[๔๐๓] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจเข้าอย่างไร ฯ
กาย ในคำว่า กาโย มี ๒ คือ นามกาย ๑ รูปกาย ๑
นามกาย เป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เป็นนามด้วย เป็นนามกายด้วย และท่านกล่าวจิตสังขารว่า นี้เป็นนามกาย
รูปกาย เป็นไฉน มหาภูตรูป ๔ รูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ ลมอัสสาสะปัสสาสะ นิมิตร และท่านกล่าวว่ากายสังขารที่เนื่องกัน นี้เป็นรูปกาย ฯ
[๔๐๔] กายเหล่านั้นย่อมปรากฏ อย่างไร ฯ
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว สติย่อมตั้งมั่น
กายเหล่านั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว สติย่อมตั้งมั่น กายเหล่านั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกสั้น ...
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้าสั้น ...
เมื่อคำนึงถึงกายเหล่านั้นย่อมปรากฏ เมื่อรู้ ...
เมื่อคำนึงถึงกายเหล่านั้นย่อมปรากฏ เมื่อเห็น ...
เมื่อคำนึงถึงกายเหล่านั้นย่อมปรากฏ เมื่อพิจารณา ...
เมื่อคำนึงถึงกายเหล่านั้นย่อมปรากฏ เมื่ออธิษฐานจิต ...
เมื่อคำนึงถึงกายเหล่านั้นย่อมปรากฏ เมื่อน้อมใจเชื่อ ด้วยศรัทธา ...
เมื่อคำนึงถึงกายเหล่านั้นย่อมปรากฏ เมื่อประคองความเพียร...
เมื่อคำนึงถึงกายเหล่านั้นย่อมปรากฏ เมื่อตั้งสติไว้มั่น ...
เมื่อคำนึงถึงกายเหล่านั้นย่อมปรากฏ เมื่อตั้งจิตมั่น ...
เมื่อคำนึงถึงกายเหล่านั้นย่อมปรากฏ เมื่อรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง...
เมื่อคำนึงถึงกายเหล่านั้นย่อมปรากฏ เมื่อกำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ ...
เมื่อคำนึงถึงกายเหล่านั้นย่อมปรากฏ เมื่อละธรรมที่ควรละ ...
เมื่อคำนึงถึงกายเหล่านั้นย่อมปรากฏ เมื่อเจริญธรรมที่ควรเจริญ ...
เมื่อคำนึงถึงกายเหล่านั้นย่อมปรากฏ เมื่อทำให้แจ้งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง
กายเหล่านั้นย่อมปรากฏ กายคือ ความเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจออกหายใจเข้าปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ กายปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วยเป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณากายนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่าสติปัฏฐานภาวนา คือ การพิจารณาเห็นกายในกาย ฯ