ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ระบบวรรณะ 4 หมดไปจากสังคมไทยกันหรือยัง  (อ่าน 5054 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

pongsatorn

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 242
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ระบบวรรณะ 4 หมดไปจากสังคมไทยกันหรือยัง
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2011, 05:21:40 pm »
0
ในปัจจุบัน ระบบวรรณะ คือการถือตัว ถือตน ถือเหล่า ด้วยวรรณะ ทั้ง 4 ได้หมดไปจากสังคมนี้แล้วหรือยัง

 1. กษัตริย์  2. พราหมณ์ 3.แพศย์ 4. ศูทร 5. จัณฑาล

สำหรับคนไทย นั้นได้ข้ามสิ่งเหล่านี้กันไปหรือยัง หรือ การถือวรรณะ ในครั้งพุทธกาล อาศัย แต่ที่มีความรังเกียจ
เดียดฉันท์ ว่าวรรณะ ต่ำ ไม่ควรจะมาสมาคม กับ วรรณะสูง

 ในครั้งพุทธกาล มีประวัติหรือไม่ครับ ว่าพวก จัณฑาล เลื่อนเป็น กษัตริย์ หรือ พราหมณ์ แพศย์ เป็นต้น
 
 :91:

บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ระบบวรรณะ 4 หมดไปจากสังคมไทยกันหรือยัง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2011, 08:25:48 am »
0
“พระเจ้าวิฑูฑภะผู้ทำลายศากยวงศ์”

   เหตุที่พูดเรื่องนี้ก็เพราะว่าบางครั้งเรื่องใหญ่ๆที่เกิดขึ้นมามันก็มาจากเรื่องเล็กๆ    เหมือนกับไฟที่ไหม้เมืองทั้งเมืองบางครั้งก็มาจากไม้ขีดก้านเดียวที่คนประมาท   หรือก้นบุหรี่ที่สูบแล้วก็ทิ้งกันก็สามารถไหมเมืองทั้งเมืองได้ เหมือนกับเรื่องนี้ก็เหมือนกัน เพราะถ้าท่านทั้งหลายอ่านข่าวต่างประเทศเมื่อไม่นานมานี้   

        ก็จะพบว่ามีข่าวอยู่ข่าวหนึ่ง   คือ  ข่าวการทำมาตุฆาต ปิตุฆาตของมกุฎราชกุมาร แห่ง ประเทศเนปาล  ซึ่งเป็นสถานที่ที่ประพุทธเจ้าประสูติ  พระพุทธเจ้าประสูติที่ประเทศเนปาลไม่ใช่ที่อินเดีย เพราะอินเดียกับเนปาลมันคนละประเทศกัน แต่มันอยู่ติดกันก็ปรากฏว่าข่าวนี้เล่นเอาช๊อกไปทั้งโลกเลย คือคิดไม่ถึงว่ามกุฎราชกุมารจะสามารถทำเรื่องที่ทำให้ทั้งโลกสลดหดหู่ได้ถึงขนาดนี้

         แต่ความจริงถ้านับย้อนหลังไปก่อนหน้านั้นเกือบ  ๒๖๐๐ ปี มันก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้วโดยเฉพาะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกษัตริย์เหมือนกันแต่เป็นตระกูลศากยวงศ์ซึ่งเป็นวงศ์ของพระพุทธเจ้านั่นเอง   แล้วก็ถูกฆ่าล้างโคตรเกือบหมดเผ่าพันธุ์  แต่ก็ยังหลุดรอดออกมาได้บ้าง  อย่างเช่นที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นอุปชาให้การอุปสมบทพวกศากยวงศ์เมื่อไม่นานมานี้ที่เป็นข่าวกันอยู่     ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่โจษจันกันมาในประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธเหมือนกัน   

        ถือว่าเป็นรอยดำด่างในประวัติศาสตร์ซึ่งก็เกิดมาจากเรื่องเล็กๆน้อยๆ  โดยเฉพาะการมีมานะ  การถือตัวถือตน ฉันดีกว่าเธอ เธอแย่กว่าฉัน  เธอเท่ากับฉันอะไรต่างๆ  ซึ่งมานะนี้มีถึง  ๙ ประการ  ความทะนงตัว   ความถือตัว  ด้วยชาติตระกูล  ชาตฺตระกูลนี่ก็สำคัญโดยเฉพาะในอินเดียระบบชั้นวรรณะนี่ถือว่าเข้มงวดมาก  แล้วก็เป็นตัวขัดขวางที่ทำให้อินเดียไม่เจริญ   ทั้งๆที่น่าจะเจริญมากกว่านี้ก็มาจากความไม่สามัคคีกันในระบบวรรณะนี่แหละผิวพรรณชาติตระกูล 

        แม้แต่ในฝรั่งเองซึ่งเขาถือว่าเขาเป็นชาติที่ศิวิไล  เราก็อย่าคิดว่าเขายกย่องกัน   อย่างเยอรมันเขาก็ถือว่าเขาเป็นอารยันเป็นเชื้อชาติที่สูง  แม้แต่เยอรมันเองเขาก็ดูถูกฝรั่งด้วยกัน เหยียดหยามกันเอง   ในหมู่พวกศิวิไลด้วยกันก็ยังมีคลาสมีชั้นกันต่างๆนาๆและเพราะไอ้ความชาตินิยม หรือ การถือสีผิว การคิดว่าตัวเอง ชาติตัวเอง กระกูลตัวเอง  เผ่าพันธุ์ตัวเองยิ่งใหญ่มันก็ก่อให้เกิดสงครามโลก  ก่อให้เกิดการประหัถประหาร  ทำให้เกิดความพินาศซึ่งกันและกัน  เหมือนดังเช่นเรื่องที่จะให้ฟังดังต่อไปนี้

                เรื่องนี้เกิดขึ้นในเมืองสารวัติถีประพุทธเจ้าทรงปรารถ  พระเจ้าวิฑูฑภะซึ่งมีศักดิ์เป็นเหลนของพระองค์ พระเจ้าวิฑูฑภะพร้อมทั้งกองทัพที่ถูกห้วงน้ำท่วมทับพัดพาจนสิ้นพระชนม์ สวรรคต แล้วก็ตรัสพระธรรมเทศนาว่า  หุปผานนิ  เหวปจินตัง  เป็นต้น   เรื่องนี้ยาวมากจะขอลัดตอนเอาตอนที่สำคัญก็แล้วกัน  คือในอดีตมีพระราชกุมาร ๓ พระองค์  ก็คือ พระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งตอนนั้นยังเป็นพระราชกุมาร  ความจริงพระเจ้าปเสนทิโกศลนี่ก็เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับพระพุทธเจ้า  คือมีพระชนมายุเท่าเทียมกัน 

                 ในตอนที่พระองศ์ทรงพระเยาว์พระองค์ก็เป็นราชโอรสของ พระเจ้ามหาโกศล   แล้วก็อีกพระราชกุมารพระองค์หนึ่งก็คือมหาลี   ที่เคยเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังไปแล้วว่าเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับพระพุทธเจ้ามาก  แล้วก็เคยเข้าไปทลถามพระพุทธเจ้าเรื่องของท้าวศะกะ    มหาลีนี่เป็นกษัตริย์ตาบอดซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทีหลัง  เจ้าชายชื่อว่ามหาลีในพระนครเวสาลี      แล้วโอรสของเจ้ามัลละในพระนครกุสินารา ชื่อว่าภัณธุระ ทั้งสามนี่เป็นเพื่อนรักกันเนื่องจากไปเรียนในสำนักตักศิลา     เป็นลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันเมื่อเรียนศิลปะก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับ   

                 พระเจ้าปเสนทิโกศลเมื่อกลับมาก็แสดงศิลปวิทยาให้พระราชบิดาได้ทอดพระเนตรก็เป็นที่เลื่อมใส   ต่อมาพระองค์ก็ได้ตำแหน่งแห่งความเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองสารวัตถี    ส่วนมหาลีกุมารก็ไปแสดงวิชาให้ญาติๆได้ชม    แสดงด้วยความพยายามมากเกินไปในที่สุดถึงขนาดพระเนตรบอดทั้งสองข้างแล้วก็ๆได้รับตำแหน่งให้เป็นอาจารย์สั่งสอนวิทยาการแก่พวกเจ้าลิจฉวีทั้งหลาย

            ส่วนภัณธุระนั้นก็กลับไปเมืองกุสินารา ซึ่งเมืองนี้เราจะคุ้นเคยนะเพราะว่าเป็นเมืองสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าไปเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานที่เมืองนี้ ภัณธุระพอกลับไปแสดงวิทยาการก็ปรากฏว่า    โดนพระประยูรญาติกลั่นแกล้งไปฟันไม้ไผ่แล้วมีเสียงดังกริ๊ก  ดังขึ้นก็แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น   จริงๆฟันมันไม่น่ามีเสียงแปลกๆแบบนี้ก็ปรากฏว่าพวกญาติแกล้งเอาเหล็กไปใส่ไว้ในไม้ไผ่ที่จะให้ฟัน   ก็เลยเกิดความน้อยพระทัยจะฆ่าล้างโคตรเผ่าพันธุ์   ตัวเองก็จะขึ้นเป็นกษัตริย์

             แต่พระราชบิดาพระราชมารดาบอกว่าไม่ได้   มันไม่เหมาะสม   มันไม่ใช่คิวของเราที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์  ด้วยความน้อยพระทัยก็เลยลาพระราชมารดาพระราชบิดาแล้วก็ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนคือ   พระเจ้าปเสนทิโกศลแล้วก็เป็นอำมาตย์คู่พระทัยของพระเจ้าปเสนทิโกศลเลย  นี่คือที่มาของสามพระสหาย

           ส่วนพระเจ้าปเสนทิโกศล  พระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยนั้นเหมือนกันและที่สำคัญก็คือพระองค์มีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างมาก   รักพระพุทธเจ้าเหลือเกิน    เพราะฉะนั้นวันหนึ่งพระองค์ก็ยืนประทับ   แล้วก็ทอดพระเนตรมองเห็นพระสงฆ์ที่ไปยังบ้านของอนาถบิณฑิกะบ้าง ไปบ้านนางวิสาขาบ้างพระองค์ก็มีความรู้สึกว่าอยากจะสนิทสนมกับพระพุทธเจ้าเนื่องจากความเคารพรัก   ก็เลยนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ทั้งหลายให้ไปฉันในวังบ้าง 

             สุดท้ายแล้วเนื่องจากราชกิจของพระองค์มันยุ่ง    เป็นกษัตริย์ก็ทราบอยู่ว่ามันมีภารกิจมาก    พระองค์ก็ลืมสั่งมหาดเล็กให้เตรียมอาหารถวายพระ พระสงฆ์พอมาก็เก้อมาถึงวังไม่มีใครมาใส่บาตรในที่สุดก็หลีกหนีกันไปหมด  ไปประตูบ้านอื่นกันหมด   จนกระทั่งเหลือแต่พระอานนท์องค์เดียว  พระราชาพอท่านนึกขึ้นมาได้  ท่านก็มาที่จะมาทรงบาตร 

             ปรากฏพระอานนท์องค์เดียวท่านก็กริ้ว  แต่ท่านก็ไม่ได้ทราบว่าตัวท่านนั้นเป็นคนลืมใส่บาตร  ท่านก็กริ้วบอกแหมพระสงฆ์ทำไมทำกับเราได้ขนาดนี้ เราเป็นถึงกษัตริย์เป็นใหญ่ในเมืองนี้แต่พระสงฆ์ไม่ให้ความสำคัญเลยก็กริ้วแล้วก็ไปทูลพระพุทธเจ้าไปฟ้องพระพุทธเจ้าบอกว่า    สมณะผู้เป็นสาวกของพระองค์ไม่ให้ความสำคัญกับหม่อมฉันเลย     หม่อมฉันอุตส่าห์นิมนต์ให้ไปฉันในวังก็เหลือแต่พระอานนท์องค์เดียวนอกนั้นก็ไม่สนใจ  พระพุทธเจ้า  ท่านก็ไม่ได้รับสั่งอะไรเพราะท่านก็รู้นี้แต่ท่านก็บอกว่า ดูก่อนมหาบพิตรบรรดาภิกษุทั้งหลายไม่ได้มีความคุ้นเคยในตัวพระองค์

        ประโยคนี้แหละเป็นที่มาของเรื่องทั้งหลาย   ก็คือพระราชาท่านก็เลยคิดท่านก็นึกว่าจะทำอย่างไรเราจะเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับพระพุทธเจ้าในที่สุดท่านก็นึกได้ว่า การจะคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้านั้นคือการจะต้องเป็นญาติกับพระพุทธเจ้า   ถ้าเป็นญาติกับพระพุทธเจ้าเมื่อไรเมื่อนั่นพระสงค์ก็จะต้องมีความรู้สึกว่า    พระราชากับพระพุทธเจ้าเป็นญาติกันทีนี้ก็จะได้เข้ามาในวังมาฉันอาหารได้สนิทใจ   ก็เลยส่งพวกทหารทั้งหลายไปสู่ตระกูลของศากยวงศ์   

        ความจริงถ้าเทียบกันโดยฐานะศักดิ์ตระกูลนี่  พระเจ้าปเสนทิโกศลนี่ยิ่งใหญ่มากกว่าในยุคนั่น ส่วนศากยวงศ์ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นวงศ์ที่ไม่ใหญ่นักถ้าเทียบกันทางประวัติศาสตร์  นอกจากไม่ใหญ่แล้วก็เป็นกษตัริย์แบบไม่ได้สืบสันติวงศ์เป็นแบบมาเลเซียในปัจจุบันนี้    ที่ว่าสุลต่านแต่ละรัฐนั้นพอหมดวาระก็จะผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปเป็นกษัตริย์ ศากยวงศ์ของพระพุทธเจ้าก็เป็นแบบนั้นไม่ได้สืบสันติวงศ์แบบของพระเจ้าปเสนทิโกศล   หรือของพระเจ้าพิมพิสาร

             เพราะฉะนั้นก็ปรากฏว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลก็เลย ส่งพวกทหารทั้งหลายส่งพระราชสาสน์ไปขอเจ้าหญิงจากพวกศากยวงศ์    ขอให้เจ้าศากยทั้งหลายจงประทานพระธิดาองค์หนี่งแก่หม่อมฉันด้วยเถิด   แล้วก็สั่งบังคับทหารเลยว่าต้องถามด้วยว่าเป็นพระธิดาของเจ้าศากยองค์ไหน  ก็ปรากฏว่าเมื่อราชทูตไปถึงเจ้าศากยทั้งหลายก็ประชุมกัน ความจริงตระกูลศากยวงศ์นี้แม้จะเป็นตระกูลเล็กแต่เขาถือว่ายิ่งใหญ่เป็นอาทิตย์โคตร สืบทอดเชื้อสายมมาจากพระอาทิตย์เป็นพวกอารยันมีชาติตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในอดีต  แล้วก็ดูถูกดูแคลนวงศ์ของพระเจ้าปเสนทิโกศลด้วย   

                แต่ก็รู้ว่าวงศ์ตระกูลนี่พอมาถึงปัจจุบันแม้ชาติตระกูลของเราจะยิ่งใหญ่แต่เมื่ออดีตมันผ่านพ้นไปความยิ่งใหญ่มันก็ลดลงไป  เพราฉะนั้นถ้าไม่พระราชทานเจ้าหญิงให้ไป  ศากยวงศ์ล่มแน่

         ในขณะนั้นท้าวมหานามะ  อนุรุทธกับมหานามะท่านทั้งหลายจำได้ไหมว่าพระพุทธเจ้ามีพระเจ้าอาเยอะ    พระราชบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะมีพระอนุชาเยอะสุขโคทนะ   อมิโตทนะ  โพโตทนะ  อะไรต่างๆ พระเจ้ามหานามะเป็นพระเชฐาของพระเจ้าอนุรุทธแล้วตอนนั้นก็ครองศากยวงศ์อยู่      พระเจ้ามหานามะก็เลยทูลว่าหม่อมฉันนี่มีธิดาอยู่องค์หนึ่งชื่อวาสภขัติยา     

          แต่ว่านางวาสภขัตติยานี่เธอเกิดในท้องนางทาสีแต่เธอก็มีรูปโฉมที่งดงามท่านทั้งหลายจำได้ไหมว่าพวกอินเดียนี่เขาห้ามสมสู่ข้ามวรรณะ   เช่น   กษัตริย์ต้องอภิเษกกับกษัตริย์   พราหมณ์ก็ต้องแต่งงานกับพราหมณ์ด้วยกัน   กษัตริย์  พราหมณ์  แพศย์  แพศย์นี่ไม่ได้หมายถึงแพทย์ที่รักษานะแพศย์นี่ก็คือพวกพ่อค้า    แล้วก็พวกศูทรนี่ก็คือพวกกรรมกร   

        ถ้าเมื่อใดก็ตามแต่งงานข้ามวรรณะถือว่าเป็นพวกจัณฑาล  พวกจัณฑาลนี่น่าสงสารมากสถานะทางสังคมนี่ต่ำยิ่งกว่าสัตว์เดียรัจฉานอีกท่านทั้งหลาย  ไปอินเดียนี่  ถ้าไปเจอวัวก็ต้องหลีกให้วัวนะ   เพราะเขาถือว่าวัวนี่เป็นพาหนะที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า   ต้องหลีกให้เขาอย่าไปทำร้ายไปทำอันตรายเขาไม่ได้เดี๋ยวไม่ได้กลับมาในประเทศไทย      แต่ปรากฏว่าคนที่เกิดในวรรณะจัณฑาลที่พ่อแม่สมสู่ข้ามวรรณะก็จะเป็นผู้ต่ำต่ำยิ่งกว่า คือไม่ได้รับสถานภาพที่ได้รับการยกย่อง

    เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเปรียบนางวาสภขัตติยา     ซึ่งเป็นราชธิดาของพระเจ้ามหานามะพระนางโดยสถานภาพก็เป็นคนจัณฑาล     เนื่องจากพระราชบิดาเป็นกษัตริย์ซึ่งก็คือพระมหานามะแต่พระองค์ก็ไม่เบาเหมือนกันเจ้าหญิงมีเยอะแยะมีก็ไม่สน ดันไปอภิเษกกับนางทาสีคนใช้สถานภาพของนางก็เลยเป็นจัณฑาลอันเนี้ยมันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดและมันเป็นต้นเหตุแห่งความพินาศล่มจมเลย    คือเจ้าหญิงศากยวงศ์มีเยอะแยะมากมายไม่ยอมพระราชทานมันก็เหมือนกับเป็นการดูถูกดูแคลนเอาใครไม่เอาเอาจัณฑาลไปพระราชทาน

        พวกราชทูตก็รู้นี่ว่าพวกศากยวงศ์นี่ถือยศถือศักดิ์มาก   ก็เลยทูลถามว่า  พระนางวาสภขัตติยานี่เป็นราชธิดาของเจ้าศากยวงศ์องค์ไหน   พวกเจ้าศากยก็บอกว่าเป็นธิดาของท้าวมหานามะศากยราชผู้เป็นถึงพระโอรสของพระเจ้าอาของพระพุทธเจ้า พวกราชทูตก็เลยไปกราบทูลพระราชา พระราชาก็โสมนัสดีใจจนเนื้อเต้นเลย    เชื้อสายตรงมากๆ  ดีแล้ว 

       แต่พวกศากยลวดลายเยอะเล่ห์กลมาก  เพราะฉะนั้นพวกราชทูตทั้งหลาย    ลองทดสอบดูว่าพระนางวาสภขัตติยาซึ่งเป็นราชธิดาของมหานามะเป็นลูกจริงหรือเปล่า    แต่เขาไม่มีการตรวจ  ดีเอ็นเอ  กันหรอกนะสมัยก่อน   ไม่มีการบอกว่าเดี๋ยวขอดูก่อนนะให้หมอตรวจดีเอ็นเอดูก่อนว่าตรงกันหรือไม่   เขามีวิธีการทดสอบบอกว่าถ้าเป็นลูกจริงๆก็ต้องเสวยพระกระยาหารร่วมวงกับพระบิดาได้  จริงๆแล้วมันทำไม่ได้หรอก  แต่ตอนนั้นไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยต้องเสวยอาหารร่วมกันกับพระบิดาได้จริงๆแล้วมันทำไม่ได้หรอก     แต่ว่าตอนนั้นไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยต้องแกล้งทำเป็นเหมือนกับว่าเสวยกระยาหารร่วมกันกับลูก

     ก็ปรากฏว่าในที่สุดเรื่องราวก็สำเร็จ  ทำอาการลวงเหมือนกับว่าเสวยกระยาหารร่วมกันกับลูกสาวเรียบร้อย    ก็ปรากฎว่าพระราชาก็ตั้งนางวาสภขัตติยาไว้ในตำแหน่งแห่งพระอัครมเหสีและต่อมาไม่นานพระนางก็ประสูติพระราชโอรสซึ่งผิวพรรณหน้าตางดงามมาก  แล้วพอถึงวันจะตั้งขนานพระนาม   พระราชาก็ส่งพระราชสาสน์ไปสู่ศากยตระกูลบอกว่าบัดนี้พระนางวาสภขัตติยาได้ประสูติพระราชโอรสแล้วขอให้เจ้าศากยทั้งหลายจงขนานนามหลานๆด้วยเถิด 

     ปรากฏว่าตอนนั้นพวกอมาตย์ที่ไป  อมาตย์ที่เป็นผู้ใหญ่แกหูตึงสักหน่อยก็ปรากฏว่าพวกเจ้าศากยก็บอกว่าพระนางวาสภขัตติยา ขณะที่ยังไม่มีพระโอรสก็ยังเป็นที่ยิ่งใหญ่ ครอบครองชนได้ตั้งมากมายขนาดนี้ พระนางเป็นที่โปรดปราณของพระราชาอย่างยิ่งเพราะฉะนั้นควรจะตั้งชื่อวัลลภ ก็แล้วกันวัลลภหรือวัลภานั้น คำว่าวัลลภก็คือผู้ใกล้ชิดผู้โปรดปราณอย่างที่เรารู้จัก นายทหารราชวัลลภ

     นั่นแหละก็คือทหารมหาดเล็กผู้ใกล้ชิดพระราชสำนัก ทีนี้อำมาตย์ที่ได้ฟังแกก็หูตึงแกก็ฟังคำว่าวัลลภผิดฟังเป็นวิฑูฑภะ ความจริงวัลลภกับวิฑูฑภะมันต่างกันเป็นโยชน์เลยนะ ไม่รู้ไปฟังอีท่าไหนสงสัยจะกรึ๊บหนักไปหน่อยก็ไม่รู้ ทั้งกรึ๊บหนักทั้งหูตึงด้วยจากวัลภ วัลลภ เลยกลายเป็นวิฑูฑภะ พระเจ้าประเสนทิโกศลก็เลยดีพระทัยบอกว่าเอาหละ พระราชโอรสของเราจะได้นามว่าวิฑูฑภะตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

       แล้วจากนั้นพระราชาก็พยายามที่จะทำให้พระพุทธเจ้ารู้ว่าพระองค์นี่เคารพพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก ก็เริ่มตั้งแต่ขอเจ้าหญิงมาเรียบร้อย ที่นี้ก็จะประจบหนะ จะประจบพระพุทธเจ้า วิฑูฑภะยังเป็นพระราชกุมารก็พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีให้เลย  เนื่องจากต้องการที่จะให้พระพุทธเจ้าโปรดปรานตัวพระองค์อย่างยิ่ง  เพราฉะนั้นวิฑูฑภะจึงเป็นพระราชกุมารที่ยิ่งใหญ่มากยังเด็กอยู่แท้ๆก็เป็นถึงเสนาบดีแล้ว แต่พระองค์ก็เป็นผู้ที่ฉลาดอยู่เหมือนกันเนื่องจากเวลาตอนเป็นเด็กๆได้เห็นพระราชกุมารองค์อื่นๆเขาก็จะมีพระเจ้าตา   พระเจ้ายาย    พระเจ้าปู่ส่งของเล่นมาเป็นเครื่องบรรณาการให้หลานๆเยอะแยะ   

      แต่ของตัวเองนี่ไม่มีเลยก็แปลกพระทัย  ไปทูลถามพระชนนีคือพระนางวาสภขัตติยาว่า “เสด็จแม่  เสด็จแม่นี่กำพร้าพระชนก  ชนนีหรืออย่างไร”  พระนางก็สงสัยบอก  มีอะไรหรือลูก    หม่อมฉันนี่ไม่เคยได้ของเล่นจากสำนักของพระเจ้าตาพระเจ้ายายเลย  แสดงว่าพระเจ้าตาพระเจ้ายายของเสด็จแม่คงไม่มีแล้วใช่ไหม   พระนางก็บอกว่า  ไม่ใช่เป็นเช่นนั้นหรอกลูก  พระเจ้าตาพระเจ้ายายของลูกยังมีชีวิตอยู่   แต่ว่าพระองค์เหล่านั้นอยูไกลมาก   ก็โกหกหลอกลูกไปอย่างนั้นเอาตัวรอดไปจริงๆใครเขาจะมาสนใจล่ะ    ถ้าแม่เป็นกาลากิณีเป็นคนจัณฑาล   ลูกออกมาก็จัณฑาล  จัณฑาลทั้งโคตรนั่นแหละ

     ก็ปรากฏว่าพอวิฑูฑภะอายุได้ ๑๖ พรรษา ก็อยากจะไปเยี่ยมพระเจ้าตาพระเจ้ายาย   อันนี้มันเป็นความผูกพันทางสายเลือดเหมือนกัน   ไม่ส่งของขวัญมาให้ก็ไม่เป็นไร   แต่อยากจะไปดูซิว่าเมืองของแม่นั้นเป็นอย่างไร    เมืองของแม่ที่ในกบิลพัสดิ์นั้นเป็นอย่างไร    นางวาสภขัตติยามีศักดิ์เป็นหลานพะพุทธเจ้าเพราะฉะนั้นวิฑูฑภะก็มีศักดิ์เป็นเหลน   วิฑูฑภะก็อยากไปเยี่ยม   ตอนแรกนางก็คัดค้านบอกอย่าไปเลยลุกเอ๊ยมันไกลเหลือเกิน     แต่ทีนี้ก็ไม่รู้จะห้ามอย่างไรลูกเป็นยุวกษัตริย์แล้ว  ใหญ่โต  สง่างาม  เรียบร้อยก็ไม่รู้จะห้ามอย่างไร  พอลูกอยากจะไปมากๆก็เลยต้องเลยตามเลย

      แต่พระนางก็ส่งม้าเร็วไปก่อนแล้วก็ทูลพระราชบิดาแล้วก็พระประยูรญาติว่า  หม่อมฉันอยู่ทางนี้สบายเหลือเกินขอให้พวกประยูรญาติไม่ต้องกังวลในความเป็นอยู่ของหม่อมฉัน    ความจริงเขาก็ไม่สนใจหรอก   เขาไล่ออกจากวังได้เขาก็ปลื้มใจแล้ว   ไม่ต้องมีจัณฑาลให้เป็นเสนียดแก่ดวงตา  แล้วพระนางก็กำชับบอกว่าอย่าให้พวกเจ้าศากยทั้งหลายทำเรื่องให้แตกเลย

       พวกเจ้าศากยะ  พอรู้ว่าวิฑูฑภะผู้เป็นหลาน      และกำลังจะเป็นกษัตริย์ในอนาคตจะมาเยี่ยมเท่านั้นก็ตกใจ   ประชุมปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียดเลย   เอาแล้วลูกนางวาสภขัตติยาลูกนางจัณฑาลจะมาแล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดี เพราะว่าพวกจัณฑาลถ้าให้พวกกษัตริย์ไปกราบไหว้ถือว่าเป็นเสนียดเป็นอัปมงคลต่อศากยวงศ์ทีเดียว   ก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยหากลอุบาย   ในที่สุดก็ส่งพระราชกุมารที่อายุน้อยกว่าวิฑูฑภะส่งออกจากเมืองไปให้หมด

       พอวิฑูฑภะเสด็จมาพร้อมทั้งกองทัพอันยิ่งใหญ่มาสู่กบิลพัสดิ์    ก็สั่งประชุมพระประยูรญาติในท้องพระโรง  แล้วท่านทั้งหลายทราบไหมเกิดอะไรขึ้น  วิฑูฑภะเดินไหว้ตั้งแต่หัวจรดปลายแถวเลย  นี่คือเสด็จตาของเจ้า   นี่คือเสด็จยายของข้านี่คือเสด็จอาของเจ้าอะไรก็ว่าไป  วิฑูฑภะก็ยกมือไหว้จนเมื่อยมือไปหมด   ก็สงสัยบอกว่าหม่อมฉันไม่มีกุมารที่เป็นน้องของหม่อมฉันบ้างเลยหรือไง     

        ทำไมหม่อมฉันต้องไหว้ตลอดเลยไม่มีใครไหว้หม่อมฉันบ้าง   ก็ปรากฎว่าพวกศากยก็บอกพวกน้องๆของเจ้าออกไปเที่ยวนอกเมืองกันหมดไม่มีไครอยู่

        ก็ปรากฏว่าในตอนนั้นวิฑูฑภะก็อยู่ในเมืองกบิลพัสดิ์อยู่ประมาณไม่กี่วัน  เจ้าศากยก็ทำการยกย่องเชิดชูวิฑูฑภะ  ยกย่องไปอย่างนั้นแหละชิดชูไปอย่างนั้นแหละแต่หัวใจน่ะขมขื่นเหลือเกิน  เนื่องจากต้องมายกย่องหลานเหลนเป็นกาลกิณีเป็นจัณฑาล ปรากฏว่าเมื่อวิฑูฑภะเสด็จกลับไปธรรมเนียมของคนอินเดีย    ถ้าเกิดคนจัณฑาลมานั่งมานอนที่ไหนเขาถือเป็นเสนียดมาก

        เพราะฉะนั้นต้องเอาน้ำนมมาล้างที่ตรงนั้น นางทาสีคนหนึ่งก็เหนื่อยสิเพราะวิฑูฑภะนั่งตรงนั้นบ้างยืนตรงนี้บ้าง    เที่ยวต้องเอาน้ำนมไปล้างหมดแกก็เหนื่อยพอเหนื่อยแกก็ด่าบอกว่า    นี่เป็นแผ่นกระดานที่บุตรของนางทาสีชื่อว่าวาสภขัติยานั่ง   มันทำให้เราต้องลำบาก  ล้างไปก็ด่าไป

        ทีนี้ก็เกิดเรื่องสิท่านทั้งหลาย  เกิดเรื่องเนื่องจากทหารคนหนึ่งของพระเจ้าวิฑูฑภะลืมอาวุธไว้  เป็นทหารลืมอาวุธไว้นี่มันน่าประหาร   ก็ลืมอาวุธพอลืมอาวุธทำไงก็กลับมาเจอยายป้าคนนี้กำลังเอาน้ำนมล้างที่นั่งวิฑูฑภะ  ล้างไปก็ด่าไปจึงแปลกใจก็เข้าไปถาม ยายคนนี้แกก็ไม่รู้นี่แกก็เล่าให้ฟังบอกว่า   วาสภขัติยาเป็นลูกของนางทาสีของท้าวมหานามะศากย  เท่านั้นแหละท่านทั้งหลายอื้อฉาวไปทั้งกองทัพเลย ดังกันไปหมดว่าวาสภขัตติยาเป็นลูกจัณฑาล วิทูธภก็จัณฑาลจัณฑาลกันหมดทั้งแม่ทั้งลูกก็เลยอื้อฉาวไปหมด

       ก็ถึงตอนสำคัญแล้วท่านทั้งหลาย   ลองดูซิว่าพระเจ้าวิฑูฑภะจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้ซึ่งถึงตอนที่ตื่นเต้นเหลือเกินเวลาก็หมดแล้ว    สำหรับวันนี้พอสมควรแก่เวลา    ลองดูซิว่าพระเจ้าวิฑูฑภะจะแก้แค้นอย่างไร   ตอนแรกเขาเอาน้ำนมมาล้างแล้ววิฑูฑภะจะเอาอะไรล้าง  อันนี้ตื่นเต้นมากเขาเรียกปฏิบัติการจองเวรอันสุนทรน่ากลัวเหลือเกินแล้วก็เป็นเรื่องที่สยดสยองมากในครั้งพุทธกาล

แต่วันนี้ก็สมควรแก่เวลาขอให้ท่านทั้งหลายตั้งสติคือตัวรู้ไว้ที่ดวงตาทั้งสองข้าง  ลืมตาขึ้นช้าๆออกจากสมาธิ

ที่มา www.buddhism.rilc.ku.ac.th/.../160%20พระเจ้าวิฑูฑภะผู้ทำลายศากยวงศ์.doc
ขอขอบคุณ  http://www.buddhism.rilc.ku.ac.th/

เรื่องพระเจ้าวิฑูฑภะ มีรายละเอียดอยู่ใน
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=14&p=3
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=395&Z=433

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ระบบวรรณะ 4 หมดไปจากสังคมไทยกันหรือยัง
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2011, 08:30:45 am »
0
นิทานเรือนธรรม - เรื่องที่ ๑ วิฑูฑภะ
เรียบเรียง จากหนังสือ ทางแห่งความดี เล่ม๑ โดยอาจารย์วศิน อินทสระ

มีเรื่องเล่าไว้ในพระไตรปิฏกดังนี้ว่า...

วันหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งสาวัตถี ประทับยืนที่ประสาทชั้นบน ทอดพระเนตรไปที่ถนน เห็นภิกษุหลายพันรูปกำลังเดินไป เพื่อฉันอาหารที่บ้านของอนาถปิณฑิกเศรษฐีบ้าง บ้านของจูฬอนาถบัณฑิตเศรษฐีบ้าง บ้านของนางวิสาขาและนางสุปปวาสาบ้าง พระราชาก็เลยมีพระประสงค์อยากจะเลี้ยงพระบ้าง จึงเสด็จไปเฝ้าพระศาสดา ทูลนิมนต์พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ มาเสวยที่วัง ๗ วัน และในวันที่ ๗ ก็ทูลพระศาสดาว่า

“ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์และพระสงฆ์สาวก จงรับภิกษาในวังเป็นนิตย์เถิด”

พระ ศาสดาตรัสว่า “มหาบพิตร ธรรมดาพระพุทธเจ้าย่อมไม่รับอาหารประจำในที่แห่งเดียว เพราะประชาชนเป็นอันมาก หวังการมาของพระพุทธเจ้า” คือต้องการให้พระพุทธเจ้าไปเสวยที่บ้านของตนบ้าง

พระราชาเลยทูลขอให้ส่งภิกษุรูปหนึ่งเป็นหัวหน้ามาแทนพระพุทธองค์ พระศาสดาทรงมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของพระอานนท์


พระราชาทรงอังคาส(เลี้ยง)พระสงฆ์ด้วยพระองค์เอง แล้วก็ทรงกระทำติดต่อกันมาอีก ๗ วัน พอวันที่ ๘ ทรงลืม

เนื่องจากไม่ได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ไว้ จึงไม่มีใครกล้าทำอะไร กว่าพระองค์จะทรงระลึกได้ พระสงฆ์ก็กลับไปหลายรูป

วันต่อมาก็ทรงลืมอีก พระสงฆ์ก็กลับไป วันต่อมาก็ทรงลืมอีก คราวนี้พระสงฆ์กลับหมด เหลือพระอานนท์อยู่รูปเดียว

พอ พระราชานึกได้ก็เสด็จมา เห็นพระอานนท์อยู่องค์เดียวก็น้อยใจ เมื่อเลี้ยงพระอานนท์เสร็จแล้ว ก็เสด็จไปเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า “ข้าพระองค์จัดแจงอาหารไว้สำหรับพระ ๕๐๐ รูปแต่มีพระอานนท์อยู่รูปเดียว ทำให้ของเหลือมากมาย พวกภิกษุสงฆ์ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่รักษาศรัทธาของข้าพระองค์เลย”

พระศาสดาไม่ได้ตรัสโทษพระภิกษุ ทรงเข้าพระทัยทุกสิ่งทุกอย่าง ตรัสกับพระราชาว่า

“มหาบพิตร พระสงฆ์คงจะไม่คุ้นเคยกับราชสกุล จึงได้กระทำดังนี้”

พระ ราชาอยากจะให้พระสงฆ์คุ้นเคยราชสกุลเลย ทรงหาอุบายว่า ถ้าพระองค์เป็นญาติกับพระพุทธเจ้าได้ พระสงฆ์คงจะคุ้นเคย ควรจะไปขอเจ้าหญิงแห่งศากยวงศ์มาเป็นพระมเหสีสักองค์หนึ่ง จึงแต่งทูตถือสาส์นไปกรุงกบิลพัสดุ์ ขอเจ้าหญิงมาเป็นมเหสี

ฝ่าย ทางศากยวงศ์ ถือตัวว่าสกุลสูงกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล แต่เวลานั้นแคว้นโกศลก็เป็นใหญ่อยู่ ดังนั้นเลยลำบากใจกันมาก จะไม่ให้ก็กลัวอำนาจ ครั้นจะให้ก็กลัวสกุลของตน จะไปปะปนกับเลือดสกุลอื่นที่ต่ำกว่าตน

เมื่อประชุมปรึกษากัน ท้าวมหานาม ก็เสนอว่า

“หม่อมฉันมีธิดาอยู่คนหนึ่ง ชื่อวาสภขัตติยาเป็นลูกของทาสี มีความงามเป็นเลิศ เราสมควรให้นางแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล”

ที่ ประชุมเห็นชอบจึงจัดนางส่งไป พระเจ้าปเสนทิโกศลไม่ทราบจึงโปรดปรานมาก ให้สตรีมาเป็นบริวาร ๕๐๐ ต่อมานางประสูติพระโอรส นามว่าวิฑูฑภะ


ความ จริงก่อนให้ทูตรับนางมา พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ป้องกันการถูกหลอกเหมือนกัน เช่น จะต้องเป็นธิดาที่ร่วมเสวยกับนางราชฑูตดู แต่ก็วางแผนให้มหาดเล็ก วิ่งกระหืดกระหอบมาว่า ไฟไหม้พระราชวัง ทำให้ต้องเลิกเสวยทันทีเพื่อไปดูแลดับไฟ

แม้แต่ชื่อของวิฑูฑภะ ก็ได้มาโดยการฟังผิด คือ เมื่อพระกุมารประสูติแล้ว พระเจ้าปเสนทิส่งราชทูตไปขอให้พระเจ้ายายพระราชทานนามให้ ซึ่งพระเจ้ายายให้นามว่า วัลลภา แปลว่า เป็นที่โปรดปราน แต่ราชทูตหูตึง ฟังเป็นวิฑูฑภะ

ต่อมาเมื่ออายุได้ ๑๖ ปี วิฑูฑภะ ก็เสด็จเยี่ยมกรุงกบิลพัสดุ์ มารดาพยายามทัดทานหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ พระนางคงรีบส่งสาส์นล่วงหน้าไปก่อน เพื่อให้ปฏิบัติต่อวิฑูฑภะอย่างเหมาะสม

เมื่อ ทราบข่าว ทางศากยวงศ์ก็ประชุมกัน พวกเขาไม่ลืมว่า มารดาของวิฑูฑภะเป็นธิดาของทาสี ดังนั้น ตัววิฑูฑภะเองแม้จะเป็นพระโอรส พระเจ้าปเสนทิ แต่มารดาวรรณะต่ำ พวกเขาไม่สามารถให้เกียรติอย่างลูกกษัตริย์ได้ จึงจัดแจงส่งพวกเด็กๆที่อายุน้อยกว่าวิฑูฑภะ ออกไปชนบทหมด เพื่อจะได้ไม่ต้องไหว้ทำความเคารพลูกของทาสี

เมื่อวิฑูฑภะเสด็จมา ถึง ทางกบิลพัสดุ์ก็ต้อนรับดีพอสมควร วิฑูฑภะต้องเที่ยวไหว้คนโน้นคนนี้ ที่เป็นตายาย ลุงป้า น้า อา พี่ แต่ไม่มีใครที่จะไหว้พระองค์ก่อนเลย เมื่อถามก็ได้รับคำตอบว่าออกไปตากอากาศกันหมด วิฑูฑภะก็เก็บความสงสัยไว้ในใจ

พระองค์ประทับอยู่เพียง ๒-๓ วัน ก็เสด็จกลับ พกเอาความสงสัยไปด้วย ว่าทำไมได้รับการต้อนรับที่เย็นชาเหลือเกิน

ขณะ เสด็จออกไปจากวังนั้น นายทหารคนหนึ่งได้ลืมดาบไว้ จึงวิ่งกลับไปเอา ได้เห็นหญิงรับใช้ กำลังเอาน้ำเจือน้ำนม ซึ่งถือว่าเป็นน้ำล้างเสนียดจัญไรออกไป ล้างแผ่นกระดานที่วิฑูฑภะนั่ง พลางก็บ่นว่า นี่คือกระดานที่วิฑูฑภะ บุตรนางทาสีนั่ง

ทหารผู้นั้น เข้าไปถาม ทราบเรื่องโดยตลอด เมื่อกลับมาก็กระซิบกันไปทั่วกองทัพ วิฑูฑพะก็ทรงทราบด้วย ทรงพิโรธมาก อาฆาตพวกศากยะว่า เวลานี้ขอให้พวกศากยะล้างแผ่นกระดานที่ประทับนั่งด้วยน้ำเจือด้วยน้ำนมก่อน เมื่อใดที่ได้ครองแคว้นโกศลจะกลับมาล้างแค้นโดยเอาเลือดในลำคอของพวกศากยะ ล้างแผ่นกระดาน

เมื่อถึงสาวัตถี พวกอำมาตย์ทูลให้พระเจ้าปเสนทิทรงทราบ ทรงพิโรธมาก รับสั่งให้ถอดพระนางวาสภขัตติยาและวิฑูฑภะออกจากตำแหน่ง รับเครื่องบริหารและเครื่องเกียรติยศทั้งปวง พระราชทานให้เพียงสิ่งของที่ทาสทาสี ควรใช้เท่านั้น


ต่อมาอีก ๒-๓ วัน พระศาสดาเสด็จมา พระเจ้าปเสนทิทูลให้ทรงทราบ พระศาสดาตรัสปลอบว่า

“มหาบพิตร พวกศากยะกระทำไม่สมควรเลย เมื่อจะถวายก็ควรจะถวายพระราชธิดา ที่มีชาติเสมอกันจึงจะควร”

ครู่หนึ่งผ่านไป พระศาสดา จึงตรัสอีกว่า

“แต่ อาตมาภาพใคร่ถวายพระพรว่า พระนางวาสภขัตติยานั้นเป็นธิดาของ ขัตติยราช ได้รับการอภิเษกในพระราชมณเทียรของขัตติราช ฝ่ายวิฑูฑภะเล่าก็ได้อาศัยขัตติยราชนั้นแลประสูติแล้ว มหาบพิตรตระกูลฝ่ายมารดาไม่สู้สำคัญนัก สำคัญที่ฝ่ายบิดา แม้บัณฑิตแต่โบราณก็เคยพระราชทานตำแหน่งอัครมเหสีแก่หญิงยากจนหาบฟืนขาย และพระราชกุมารอันประสูติจากครรภ์สตรีนั้นก็ได้ เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ในนครพาราณสี พระนามว่า กัฏฐวาหนราช”

พระราชาทรงเชื่อและคืนเกียรติยศแก่พระนางวาสภขัตติยาและวิฑฑูภะดังเดิม

ต่อมา วิฑูฑภะได้ราชสมบัติโดยการช่วยเหลือของ ทีฆการายนะ เสนาบดี

ฑีฆการายณะนั้นเป็นหลานของพันธุละเสนาบดี ซึ่งพระเจ้ปเสนทิวางอุบายให้คนของพระองค์ฆ่าเสีย โดยมิได้มีความผิดแต่เพราะมีคนยุยงว่าพันธุละต้องการแย่งราชสมบัติก็ทรง เชื่อ

พันธุละมีบุตร ๓๒ คน ก็ถูกฆ่าตายหมดพร้อมกันพระราชาทราบความจริงภายหลัง โทมนัสมาก พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีให้ฑีฆการายนะ ผู้เป็นหลานของพันธุละ เพื่อทดแทนความผิดที่พระองค์ทำไป

ฑีฆการายนะผูกใจเจ็บ หาโอกาสแก้แค้นอยู่เสมอ

วันหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิเสด็จไปเฝ้าพระศาสดาที่นิคมชื่อ เมทฬุปะ ของพวกศากยะ ทรงพักพลไว้ใกล้พระอาราม เสด็จไปเฝ้าพระศาสดาแต่พระองค์เดียว

ฑีฆการายนะได้โอกาส จึงมอบเครื่องราชกกุธภัณฑ์ให้วิฑูฑภะแล้วนำผลกลับพระนคร คือแย่งราชสมบัติไปดื้อๆนั่นเอง วิฑูฑภะก็พอใจ เพราะจะได้แก้แค้นศากยะได้เร็วขึ้น

พระเจ้าปเสนทิกลับจากเฝ้าพระ ศาสดา ไม่เห็นไพร่พล มีแต่ม้าตัวหนึ่งกับหญิงรับใช้คนหนึ่งอยู่ที่นั่น ทรงทราบความแล้วก็เสด็จไปเมืองราชคฤห์เพื่อขอกำลังของพระเจ้าอชาตศัตรูมา ปราบวิฑูฑภะ แต่กลับไปถึงค่ำ ประตูเมืองปิดเสียแล้ว ไม่อาจเข้าเมืองได้ จึงทรงพักที่ศาลาหน้าเมือง แต่ด้วยความหนาว ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และทรงชรามาก อายุ ๘๐ แล้ว ดังนั้นจึงสิ้นพระชนม์ในคืนนั้น

ตอนเช้า พระเจ้าอชาตศัตรูจึงให้รับพระศพเข้าไปถวายพระเพลิงอย่างสมพระเกียรติ

ฝ่ายวิฑูฑภะ ได้เป็นกษัตริย์แล้ว ก็เตรียมทัพไปตีพวกศากยะ

พระ ศาสดาทรง ตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นความพินาศจะมาถึงหมู่พระญาติมีพุทธประสงค์ จะบำเพ็ญประโยชน์เพื่อพระญาติ จึงเสด็จไปประทับ ณ พรมแดนระหว่างโกศลกับศากยะ ประทับ ณ ใต้ต้นไม้ที่มีใบน้อยต้นหนึ่งในแดนศากยะ ถัดมาอีกเล็กน้อยเป็นเขตแดนแคว้นโกศล มีต้นไทรใหญ่ ใบหนาร่มรื่นครึ้มขึ้นอยู่


พระเจ้าวิฑูฑภะ ยกกองทัพผ่านมาทางนั้น ทอดพระเนตรเห็นพระศาสดาจึงเข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้วทูลว่า

“พระองค์ ผู้เจริญ เพราะเหตุไร จึงประทับใต้ต้นไม้ อันมีใบน้อยในเวลาร้อนถึงปานนี้ ขอพระองค์โปรดประทับนั่ง ณ โคนต้นไทร อันมีร่มครึ้ม มีเวลาเย็นสนิทดีทางแดนโกศลเถิด”

“ขอถวายพระพรมหาพิตร ร่มเงาของพระญาติเย็นดี”

พระเจ้าวิฑูฑภะ ทรงทราบทันทีว่าพระศาสดาเสด็จมาป้องกันพระญาติ อนึ่งทรงระลึกได้อยู่ว่า พระศาสดาเคยช่วยเหลือให้ได้รับเกียรติยศคืนมา ในครั้งก่อน ดังนี้จึงยกทัพกลับ

แต่ความแค้นยังกรุ่น จึงยกทัพไปอีกสองครั้ง พบพระศาสดาในที่เดียวกันและยกทัพกลับทั้ง ๒ ครั้ง

พอถึงครั้งที่ ๔ พระศาสดาทรงพิจารณาเห็นกรรมเก่าของพวกศากยะที่เคยเอายาพิษโปรยลงในแม่น้ำ ทำให้สัตว์น้ำตายหมู่เป็นอันมาก กรรมนั้นกำลังมาให้ผลพระองค์ไม่สามารถต้านทานได้ จึงมิได้เสด็จไปในครั้งที่๔

พระเจ้าวิฑูฑภะเสด็จมาถึงพรมแดนนั้น ไม่ทอดพระเนตรเห็นศาสดาจึงเสด็จเข้ากบิลพัสดุ์ จับพวกศากยะฆ่าเสียมากมาย ไม่เว้นแม้แต่เด็กกำลังดื่มนม รับสั่งให้เอาโลหิตในลำคอของพวกศากยะล้างแผ่นกระดานที่เคยนั่ง แล้วกลับสาวัตถี

เมื่อมาถึงฝั่งแม่น้ำอจิรวดีในเวลาค่ำ จึงให้ตั้งค่ายพัก ไพร่พลเลือกนอนได้ตามใจชอบ บางพวกก็นอนที่หาดทรายในแม่น้ำเมื่อน้ำลง หาดทรายในแม่น้ำนอนได้สบาย แต่บางพวกก็นอนบนบกริมฝั่ง

พอตกดึก พวกที่นอนบนบกแต่ทำกรรมไว้ร่วมกันมา ก็ถูกมดแดงกัดลงไปนอนที่ชายหาด ส่วนพวกที่นอนชายหาด ก็ถูกมดแดงกัดหนีขึ้นไปนอนข้างบน


มหาเมฆตั้งเค้าทางเหนือน้ำ ฝนตกใหญ่ น้ำหลากอย่างรวดเร็ว พัดเอาวิฑูฑภะกับบริวารบางพวกลงสู่มหาสมุทรตายกันหมด

ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาเรื่องพระเจ้าวิฑูฑภะ ว่า ได้สิ้นพระชนม์ไปในขณะที่ยังมีความปรารถนาอื่นๆอยู่อีกมาก


พระศาสดาเสด็จมาสู่ธรรมสภา ตรัสว่า

“ภิกษุ ทั้งหลาย เมื่อความปรารถนาของสัตว์ทั้งหลายยังไม่จบลงนั่นเอง มัจจุราชก็เข้ามาตัดชีวิตให้จมลงในสมุทร คือ อบาย๔ ดุจห้วงน้ำใหญ่หลากมาท่วมชาวบ้านผู้หลับอยู่ฉะนั้น”

ดังนี้แล้วตรัสพระคาถาว่า

“มัจจุ คือความตาย ย่อมพัดพาเอาบุคคลผู้มีใจข้องในอารมณ์ต่างๆ ผู้เลือกเก็บดอกไม้คือกามคุณ ๕ อยู่ เหมือนห้วงน้ำใหญ่ไหลหลาก พัดพาเอาชาวบ้านผู้หลับอยู่ฉะนั้น”

หมายเหตุ: กามคุณ ๕ มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย)

ที่มา http://dhammavoice.blogspot.com/2009/03/blog-post_06.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

pamai

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 139
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ระบบวรรณะ 4 หมดไปจากสังคมไทยกันหรือยัง
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2011, 08:25:05 am »
0
ระบบเจ้าขุนมูลนาย แบบเมื่อครั้งย้อนหลัง ร. 5 ลงไปนั้น ได้หมดไปจากประเทศไทย อาจจะมีเรื่องของความภักดีกับ
บุคคลบางกลุ่มบ้างแต่ สำหรับความอิสระ เสรี ตามความคิด นั้นประเทศไทย จัดได้ว่าเป็นประชาธิปไตยเต็มตัวตั้งแต่
สมัย ร.7 แล้ว ดังนั้นบ้านเมืองไทย จึงเห็นคนออกมาประท้วง กันบ่อย ๆ เพราะฟรีทางความคิด

ดังนั้นประเทศไทย นั้น วรรณะ 4 ยังมีอยู่ แต่ มีอยู่ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ใช่มีไว้เพื่อดูหมิ่นซึี่งกันและกัน

 :85:
บันทึกการเข้า