ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: หลงตัว หลงเชื่อ...คือหลงทาง  (อ่าน 2228 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

somchit

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 71
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
หลงตัว หลงเชื่อ...คือหลงทาง
« เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 01:01:05 am »
0
หลงตัว หลงเชื่อ...คือหลงทาง
“...ชีวิตของคนเราทุกคนเหมือนเดินอยู่ท่ามกลางป่าเขา น้อยคนที่จะสบายเหมือนเดินอยู่บนถนนหลวงทางเดินในชีวิตส่วนใหญ่ มักจะขรุขระ มีหลุมบ่อ พงหนามทั้งขึ้นเขาเข้าถ้ำ และลงห้วย ผลัดเปลี่ยนกันไป มีความลำบากมากบ้าง น้อยบ้างสุขบ้างทุกข์บ้าง สลับกันไปในแต่ละวัน
ชีวิตคนเรานั้นนอกจากเดินทางลำบากแล้ว ยังต้องเดินทางอย่างโดเดี่ยวอีกด้วย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะชีวิตคือการเดินทางคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรียกว่าเราเกิดมาตามกรรมของเราเองเป็นไปอย่างนี้ ไม่ว่าจะเกิดมากี่ครั้ง หรือว่าตายไปกี่หนก็ตาม
การที่เราทุกคนกลัวความเหงานั้น อาจจะต้องเข้าใจเสียใหม่ว่า อันที่จริงแล้วความเหงานั่นแหละ คือชีวิตที่แท้จริงของคนเรานั่นเอง เพราะไม่ว่าพ่อ แม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนฝูงและลูก แม้ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทาง แต่
ก็เป็นเพื่อนร่วมทางที่ ไม่ถาวร เพราะความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดเหล่านั้น ล้วนเป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้น สมมุติเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่ น้อง และเป็นบทบาทที่แสดงต่อกัน ด้วยความผูกพันและหน้าที่ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปในช่วงชีวิตหนึ่งเท่านั้น เรามาคนเดียว แล้วเราก็ไปคนเดียว จะไปทีเดียวหลายๆคนแบบจูงมือกันไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นลูก สามี ภรรยา พ่อแม่ พี่น้อง ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป

ต่างคนต่างเกิด เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรสักอย่างที่จะเอาติดตัวไปได้แม้แต่เงินเพียงบาทเดียว ต้องปล่อยทิ้งไว้ทั้งหมด ไม่มีอะไรเป็นที่ยึดถือ เรือกสวนไร่นา ตึกรามบ้านช่อง ก่อนที่เราจะเกิดเขาก็มีอยูอย่างนี้ ชายหญิงเขาก็มีกันอยู่อย่างนี้ ตอนเราเกิดก็มีอยู่อย่างนี้ เราตายไปแล้วมันก็มีอยู่อย่างนี้
เพราะฉะนั้นเราจะกลัวความเหงากันไปทำไม ทั้งๆที่ชีวิตก็คือการเดินทางคนเดียวอยู่แล้ว คนที่อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องหาเพื่อนแก้เหงาตลอดเวลา หรืออยู่ไม่ได้ถ้าขาดคนอื่น คนนั้นคือผู้หลงทาง เพราะหารู้ไม่ว่ายิ่งเราอยู่ในวงห้อมล้อมของคนมากเท่าไร เราก็จะยิ่งค้นหาตัวเองไม่เจอเท่านั้น เพราะเรามักจะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นตลอดเวลา คอยจะดูแต่ว่าคนนั้นดี คนนี้ชั่ว คนนั้นถูก คนนี้ผิด นั่นเรามองเห็นแต่คนอื่น เรามองออกไปข้างนอก มองรอบตัว แต่เราไม่เคยมองเห็นตัวของเราเองเลย นี่คือเราไม่รู้จักตัวเองดีพอ
ผู้ฉลาดย่อมเห็นคุณค่าของการอยู่คนเดียว ผู้มีปัญญาย่อมจะแสวงหาความวิเวก ความสงบ เพื่อทำความรู้จักกับตัวเอง รู้ใจตัวเอง เมื่อใจไม่วุ่นวาย ใจเกิดความสงบ ใจเกิดความสว่างเย็นแล้วเรสก็จะเป็นสุข
เราต้องดำเนินชีวิตด้วยตัวของเรา เอง เลือกดี เลือกชั่ว ด้วยตัวของเราเอง จะถูกทางหรือหลงทางก็ด้วยปัญญาของเราเอง เหมือนดังที่พูดว่า” ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” หมายถึงพุทธศาสนาเป็นเพียงแผนที่บอกทางให้เราเท่านั้น
ส่วน การเลือกเดินทางไหน อย่างไร อยู่ที่ตัวเราคนเดียว เมื่อรู้ว่ากำลังเดินทางคนเดียว ก็อย่าทำเป็นคนเห็นแก่ตัว รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ทำกรรมดี อยู่ในศีลในธรรม เป็นหนทางที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางของการหลุดพ้นได้เร็วขึ้น เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็เท่ากับว่าเราโชคดีแล้ว และได้มาอยู่ในเส้นทางที่มีปลายทางทิ่มีทั้งแสงสว่างและความมืดมัวให้เรา เลือก คราวนี้อยู่ที่ตัวของเราเองว่าจะเดินทางช้าเดินทางเร็วหรือจะเดินหลงทางเท่า นั้น
ชีวิตคนเรานั้น แท้จริงแล้วคือการเดินทาง และยังคงเป็นการเดินทางเรื่อยไปอยู่นั่นเอง ย่อมมีความระหกระเหินบอบช้ำเป็นธรรมดา ชีวิตที่ต้องการเดินทางไปสู่นิพพานหรือการดับทุกข์ขั้นเด็ดขาด จะถึงช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับปัญญาของแต่ละคนแต่การเดินทางนี้ไม่ใช่เดินด้วยร่างกาย เพราะนิพพานไม่ใช่สถานที่หากแต่ว่าเป็นภาวะอันบรมสุขของจิตใจ การเดินทางนี้จึงเป็นการเดินทางของจิตใจ จากสภาพที่มัวหมองไปสู่ความสะอาดสดใสที่ไม่มีกิเลส ตัวเรานั้นอาจเดินทางทุกวันด้วยพาหนะชั้นดี มีเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย พาให้เราไปสู่จุดหมายนับร้อยนับพันแห่ง แต่ใจของเราเดินทางด้วยหรือเปล่า ความสวยงามของโลก อาจทำให้ใจเราซัดส่ายไปมา ซ้ำซากวนเวียนอยู่กับสุขเดิมๆ ทุกข์เดิมๆอยู่นั่นแหละไม่เคยแสวงหาสภาวะที่สุขจริง สุขแท้กว่านั้นเลยชีวิตของเราชาติหนึ่งๆ ก็จบสิ้นไปโดยไม่ได้พัฒนา ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร เป็นการเสียชาติเกิด เสียเวลาเปล่าๆ..”

คำสอนของแม่พัชราภา ในหนังสือทางพ้นกรรม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2011, 01:02:43 am โดย somchit »
บันทึกการเข้า