ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 558 559 [560] 561 562 ... 708
22361  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ชมภาพประวัติศาสตร์.! ชาวไทย 'รักในหลวง' (จากสํานักพระราชวัง) เมื่อ: ธันวาคม 06, 2012, 01:20:35 pm




ขอบคุณภาพจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด
http://www.flickr.com/photos/68898021@N08/8247181298/#in/photostream/
22362  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: 'ในหลวง' ตรัส 'พร้อมเพรียง'...ทำให้ไทยรอด (ชมภาพและคลิป) เมื่อ: ธันวาคม 06, 2012, 12:45:09 pm


เผยแพร่เมื่อ 5 ธ.ค. 2012 โดย nathaponson

ขอบคุณภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก
www.komchadluek.net/detail/20121205/146441/ในหลวงตรัสพร้อมเพรียงทำให้ไทยรอด.html­#.UMAkaKzjrRc

22363  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ในหลวง' ตรัส 'พร้อมเพรียง'...ทำให้ไทยรอด (ชมภาพและคลิป) เมื่อ: ธันวาคม 06, 2012, 12:31:32 pm


'ในหลวง 'ตรัส 'พร้อมเพรียง'...ทำให้ไทยรอด

'ในหลวง'เสด็จออกสีหบัญชรพระที่นั่งอนันตสมาคม ทรงมีพระราชดำรัส 'ความพร้อมเพรียง จะทำให้ไทยรอดได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด'

    ในเวลา 09.54 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต ทั้งนี้พระองค์ทรงพระสรวล โดยประชาชนส่งเสียง "ทรงพระเจริญ" ดังกึกก้อง ตลอดระยะทางที่เสด็จ

    จากนั้นเสด็จฯ ขึ้นไปยังชั้น 2 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์ครุย ณ ห้องมุขด้านทิศใต้

    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทรงฉลองพระองค์ครุย ณ ห้องมุขด้านทิศเหนือ เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงฉลองพระองค์ครุยเสร็จแล้ว เสด็จฯ ลงจากพระที่นั่งอนันตสมาคมทางบันไดมุขด้านทิศใต้ ไปทรงยืนเฝ้าฯ ที่พระแท่นหน้าสีหบัญชร






    เวลา 10.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกท้องพระโรงพระที่นั่งอนันตสมาคม จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม พระบรมวงศานุวงศ์ทรงยืนเฝ้าฯ  ภายในพระที่นั่งอนันตสมาคม สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ถวายพระพรชัยมงคล

    ต่อด้วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา และนายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกา จากนั้น พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด นำทหารรักษาพระองค์ถวายสัตย์ปฏิญาณ

     เวลา 10.41 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกสีหบัญชรแล้ว







     ต่อมาเวลา 11.04 น. ในการออกมหาสมาคมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระราชดำรัส มีใจความว่า
     " คำอวยพร และคำปฏิญาณสัญญาที่ทุกท่านได้กล่าวนั้นเป็นที่ประทับใจมาก
     ขอขอบใจและท่านทั้งหลาย ตลอดจนประชาชนชาวไทยทุกคนที่พรั่งพร้อมกัน
     มาด้วยความปรารถดี และไมตรีจิต ความปรารถนาดีและความพร้อมเพรียงกันของทุกท่าน
     อย่างที่ได้เห็นในวันนี้ ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจ มีกำลังใจมากขึ้น มีความเชื่อเสมอว่า
     ความเมตตาปรารถนาดีของท่านต่อกันนี้เป็นปัจจัยอย่างสำคัญ
     ที่จะทำให้ความพร้อมเพรียงให้เกิดขึ้น ดีขึ้นทั้งในหมู่คณะและในชาติบ้านเมือง


     แต่ถ้าคนไทยเรายังมีคุณธรรมข้อนี้ประจำอยู่ในจิตใจก็จะมีความหวังได้ว่าบ้านเมืองไทยไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ก็จะอยู่รอดปลอดภัย และธรรมธำรงมั่นคงปลอดภัย ได้ตลอดรอดฝั่งอย่างแน่นอน ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนไตยและสิ่งศักดิ์สิ่งทรงคุ้มครองรักษาท่าน และชาติไทยให้มีแต่ความผาสุก ร่มเย็นยั่งยืนตลอดไป

     หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้พระราชทานพระดำรัสเสร็จสิ้น ประชาชนพสกนิกรที่รอชื่นชมพระบารมีต่างได้ตะโกนเปล่งเสียง"ทรงพระเจริญ"อย่างกึกก้องและยาวนาน
     เวลา 11.25 น.รถยนต์พระที่นั่งออกจากพระที่นั่งอนันตสมาคม พสกนิกรรอรับเสด็จพร้อมถวายพระพร"ทรงพระเจริญ"


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121205/146441/ในหลวงตรัสพร้อมเพรียงทำให้ไทยรอด.html#.UMAkaKzjrRc
22364  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ชมภาพประวัติศาสตร์.! ชาวไทย 'รักในหลวง' (จากสํานักพระราชวัง) เมื่อ: ธันวาคม 06, 2012, 12:14:23 pm









ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/article/850/170829
22365  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ชมภาพประวัติศาสตร์.! ชาวไทย 'รักในหลวง' (จากสํานักพระราชวัง) เมื่อ: ธันวาคม 06, 2012, 12:11:42 pm







22366  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชมภาพประวัติศาสตร์.! ชาวไทย 'รักในหลวง' (จากสํานักพระราชวัง) เมื่อ: ธันวาคม 06, 2012, 12:09:19 pm


ประมวลภาพจากสํานักพระราชวัง
'ในหลวง'เสด็จออกสีหบัญชรพระที่นั่งอนันตสมาคม วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕







22367  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ชมภาพประวัติศาสตร์.! ชาวไทย 'รักในหลวง' (2) เมื่อ: ธันวาคม 06, 2012, 11:58:02 am









ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121205/146480/ชมภาพประวัติศาสตร์!ชาวไทยรักในหลวง(2).html#.UMAh96zjrRc
22368  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชมภาพประวัติศาสตร์.! ชาวไทย 'รักในหลวง' (2) เมื่อ: ธันวาคม 06, 2012, 11:55:13 am


ชมภาพประวัติศาสตร์.! ชาวไทย 'รักในหลวง' (2)
ประมวลภาพประวัติศาสตร์!ชาวไทยแห่แสดงความจงรักภักดี'ในหลวง' (2)







22369  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ชมภาพประวัติศาสตร์.! ชาวไทย 'รักในหลวง' (1) เมื่อ: ธันวาคม 06, 2012, 11:50:41 am




ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121205/146479/ชมภาพประวัติศาสตร์!ชาวไทยรักในหลวง(1).html#.UMAhuqzjrRc
22370  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ชมภาพประวัติศาสตร์.! ชาวไทย 'รักในหลวง' (1) เมื่อ: ธันวาคม 06, 2012, 11:48:46 am






22371  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชมภาพประวัติศาสตร์.! ชาวไทย 'รักในหลวง' (1) เมื่อ: ธันวาคม 06, 2012, 11:46:16 am


ชมภาพประวัติศาสตร์.! ชาวไทย 'รักในหลวง' (1)
ประมวลภาพประวัติศาสตร์!ชาวไทยแห่แสดงความจงรักภักดี'ในหลวง'






22372  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ขอเสนอให้ พระอาจารย์ พบลูกศิษย์ ทาง MSN อาทิตย์ ละครั้ง เมื่อ: ธันวาคม 06, 2012, 11:28:16 am

Microsoft เตรียมยกเลิก MSN หันไปใช้ Skype แทนในเร็วๆนี้

Microsoft เตรียมยกเลิก MSN หันไปใช้ Skype แทนในเร็วๆนี้


นับเป็นระยะเวลากว่า 12 ปีแล้วที่ Microsoft เปิดบริการส่งข้อความผ่านระบบออนไลน์ของตัวเอง โดยใช้ชื่อว่า Messenger network หรือที่พวกเราคุ้นเคยกันในชื่อ MSN ล่าสุดวันนี้ ทีมพัฒนาจาก Microsoft ออกมาเปิดเผยแล้วว่าเตรียมจะยกเลิกบริการ MSN ในเร็วๆนี้ และจะหันไปใช้ Skype แทน ซึ่งถือว่าเป็นแอพพลิเคชั่นที่มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า MSN ในปัจจุบัน


Skype Microsoft เตรียมยกเลิก MSN หันไปใช้ Skype แทนในเร็วๆนี้



ในส่วนของ Skype ก็มีบริการรับส่งข้อความจาก Account ของ MSN กันแล้ว แต่ในเรื่องของการย้ายข้อมูลรวมถึง Account ทั้งหมดจาก MSN มายัง Skype ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
    สำหรับเพื่อนๆที่ยังไม่เคยใช้บริการ Skype สามารถดาวโหลดได้ที่นี่

    http://www.skype.com/intl/en/get-skype/on-your-computer/windows-live-messenger/



ขอบคุณข้อมูลจาก http://blogs.windows.com , http://blogs.skype.com
ขอบคุณภาพจาก http://www.siammac.com/
update : Nov 7th, 2012
22373  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / Re: Facebook..."ยาแก้เหงา" ของคนยุคใหม่ เมื่อ: ธันวาคม 05, 2012, 02:06:50 pm


อัปโหลดโดย accelan เมื่อ 28 ม.ค. 2009
22374  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ยังไม่ทันรู้ใจ..'ก็ได้ตัว' เมื่อ: ธันวาคม 05, 2012, 02:05:24 pm


เผยแพร่เมื่อ 6 ส.ค. 2012 โดย ไตรเทพ หลานท้าว
22375  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สติปัฏฐาน ๔ เป็น "สมาธินิมิตร"....สมาธิทำให้เกิด "สติสัมปชัญญะ" เมื่อ: ธันวาคม 05, 2012, 01:51:53 pm

สมาธิ ๔ วิปัลลาส ๔
โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์ อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

    สมาธิภาวนา คือ การอบรมสมาธิ การปฏิบัติทำสมาธิให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่ามี ๔ อย่างคือ
      ๑ สมาธิภาวนาเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
      ๒ สมาธิภาวนาเพื่อญาณทัสสนะความรู้ความเห็น
      ๓ สมาธิภาวนาเพื่อสติความระลึกได้สัมปชัญญะความรู้ตัว และ
      ๔ สมาธิภาวนาเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะคือกิเลสที่ดองจิตสันดานทั้งหลาย


สมาธิเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
ประการแรกสมาธิภาวนาเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ท่านแสดงเป็นตัวอย่างไว้ว่า คือสมาธิที่เป็นจิตตเอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว อย่างสูงถึงฌานคือความเพ่ง อันหมายถึงอัปปนาสมาธิ สมาธิที่แนบแน่น เป็นฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่เป็น รูปฌาน ที่สูงขึ้นไปก็ อรูปฌาน

แต่ที่ต่ำลงมาก็คือไม่เป็นอัปปนาสมาธิ สมาธิที่แนบแน่น เป็นอุปจาระสมาธิ สมาธิที่ใกล้จะแนบแน่น หรือเป็นบริกัมมสมาธิ สมาธิในการปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้น ให้จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว และเมื่อได้จิตตเอกัคคตาคือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว ก็ย่อมจะได้ความสุขอยู่ในปัจจุบัน


สมาธิเพื่อญาณทัสสนะ
ประการที่ ๒ สมาธิภาวนาเพื่อความรู้ความเห็นอันเรียกว่าญาณทัสสนะ ท่านแสดงเป็นตัวอย่างไว้ว่า ได้แก่การปฏิบัติเพ่งแสงสว่าง หรือความสว่าง ทำ ทิวาสัญญา คือความกำหนดหมายว่ากลางวัน ให้ได้ความสว่างของจิตใจ จิตใจสว่าง กลางคืนเหมือนกลางวัน กลางวันเหมือนกลางคืน ก็จะรู้จะเห็นอะไรๆ ได้ตามควรแก่กำลังของสมาธิข้อนี้




สมาธิเพื่อสติสัมปชัญญะ
ประการที่ ๓ สมาธิภาวนาเพื่อสติความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว คือ กำหนดเวทนาความเป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขที่รู้แล้ว กำหนดสัญญาความจำได้หมายรู้ที่รู้แล้ว ความกำหนดวิตกคือความตรึกนึกคิดที่รู้แล้ว ว่าเกิดขึ้นอย่างนี้ ตั้งอยู่อย่างนี้ ดับไปอย่างนี้

     ในข้อ ๓ นี้ ละเอียดไปกว่าข้อ ๒ และข้อ ๒ ละเอียดไปกว่าข้อ ๑
     ข้อ ๑ นั้นสมาธิภาวนาเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ไม่รู้ไม่เห็นอะไร เพียงแต่จิตรวมนิ่งอยู่สงบอยู่เฉยๆ อันทำให้ได้ปีติได้สุข จากความสงบสงัด จากสมาธิ
     แต่ประการที่ ๒ มีญาณทัสสนะรู้เห็นนั่นนี่ แต่เพียงแต่รู้เห็นนั่นนี่ มิได้กำหนดความรู้ความเห็นนั้น
     มาถึงประการที่ ๓ กำหนดความรู้ความเห็นนั้น โดยลักษณะเป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นวิตก ความตรึกนึกคิด โดยมีสติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว ในความรู้ความเห็น กำหนดลงมาว่าเป็นเวทนาสัญญาเป็นวิตกความตรึกนึกคิด และมีสติความระลึกได้สัมปชัญญะความรู้ตัว ในลักษณะเครื่องกำหนดหมายที่ปรากฏ ของเวทนาสัญญาของวิตกความตรึกนึกคิดนั้นว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป


สมาธิเพื่อความสิ้นอาสวะ
จึงมาถึงข้อ ๔ ซึ่งเป็นสมาธิภาวนาเพื่อความสิ้นอาสวะ อันนับว่าเป็นสมาธิภาวนาอย่างสูงสุด อันเป็นที่มุ่งหมายของการทำสมาธิ คือ เพื่อปัญญารู้แจ้งแทงตลอด นำให้เกิด อุทยัพยานุปัสสนาญาณ คือความรู้ที่ตามดูตามเห็นความเกิดขึ้นและดับไปของขันธ์ ๕ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ หรือของนามรูปแต่ละข้อ ว่าเกิดขึ้นอย่างนี้ ดับไปอย่างนี้ อันจะนำให้เกิดปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอด อันเป็นเหตุสิ้นไปแห่งอาสวะ คือกิเลสที่ดองจิตสันดานทั้งหลาย

     ฉะนั้น สมาธิภาวนาจึงมีหลายอย่าง
     ตั้งแต่อย่างธรรมดาสามัญ คือ ประการที่ ๑ เพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
     และก็สูงขึ้นเป็นเพื่อรู้เห็นในความสว่างของจิตที่กำหนดทิวาสัญญา ความสำคัญหมายว่ากลางวัน แม้ในเวลากลางคืน กลางคืนเหมือนกลางวัน กลางวันเหมือนกลางคืน
     และต่อไปก็เพื่อสติสัมปชัญญะ ระลึกรู้ความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของเวทนาสัญญา วิตกความตรึกนึกคิดของตนทั้งหมด
     และสูงสุดก็เพื่อความสิ้นอาสวะ ก็ทำสมาธิเพื่อปัญญา คือทำสมาธิเพื่อเป็นมูลฐานของปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงความเกิดดับของขันธ์ ๕ หรือนามรูป (เริ่ม ๑๘๗/๒) อันเป็นเหตุสิ้นอาสวะคือกิเลสที่ดองจิตสันดานทั้งหลาย



หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ถวายเครื่องสักการะแด่ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน)
สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อคราวเสด็จเยี่ยมวัดป่าสาลวัน


สมาธินิมิต สมาธิบริขาร สมาธิภาวนา
อนึ่ง พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสไว้ในพระสูตรหนึ่ง ถึงสมาธินิมิต สมาธิบริขาร และสมาธิภาวนา
    สมาธินิมิตนั้นได้แก่ นิมิต คือ เครื่องกำหนดหมายแห่งสมาธิ ตรัสว่า ได้แก่สติปัฏฐานทั้ง ๔
    ตรัสสมาธิบริขาร คือ เครื่องอาศัยแห่งสมาธิ ตรัสว่าได้แก่สัมมัปปธาน ตั้งความเพียรชอบทั้ง ๔ ข้อ คือ
        ๑ สังวรปธาน เพียรระวังบาปที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น
        ๒ ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
        ๓ ภาวนาปธาน เพียรทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
        ๔ อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่บังเกิดขึ้นแล้วให้ตั้งอยู่ไม่ให้เสื่อม และให้เพิ่มพูนมากขึ้นจนถึงความบริบูรณ์

    และได้ตรัสสมาธิภาวนา คือ การส้องเสพ อาเสวนาการส้องเสพ ภาวนาการอบรมทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น พหุลีกรรม คือ การที่กระทำให้มากซึ่งสมาธิ

    ฉะนั้น จึงมาถึงสติปัฏฐานทั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าตรัสยกขึ้นว่า เป็นสมาธินิมิต คือ เป็นนิมิตเครื่องกำหนดหมายแห่งสมาธิ





สติปัฏฐาน ๔
    สติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ได้ตรัสแสดงไว้โดยพิสดารในมหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งตรัสไว้โดยเริ่มต้นมีใจความว่า
     ทางไปอันเอกคืออันเดียว เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงโสกะปริเทวะคือความโศกความรัญจวนคร่ำครวญใจ เพื่อดับทุกข์โทมนัสความไม่สบายกายไม่สบายใจ เพื่อบรรลุญายธรรม ธรรมะที่พึงบรรลุ ธรรมะที่พึงรู้ ท่านแสดงว่าได้แก่อริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อกระทำให้แจ้งนิพพาน

     ซึ่งรวมความว่าเพื่อละ หรือตัดอุปัทวะคือเครื่องขัดข้อง ๔ อย่าง อันได้แก่
        โสกะอย่าง ๑
        ปริเทวะอย่าง ๑
        ทุกข์อย่าง ๑
        โทมนัสอย่าง ๑
    เพื่อบรรลุผลที่ดีที่ชอบ ๓ อย่าง หรือเพื่อบรรลุถึงภูมิธรรม ๓ อย่าง คือ
        ความบริสุทธิ์ ๑ อันเรียกว่าวิสุทธิ
        ญายธรรม ธรรมะที่พึงกระทำที่พึงบรรลุ อันได้แก่มรรคมีองค์แปด ๑
        พระนิพพานที่พึงกระทำให้แจ้ง ๑ ดั่งนี้


    และสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ ก็ได้แก่
    กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติปัฏฐานคือความพิจารณาตามรู้ตามเห็นกาย
    เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติปัฏฐานคือความพิจารณาตามรู้ตามเห็นเวทนา
    จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติปัฏฐานคือความพิจารณาตามรู้ตามเห็นจิต
    ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติปัฏฐานคือความพิจารณาตามรู้ตามเห็นธรรม เป็น ๔ ข้อดั่งนี้





จริต ๔
    และสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ ท่านแสดงว่าย่อมเป็นไปเพื่อละจริตทั้ง ๔ อันได้แก่
     กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นเครื่องละตัณหาจริต ที่มีปัญญาอ่อน
     เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นเครื่องละตัณหาจริต ที่มีปัญญากล้า
     จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นเครื่องละทิฏฐิจริต ที่มีปัญญาอ่อน
     ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นเครื่องละทิฏฐิจริต ที่มีปัญญากล้า


    อนึ่ง ท่านแสดงว่า เป็นการปฏิบัติที่เหมาะแก่ ยานิก คือ บุคคลผู้มีธรรมะเป็นยวดยานพาหนะสำหรับบรรลุถึงธรรมะ ที่แตกต่างกัน คือ
   กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเหมาะสำหรับคนที่เป็น สมถยานิก คือ ผู้ที่มีสมถะเป็นยวดยานพาหนะที่มีปัญญาอ่อน
   เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานเหมาะสำหรับ สมถยานิก ผู้มีสมถะเป็นยวดยานพาหนะที่มีปัญญากล้า
   จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานเหมาะสำหรับ วิปัสสนายานิก คือ ผู้ที่มีวิปัสสนาเป็นยวดยานพาหนะที่มีปัญญาอ่อน
   ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานเหมาะสำหรับ วิปัสสนายานิก คือ ผู้มีวิปัสสนาเป็นยวดยานพาหนะที่มีปัญญากล้า






วิปัลลาส ๔
   อนึ่ง ท่านแสดงว่าเป็นเครื่องละ วิปัลลาส คือ ความสำคัญหมายที่ผิด ๔ อย่าง คือ
   กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นเครื่องละวิปัลลาสความสำคัญหมายที่ผิดว่า งาม
   เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นเครื่องละวิปัลลาสคือความสำคัญหมายที่ผิดว่า เป็นสุข
   จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นเครื่องละวิปัลลาสความสำคัญหมายที่ผิดว่า เที่ยง
   ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นเครื่องละวิปัลลาสคือความสำคัญหมายที่ผิดว่า เป็นอัตตา คือ เป็นตัวเป็นตน

    เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ จึงเหมาะสำหรับบุคคลทุกๆ คนจะพึงปฏิบัติเพื่อละจริตทั้ง ๔
    ซึ่งทุกๆ คนอาจจะมีจริตข้อใดข้อหนึ่ง หรืออาจจะมีทั้ง ๔ ก็พึงปฏิบัติไปได้โดยลำดับ
    และสำหรับผู้ที่ปฏิบัติได้ทั้งทางสมถะและวิปัสสนา ที่เรียกว่าเป็น
    สมถยานิก มีสมถะเป็นยาน คือ ยวดยานพาหนะ
    วิปัสสนายานิก มีวิปัสสนาเป็นยาน
    และเป็นไปเพื่อละวิปัลลาสทั้ง ๔ ประการ คือ ความสำคัญหมายที่ผิดทั้ง ๔ ประการ ดังที่กล่าวมาแล้ว


    ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป




ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-283.htm
http://3.bp.blogspot.com/,http://www.prachachat.net/,http://www24.brinkster.com/,http://www.dokmaiban.net/
22376  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คลิปเตือนใจ อันตรายจากปลาโลมา.!! เมื่อ: ธันวาคม 05, 2012, 10:34:03 am


คลิปเตือนใจ อันตรายจากปลาโลมา.!!

เวลาไปเที่ยวสวนสัตว์  สิ่งมีชีวิตที่นักท่องเที่ยวให้ความนิยมลำดับต้นๆ คงหนีไม่พ้น 'ปลาโลมา' เพราะความขี้เล่นและดูเป็นมิตร ทำให้สัตว์ชนิดนี้เป็นที่ชื่นชอบ โดยเฉพาะเด็กๆ

ณ โซนโลกใต้ทะเล ในสวนสัตว์เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา สหรัฐ ครอบครัว "โธมัส" ก็คิดเช่นเดียวกันว่า "ปลาโลมา" ดูเป็นสัตว์ที่ไม่น่ามีอันตรายใดๆ เจมีและเอมี่ จึงพาลูกสาว หนูน้อย "จิลเลียน" มาให้อาหารปลาโลมาแบบใกล้ชิด โดยมีคุณพ่อคอยบันทึกภาพความทรงจำแสนสนุกเอาไว้

    ระหว่างนั้น 'จิลเลียน' หันมาพูดกับพ่อแม่ โดยที่ในมือของเธอถือปลาเตรียมให้อาหารเจ้าโลมา
    กลับเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น เจ้าโลมาผู้หิวโหย กระโดดขึ้นมางับเหยื่อที่อยู่ในมือของเด็กน้อย
    และเกือบลากเธอให้ตกน้ำลงไปด้วย ทำเอานักท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณนั้นตกใจกันยกใหญ่
    แต่สุดท้ายเด็กหญิงก็สามารถชักมือกลับมาได้ โดยที่ได้รับบาดแผลจากรอยฟันของปลาโลมาและมือบวมเล็กน้อย


คลิปนี้นำมาเตือนใจคนรักสัตว์ แม้สัตว์หลายชนิดจะดูเป็นมิตร ใจดี แต่เราคงไม่สามารถรู้อารมณ์และความคิดของพวกเขาเหล่านี้ได้อย่างแท้จริงหรอก รับชมปลาโลมาจอมตะกละตัวนี้กันได้เลย.




เผยแพร่เมื่อ 2 ธ.ค. 2012 โดย tvbodaga


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/world/170536
22377  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อ้าง 'ไอ้ตีนโต' เกิดมาเป็นมนุษย์พันทาง..พ่อไปได้มนุษย์ยุคปัจจุบันมาเป็นเมีย เมื่อ: ธันวาคม 05, 2012, 10:28:17 am


อ้าง'ไอ้ตีนโต'เกิดมาเป็นมนุษย์พันทาง..พ่อไปได้มนุษย์ยุคปัจจุบันมาเป็นเมีย

นักวิทยาศาสตร์ลงความเห็น หลังจากพากเพียรศึกษาดีเอ็นเอมานานถึง 5 ปีว่า “ไอ้ตีนโต” ครึ่งมนุษย์ครึ่งลิงลึกลับ เคยพบเห็นกันแต่รอยเท้า ในดินแดนอเมริกาเหนือ เป็นญาติพี่น้องกับมนุษย์เมื่อสัก 1,500 ปีก่อน

ทีมนักวิจัยซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญทางพันธุกรรม นิติวิทยาศาสตร์ พยาธิวิทยา การถ่ายภาพได้ช่วยกันจัดเรียงลำดับพันธุกรรมอันสมบูรณ์ แล้วลงความเห็นว่า จัดเป็นมนุษย์พันทาง

ผู้เป็นหัวหน้าทีมกล่าวว่า ไอ้ตีนโตไปได้มนุษย์ยุคปัจจุบันเป็นเมีย ทำให้มีลูกเป็นลูกผสมขนดก หากแต่ทางชมรมวิทยาศาสตร์ยังไม่สู้แน่ใจนัก.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/310627
22378  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วางแผน.! ขนคนเกือบแสนขึ้นไป "ตั้งอาณานิคม..อยู่บนดาวอังคาร" เมื่อ: ธันวาคม 05, 2012, 10:24:56 am


วางแผน.! ขนคนเกือบแสนขึ้นไป "ตั้งอาณานิคม..อยู่บนดาวอังคาร"

เศรษฐีอเมริกัน เจ้าของบริษัทสเปซ เอ็กซ์ประกาศจะส่งคนขึ้นไปตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารมากถึง 80,000 คน โดยจะจัดหาพาหนะขึ้นไปส่งนักบุกเบิกเหล่านั้น ในราคาคนละ 1,500,000 บาทต่อเที่ยว


เจ้าของกิจการอวกาศของเอกชน ผู้เคยส่งคนขึ้นไปยังสถานีอวกาศระหว่างประเทศมาแล้ว กล่าวว่า จะเริ่มส่งคนเที่ยวแรกไม่เกิน 10 คน ซึ่งจะมีจำนวนเพิ่มพูนมากขึ้นต่อไป เมื่อเดินทางไปถึง คนเหล่านั้นจะเริ่มก่อตั้งอารยธรรม  และสร้างความเจริญจนใหญ่โตขึ้นจนได้

เขากล่าวว่าจะเก็บค่าโดยสารอย่างถูก  เพื่อให้ คนส่วนใหญ่ตามชาติที่เจริญแล้ว  ซึ่งอยู่ในวัยกลางรอบ 40 ปี สามารถเก็บเงินทองเดินทางไปได้ โดยจะนำเครื่องมืออุปกรณ์ขึ้นไปพร้อมที่จะสร้างที่อยู่อาศัย บนพื้นที่แห้งแล้งและเป็นฝุ่นละออง สำหรับคนรุ่นต่อไปได้

อาคารรุ่นแรกจะเป็นรูปโดมอัดด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่จะมีม่านน้ำคลุมทับเพื่อป้องกันรังสีจากดวงอาทิตย์ โดยก๊าซจะช่วยให้สามารถปลูกพืชผักได้.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/310629
22379  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ยังไม่ทันรู้ใจ..'ก็ได้ตัว' เมื่อ: ธันวาคม 05, 2012, 10:12:59 am


ยังไม่ทันรู้ใจ..'ก็ได้ตัว'

สวัสดีค่ะ แนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกที ดีเจอ้อย นภาพร จากกรีนเวฟ 106.5 ค่ะ ปกติเราคงเจอกันผ่านเสียง จะเห็นภาพบ้างทาง Green channel ในช่วงเวลาของ Club Friday ตั้งแต่วันนี้เราคงได้เจอกันผ่านตัวหนังสือที่นี่ล่ะค่ะ “คนดังนั่งเขียน” ฟังชื่อแล้วขนลุกนิดหน่อย จริงๆ ให้ถือว่าเป็นคนไม่ดังที่อยากเขียนแล้วกันนะคะ ทำงานเกี่ยวกับการฟังและให้คำปรึกษาเรื่องของความรักมา 8 ปี บางทีเขาก็เรียกกันว่ากูรู  ใครจะรู้ว่าหลายๆ เรื่อง  กู ก็ไม่ค่อย รู้ เหมือนกัน

     เรามักเก่งในเรื่องชาวบ้าน แต่อานในเรื่องของตัวเอง ปัญหาคนอื่นเราใช้หัว ปัญหาตัวเราใช้ใจ ปัญหาคนอื่นเลยง่ายในการแก้  แต่แย่ตรงจะแก้ปัญหาเรา เพราะสิ่งที่สมองสั่ง ใจเรามักจะบอกว่ายังทำไม่ได้ ถือว่าเนื้อที่ตรงนี้เป็นการแลกเปลี่ยนแล้วกันนะคะ  หลายครั้งเราต้องเรียนรู้วิธีคิดจากชีวิตคนอื่นๆ ไม่ต้องไปเจอเอง เจ็บเองซะทุกเรื่อง มันเหนื่อยไป อ่านดูชีวิตใครๆ เราอาจได้คำตอบของชีวิตตัวเอง

     เมื่อไม่นานมานี้ คุณหมอพรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ท่านบอกถึงสถิติเด็กวัยรุ่นไทย  มีอะไรเกินเลยกันง่ายเหลือเกิน ยังไม่ทันเรียนรู้ ก็หมกมุ่นอยู่กับการเรียนรัก
     คุณหมอเลยเสนอให้พ่อแม่หยิบถุงยางใส่มือลูกวันละ 2 ถุง หรือแม้แต่วางขวดโหลถุงยางไว้ในห้องลูก
     แล้วคอยเติมเมื่อมันพร่องไป.. โอ้โห!!  ขนาดยังไม่มีลูกยังหลอนตามเลยค่ะ 
     มันเข้าสู่ยุคนี้กันแล้วจริงๆ หรือ? แต่ว่าไม่ได้
     ปัญหาส่วนใหญ่ที่น้องๆ ส่งเข้ามาถามก็ไม่ค่อยห่างจากเรื่องแบบนี้เท่าไหร่


     บางคนเจอกันในเฟซบุ๊กได้ 3 เดือน ย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้ว
     พอให้เขาได้อะไรง่ายๆ เสียไปเขาก็คงไม่เสียดายเท่าไหร่ 
     อยู่กันได้ไม่ถึงเดือน ผู้ชายพาผู้หญิงใหม่เข้ามานอนทับที่เราซะแล้ว
     น้องร้องไห้เสียใจ ปากก็บอกว่าทำไมเขาไม่เห็นคุณค่าของเรา
     หรือจริงๆ เรานั่นล่ะ ชิงลดคุณค่าของตัวเองลงไปก่อน




   
     ฟังไปเหมือนผู้ชายจะเป็นผู้กระทำอยู่ร่ำไป ไม่จริงนะคะ
     ยุคนี้หญิงไทยใจกล้า แฟนไม่ค่อยมีเวลา ฉันก็หาแฟนเพิ่ม และที่เพิ่มขึ้นมา ไม่ใช่คนโสดที่เหงาไปเหงามา กลับเป็นผู้ชายที่มีลูกมีเมียแล้ว จากเป็นส่วนเติมเต็มของคนๆ หนึ่ง กลับอยากไปเป็นส่วนเกินของอีกครอบครัวหนึ่ง


     พอบอกให้เลิกก็บอกว่าเลิกไม่ได้  พี่เขาดี ดูแลเรามากกว่าแฟนเราที่ไม่ค่อยมีเวลาซะอีก
     พอถามว่า ลูกเมียเขาล่ะ น้องก็ตอบว่ารู้สึกผิดนะคะ  แต่ไม่รู้จะทำยังไง 
     เอ๊า !! แฟนไม่มีเวลาน่าจะแก้กันที่ต้นตอของปัญหา ให้รู้กันไปว่า เวลาน้อยหรือไม่ค่อยรัก ไม่ใช่แก้ปัญหาโดยการเพิ่มจำนวนคน ไม่สนว่าเขามีครอบครัวอยู่แล้วหรือเปล่า ละครเรื่องแรงเงา  ถึงทำออกมากี่ครั้งๆ เรตติ้งยังทะลุเพดานทุกที เรื่องจริงในสังคมนี้ บางทีก็แรงกว่าแรงเงา


     นอกจากหยิบถุงยางใส่มือลูก สิ่งที่ต้องใส่เข้าไปในหัวลูกด้วยคือ สติ อุปกรณ์การสื่อสารติดกับตัว
     แต่กลับมัวสื่อสารกับคนไกลๆ มองข้ามคนใกล้ๆ กดปุ่มแชตคุยแทบจะตลอดเวลา
     แต่กลับรับมือความเหงาไม่ค่อยได้ เหงาปั๊บต้องรับรักใครซักคน รักแบบทุรนทุราย ทนทุกอย่างเพื่อเขาจนใจร้ายต่อตัวเราเอง
                       



 
     เคยมีนะคะ น้องผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะเข้าสู่พิธีแต่งงาน ฟังดูก็น่าจะสำราญใจดี
     แต่ติดที่แฟนเก่าแต่ละคนที่ผ่านมาน้องมีอะไรกับเขาไปซะทุกคน
     ที่เจ็บสุดจะทนเพราะเพิ่งรู้ว่า สามีเรากับบรรดาแฟนเก่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน
     และถ้าถึงวันแต่งงานวันนั้น สามีปัจจุบันจะอยู่บนเวที 
     มองลงมาข้างล่างจะพบเจอหน้าอดีตสามีที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา
     ฟังแล้วเศร้า มองหน้ากันยังไงให้ติด ก่อนทำอะไรคิดให้ดีก่อน

     การเป็นภรรยา และแม่ของลูก ไม่มีใครอยากเลือกแม่พันธุ์ที่เจนสังเวียน ถูกกอดรัดมาแล้วทั่วราชอาณาจักร  แม้เขาไม่รู้ แต่เรารู้      

ทุกคนเป็นหัวใจของพ่อแม่ อย่ายอมให้ใครทำร้ายตัวและหัวใจเรา ในที่สุดก็เจ็บไปถึงพ่อถึงแม่ คนรักกันจริง อีกหน่อยพอแต่งงานน้องจะได้อยู่ด้วยกันจนเบื่อกันไปข้างหนึ่ง อย่าเพิ่งรีบมีอะไรลึกซึ้ง ยังไม่ทันรู้ใจ  ก็ปล่อยให้เขาล่วงเกินร่างกาย สุดท้ายพอเขาจากไป เราจะมาเรียกร้องอะไร ในวันที่เราต่อรองได้  ไม่ยอมต่อรอง

ดีเจพี่อ้อย


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/ent/310861
http://hilight.kapook.com/
22380  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / เม้นท์ 'ด่า-นินทา' ระวัง.! "ฆาตกรเฟซบุ๊ก" เมื่อ: ธันวาคม 05, 2012, 09:50:47 am

เม้นท์ 'ด่า-นินทา' ระวัง.! "ฆาตกรเฟซบุ๊ก"
HOT ติด WEB : เม้นท์ ... 'ด่า-นินทา' ระวัง 'ฆาตกรเฟซบุ๊ก' : โดย...ทีมข่าวรายงานพิเศษ

      ช่วงนี้ สาวกโลกออนไลน์จะเห็นข้อความเตือนภัยผ่านโซเชียลมีเดียหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการโพสต์ข้อความให้ระวังโดนแก้แค้น หรือทำร้ายร่างกาย หลังจากแสดงความเห็นบางอย่างในเฟซบุ๊ก ที่ผ่านมาเคยมีคดีสะเทือนขวัญเกิดขึ้นต่อเนื่องจากการเขียนความเห็นร้อนแรงทิ้งไว้ แล้วเผอิญไปทำให้ใครบางคนปรี๊ดแตกโดยไม่รู้ตัว บางกรณีคนอ่านเกิดอารมณ์แค้นมาก ถึงกับว่าจ้างคนให้ไปแทงถึงบ้านเลยก็มี

     การเตือนภัย “ฆาตกรเฟซบุ๊ก” หรือ เฟซบุ๊กเมอเดอร์(Facebook Murder) ถูกแชร์ไปยังโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว
     หลังเกิดคดีดังขึ้นในประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อหญิงสาววัยแค่ 16 ปี เกิดโมโหหลังโดนนินทาผ่านเฟซบุ๊ก
     จึงไปฟ้องแฟนหนุ่ม แล้ววางแผนกันจ้างเด็กไปฆ่าผู้โพสต์ข้อความนินทาตัวเอง
     ที่หนักหนาสาหัสคือ ไม่ได้จ้างฆ่าคนเดียว แต่ฆ่าทั้งตระกูล


     เหตุสะเทือนขวัญเกิดขึ้นตั้งแต่ 14 มกราคม 2555
     โดย “น.ส.พอลลี” วัย 16 ปี วัยรุ่นชาวเนเธอร์แลนด์ ปรี๊ดแตกใส่เพื่อนสาวชื่อ “วินซีย์”
     ที่ไปเขียนว่าตัวเองเป็นพวกชอบรักสนุกทางเพศ จึงไปฟ้องแฟนหนุ่มชื่อ “เวสลีย์” วัย 17 ปี
     ทั้งคู่โมโหสุดขีดจนช่วยกันวางแผนแก้แค้น


     โดยไปว่าจ้างแกมข่มขู่เด็กหนุ่มวัย 14 ปี ชื่อ “จินหัว เค” ลูกครึ่งชาวจีน ให้ไปทำร้าย
     "น.ส.วินซีย์" วัย 15 ปี โดยจ้างเงินแค่ 1,000 ยูโร หรือประมาณ 4 หมื่นบาท
     พร้อมขู่ว่า ถ้าไม่ทำตามคำสั่งจะโดนทำร้ายเอง หลังจากตกลงราคาเรียบร้อย
     "ด.ช.จินหัว" เดินทางไปบ้านของวินซีย์ เมื่อเจอเหยื่อก็ใช้มีดกระหน่ำแทงจนเสียชีวิต
     ก่อนจะตามไปทำร้ายพ่อของวินซีย์ด้วย โดยใช้มีดกรีดหน้า แต่โชคดีที่พ่อไม่เป็นอะไรมาก


     คดีสยองขวัญนี้กำลังโด่งดังในหมู่สาวกเฟซบุ๊ก มีการแชร์ไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อต้นเดือนกันยายน ที่ผ่านมา
     ศาลเนเธอร์แลนด์สั่งลงโทษเด็กชายมือมีดด้วยการจำคุก 1 ปี และให้บำบัดทางจิตอีก 2 ปี
     ทำให้พ่อของ นส.วินซีย์ออกมาโวยวายผ่านสื่อมวลชนว่า ไม่ยุติธรรม
     แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะคดีที่ฆาตกรเป็นเด็กนั้น โทษจำคุกจะไม่มากเท่าของผู้ใหญ่
     ส่วนวัยรุ่นอีก 2 คน ที่เป็นผู้สั่งการกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาคดี





      คดีทำร้ายเพราะข้อความหรือรูปภาพในโลกออนไลน์เริ่มมีจำนวนมากขึ้นทั่วโลก เช่น ในรัฐเทกซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา สามีรายหนึ่งทำร้ายภรรยาเพราะไม่ยอมกดไลค์ให้ข้อความที่ตัวเองโพสต์ลงไป กลายเป็นคดีขำขันที่คนแชร์กันมากพอสมควร

     การทำร้ายผ่านเฟซบุ๊กไม่ได้เกิดเฉพาะในต่างประเทศเท่านั้น เมืองไทยก็ไม่น้อยหน้า
     มีคดีหนุ่มใหญ่ชลบุรี หึงเมียเล่นแชทเฟซบุ๊กกับชายอื่น เลยคว้าปืนมายิงเมียก่อนยิงตัวตายตาม
     หรือเหตุเกิดที่ลำปาง กรณีแก๊งสาวประเภทสองเกือบ 10 คน เทก๋วยเตี๋ยวต้มยำร้อนๆ ใส่นักเรียนหญิง ม.4
     ก่อนจะเข้าไปรุมตบตี โชคดีตำรวจมาช่วยได้ทันก่อนบาดเจ็บสาหัสไปมากกว่านี้
     หลังจับผู้ต้องหามาสอบสวน จึงรู้ว่าเหตุเกิด เพราะเหยื่อชอบไปโพสต์ด่าผ่านเฟซบุ๊กเลยโมโห วางแผนแก้แค้นเท่านั้นเอง


    รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย มีรายงานคดีทำร้ายจากโซเชียลมีเดียถึง 5,000 คดี ในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำนวณเป็นสถิติก็คือเกิดขึ้นทุก 1-2 ชั่วโมง เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งถูกชกหน้าที่ป้ายรถเมล์ โดยผู้หญิงที่ชกหน้าเธอบอกเพียงว่า “ฉันเห็นเธอเขียนว่าจะฟ้องตำรวจใช่ไหม” แล้วก็ชกหน้าอีกทีหนึ่ง หรือคดีที่ผู้หญิงคนหนึ่งโดนกระชากผมในซูเปอร์มาร์เก็ต เพราะลูกของเธอไปทะเลาะกับใครก็ไม่รู้ในเฟซบุ๊ก แล้วผู้ร้ายก็สะกดรอยตามเธอมาจากที่บ้าน

      ตำรวจควีนส์แลนส์เตือนว่า เพื่อความปลอดภัยอย่าไปเขียนด่าว่าใครในเฟซบุ๊ก
       เพราะคุณไม่รู้หรอกว่าจะสร้างความแค้นมากน้อยแค่ไหน?!!



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121204/146383/เม้นท์ด่านินทาระวัง!ฆาตกรเฟซบุ๊ก.html#.UL6x52fjqxt
http://i.kapook.com/
22381  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / Facebook..."ยาแก้เหงา" ของคนยุคใหม่ เมื่อ: ธันวาคม 05, 2012, 09:15:00 am

Facebook..."ยาแก้เหงา" ของคนยุคใหม่
Facebookยาแก้เหงาของคนยุคใหม่ : คอลัมน์ ดิจิตอลเลนส์ โดย... นิวัฒน์ ชาตะวิทยากูล

    มีโอกาสได้เดินทางมาพักผ่อน และมาทำงานที่กระท่อมเต่ารีสอร์ท ที่เขาค้อ เพชรบูรณ์ กับคณะสื่ออีกหลายๆ ที่ ยังโชคดีว่าที่นี่ยังมี 3จี ให้ผมได้ส่งบทความฉบับนี้ได้ ไม่งั้นต้องไปหากันให้วุ่น ปกติถึงแม้จะเดินทางมาพักผ่อนในสถานที่ที่น่าตื่นเต้นแค่ไหนก็ตาม ยังไม่วายหลายๆ คนก็ยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับมือถือเกือบร้อยทั้งร้อยก็เล่น Facebook หรือไม่ก็ Chat ผ่าน Line หรือ WeChat ติดต่อกับเพื่อน(คนอื่น)ตลอดเวลา

     ในทริปครั้งนี้ ที่ผมมา พวกเรามีโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตแบบใหม่ ที่มองธุรกิจในอีกมุม มุมที่ไม่ได้คิดถึงแต่ผลลัพธ์ที่หมายถึงรายได้หรือกำไร แต่มองธุรกิจในมุมของการให้(ทาน) ก็นำมาสู่ความสำเร็จได้เช่นกัน
     ยกตัวอย่างความสำเร็จของ Facebook ที่ทำให้คนยุคนี้ติดกันอย่างงอมแงม หลายคนเข้าขั้นเสพติด
     ว่าจริงๆ แล้วไม่ว่าด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีคนใช้มากกว่าพันล้านคนทั่วโลกนั้น
    สาเหตุของความฮิต คำตอบลึกๆ ในหัวใจของผู้ใช้งาน ก็คือ มันเป็นยาที่รักษาโรคความเหงาของคนยุคใหม่ ที่ Mark Zuckerberg เป็นผู้ผลิตคิดค้นยาตัวนี้มาให้ โดยไม่คิดตังค์ (จริงมั้ย)





      ประเทศที่มั่งคั่งที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งมากถึง 40% ของประชากรทั้งหมดใช้งาน Facebook กันเป็นประจำ มีรายงานหลายชิ้นที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้งาน Social Network ของชาวอเมริกัน
      มีสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจและชี้ไปทางเดียวกันก็คือ ผู้ใช้ Facebook จำนวนมากนี้
      มักจะเป็นโรคเหงาและซึมเศร้าร่วมด้วยโดยเฉพาะกลุ่มผู้ใหญ่
      จนกลายเป็นประเด็นว่า Facebook ทำให้เราเหงาขึ้นจริงรึเปล่า


      คำตอบมีทั้งใช่และไม่ใช่ครับ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ความเหงามีองค์ประกอบเรื่องอื่นๆ อีกมากมายประกอบกัน
      แต่สาเหตุที่ส่งผลชัดเจนส่วนหนึ่ง มาจากวิถีชีวิตคนเมืองที่เร่งรีบและโดดเดี่ยวในปัจจุบัน
      ถ้าคิดว่าเราก็เป็นอย่างนั้นก็อย่าได้วางใจ มีวิธีสังเกตโรคซึมเศร้าง่ายๆ โดยดูจากใช้งาน Social Network ด้วยการสังเกตเวลาที่ใช้ว่าใช้เวลากับมันนานแค่ไหน
      ถ้ายิ่งใช้เวลาบน Social Network เยอะมากขึ้นเท่าไหร่ก็อาจแสดงว่าความเหงาของคุณได้เพิ่มมากขึ้นแล้ว
  (งานวิจัยระบุว่า คนเหงามีแนวโน้มที่จะใช้งาน Social Media มากขึ้นตามลำดับ)

       ถ้าคุณอ่านบทความนี้อยู่ แล้วยังเห็นเพื่อนข้างๆ ยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์ ยื่นคมชัดลึกเล่มนี้ต่อให้เพื่อน จะได้ไม่ต้องกินยาแก้เหงามากจนเกินพอดี เดี๋ยวจะดื้อยาจนรักษาไม่หาย เล่นได้แต่ต้องพอดี มีเพื่อนมากก็สนุกดี อยู่ที่ต้องมีสมดุลก็เท่านั้นครับ (ขอบคุณพี่ใหม่ วีรณัฐ โรจนประภา แห่งบ้านอารี ที่ร่วมกันแชร์มุมคิดนี้นะครับ)





ขอบคุณภาพและบทความ
www.komchadluek.net/detail/20121204/146372/Facebookยาแก้เหงาของคนยุคใหม่.html#.UL6rOmfjqxt
http://img.kapook.com/
22382  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฝรั่งก็เป็น.! "เบื่อน้ำท่วมซ้ำซาก" จ่ายค่าดีดบ้านหนีน้ำ..กว่า 5 ล้านบาท(ชมภาพ) เมื่อ: ธันวาคม 05, 2012, 09:11:22 am

สองสามีภรรยาถ่ายรูปหน้าบ้านหลังยกพื้นสูง(ปัจจุบัน)

ฝรั่งก็เป็น.! "เบื่อน้ำท่วมซ้ำซาก" จ่ายค่าดีดบ้านหนีน้ำ..กว่า 5 ล้านบาท

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากหมู่บ้านแซนด์เฮิร์ทซ์ เมืองกลอสเตอร์เชียร์ ประเทศอังกฤษว่า สองสามีภรรยาแซมและดอว์น เรย์ ตัดสินใจดีดบ้านชั้นเดียวให้สูงขึ้น 3.65 เมตร หลังเจอน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเสียค่าใช้จ่าย 5 ล้านบาท ในขณะที่บ้านมีราคา 7 ล้านบาท

รายงานกล่าวว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเขายอมจ่ายเงินก้อนโตที่ได้จากบำนาญเพื่อดีดบ้านให้สูงครั้งนี้ เนื่องจากเกิดน้ำท่วมเป็นประจำ โดยในปี 2550 บ้านของเขาถูกน้ำท่วมสูงถึง 1.37 เมตร แต่พวกเขาไม่อยากย้ายไปอยู่ที่อื่น อีกทั้งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขายบ้านที่เคยถูกน้ำท่วมจนเสียหาย



สภาพบ้านที่เสียหายจากน้ำท่วมในปีพ.ศ. 2543


สองสามีภรรยาและเพื่อนบ้านขณะอพยพหนีน้ำท่วมในปีพ.ศ.2533


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านได้เกิดน้ำท่วมอีกครั้ง โดยน้ำสูงกว่าพื้นดินประมาณ 60 ซ.ม. แต่คราวนี้ทั้งบ้านแห้งสนิท ยกเว้นส่วนครัวและเรือนต้นไม้ที่อยู่ชั้นล่างถูกน้ำท่วม 30 ซ.ม.

นายเรย์บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ถึงแม้ต้องจ่ายเงินมหาศาลในการยกบ้านขึ้น แต่ก็ถือว่าคุ้มเพราะพวกเขาสามารถอาศัยอยู่ในบ้านต่อได้แม้จะเกิดน้ำท่วมขึ้นอีก และในอนาคตก็อาจจะขายบ้านได้อีกด้วย


รายงานเพิ่มเติมกล่าวว่าระดับน้ำในหมู่บ้านแซนด์เฮิร์ทลดลงแล้วแต่ก็ยังสูงถึง 90  ซ.ม. และมีผู้เสียหายที่ต้องได้รับการช่วยเหลือถึง 600 ราย ใน 10 วันที่ผ่านมา


ภาพระหว่างการดีดยกและปรับปรุงบ้าน






ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354524279&grpid=01&catid=&subcatid=
22383  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / พระกำลังแผ่นดิน..แรง.! 'ทั้งพุทธคุณและค่านิยม' เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 08:32:21 am



พระกำลังแผ่นดิน..แรง.! 'ทั้งพุทธคุณและค่านิยม'
พระกำลังแผ่นดินกำลังแรง!'ทั้งพุทธคุณและค่านิยม' : เรื่อง / ภาพ โดยไตรเทพ ไกรงู

    “มีพระสมเด็จจิตรลดาถือว่ามีพระบารมีในหลวงคุ้มครองตัว มีความเข้มขลังทุกอณู โดดเด่นทางด้านแคล้วคลาด และค้าขาย ไม่ต้องแขวนเต็มองค์เพียงแค่ชิ้นส่วน หรือฝุ่นผงที่กะเทาะจากองค์พระใครมีไว้ครอบครองก็ถือว่าสุดยอดแห่งความเป็นมหามงคล ไม่บ่อยครั้งนักของการจัดสร้างวัตถุมงคลที่เส้นพระเกศาของในหลวงเป็นมวลสารศักดิ์สิทธิ์”
   
     ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นคติความเชื่อในพุทธคุณของ "พระสมเด็จจิตรลดา" หรือ "พระกำลังแผ่นดิน" นั้น เข้าใจว่าท่าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จะเป็นผู้ขนานพระนามตามพระนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
         คำว่า "ภูมิ" แปลว่า "แผ่นดิน"
         ส่วนคำว่า "พล" แปลว่า "กำลัง"
         จึงเป็นที่มาของพระนาม "พระสมเด็จจิตรลดา" ว่า "พระกำลังแผ่นดิน"

     ณ เวลานี้ พระสมเด็จจิตรลดา ถือเป็นสุดยอดปรารถนาของคนในวงการพระเครื่อง
     แต่ต้องแลกมาด้วยเงินไม่ต่ำกว่า ๑.๕ ล้านบาท ซึ่งนับวันตัวเลขดังกล่าวจะขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ
     หากเป็นปีที่จัดสร้าง พ.ศ.๒๕๐๘ และ พ.ศ.๒๕๐๙ ค่านิยมจะอยู่ที่ ๒ ล้านบาทขึ้นไป
     แต่ถ้าเป็นพิมพ์เล็กล่าสุดเท่ามีมีการเช่าซื้อกันสูงถึง ๖ ล้านบาท


     "ความนิยมและค่านิยมพระในหลวงไม่เคยลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี พระสมเด็จจิตรลดา พิมพ์เล็ก ผ่านเข้ามาในตลาดพระเครื่องเพียง ๕ องค์เท่านั้น ด้วยจำนวนที่น้อยนี่เอง ทำให้ค่านิยมสูงกว่าพระสมเด็จจิตรลดา พิมพ์ใหญ่ มากถึง ๒ เท่า" นี่คือคำยืนยันของ ส.อ.สุเมธีก์ อาริยะ ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จจิตรลดา หรือที่รู้จักกันในนาม "เปี๊ยก จิตรลดา"





    ด้วยเหตุที่พระสมเด็จจิตรลดา เป็นพระที่มีค่านิยมที่สูง มากด้วยพุทธคุณ รวมทั้งมีความต้องการในตลาดเช่าซื้อสูงมาก ทำให้มีการทำปลอมขึ้นทุกปี ส่วนฝีมือการทำปลอมนับวันจะดีขึ้น โดยเฉพาะพระที่ทรงสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๒ และพ.ศ.๒๕๑๓ รวมทั้งใบกำกับที่พระราชทานมากับองค์พระก็มีการทำปลอมด้วย เรียกว่า “ปลอมทั้งองค์พระ ปลอมทั้งใบกำกับพระ"

      พระสมเด็จจิตรลดา เป็นพระเครื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ทั้งพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็กประมาณ ไม่เกิน ๓,๐๐๐องค์ พระราชทานแก่ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และพลเรือน ตั้งแต่ใน พ.ศ.๒๕๐๘ จนสิ้นสุดใน พ.ศ.๒๕๑๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานด้วยพระหัตถ์พระองค์เอง มีเอกสารส่วนพระองค์ (ใบกำกับพระ) ซึ่งแสดงชื่อ นามสกุล วันที่รับพระราชทาน หมายเลขกำกับทุกองค์ โดยทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้รับพระราชทานว่า "ให้ปิดทองที่หลังองค์พระปฏิมาแล้วเอาไว้บูชาตลอดไป ให้ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ"

      มวลสารของพระสมเด็จจิตรลดา ประกอบด้วยเรซิน และผงพระพิมพ์
      โดยทรงนำมาบดเป็นผง รวมกับเส้นพระเกล้า คลุกกับกาวเป็นเนื้อเดียวกัน
      แล้วกดเป็นองค์พระด้วยพระหัตถ์ โดยทรงใช้เวลาตอนดึกหลังทรงงาน
      มีเจ้าพนักงาน ๑ คน คอยถวายพระสุธารส และหยิบสิ่งของถวาย

      ทั้งนี้ มีศาสตราจารย์ ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ข้าราชการบำนาญกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร ผู้เป็นผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทในงานด้านประติมากรรม เป็นผู้แกะแม่พิมพ์ถวาย เพื่อทรงพระราชวินิจฉัย แก้ไข จนเป็นที่พอพระราชหฤทัย


      ส่วนประสบการณ์ที่เกิดจากการอาราธนาอัญเชิญพระพุทธคุณขององค์พระสมเด็จจิตรลดาไปบูชานั้น บังเกิดความศักดิ์สิทธิ์นำมาซึ่งความเป็นสิริมงคล พบแต่ความสำเร็จ เป็นที่รักใคร่ของบุคคลทั่วไปที่ได้พบเห็นและให้ความเกื้อหนุนเสมอ มีพระพุทธานุภาพ คุ้มครอง ให้แคล้วคลาดจากผองภัยพิบัติต่างๆ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเสมอ “ดุจพระบารมีปกเกล้าซึ่งเหมือนเป็นมงคลแห่งชีวิต”





พระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์เล็ก

     พระสมเด็จจิตรลดา เป็นพระเครื่องทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ขอบองค์พระด้านหน้าทั้ง ๓ ด้าน เฉียงป้านออกสู่ด้านหลังเล็กน้อย มี ๒ พิมพ์ คือ ๑.พิมพ์เล็ก กว้าง ๑.๒ ซม. สูง ๑.๙ ซม. และ ๒.พิมพ์ใหญ่ กว้าง ๒ ซม. สูง ๓ ซม. โดยประมาณ

     พระสมเด็จจิตรลดา เป็นพระปางสมาธิ ศิลปะรัตนโกสินทร์ พระพักตร์ทรงผลมะตูม องค์พระประทับนั่งขัดสมาธิราบ ประทับนั่งเหนือบัลลังก์ดอกบัว ประกอบด้วย กลีบบัวบานทั้ง ๙ กลีบ และเกสรดอกบัว ๙ จุดอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว มีลักษณะละม้ายคล้ายกับพระพุทธนวราชบพิตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานประจำทุกจังหวัดและหน่วยทหาร แต่ต่างกันที่พระพุทธนวราชบพิตร เป็นพระปางมารวิชัย

      พระสมเด็จจิตรลดา มีหลายสี ตามมวลสารที่ใช้ผลิตในแต่ละครั้งแตกต่างกัน ได้แก่ สีน้ำตาล สีน้ำตาล-อมเหลือง สีน้ำตาล-อมแดงคล้ายเทียน สีดำอมแดง หรือสีดำอมเขียว มีทั้งสีเข้มและอ่อน พระราชทานให้กับพสกนิกรผู้ประกอบแต่กรรมดีแก่ประเทศชาติ โดยทรงมิได้เลือกชั้นวรรณะ

      ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือชั้นผู้น้อย จนมาถึงคนขับรถ คนสวน แม่ครัว และบรรดาข้าราชการทหารที่ไปร่วมรบในสมรภูมิต่างๆ เช่น เวียดนามและลาว ผู้บังคับบัญชาในระดับสูงจะทำหนังสือกราบบังคมทูลขอพระราชทานให้แก่นายทหารเหล่านั้นในจำนวนที่ไม่มากนัก ซึ่งจะทรงมีพระราชวินิจฉัยด้วยพระองค์เองว่าจะมีพระราชทานหรือไม่ จำนวนเท่าใด

     ในการขอพระราชทานจะต้องขอพระราชทานต่อพระองค์เท่านั้น จะไม่พระราชทานให้แก่ผู้ที่ไม่ได้ขอพระราชทาน ส่วนสมเด็จพระจิตรลดาพิมพ์เล็กทรงพระราชทานให้กับบุตรหลานข้าราชบริพารที่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ มีทั้งเด็กชาย เด็กหญิง และสตรีที่สนองงานพระองค์

    สำหรับพุทธลักษณะขององค์พระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์เล็กนั้น ตามประวัติที่ทรงสร้างประมาณว่ามีไม่มากนัก และทรงมีการพระราชทานให้เพียง ๒ ปี เท่านั้น คือ พ.ศ.๒๕๐๘ และ พ.ศ.๒๕๐๙





รังพระสมเด็จจิตรลดา

    ปัจจุบัน พระสมเด็จจิตรลดาส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในมือของผู้รับพระราชทาน ทั้งๆ ที่ผู้ได้รับพระราชทานส่วนใหญ่ไม่อยากขาย แต่ด้วยเหตุที่พระมีเพียงองค์เดียว แต่มีลูกมากกว่า ๑ คน การแบ่งครึ่งองค์พระป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงนำพระมาขายแล้วเอาเงินไปแบ่งให้ลูกหลาน ทั้งนี้ จะเก็บใบกำกับพระไว้ แต่ภายหลังก็เอาใบกำกับพระมาขาย เพราะเก็บไว้ไม่รู้ว่าจะแบ่งกันอย่างไรอีก ทั้งนี้ หากขายพระสมเด็จจิตรลดาพร้อมๆ กับใบกำกับพระ จะได้ราคาสูงกว่า

      มีข้อมูลจากวงการพระเครื่องที่น่าสนใจ คือ ปัจจุบันนี้มีผู้ครอบครองพระสมเด็จจิตรลดาในระดับที่เรียกว่า "รังพระสมเด็จจิตรลดา" หลายคน เช่น
      นายสมชาติ ศรีรัตนารุ่งเรือง เจ้าของธุรกิจรังนก มีอยู่ในครอบครองประมาณ ๗๐-๘๐ องค์ ถือว่ามากที่สุดในวงการพระเครื่อง โดยได้ไล่เก็บตั้งแต่ยังไม่ได้รับความนิยมและมีราคาไม่แพง
      ในขณะที่ไชยทัศน์ เตชะไพบูลย์ หรือ "โป๊ยเสี่ย" เจ้าของพระสมเด็จองค์ลุงพุฒิ (พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่) แว่วข่าวมาว่ามี พระสมเด็จจิตรลดา อยู่ในรังประมาณ ๓๐ องค์
      เช่นเดียวกับ "เสี่ยเผด็จ หงษ์ฟ้า" มี พระสมเด็จจิตรลดา ประมาณ ๓๐ องค์ เท่ากัน


      พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ไล่เก็บสะสมมาตั้งแต่ราคาไม่แพง แต่เก็บได้กว่า ๒๐ องค์เท่านั้น
      นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มี พระสมเด็จจิตรลดา อยู่ในครอบครองประมาณ ๒๐ องค์
      พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช อดีตรอง ผบ.ตร สะสมไว้ประมาณ ๑๐ องค์
      เสี่ยปรีชา ชัยรัตน์ มี ๑๕ องค์
      ส่วน "เสี่ยกำพล วิระเทพสุภรณ์" ก็มีพระสมเด็จจิตรลดาหลายองค์เช่นกัน



ขอบคุณบทความและภาพจาก
www.komchadluek.net/detail/20121204/146362/พระกำลังแผ่นดินแรง!ทั้งพุทธคุณและค่านิยม.html#.UL1OX2fjqxs
http://www.tddf.or.th/
22384  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: "ปิดทองข้างหลังพระไปเรื่อยๆ..แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง..." เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 07:17:46 am

อัปโหลดโดย carabao30years เมื่อ 1 ธ.ค. 2011


เพลง : ผู้ปิดทองหลังพระ
ศิลปิน : คาราบาว
คำร้อง/ทำนอง : ยืนยง โอภากุล

เมื่อมายุ 19 พรรษา    ทวยไทยทั่วหล้ากราบบังคมทูล
โดยบุญญาบารมีเป็นที่ตั้ง   ถึงกระนั้นยังไม่พอ
พระราชกรณียกิจ    หนักหน่วงเหน็ดเหนื่อยปานใดไม่ท้อ
ประเทศไทยมีวันนี้หนอ   ก็ใครเล่าพระเจ้าแผ่นดิน


พระองค์ทรงเสียสละเพียงไหน  มีใครได้เห็นได้ยิน
ก็ใครหนอใครดวงใจใฝ่ถวิล   เป็นผู้ปิดทองหลังพระ
ผู้ปิดทองหลังพระ    ผู้ปิดทองหลังพระ

65 ปี ทำเพื่อราษฏร์    ทวยไทยทั้งชาติสมควรภาคภูมิ
มีพระมหากษัตริย์เฝ้าคอยห่วงใย  ทุ่มเทพระวรกายเพื่อเรา
ค้นคิดแนวทางพระราชดำริ   ตลอดการครองราชย์อันยืนยาว
ในน้ำมีปลาในนามีข้าว    ล้นเกล้าชาวไทยมีพระองค์ท่าน


พระองค์ทรงเสียสละเพียงไหน  มีใครเห็นใจสงสาร
ก็ใครหนอใครค่ำเช้าเฝ้าทรงงาน  เป็นผู้ปิดทองหลังพระ
ผู้ปิดทองหลังพระ    ผู้ปิดทองหลังพระ


* พระบาทสมเด็จพระปรมินทร   มหาภูมิพล อดุลยเดช
   มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
   ทรงสถิตย์เหนือเกล้าชาวไทย  เป็นดวงใจของแผ่นดิน
   ทรงสถิตย์เหนือเกล้าชาวไทย  ศูนย์รวมใจแผ่นดิน


(ซ้ำ *) ศูนย์ดวงใจแผ่นดิน
(ซ้ำ *) ศูนย์รวมพลังแห่งแผ่นดิน

22385  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: "ปิดทองข้างหลังพระไปเรื่อยๆ..แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง..." เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 07:07:51 am

พระบรมราโชวาท ปิดทองหลังพระ

  “…การทำงานด้วยน้ำใจรักต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ แม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็น ก็ไม่น่าวิตก เพราะผลสำเร็จนั้นจะเป็นประจักพยานที่มั่นคง ที่พูดเช่นนี้ เหมือนกับสอนให้ปิดทองหลังพระ การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่า ไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้…”

     พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 กรกฎาคม 2506 ทรงเตือนสติทุกคนให้ทำงานด้วยความตั้งใจ ด้วยความรู้ ความสามารถและความสุจริต แม้งานที่ทำนั้นอาจไม่มีผู้ใดทราบ
     แต่เมื่อเป็นงานที่ก่อให้เกิด ประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติแล้ว ควรที่จะทำแม้จะเป็นการทำในลักษณะ ปิดทองหลังพระก็ตาม เพราะถ้าทุกคนคิดแต่จะปิดทองหน้าพระ ทำงานเอาหน้า ทำอะไรต้องให้มีผู้รู้ผู้เห็นก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนัก รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ แก่ประเทศชาติได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน





    นอกจากนี้แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท เป็นการเตือนสติข้าราชการทุกคน เนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน 1 เมษายน 2533 ให้ทำงานโดยคำนึงถึงผลงานที่ปฏิบัติ มากกว่าผลประโยชน์ อย่างอื่น เหมือนดังเช่นการปิดทองหลังพระ

    “…ในการปฏิบัติราชการนั้น ขอให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อย่านึกถึงบำเหน็จรางวัล หรือผลประโยชน์ให้มาก ขอให้ถือว่าการทำหน้าที่ได้สมบูรณ์เป็นทั้งรางวัลและประโยชน์อย่างประเสริฐ จะทำให้บ้านเมืองของเราอยู่เย็นเป็นสุขและมั่นคง…”

     พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทาน ปริญญาบัตรของ วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วันที่ 8 กรกฎาคม 2530 เกี่ยวกับการทำงานว่า
     "เมื่อมีโอกาสและมีงานทำ ควรเต็มใจทำโดยไม่จำต้อง ตั้งข้อแม้หรือเงื่อนไขอันใดไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง."

โอภาส เสวิกุล…..เรียบเรียง
16 กพ. 44


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://bbznet.pukpik.com/scripts2/view.php?user=pbnmcot&board=1&id=5&c=1&order=numview
http://www.kunnuch.com/,http://www.ladysquare.com/
22386  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: "ปิดทองข้างหลังพระไปเรื่อยๆ..แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง..." เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 06:55:38 am


ความเชื่อเรื่องการปิดทองหลังพระ

     ชาวพุทธมีความเชื่อว่าเป็นการสร้างบุญมหากุศลอันยิ่งใหญ่ โดยมีคติความเชื่อว่าผู้ที่ได้มีโอกาสปิดทองพระไม่ว่าจะเกิดภพชาติใดจะมีผิว พรรณผ่องใสงดงาม มีสง่าราศรี เป็นที่ถูกเนื้อต้องใจของผู้ที่พบเห็น
     ส่วนอานิสงค์ผลบุญที่ให้เห็นในชาตินี้ ชาวพุทธมีคติความเชื่อว่ามาตั้งแต่โบราณกาลมาถึงปัจจุบัน คือ


     1.ถ้าปิดที่พระพักตร์ มีคติควารมเชื่อว่าทำให้หน้าที่การงาน ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
     2.ปิดบริเวณพระอุทร (ท้อง) มีคติความเชื่อว่า จะอุดมสมบูณณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง
     3.ปิดที่พระนาภี (สะดือ) มีคติความเชื่อว่า ตลอดทั้งชีวิตจะไม่รู้จักคำว่าอด สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สิน
     4.ปิดที่พระเศียร (หัว) มีคติความเชื่อว่า จะทำให้สติปัญญาความจำเป็นเลิศ สามารถแก้ไขฝันผ่าปัญญาอุสรรคของชีวิตได้ตลอด
     5.ปิดที่พระอุระ (หน้าอก) มีคติความเชื่อว่า ทำให้มีความสง่าราศรีเป็นที่ถูกใจของคนทั่วๆ ไป
     6.ปิดที่ระหัตถ์ (มือ) ทำให้เป็นคนที่มีอำนาจบารมี
     7.ปิดที่พระบาท (เท้า) มีคติความเชื่อว่า สมบูรณ์ด้วยที่พักอาศัย และยวดยานพาหระ





  ส่วนการปิดทองหลังพระนั้นที่มีการพูดถึงเป็นภาษิต มีคติความเชื่อว่าถ้าจะให้การปิดทองทั้งหมดสมบูรณ์ต้องปิดด้านหลังด้วย นอกจากนี้แล้ว แม้ไม่ปิดที่องค์พระ เช่น กรณีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ แม้การปิดทองบริเวณฐานของรองขององค์พระ ทำให้หน้าที่การงานมั่นคงเจริญก้าวหน้า

    การไหว้พระปิดทองนั้น เป็นคติธรรมมุ่งหมายถึงการได้บูรณะต่อองค์พระพุทธปฏิมา
    เพื่อผลแห่งอานิสงส์ที่จะให้ผลโดยทันที ผู้ที่เกิดเคราะห์กรรมหรือวิบากกรรม อุปสรรค์ ความมั่วหมองในชะตาชีวิต ในสัมมาอาชีพ หากต้องการความสำเร็จในสิ่งที่ทำไปแล้วโดยฉับพลันทันที การสร้างอานิสงส์โดยการปิดทองพระพุทธปฏิมา จึงเป็นสิ่งที่ให้ผลโดยตรง


อ้างอิง
horoscope.sanook.com/930325/ความเชื่อเรื่องการปิดทองหลังพระ/
ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก www.agalico.com
ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.kunnuch.com/, http://www.4toart.com/
22387  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "ปิดทองข้างหลังพระไปเรื่อยๆ..แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง..." เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 06:44:16 am

การปิดทองหลังพระ

    "การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้ว คนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้…."  (พระบรมราชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)

    ในคืนวันหนึ่งของปีพ.ศ. ๒๕๑๐
    (ยศในขณะนั้นพันตำรวจโท)……หลังจากได้รับพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำแล้ว ในวังไกลกังวล……..
    ผมจำได้ว่า คืนนั้นผู้ที่โชคดีได้เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานพระจิตรลดา เป็นนายตำรวจ 8 นาย และนายทหารเรือ 1 นาย พระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงมาพร้อมด้วยกล่องใส่พระเครื่องในพระหัตถ์ ทรงอยู่ในฉลองพระองค์ชุดลำลอง…..
     ขณะที่ทรงวางพระลงบนฝ่ามือที่ผมแบรับอยู่นั้น ผมมีความรู้สึกว่าองค์พระร้อนเหมือนเพิ่งออกจากเตา


     ภายหลัง เมื่อมีโอกาสกราบบังคมทูลถาม จึงได้ทราบว่า
     พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระเครื่ององค์นั้น ด้วยการนำเอาวัตถุมงคลหลายชนิดผสมกัน เช่น ดินจากปูชนียสถานต่างๆ ทั่วประเทศ ดอกไม้ที่ประชาชนทูลเกล้าถวายในโอกาสต่างๆ และเส้นพระเจ้า(เส้นผม)ของพระองค์เอง เมื่อผสมกันโดยใช้กาวลาเท็กซ์เป็นตัวยึดแล้ว จึงทรงกดลงในพิมพ์ (อ.ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ซึ่งต่อมาเป็นศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้แกะถวาย) โดยไม่ได้เอาเข้าเตาเผา………


    หลังจากที่ได้รับพระราชทานแล้ว ทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทมีความว่า……
     "พระที่ให้ไปน่ะ ก่อนจะเอาไปบูชา ให้ปิดทองเสียก่อน แต่ให้ปิดเฉพาะข้างหลังพระเท่านั้น"
     พระราชทานพระบรมราชาธิบายด้วยว่า
     "ที่ให้ปิดทองหลังพระก็เพื่อเตือนตัวเองว่า การทำความดีไม่จำเป็นต้องอวดใคร หรือประกาศให้ใครรู้ ให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ และถือว่าความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็นบำเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว….."
      ผมเอาพระเครื่องพระราชทานไปปิดทองที่หลังพระแล้ว ก็ซื้อกรอบใส่





      หลังจากนั้นมา สมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินองค์นั้น ก็เป็นพระเครื่องเพียงองค์เดียวที่ห้อยคอผม
      หลังจากที่ไปเร่ร่อนปฏิบัติหน้าที่อยู่ไกลห่างพระยุคลบาท ผมได้มีโอกาสกลับไปเฝ้าฯ ที่วังไกลกังวอีก ความรู้สึกเมื่อได้เฝ้าฯ นอกจากจะเป็นความปีติยินดีที่ได้พระยุคลบาทอีกครั้งหนึ่งแล้ว ก็มีความน้อยใจที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ลำบาก และเผชิญอันตรายนานาชนิด บางครั้งจนแทบเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ปรากฎว่ากรมตำรวจมิได้ตอบแทนด้วยบำเหน็จใดๆ ทั้งสิ้น……..


      ก่อนเสด็จขึ้นคืนนั้น ผมจึงก้มลงกราบบนโต๊ะเสวย แล้วกราบบังคมทูลว่า
      ใคร่ขอพระราชทานอะไรสักอย่างหนึ่ง……….
      พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า “จะเอาอะไร?”
      และผมก็กราบบังคมทูลอย่างกล้าหาญชาญชัยว่า จะขอพระบรมราชานุญาต ปิดทองบนหน้าพระ ที่ได้รับพระราชทานไป
      พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามเหตุผลที่ผมขอปิดทองหน้าพระ…..
      ผมกราบบังคมทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า….
      พระสมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินนั้น นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานไปห้อยคอแล้ว ต้องทำงานหนักและเหนื่อยเป็นที่สุด เกือบได้รับอันตรายร้ายแรงก็หลายครั้ง มิหนำซ้ำกรมตำรวจยังไม่ให้เงินเดือนขึ้นแม้แต่บาทเดียวอีกด้วย……


      พระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวจ (ยิ้ม) ก่อนที่จะมีพระราชดำรัสตอบด้วยพระสุรเสียงที่ส่อพระเมตตาและพระกรุณาว่า
     "ปิดทองข้างหลังพระไปเรื่อยๆ แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง……."

      ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.tourwat.com/759/
http://www.oknation.net/
22388  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ไม่เหินห่างจากฌาน ประกอบวิปัสสนา อยู่เรือนว่าง ได้อานิสงส์ ๑๐ ประการ.? เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 06:10:35 am
เล่มที่ ๒๔ ชื่ออังคุตตรนิกาย (เป็นสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๖ ) หน้า ๒
ทสกนิบาต ชุมนุมธรรมะที่มี ๑๐ ข้อ ทุติยปัณณาสก์ หมวด ๕๐ ที่ ๒


๓. ตรัสสอนให้สมบูรณ์ด้วยศีล สมบูรณ์ด้วยปาฏิโมกข์
   
    ถ้าเธอหวังดังต่อไปนี้ ก็พึงทำให้บริบูรณ์ในศีล.
    ประกอบเนืองๆ ซึ่งความสงบแห่งจิต(เจโตสมถะ)ในภายใน ไม่ว่างเว้นจากฌาน
    ประกอบด้วยวิปัสสนา เจริญการอยู่เรือนว่าง คือ


    ๑. หวังให้เป็นที่รักที่พอใจของเพื่อนพรหมจารี
    ๒. หวังได้ปัจจัย ๔
    ๓. หวังให้มีผลมาก มีอานิสงส์มากแก่ผู้ถวายปัจจัย ๔
    ๔.หวังให้มีผลมาก มีอานิสงส์มากแก่ญาติสายโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้ว มีจิตเลื่อมใสระลึกถึง
    ๕. หวังสันโดษ ด้วยปัจจัย ๔ ตามมีตามได้
    ๖. หวังอดทนต่อเย็น ร้อน หิว ระหาย สัมผัสเหลือบ ยุง ลม แดด สัตว์เสือกคลาน ถ้อยคำที่ไม่เป็นที่พอใจและ ทุกขเวทนากล้า
    ๗. หวังอดทนต่อความไม่ยินดีและความยินดีมิให้มาครอบงำได้
    ๘. หวังอดทนต่อความหวาดกลัว
    ๙. หวังได้ฌาน ๔ โดย ไม่ยาก
   ๑๐. หวังทำให้แจ้งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะอยู่ในปัจจุบัน.


หมายเหตุ : ถอดความว่า ถ้าหวังอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งหมด ๑๐ ข้อนี้
                ก็พึงทำให้บริบูรณ์ในศีล เจริญสมาธิ บำเพ็ญวิปัสสนา คือ ทำปัญญาให้เกิด .


ที่มา http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prasuttanta/16.2.html
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔  บรรทัดที่ ๓๑๑๗ - ๓๑๖๕.  หน้าที่  ๑๓๕ - ๑๓๗.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=3117&Z=3165&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=71
ขอบคุณภาพจาก http://www.dhammathai.org/
22389  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / องค์กรชาวพุทธเห็นพ้อง..มุ่งพัฒนา "เว็บห้องสมุดพุทธศาสนาโลก" เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 05:38:51 am


มุ่งพัฒนาเว็บห้องสมุดพุทธศาสนาโลก

องค์กรชาวพุทธเห็นความสำคัญของไอทีเสริมเผยแพร่ธรรม มุ่งพัฒนาเว็บห้องสมุดพุทธโลก อบรมพระเณร เรียนรู้แบบ e-Learning พร้อมส่งเสริมวัดมีเว็บเป็นของตัวเอง

    3ธ.ค.2555 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากผลการประชุมทางวิชาการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความเท่าเทียมกันประจำปี พ.ศ. 2555 เรื่อง “เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับพระพุทธศาสนา” หรือ ICT for All Symposium 2012 on “ICT and Buddhism” เมื่อวันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ที่ห้องประชุม ชั้น 5 วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ จ.นนทบุรี จังหวัดนนทบุรี

     ซึ่งจัดโดยชมรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความเท่าเทียมกัน (ICT for All Club -- www.ictforall.org) และภาคีองค์กรร่วมจัดได้แก่ สภาองค์กรพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย สมาคมพัฒนาผู้บริโภคไทย สมาคมรัฐธรรมนูญเพื่อประชาธิปไตย สภาพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองและสมาคมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งประเทศไทย

      โดยที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าเข้าถึงและเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างขวางไปทั่วโลกภายใต้บริบทและแนวโน้มของประชากรโลกที่จะใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ หรืออินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านเครื่องมือต่างๆ ทั้งเครืองคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เคลื่อนที่

      ดังนั้น ประเทศไทยควรใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก แต่การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศดังกล่าว ต้องเป็นไปอย่างมีคุณธรรม จริยธรรม ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์และเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ รวมทั้ง ไม่เป็นการบิดเบือนพระธรรม คำสอนของพระพุทธศาสนาตามพระไตรปิฏก



      ดังนั้นที่ประชุมมีข้อเสนอแนะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงและเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีดังนี้

      1. ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลกอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาเว็บไซต์ห้องสมุดพระพุทธศาสนาโลก (www.buddhist-elibrary.org) ให้ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
      2. การฝึกอบรมแก่พระสงฆ์ สามเณร และผู้ที่สนใจโดยทั่วไป เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เพื่อการเข้าถึงและเผยแผ่พระพุทธศาสนารวมถึงกำหนดแนวปฏิบัติในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตที่เหมาะสม ถูกต้องตามพระธรรมวินัย สำหรับพระสงฆ์ สามเณร
      3. ส่งเสริมและสนับสนุนให้วัด สำนักสงฆ์ที่มีความพร้อมเป็นที่ตั้งของศูนย์การเรียนรู้ไอซีทีชุมชน และเป็นศูนย์การศึกษาพระพุทธศาสนาผ่านระบบ e-Learning รวมถึงจัดเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมด้วย
      4. พัฒนา Course Ware หรือแอพพลิเคชันที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับธรรมะ สำหรับแท็บเล็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่ เผยแพร่ในทุกระดับชั้นการศึกษา และประชาชนทั่วไปที่มีความสนใจ
      5. สนับสนุนให้วัดต่างๆ ทั่วประเทศ มีเว็บไซต์ของวัด เพื่อเป็นการสื่อสารสองทางกับประชาชน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้คนมีความใกล้ชิดธรรมะมากขึ้น ทั้งนี้ โดยภาครัฐควรเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนชื่อเว็บไซต์และการเช่าพื้นที่จัดเก็บข้อมูลของเว็บไซต์
      6. ควรมีองค์กรและผู้ทรงคุณวุฒิที่ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานและตรวจสอบเนื้อหาของธรรมะที่เผยแพร่ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะทางเว็บไซต์ ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเนื้อหานั้น มีความถูกต้องตามพระไตรปิฎก
      7. สนับสนุนให้มีการแปลหนังสือธรรมะเป็นภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ แล้วนำขึ้นเผยแพร่ทางเว็บไซต์ หรือในรูปแบบ e-Book เพื่อให้ผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะชาวต่างประเทศสามารถเข้ามาศึกษาได้



      เมื่อดำเนินการได้ดังนี้แล้ว ก็เชื่อได้ว่าเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่กับมนุษยชาติสืบต่อไป ดังพระสัมโมทนียถาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกซึ่งอัญเชิญมาจากพระสัมโมทนียกถาที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกประทานแก่
      พลเอก ธงชัย  เกื้อสกุล  นายกสมาคมผู้ทำคุณประโยชน์เพื่อพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และรองประธานกรรมการบริหารศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เพื่อนำพิมพ์ลงในหนังสือ “คำสอนในพระพุทธศาสนา (The Buddha’s Teachings)”เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555  ความสำคัญตอนหนึ่งว่า


        “...ปัจจุบัน แม้ว่าจะได้มีการแปลหลักธรรมคำสอนออกเป็นภาษาต่างๆ ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหลากหลายรูปแบบ และมีการเผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆ เป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก จนอาจกล่าวได้ว่ายุคนี้เป็นยุคที่ธรรมะไปไกล ไปถึงทุกประเทศทุกมุมโลก

       แต่ทว่าความต้องการศึกษาค้นคว้าธรรมะ ยังไม่มีที่สิ้นสุด เห็นได้จากผลสำรวจของสมาคมบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตที่พบว่าตามโรงแรมและสถานพักผ่อนหย่อนใจแหล่งท่องเที่ยว สถานที่ติดต่อธุรกิจและการงานต่างๆ รวมถึงสถานที่สำคัญต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก และในประเทศไทยเองยังขาดแคลนสื่อธรรมะในการหลักธรรม เมื่อเทียบกับศาสนาอื่นๆ

       ประเทศไทยในฐานะเป็นประเทศชั้นนำที่เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเกิดการรวมตัวระหว่างเครือข่ายคณะสงฆ์และคฤหัสถ์เพื่อร่วมกันบริจาค ผลิตสื่อคำสอนและหลักธรรมคำสอนที่เข้าใจง่าย ไม่สลับซับซ้อนให้ปรากฏทุกหนทุกแห่งทั่วโลกอย่างเป็นรูปธรรม ถือเป็นภารกิจสำคัญที่จำเป็นเร่งด่วนที่สมควรผลักดันและสนับสนุนให้เป็นนโยบายของประเทศในการเป็นศูนย์กลางเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่ทุกภาคส่วนของประชาคมโลก...”


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121203/146286/มุ่งพัฒนาเว็บห้องสมุดพุทธศาสนาโลก.html#.UL0mC2fjqxt
http://m-culture.in.th/
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.gotoknow.org/blogs/posts/510761)
22390  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ลุยสร้างโบสถ์ดินฉลอง 100 พระชันษา 'พระสังฆราช' เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 05:17:34 am


ลุยสร้างโบสถ์ดินฉลอง 100 พระชันษา 'พระสังฆราช'

"พระครูสังฆสิทธิกร" เผยเตรียมจัดสร้างอุโบสถดิน 4 ภาค 9 แห่งเนื่องในโอกาสมหามงคล "สมเด็จพระสังฆราช" ทรงพระเจริญพระชันษาครบ 100 ปี วันที่ 3 ต.ค.56...


เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. พระครูสังฆสิทธิกร หัวหน้าฝ่ายศาสนวิเทศ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จะทรงพระเจริญพระชันษาครบ 100 ปี วันที่ 3 ต.ค.2556 ทางสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชจึงได้ร่วมกับ รพ.จุฬาลงกรณ์ กรมราชทัณฑ์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย

ได้จัดทำโครงการสร้างอุโบสถดิน 4 ภาค 9 แห่ง ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงให้แก่วัดที่ยังไม่มีอุโบสถ เพื่อน้อมถวายเป็นพระกุศล และเป็นอนุสรณ์ในโอกาสดังกล่าว
    โดยเน้นให้อุโบสถมีความแข็งแรง รวดเร็ว ดูแลรักษาง่าย
    ใช้งบประมาณก่อสร้างอุโบสถละไม่เกิน 2 ล้านบาท



พระครูสังฆสิทธิกร กล่าวอีกว่า สำหรับพื้นที่จัดสร้างอุโบสถดิน 4 ภาค 9 แห่ง สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชได้เลือกไว้แล้ว ดังนี้

    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วัดป่าพุทธนิมิตรสถิตสีมาราม บ้านห้วยยาง ต.เหล่าโพนค้อ อ.โศกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร วัดบุเจ้าคุณ ต.วังน้ำเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา และวัดสิงห์ทอง บ้านหนองแซง ต.โพนงาม อ.กุดชุม จ.ยโสธร
    ภาคใต้ วัดสันติวรคุณ บ้านสำนักขาม ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา
    ภาคกลาง วัดตอยาง ต.หนองโดน อ.หนองโดน จ.สระบุรี และวัดพระธาตุโป่งนก ต.ด่านมะขามเตี้ย อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี
    ภาคเหนือ วัดป่านันทบุรีญาณสังวราราม บ้านผาตูบ ต.ผาสิงห์ อ.เมือง จ.น่าน และวัดป่าห้วยห้วยเม็งเฉลิมพระเกียรติ ต.ดอนเปา อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่
    ภาคตะวันออก วัดทับทิมสยาม 01 บ้านทับทิมสยาม 01 ต.ด่านชุมพล อ.บ่อไร่ จ.ตราด


ทั้งนี้ จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่บัดนี้จนถึงเดือน ธ.ค.2557 ใช้งบประมาณการก่อสร้างทั้งสิ้น 10 ล้านบาท พร้อมกันนี้ยังได้จัดทำเหรียญ "พระพุทธศรีสุวัฒนบดี" ร่วมกับโรงพยาบาลจุฬาฯ เพื่อหารายได้สมทบทุนกับโครงการดังกล่าวด้วย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/310598
http://www.komchadluek.net/
22391  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พุทธพาณิชย์ กับ "การสร้างศรัทธาในพุทธศาสนา" เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 05:04:51 am


พุทธพาณิชย์ กับ การสร้างศรัทธาในพุทธศาสนา

ในหนังสือพระพุทธรูปสำคัญและพุทธศิลป์ในดินแดนไทย (สำนักพิมพ์เมืองโบราณ) ศ.ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ เขียนว่า ส่วนหนึ่งของความศรัทธาต่อพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ คือเรื่องพุทธพาณิชย์

คนไทยนิยมบูชาพระพุทธรูป และทำบุญตามแบบแผนประเพณีเดิม พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ มีผู้มากราบไหว้บูชาจำนวนมาก พร้อมการถวายปัจจัยก็มากตามมาด้วย ทางวัดจัดดอกไม้ธูปเทียน จำหน่ายตามแต่ศรัทธา มีตู้รับบริจาคค่าน้ำค่าไฟ ค่าบูรณปฏิสังขรณ์ ทั้งยังมีการสร้างพระพุทธรูปจำลอง พระพิมพ์หลายรุ่น หลายแบบให้เช่า
ลักษณะเหล่านี้ น่าจะเป็นเรื่องพุทธพาณิชย์ มากกว่าการสร้างศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา

ไม่กี่ปีมานี้ มีการสร้างวัฒนธรรมการท่องเที่ยวอย่างใหม่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้นำการท่องเที่ยวไหว้พระสำคัญ ใช้เป็นเครื่องมือโฆษณา เช่น เส้นทางการท่องเที่ยว ไหว้พระ 9 วัด ระยะแรกไหว้กันในกรุงเทพฯ ต่อมาไหว้ในพระนครศรีอยุธยาและต่อมา ก็เพิ่มจำนวนวัดขึ้นเรื่อยๆ เป็น 99 วัด หรือ 100 วัด



ศ.ดร.ศักดิ์ชัยบอกว่า  ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่ดี เหมาะกับวัฒนธรรมและความเชื่อของคนไทย เพราะมีพื้นฐานและความชอบในการไหว้พระอยู่แล้ว เมื่อมีการกำหนดเส้นทาง มีการบริหารงาน การจัดการที่ดี อย่างน้อยก็ทำให้คนไทยหันกลับมาเข้าวัดมากขึ้น

แต่ส่วนที่เป็นจิตวิญญาณ หรือศรัทธาที่เป็นแก่นพระพุทธศาสนานั้น มีมากน้อยเพียงใด

    ตามความจริงแล้ว พระพุทธรูปคือตัวแทนพระพุทธเจ้า
    ไม่ว่าจะสร้างด้วยไม้ หิน ปูนปั้น สำริดหรือทองคำ การไหว้พระพุทธรูป จะเป็นองค์ใดหรือที่ไหน ก็ได้
    ไม่จำเป็นต้องไหว้ให้ครบ 9 วัด หรือ 100 วัด


ข้อคิดเห็นประการหนึ่ง ที่น่าจะเสริมเข้าไปได้ กับการท่องเที่ยว คือการนำข้อมูลทางวิชาการ เช่น ข้อมูลทางศิลปกรรม ประวัติความเป็นมา ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ หรือเรื่องการอนุรักษ์ น่าจะเป็นประโยชน์แก่การปลุกจิตสำนึก มากกว่าการสร้างทัศนคติในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ อภินิหารต่างๆ



ศ.ดร.ศักดิ์ชัยกล่าวถึง พระพุทธรูปกับการสร้างศรัทธาที่แปลกใหม่ เดิมทีมีการห่มผ้าพระธาตุนครศรีธรรมราช การห่มผ้าเจดีย์ภูเขาทอง หรือการถวายผ้าจีวรแด่พระพุทธรูปสำคัญ แต่การถวายผ้าเหล่านั้น น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของงานประเพณีประจำปีเท่านั้น

    แต่ในปัจจุบัน หลายแห่งมีการห่มผ้ากันตลอดเวลา 
    เป็นการหาวิธีการสร้างศรัทธา  เพื่อให้มีการบริจาค มีการเขียนชื่อลงบนผ้า
    ลักษณะนี้ จึงน่าจะเป็นพุทธพาณิชย์อีกอย่างหนึ่ง


    บางครั้งมีการห่มผ้าพระพุทธรูปกลางแจ้งหรือเจดีย์ที่เป็นโบราณสถานร้าง
    มีการห่มผ้าซ้ำๆกันหลายชั้น ตลอดเวลา
    จนอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการพังทลายของโบราณสถานและพุทธรูป
    เพราะเป็นที่สะสมความชื้น


วิธีการที่ดีก็คือ ควรมีการกำหนดเวลาในการห่มผ้าและมีการนำออก



    นอกจากการห่มผ้า ปัจจุบัน มีการเพิ่มพิธีกรรม การถวายผ้าเข้าไปอีก
    ผู้มีศรัทธาบริจาคเป็นค่าผ้าจีวร พร้อมกันในวิหาร
    ทุกคนมีถาดในมือและใต้ผ้าต้องมีปัจจัยไว้สำหรับผู้ที่โยนผ้า


ถึงเวลาผู้ที่โยนผ้าก็จะทำพิธี โยนผ้ามือหนึ่ง อีกมือหนึ่งก็จะหยิบปัจจัย หลังจากโยนผ้าครบทุกคน ก็จะเริ่มพิธีห่มผ้า ผู้ที่อยู่ข้างบนจะนำปลายผ้าข้างหนึ่งมารวมกัน และโยนปลายผ้าอีกข้างหนึ่งคลุมบนศีรษะผู้มาร่วมพิธี ผู้เข้าร่วมพิธีจะต้องใช้มือยึดไว้ แล้วจะเริ่มดึงผ้า ให้ผ้าค่อยๆผ่านศีรษะผู้ร่วมพิธี พร้อมกันก็จะมีผู้นำอธิษฐานหรือขอพรเมื่อเสร็จรอบนี้ ก็จะมีรอบต่อไป

พิธีกรรมเหล่านี้ ไม่น่าจะจัดเป็นพิธีกรรมทางพุทธศาสนา  เป็นการกระทำลักษณะปลุกเสกเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เป็นพิธีกรรมของพวกเข้าทรง หรือพวกหมอผี อันแสดงถึงความเชื่อ ความหลง

ศ.ดร.ศักดิ์ชัยทิ้งท้ายข้อเขียนตอนนี้ว่า  การกระทำเหล่านี้น่าจะเป็นพุทธพาณิชย์ เป็นการแสวงหาผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของคน เป็นการสร้างศรัทธาในลักษณะของความงมงาย ควรมีการตรวจสอบให้จริงจังเสียที.


O บาราย O


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/column/pol/kumpee/310157
http://upload.wikimedia.org/,http://img.kapook.com/,http://2.bp.blogspot.com/,http://board.trekkingthai.com/
22392  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กทม.เจ๋ง.! ทั่วโลกโหวต 'น่าเที่ยวลำดับ 4 ของโลก' เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 04:42:37 am


กทม.เจ๋ง.! ทั่วโลกโหวต 'น่าเที่ยวลำดับ 4 ของโลก'

นิตยสาร Conde Nast Traveler เผย กรุงเทพมหานคร เจ๋ง ทั่วโลกโหวตน่าเที่ยวลำดับ 4 ของโลก และเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับ 1 ในเอเชีย และอันดับ 4 ของโลก

เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลางและอเมริกา เผยว่า จากผลสำรวจเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยนิตยสาร Conde Nast Traveler  สำรวจความเห็นผู้อ่านซึ่งเป็นกลุ่มนักเดินทางทั่วโลก ประจำปี 2555 พบว่า

ชาวอเมริกันเทคะแนนความประทับใจให้ประเทศไทยในเรื่องร้านอาหาร ที่พัก แหล่งช็อปปิ้ง ศิลปวัฒนธรรมติดอันดับสำคัญของโลก ใน 4 จังหวัดหลัก ได้แก่
     "กรุงเทพมหานคร" เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับ 1 ในเอเชีย และอันดับ 4 ของโลก 
     ส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ติดอันดับ 5 ของเอเชีย ภูเก็ต กับสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ติดอันดับประเภทหมู่เกาะยอดนิยมเรียงตามลำดับคือ อันดับ 2 และอันดับ 5


ส่วนการโหวตรีสอร์ตยอดนิยมในเอเชีย โรงแรมในเครือของไมเนอร์ กรุ๊ป ของนายวิลเลี่ยม เฮเนกี ก็กวาดมาทั้งหมด ประกอบด้วย
    โฟร์ซีซั่นส์ จังหวัดเชียงใหม่ อนันตารา จังหวัดภูเก็ต
    โฟร์ซีซั่นส์ จังหวัดเชียงราย  และเจดับบลิว แมริออท ภูเก็ต
    ติดเรียงตามอันดับคือ 5, 7, 11 และ 15


นอกจากนี้ ททท.ยังได้รับแจ้งจากกระทรวงการต่างประเทศ โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปราก รายงานว่า นิตยสาร Travel Trade Gazette หรือ TTG magazine ได้จัดงานประกาศผลรางวัลด้านการท่องเที่ยวประเภทสถานที่ที่น่าท่องเที่ยวที่สุดในต่างประเทศปี 2555 ไทยก็ได้รับเลือกเป็นอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศที่น่าท่องเที่ยวที่สุดของชาวเช็ก ตามด้วยอียิปต์ และจาเมกา

สำหรับปัจจัยสำคัญของประเทศไทยดึงดูดนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐเช็ก คือธรรมชาติหมู่เกาะต่างๆ บรรยากาศที่ดี ระบบคมนาคมขนส่งและความปลอดภัย.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/eco/310453
22393  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ศาลปกครองไม่รับฟ้อง 3จี กสทช.โล่งเล็งแจกไลเซ่นส์ เมื่อ: ธันวาคม 03, 2012, 06:23:32 pm


ศาลปกครองไม่รับฟ้อง 3จี กสทช.โล่งเล็งแจกไลเซ่นส์

กสทช. โล่งอก! ศาลปกครองไม่รับฟ้อง ไม่คุ้มครองผู้ตรวจการแผ่นดินคดี 3จี เตรียมเข้าบอร์ด กทค. วันที่ 7 ธ.ค. ก่อนเดินหน้าแจกไลเซ่นส์ ด้านผู้ตรวจการยังไม่เผยจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่...


เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. กล่าวภายหลังศาลปกครองพิจารณาไม่รับฟ้อง ไม่คุ้มครองผู้ตรวจการแผ่นดินคดี 3จี ว่า กสทช.น้อมรับคำสั่งศาล สำหรับรายละเอียดแผนการเดินหน้าให้ไลเซ่นส์ 3จี กับเอกชนทั้งหมดจะแถลงข่าวต่อไป ส่วนกระบวนการของผู้ตรวจการส่วนตัวไม่มีความคิดเห็น

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า น้อมรับคำสั่งศาลปกครอง โดยหลังจากนี้จะนำเสนอต่อคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม หรือ บอร์ด กทค.ในการประชุมวาระปกติวันที่ 7 ธ.ค.นี้ ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร เพราะเบื้องต้นไม่สามารถให้ความเห็นได้



เลขาฯ กสทช. กล่าวต่อว่า เรื่องอัตราขั้นสูงค่าบริการ 3จี 15-20% ที่ กสทช.กำหนดให้เอกชนเข้ามายื่นภายในวันที่ 30 พ.ย. นั้น ขณะนี้ยังไม่มีเอกชนรายใดมายื่น โดยคาดว่าวันที่ 7 ธ.ค.จะมีความชัดเจนพร้อมกับเรื่อง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 หรือ พ.ร.บ..ฮั้ว และเรื่องบีเอฟเคที เช่นกัน

นายเฉลิมศักดิ์ จันทรทิม เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า เบื้องต้นต้องคัดสำเนาของศาล ตามที่ได้รับทราบว่าการพิจารณาไม่เป็นเอกฉันท์ โดยเฉพาะข้อมูลที่ตุลาการมีความเห็นแย้ง

ทั้งนี้ การฟ้องครั้งนี้ ได้พิจารณากฎหมายมาดีแล้ว สำหรับการดำเนินการครั้งนี้เป็นการทำตามหน้าที่ เพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะตามหลักการ และเป็นการเสนอเรื่องตามที่มีประชาชนร้องเรียน เพื่อนำสู่กระบวนการพิจารณาของศาลปกครอง ซึ่งหลังจากนี้ ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ เพราะต้องรอเข้าที่ประชุมสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินก่อนซึ่งจะประชุมทุกวันอังคาร



ทั้งนี้ ศาลปกครองกลางมีหมายแจ้งนัดคู่กรณีมาฟังคำสั่งศาลปกครองกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ 2865/2555 ระหว่าง ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผู้ฟ้องคดี) กับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ (ผู้ถูกฟ้องคดี) ในประเด็นเกี่ยวกับคำเสนอเรื่องพร้อมความเห็นและคำขอให้ศาลกำหนดมาตรการหรือ วิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาของผู้ฟ้องคดี ในวันนี้ (3 ธ.ค.) เวลา 13.30 น. ณ ห้องพิจารณาคดีที่ 6 ชั้น 3 อาคารศาลปกครอง โดยใช้เวลาอ่านคำสั่งประมาณ 1 ชั่วโมง

สำหรับ คดีดังกล่าวผู้ตรวจการแผ่นดินได้ยื่นฟ้องศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ให้พิจารณาและวินิจฉัยว่าการประมูล 3 จี ดำเนินการที่เป็นแข่งขันโดยเสรีตามรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.กสทช. หรือไม่ พร้อมร้องขอให้ไต่สวนฉุกเฉินและขอให้ศาลมีคำสั่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ด้วยการระงับการให้ไลเซ่นส์ไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำสั่ง ขณะที่ ศาลปกครองได้เรียกผู้ตรวจการแผ่นดินเข้าชี้แจงเมื่อวันที่ 14 พ.ย. และเรียก กสทช.เข้าชี้แจงในวันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา รวมระยะเวลานับตั้งแต่มีการฟ้องร้องจนถึงศาลมีคำสั่งเกือบ 1 เดือน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/tech/310650
22394  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นักเรียน-เยาวชนคึกคัก.! แข่งตอบ..'ปัญหาธรรมะ' เมื่อ: ธันวาคม 03, 2012, 12:05:08 pm

นักเรียน-เยาวชนคึกคัก.! แข่งตอบ..'ปัญหาธรรมะ'

ชมรมพุทธศาสตร์ มรภ.ศรีสะเกษ จัดศูนย์สอบแข่งขันตอบปัญหาธรรมะ ชิงทุนการศึกษารวมกว่า 2 แสนบาท มีนักเรียนร่วมชิงชัยกว่า 3,000 คน หวังธรรมมะกล่อมเกลาเยาวชน

     วันนี้ (2 ธ.ค.) ผศ.กนก โตสุรัตน์ อธิการบดี มหาวิทยาราชภัฏ (มรภ.) ศรีสะเกษ เปิดเผยว่า
     ชมรมพุทธศาสตร์ มรภ.ศรีสะเกษ ได้จัดศูนย์สอบตอบปัญหาธรรมะ
     ตามโครงการตอบปัญหาธรรมะ “ทางก้าวหน้า” ครั้งที่ 31
     โดยมีนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น จนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
     ให้ความสนใจเข้าร่วมแข่งขันมากกว่า 3,000 คน




   

     นายเจตณรงค์ สุปัตติ ประธานชมรมพุทธศาสตร์  กล่าวว่า
     โครงการดังกล่าวดำเนินการโดย ชมรมพุทธศาสตร์สากล ในอุปถัมภ์สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์
     ชิงโล่พระราชทาน โล่เกียรติยศ พร้อมประกาศนียบัตร และทุนการศึกษารวมกว่า 2 แสนบาท
     หวังสร้างเยาวชนให้เป็นคนดี นำพาประเทศชาติในอนาคตภายภาคหน้า
     ได้กำหนดประกาศผลสอบรอบชิงชนะเลิศทางอินเทอร์เน็ต ในวันที่ 1 ม.ค. 56
     ทางเว็บไซต์ www.ibscenter.net






ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/170221
22395  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ธรรมกาย' เปิดตัวหนัง 3 มิติ...'นรก-สวรรค์' เมื่อ: ธันวาคม 03, 2012, 11:58:14 am


'ธรรมกาย' เปิดตัวหนัง 3 มิติ...'นรก-สวรรค์'

ธรรมกายเปิดตัวภาพยนตร์ 3 มิติภูมินรก ภพสวรรค์ แดนอัศจรรย์หลังความตาย

   2ธ.ค.2555 ที่วัดพระธรรมกาย ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ชมรมพุทธศาสตร์สากล ในอุปถัมภ์สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ดำเนินโครงการ “ฟื้นฟูศีลธรรมโลก” (The Virtuous Star หรือ V-Star) ร่วมกับวัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี จัดงานเปิดตัวภาพยนตร์แอนนิเมชั่น 3 มิติ “ภูมินรก ภพสวรรค์ แดนอัศจรรย์หลังความตาย” ครั้งแรกในโลก เพื่อเป็นสื่อสร้างสรรค์สอนศีลธรรมให้แก่เยาวชน เปิดฉายรอบสื่อมวลชนให้ชมกัน  ณ มหารัตนวิหารคด วัดพระธรรมกาย

    ครั้งแรกที่นรกจะทะลุจอมาให้สะท้าน ครั้งแรกที่สวรรค์จะผ่านจอมาให้เห็น กับภาพยนตร์แอนนิเมชั่นนรก-สวรรค์ 3 มิติ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบจากการตรัสรู้ธรรมว่า ชีวิตทุกชีวิตในโลกและจักรวาลนี้ ล้วนอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม อันเป็นกฎสากลที่มีผลต่อทุกชีวิตทั้งคนและสัตว์ ทรงเปิดคลังแห่งความรู้แจ้ง

    นำเอาความลับของชีวิตที่ไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน มาเปิดเผยให้ทุกคนได้รู้ว่า ทุกอย่างในชีวิตมีบุญและบาป เป็นเครื่องตัดสิน ทรงแนะให้หลีกห่างจากอบาย บอกทางไปสวรรค์ และชี้หนทางไปพระนิพพานอันเป็นบรมสุข ด้วยการหมั่น “ละชั่ว ทำความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส”




   
     ภาพยนตร์แอนนิเมชั่นนรก-สวรรค์ 3 มิติ จัดเตรียมไว้สำหรับเด็กนักเรียน 1 ล้านคน
     จากโรงเรียนทั่วประเทศที่มาร่วมงาน “วันรวมพลังเด็กดี V-Star ผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลก ครั้งที่ 7” 
     ในวันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2555  ณ วัดพระธรรมกาย  โดยมี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้เกียรติมาเปิดงาน พร้อมด้วย ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ


    นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการ “คลังนรกสวรรค์” ซึ่งจัดแสดง ณ มหารัตนวิหารคด บนพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร
    อาทิ นิทรรศการมหัศจรรย์แห่งพระพุทธเจ้า , นิทรรศการสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาและท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ,
    นิทรรศการป่าหิมพานต์ นาค ยักษ์ ครุฑ คนธรรพ์ วิทยาธร ติณราชสีห์ ,
    นิทรรศการประติมากรรมบนสวรรค์ ดินแดนเปรต ,นิทรรศการอุโมงค์ทะลุมิติจากโลกมนุษย์สู่ยมโลก ,
    นิทรรศการโรงพิพากษาบุญ-บาป และนิทรรศการทัณฑ์ทรมานในยมโลก ต้นงิ้วหนามเหล็กร้อน กระทะทองแดง และสัตว์ในนรก


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121202/146270/ธรรมกายเปิดตัวหนัง3มิตินรกสวรรค์.html#.ULwv0mfjqxt
22396  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไอเดียเจ้าอาวาส.วัดโดเรมอน สร้าง "เทพไอแพดกลางบ่อน้ำตก" ให้โยนเหรียญเสี่ยงทาย เมื่อ: ธันวาคม 03, 2012, 11:49:38 am

ไอเดียเจ้าอาวาส!! วัดโดเรมอน สร้าง"เทพไอแพด"กลางบ่อน้ำตก
ให้ชาวบ้านโยนเหรียญเสี่ยงทาย

วันที่ 2 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่วัดสำปะซิว ตำบลสนามชัย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าอาวาสวัดสำปะซิวเตรียมนำเทพแห่งครูตั้งกลางบ่อน้ำตก หวังดึงดูดเด็กเข้าวัดไม่สนลิขสิทธิ์เตือน เชื่อสามารถดึงดูดเด็กเข้าวัดเรียนรู้พุทธศาสนาได้แบบอัตโนมัติ

พระมหาอนันต์ กุสลาลงกาโร เจ้าอาวาสวัดสำปะซิว เปิดเผยว่า สำหรับขณะนี้ทางวัดได้ทำบ่อน้ำตกขนาดใหญ่พร้อมติดตั้งปั้มน้ำสองตัวทั้งเล็กใหญ่ทำน้ำแรงได้น้ำอ่อนได้ตามใจชอบเพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนในยุคที่ร้อนๆ เร่งรีบจากการหาเงินทองแสดงหาความสุขจากเงินทองมากกว่าความสุขทางใจ ให้มีความใจเย็น ที่ได้จากความเย็นของน้ำตกที่ไหลลงมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน 



สำหรับประชาชนที่เดินทางเข้าวัดได้ดูน้ำไหลคล้ายธรรมชาติ ด้วยงบประมาณที่สร้างจำนวนกว่าแสนบาทและติดตั้ง เทพประจำวันพฤหัสหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า เทพไอแพด  ขนาดเท่ากับคนจริงๆความสูงเกือบเท่าตัวอาตมา ที่ไอแพดของเทพมีช่องใส่เหรียญให้ประชาชนโยนเหรียญเสี่ยงทายใส่กลางบ่อน้ำตก ลูกศิษย์ที่อยู่ช่างสิบหมู่ช่วยปั้นถวายวัด

ซึ่งเงินที่ได้จากการโยนเหรียญทั้งหมดจะมาทำบุญค่าน้ำค่าไฟ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และความสบายใจของญาติโยมที่เข้ามาที่วัดได้เสี่ยงทายความสำเร็จเชื่อว่าสิ่งที่ทำไว้จะได้แก่ญาตโยมสาธุชนทุกคนที่เข้ามาที่วัดโดยเฉพาะเด็กๆเพราะวัดโดเรมอนเป็นวัดที่เป็นขวัญใจของเด็กๆทั่วประเทศไปแล้วตอนนี้และในอนาคตอาตมาเชื่ออย่างนั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วัดสำปะซิวเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จากภาพจิตกรรมฝาผนังเล่าเรื่องราวพุทธประวัติทางศาสนามีภาพการ์ตูนชื่อดังอย่างโดเรมอน แฝงไปด้วยปริศนาธรรม จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วสารทิศ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354423544&grpid=&catid=19&subcatid=1904
22397  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จัด 'บวชสามเณรี'...กอดคอกันทำดี เมื่อ: ธันวาคม 03, 2012, 11:41:25 am


จัด 'บวชสามเณรี'...กอดคอกันทำดี

ทิพยสถานธรรมภิกษุณีอารามเกาะยอ จัดโครงการ 'กอดคอกันทำดี บรรพชาสามเณรี มหากุศล ครั้งที่ 2' ถวายเป็นพระราชกุศล

    วันที่ 2 ธันวาคม2555  ที่ทิพยสถานธรรมภิกษุณีอาราม ต.เกาะยอ อ.เมือง จ.สงขลา  ได้มีพิธีเปิดโครงการ “กอดคอกันทำดี  บรรพชาสามเณรี มหากุศล ครั้งที่ 2” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช

     รวมทั้งให้ลูกผู้หญิงที่เข้าร่วมโครงการฯได้เรียนรู้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า 
     ด้วยการบวชเรียนเพื่อทดแทนบุญคุณของบิดามารดาและผู้มีพระคุณ
     อีกทั้งยังเป็นการสร้างเสริมความดีงามให้เกิดขึ้นแก่สังคมประเทศ
     และเป็นการเติมเต็มพุทธบริษัท 4  คือ ภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก อุบาสิกา 
     ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นในปีเฉลิมฉลองพุทธชยันตีนี้ 
     โดยมีผู้เข้าร่วมจำนวน 29 คน  เป็นเวลา 10  วัน


     พระอาจารย์ธัมมทีปา  เจ้าอาวาสทิพยสถานธรรมภิกษุณีอาราม เปิดเผยว่า 
     สามเณรีทั้ง 29 รูป จะเดินทางไปลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
     ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม  กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 5  ธันวาคม 2555


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121202/146250/จัดบวชสามเณรีกอดคอกันทำดี.html#.ULwsYGfjqxt
22398  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: 10 ประเทศ "น่าเที่ยวที่สุดในโลก" ปี 2013...ศรีลังกาที่ 1. เมื่อ: ธันวาคม 03, 2012, 11:33:19 am


อันดับที่ 6 หมู่เกาะโซโลมอน
ดีที่สุดในด้าน : การท่องเที่ยวแนวผจญภัย , กิจกรรม และยังไม่ค่อยได้ความรับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากนัก


      ถ้าอยากรู้ว่าสมัยก่อนสถานที่ท่องเที่ยวในแถบทะเลแปซิฟิกมีสภาพเป็นอย่างไร ต้องไปเยือนหมู่เกาะโซโลมอน เพราะเมื่อก่อนเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ลืมไปได้เลยรีสอร์ทหรูๆ และผู้คนที่พลุกพล่าน ที่นั่นมีเพียงอีโครีสอร์ท และโฮมสเตย์ของคนในหมู่บ้านให้เข้าพัก ส่วนกิจกรรมที่ทำได้ไม่จำกัดก็คือ การดำน้ำตื้น ซึ่งสามารถดำได้โดยรอบบริเวณ

      ในอดีตนักท่องเที่ยวไม่นิยมเดินทางไปเยือนหมู่เกาะโซโลมอนเนื่องจาก เที่ยวบินมีจำกัด การเดินทางบนเกาะทำได้ยากลำบาก ขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน เกิดสงครามกลางเมือง และเสี่ยงต่อการติดไข้มาลาเรีย แต่ปัจจุบันการเดินทางไปเยือนที่นั่นทำได้สะดวกและง่ายดาย บ้านเมืองก็สงบสุข ไร้สงครามกลางเมือง ทั้งยังปลอดยุงก้นปล่องซึ่งเป็นพาหะของโรคมาลาเรียอีกด้วย






อันดับที่ 7 สาธารณรัฐไอซ์แลนด์
ดีที่สุดในด้าน : กิจกรรม , ความคุ้มค่า และยังไม่ค่อยได้ความรับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากนัก

 
     ไอซ์แลนด์เป็นเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติก (แถบยุโรปเหนือ) ที่ใครมีโอกาสไปเยือนเป็นต้องตกหลุมรักในความงามของทัศนียภาพ , อาหารรสเลิศ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมนูปลาและเนื้อแกะ) และการต้อนรับอย่างจริงใจจากคนพื้นเมือง ที่สำคัญ เงินโครนาไอซ์แลนด์กำลังอ่อนค่าอย่างหนัก (ลดลงถึง 75% อันเป็นผลมาจากวิกฤติการณ์ด้านเศรษฐกิจและการเงินการธนาคาร)

     ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเยือนที่นั่นถูกลงกว่าเดิมมาก แม้ว่าเศรษฐกิจโลกกำลังจะเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการต่างๆ ในบางภูมิภาคเริ่มขยับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง แต่การเดินทางไปเยือนไอซ์แลนด์ในปีหน้าจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง และไม่ทำให้กระเป๋าตังส์แฟบอย่างแน่นอน




เมืองเก่าในจังหวัดมาร์ดิน

ซากศาสนสถาน "เกอเบกลี เทเป"

อันดับที่ 8 สาธารณรัฐตุรกี
ดีที่สุดในด้าน : อาหาร , วัฒนธรรม , และยังไม่ค่อยได้ความรับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากนัก


      ปัจจุบันนี้ การเดินทางท่องเที่ยวฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกีมีความสะดวกและง่ายดายมากยิ่งขึ้น หลังมีสายการบินโลว์คอสต์เปิดให้บริการบนเส้นทางดังกล่าว อีกทั้งยังมีรถโดยสารที่ให้บริการดีเยี่ยมทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเยือนสถานที่ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย และสิ่งที่ห้ามพลาดเลยก็คือ การสำรวจเมืองโบราณในจังหวัดมาร์ดิน , ชิมอาหารอร่อยๆ ในจังหวัดกาเซียนเต็ป ,

      ชมซากปรักหักพังของศาสนสถาน "เกอเบกลี เทเป" ที่ตั้งอยู่ใกล้จังหวัดชานลึอูร์ฟา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างทางศาสนา "เก่าแก่ที่สุดในโลก" (เท่าที่มีการค้นพบ) สุดท้ายก็คือ การเดินทางไกลบนเส้นทาง "อับราฮัม พาธ" ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน ส่วนที่พักก็คือโฮมสเตย์ของชาวบ้าน ซึ่งให้บรรยากาศที่ตรงกันข้ามกับการเดินทางไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวตามแนวชายฝั่ง หรือย่านเมืองเก่าของอิสตันบูลโดยสิ้นเชิง






อันดับที่ 9 สาธารณรัฐโดมินิกัน
ดีที่สุดในด้าน : กิจกรรม , ความคุ้มค่า , งานรื่นเริง


      ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนโดมินิกันเพิ่มมากขึ้นถึง 8.4% เนื่องจากมีสายการบินเปิดเส้นทางบินสู่สนามบินนานาชาติทั้ง 8 แห่งเพิ่มมากขึ้น แถมบรรดาเรือสำราญยังระบุให้โดมินิกันเป็นจุดหมายปลายทางหลักที่ต้องจอดเทียบท่า ที่สำคัญ เหล่านักท่องเที่ยวต่างเลือกที่จะมานอนอาบแดดริมชายหาดและเล่นกระดานโต้คลื่นที่โดมินิกันมากกว่าประเทศอื่นๆ ในแถบทะเลแคริบเบียน






อันดับที่ 10 สาธารณรัฐมาดากัสการ์
ดีที่สุดในด้าน : กิจกรรม , การผจญภัย , ยังไม่ค่อยได้ความรับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากนัก


     หลังตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนและไร้ซึ่งเสถียรภาพ อันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวมานานหลายปี ในที่สุดก็ดูเหมือนว่ามาดากัสการ์กำลังจะมีอนาคตที่สดใส  เพราะจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า (ครั้งสุดท้ายที่มีการเลือกตั้งคือ ปี 2006 ปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลรักษาการณ์)

     ซึ่งจะทำให้มาดากัสการ์ก้าวเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบเต็มขั้นเสียที และช่วงเวลานี้ก็คือโอกาสทองของนักท่องเที่ยว จึงควรรีบเดินทางไปเยือนก่อนที่มาดากัสการ์จะกลับมาผงาดบนแผนที่ท่องเที่ยวและโปรแกรมทัวร์อีกครั้ง แต่ก่อนไปควรเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมที่จะพบเจอกับความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็น สัตว์ ต้นไม้ หรือภูมิประเทศ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวแบบ "ไม่ธรรมดา" รับรองได้ว่ามาดากัสการ์จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121202/146236/10ปท.น่าเที่ยวที่สุดในโลกปี2013.html#.ULwj12fjqxt
ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง : http://www.komchadluek.net/detail/20121029/143462/10เมืองน่าเที่ยวที่สุดในโลกปี2013.html
หมายเหตุ : 10 อันดับประเทศน่าเที่ยวที่สุดในโลก ประจำปี 2013 เป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งในหนังสือ "เบสท์ อิน ทราเวล 2013" ของโลนลี่ แพลนเน็ต ซึ่งวางจำหน่ายแล้วในราคา $14.99 (ราว 460 บาท)
ที่มา : http://paow007.wordpress.com/
22399  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 10 ประเทศ "น่าเที่ยวที่สุดในโลก" ปี 2013...ศรีลังกาที่ 1. เมื่อ: ธันวาคม 03, 2012, 11:21:57 am


10 ประเทศ "น่าเที่ยวที่สุดในโลก" ปี 2013

โลนลี่ แพลนเน็ต เผย "10 อันดับประเทศน่าเที่ยวที่สุดในโลก" ประจำปี 2013 มีที่ไหนบ้างไปชมกันค่ะ

      เมื่อ 2 เดือนก่อน "paow007" เคยรายงาน "10 อันดับเมืองน่าเที่ยวที่สุดในโลก" ประจำปี 2013 ซึ่งประกาศโดยโลนลี่ แพลนเน็ต คราวนี้มาดูกันว่าจะมีประเทศใดบ้างที่ "โลนลี่ แพลนเน็ต" แนะนำให้เดินทางไปเยือนในปี 2013






อันดับที่ 1 สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
ดีที่สุดในด้าน : วัฒนธรรม , ความคุ้มค่า และยังไม่ค่อยได้ความรับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากนัก


     ศรีลังกา เป็นหนึ่งในประเทศแถบเอเชียที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุคลื่นยักษ์สึนามิซัดถล่มเมื่อ 8 ปีก่อน มิหนำซ้ำยังบอบช้ำจากสงครามกลางเมืองที่กินเวลายืดเยื้อยาวนานถึง 26 ปี ปัจจุบันปัญหาความขัดแย้งได้ยุติลงแล้ว ประกอบกับมีการลงทุน / พัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนศรีลังกาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

     ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวไม่สูงมากนัก และยังสามารถเดินทางจากศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวอย่างกรุงเทพฯ ด้วยเที่ยวบินไป-กลับในราคาถูกสุดๆ (เริ่มต้นที่ 7 พันกว่าบาท สำหรับสายการบินศรีลังกา แอร์ไลนส์)






อันดับที่ 2 มอนเตเนโกร
ดีที่สุดในด้าน : กิจกรรม , การท่องเที่ยวแนวผจญภัย และยังไม่ค่อยได้ความรับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากนัก


    มอนเตเนโกร เป็นประเทศในแถบยุโรปที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติงดงามและอุดมสมบูรณ์ หนึ่งในสถานที่ๆ ขึ้นชื่อก็คือ อ่าวโคตอร์ และบรรดาชายหาดที่มีคลื่นลมค่อนข้างแรง หากใครจะไปเยือนประเทศนี้ "โลนลี่ แพลนเน็ต" เขาแนะนำให้แพครองเท้าสำหรับเดินป่าติดกระเป๋าไปพร้อมกับชุดว่ายน้ำด้วย เพราะป่าของมอนเตเนโกรมีความอุดมสมบูรณ์มากและยังสวยงามอีกด้วย

     ที่สำคัญ มีการเปิดเส้นทางใหม่สำหรับการเดินป่าและขี่จักรยานอย่างต่อเนื่อง ส่วนโครงสร้างพื้นฐานก็ได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวจึงสามารถเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติได้มากขึ้น






อันดับที่ 3 สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้)
ดีที่สุดในด้าน : กิจกรรม , งานรื่นเริง และยังไม่ค่อยได้ความรับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากนัก


      ที่ผ่านมา เกาหลีใต้ ซุ่มพัฒนาตนเองให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่นในด้านกิจกรรมกลางแจ้ง หวังดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการตีกอล์ฟ เดินป่า ตกปลา ฯลฯ แม้จะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี แต่กลับมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรู้เรื่องราวเหล่านี้น้อยมาก นับว่ายังดีที่ในปีหน้าเกาหลีใต้จะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกหลายรายการ
       อาทิ "สเปเชียล โอลิมปิกส์ เวิลด์ วินเทอร์เกมส์" และ "ฟอร์มูลาวัน โคเรียน กรังด์ปรีซ์" เป็นต้น นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจึงมีโอกาสเห็นศักยภาพในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านกิจกรรม / กีฬากลางแจ้งของเกาหลีใต้มากยิ่งขึ้น






อันดับที่ 4 สาธารณรัฐเอกวาดอร์
ดีที่สุดในด้าน : อาหาร , กิจกรรม และยังไม่ค่อยได้ความรับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากนัก


     ระบบโครงข่ายทางรถไฟในเอกวาดอร์กำลังจะถูกพลิกโฉมครั้งใหญ่ในปีหน้า โดยจะมีเส้นทางใหม่ๆ เชื่อมต่อระหว่างเมืองหลวง (กีโต) และเมืองชายฝั่งที่ใหญ่และมีประชากรมากที่สุดในประเทศอย่าง "กวายากิล" นอกจากนี้ ยังมีทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างภูเขาไฟโกโตปักซี (สูง 5,900 เมตร ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในภูเขาไฟ ‘มีพลัง’ สูงที่สุดในโลก) และภูเขาเดวิล’ส โนส (หรือนาริซ เดล ดีอาโบล) ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องทางรถไฟที่สูงชันและน่าหวาดเสียวสุดๆ อีกด้วย

    เส้นทางลัดเลาะภูเขาสูงชันอาจยังไม่เร้าใจพอ นักท่องเที่ยวบางกลุ่มจึงเลือกนั่งบนหลังคารถไฟขณะขึ้นเขาเดวิล’ส โนส






อันดับที่ 5 สาธารณรัฐสโลวัก (สโลวาเกีย)
ดีที่สุดในด้าน : วัฒนธรรม , การท่องเที่ยวแนวผจญภัย , ยังไม่ค่อยได้ความรับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากนัก


    หลังผ่านพ้นการปฏิวัติเวลเวตมานาน 20 ปี สโลวาเกียได้เดินหน้าพัฒนาประเทศจนเศรษฐกิจโตเร็วสุดๆ ก่อนเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป จากนั้นก็ปรากฏผลเป็นอันดับต้นๆ ในกูเกิลเมื่อมีผู้ค้นหาแพคเกจสกีราคาประหยัด และแพคเกจปาร์ตี้สละโสด (สำหรับว่าที่เจ้าบ่าว)

     ปัจจุบัน ภาคการท่องเที่ยวของสโลวาเกียพยายามล้มล้างภาพลักษณ์ของการเป็นแหล่งสกีและสถานที่เฉลิมฉลองราคาถูก แม้จะยังแก้ภาพลักษณ์ไม่สำเร็จแต่หลายฝ่ายยังคงไม่ละความพยายาม ถึงกระนั้นก็ยังไม่สายเกินไปสำหรับหนุ่มๆ ที่ต้องการเที่ยวแบบทิ้งทวนก่อนสละโสด (ด้วยสนนราคาสุดคุ้ม) ในปีหน้า

     (มีต่อด้านล่าง)
22400  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / โทรศัพท์มือถือ "งอได้" เรื่องจริงอิงวิทยาศาสตร์...พบกันปี 2013 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2012, 10:58:38 am


โทรศัพท์มือถือ "งอได้" เรื่องจริงอิงวิทยาศาสตร์...พบกันปี 2013

จะเป็นอย่างไร หากโทรศัพท์ของคุณ สามารถม้วนได้ ทำตกได้ หรือเผลอเหยียบได้ โดยไม่เกิดความเสียหายแม้แต่นิดเดียว ขณะที่นักวิจัยกำลังคิดค้นโทรศัพท์ต้นแบบ ท่ามกลางข่าวลือว่ามันอาจเผยโฉมให้เราได้เห็นภายในปีหน้านี้

ได้เกิดข่าวลือหนาหูว่าค่ายโทรศัพท์ต่างๆ กำลังซุ่มพัฒนา"โทรศัพท์งอได้"กันอย่างขะมักเขม่น ทั้งแอลจี ฟิลิปส์ ชาร์ป โซนี่ และโนเกีย ขณะที่มีรายงานแย้มออกมาว่า "ซัมซุง" ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถืออันดับหนึ่งของโลก อาจเป็นรายแรกที่เปิดตัวโทรศัพท์ชนิดนี้

     ซัมซุงได้เริ่มพัฒนาสมาร์ทโฟน โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า
     flexible OLED (Organic Light Emitting Diode)
     และมั่นใจว่ามันจะเป็นโทรศัพท์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่วโลก


    โฆษกซัมซุงเผยว่า หน้าจอของโทรศัพท์รุ่นนี้ สามารถงอได้ ม้วนได้ และที่สำคัญ "ใช้ได้จริง"
     รวมถึงยังรับประกันความทนทานของวัสดุที่นำมาผลิต ซึ่งเป็นพลาสติกที่มีความบางกว่า เบากว่า
     และยืดหยุ่นกว่าเทคโนโลยีแอลซีดีที่ใช้ในปัจจุบัน


     
คอนเซ็ปต์การสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความยืดหยุ่น มีการริเริ่มตั้งแต่ในช่วงยุค 1960 เมื่อมีการสร้างแผงโซลาร์เซลล์ขึ้น เมื่อปี 2005 ฟิลิปส์ได้สาธิตการทำงานของหน้าจอต้นแบบที่สามารถม้วนได้ แต่ไม่ได้เป็นสิ่งโดดเด่นมากนัก กระทั่งปัจจุบันที่เทคโนโลยีดังกล่าวเริ่มกลับมาสู่กระแสอีกครั้ง

    อุปกรณ์คินเดิลของอเมซอนรุ่นแรก ใช้หน้าจอที่ยืดหยุ่นได้ แต่ปัญหาเดียวของมันก็คืออุปกรณ์ต่างๆที่อยู่เบื้องหลังหน้าจอ จำเป็นต้องมีกลไกชิ้นส่วนสำหรับช่วยยึด และเช่นเดียวกับอุปกรณ์อี-รีดเดอร์อื่นๆที่ผลิตตามมา ซึ่งใช้นวัตกรรม "E Ink" (electrophoretic ink) ที่พัฒนาโดยบริษัท E Ink จากสหรัฐฯ ซึ่งจะมีหน้าจอขาว-ดำ และทำงานโดยการสะท้อนแสงธรรมชาติ แทนที่จะผลิตด้วยตนเอง ทำให้เกิดภาพคล้ายกับการอ่านหนังสือในกระดาษจริง

    Sri Peruvemba ผู้บริหาร E Ink เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีเช่นนี้ราว 30 ล้านเครื่อง  เครื่องที่เก่าที่สุดที่ยังใช้การได้ผลิตตั้งแต่ปี 2006 เขากล่าวว่า E Ink เหมาะกับโทรศัพท์ธรรมดา, นาฬิกาข้อมือ, สมาร์ทเครดิต การ์ด, ป้ายสัญลักษณ์ และอื่นๆ



     ส่วนสาเหตุที่มันยังไม่ถูกนำมาพัฒนามาใช้ในโทรศัพท์มือถือแบบยืดหยุ่นก็เพราะมันมีต้นทุนค่อนข้างสูง
     เนื่องจากการผลิตอุปกรณ์ที่มีความยืดหยุ่นอย่างสมบูณณ์นั้น ทั้งส่วนระนาบฟรอนทัลและแบคฟรอนทัลจะต้องมีความยืดหยุ่นเสมอกัน เช่นเดียวกับแบตเตอรี ฝาเครื่อง รวมถึงหน้าจอสัมผัส และอุปกรณ์อื่นๆ

    ด้านบริษัทแอลจี ดิสเพลย์จากเกาหลีใต้ ได้เริ่มผลิตอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีหน้าจอยืดหยุ่นได้แบบ E Ink บ้างแล้ว โดยโฆษกแอลจีเผยว่า เทคโนโลยีแบบนี้จะทำให้โทรศัพท์มีความทนทานเป็นพิเศษ เนื่องจากอุบัติเหตุจากการทำโทรศัพท์ตกเป็นเรื่องที่เกิดได้เสมอ รูปร่างที่บางและน้ำหนักที่เบาของมันจะก่อให้เกิดการพัฒนาการออกแบบโทรศัพท์ในอนาคต

ด้าน ศ.แอนเดรีย เฟอร์รารี จากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ กำลังพัฒนาหน้าจอยืดหยุ่นได้สำหรับอนาคต โดยใช้กราฟีน ซึ่งมีการผลิตเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2004 โดยอังเดร เกอิม และคอนสแตนติน โนโวเซลอฟ สองนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์



ในแวดวงวิทยาศาสตร์ขนานนามกราฟีน ว่าเป็น "วัสดุมหัศจรรย์" หรืออัญรูป(allotrope) ที่เป็นรูปแบบหนึ่งของคาร์บอนเช่นเดียวกันกับเพชรและกราไฟต์ แต่ กราฟีนนั้นจะประกอบขึ้นด้วยอะตอมของคาร์บอนที่เกาะกันเป็นรูปหกเหลี่ยม ซึ่ง กาะอยู่บนระนาบเดียวกันไปเรื่อยๆ จนมีลักษณะเป็นแผ่นที่มีความกว้างและความ ยาวคล้ายกับแผงลวดตาข่ายที่ใช้ทำกรงสัตว์ ซึ่งถึงแม้ว่ากราฟีนจะมีความแกร่งกว่าเพชรก็ตาม แต่มันก็สามรถม้วนหรือพับได้ด้วย

นักวิจัยเชื่อว่า ในอนาคตกราฟีนอาจนำมาใช้ทดแทนซิลิโคนได้ ที่อาจปฏิวัติวงการอิเล็กทรอนิกส์ครั้งใหญ่ในอนาคต



ศ.เฟอร์รารี เปิดเผยว่า เขาและคณะกำลังร่วมกันพัฒนาวัสดุทำหรับผลิตเป็นหน้าจอที่มีความโปร่งแสงและยืดยุ่นได้ ซึ่งสามารถนำไปผลิตเป็นโทรศัพท์ แทบเล็ต โทรทัศน์ และแผงโซลาร์เซลที่มีความยืดหยุ่นได้  โดยปัจจุบันเขาทำงานร่วมกับโนเกีย อดีตเบอร์หนึ่งผู้ผลิตมือถือของโลกเพื่อผลิตวัสดุต้นแบบ  และเสริมว่า ซัมซุงมีความก้าวหน้าในเทคโนโลยีด้านนี้มาก

เขากล่าวว่า กราฟีนจะช่วยเสริมและสนับสนุนให้การทำงานของโทรศัพท์ยืดหยุ่นที่ใช้เทคโนโลยี OLED มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากในทางทฤษฎีแล้ว แม้แต่แบคเคอรีของโทรศัพท์รุ่นนี้ก็สามารถผลิตจากกราฟีนได้เช่นกัน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354268770&grpid=01&catid=&subcatid=
หน้า: 1 ... 558 559 [560] 561 562 ... 708