พิมพ์

[raponsan]

ทำไมคนที่นอนหมดสติเป็นเจ้าหญิงนิทรา ยังสามารถติดต่อกับผู้อื่นผ่านทางโทรศัพท์ได้

ปุจฉา-วิสัชนา กับพระไพศาล วิสาโล

ปุจฉา : กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ไพศาล หนูชื่อ สุภาพร ค่ะ เป็นครูวิทยาศาสตร์ หนูมีเรื่องสงสัยอยากเรียนถามพระอาจารย์ มีน้องที่รู้จักคนหนึ่งถูกยิงที่ท้อง แพทย์ได้วินิจฉัยแล้ว ลงความเห็นว่าน้องเสียชีวิต แต่แม่ของน้องเห็นว่าร่างกายของน้องยังอุ่นอยู่ จึงยืนยันจะทำการรักษา แม้ร่างจะอยู่ในสภาพเจ้าหญิงนิทรา และได้เก็บร่างของน้องเอาไว้

ผ่านไป ๓ เดือนกว่าน้องฟื้นขึ้นมา ความทรงจำเป็นปกติ พูดได้ สื่อสารได้เหมือนคนปกติ แต่เดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น น้องเล่าให้ฟังว่าไปเห็นอะไรมาบ้าง มันก็น่าแปลก ที่คนที่นอนอยู่จะเดินทางไปไกล เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย น้องบอกว่ามีคนพาไป เป็นผู้ชายนุ่งผ้าแดง....     

       

     หลังจากฟื้นอยู่ได้ ๒ เดือนกว่า น้องก็นอนละเมอ ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น แล้วก็หลับไปเป็นเจ้าหญิงนิทราอีกครั้ง
     คราวนี้แปลกกว่าครั้งก่อน คือ น้องสามารถโทรศัพท์เข้ามาหาหลายๆคน ทั้งเพื่อน คนรัก คนรู้จัก ต่างได้รับโทรศัพท์จากแดนไกล ไกลแค่ไหนไม่รู้ แต่ร่างของคนโทรมายังนอนหลับอยู่บนเตียง และโทรศัพท์ไม่มีแบตเตอรี่ ไม่มีซิมการ์ด แล้วน้องโทรหาหนูได้อย่างไง     
     ครั้งแรกที่โทรมา (เวลาพลบค่ำ) ร้องไห้โหยหวน...บอกว่ากลัวมาก อยากกลับบ้าน ให้ช่วยพากลับบ้าน  พอตกกลางคืน ประมาณ ๒ ทุ่ม หนูอาบน้ำ แล้วตั้งใจสวดมนต์ ...ระหว่างที่กำลังสวดอยู่ โทรศัพท์เข้า หนูกดรับ เสียงปลายสายเป็นเสียงของน้อง...บอกหนูว่าเธอได้ยินเสียงสวดมนต์...เธอเอาแต่ร้องไห้ หวาดกลัว สิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเธอ...หนูไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตั้งสติได้จึงบอกให้น้องสวดอิติปิโสพร้อมหนู...แต่น้องก็เอาแต่ร้องไห้

    ผ่านไปเป็นวันที่ ๗ ของการหลับ
    โทรมาตอน ตี ๑ กว่า บอกหนูว่าหิวข้าว...อยากกลับบ้าน คิดถึงแม่
    หนูจึงถาม ว่าทำไมน้องไม่กลับ...
    น้องบอกว่ากลับไม่ได้...ผู้ที่พาไป บอกว่ายังไม่ถึงเวลากลับ ...

    เช้าวันต่อมา...ใส่บาตร...กรวดน้ำ...หวังว่าน้องจะได้รับ
    พอตกกลางคืน ตี ๓ น้องโทรเข้ามา น้ำเสียงสดใส บอกว่าอิ่มแล้ว อาหารอร่อย
    หนูถามว่าได้กินแล้วเหรอ น้องบอกว่าได้กินแล้ว
    หนูถามว่า น้องอยู่ไหน...
    น้องตอบว่า อยู่บ้านจ่า (จ่า คือคนรักของน้อง) นอนรอจ่าอยู่ที่บ้าน...
    แล้วบอกหนูว่า วันที่ ๗ จะไปหายาย(แม่ของหนู) ที่สุรินทร์ จะไปกินข้าวกับยาย
    ทุกคนในครอบครัวหนู...ต่างก็ได้รับโทรศัพท์ของน้อง

     

    หนูอยากถามว่า....ทำไม คนที่นอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา จึงสามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ โดยการโทรศัพท์ แล้วทำไมน้องถึงต้องเป็นเจ้าหญิงนิทรา ทุกวันนี้คนรอบข้างมองว่าหนูประสาท คุยโทรศัพท์กับผีได้ ในเมื่อน้องยังไม่ตาย เป็นเจ้าหญิงนินทราน้องเป็นผีแล้วหรือคะ มันตอบคำถามตัวเองไม่ได้...หนูคิดไปคิดมา จนจะเป็นโรคประสาท ขอความเมตตา ตอบข้อสงสัยหนูด้วยนะคะ แล้วทำอย่างไรถึงช่วยน้องได้

วิสัชนา : อาตมาได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับผู้ที่ได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์ทั้งจากผู้ป่วยที่กำลังโคม่าหรือเป็นผักและจากผู้ที่ตายแล้ว (ทั้งที่เพิ่งตายและตายหลายวันแล้ว) ผู้ที่เล่านั้นก็น่าเชื่อถือ อย่างน้อยก็ไม่ได้เจตนาโกหก

ในกรณีของน้องคุณนั้น มีความเป็นไปได้ว่า จิตของเธอได้ละร่างไปแล้ว และพยายามติดต่อกับคนใกล้ชิดโดยอาศัยโทรศัพท์ (แทนที่จะเข้าฝันหรือใช้วิธีอื่น)

อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้เช่นกันว่าเธอยังไม่ตาย แต่ร่างกายไม่เอื้อให้ฟื้นขึ้นมาเป็นปกติ แม้กระนั้นใจก็ยังมีความห่วงกังวลหรือความทุกข์ จึงพยายามติดต่อคนใกล้ชิดเพื่อขอให้ช่วยเหลือ 

มีคนจำนวนไม่น้อยที่เล่าว่า ตอนโคม่าหรือเป็นผักนั้น เขาสามารถได้ยินเสียงคนรอบข้างพูดคุยกัน หรือเห็นหมอและพยาบาลที่รักษาตน หลายคนเล่าว่า ตอนที่ล้มฟุบหมดสติเพราะหัวใจหยุดเต้นนั้น เห็นตัวเองกำลังถูกปั๊มหัวใจ เป็นการมองจากมุมสูงเหมือนอยู่บนเพดาน

 

กรณีเหล่านี้ชี้ว่า จิตกับสมองนั้นเป็นคนละส่วนกัน และการรับรู้สามารถเกิดขึ้นได้ แม้ร่างกายดูเหมือนไม่ตอบสนอง แม้กระทั่งการเห็นก็เกิดขึ้นได้ทั้งๆ ที่ตาปิดหรือเป็นลมหมดสติ แสดงว่าเราไม่ได้เห็นด้วยตาอย่างเดียว แต่ยังสามารถเห็นด้วยจิตได้ด้วย ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจิตกับกายแยกจากกันอย่างสิ้นเชิง จิตก็ต้องอาศัยกายในระดับหนึ่งในการรับรู้และตอบสนองหรือสื่อสาร   

วิทยาศาสตร์ทุกวันนี้ยังไม่สามารถให้คำตอบในทุกเรื่องได้ รวมทั้งเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นได้ หลายคนที่ศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ของคนใกล้ตาย ได้พบเรื่องราวเกี่ยวกับคนที่ตายในทางการแพทย์ (เช่น หัวใจหยุดเต้น) แต่เมื่อฟื้นขึ้นมาสามารถเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาหรือรอบตัวเขาขณะหมดสติได้อย่างถูกต้อง

รวมทั้งพูดถึงประสบการณ์ต่างๆ มากมาย ที่ยังอธิบายไม่ได้ด้วยความรู้หรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ (เช่น เห็นแสงสว่าง พบคนที่ตายไปแล้ว หรือภาพอดีตย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว) นั่นหมายความว่า อะไรที่วิทยาศาสตร์ยังอธิบายไม่ได้หรือยังไม่ยืนยัน ไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง

ขอบคุณบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20150814/211593.html