ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - samapol
หน้า: 1 [2]
41  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตะลึง ถึงจะขาขาดเหนือเข่าต้องใส่ขาเทียม ก็ยังอาละวาดก่อเหตุวิ่งราวกระเป๋า เมื่อ: มกราคม 06, 2011, 12:32:12 pm

ตะลึง โจรขาด้วน ถึงจะขาขาดเหนือเข่าต้องใส่ขาเทียม ก็ยังอาละวาดก่อเหตุวิ่งราวกระเป๋าผู้หญิงด้วยรถจยย. ตร.จับได้ตามยึดของกลางได้เพียบซุกซ่อนไว้ในห้องเช่า สารภาพทำจริง แต่อ้างเหตุเพราะเป็นคนพิการ เลยไม่มีใครจ้างทำงาน ต้องกลายเป็นโจรจำเป็น เลือกเป้าหมายเฉพาะผู้หญิง แล้วใช้จยย.เกียร์ออโต้เป็นพาหนะในการก่อเหตุ ได้เงินมาก็เอาไปเลี้ยงแม่ที่อายุกว่า 70 ปีแล้ว

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 5 ม.ค. ที่ห้องประชุมชั้น 3 สภ.สำโรงใต้ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ พ.ต.อ.ฐิติพันธ์ อมรสุคนธ์ รอง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ พ.ต.อ.นริศวร์ ละม้ายอินทร์ รรท.ผกก.สภ.สำโรงใต้ พ.ต.ท. ชัญญวัฒน์ สิมสวัสดิ์ รรท.รอง ผกก.สส. พ.ต.ต.นัฎฐพงษ์ ศรีเพ็ญประภา สว.สส. แถลงผลการจับกุมนายชานนท์ เนตรสืบสาย อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34/308 ม.4 ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ หนุ่มพิการขาซ้ายด้วนเหนือเข่า ต้องสวมขาเทียม พร้อมของกลางรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า มีโอ สีแดงขาว ทะเบียน สปส 247 กทม. รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า มีโอ สีน้ำเงินเหลือง ไม่ติดทะเบียน หมวกกันน็อก 4 ใบ กระเป๋าสะพายสตรี 12 ใบ บัตรประชาชนและบัตรเครดิตอีกกว่า 30 ใบ สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร 15 เล่ม กล้องถ่ายรูปดิจิตอล 10 ตัว และทรัพย์สินมีค่าอีกกว่า 50 รายการ

พ.ต.อ.ฐิติพันธ์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจาก ตามนโยบายของพล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ ได้กำชับให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สภ.สำโรงใต้ จึงได้มีการกวาดล้างจับ กุมตัวผู้ค้ายาบ้าและผู้เสพ ซึ่ง 1 ในผู้ต้องหา คดียาเสพติดคือ นายชานนท์ ซึ่งมีการจับกุม ได้บริเวณปากซอยกุศลส่ง 9 ต.สำโรง อ.พระ ประแดง โดยมีการพบรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว เมื่อสอบสวนก็รับสารภาพว่า ไว้ใช้ก่อเหตุวิ่งราว

เจ้าหน้าที่จึงขยายผล พบของกลางของ ผู้เสียหายหลายรายการซุกไว้ในห้องเช่าไม่มีเลขที่ท้ายซอยดังกล่าว โดยนายชานนท์รับสารภาพเพิ่มเติมว่าก่อเหตุมาแล้วกว่า 20 ครั้ง ทั้งในพื้นที่สภ.เมืองสมุทรปรการ และสภ.สำโรงเหนือ อ้างว่าตัวเองเป็นคนพิการ ไม่มีใครรับเข้าทำงาน จึงจำใจต้องเป็นโจร ด้วยการตระเวนขับขี่รถจักรยานยนต์แบบออโตเมติก ลงมือวิ่งราวเพียงคนเดียว ไม่ต้องมีเพื่อนร่วมแก๊ง เป้าหมายวิ่งราวก็คือกระเป๋าสุภาพสตรี เงินที่ได้มา ก็นำไปใช้จ่ายเลี้ยงแม่ที่มีอายุกว่า 70 ปี หลังสอบเสร็จ ตำรวจนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบ สวนดำเนินคดีต่อไป

ที่มา

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXhNREEyTURFMU5BPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1TMHdNUzB3Tmc9PQ==
42  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / กระต่ายตื่นตูม เมื่อ: มกราคม 02, 2011, 10:34:33 am
นิทานชาดกเรื่อง "กระต่ายตื่นตูม"
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดพระเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภเดียรถีย์ (นักบวชนอกศาสนา) ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาล ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มีดงตาลกับต้นมะตูมอยู่ติดทะเลด้านทิศตะวันตกของป่านั้น  ณ ที่ดงตาลนั้นมีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ใต้ต้นตาลใกล้ต้นมะตูมต้นหนึ่ง วันหนึ่ง วันหนึ่งเจ้ากระต่ายออกเที่ยวหากินอิ่มแล้ว กลับมานอนพักผ่อนอยู่ใต้ใบตาลแห้ง กำลังนอนคิดเพลิน ๆ อยู่ว่า "ถ้าหากแผ่นดินนี้ถล่ม เราจะไปอยู่ที่ไหนหนอ" ทันใดนั้นเองผลมะตูมสุกลูกหนึ่งได้หล่นลงมาถูกใบตาลเสียงดังลั่นเจ้ากระต่าย นึกว่าเป็นเสียงแผ่นดินถล่ม จึงร้องขึ้นสุดเสียงว่า "แผ่นดินถล่มแล้ว ๆ " พร้อมกับกระโดวิ่งหนีไปสุดชีวิตโดยไม่เหลียวหลังมาดูเลย

กระต่ายตัว อื่น ๆ เห็นมันวิ่งหนีอะไรมาสุดชีวิตจึงร้องถามมันว่า "เจ้าวิ่งหนีอะไรมา" มันทั้งวิ่งทั้งร้องตอบว่า "รีบหนีเร็ว แผ่นดินถล่มแล้ว ๆ" กระต่ายจำนวนนับพันต่างก็รีบวิ่งหนีตายตามมันไปด้วย สัตว์ป่านานาชนิดเมื่อทราบข่าวต่างก็วิ่งหนีตามกระต่ายไป ฝูงสัตว์วิ่งหนีตามกันมาเป็นทิวแถว ราชสีห์เห็นสัตว์น้อยใหญ่วิ่งกันมาฝุ่นฟุ้งกระจุยจึงร้องถามไปว่า "พวกเจ้าวิ่งหนีอะไรมา" ได้รับคำตอบว่า "เจ้านาย แผ่นดินที่โน้นถล่มแล้ว พวกเราวิ่งหนีตาย" แล้วก็วิ่งไปต่อ บ่ายหน้าไปทางหน้าผาสูงชันโดยไม่รู้ตัว ราชสีห์ด้วยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลายเกรงว่าจะตกเหวตายเสียหมด จึงวิ่งไปดักข้างหน้าพร้อมกับคำรามเสียงดังลั่นขึ้น ๓ ครั้ง สัตว์ทั้งหลายพอได้ยินเสียราชสีห์ก็พากันตกใจกลัวตื่นจากภวังค์หยุดวิ่ง

ราชสีห์ จึงถามว่า "ใครเห็นแผ่นดินถล่มบ้าง" พวกสัตว์บอกว่า "ช้างเห็นขอรับ" ช้างบอกว่า "เสือเห็น" เสือบอกว่า "แรดเห็น" แรดบอกว่า "ควายเห็น" ควายบอกว่า "หมูป่าเห็น" หมูป่าบอกว่า "กวางเห็น" กวางบอกว่า "กระต่ายเห็น" พวกกระต่าย จึงชี้บอกว่า "กระต่ายตัวนี้เห็นแผ่นดินถล่มครับ..นาย" ราชสีห์จึงถามกระต่ายตัวนั้นว่าเป็นจริงหรือเปล่า กระต่ายตอว่า "ข้าพเจ้าเห็นจริง ๆ นายท่าน ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนพักผ่อนอยู่ใต้ใบตาลก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น ข้าพเจ้าจึงวิ่งหนีตายมานี่ละ.. นายท่าน"

ราชสีห์เพื่อตรวจสอบข้อ เท็จจริงจึงบอกให้สัตว์ทั้งหลายรออยู่ที่ตรงนั้นส่วนตนและเจ้ากระต่ายได้ เดินกลับไปดูสถานที่ต้นเหตุ ตรวจดูเห็นผมมะตูมสุกลูกหนึ่งวางอยู่ก็เข้าใจทันที จึงกลับมาบอกสัตว์ทั้งหลายว่า "ท่านทั้งหลายเลิกกลัวได้แล้ว เสียงแผ่นดินถล่ม เป็นเสียงผลมะตูมสุกหล่นกระทบใบตาลแห่งดอก เลิกกลัวได้แล้ว" สัตว์ทั้งหลายอาศัยราชสีห์จึงเอาชีวิตรอดมาได้

พระพุทธองค์จึงตรัสพระคาถาว่า
"พวก คนโง่เขลายังไม่ทันรู้เรื่องราวแจ่มแจ้ง ฟังคนอื่นโจษขาน ก็พากันตื่นตระหนก พวกเขาเชื่อคนง่าย ส่วนคนเหล่าใดเป็นนักปราชญ์ เพียบพร้อมด้วยศีลและปัญญา ยินดีในความสงบ และเว้นไกลจากการ ทำชั่ว คนเหล่านั้นหาเชื่อคนอื่นง่ายไม่"
 
 
นิทาน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ก่อนแต่จะเชื่ออะไรใครควรพิจารณาตรวจสอบความเป็นจริงเสียก่อนเพื่อความถูก ต้องจะไม่ได้เป็นอย่างกระ ต่าย ตื่นตูม   
43  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เวรกรรม มีจริง หรือ ไม่ ? เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 05:57:43 pm
สมัยนี้คนทำดี มักตกอับ เท่าที่ผมมองเห็น

  มีเพื่อน ๆ ผมคนหนึ่ง เป็นราชการ ทำงานตงฉิน เพราะความตงฉิน ของเพื่อนผม นั้นถูกสั่งย้ายปัจจุบัน

 ถูกย้ายไปอยู่ในป่า ในเขา แล้ว ชีวิตการทำงานไม่ราบรื่นครอบครัวก็ดูเหมือนจะมีปัญหา ๆ หลัก ๆ ก็คือ

 ลูก เีมีย อยากให้คลายความสัตย์ซื่อลงบ้าง แต่เพื่อนผมคนนี้ยืนย้นปณิธานเช่นเดิม จะทำความดีปิดทอง

 หลังพระ ต่อไป แม้ที่ผ่านาจะเฉีัยดกระสุนไปหลายครั้ง ก็ยังตั้งใจทำงาน

  ที่เล่าให้ฟัง เพราะแม้แต่ชื่อของเพื่อนผม ๆ ยังไม่กล้านำมาเอ่ย เพราะเกรงว่าจะมีภัยมากกว่ามีคนชื่นชม

คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ยังจะมีอยู่จริงหรือ ป่าว ผมสงสัยว่า หรือเป็นเพียงคำปลอบประโลมใจให้

กำลังใจ สำหรับคนทำดี เท่านั้น

  เวรกรรม มีอยู่จริง หรือ ป่าวทำไม ต้องทำให้คนดี ต้องจากกันไปทีละคน

  สังคมเราทุกวันนี้ ตกลงส่งเสริมคนดี หรือป่าว ?

 :73: :73: :'(
44  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เกร็ดความรู้ 8 วิธี ที่ทำให้ดื่มน้ำง่ายขึ้น.. เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:38:41 am
เกร็ดความรู้ 8 วิธี ที่ทำให้ดื่มน้ำง่ายขึ้น..
 

 
1. ดื่มน้ำให้เหมือนเป็นกิจวัตร พยายามดื่มน้ำทุกเช้าหลังตื่นนอนให้เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะการดื่มน้ำตอนเช้าจะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกอยากดื่มน้ำมากไปตลอดทั้ง วัน ทั้งยังช่วยเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย

2. บีบน้ำมะนาวใส่นิด ๆ หากคุณรู้สึกแปลก ๆ กับรสชาติที่จืดชืดของน้ำเปล่า ขอแนะนำให้คุณหามะนาวมาบีบลงไปในน้ำเปล่าซักเล็กน้อยก่อนดื่ม เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้กับน้ำ

3. ทำให้มันใสอยู่เสมอ หมั่นตรวจดูปัสสาวะของคุณหลังเสร็จธุระ เพื่อให้มั่นใจว่ามันยังใสอยู่เสมอ เพราะความใสนั้นเหมือนเป็นดัชนีวัดว่า ร่างกายของคุณได้รับน้ำอย่างเพียงพอ แต่เมื่อไรก็ตามที่ปัสสาวะของคุณมีสีเหลืองเข้ม นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณกำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำ

4.ถ้าร้อนนัก ก็ดื่มซะ เมื่อคุณกำลังอยู่ในอารมณ์ที่เดือดดาล ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่น เพราะบางครั้งการเลือกเครื่องดื่มก็เป็นเรื่องของจิตวิทยา การที่คุณได้ถือเครื่องดื่มอุ่น ๆ สักแก้วไว้ที่มือ อาจช่วยให้คุณลดอารมณ์เดือดดาลลงได้มากกว่าเครื่องดื่มปกติ ยิ่งกว่านั้น ในกาแฟและน้ำชายังมีสารคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเพิ่มอัตราการกำจัดน้ำออกจากร่างกายของคุณ ในรูปของปัสสาวะ

5. ดื่มน้ำเมื่อคุณถูกความตะกละจู่โจม บางครั้งความรู้สึกหิวของคนเราก็เป็นความกระหายแบบหลอก ๆ หรือแค่รู้สึกตะกละเท่านั้น ดังนั้นคุณสามารถแก้อาการนี้ได้ด้วยการหาน้ำดื่มซัก 1- 2 แก้ว เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกเหมือนได้กินอะไรรองท้อง

6. เริ่มปฏิบัติจากขั้นตอนง่าย ๆ อย่าคาดหวังว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำได้ จากหน้ามือเป็นหลังมือ คือจากคนที่ไม่ดื่มน้ำเลยมาดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่คุณควรเริ่มจากการดื่มน้ำ 1 แก้วในตอนเช้าของวัน ตามด้วยการดื่มน้ำอีก 1 แก้วก่อนนอนจนเป็นนิสัย จากนั้นค่อยๆเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำระหว่างวันให้มากขึ้น

7. ถูก และ ถูก อย่าลืมว่า น้ำดื่มตามภัตตาคารนั้นมีให้บริการฟรี แบบไม่อั้น

8. หมั่นหาแก้วน้ำที่มีน้ำเต็มแก้ว 1 ใบมาวางไว้ข้างตัวคุณเสมอ ขณะคุณกำลังทำงาน เพราะมันจะทำให้คุณสะดวกต่อการหยิบขึ้นมาจิบไปเรื่อยๆ ขณะทำงานโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเวลาที่คุณต้องสุมหัวคิดงานกับเพื่อน ๆ หรือเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหาหากคุณไม่ต้องการให้มือของคุณอยู่ว่าง
45  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การใช้ปัญญาอบรมจิตอยู่เสมอ เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 11:07:32 am

การใช้ปัญญาอบรมจิตอยู่เสมอ
ใช้ปัญญาอบรมจิตอยู่เสมอการปฏิบัติธรรม มีอุบายการปฏิบัติอยู่สองประการข้อหนึ่งปฏิบัติเพียงเป็นพิธี ข้อสองปฏิบัติเพื่อถอนรากถอนโคนของกิเลสตัณหาส่วนมากนักปฏิบัติเพื่อถอนราก ถอนโคนของกิเลสตัณหานั้นมีน้อยนัก แต่เราผู้หนึ่งที่จะตั้งใจในการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังเพื่อความรู้แจ้ง เห็นจริงในสัจธรรมจะต้องใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะใช้สติปัญญาบากบั่นตัดกระแสของกิเลส ตัณหา อวิชชาให้หมดไปจากใจถึง ชีวิตจะหมดไปเพราะการปฏิบัตินั้น ก็ยอมเสียสละเพราะกาลเวลาผ่านมายาวนานจนถึงปัจจุบัน ใจเราได้ลอยตามกระแสของกิเลสมาตลอด ถ้าจะปล่อยให้ใจลอยไปตามกระแสของกิเลสตัณหาอยู่อย่างนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ ก็จะมีแต่ความทุกข์ตลอดไปเพราะกิเลสยังผลักดันใจให้ทำความชั่วอยู่เสมอ ความหลงใหลในกามคุณก็มีอยู่เต็มใจแทบจะไม่ได้พักผ่อนหลับนอนไม่ถอนตัวเองออก จากหล่มลึกคือกิเลสตัณหานี้เลย ความเคยชินก็จะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปนี้ก็เพราะจิตขาดการอบรมสั่งสอนด้วย ปัญญา จึงไม่รู้ว่าอะไรที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ มีแต่ความสนุกสนาน คิดอยู่ในกระแสของโลกจนไม่มีความอิ่มพอเหมือนกับความเพลิดเพลินเล่นในแม่น้ำ โดยขาดความสังเกต ไม่มีความสำนึกว่าภัยจะมีอยู่ในแม่น้ำนั้นมีแต่ความสนุกติดพันกันจนแยกตัว ไม่ได้เมื่อภัยคือจระเข้ลอยเข้ามาใกล้ตัวเองแล้ว ก็จะหาช่องหลบตัวจากภัยนั้นไม่ทันถึงจะกลัวต่อภัยขนาดไหนก็ไม่สามารถหลบตัว หนีไปได้ จึงกลายเป็นอาหารของจระเข้ไปอย่างน่าเสียดายนี้ฉันใด ใจที่มีความเพลิดเพลินอยู่กับกามคุณ หมกมุ่นอยู่กับความใคร่ ไม่คิดว่าภัยคือความแก่ ความเจ็บ ความตาย จะมาถึงตน มีแต่ความมืดมนลอยตามกระแสของโลกจนลืมตัว เมื่อภัยคือความแก่ ภัยคือความเจ็บไข้ได้ป่วยคืบคลานเข้ามาถึงตัว จะคว้าหาเอาความดีให้เกิดมีในใจไม่ทันจะหันตัวเข้ามาปฏิบัติภาวนา เวลาก็ไม่อำนวยมีแต่ความกังวลอยู่กับความเจ็บป่วยไม่สบายตลอดทั้งวันเดี๋ยว ก็เจ็บที่นั้น เดี๋ยวก็ปวดที่นี้ สติก็ไม่ค่อยมีอยู่กับตนกับตัว มิหนำซ้ำยังไปมั่วอยู่กับลูกหลาน ไปพัวพันอยู่กับวัตถุสมบัติจะมีกำลังใจฝึกหัดภาวนาปฏิบัติไม่ได้เลยในช่วง นี้เองรู้ว่า ความแก่ ความเจ็บป่วยไข้เป็นภัยขนาดไหน ใครที่เกิดขึ้นมาแล้ว จะต้องได้ประสบพบเห็นเรื่องความทุกข์อย่างนี้เหมือนกันทุกคน ในที่สุดก็ตายไปเสียในช่วงที่มีชีวิตอยู่มีแต่ความประมาทมัวเมาเมื่อชีวิต ได้หมดไปแล้วจะเอาสมบัติอะไรติดตัวไปไม่ได้เลย ฉะนั้นเราต้องใช้ปัญญาพิจารณาทำความเข้าใจกับตัวเองอยู่เสมอ เพราะทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นของของใคร ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีวิญญาณครองหรือไม่มีวิญญาณครองก็ตาม หรือสิ่งนั้นจะมีราคาแพงสักปานใดก็ตาม จะหาบหามติดตามตัวเองไปไม่ได้เลย เพราะสิ่งนั้นเป็นวัตถุสมบัติของโลก และก็จะตกอยู่กับโลกนี้ตลอดไปใครที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะหามา ใช้เพื่อได้รับความสะดวกประจำวันต่อไป เราเป็นนักปฏิบัติของใช้ปัญญาพิจารณาดูความเป็นอยู่ของโลกมนุษย์นี้ให้ ชัดเจนให้รู้สภาพความเป็นจริงของโลกนี้ให้ทั่วถึงว่าสมบัติอะไรบ้างที่เราจะ มาแย่งชิงเอากับหมู่มนุษย์ด้วยกัน นี้ก็ใช้ปัญญาพิจารณาอยู่บ่อย ๆ นานเข้าก็จะค่อย ๆ รู้จักความพอดีของตัวเอง นี้ก็เป็นอีกอุบายหนึ่งที่จะทำให้ความโลภภายในใจได้เบาบางลง ฉะนั้นการละความโลภต้องละด้วยอุบายปัญญา มิใช่ว่าจะไปนั่งหลับตาทำสมาธิให้ความโลภหมดไปจากใจ แต่อย่างใด
เขียนโดย วัดป่าบ้านค้อ ขิปปปัญโญอนุสรณ์ ที่ 10:38
หน้า: 1 [2]