วนแต่มีทุกข์ทั้งนั้น

"เกิด" ในที่นี้ท่านเน้นที่ความสำคัญมั่นหมายหรือติดยึดว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เมื่อเห็นแล้วให้ละวางความสำคัญมั่นหมายดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิด "ตัวกู" ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ (แต่การทำหน้าที่ตามสถานะหรือบทบาทดังกล่าวก็ยังทำต่อไป) เป็นการน้อมจิตสู่ความดับไม่เหลือแห่งตัวตน

เมื่อทำจนคุ้นเคย ก็นำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เมื่อใดที่ตาเห็นรูป หรือหูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส หรือจิตนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมา ก็ให้มีสติเท่าทันทุกคราวที่ "ตัวกู" เกิดขึ้น

นั่นคือ เมื่อเห็น ก็สักว่าเห็น ไม่มี "ตัวกู" ผู้เห็น เมื่อโกรธ ก็เห็นความโกรธเกิดขึ้น ไม่มี "ตัวกู" ผู้โกรธ เป็นต้น การปฏิบัติดังกล่าวเป็นไปเพื่อดับ "ตัวกู" ไม่ให้เหลือ ซึ่งก็คือ ทำให้ตัวกูตายไปก่อนที่ร่างกายจะหมดลม หากทำได้เช่นนั้นความตายก็ไม่น่ากลัวอีกต่อไป หรือกล่าวอย่างถึงที่สุด ความตายก็ไม่มีด้วยซ้ำ เพราะไม่มีผู้ตายตั้งแต่แรก ดังนั้น จึงเท่ากับเป็นวิธีเอาชนะความตายอย่างแท้จริง

แต่ ถึงแม้ตัวกูจะไม่ตายไปอย่างสิ้นเชิง ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกูอยู่ เมื่อจวนเจียนจะตาย "ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ" ได้แนะนำให้น้อมจิตสู่ความดับไม่เหลือเช่นเดียวกัน

นั่นคือละวางความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงว่าเป็นตัวกูของกู วิธีการนี้ท่านเปรียบเสมือน "ตกกระไดแล้วพลอยกระโจน" กล่าวคือ เมื่อร่างกายทนอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว จิตก็ควรกระโจนตามไปด้วยกัน ไม่ห่วงหาอาลัยหรือหวังอะไรอย่างใดอีกต่อไป ไม่คิดจะเกิดที่ไหนหรือกลับมาเกิดใหม่อีกต่อไป

นาที สุดท้ายของชีวิตเป็นโอกาสสำคัญยิ่งที่จิตจะปล่อยวางตัวกูเพื่อหลุดพ้นจาก ความทุกข์อย่างสิ้นเชิง จึงนับว่าเป็น "นาทีทอง" อย่างแท้จริง

พลังจิต
23  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 16 ข้อที่เวียตนามมี ดูดีกว่าไทย เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 11:19:57 am
16 ข้อแห่งความยิ่งใหญ่ของเวียดนามเหนือไทย

ดร.โสภณ พรโชคชัย .( 1).
ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย .( 2).

ตอนนี้เวียดนามกำลัง “ ฮิต ” ติดตลาด มีคนสนใจไปลงทุนกันมากมาย มีเสน่ห์มากกว่าไทยด้วยซ้ำไป เวียดนามยังไม่อาจไล่ทันไทยในเร็ววันนี้หรอกครับ ( ปลอบใจสักหน่อย) แต่มีศักยภาพที่จะยิ่งใหญ่เหนือไทยได้ในวันหน้า เราควรสังวรและพิจารณาให้ดี หลายเรื่องเราควร “ เอาเยี่ยงกา ” มาลองดูกันครับ

1. สนามบินสะดวกกว่าไทย อันที่จริงสนามบินหลายแห่งในประเทศไทยทันสมัยกว่าสนามบินกรุงฮานอยและนครโฮช ิมินห์ แต่ที่เวียดนาม เครื่องบินจอดถึงงวงเสมอ ไม่ต้องต่อรถโค้ชให้เสียอารมณ์แบบบ้านเรา และที่สำคัญในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า นครโฮชิมินห์จะมีสนามบินใหม่ที่ใหญ่กว่าสุวรรณภูมิของเราในขณะนี้เสียอีก

2. คนเวียดนามรักชาติ ไม่ต้องดูอื่นไกล เขานิยมอาหารของเขาเอง ประเภทอาหารแฟชั่น/ขยะของฝรั่งเข้าไปตีกินในประเทศเขาได้ยาก คุณสมบัติที่ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้น (แม้ทางความคิด) กับใครเช่นนี้เชื่อว่าเหนือกว่า “ เลือดไทย ” ที่ทำท่าจะเจือจางลงทุกวัน

3. “ ผ้าขี้ริ้วห่อทอง ” คนเวียดนามที่เราเห็นแต่งตัวดูปอน ๆ นั้น เขาชอบสะสมทอง ว่าง ๆ ก็เอามาชื่นชมเล่นเงียบ ๆ เขาไม่ต้องการทำตัวหรูหรา เพราะเดี๋ยวถูกเพ่งเล็ง เขามีเงินสะสมไว้มาก แต่ไม่เปิดเผย ซื้อของก็มักใช้เงินสด ซื้อบ้านอาจมีกู้เงินบ้าง แต่ก็ยังจำกัดมาก ข้อนี้อาจทำให้ระบบการเงินของประเทศไม่หมุนเวียนมากนัก แต่ผมก็ยังนิยมความมัธยัสถ์มากกว่าการสุรุ่ยสุร่าย สังเกตง่าย ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือสนนราคาของอาหารเวียดนามนั้น หาได้ถูกกว่าไทย มาตรฐานค่าครองชีพไม่ได้ต่ำกว่าไทยเลย นี่แสดงว่าเขามีแหล่งรายได้ที่ไม่เปิดเผยหรือรับ job ทำงานพิเศษต่าง ๆ ไม่ใช่กินแต่เงินเดือนปกติ

4. คนเวียดนามชอบค้าขาย เปิดร้านค้าขายแทบทุกหัวระแหง ในทุกท้องที่มีสินค้าครบถ้วน ไม่ต้องไปเดินห้างใหญ่หรือไม่ต้องไปย่านการค้าใด ด้วยความนิยมค้าขายโดยสายเลือดบวกกับความขยันขันแข็งเช่นนี้ โอกาสที่เวียดนามจะแซงไทยได้ คงไม่ไกลเกินเอื้อม

5. มีขอทานน้อยกว่าไทย ในนครโฮชิมินห์ที่มีประชากรไม่แพ้กรุงเทพมหานคร แต่แทบจะหาขอทานไม่พบ มีแต่คนอุ้มลูกจูงหลานมาขายหมากฝรั่ง ให้พอรำคาญเล่น คนใจอ่อนก็อุดหนุนกันไปบ้าง แต่ประเภทเป็นขอทานแท้ ๆ แทบไม่เคยพบ ทางการเขาเอาจริง จับและกวาดต้อนไปฝึกอาชีพ ไม่ปล่อยให้เกลื่อนถนนแบบไทยที่มีกระทั่งขอทานเขมรมาเพ่นพ่านเต็มไปหมด (น่าอนาถแท้ ๆ ประเทศไทย)

6. ( แทบ) ไม่มีปัญหายาเสพติด หรือเด็กเกเร-อันธพาล ที่เวียดนามใครขืนเสพหรือค้ายาเสพติด มีโอกาสเกิดใหม่สูงมาก เขาไม่ค่อยขังให้เปลืองข้าวแดงเสียด้วย ย่านอิทธิพลค้ายาหรือขาใหญ่แบบสลัมเมืองไทย แทบหาไม่ได้ ที่เคยมีก็ถูกรื้อไปสร้างแฟลตกันแทบหมดแล้ว

7. เศรษฐกิจ “ กระดี๊กระด๊า ” ดูดีไปหมด! ทั้งนี้เพราะเติบโตปีละ 7-10% มาหลายปี ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เวียดนามก็กระอักแบบไทย แต่ฟื้นตัวเร็วกว่าและฟื้นตัวอย่างมั่นคงกว่าไทยมาก อนาคตของประเทศแลดูสดใส อยู่ในช่วงขาขึ้น มีการพัฒนาสาธารณูปโภคอย่างขนานใหญ่และต่อเนื่อง

8. ให้การต้อนรับกระทั่งมหาวิทยาลัยต่างชาติ นี่เป็นมิติที่ขอย้ำถึงการส่งเสริมการลงทุนของต่างชาติในเวียดนาม มหาวิทยาลัยชั้นนำของต่างประเทศสามารถเข้าไปตั้งสาขาได้ ผิดกับของไทยที่กีดกันมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศ มหาวิทยาลัยไทยหลายแห่งกลัวการออกนอกระบบ เพียงเพราะเกรงใจอาจารย์ที่เป็นข้าราชการจะสูญเสียผลประโยชน์ แต่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของนักศึกษาและประเทศชาติ

9. แทบหา “ บ้านว่าง ” ( บ้านที่สร้างเสร็จแต่ไม่มีผู้เข้าอยู่) ไม่ได้เลย ที่อยู่อาศัยทุกระดับราคาต่างมีคนเช่าหรือซื้ออยู่อาศัย ที่ว่างมีไม่ถึง 5-10% นี่แสดงว่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจของอสังหาริมทรัพย์แทบไม่ปรากฏให้เห็นในเว ียดนามเลย

10. ระบบผ่อนบ้านมีหลักประกัน (ของไทยยังล้าหลังกว่า!) ในเวียดนามบ้านสร้างเสร็จก็แสดงว่าการผ่อนชำระค่าบ้านเสร็จพอดี ซึ่งเป็นลักษณะ escrow account ที่ป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการนำเงินไปหมุนทางอื่นหรือนำไปซื้อรถเมอร์เซดีส โครงการต้องนำเงินงวดของการผ่อนมาก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ และหากใครจะขอกู้ ก็ต้องติดต่อสถาบันการเงินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เมื่อสถาบันการเงินตกลง สถาบันการเงินนั้นก็จะผ่อนชำระกับโครงการจนแล้วเสร็จแทนเราต่อไป

11. กล้าย้ายสถานที่ราชการออกนอกเมือง แล้วนำที่ดินทำเลทองมาพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือหรืออื่น ๆ ในฟิลิปปินส์ ถึงขนาดย้ายค่ายทหารออกไปนอกเมือง เพื่อนำที่ดินทำเลทองมาพัฒนาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ แต่สำหรับไทย คงทำไม่ได้เพราะ “ เขตทหารห้ามเข้า ” ( ฮา) หรือเพราะเรามัก “ เจาะยาง ” ด้วยการตีขลุมว่า ขืนเอาทรัพย์สินไปหาผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ อาจเกิดการการฉ้อราษฎร์บังหลวง นี่คือกระบวนการกีดกัน/ยับยั้งความเจริญของชาติอย่างแท้จริง

12. กฎหมายเวนคืนศักดิ์สิทธิ์ ทางราชการเวียดนามสามารถย้ายชาวบ้านได้ทุกบริเวณที่ต้องการ อาจมีอิดออดบ้าง แต่ต้องไปภายในเวลาที่รวดเร็ว จะมาอ้างรักถิ่นฐาน อนุรักษ์เครือข่ายเพื่อนบ้านหรือรักษาจิตวิญญาณชุมชน ไม่ได้เด็ดขาด และโดยความศักดิ์สิทธิ์นี้เอง พื้นที่แปลงขนาดใหญ่จึงสามารถนำมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมี ประสิทธิภาพและทันท่วงที นี่เป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้เวียดนามก้าวล้ำนำไทยที่ “ ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก ” เช่นทุกวันนี้

13. กฎหมายมีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว บางครั้งแม้แต่ข้าราชการยังตามไม่ทัน แต่เป็นข้อดีอย่างยิ่งที่ทำให้กฎหมายสามารถตอบสนองสถานการณ์ใหม่ ๆ ของการพัฒนาประเทศ ไม่เหมือนไทย ที่การแก้ไขกฎหมายเพื่อชาติและประชาชน เชื่องช้าเป็นที่สุด เช่น เรามี พรบ.ผังเมืองตั้งแต่ 2475 แต่มีผังเมือง กทม. ฉบับแรกเมื่อปี 2535 หรืออีก 60 ปีถัดมา! เพราะชนชั้นนำของประเทศไม่ต้องการให้ที่ดินของตนเสียผลประโยชน์นั่นเอง .( 3).

14. ปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างจริงจัง ท่านเชื่อหรือไม่ กัปตันเครื่องบินเวียดนามแอร์ไลน์ ถูกไล่ออกเพียงเพราะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าประเทศมูลค่าเพียงหลักแสนบาทโดย ไม่ผ่านด่านศุลกากร นักฟุตบอลเวียดนาม 4 คนที่ไปรับสินบนในงานแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ฟิลิปปินส์เมื่อปี 2548 ขณะนี้ยังติดคุกหัวโตอยู่เลย ( 4). เรื่องนี้ประเทศไทยในยุคคุณธรรมนำการเมือง เทียบอะไรเขาได้หรือไม่

15. การเมืองเวียดนามมีแต่ความมั่นคง ไม่มีรัฐประหาร ผมได้รับเชิญจากสมาคมนายธนาคารมาเลเซีย ( Malaysian Investment Bankers Association) ไปพูดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เขาบอก (เชิงขอบคุณประเทศไทย) ว่า หลังรัฐประหารของไทย มาเลเซียได้รับอานิสงส์ไปเต็ม ๆ เงินลงทุนแทนที่จะมาไทยกลับไปมาเลเซีย ที่เวียดนามก็เช่นกัน นักลงทุนไปกันมากมาย นักลงทุนทั่วโลกแทบจะข้ามหัวประเทศไทยไปหมดเพราะเขาไม่นิยมรัฐประหาร!

16. ข้อสุดท้ายนี้น่ากลัวที่สุดกล่าวคือ เวียดนามกำลังรวมตัวกัน แต่ไทยกำลังจะแตก นับจากสิ้นสุดสงครามเวียดนามเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา เวียดนามเป็นปึกแผ่นแน่นแฟ้นยิ่ง ๆ ขึ้น คนเวียดนามโพ้นทะเล ส่งเงินกลับบ้านจำนวนมหาศาลถึง 150,000 ล้านบาท .( 5). แต่ประเทศไทยของเรากลับกำลังจะแตกแยก ภาคใต้ไม่แน่ว่าจะต้องปล่อยให้ปกครองตนเองหรือกลายเป็นประเทศอิสระในไม่ช้าไ ม่นานนี้ (โอมเพี้ยง ขอให้เดาผิด) การแตกแยกคุกรุ่นของคนในประเทศกลับยิ่งเพิ่มขึ้นหลังรัฐประหาร ไทยกับเวียดนามสวนกระแสกันอย่างนี้ แล้วไทยจะเหลือหรือ

ผมไม่ได้เชียร์เวียดนาม แต่หวั่นใจว่าไทยเราจะถอยหลัง ก็ได้แต่หวังว่าข้อคิด 16 ข้อนี้จะทำให้เราได้ “ เสียวสันหลัง ” กันเสียบ้าง ปรองดองกันเถอะครับ จำไว้ว่า “ เข่นฆ่ากันทำไม เราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งผอง ไทยฆ่าไทย ให้ชาติอื่นครอง วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลา
24  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กฏหมาย เพื่อความปรองดองในครอบครัว ( จริงหรือป่าว ) เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 11:44:54 am
7ก.พ.นี้ รัฐบาลรณรงค์ต้านผัวทำร้ายเมีย
เปิดฉาก7ก.พ.นี้ รัฐบาลรณรงค์ต้านผัวทำร้ายเมีย


 วันที่ 7 ก.พ. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดมหกรรมปีแห่งการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว “ไวท์ ริบบิน เยียร์” เปิดตัวการรณรงค์ด้วยการไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย ไม่กระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และครอบครัว ในวันที่ 7 ก.พ.นี้ ที่ศูนย์การค้า เจ เจ มอลล์
 
 ภายในงาน มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เป็นประธานในพิธีเปิดและนำเดินรณรงค์ในตลาดนัดสวนจตุจักร ร่วมกับศิลปินดาราชื่อดังของช่อง 3 ทั้งเคน ธีรเดช แอน ทองประสม เบนซ์ พรชิตา โฬม พัชตะ และ ต๊ะ วริษฐ์ มาช่วยรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเนื่องตลอดปี 53 จากนั้นจะรณรงค์ไปต่างจังหวัดด้วย เพื่อเปลี่ยนทัศนคติใหม่ ใครพบเห็นความรุนแรงในครอบครัว กฎหมายให้แจ้งตำรวจหรือสายด่วน 1300 ได้ทันที 24 ชั่วโมง
 
 นายอิสสระ สมชัย รมว.พม. กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวเพื่อแก้ปัญหาความรุนแรง ที่เพิ่มมากขึ้น จากนี้การกระทำความรุนแรงผัวทำร้ายเมีย พ่อทำร้ายลูกจะอ้างเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ได้ ผู้พบเห็นต้องไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย เข้าไปห้ามปรามหรือแจ้งตำรวจทันที มิฉะนั้นถือว่าละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ที่ผ่านมาพม.รณรงค์ยุติความรุนแรงเฉพาะเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 พ.ย. เป็นวันขจัดความรุนแรงต่อสตรีสากล แต่เพื่อให้การแก้ปัญหาต่อเนื่อง สร้างกระแสให้สังคมตื่นตัวและร่วมเป็นหนึ่งเสียงในการยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และครอบครัว พม.จึงจัดงานมหกรรมปีแห่งการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัวขึ้น

 นายศุภฤกษ์ หงษ์ภักดี ผอ.สำนักกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวว่า จากสถิติความรุนแรงในครอบครัวที่เพิ่มขึ้น นายกฯ จึงอยากให้มีการรณรงค์เรื่องนี้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ไม่ใช่แค่ยุติความรุนแรงเท่านั้น แต่ต้องรณรงค์ปัญหาตั้งแต่ต้นตอ คือ เรื่องการดื่มสุรา การพนัน ยาเสพติด ปัญหาเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่น โดยการรณรงค์จะต้องทำครอบคลุมทุกเรื่อง ทุกกลุ่มที่นำไปสู่ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และสร้างกระแสต่อเนื่องในการไม่กระทำ ไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉยต่อความรุนแรง เพื่อลดปัญหา
25  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เจตนาดี กับ ลมปาก เมื่อ: ตุลาคม 06, 2010, 11:37:32 pm



ในยุคที่การลดความอ้วนเป็นแฟชั่น หลายคนดีใจเมื่อเพื่อนทักว่า "คุณผอมลงนะ"

คนขับแท็กซี่หลายคนชอบเปิดเพลงในรถ ด้วยเจตนาดีที่หวังบริการลูกค้ามากกว่าแค่การไปถึงจุดหมาย
เพื่อนร่วมงานไม่น้อยชอบเปิดเพลงดัง ด้วยเจตนาดีหวังให้คนอื่นได้อิ่มเอิบกับดนตรีด้วย

ฝรั่งมีวลีหนึ่งว่า Take it for granted หมายถึง การทึกทักเอาเองว่าอีกฝ่ายหนึ่งยินยอม เช่น หยิบกระดาษบานโต๊ะของเขาไปใช้โดยไม่ขออนุญาตก่อน ตักอาหารให้เขา ตบไหล่ของเขา ฯลฯ

เจตนาดีเป็นเรื่องหนึ่ง แต่สัมมาวาจาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

"คุณผอมลงนะ" : คุณรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายหนึ่งอยากผอม ?


"เมื่อไรคุณจะมีลูก : คุณรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ป็นหมัน หรือกำลังกลุ้มใจที่ไม่มีลูก ?


"เมื่อไรจะเลิกเช่าบ้านอยู่เสียที ?" : คุณรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีเงินเหลือ


"ชุดสีเขียวไม่เข้ากับคุณเลย" : คุณรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้รักสีเขียวอย่างที่สุด ?


เจตนาดีจะสมบูรณ์เมื่อมาพร้อมสัมมาวาจา

"คุณผอมลงนะ" ในความหมายว่าเขาอ้วนเกินไป อาจพูดว่า "คุณดูดีขึ้นนะ"

"คุณผอมลงนะ" ในความหมายว่าเขาผอมเกินไป อาจพูดว่า "ดูแลสุขภาพด้วยนะ อย่ามัวแต่ทำงานล่ะ"

สุนทรภู่เขียนไว้ว่า "อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูมิรู้หาย" มิได้หมายความว่าเราต้องโกหกตอแหล แต่การเอาใจเขามาใส่ใจเราทำให้เราไม่ไปทำร้ายจิตใจใครโดยไม่รู้ตัว

คำพูดง่ายๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่กลั่นกรองจากใจและปาก อาจช่วยทำให้คนฟังมีความสุขทั้งวันหรืออาจดจำได้ไปตลอดชีวิต และนั่นคือสัมมาวาจาที่แท้จริง


จากหนังสือ รอยเท้าเล็กของเราเอง
วินทร์ เลียววาริณ
ตอนหนึ่งในหนังสือ เรื่อง เจตนาดีกับลมปาก

--------------------ที่นี่ดอทคอม
26  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฆ่า อะไร หนอ จึงจะอยู่เป็นสุข เมื่อ: กันยายน 24, 2010, 01:32:00 pm

เทวดานั้น ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

ฆ่าอะไรหนอจึงอยู่เป็นสุข
 ฆ่าอะไรหนอจึงไม่เศร้าโศก
ข้าแต่พระโคดม พระองค์ชอบฆ่าอะไรซึ่งเป็นธรรมอันเดียว ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

ฆ่าความโกรธเสียได้จึงอยู่เป็นสุข
ฆ่าความโกรธเสียจึงไม่เศร้าโศก แน่ะเทวดา
พระอริยเจ้าทั้งหลาย สรรเสริญการฆ่าความโกรธ
ซึ่งมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน
เพราะฆ่าความโกรธนั้นเสียแล้วย่อมไม่เศร้าโศก ฯ
27  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บทกรวดน้ำ คนรุ่นใหม่ ( ขำ ขำ คลายเครียด คร้บ ) เมื่อ: กันยายน 24, 2010, 01:26:59 pm
ธรณี นี่นี้                    เป็นพยาน

อันตัวลูกได้ทำทาน                   เสร็จแล้ว

จึงยืมถังท่านสมภาร                  มากรวด น้ำเฮย

คนอื่นใช้ขวดและแก้ว               ลูกว่า เล็กไป

   
 เพราะสิ่งหวังในใจลูก         มากมี

ขึ้นศกใหม่ทั้งที                      ต้องเริ่ด

จะขอเผื่อสามี                        และบุตร ด้วยแฮ

ชวนมาวัดทำเชิ่ด                    ทั้งลูก และผัว

   
    หากชาติหน้าเกิดอีก              ฉันใด

ขอเกิดประเทศไทย                  นะแม่

เกิดต่างแดนคงทำใจ                 ลำบาก

ภาษาอังกฤษฉันแย่                 แต่เล็กจนโต

   
     ขอให้สวยสุดหล้า               ปฐพี

ได้ประกวดบนเวที                   หมู่บ้าน

มีสติปัญญาดี                         มิโง่

ให้โลกสะเทือนสะท้าน             นี่แหละ หญิงไทย

   
      ขอผัวที่ดี เก่ง                 และรวย

ผัวกระบักกระบวย                ขอเว้น

มีผัวผิดคิดจนงงงวย              ผัวเ่ยว

ได้ดั่งใจลูกจะเซ่น                ด้วยกิ๊กหนึ่งคน

   
     ถ้ามีลูกขอลูกอย่า            ทิ้งฉัน

เวลาแก่ตัวมัน                     ลำบากเน้อ

เลี้ยงโตแล้วทิ้งกัน                หนีหมด

ปล่อยแม่คิดถึงเก้อ               นี่หรือลูกเรา

   
ขอตัดเวรกับเจ้าหนี้         ทั้งปวง

ชาตินี้ไม่มีดวง                      จ่ายให้



จงอย่าเสียเวลาทวง               วานบอก ทีแม่

ชาติหน้าอาจจ่ายได้               ถ้าผัวฉันรวย

   
ขอมากไป? หรือแค่           ชิวชิว?

แต่ตอนนี้ ลูกเป็นตะคริว           ช่วยด้วย!!!!!
28  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เด็กน้อย กับ สุนัขพิการ เมื่อ: กันยายน 24, 2010, 01:23:17 pm


เจ้าของร้านตอกป้ายติดไว้เหนือประตู มีข้อความว่า มีลูกสุนัขขาย นี่เป็นวิธีดึงดูดเด็กเล็ก ๆ ได้อย่างดี เด็กผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัวใต้ป้ายแผ่นนั้น และถามว่า
"ลูกหมาที่ขายราคาเท่าไรครับ ”  มีหลายราคา ตั้งแต่ 30 ไปจนถึง 50 เหรียญ ” เจ้าของร้านตอบ หนูน้อยล้วงเข้าไปในกระเป๋าและควักสตางค์ออกมา ผมมีอยู่ 2 เหรียญกว่าเอง ขอผมดูพวกมันหน่อยได้ไหมครับ เจ้าของร้านยิ้มแล้วผิวปาก
เจ้าเลดี้วิ่งออกมาจากเฉลียงข้างร้านพร้อมกับลูกสุนัขขนฟูอีก 5 ตัว หนึ่งในนั้นเดินตามมาช้า ๆ หนูน้อยสนใจลูกหมาตัวนี้ทันที เห็นได้ชัดว่ามันเดินลากขาเหมือนเป็นหมาพิการ
”หมาตัวเล็ก ๆ นั่นเป็นอะไรครับ”
เจ้าของร้านบอกว่าสัตวแพทย์ตรวจเจ้าลูกหมาตัวนี้แล้วพบว่า มันไม่มีสะโพก มันจะต้องเดินขากะเผลก และจะพิการไปตลอดชีวิต เด็กชายตื่นเต้นขึ้นมาทันที ” ผมขอซื้อลูกหมาตัวนี้ได้ไหมฮะ ” เจ้าของร้านตอบว่า ” อย่าเลย หนูคงไม่อยากได้ลูกหมาตัวนี้หรอกแต่ถ้าหนูอยากได้จริง ๆ ล่ะก็ ฉันจะยกให้ ”
หนูน้อยเริ่มไม่พอใจ เขาจ้องหน้าเจ้าของร้านพร้อมกับชี้นิ้วพูดว่า ” ผมไม่ต้องการให้คุณยกมันให้ผมฟรี ๆ หมาตัวนี้มีค่ามากเท่ากับตัวอื่น ๆ ทั้งหมดและผมก็จะจ่ายให้คุณเต็มราคาด้วย แต่ผมจะให้คุณไปก่อน 2 เหรียญและจะผ่อนให้เดือนละ 50 เซ็นต์จนกว่าจะครบ ”
เจ้าของร้านยังค้านอีกว่า ” หนูไม่อยากได้ลูกหมาตัวนี้หรอก มันวิ่งไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ และเล่นกับหนูเหมือนกับลูกหมาตัวอื่น ๆ ก็ไม่ได้ ”
ถึงตอนนี้ หนูน้อยจึงนั่งลงและถกขากางเกงให้เจ้าของร้านเห็น ขาข้างซ้ายที่ลีบเล็ก และมีเหล็กแท่งใหญ่พยุงเอาไว้ เขาเงยหน้ามองเจ้าของร้านและพูดนุ่ม ๆ ว่า ” นี่ไงครับ ผมเองก็วิ่งไม่ได้เหมือนกันและลูกหมาตัวนี้ก็คงต้องการใครสักคนที่เข้าใจ มัน
29  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อธิวาสนะขันติ คืออะไร ครับ เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 12:22:36 pm
อธิวาสนะขันติ คือ อะไรครับ

เป็น ขันติ ระดับไหนครับในบารมี 30

   :25: :25:
30  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 24 ข้อคิดดี ๆ เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 12:00:52 pm
24 ที่ข้อคิดน่าสนใจ

1. อย่าขับรถเร็วเกินกว่าที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด

2. จงวางแผนล่วงหน้า : ฝนยังไม่ตกหรอกนะตอนโนอาห์สร้างเรือน่ะ

3. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ

4. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น

5. "อย่ากลัวความฝันของคุณ : มันง่ายกว่าที่คิด"

6. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ 4 คน จะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆ ลองเช็คเพื่อนคุณสัก 3 คนสิ ถ้าทุกคนปกติดี ก็คุณน่ะแหละ

8. บางครั้งวิธีช่วยที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ก็คือ ผลักเขาแรงๆ (หมายถึงผลักดันให้เขาทำสิ่งที่ลังเลอยู่น่ะ)

9. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ

10. มอบสองสิ่งให้กับลูกของคุณ อย่างหนึ่งคือรากฐานที่มั่นคง อีกอย่างก็คือปีกที่จะบินออกไปเอง

11. การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น

12. คนคนหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่าง แต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆเมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น

13.เพื่อนแท้คือคนที่เชื่อว่าคุณเป็นฟองไข่ที่สมบูรณ์แม้ว่าจริงๆแล้วคุณจะมีรอยร ้าวไปแล้วครึ่งหนึ่ง

14. นี่คือวิธีที่จะรู้ว่าหน้าที่ของคุณบนโลกใบนี้จบสิ้นแล้วหรือยัง :ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ มันก็ยังไม่จบ

15. ชีวิตเรียนรู้ได้จากการย้อนระลึกถึง แต่ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า

16.การใช้ชีวิตอยู่บนโลกนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากแต่เราก็ได้เดินทางรอบดวงอาทิตย์ฟรีๆเป็นของแถม

17. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี

18. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ

19. คุณค่าของคนคนหนึ่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ

20. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด - เฮเลนเคลเลอร์

21. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็น การให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง

22. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)

23. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรา มีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น

24. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น

--------- หากอยากให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นลองส่งข้อความเหล่านี้ให้เพื่อนคุณสิ ----------
31  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความจริง ในที่ทำงาน....ที่คุณพึงทั้งหลายพึงสังวร เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 11:54:09 am


1. ที่คุณเห็นเจ้านาย หรือ เพื่อนร่วมงาน เค้าแสดงออกว่ารักคุณหรือชื่นชมการทำงานของคุณหนะ ในใจเค้าอาจจะไม่คิดแบบนั้นก็ได้

2. บางครั้ง คนที่ยิ้มให้ หรือ สนิทชิดเชื้อกับคุณในที่ทำงานคนๆนั้นอาจจะเป็นคนที่แทงข้างหลังคุณอยู่ก็ได้

3.. อย่าคิดว่า ตัวเองเจ๋ง หรือเก่งมากๆ ประมาณว่าบริษัทนี้ขาดเราไม่ได้ มีงานของคุณที่คนอื่นทำไม่ได้ นอกจากคุณ (คุณลองลาออกสิ เดี๋ยวเค้าก็หาคนมาทำงานแทนคุณเองแหละ) จงจำไว้ว่าไม่มีบริษัทใหนที่จะเจ๊ง หรือยอมปล่อยให้งานสะดุด ถ้าขาดคุณไปเพียงคนเดียว

4. การที่คุณทำงานยุ่งทั้งวัน ไม่มีใครมาเห็นคุณว่าคุณทำงานขยันหรอกนะ สู้คุณส่งเมลล์เรื่องงาน แค่วันละหนึ่งหัวข้อไปให้ทุกคนในบริษัท คนอื่นๆ เค้ายังจะเห็นว่าคุณขยันทำงานมากกว่าซะอีก

5. ถ้าคุณมีโอกาส ได้ไปอยู่บริษัทอื่นที่ดีกว่า หรือ ตำแหน่งที่ดีกว่า (เงินเดือนด้วย) จงอย่ารีรอที่จะไป เพราะคนส่วนใหญ่เสียโอกาสเพราะเรื่องนี้

6. มาจากข้อ 5 ในกรณีที่เจ้านาย ขอร้องให้คุณอยู่ต่อ อย่าใจอ่อน จำไว้ว่า ความรู้สึกที่มีให้กัน หลังจากคุยเรื่องนี้แล้ว มันไม่มีทางเหมือนเดิม (รวมทั้งเพื่อนร่วมงาน หรือ ลูกน้องคุณที่รู้ข่าวในเรื่องนี้ด้วย)

7. เรื่องชู้สาว ในบริษัทเดียวกัน ไม่ว่า จะเป็นเพื่อนร่วมหรือหัวหน้าและลูกน้อง ควรเลี่ยงให้ไกลที่สุด (จำไว้ว่า ถึงแม้คุณไม่ได้คิดอะไร แต่ปากคนในที่ทำงานหนะ สุดยอด)

8. การวางตัว เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่ามีมนุษสัมพันธ์ที่มากจนเกินไป (ไม่ควรจะสนิทสนม กับคนที่ไม่จำเป็นต้องสนิทด้วย)

9. บางครั้ง คุณอาจจะต้องเป็นคนนิสัยไม่ดีในสายตาของคนอื่นบ้าง (เลว) ถ้ามันจำเป็น ให้คุณอยู่รอด

10. อย่าคิดว่า เพื่อนร่วมงาน ที่คุณเคยช่วยเรื่องงานไว้ เค้าจะมาตอบแทนช่วยเหลือคุณในเรื่องงาน เค้าอาจจะไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจก็ได้

11. การวางโครงการในอนาคต อย่าวางในระยะเวลาที่สั้นไป เช่น ถ้าสิ้นปีชั้นได้เลื่อนตำแหน่ง ชั้นจะ......... ควรวางโครงการระยะยาว เช่น ถ้าทำงานอยู่ที่บริษัทนี้อีก 3 ปี แล้วยังไม่ได้ขึ้นเป็น.............. ถึงจะค่อยหาที่ทำงานใหม่

12. การเอา resume ของตัวเองไปโพส ตามเวบ job ต่างๆ มีประโยชน์มาก(ขอย้ำ) เพราะคุณจะไม่ได้เป็นผู้ถูกเลือกจากบริษัทอื่นๆ แต่คุณจะเป็นผู้เลือก ว่าคุณอยากไปอยู่บริษัทไหน

13. ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคุณคิดว่า คุณสามารถทำงานในตำแหน่งที่คุณทำ อยู่นี่ได้ดี คุณก็สามารถจะไปทำงานที่ใหนๆก็ได้ในตำแหน่งนี้เช่นกัน (ของจริง มันก็ยังจะเป็นของจริงอยู่วันยังค่ำน้อง...)

14. การเลียแข้งเลียขาเจ้านาย ใช่ว่าจะเป็นผลดีตลอด ถ้าคุณไม่ใช่คนชอบเลีย จำไว้ว่าเจ้านายเค้าชอบคุณมากกกว่า คนที่ชอบเลียแข้งเลียขาอยู่

15. อย่าคิดว่า ถ้าย้ายงานไปอยู่ที่บริษัทอื่น แล้วจะมีความสุขกว่าที่เก่า เพราะบางครั้ง บริษัทใหม่ของคุณ อาจจะไม่มีความสุขเท่าที่เดิมก็ได้
32  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / วิธีนำภาพจากเว็บอื่น มาใช้งานในเว็บบอร์ด ครับ เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 01:05:53 pm
ชื่อเรื่องตรง ๆ ครับ

ผมใช้โปรแกรม Firefox 3.6 ขึ้นไปนะครับ จะง่ายมาก ๆ นำมาได้ ทั้ง วีดีโอ และ ภาพ ล็อกก็เอามาได้ครับ

ผมเชื่อว่าเพื่อนสมาชิก คงอยากนำภาพจากเว็บอื่นๆ ที่ดูแล้วสวย มีเนื้อหาสาระแล้ว อยากมาโพสต์ในเว็บบอร์ด

ให้สมบูรณ์ ทั้งอักษรและภาพ

บางคนไม่ทราบวิธีการ ก็ไปเซฟภาพที่ชอบมาไว้ในเครื่องของตน และ ทำการ upload ด้วย web ที่แนะนำไว้

เพื่อ อัพโหลดภาพ จากนั้นจึงนำ Direct link มาวางที่เว็บบอร์ด บางคนนึกอย่างนี้แล้ว ก็ต้องใช้เวลามากครับ


ผมขอนำเสนอวิธี ที่ง่าย ๆ นะครับ ด้วยโปรแกรม firefox ( ผมชอบใช้ครับ )เพราะเร็วเสถียรด้วย

ถ้าเครื่องใครยังไม่มี ก็ไปที่กระทู้ ครูนภา นะครับ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=949.0



ผมสมมุติว่าเครื่องท่านทั้งหลายมีโปรแกรม firefox แล้วนะครับ




Aeva Debug: 0.0005 seconds.
33  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / มาแนะนำโปรแกรม แปลงไฟล มือถือ ให้เป็น ไฟล์ flv เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 12:43:57 pm
เวลาที่เราใช้กล้องจากโทรศัพท์ แล้ว บันทึก วีดีโอ เหตุการณ์สำคัญมาแล้ว

อยากนำมาเปิดให้เพื่อนชมในเว็บ ต้องแปลงไฟล์ก่อนครับ

เพราะไฟล์ วีดีโอ ที่มาถือนั้น ส่วนใหญ่ จะมีอยู่ 2 นามสกุล คือ ชื่อไฟล์.3gp  และ ชื่อไฟล์.mp4

เอามาเปิดในเว็บไม่ได้ครับ และบางครั้งก็ต้องใช้ โปรแกรมดูเฉพาะ ครับ

วิธีแก้ปัญหา ให้ท่านดาวน์โหลด โปรแกรมจากลิงก์ด้านล่างนี้ ไปแปลงครับ

http://www.koyotesoft.com/appli/Setup_FreeVideoConverter.exe

เดี๋ยวผมมีเวลาจะมาแนะนำวิธีแปลง แต่ผมคิดว่า เพื่อนๆ สมาชิกจะทำได้โดยไม่ยากครับ


ที่สำคัญโปรแกรมนี้เป็น โปรแกรม

ฟรี ครับ  100 % FREE 100%

34  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หมู่บ้านระลึกชาติ เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 11:09:56 am
ผมนั่งดู ก็คิดเชื่อในพระดำรัสของพระพุทธเจ้า

และญาณของพระพุทธเจ้า

ถึงแม้ว่าบทสรุปของเรื่อง จะพิสูจน์อะไรไม่ได้.....










35  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สิ่งมหัศจรรย์ ในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 10:44:43 am
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาเจษฏาบดินทร์ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี พระนามเดิมว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ หรือ พระองค์ชายทับ"
พระ บาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 3 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และองค์แรกที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเรียม เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันจันทร์ แรม 10 ค่ำ เดือน 4 ปีมะแม เวลาค่ำ 10.30 นาฬิกา (สี่ทุ่มครึ่ง) ตรงกับวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330 ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยกับเจ้าจอม มารดาเรียม ซึ่งภายหลังได้รับการสถาปนาเป็น กรมสมเด็จพระศรีสุราลัย เสวยราชสมบัติเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 9 ขึ้น 7 ค่ำ ปีวอก ซึ่งตรงกับวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 รวมสิริดำรงราชสมบัติได้ 25 ปี 7 เดือน 23 วัน

ทรง มีเจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม 5 พระองค์ มีพระราชโอรส-ราชธิดา ทั้งสิ้น 51 พระองค์ เสด็จสวรรคต เมื่อวันพุธ เดือน 5 ขึ้น 1 ค่ำ ปีกุน โทศก จุลศักราช 1212 เวลา 7 ทุ่ม 5 บาท ตรงกับวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 รวมพระชนมพรรษา 63 พรรษา

การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
พระองค์ ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก และได้ทรงสร้างพระพุทธรูปมากมายเช่น พระประธานในอุโบสถวัดสุทัศน์ วัดเฉลิมพระเกียรติ วัดปรินายกและวัดนางนอง ทรงสร้างวัดใหม่ขึ้น 3 วัด คือ วัดบวรนิเวศวิหาร วัดเทพธิดารามและวัดราชนัดดาราม ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดเก่าอีก 35 วัด เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งสร้างมาแต่รัชกาลที่ 1 วัดอรุณราชวราราม วัดราชโอรสาราม เป็นต้น

ไฟล์:Statue of King Rama II at Wat Arun.JPG

พระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม

          ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช(รัชกาลที่ 1) สมเด็จพระเจ้า ลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวังเดิม และได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดแจ้งใหม่ทั้งวัด แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็สิ้นรัชกาลที่ 1 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธ เลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที่ 2) พระองค์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งต่อมา และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม” ต่อมามีพระราชดำริที่จะเสริมสร้างพระปรางค์หน้าวัดให้สูงขึ้น แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เสริมพระปรางค์ขึ้นและให้ยืมมงกุฎที่หล่อสำหรับพระพุทธรูปทรงเครื่องที่ จะเป็นพระประธานวัดนางนองมาติดต่อบนยอดนภศูล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชธารามหลายรายการ และให้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาบรรจุไว้ที่ พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถด้วย เมื่อการปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นลง พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดอรุณราชวราราม”

          แม้ว่าวัดอรุณราชวราราม จะเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 2 แต่พระปรางค์ที่สูงใหญ่นี้ สร้างเสริมขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 และกลายเป็นมหาเจดีย์ที่สูงใหญ่ที่สุดในฝั่งธนบุรี และเป็นศรีสง่าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์


พระสำเภาพระเจดีย์
เรือสำเภาหรือพระสำเภาพระเจดีย์ลำที่ว่า ตั้งอยู่ในวัดยานนาวา แต่เดิมชื่อ "วัดคอกควาย" เป็นวัดเก่าแก่สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนกลาง แต่ไม่ปรากฏนามผู้สร้าง ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี(ประมาณปีพ.ศ.2319)พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดคอกกระบือ"
       
       ส่วนการสร้างเรือสำเภาจำลองขึ้นมานั้น ฉันรู้มาว่าเป็น พระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ที่พระองค์ต้องการจะสร้างพระสถูปเจดีย์ขึ้นที่วัดนี้ เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการที่พระองค์ทรงใช้เรือสำเภาขนส่งสินค้าไปทำมาค้าขายถึง เมืองจีนและประเทศต่างๆ นับว่าเป็นสายพระเนตรอันยาวไกลของพระองค์ ท่านที่ทรงมีพระราชดำริว่า ต่อไปในภายหน้าคนรุ่นหลังอาจไม่รู้จักเรือสำเภาจีนก็เป็นได้ ประกอบกับพระองค์ทรงรำลึกในพระธรรมเวสสันดรชาดก ตอนที่พระเวสสันดรทรงตรัสเรียกกัณหาและชาลีให้อุทิศตน เพื่อร่วมกับพระบิดาสร้างมหากุศล อันจักเป็นเสมือนเรือสำเภาใหญ่พามนุษย์ชาติข้ามโอฆะสงสารไปสู่พระนิพพาน
       
       จาก พระราชประสงค์นี้เองจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างพระสถูปเจดีย์แบบใหม่ ขึ้น เป็นสำเภาจีนมีพระเจดีย์ 2 องค์อยู่บนเรือ พร้อมกับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯราชทานนามจากวัดคอกกระบือเป็น "วัดญาณนาวาราม" มีความหมายว่า ญาณอันเป็นพาหนะดุจดั่งสำเภาข้ามโอฆะสงสาร ต่อมาภายหลังชื่อจึงได้เลือนมาเป็น "วัดยานนาวา" ที่มีความหมายใกล้เคียงกับชื่อเดิมคือ วัดอันมีพาหนะดุจสำเภาในการที่จะนำพาเวไนยสัตว์ให้ข้ามพ้นโอฆะสงสาร

ไฟล์:Loha Prasat2.jpg

โลหะปราสาท
พระ บาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2389 บนสวนผลไม้เก่าเนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ พระราชทานเป็นเกียรติแก่พระราชนัดดา คือ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าหญิงโสมนัสวัฒนาวดี

พระบาทสมเด็จพระ นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างโลหะปราสาท แทนการสร้างเจดีย์ นับเป็นโลหะปราสาทแห่งที่ 3 ของโลก โดยสร้างเป็นอาคาร 7 ชั้น มียอดปราสาท 37 ยอด หมายถึงโพธิปักขิยธรรมในพระพุทธศาสนา 37 ประการ ยอดปราสาทชั้น 7 เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ กลางปราสาทเป็นช่องกลวง มีบันไดเวียน 67 ขั้น ให้เดินขึ้นไปดูทิวทัศน์ข้างบนได้

สำหรับสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ใน วัดราชนัดดารามนี้ก็ยังเป็นแบบไทย พระอุโบสถเป็นมีช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันลงรักปิดทอง ประดับด้วยกระจกงดงาม ภายในประดิษฐานพระประธานพระนามว่า "พระเสฏฐตมมุนี" ส่วนพระวิหารก็เป็นศิลปะแบบไทยเช่นกัน ภายในมีพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรเป็นประธาน พระนามว่า "พระพุทธชุติธรรมนราสพ"

แต่ เดิมโลหะปราสาทไม่ได้ตั้งเด่นเป็นสง่าเมื่อผ่านมาทางถนนราชดำเนินเหมือนใน ปัจจุบัน เพราะมีการก่อสร้างโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย หัวมุมถนนราชดำเนิน ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นโรงภาพยนตร์แห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2532 จึงได้มีการรื้อศาลาเฉลิมไทย เพื่อเปิดมุมมองทางเข้าเกาะรัตนโกสินทร์จากสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ก่อสร้างเป็น ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ พื้นที่โดยรอบเป็นลานกว้าง จัดสร้างพลับพลาที่ประทับ เพื่อที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงออกรับแขกบ้านแขกเมือง เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ซึ่งต่อมาคือ รัชกาลที่ 3


พระเจดีย์ภูเขาทอง
พระ บาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงมีดำริให้จัดสร้างพระเจดีย์ภูเขาทอง ไว้เป็นปูชนียสถานในพระนครเหมือนดั่งที่กรุงเก่า มีวัดภูเขาทอง ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายทุ่ง มีองค์พระเจดีย์เป็นที่สำหรับชาวพระนครศรีอยุธยาลงไปประชุมเล่นเพลง และสักวาในเทศกาลประจำปี โดยรัชกาลที่ 3 ใด้ทรงเลือกเอาบริเวณวัดสระเกศเป็นที่ก่อสร้าง

เริ่มก่อสร้างโดยใช้ โครงไม้ทำเป็นรูปปรางค์ใหญ่ ขุดฐานเอาไม้ซุงปูเป็นตาราง เอาศิลาแลงก่อขึ้นจนเสมอดินแล้วจึงก่อด้วยอิฐ ในองค์พระปรางค์เอาศิลาก้อนที่ราษฏรเก็บมาขายใส่ลงไป แต่ก่อสร้างใด้ไม่เท่าไรก็ทรุด ยุบตัวพังลงมาเนื่องจากพื้นที่ก่อสร้างอยู่ใกล้ชายคลอง พื้นดินไม่แข็งแรงพอจึงต้องปักเสารอบๆองค์พระปรางค์หลายๆชั้นไม่ให้ดินทลาย ออกไป จึงเริ่มก่อใหม่แต่ก็ยังทรุดอีกจึงยุติการก่อสร้างชั่วคราวจนสิ้นรัชกาลที่ 3


วัดบวรนิเวศวิหาร

วัดบวรนิเวศวิหาร หรือ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ได้ทรงมีพระดำริโปรดให้สร้างขึ้น แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จ ก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน วัดบวรนิเวศวิหาร สร้างขึ้นด้วยศิลปะไทยผสมจีน ภายในพระอุโบสถ มีพระพุทธรูปสำคัญอยู่ 2 องค์ คือ พระประธาน อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน เพชรบุรี และ พระพุทธชินสีห์ อัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก ถัดจากพระอุโบสถออกไปเป็นเจดีย์กลมขนาดใหญ่ สร้างสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 หุ้มกระเบื้องสีทอง ในรัชกาลปัจจุบัน รอบฐานพระเจดีย์มี ศาลาจีนและซุ้มจีน ถัดออกไปเป็นวิหารเก๋งจีน นอกจากนี้ก็มีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือขรัวอินโข่ง

ไฟล์:Reclining buddha Wat pho1.jpg
วิหารพระพุทธไสยาส
วิหารพระพุทธไสยาส สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวที่ทรงโปรดฯ ให้ขยายพระอารามออกมาทางทิศเหนือ (เข้ามาซ้อนทับเขตวัดโพธารามเดิม ที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้) โดยพระองค์ทรงโปรดให้พระองค์เจ้าลดาวัลย์เป็นแม่กองในการก่อสร้าง โดยได้สร้างพระพุทธไสยาสขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างพระวิหารภายหลัง โดยมีขนาดเท่ากับพระอุโบสถ บริเวณผนังของวิหารนั้น ด้านบนมีภาพเขียนสีเรื่อง มหาวงศ์ และผนังระหว่างช่องหน้าต่าง เขียนภาพสีเกี่ยวกับพระสาวิกาเอตทัคคะ 13 องค์ อุบาสกเอตทัคคะ 10 ท่านและอุบาสิกาเอตทัคคะ 10 ท่าน อยู่ด้วย

ภายในวิหารประดิษฐานพระ พุทธไสยาส ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ก่ออิฐ ถือปูน ปิดทองทั่วทั้งองค์ และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ โดยมีลักษณะพิเศษ ได้แก่ พระบาทซ้ายและขวาซ้อนเสมอกัน โดยที่พระบาทประดับมุกภาพมงคล 108 ประการ ตรงกลางเป็นรูปจักรตามตำรามหาปุริสลักขณะ โดยลวดลายของมงคล 108 ประการนั้น เป็นการผสมผสานกันระหว่างคติความเชื่อที่รับมาจากชมพูทวีปและจีน
36  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ลักษณะของคนขี้อิจฉา ( 5 5 5 ) เมื่อ: กันยายน 14, 2010, 09:03:54 am
คนขี้อิจฉา รู้ไหมว่าเป็นอย่างไร
 
อิจฉาเธอมีคนรัก อิจฉาเธอที่สวย อิจฉาที่เธอรวย อิจฉาที่เธอเก่ง และอิจฉาที่ไม่เป็นเรา

เชื่อเหลือเกินว่า ไม่มีใครไม่รู้จักคนขี้อิจฉา เพราะคนประเภทนี้ มีอยู่มากมายมหาศาล ในสังคมอลเวงที่พวกเราอาศัยอยู่ที่สำคัญ การอิจฉาเป็นความรู้สึกที่พุ่งปี๊ดขึ้นมาเหนือจิตใจ ยากที่เหตุและผลในสมองของพวกเรา จะห้ามมันไว้ได้ทัน

หลายครั้งที่ไดยินว่า ถ้ามนุษย์เราอิจฉากันธรรมดาคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเติมคำว่า "ริษยา" เข้าไปด้วยล่ะก็…ไม่แน่ เพราะริษยาจะนัยยะแห่งความโกรธ เกลียด และเคียดแค้นของมันอยู่ในที

แต่ ไม่ว่าคุณเคยอิจฉาริษยาหรือไม่ หรือแค่อิจฉาระดับเฉยๆ ถ้าเป็นน้อยๆไม่เป็นไร แสดงว่ายังเป็นคนปรกติแต่ถ้าไม่เป็นเลยจะดีกว่าและถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก

ทว่าเมื่อใดรู้สึกว่า ฉันอิจฉาได้อิจฉาดี อิจฉาใครต่อใครได้ทั้งวัน…
รู้ไหมว่า เริ่มเข้าข่ายต้องไปตรวจสุขภาพจิตกันแล้ว

เพราะ อะไรนะหรือ ก็เพราะคนขี้อิจฉา ถือเป็นคนที่สร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง คนเหล่านี้ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นบ่อย พอเอาไปเปรียบเทียบแล้วแทนจะสบายใจ เปล่าหรอก กลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชะตา และวาสนาตัวเองมากขึ้น… บุคคล แบบนี้ช่างน่าสงสารพฤติกรรมที่แสดงออก ก็เลยเป็นไปในทิศทางลบและชิงชังผู้อื่น เช่น ชอบติฉินนินทา,ติเติยนคนอื่นซ้ำซาก,พูดถึงแต่คนอื่นในทางเลวร้าย

ไม่ มองความจริงของชีวิตว่า คนเรามีทั้งดีและเสีย มีทั้งนำเน่าและน้ำดี มีทั้งบุญและกรรมทำให้กลายเป็นคนไม่มีความสุขกับชีวิต ว่าแล้ว ใครที่กำลังเป็นหรือเป็นไปแล้ว ขอให้หักหามความอิจฉาเอาไว้ อย่าให้มันเปิดเผยว่า คุณเป็นคนขี้อิจฉาให้คนอื่นเห็น เพราะจะทำลายตัวคุณเองและทำลายผู้อื่นด้วย

ส่วนถ้าเราได้ไปอยู่ใกล้ คนขี้อิจฉาขึ้นมาด้วยความจำยอม หรืออะไรก็แล้วแต่
รู้ไหมว่า คุณสามารถช่วยคนเหล่านี้ได้ ด้วยการ….

 บอกให้เขามองตังเองในแง่บวกมากขึ้น
ต้อง ฝึกมองให้ออกว่า ความทุกข์ก็ดี ความสุขก็ดี ที่แต่ละคนได้รับนั้น ล้วนเป็นผลมาจากการกระทำของผู้นั้นทั้งสิ้น เขาได้ดีก็เพราะเขาเคยทำดี เขาได้ไม่ดีก็เพราะเขาทำไม่ดีเช่นกัน แต่ละคนก็ลงทุนแรงมาทั้งนั้น เราเองก็เช่นกัน ถ้าทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว มันเป็นกฎแห่งกรรมธรรมดา ไม่มีใครได้ดีหรือชั่วเกินกว่าที่ตัวเองได้ทำไว้หรอก ทุกคนล้วน "สมควร" ได้รับในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไว้ทั้งนั้น

 มองหาข้อดี-ข้อเด่นในตังเองให้พบ
การ ที่เราเป็นคนขี้อิจฉา แสดงว่าคุณเป็นคนชอบเอวตัวของคุณองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือเป็นคนที่ไม่พอใจกับสิ่งที่คุณเป็นอยู่ ต้องค้นหาสาเหตุที่ตัวคุณ คุณมีปมอะไรอยู่หรือ ซึ่งจริงๆ แล้วตองแก้ที่จิตใจของคุณเอง ถ้าคุณค้นพบข้อดีในตัวเองและพัฒนาข้อดีในตัวคุณนั้นให้ดียิ่งขึ้นไป โดยเราไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น การอิจฉาจะไม่เกิดขึ้นได้เลย นั่นคือ การยอมรับในสิ่งที่คุณเป็น ฟังดูง่ายแต่อาจทำยาก ต้องค่อยๆ ฝึก อย่างเช่น เราคนอื่นรวย แล้วเราไปอิจฉาเขา เราต้องค้นลงไปว่าที่เขารวย เขารวยเพราะอะไร เขาขยันทำมาหากิน หรือโกงกินบ้านกินเมือง คุณไม่ควรจะอิจฉาคนแบบนั้นเลย คือนำความอิจฉานั้นมาพัฒนาตัวเราเป็นสิ่งที่ดี เห็นคนอื่นเขาสวยกว่าเรา รูปร่างสูงกว่าดีกว่าเรา เพราะอะไรที่เขาเป็นดารา เพราะเขากินแล้วออกกำลังกาย เขายอมอดเพื่อให้หุ่นสวย เราก็ทำแบบเขาบ้าง

 แนะให้มีความเมตตากรุณาต่อคนรอบข้างมากขึ้น
ส่วน ใหญ่ผู้ที่เกิดโรคอิจฉาริษยานั้น มักอยู่บนสมมติฐาน 2 ประการ คือ ประการแรกเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ คิดว่าตัวเองด้อยกว่าผู้อื่น เช่น จนกว่า สวยน้อยกว่า เก่งน้อยกว่า ประการที่สอง เกิดจากการคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น แต่ไม่ได้รับการยอมรับ หรือได้ในสิ่งที่ตนเองคิดว่าน่าจะต้องได้มากกว่าผู้อื่น เช่นคิดว่า ตัวเองทำงานเก่ง ฉลาด น่าจะต้องได้รับตำแหน่งที่คาดหวัง  แต่กลับไมได้ ลองคิดทบทวนดูว่าการที่คนอื่นได้ตำแหน่งที่ดีกว่าได้เงินเดือนเยอะกว่า เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะว่าประจบเจ้านาย แสร้งแกล้งทำหรือว่าความจริงแล้วทำงานดี ขยัน อดทน เจ้านายรัก ถ้าเป็นแบบนั้นมองกลับมารที่ตัวเราเองเลยว่าเราควรปรับปรุงอย่างไรบ้าง ความขยันและความอดทนจะทำให้เราประสบความสำเร็จได้เองได้ดี เพราะตัวเราเองหรือว่าอยากได้ดีเพราะการเสแสร้ง สิ่งไหนที่ยั่งยืนและยาวนานกว่ากัน ความดีที่เราทำใครอาจจะไม่รู้แต่ตัวเรารู้ ให้ทำดีต่อไปเถอะแล้วจะเกิดผลดีตอบ ขยัน และอดทนทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เชื่อได้แน่ๆว่าถ้าเราสามารถทำได้ดังที่กล่าวมาการใช้ชีวิตประจำวันก็จะมี ความสุข ความสมหวัง ตลอดไป

ดังนั้น ตำรับยาที่จะแก้โรคนี้ได้ ตองใช้สูตรที่ชื่อว่า "ความเมตตา"

คือ รู้จักรักตัวเองและผู้อื่นให้เป็นมีความปราถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ที่ทำงานหรือแม้แต่กับศัตรู

 วิธีใช้
เมื่อ ตื่นนอนทุกเช้าให้ริน "ความเมตตา" ออกมาจากใจ สัก 2 ช้อนโต๊ะแล้วทานก่อนอาหารเช้า จะให้เรามองโลกด้วยความสดชื่น ไม่ไปคอยจับผิดผู้อื่นให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจต่อกัน ทำอะไรกับใคร ก็จะทำด้วยความรัก เพราะความเมตตาจะเป็นเหมือนน้ำที่ช่วยดับธาตุไฟ อันร้อนรุ่มกลุ้มใจให้ลดน้อยและหากจะให้หายเร็วยิ่งขึ้น

อาจจะเพิ่ม กลางวัน เย็น และก่อนนอน อีกครั้งละ 1 ช้อนชา พร้อมฝึกลมหายใจ ด้วยการหายใจเข้าก็ "เฮ้อเธอ" หายใจออกก็ "เฮ้อเธอ" คือให้เห็นแก่ตัวให้น้อยลง และเห็นแก่คนอื่นให้มากขึ้น ไม่นานโรคอิจฉาริษยาก็จะลดน้อยถอยลงไป

หากทานเป็นประจำ สม่ำเสมอ ก็จะทำให้หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีเสน่ห์ให้คนอื่นรัก และยอมรับเรามากขึ้น ทำให้เรารู้สึกมีค่า ไม่ด้อยไปกว่าใคร และนำมาซึ่งสิ่งที่เราปราถนาได้ในที่สุด

ด้วยความปราถนาดีจาก ดร.ปราณี สุวิทย์ศักดานนท์
http://gotoknow.org/blog/sawadeeka/173479

37  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อาทิสสมานกาย อาภิสมานกาย คืออะไรครับ เมื่อ: มิถุนายน 09, 2010, 02:52:11 pm
อาทิสสมานกาย อาภิสมานกาย คืออะไรครับ

พวกผมลองโหลด ไฟล์เสียงเรื่อง มโนมยิทธิ บรรยายโดย อ.คณานันท์

ได้ยินคำว่า อาทิสสมานกาย อาภิสมานกาย บ่อยมาก

ผมลองค้นใน พระไตรปิฏก คอมพิวเตอร์ ก็ไม่เจอคำนี้ครับ

คำนี้ หมายถึง กายทิพย์ หรือป่าวครับ

และ กายทิพย์ คืออะไรครับ

เขียนถามเอง ก็ยัง งง เองเลยครับ

 :c017:
38  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / มีเรื่องกรรม ของการขับ มอร์เตอร์ ซิ่งบ้างหรือไม่ครับ เมื่อ: มิถุนายน 07, 2010, 10:57:18 am
 :035: :035:

เห็นพวกเพื่อน ขับมอร์เตอร์ ซิ่งตอนมาเรียน และกลับบ้าน

มีเรื่องเล่าเรื่องกรรม ของการขับมอร์เตอร์ซิ่ง บ้างหรือป่าวครับ

 :25:
หน้า: [1]