ความตระหนี่ธรรม เป็นความตระหนี่ที่น่าเกลียดที่สุด
[๒๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตระหนี่ ๕ ประการนี้
๕ ประการเป็นไฉน คือ
ความตระหนี่ที่อยู่ ๑
ความตระหนี่สกุล (อุปัฏฐาก) ๑
ความตระหนี่ลาภ ๑
ความตระหนี่วรรณะ ๑
ความตระหนี่ธรรม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตระหนี่ ๕ ประการนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาความตระหนี่ ๕ ประการนี้ ความตระหนี่ที่น่าเกลียดยิ่ง คือ ความตระหนี่ธรรมที่มา :- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=6404&Z=6617ละความตระหนี่ ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔
[๒๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มัจฉริยะ ๕ ประการนี้
๕ ประการเป็นไฉน คือ
อาวาสมัจฉริยะ (ตระหนี่ที่อยู่) ๑
กุลมัจฉริยะ (ตระหนี่ตระกูล) ๑
ลาภมัจฉริยะ (ตระหนี่ลาภ) ๑
วรรณมัจฉริยะ (ตระหนี่วรรณะ) ๑
ธรรมมัจฉริยะ(ตระหนี่ธรรม) ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มัจฉริยะ ๕ ประการนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เพื่อละมัจฉริยะ ๕ ประการนี้แลที่มา :- มัจฉริยสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=9829&Z=9836&pagebreak=0บุคคลระดับโสดาบันขึ้นไป ละความตระหนี่ได้ แต่ยังไม่เด็ดขาด
[๙๔] พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ด้วยคำอธิบายเพียงเท่านี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงความผ่องใส จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ส โข โส ภิกฺขเว ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิติ วิทิตฺวา แปลว่า รู้อย่างนี้.
บทว่า ปชหติ ความว่า ละ (อุปกิเลสแห่งจิต) ด้วยอริยมรรค ด้วยอำนาจแห่งสมุจเฉทปหาน.
ในบทว่า ปชหติ นั้น พึงทราบการละมีอยู่ ๒ อย่าง คือ (ละ) ตามลำดับกิเลส และตามลำดับมรรค. (จะอธิบายการละ) ตามลำดับกิเลสก่อน.
กิเลส ๖ เหล่านี้คือ อภิชฌาวิสมโลภะ (ความโลภโดยไม่ชอบธรรมคือความเพ่งเล็ง) ถัมภะ (หัวดื้อ) สารัมภะ (แข่งดี) มานะ (ถือตัว) อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน) มทะ (มัวเมา) ย่อมละได้ด้วยอรหัตตมรรค.
กิเลส ๔ เหล่านี้คือ พยาปาทะ (ความพยาบาท) โกธะ (ความโกรธ) อุปนาหะ (ความผูกโกรธไว้) ปมาทะ (เลินเล่อ) ย่อมละด้วยอนาคามิมรรค.
กิเลส ๖ เหล่านี้คือ มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน) ปลาสะ (ตีเสมอ) อิสสา (ความริษยา) มัจฉริยะ (ตระหนี่) มายา (มารยา, เจ้าเล่ห์) สาเถยยะ (โอ้อวด) ย่อมละด้วยโสดาปัตติมรรค.
ส่วนการละตามลำดับมรรคจะอธิบายดังต่อไปนี้ :-
กิเลส ๖ เหล่านี้ คือ มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน) ปลาสะ (ตีเสมอ) อิสสา (ความริษยา) มัจฉริยะ (ตระหนี่) มายา (มารยา, เจ้าเล่ห์) สาเถยยะ (โอ้อวด) ย่อมละด้วยโสดาปัตติมรรค.
กิเลส ๔ เหล่านี้ คือ พยาปาทะ (ความพยาบาท) โกธะ (ความโกรธ) อุปนาหะ (ความผูกโกรธไว้) ปมาทะ (เลินเล่อ) ย่อมละด้วยอนาคามิมรรค.
กิเลส ๖ เหล่านี้คือ อภิชฌาวิสมโลภะ (ความโลภโดยไม่ชอบธรรมคือความเพ่งเล็ง) ถัมภะ (หัวดื้อ) สารัมภะ (แข่งดี) มานะ (ถือตัว) อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน) มทะ (มัวเมา) ย่อมละด้วยอรหัตตมรรค.
แต่ในที่นี้กิเลสเหล่านี้จะถูกฆ่าด้วยโสดาปัตติมรรค หรือถูกฆ่าด้วยมรรคที่เหลือก็ตาม ถึงกระนั้นพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำเป็นต้นว่า บุคคลย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะอันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ดังนี้ ทรงหมายเอาการละด้วยอนาคามิมรรคนั่นเอง.
นี้เป็นการเกิด (แห่งผล) อันมาแล้วตามมรรคที่สืบต่อกันในที่นี้.
ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงมรรคที่ ๔ ไว้ในขั้นสูงสุดแล้ว การเกิดแห่งผลนั้นจึงจะถูก อุปกิเลสมีวิสมโลภะเป็นต้น ที่เหลือจากอุปกิเลสที่ละได้แล้วด้วยตติยมรรค ย่อมเป็นอันละได้ด้วยมรรคที่ ๔ นั้น.
กิเลสที่เหลือย่อมเป็นอันละได้ด้วยมรรคที่ ๔ นี้เช่นกัน.
เพราะว่า อุปกิเลสมีมักขะ เป็นต้น แม้เหล่าใดย่อมละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค อุปกิเลสแม้เหล่านั้นย่อมเป็นอันละได้เด็ดขาดแล้วด้วยอนาคามิมรรคนั่นแล เพราะจิตอันเป็นสมุฏฐานแห่งอุปกิเลสมีมักขะเป็นต้นนั้น ยังละไม่ได้โดยเด็ดขาด (ด้วยโสดาปัตติมรรค).
แต่ในอธิการนี้ อาจารย์บางพวกพรรณนาการละได้ด้วยปฐมมรรคนั่นแล. คำนั้นไม่สมกับคำต้นและคำปลาย. อาจารย์บางพวกพรรณนาวิกขัมภนปหานไว้ในอธิการนี้. คำนั้นเป็นเพียงความประสงค์ของอาจารย์พวกนั้นเท่านั้น. ที่มา :- อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มูลปริยายวรรค วัตถูปมสูตร ว่าด้วยข้ออุปมาด้วยผ้า
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=91อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎกได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=12&A=1136&Z=1236