สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

ธรรมะสาระ => สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 11, 2012, 08:31:05 am



หัวข้อ: สมรส..หาง่าย - สมรัก..หายาก
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 11, 2012, 08:31:05 am

(http://1.bp.blogspot.com/-mzxj1i6fTWk/TuT8JvU5BiI/AAAAAAAAARM/2Pn049b6fwA/s1600/sad+face.png)


ชีวิตคู่
บทความจาก : หนังสือ"สาระแห่งชีวิต คือรักและเมตตา" ของ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

สมรส หมายถึง รสนิยมเสมอกัน มีจริตนิสัย ชอบและไม่ชอบอะไรคล้ายๆกัน จึงเข้ากันได้เป็นอย่างดี

   เมื่อเราใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลอื่นในฐานะต่างๆ ต้องมีคุณธรรม และมีรสนิยมเสมอกัน จึงจะมีความสุข ถ้าต่างกันมาก เข้ากันไม่ได้ ก็มักเกิดปัญหาตามมา โดยเฉพาะชีวิตคู่ เป็นสามีภรรยาต้องใกล้ชิดกันมาก จนเรียกได้ว่าทั้งเราและเขา มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิต จึงเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้รอบคอบ หากตัดสินใจจะใช้ชีวิตคู่กับใคร

   อารมณ์รักเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เมื่อเราสามารถเริ่มต้นชีวิตคู่กับคนที่เรารักมากๆ เรารู้สึกสมหวังในความรัก โลกทั้งโลกสวยงามสดใสสำหรับเรา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรานี้ไม่แน่นอน ชีวิตสมรส อาจจะเป็นชีวิตคู่ที่อบอุ่น สร้างครอบครัวที่มีความสุขร่วมกัน หรือโดยส่วนใหญ่ก็มีทุกข์บ้าง สุขบ้าง อย่างปุถุชนทั่วๆไป แต่สำหรับบางคู่อาจจะเป็นชีวิตที่ตกนรกทั้งเป็นก็มี เปรียบชีวิตคู่เหมือน ชีวิตแบบยักษ์อยู่ด้วยกัน ชีวิตแบบเปรตอยู่ด้วยกัน ชีวิตแบบเดรัจฉานอยู่ด้วยกัน

อย่าหลงเชื่อในความรู้สึกรัก ซึ่งไม่แน่นอน
อารมณ์รักก็มีลักษณะเช่นเดียวกับ จิตที่เกิดอุปาทาน เหมือนการติดบุหรี่ เล่นการพนัน ติดยาเสพติด ที่เกิดจากอุปาทานยึดมั่นถือมั่นของจิต การหลงรักในสิ่งที่คนทั่วไปไม่รักก็มีมาก จึงทำให้ชีวิตมนุษย์เรานั้นสับสนวุ่นวายอยู่ในทุกวันนี้



(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2307482&stc=1&d=1350734596)


เมื่อเรารู้ว่าอารมณ์รักเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เราจึงไม่ควรใช้อารมณ์รักเพียงอย่างเดียว มาเป็นข้อตัดสินใจในการเลือกชีวิตคู่ พระพุทธเจ้าทรงให้หลักในการพิจารณาไว้ว่า
    ชีวิตคู่ที่จะมีความสุขร่วมกันได้ดี ควรมีคุณธรรมเสมอกัน ๔ ประการ คือ
       ๑.ศรัทธา ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีงาม
       ๒.ศีล ความประพฤติดีทางกาย และวาจา
       ๓.จาคะ ความเสียสละ รู้จักแบ่งปัน
       ๔.ปัญญา ความรู้ว่าสิ่งใดดีหรือชั่ว

   อย่างไรก็ตาม ในชีวิตจริงเป็นเรื่องยากที่จะได้คู่ครองที่มีความคิดจิตใจเหมือนกันกับเรา
   หลวงพ่อชาเคยเปรียบชีวิตคู่ไว้ว่า
        "เหมือนเอาไม้สองท่อน มามัดไว้ด้วยกัน ถ้าไม้ท่อนเดียว เอามือจับปลายสองข้าง
        จะดึงจะโค้งงออย่างไร มันก็ทนกว่าไม้สองท่อนที่จับเอามามัดกันไว้
        เมื่อเราจับงอหรือดึงไปคนละทาง มันง่ายอยู่แล้วที่จะหลุดออกจากกัน"

    ดังนั้น เมื่อคนสองคนมาอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ต้องรักกัน สามัคคีกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพื่อเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง ต่างคนต่างต้องแก้ไข ปรับตัวเองเพื่อเข้ากับอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องรู้จักอดทน เมื่อเกิดไม่พอใจ ไม่ถูกใจ ต้องละทิฏฐิมานะ ความเห็นแก่ตัว พยายามปล่อยวาง และให้อภัยต่อกัน เรียกได้ว่าทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติธรรมแบบอุกฤษฏ์ ต้องช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆไปได้ และใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเป็นสุข สบายใจ



(http://www.siamdara.com/_images/090326I1R0616.jpg)


    เนื้อคู่ : คู่แท้ หรือคู่เทียม

   
    เนื้อคู่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายไว้ว่า
    "ชายและหญิง ที่ถือกันว่าได้เคยครองคู่กันมาแต่ปางก่อน , ชายและหญิง ที่เหมาะสมเป็นคู่ครองกัน"

   โดยส่วนใหญ่ชีวิตคู่มักเริ่มต้นด้วยดี มีทั้งความรัก ความสุข ช่วยกันประคับประคองชีวิตคู่ด้วยความพอใจของทั้งสองฝ่าย หลายคนมีชีวิตคู่ที่ราบรื่นไปตลอดรอดฝั่ง แต่มีไม่น้อยที่ล้มเหลว บางคู่ต้องหย่ากัน บางคู่ถึงแม้ว่าอยู่ด้วยกัน แต่ความรัก ความสุขที่เคยให้แก่กันไม่เหลือแม้แต่น้อย ก็ต้องทนอยู่ด้วยกันอย่างเป็นทุกข์

    การใช้ชีวิตร่วมกันของสามีภรรยาหลายๆคู่ หากพิจารณาถึงการปฏิบัติต่อกันทั้งแง่กายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม จะพบว่า
    ทางกายกรรม หมายถึง การกินด้วยกัน นอนด้วยกัน มีลูกด้วยกัน ทำงานร่วมกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน ถ้ามองจากภายนอกดูเหมือนเป็นคู่ที่มีความสุข รักใคร่ปรองดองกันดี จนหลายๆคนอาจจะรู้สึกอิจฉา
    แต่สำหรับเจ้าตัวจริงๆแล้ว การปฏิบัติต่อกันในทางวจีกรรม มโนกรรม มีแต่ทะเลาะเบาะแว้งกัน โกรธกัน น้อยใจ เจ็บใจ มีแต่ความทุกข์ ไม่มีคำว่าสุข แต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้ ก็ยังต้องอดทนอยู่ด้วยกัน เพราะความจำเป็นทางสังคม หรือ เพราะเห็นแก่ลูก

    ชีวิตคู่ ที่เป็นเนื้อคู่กันประเภทนี้ก็มีมาก คือชาตินี้ แม้จะมีความผูกพันกันทางกายกรรม แต่ทางวจีกรรม มโนกรรม กลับเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่ดีแก่กัน จึงดูเหมือนว่า ทางกายกรรมนั้นรักกัน โดยที่ความเป็นจริงแล้วต่างฝ่ายไม่มีความรู้สึกรักกันเลย แต่ในสถานภาพทางสังคมที่เป็นสามีภรรยากันต้องอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน จะเดินทางไปไหนก็ยังต้องร่วมรถคันเดียวกันเป็นครอบครัว



(http://ohomusics.com/wp-content/uploads/2010/05/wiwawawoon_ch3.jpg)


  สามีภรรยาที่มีปัญหาเช่นนี้ บางครั้งต่างคนต่างตั้งจิตอธิษฐานว่า ชาติหน้าอย่าได้พบกันอีก ขอเจอชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แต่ด้วยอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ไม่ว่าจะรักกันหรือเกลียดชังกันก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยความพอใจหรือไม่พอใจต่อกันอย่างไร ในทางมโนกรรม คือความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อกัน จะเป็นการดึงเข้าหากันอยู่ตลอด ไม่ปล่อยวางจากกัน

   ดังนั้นจึงเป็นไปได้อย่างมากที่ บุคคลทั้งสองเมื่อต่างคนต่างตายจากกันในชาตินี้ ถ้าชาติหน้าเกิดมา โตเป็นหนุ่มเป็นสาวได้พบกันเมื่อไรก็เกิดอารมณ์รักที่รุนแรง มีความดีใจ พอใจที่ได้เจอกัน เพราะทางกายกรรมในอดีตชาตินั้น เคยใกล้ชิด ใช้ชีวิตร่วมกันมา เกิดมาในชาติใหม่ จึงเป็นเนื้อคู่กันอีก ที่เคยทุกข์ โกรธเกลียดกันก็ลืมไป

    แต่คงต้องเรียกว่าเป็นเนื้อคู่เทียม เพราะเป็นเนื้อคู่ที่เป็นผลของกรรมเก่า คือกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรมที่สร้างร่วมกันมา ทำดีต่อกันบ้าง ทะเลาะกัน โกรธเกลียดกันบ้าง เป็นความรักที่หาความสุขแท้จริงไม่ได้ เพราะไม่ใช่เนื้อคู้แท้ที่ครองคู่กันด้วยความรักความเมตตา

       ดังนั้น เมื่อต้องใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในชาตินี้แล้ว สามีภรรยาจึงควรสร้างกรรมที่ดีต่อกัน ทั้งทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม แม้ว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น ก็ควรรู้จักอดทน ปล่อยวาง ให้อภัยต่อกัน ถ้าทำได้ก็จะเป็นอานิสงส์ให้มีความสุข ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า



(http://pirun.ku.ac.th/~b5310703519/%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%99%E0%B8%89%E0%B8%B1%E0%B8%99001.jpg)


     ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์


      โรงครัวที่ไม่มีน้ำตาล เกลือ ไม่ใช่โรงครัว
      การปรุงอาหารให้อร่อย ต้องใช้น้ำตาล เกลือ
      ขาดน้ำตาล ขาดเกลือ รสชาติอาหารก็ไม่อร่อย
      น้ำตาล เกลือ จึงเป็นเครื่องปรุงอาหารที่สำคัญ

      ในเวลาเดียวกัน โทษของน้ำตาล เกลือ ก็มีมาก
      โรคเจ็บไข้ป่วยของคนเราหลายโรคมีสาเหตุมาจาก
      การรับประทาน น้ำตาล เกลือ มากไป
      บางคนก็บอกว่า น้ำตาลมีแต่โทษ ไม่มีประโยชน์เลย
      แต่ร่างกายก็ต้องการน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสม

      ชีวิตที่ปราศจากความรัก ไม่ใช่ชีวิต
      สำคัญที่สุดในชีวิตคือความรัก
      ความรักคือชีวิต ชีวิตคือความรัก
      ความสุขของชีวิต เกิดจากความรัก
      ความทุกข์ของชีวิต เกิดจากความรักเช่นกัน

      ทุกข์เพราะความรัก ก็มีมาก
      จนบางครั้งดูเหมือน ความรักคือความทุกข์
      ทุกข์มากๆ ทำใจไม่ได้ จนถึงขั้นฆ่ากันตาย
      ทำลายชีวิตตัวเอง ก็มีมาทุกยุคทุกสมัย



(http://i854.photobucket.com/albums/ab108/Bwitch8Pete/01buddha/_0GIF_1-1.gif)


เรื่องของนางภัททา

     ในสมัยพุทธกาล ก็มีเรื่องของนางภัททา ธิดาเศรษฐี มีอายุย่างเข้าวัย 16ปี มีรูปร่างสวยงาม บิดามารดาจึงระวังรักษาให้อยู่บนปราสาทชั้นที่ 7 ให้หญิงรับใช้คอยดูแล แต่ธรรมดาของหญิงสาวในวัยนี้ ย่อมมีความฝักใฝ่ในชายหนุ่ม

     ดังนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่นำโจรหนุ่มผ่านมาทางบ้านของนาง พอนางเปิดหน้าต่างมองลงไปเห็นโจรเท่านั้น ก็เกิดจิตรักใคร่ในตัวโจรทันที คิดว่า ชาตินี้ถ้าไม่ได้โจรหนุ่มมาเป็นคู่ครอง ก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่ และรู้ว่าพวกเจ้าหน้าที่กำลังนำโจรไปประหาร ความรู้สึกของนางเหมือนกับกำลังสูญเสียสามีสุดที่รัก

     ฝ่ายสาวใช้เห็นเช่นนั้น จึงรีบแจ้งให้เศรษฐีผู้เป็นบิดามารดาทราบ บิดามารดาของนางพอมาถึง ก็ได้ไต่ถามทราบจากปากของธิดาว่า ถ้าไม่ได้โจรหนุ่มคนนั้นมาเป็นคู่ ก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

     บิดามารดาช่วยกันพูดอ้อนวอนอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่เป็นผล ด้วยความรักและห่วงใยในลูกสาว จึงยอมติดสินบนเจ้าหน้าที่ ขอไถ่ชีวิตโจรหนุ่มคนนั้น โดยให้นำมาส่งที่บ้าน ฝ่ายเจ้าหน้าที่ราชบุรุษทั้งหลาย รับสินบนไปแล้ว ก็ได้นำโจรหนุ่มคนนั้นมามอบให้แก่เศรษฐี แล้วนำนักโทษอีกคนหนึ่งไปประหารชีวิตแทน แล้วกราบทูลพระราชาว่าฆ่าโจรสัตตุกะเรียบร้อยแล้ว



(http://www.bloggang.com/data/srisurang/picture/1183261502.jpg)

    เศรษฐีรับตัวโจรหนุ่มสัตตุกะไว้แล้ว ให้อาบน้ำชำระร่างกายและมอบเสื้อผ้าชั้นดีให้สวมใส่ ก่อนนำไปยังปราสาทของลูกสาว ทำพิธีส่งตัวให้เป็นคู่สามีภรรยา
     โจรสัตตุกะมีความสุขอยู่ในบ้านของเศรษฐีพรั่งพร้อมทุกอย่าง ได้ทั้งภรรยาที่แสนสวย ทรัพย์สินเงินทองก็มีให้ใช้อย่างสุขสบาย แต่เขาก็อยู่ได้ไม่นานเพราะนิสัยสันดานโจร อดที่จะทำชั่วไม่ได้ เขาคิดจะฆ่าภรรยา เพื่อจะนำเอาเครื่องประดับอันมีค่านั้นไปขาย แล้วนำเงินมาหาความสุขสำราญ เขาจึงวางแผนพาภรรยาไปที่ยอดภูเขา หลอกว่าเพื่อไปทำพิธีพลีกรรมเทวดาที่ตนได้บวงสรวงไว้

     แต่เมื่อไปถึงหน้าผา โจรสัตตุกะก็พูดกับนางด้วยเสียงอันแข็งกร้าวเด็ดขาดว่า
     "ภัททา เจ้าจงเปลื้องผ้าห่มออก แล้วถอดเครื่องประดับทั้งหมดมัดห่อรวมกันไว้เดี๋ยวนี้"
     นางภัททา ได้ฟังคำและเห็นกิริยาของสามีเปลี่ยนไปเช่นนั้นก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก ละล่ำละลักถามสามีว่า
     "นายจ๋า ดิฉันทำอะไรผิดหรือ?"

     "นางหญิงโง่ ความจริงเราจะควักตับกับหัวใจของเจ้าถวายแก่เทวดาที่นี่ แล้วยึดเอาเครื่องอาภรณ์ของเจ้าทั้งหมดไปใช้จ่ายหาความสุข"
     "นายจ๋า ก็ทั้งตัวดิฉันกับเครื่องประดับทั้งหมดนี้ก็เป็นของท่านอยู่แล้ว ทำไมท่านจะต้องฆ่าฉันเพื่อยึดเครื่องประดับด้วยอีกเล่า"



(http://1.bp.blogspot.com/-4ohv8pKMDas/TrHy0jNxitI/AAAAAAAAATM/yrlbQYCjumY/s320/wp_full_13_2.jpg)


      แม้นางจะอ้อนวอนชี้แจงอย่างไร โจรโง่ใจร้ายก็ไม่ยอมรับฟัง ตั้งหน้าแต่จะฆ่านางเอาเครื่องประดับอย่างเดียว นางตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอก มองเห็นความตายอยู่แค่เอื้อม จึงรวบรวมสติไว้แล้วคิดว่า ขึ้นชื่อว่าปัญญาที่ติดกับตัวมาตั้งแต่เกิดนั้น มิได้มีไว้เพื่อต้มแกงกิน แต่มีไว้เพื่อพิจารณาหาหนทางดำเนินชีวิตและแก้ปัญหาชีวิต เราควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเอาชีวิตให้รอด เมื่อคิดดังนี้แล้วจึงกล่าวกับสามีโจรชั่วว่า

    "เอาละนายจ๋า วันที่ท่านถูกราชบุรุษเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับกุม พาตะเวนประจานไปทั่วเมืองก่อนนำมาประหารที่ภูเขาทิ้งโจรนี้ ดิฉันได้อ้อนวอนบิดามารดา ให้สละทรัพย์เป็นอันมากไถ่ชีวิตท่าน แล้วนำมาแต่งงานกับดิฉัน และดิฉันก็มีความรักต่อท่านอย่างสุดหัวใจ วันนี้ท่านมีความประสงค์จะฆ่าดิฉันให้ได้ เพื่อต้องการเครื่องประดับ แต่ก็ไม่เป็นไร
     ก่อนที่ดิฉันจะตายขอให้ดิฉันได้แสดงความรักต่อท่าน เป็นครั้งสุดท้ายสักหน่อยเถิด ขอให้ท่านจงยืนตรงนั้น แล้วดิฉันจะขอสวมกอดท่านทั้ง 4 ทิศ หลังจากนั้นท่านก็จงประหารดิฉันเถิด"

     โจรชั่วสัตตุกะเห็นกิริยาอาการและฟังคำพูดของนางดูเป็นปกติสมจริง จึงยอมให้นางกระทำตามที่ขอ แล้วไปยืนตรงที่นางบอกบนยอดเขา ขณะนั้น นางภัททาผู้เป็นภรรยาได้ทำการประทักษิณ เดินเวียนขวารอบสามี 3 รอบ แล้วไหว้ทั้ง 4 ทิศ พร้อมกับกล่าวว่า
     "นายจ๋า นี่เป็นการเห็นท่านเป็นครั้งสุดท้าย นับต่อแต่นี้ การที่ดิฉันจะได้เห็นท่าน และท่านจะได้เห็นดิฉันก็คงไม่มีอีกแล้ว"



(http://www.larnbuddhism.com/atatakka/tere/pasta.jpg)


      เมื่อกล่าวจบ นางก็สวมกอดข้างหน้า แล้วก็เปลี่ยนมากอดข้างหลัง ขณะที่โจรชั่วเผลอตัวอยู่นั้น นางได้ผลักโจรตกลงไปในเหว ร่างของโจรชั่วแหลกเหลวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จบชีวิตอันชั่วร้ายของเขาที่เหวนั้น

      นางภัททาหลังจากผลักโจรชั่วผู้เป็นสามีตกลงไปในเหวแล้ว คิดว่าถ้าเรากลับบ้านไป บิดามารดาก็จะต้องซักถาม หากทราบความจริงแล้ว คงจะตำหนิติเตียนนางที่ดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังบิดามารดาตั้งแต่ต้น
      เมื่อคิดดังนี้ นางจึงตัดสินใจออกบวชในสำนักของพวกนิครนถ์ และต่อมาได้เที่ยวแสวงหาบัณฑิต จนได้พบกับพระสารีบุตร เกิดเลื่อมใสศรัทธา ขอศึกษาวิชาพุทธมนต์ในพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งขอบรรพชาและถึงพระเถระเป็นสรณะ

      แต่พระเถระบอกว่า ขอให้นางถึงพระพุทธองค์เป็นสรณะเถิด แล้วพานางไปยังพระวิหารเชตวัน นำเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงส่งนางให้ไปบวชในสำนักภิกษุณีสงฆ์
      เมื่อนางบวชแล้ว ได้ชื่อว่า "กุณฑลเกสาเถรี" เป็นภิกษุณีที่บรรลุอรหัตผล ในเวลาจบคาถาเพียง 4 บาท จึงเป็นเหตุให้ได้รับการยกย่องไว้ในตำแหน่ง เอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ในฝ่ายผู้ตรัสรู้เร็วพลัน

      เรื่องนี้เตือนสติเราได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แน่นอน ได้แต่งงานสมหวังในรักแล้ว คิดว่าชีวิตจะมีความสุข แต่ความสุขในอารมณ์รัก อารมณ์ใคร่ มันวางใจไม่ได้ ไม่เที่ยงแท้แน่นอนจริงๆ



ขอบคุณภาพและบทความจาก
board.palungjit.com/f14/ชีวิตคู่-พระอาจารย์มิตซูโอะ-คเวสโก-366203.html (http://board.palungjit.com/f14/ชีวิตคู่-พระอาจารย์มิตซูโอะ-คเวสโก-366203.html)
http://1.bp.blogspot.com/,http://files.palungjit.com/,http://www.siamdara.com/,http://ohomusics.com/,http://pirun.ku.ac.th/,http://i854.photobucket.com/,http://www.bloggang.com/,http://1.bp.blogspot.com/,http://www.larnbuddhism.com/ (http://1.bp.blogspot.com/,http://files.palungjit.com/,http://www.siamdara.com/,http://ohomusics.com/,http://pirun.ku.ac.th/,http://i854.photobucket.com/,http://www.bloggang.com/,http://1.bp.blogspot.com/,http://www.larnbuddhism.com/)


หัวข้อ: Re: สมรส..หาง่าย - สมรัก..หายาก
เริ่มหัวข้อโดย: NP2706 ที่ พฤศจิกายน 11, 2012, 01:51:46 pm
สาธุ สาธุ เป็นธรรมะที่เห็นได้จริง สัมผัสได้ด้วยตน


หัวข้อ: Re: สมรส..หาง่าย - สมรัก..หายาก
เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ พฤศจิกายน 11, 2012, 08:21:25 pm
   ดังนั้น เมื่อคนสองคนมาอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ต้องรักกัน สามัคคีกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพื่อเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง

กิ๊กฤาชู้ มิรู้พอ

     อิตถีชายกลมเกลียว          เป็นหนึ่งเดียวสมานฉันท์
เท็จแท้ใจมีปัน          อนิจจาสองในใจ
     เยื่องนี้อย่างที่เป็น          อย่างที่เห็นมิเว้นใคร
หญิงชายนี้ไฉน          สังคมหนองหนอนน้ำคลำ.


                                                            ธรรมธวัช.!                                                 


   ต่างคนต่างต้องแก้ไข ปรับตัวเองเพื่อเข้ากับอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องรู้จักอดทน เมื่อเกิดไม่พอใจ ไม่ถูกใจ ต้องละทิฏฐิมานะ ความเห็นแก่ตัว พยายามปล่อยวาง และให้อภัยต่อกัน

น้ำใสใจเค็ม

     รู้รักอภัยกัน          เธอหลายใจฉันหลากบ้าน
อย่าเขลาทิฏฐินาน          เห็นแก่ตัวลืมลืมไป
     รู้รักให้ใจกว้าง          อย่าคิดหมางหย่าร้างใช้
เศษเกินเพียงกำไร          อยู่อย่างเยื่องทุรชน.

                                                             ธรรมธวัช.! 


   ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติธรรมแบบอุกฤษฏ์ ต้องช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆไปได้ และใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเป็นสุข สบายใจ

น้ำเหือดข้าวไหม้

     รักลวงล่มฤาฝืน          ไห้กล้ำกลืนขมในทรวง
ร้าวลึกเจ็บแค้นหน่วง          สาปแช่งคำอนาจาร
     รักเรือนทรุดตะแคง          ต้องขืนแสร้งสรรสนาน
พาลหลอกลูกหลอนหลาน          น้ำข้าวปั้นขืนกลืนกิน.


                                                                    ธรรมธวัช.! 


หัวข้อ: Re: สมรส..หาง่าย - สมรัก..หายาก
เริ่มหัวข้อโดย: Admax ที่ พฤศจิกายน 12, 2012, 12:39:20 am
สาธุๆๆๆ ขอบพระคุณท่าน ข้อความโดย: NATHAPONSON ครับเป็นประโยชน์อย่างสูงครับ


หัวข้อ: Re: สมรส..หาง่าย - สมรัก..หายาก
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2013, 08:25:59 am

http://www.youtube.com/watch?v=joDLOM4KlrU# (http://www.youtube.com/watch?v=joDLOM4KlrU#)
อัปโหลดเมื่อ 7 ธ.ค. 2008 โดย SamuelGordon