ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: หากบุญกุศล ไม่ต้องรับผลแล้ว พระอรหันต์ ท่านจะสร้างกุศลทำไม ?  (อ่าน 5562 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

timeman

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 91
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 ask1
หากบุญกุศล ไม่ต้องรับผลแล้ว พระอรหันต์ ท่านจะสร้างกุศลทำไม ?

 :smiley_confused1:

บันทึกการเข้า
ทะลุมิติ มาหา ความจริง ของตัวเอง

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พราหมณวรรคที่ ๒๖
๒๙. เรื่องพระเรวตเถระ [๒๙๒]

      ข้อความเบื้องต้น              
      พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในบุพพาราม ทรงปรารภพระเรวตเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "โยธ ปุญฺญญฺจ" เป็นต้น.

     พระขีณาสพไม่มีบุญและบาป            
     เรื่องข้าพเจ้าให้พิสดารแล้ว ในอรรถกถาแห่งพระคาถาว่า
     "คาเม วา ยทิ วา รญฺเญ" เป็นต้นแล้วนั่นแล.
     จริงอยู่ ในเรื่องนั้น ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่า "ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า "น่าอัศจรรย์ สามเณรมีลาภ, น่าอัศจรรย์ สามเณรมีบุญรูปเดียว(แท้) สร้างเรือนยอด ๕๐๐ หลังเพื่อภิกษุ ๕๐๐ รูปได้."


     พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยกถาอะไรหนอ?"
     เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า "ด้วยกถาชื่อนี้" จึงตรัสว่า
     "ภิกษุทั้งหลาย บุญย่อมไม่มีแก่บุตรของเรา, บาปก็มิได้มี; บุญบาปทั้งสองเธอละเสียแล้ว"

     ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
          ๒๙.  โยธ ปุญฺญญฺจ ปาปญฺจ  อุโภ สงฺคํ อุปจฺจคา
                 อโสกํ วิรชํ สุทฺธํ   ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ.
                 ผู้ใดล่วงบุญและบาปทั้งสอง และกิเลสเครื่องข้องเสียได้ในโลกนี้,
                 เราเรียกผู้นั้น ซึ่งไม่มีความโศก มีธุลีไปปราศแล้ว ผู้บริสุทธิ์แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์.

                 ...ฯลฯ...

                 

ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=36&p=29
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=1301&Z=1424
ขอบคุณภาพจาก http://lh4.ggpht.com/



ประวัติพระเรวตขทิรวนิยเถระ
เอตทัคคมหาสาวกเลิศทางผู้อยู่ป่าเป็นวัตร
(ยกมาแสดงบางส่วน)

นางวิสาขาถามถึงที่อยู่ของเรวตะ
    พระบรมศาสดาเสด็จเข้าไปสู่บุพพาราม ภิกษุเหล่านั้นจึงไปยังเรือนของนางวิสาขา
    ซึ่งได้ถวายภัตตาหารแต่พระภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นได้ดื่มข้าวต้มแล้วฉันของเคี้ยวแล้วนั่งอยู่
    นางวิสาขาอุบาสิกาจึงเรียนถามพวกภิกษุพวกที่ล่วงหน้ามาก่อนเหล่าภิกษุที่ลืมบริขารนั้นว่า
    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ สถานที่อยู่ของพระเรวตะเป็นที่น่าจับใจไหมหนอ ?
    พวกภิกษุกล่าวว่า ดูก่อนอุบาสิกา น่าจับใจ เสนาสนะนั้นมีส่วนเปรียบด้วยนันทวันและจิตตลดาวันแล


    ต่อมานางวิสาขาก็ถามพวกภิกษุผู้หลงลืมบริขารแล้วตามมาภายหลังกว่าภิกษุเหล่านั้นบ้างว่า
    พระคุณเจ้าสถานที่อยู่ของพระเรวตะเป็นที่น่าพอใจไหม ?
    ภิกษุเหล่านั้นกลับตอบว่า อย่าถามเลย อุบาสิกา สถานที่นั้นเป็นที่ไม่สมควรจะกล่าว สถานที่อยู่ของพระเรวตะนั้นอยู่ในสถานที่ซึ่งมีแต่ที่แห้งแล้ง ก้อนกรวด ก้อนหิน ขรุขระและตอไม้เท่านั้นแล

    นางวิสาขา ได้ฟังถ้อยคำของพวกภิกษุผู้มาก่อนและมาหลังแล้ว คิดว่าถ้อยคำของภิกษุพวกไหนหนอเป็นความจริง จึงถือเอาของหอมและดอกไม้ไปเข้าเฝ้าพระทศพลเจ้า ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง กราบทูลถามพระศาสดาว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญภิกษุบางพวกพากันนินทาที่อยู่ของพระเรวตเถระ สถานที่อยู่นั่นเป็นอย่างไรพระเจ้าข้า
    พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนวิสาขา ที่อยู่จะเป็นสถานที่อยู่รื่นรมย์หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ว่า จิตของพระอริยะทั้งหลายย่อมยินดีในสถานที่ใด สถานที่นั้นนั่นแหละชื่อว่าสถานที่รื่นรมย์ใจ
    ดังนี้แล้วจึงตรัสพระคาถานี้ว่า:

    "พระอรหันต์อยู่ในที่ใด จะเป็นบ้านก็ตามป่าก็ตาม ที่ลุ่มก็ตาม ที่ดอนก็ตาม ที่นั้นย่อมเป็นภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ใจ"



พวกภิกษุชมเชยบุญของเรวตะ
     วันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า
     “แม้สามเณรผู้เดียวทำเรือนยอด ๕๐๐ หลัง เพื่อภิกษุ ๕๐๐ รูป มีลาภ มีบุญ น่าชมจริง ”
     พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยถ้อยคำอะไรหนอ?”
     เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า “ด้วยถ้อยคำข้อนี้พระเจ้าข้า”
     ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราไม่มีบุญ ไม่มีบาป เพราะ บุญและบาปทั้งสองเธอสละเสียแล้ว”
     ได้ตรัสพระคาถานี้ ในพราหมณวรรค ว่า:

     “บุคคลใดในโลกนี้ ล่วงเครื่องข้อง ๒ อย่างคือ บุญและบาป เราเรียกบุคคลนั้น ผู้ไม่โศก ปราศจากกิเลสเพียงดังธุลี ผู้หมดจดว่า เป็นพราหมณ์”
     .....ฯลฯ.....

ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk/great_monk/pra-revatta.htm
ขอบคุณภาพจาก http://www.108-pra.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Skydragon

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st11 st12 thk56 ท่าน ผู้ตอบได้ละเอียด
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


อ้างอิง
บทเรียนพระอภิธรรม หลักสูตรเรียนทางอินเตอร์เนต
อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
รวบรวมและเรียบเรียงโดย นายวิศิษฐ์ ชัยสุวรรณ  และ นายทวี สุขสมโภชน์
ที่มา http://www.buddhism-online.org/Section03A_13.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 04, 2013, 12:12:34 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ask1
หากบุญกุศล ไม่ต้องรับผลแล้ว พระอรหันต์ ท่านจะสร้างกุศลทำไม ?

 :smiley_confused1:



 ans1 ans1 ans1
   
    โดยปกติจิตที่ทำหน้าที่คิดนึกหรือรู้สึก ของปุถุชนและพระเสกขบุคคล
    จะมีอยู่ ๒ ประเภทคือ อกุศลจิต และกุศลจิต
    ทั้งอกุศลจิต และกุศลจิต เมื่อเกิดขึ้นเสพอารมณ์ คือ ทำหน้าที่ชวนะแล้ว
    จะเป็นเหตุให้เกิดวิบาก (ผล) ขึ้นในอนาคต
    หากเป็นวิบากของอกุศล ก็จะนำเกิดใน อบายภูมิ ๔ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน
    หากเป็นวิบากของกุศล ก็จะนำเกิดในสุคติภูมิ เป็นมนุษย์ เทวดา รูปพรหม หรืออรูปพรหม ตามประเภทของกุศลกรรม

 
    สำหรับพระอรหันต์ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการเสพอารมณ์ หรือชวนะ ของพระอรหันต์ ไม่ใช่จิตที่เป็นอกุศลหรือกุศล แต่เป็นจิต ที่ปราศจากผลแล้ว ชื่อว่า มหากิริยาจิต จิตประเภทนี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป โดยปราศจากผลใดๆ

    ความเป็นอยู่ของพระอรหันต์ ไม่มีจิตที่เป็นกุศล หรืออกุศล มีแต่มหากิริยาจิตที่เป็นไป
    เพื่อการอนุเคราะห์แก่มนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย หรือเพื่อที่จะเทศนาสั่งสอน สืบทอดพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเป็นเนื้อนาบุญ อันประเสริฐ แก่ผู้ทำบุญกับท่านอีกด้วย

    ภารกิจของพระอรหันต์บางอย่าง ก็ต้องใช้ปัญญา เช่นการแสดงธรรม แต่บางอย่างที่ได้กระทำ จนเกิดความเคยชิน ก็ไม่ต้องใช้ปัญญา เช่น การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย มีการยืน เดิน นั่ง นอน เป็นต้น
    จิตของพระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่ใช่ว่าจะรับรู้ แต่เฉพาะนิพพานอารมณ์อย่างเดียว
    ย่อมรับกามอารมณ์ มหัคคตอารมณ์ และบัญญัติอารมณ์ได้ทั้งสิ้น
    แต่จิตใจของพระอรหันต์ ที่รับอารมณ์ต่างๆ เหล่านั้น หาได้เป็นไปกับอาสวกิเลสทั้งหลาย
    ไม่เพราะท่านได้ทำลายอาสวกิเลส ด้วยปัญญาในอรหัตตมรรค โดยสิ้นเชิงแล้ว

     :25:
   
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Skydragon

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st11 st12 thk56

   วิสัชชนา ได้ชัดเจน มากครับ

   thk56
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ask1
หากบุญกุศล ไม่ต้องรับผลแล้ว พระอรหันต์ ท่านจะสร้างกุศลทำไม ?

 :smiley_confused1:


    ขอขยายความสักหน่อย อาจมีหลายท่านไม่เข้าใจ
    เริ่มจากพุทธพจน์ที่ว่า
    "ภิกษุทั้งหลาย บุญย่อมไม่มีแก่บุตรของเรา, บาปก็มิได้มี; บุญบาปทั้งสองเธอละเสียแล้ว"
    เหตุที่ตรัสเช่นนี้ เพราะภิกษุปุถุชนเข้าใจผิดว่า พระเรวตะ ยังยึดติดในลาภในบุญอยู่
    โดยไม่ทราบพระเรวตเป็นอรหันต์แล้ว ทั้งยังมีฤทธิ์สามารถเนรมิตสิ่งปลูกสร้างได้มากมาย
    จนภิกษุปุถุชน(เข้าใจผิด) กล่าวว่า
    "น่าอัศจรรย์ สามเณรมีลาภ น่าอัศจรรย์ สามเณรมีบุญรูปเดียว(แท้) สร้างเรือนยอด ๕๐๐ หลังเพื่อภิกษุ ๕๐๐ รูปได้."


    พุทธพจน์ยืนยันว่า อรหันต์ละทั้งบุญและบาป หรือละทั้งกุศลและอกุศล
    การละบาปหรืออกุศลนั้นคนทั่วไปเข้าใจได้อยู่ แต่ไอ้ละบุญนี่ซิทำอย่างไง
    เพราะคนส่วนใหญ่เห็นพระป่าชื่อดัง ยังคงสร้างถาวรวัตถุกันอยู่

    เรื่องนี้ต้องอธิบายด้วยอภิธรรม
    การสร้างบาปเป็นทางไปสู่ทุคติ การสร้างบุญเป็นทางไปสู่สุคติ
    ดังนั้นหากเราการสร้างทั้งบุญและบาป เราก็จะยังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร
    หรืออีกนัยหนึ่ง การสร้างบุญและบาปเป็นการสร้างภพนั่นเอง
    แล้วทำอย่างไรเราจะทำลายภพได้(ไม่เกิด) คำตอบก็คือ ต้องไม่สร้างทั้งบุญและบาป


    คนที่ไม่สร้างทั้งบุญและบาปได้ มีอยู่คนเดียวครับ คือ อรหันต์
    เพราะจิตอรหันต์ไม่ยึดติดทั้งบุญและบาป จิตนี้เรียกว่า มหากริยาจิต
    ไม่ว่าท่านจะทำอะไร เป็นกุศลหรืออกุศล ก็ไม่เป็นไปเพื่อสร้างภพ
    สิ่งที่ท่านทำอยู่และเราเห็นว่า ท่านกำลังทำบุญทำกุศลอยู่นั้น แท้จริงคือ "การอนุเคราะห์โลก"
    ขอคุยเท่านี้ครับ

     :25:
   
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

vichai

  • ศิษย์ตรง
  • พอพึ่งพาได้
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 207
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สร้างกุศล ย่อมต้องดี กว่า สร้างอกุศล แต่ เมื่อทำกุศล แล้ว สำหรับพระอรหันต์แล้ว ท่านต้องละ ความฟุ้งซ่าน ในการสร้างกุศล ด้วยครับ

   st11 thk56
บันทึกการเข้า
มาศึกษาธรรมะ ครับ ยินดีรู้จักทุกท่านที่เป็นกัลยาณมิตร ครับ
เครดิต คุณกบแย้มกะลา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0


คูถกู สูเอา

     บุญทานกองคูถทิ้ง             ฤาเฝ้า
สงฆ์ผละหน่ายสู่เหย้า             โปรดบ้าง
บุญทานหลากเขลาเศร้า        บาปบ่วง ชี้นา
ทานหย่อนคูถก้อนช้าง        บ่ข้องของกู.


                                                      ธรรมธวัช.!




http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hOekl3TURZMU5BPT0=
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 04, 2013, 06:26:56 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

tang-dham

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 98
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0


คูถกู สูเอา

     บุญทานกองคูถทิ้ง             ฤาเฝ้า
สงฆ์ผละหน่ายสู่เหย้า             โปรดบ้าง
บุญทานหลากเขลาเศร้า        บาปบ่วง ชี้นา
ทานหย่อนคูถก้อนช้าง        บ่ข้องของกู.


                                                      ธรรมธวัช.!




http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hOekl3TURZMU5BPT0=

    ท่าน ธรรมธวัช โปรดขยายใจความ อธิบายหน่อย ครับ รอบนี้อ่านแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจ เจตนาของโคลง ครับ

 
บันทึกการเข้า
ยินดีที่รู้จัก ทุกท่านฝากตัว เพื่อศึกษาความรู้ กับกัลยาณมิตรทุกท่านครับ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
หากบุญกุศล ไม่ต้องรับผลแล้ว พระอรหันต์ ท่านจะสร้างกุศลทำไม ?

คูถกู สูเอา

     บุญทานกองคูถทิ้ง             ฤาเฝ้า
สงฆ์ผละหน่ายสู่เหย้า             โปรดบ้าง
บุญทานหลากเขลาเศร้า        บาปบ่วง ชี้นา
ทานหย่อนคูถก้อนช้าง        บ่ข้องของกู.


                                                      ธรรมธวัช.!


ท่าน ธรรมธวัช โปรดขยายใจความ อธิบายหน่อย ครับ รอบนี้อ่านแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจ เจตนาของโคลง ครับ

มีคำกล่าวหนึ่งที่ผมได้จากสื่ออักษรธรรมจากการได้ศึกษาหาอ่านและได้ยินได้ฟังจากครูอาจารย์ในสายภาวนาท่านละไม่มีสมบัติในการต่อยอดต่อกรรมต่อภพต่อชาติใดใด สิ่งที่ขวนขวายเป็นเพียงการนำเนื่องสู่เราท่านทั้งหลายที่ยังข้องอยู่ด้วยกามตัณหา อันกุศลคุณความดีใดใดที่ครูบาคณาจารย์ท่านขวนขวายเสมือนกองก้อนคูถไม่ใส่ใจนำมาข้องขุ่นเป็นตนของตน กามสุขหรือจะสู้วิมุตติสุขนั้นได้ ดังนั้นครูอาจารย์ท่านเที่ยวท่องจรกราบไหว้ในสถานที่ที่มีกระแสแห่งการระลึกน้อมสู่พระบรมศาสดาเจ้าได้ท่านก็ไปกราบกล่าวด้วยปิติด้วยสุข กุศลคุณความดีอันเราท่านทั้งหลายขวนขวายทำต่างล้วนต้องแลกได้มาด้วยความล้าแห่งตนหน่ายต่อคนอยู่ด้วยความสารวนวุ่นวายต่างจากการเอาใจวางสุขอยู่ด้วยความไม่ไปข้องมีเยื่องอย่างพระอริยะเจ้าทั้งหลาย จึงกล่าวไว้ในโคลงว่า "คูถกู สูเอา" ดังเช่นกลุ่มคนที่ไปกราบไหว้อริยะสงฆ์ครูอาจารย์อยากได้กระทั่งหมากคำเคี้ยว,มูตร,คูถ,เศษชิ้นผ้าซับเหงื่อไคลท่าน ล้วนเก็บติดกลับมาได้ก็กำไลกระหยิ่มชอบใจตามแบบคนไม่ทิ้งกาม ครับ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 05, 2013, 06:21:33 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา