ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะสาระวันนี้ "แก่นสารของการภาวนาแบบพุทธ"  (อ่าน 7927 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
 พระสุตตันตปิฎก  มัชฌิมนิกาย  มัชฌิมปัณณาสก์  [๕.  พราหมณวรรค]
                    ๑๐.  สังคารวสูตร
เล่มที่ 13 หน้า 602

    (อาฬารดาบส    กาลามโคตรกล่าวว่า)    ‘ท่านผู้มีอายุ    เป็นลาภของพวกข้าพเจ้าพวกข้าพเจ้าได้ดีแล้วที่ได้พบเพื่อนพรหมจารีเช่นท่าน    เพราะข้าพเจ้าประกาศว่า

    ‘ข้าพเจ้าทำให้แจ้งธรรมใดด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่    ท่านทำให้แจ้งธรรมนั้นด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่’    ท่านทำให้แจ้งธรรมใดด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ข้าพเจ้าก็ประกาศว่า    ‘ข้าพเจ้าทำให้แจ้งธรรมนั้นด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ข้าพเจ้าทราบธรรมใด    ท่านก็ทราบธรรมนั้น    ท่านทราบธรรมใด    ข้าพเจ้าก็ทราบธรรมนั้น    เป็นอันว่าข้าพเจ้าเป็นเช่นใด    ท่านก็เป็นเช่นนั้น    ท่านเป็นเช่นใด    ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นนั้น    มาเถิด    บัดนี้    เราทั้งสองจะอยู่ร่วมกันบริหารคณะนี้’

            ภารทวาชะ    อาฬารดาบส    กาลามโคตร    ทั้งที่เป็นอาจารย์ของเรา    ก็ยกย่องเราผู้เป็นศิษย์ให้เสมอกับตน    และบูชาเราด้วยการบูชาอย่างดี    ด้วยประการอย่างนี้แต่เราคิดว่า    ‘ธรรมนี้ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย    เพื่อคลายกำหนัด    เพื่อดับ    เพื่อสงบระงับ    เพื่อรู้ยิ่ง    เพื่อตรัสรู้    และเพื่อนิพพาน    เป็นไปเพียงเพื่อเข้าถึงอากิญจัญญายตนสมาบัติเท่านั้น’    เราไม่พอใจ    เบื่อหน่ายธรรมนั้น    จึงลาจากไป



พระสุตตันตปิฎก  มัชฌิมนิกาย  มัชฌิมปัณณาสก์  [๕.  พราหมณวรรค]
                    ๑๐.  สังคารวสูตร
เล่มที่ 13 หน้า 604

     (อุทกดาบส    รามบุตรกล่าวว่า)    ‘ท่านผู้มีอายุ    เป็นลาภของพวกข้าพเจ้าพวกข้าพเจ้าได้ดีแล้วที่ได้พบเพื่อนพรหมจารีเช่นท่าน    เพราะ(ข้าพเจ้า)    รามะประกาศว่า    ‘ข้าพเจ้าทำให้แจ้งธรรมใดด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่    ท่านก็ทำให้แจ้งธรรมนั้นด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่    ท่านทำให้แจ้งธรรมใดด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่รามะก็ประกาศว่า    ‘ข้าพเจ้าทำให้แจ้งธรรมนั้นด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่’    รามะทราบธรรมใด    ท่านก็ทราบธรรมนั้น    ท่านทราบธรรมใด    รามะก็ทราบธรรมนั้นเป็นอันว่ารามะเป็นเช่นใด    ท่านก็เป็นเช่นนั้น    ท่านเป็นเช่นใด    รามะก็เป็นเช่นนั้นมาเถิดบัดนี้    ท่านจงบริหารคณะนี้’

            ภารทวาชะ    อุทกดาบส    รามบุตรทั้งที่เป็นเพื่อนพรหมจารีของเรา    ก็ยกย่องเราไว้ในฐานะอาจารย์    และบูชาเราด้วยการบูชาอย่างดีด้วยประการอย่างนี้    แต่เราคิดว่า‘ธรรมนี้ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย    เพื่อคลายกำหนัด    เพื่อดับ    เพื่อสงบระงับ    เพื่อรู้ยิ่งเพื่อตรัสรู้    และเพื่อนิพพาน    เป็นไปเพียงเพื่อเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเท่านั้น    เราไม่พอใจ    เบื่อหน่ายธรรมนั้น    จึงลาจากไป




     อยากจะบอกพวกท่านทั้งหลาย ว่า เมื่อพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงออกผนวชครั้นยังไม่ได้สำเร็จธรรมเป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ได้เรียน ได้ศึกษาธรรม อย่างมีจุดประสงค์ คือมีเป้าหมาย ดังจะเห็นว่าดำริของพระองค์เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ดังนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องวัดการภาวนาที่พระองค์ได้ทรงภาวนาและวัดผล และตัดสินพระทัยเพื่อการภาวนาในวิถึทางอื่นเพิ่มเดิม ทันที ดำริส่วนนี้ก็คือพระองค์ตั้งพระทัยในการภาวนาว่า

    : ธรรมนี้ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย    เพื่อคลายกำหนัด    เพื่อดับ    เพื่อสงบระงับ    เพื่อรู้ยิ่งเพื่อตรัสรู้    และเพื่อนิพพาน :


     ดังนั้นพระโพธิสัตว์ จึงอำลาอาจารย์ทั้งสองที่สอน อรูปกรรมฐาน ในขณะนั้นจากมาเพื่อแสวงหา โมกขธรรมต่อไป มิได้หยุดหรือพอใจที่ความเป็นยอด เพียงแค่ อรูปกรรมฐาน ตรงนั้น


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 21, 2012, 07:48:31 am โดย arlogo »
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
 พระสุตตันตปิฎก  มัชฌิมนิกาย  มัชฌิมปัณณาสก์  [๕.  พราหมณวรรค]
                    ๑๐.  สังคารวสูตร
 
เล่มที่ 13 หน้า 605
 
           อุปมา ๓ ข้อ

            ภารทวาชะ    ครั้งนั้น    อุปมา    ๓    ข้อ    อันน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง    ซึ่งเรายังไม่เคยได้ยินมาก่อน    ได้ปรากฏแก่เรา    คือ

            ๑.    เปรียบเหมือนไม้สดมียางที่แช่อยู่ในน้ำ    บุรุษนำไม้นั้นมาทำไม้สีไฟด้วยหวังว่า    ‘เราจักก่อไฟให้เกิดความร้อนขึ้น’
 

           ภารทวาชะ    ท่านเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร    บุรุษนั้นนำไม้สดที่มียางซึ่งแช่อยู่ในน้ำมาทำไม้สีไฟแล้วสีให้เป็นไฟเกิดความร้อนขึ้นได้ไหม”
            “ไม่ได้    พระพุทธเจ้าข้า”
            “ข้อนั้นเพราะเหตุไร”
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    เพราะไม้สดนั้นมียาง    ทั้งยังแช่อยู่ในน้ำ    บุรษนั้นก็มีแต่ความเหน็ดเหนื่อยลำบากเปล่า”
            “ภารทวาชะ    อย่างนั้นเหมือนกัน    สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งมีกายและจิตยังไม่หลีกออกจากกาม    ยังมีความพอใจ    ความรักใคร่    ความหลงความกระหายและความกระวนกระวายในกามทั้งหลาย    ยังมิได้ละและมิได้ระงับอย่างเบ็ดเสร็จในภายใน    สมณะหรือพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นแม้เสวยทุกขเวทนาที่กล้าแข็ง    หยาบ    เผ็ดร้อน    ซึ่งเกิดขึ้นเพราะความเพียร    ก็เป็นผู้ไม่ควรแก่การรู้การเห็น    และการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม    แม้ไม่ได้เสวยทุกขเวทนาที่กล้าแข็ง    หยาบเผ็ดร้อน    ซึ่งเกิดขึ้นเพราะความเพียร    ก็เป็นผู้ไม่ควรแก่การรู้    การเห็น    และการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม

            นี้เป็นอุปมาข้อที่    ๑    อันน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง    ซึ่งเรายังไม่เคยได้ยินมาก่อน    ได้ปรากฏแก่เรา



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 21, 2012, 07:57:59 am โดย arlogo »
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
[๔๗๘]    ๒. เปรียบเหมือนไม้สดมียางที่วางอยู่บนบกห่างจากน้ำ    บุรุษนำไม้นั้นมาทำไม้สีไฟด้วยหวังว่า    ‘เราจักก่อไฟให้เกิดความร้อนขึ้น’
 
           ภารทวาชะ    ท่านเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร    บุรุษนั้นนำไม้สดที่มียางซึ่งวางอยู่บนบกห่างจากน้ำมาทำเป็นไม้สีไฟ    แล้วสีให้เป็นไฟเกิดความร้อนขึ้นได้ไหม”
        “ไม่ได้    พระพุทธเจ้าข้า”
        “ข้อนั้นเพราะเหตุไร”
        “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    เพราะไม้ยังสดและมียาง    แม้จะวางอยู่บนบกห่างจากน้ำบุรุษนั้นก็มีแต่ความเหน็ดเหนื่อยลำบากเปล่า”
 
           “ภารทวาชะ    อย่างนั้นเหมือนกัน    สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งแม้มีกายและจิตหลีกออกจากกามแล้ว    แต่ยังมีความพอใจ    ความรักใคร่    ความหลงความกระหาย    และความกระวนกระวายในกามทั้งหลาย    ยังมิได้ละและมิได้ระงับอย่างเด็ดขาดในภายใน    สมณะหรือพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นแม้เสวยทุกขเวทนาที่กล้าแข็ง    หยาบ    เผ็ดร้อน    ซึ่งเกิดขึ้นเพราะความเพียร    ก็เป็นผู้ไม่ควรแก่การรู้การเห็น    และการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม    แม้ไม่ได้เสวยทุกขเวทนาที่กล้าแข็ง    หยาบเผ็ดร้อน    ซึ่งเกิดขึ้นเพราะความเพียร    ก็เป็นผู้ไม่ควรแก่การรู้    การเห็น    และการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม
 
           นี้เป็นอุปมาข้อที่    ๒    อันน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง    ซึ่งเรายังไม่เคยได้ยินมาก่อนได้ปรากฏแก่เรา


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 21, 2012, 08:02:27 am โดย arlogo »
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
[๔๗๙]    ๓.    เปรียบเหมือนไม้ที่แห้งสนิทซึ่งวางอยู่บนบกห่างจากน้ำ    บุรุษนำมาทำเป็นไม้สีไฟ    ด้วยหวังว่า    ‘เราจักก่อไฟให้เกิดความร้อนขึ้น’

            ภารทวาชะ    ท่านเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร    บุรุษนั้นนำไม้ที่แห้งสนิทซึ่งวางอยู่บนบกห่างจากน้ำมาทำเป็นไม้สีไฟ    แล้วสีให้เป็นไฟเกิดความร้อนขึ้นได้ไหม”
            “ได้    พระพุทธเจ้าข้า”
            “ข้อนั้นเพราะเหตุไร”
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    เพราะไม้แห้งสนิท    ทั้งวางอยู่บนบกห่างจากน้ำ”
            “ภารทวาชะ    อย่างนั้นเหมือนกัน    สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง    มีกายและจิตหลีกออกจากกามแล้ว    ทั้งละและระงับความพอใจ    ความรักใคร่    ความหลงความกระหาย    และความกระวนกระวายในกามทั้งหลายได้อย่างเด็ดขาดในภายในแล้วสมณะหรือพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น    แม้เสวยทุกขเวทนาที่กล้าแข็ง    หยาบ    เผ็ดร้อนซึ่งเกิดขึ้นเพราะความเพียร    ก็เป็นผู้ควรแก่การรู้    การเห็น    และการตรัสรู้อันยอดเยี่ยมแม้ไม่ได้เสวยทุกขเวทนาที่กล้าแข็ง    หยาบ    เผ็ดร้อน    ซึ่งเกิดขึ้นเพราะความเพียรก็เป็นผู้ควรแก่การรู้    การเห็น    และการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม

            นี้เป็นอุปมาข้อที่    ๓    อันน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง    ซึ่งเรายังไม่เคยได้ยินมาก่อนได้ปรากฏแก่เรา
 
           ภารทวาชะ    นี้คือ    อุปมาทั้ง    ๓    ข้ออันน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งซึ่งเรายังไม่เคยได้ยินมาก่อนนี้แล    ได้ปรากฏแก่เรา


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 21, 2012, 08:05:59 am โดย arlogo »
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
อุปมา 3 ที่นำมาแสดงให้ท่านอ่านในวันนี้ มีิจุดประสงค์เพื่อให้ท่านรู้สถานะของตนเอง ว่าตอนนี้เราเปรียบเหมือนไม้ชนิดไหน และเป็นคำตอบเบื้องต้นว่า ทำไม เราถึงปฏิบัติ ไม่ได้เสียที ทำไมจึงไม่สำเร็จในธรรมอันที่ควร

  ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุด อาตมาอยากให้ทุกท่าน ใคร่ครวญพิจารณาธรรมอันเป็นเหตุให้ท่านทั้งหลายพากเพียรภาวนากันอยู่นี้เพื่ออะไรกันแน่
     
               การภาวนาไม่ใช่แฟชั่น
               การภาวนาไม่ใช่เรื่องที่ควรทำตาม ๆ กัน
               การภาวนาไม่ใช่เรื่องของคนที่ไม่พร้อม และไม่มีเป้าหมาย


    คำตอบนี้ย้อนหลังไป 4 ปี ครั้งที่อาตมาไปเดินขึ้นดอยตุง คนเดียว ตอนนั้นเดินไป ๆ รู้สึก เหงา นะ ตอนนั้นมีความรู้สึก ว่าอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยวและ สติ มันถามตนเองขณะเดินอยู่ขณะนั้นว่า บ้าหรือป่าว มาเดินคนเดีิยวทำไม ทำไปเพื่ออะไรกันเนี่ย ทำแล้วจะได้อะไร ?

     เห็นหรือไม่ว่า บางครั้งแม้เราตั้งเป้าหมายไปแล้ว แต่ภาวะที่เราไม่บำเพ็ญเผาผลาญเพื่อเป้าหมายบางครั้งมันก็ดึงสติเราออกไปนอกลู่ นอกทางได้เช่นเดียวกัน ตอนนั้นอาตมายืนสงบสำรวมใจทบทวนเป้าหมายใหม่ และก็ได้คำตอบ จึงเิดินขึ้นถึงพระธาตุดอยตุง

     อยากให้ท่านทั้งหลาย ทบทวนเป้าหมายการภาวนากันให้มาก ว่าท่านมาภาวนากันเพื่ออะไร ?

     ท่านก็จะได้คำตอบและเหตุผลในการภาวนา กันเอง และจะสำเร็จตามที่ปรารถนาและต้องการ

    เจริญธรรม


    ;)

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 21, 2012, 08:22:05 am โดย arlogo »
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

vichai

  • ศิษย์ตรง
  • พอพึ่งพาได้
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 207
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ธรรมะสาระวันนี้ "แก่นสารของการภาวนาแบบพุทธ"
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มีนาคม 21, 2012, 12:26:00 pm »
0
อ่านแล้วเหมือนตนเองพลาดอะไรไปบางอย่าง
อนุโมทนา สาธุครับ


 :c017: :25: :25:
บันทึกการเข้า
มาศึกษาธรรมะ ครับ ยินดีรู้จักทุกท่านที่เป็นกัลยาณมิตร ครับ
เครดิต คุณกบแย้มกะลา

montra

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 76
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ธรรมะสาระวันนี้ "แก่นสารของการภาวนาแบบพุทธ"
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มีนาคม 21, 2012, 01:42:12 pm »
0
รู้สึกว่า ธรรมสาระวันนี้จะอ่านง่าย นะครับ และพอจะเข้าใจเจตนาของพระอาจารย์ด้วยครับ

อนุโมทนา สาธุ ครับ
 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ธรรมะสาระวันนี้ "แก่นสารของการภาวนาแบบพุทธ"
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มีนาคม 21, 2012, 08:58:03 pm »
0
ขออนุโมทนาสาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมะสาระวันนี้ "แก่นสารของการภาวนาแบบพุทธ"
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มีนาคม 22, 2012, 10:00:44 am »
0
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

สถาพร

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 220
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อุปมา 3 ที่นำมาแสดงให้ท่านอ่านในวันนี้ มีิจุดประสงค์เพื่อให้ท่านรู้สถานะของตนเอง ว่าตอนนี้เราเปรียบเหมือนไม้ชนิดไหน และเป็นคำตอบเบื้องต้นว่า ทำไม เราถึงปฏิบัติ ไม่ได้เสียที ทำไมจึงไม่สำเร็จในธรรมอันที่ควร

  ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุด อาตมาอยากให้ทุกท่าน ใคร่ครวญพิจารณาธรรมอันเป็นเหตุให้ท่านทั้งหลายพากเพียรภาวนากันอยู่นี้เพื่ออะไรกันแน่
     
               การภาวนาไม่ใช่แฟชั่น
               การภาวนาไม่ใช่เรื่องที่ควรทำตาม ๆ กัน
               การภาวนาไม่ใช่เรื่องของคนที่ไม่พร้อม และไม่มีเป้าหมาย


    คำตอบนี้ย้อนหลังไป 4 ปี ครั้งที่อาตมาไปเดินขึ้นดอยตุง คนเดียว ตอนนั้นเดินไป ๆ รู้สึก เหงา นะ ตอนนั้นมีความรู้สึก ว่าอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยวและ สติ มันถามตนเองขณะเดินอยู่ขณะนั้นว่า บ้าหรือป่าว มาเดินคนเดีิยวทำไม ทำไปเพื่ออะไรกันเนี่ย ทำแล้วจะได้อะไร ?

     เห็นหรือไม่ว่า บางครั้งแม้เราตั้งเป้าหมายไปแล้ว แต่ภาวะที่เราไม่บำเพ็ญเผาผลาญเพื่อเป้าหมายบางครั้งมันก็ดึงสติเราออกไปนอกลู่ นอกทางได้เช่นเดียวกัน ตอนนั้นอาตมายืนสงบสำรวมใจทบทวนเป้าหมายใหม่ และก็ได้คำตอบ จึงเิดินขึ้นถึงพระธาตุดอยตุง

     อยากให้ท่านทั้งหลาย ทบทวนเป้าหมายการภาวนากันให้มาก ว่าท่านมาภาวนากันเพื่ออะไร ?

     ท่านก็จะได้คำตอบและเหตุผลในการภาวนา กันเอง และจะสำเร็จตามที่ปรารถนาและต้องการ

    เจริญธรรม


    ;)

 

 อ่านแล้ว ซึ้งครับตรงนี้ มีเนื้อหาที่สำคัญเป็นกำลังใจ ในการภาวนามากขึ้น เลยนะครับ ผมเองก็ไม่ค่อยมีเวลาในการภาวนาครับ เพราะงานของผมส่วนใหญ่ จะเป็นตอนดึก เรียกว่า กะดึกครับ ออกจากงานก็นอนกลายเป็นมนุษย์ค้างคาวไปแล้วนะครับ เมื่อได้อ่านบทความกระทู้นี้แล้วรู้สึก ว่าเราขาดการทบทวนเป้าหมายในการภาวนา อย่างนี้ชีวิตเราจึงภาวนาแบบเคว้งคว้าง เลยนะครับ

 สาธุ เพื่อจะได้ทบทวนเป้าหมายในการภาวนาใหม่นะครับ

 ขอบคุณมากครับ

  :c017:
บันทึกการเข้า
ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมะสาระวันนี้ "แก่นสารของการภาวนาแบบพุทธ"
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 07:19:16 pm »
0
เจริญธรรม / เจริญพร
อยากให้ท่านทั้งหลาย ทบทวน หัวข้อนี้กัน เพื่อบรรลุเป้าหมายการกำหนดทุกข์ ในพรรษานี้ อาตมาให้ลูกศิษย์ทุกท่าน พยายามกำหนดทุกข์ไให้ได้ก่อน เพราะถ้าท่านกำหนดเป้าหมายไม่ได้ ก็จะทำให้การภาวนาไม่มั่นคง คิดว่าในเทอมนี้ ( พรรษานี้ ) หลายท่านคงจะกำหนด ทุกข์ อันนี้ได้เมื่อมาพบกันในครั้งต่อไป จะได้เป็น โจทย์ไต่ถามท่านทั้งหลายว่า ทุกข์กำหนดได้แล้วหรือยัง ถ้าท่านกำหนดยังไม่ได้ สมุทัยเป็นเรืองที่เข้าใจนะจ๊ะ

  ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

pinmanee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 163
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ธรรมะสาระวันนี้ "แก่นสารของการภาวนาแบบพุทธ"
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กันยายน 10, 2012, 12:17:40 pm »
0
อนุโมทนา สาธุ คะ เรื่องนี้อ่านแล้วเข้าใจง่าย คะ
ขอบคุณพระอาจารย์ คะ  น่าเสียดายเวลาอ่านในวันมีน้อยคะ ต้องทำงานด้วยคะ

  :58: :c017: :25:

 
บันทึกการเข้า