ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระพุทธเจ้า สอนเกี่ยวกับเรื่อง การเกิดมาไว้ อย่างไร ครับ  (อ่าน 3168 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

เจมส์บอนด์

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 186
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
พระพุทธเจ้า สอนเกี่ยวกับเรื่อง การเกิดมาไว้ อย่างไร ครับ

บางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ ครับว่าชีวิตเราที่เวียนว่ายตายเกิด อยู่มากมายหลายชาตินี้ พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสสอนธรรมที่เรียกว่าไม่ต้องมาเกิดอีก แต่ในปัจจุบันนี้พระองค์สอนให้ ทำอย่างไรกับการเกิดที่เป็นอยู่ปัจจุบันครับ และอะไรเป็นเป้าหมายของการเกิดครับ

   1.เกิดมาเพื่อใช้ กรรม ( คือ รับวิบาก ผลบุญ และ ผลบาป ) ใช่หรือไม่ครับ

   2.เกิดมาเพื่อสร้าง กรรมดี ( คือ เสบียงบุญ ) และระงับกรรมไม่ดี ใช่หรือครับ

   3.เกิดมาเพื่อภาวนา ใช่หรือไม่ครับ

   ขอบคุณที่ตอบครับ
    :25:
บันทึกการเข้า
ps2 psx nds n64 rom nes play1 play2 gamepc xbox wii castlevania finalfantasy nds ps1 sega
ผมชอบเล่นเกมส์ แต่ ก็แบ่งเวลานั่ง กรรมฐาน ครับ คนรุ่นใหม่ไม่กลัวกรรมฐาน

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ชีวิตมาจากไหน

     ชีวิตในความหมายของพระอภิธรรม หมายถึง ชีวิตของ คน สัตว์ เทวดา รูปพรหม อรูปพรหม อันเกิดมาจากกรรม คือ กุศลกรรม และอกุศลกรรม นั่นเอง



    มนุษย์ เทวดา รูปพรหม และอรูปพรหม เป็นชีวิตที่เกิดมาจาก ผลของการทำความดี คือ กุศลกรรม การกระทำความดี นั้น เราทำได้ ๓ ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ เช่น การทำทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา การอ่อนน้อมถ่อมตน การช่วยเหลือการงานที่เป็นกุศล การทำบุญอุทิศส่วนกุศล การอนุโมทนากุศล การฟังธรรม การแสดงธรรม การตั้งตนไว้ในทางที่ชอบ การทำสมาธิจนได้ รูปฌาน อรูปฌาน กุศลกรรมเหล่านี้ เมื่อบุคคลได้สิ้นชีวิตไปแล้ว จะนำชีวิตให้ไปเกิดในสุคติภูมิ ได้แก่ มนุษย์ เทวดา รูปพรหม หรือ อรูปพรหม ตามที่ตนได้กระทำกุศลนั้น ๆ ไว้ ดูแผนภูมิที่ ๑

แผนภูมิที่ ๑




    อกุศลกรรม คือ การกระทำบาปทางกาย กายทุจริต ๓ได้แก่ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การจี้ปล้นลักขโมย การประพฤติผิดทางเพศ

     การทำบาปทางวาจา วจีทุจริต ๔ ได้แก่ การพูดเท็จไม่ตรงกับความจริง การพูดส่อเสียดยุยง ทำให้เขาแตกแยกจากกัน การพูดคำหยาบด่าทอสาปแช่ง การพูดเพ้อเจ้อ เหลวไหลไร้สาระ ไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟัง

     การทำบาปทางใจ มโนทุจริต ๓ ได้แก่ การเพ่งเล็งในทรัพย์สินสิ่งของๆ คนอื่น เพื่อจะนำมาเป็นของตน การคิดพยาบาทอาฆาต มุ่งที่จะทำร้ายต่อบุคคลอื่น ตลอดจนมีความเห็นผิดจากความเป็นจริง เช่น คิดว่าบุญบาปไม่มีไม่ให้ผล เมื่อตายลง ไม่ต้องไปเสวยผลของบุญผลของบาป ที่ทำไว้ เห็นว่าชาติหน้า นรกสวรรค์ไม่มี เป็นต้น 

          เมื่อได้ทำบาปเหล่านี้แล้วตายลงย่อมส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน ต้องได้รับความทุกข์ทรมาน เพื่อใช้ผลของบาปกรรมนั้น ดูแผนภูมิที่ ๒ ประกอบ


แผนภูมิที่ ๒



    การทำบาปทุจริต ทั้งปวง จึงเป็นไปด้วยอำนาจของจิตฝ่ายบาป คือ อกุศลจิต ๑๒ ทำให้ชีวิตต้องไปรับทุกข์ทรมานในนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ดังกล่าว




     คนเราโดยทั่วไปไม่ค่อยจะคิดว่า เราเป็นใครมาจากไหน ทำไมเกิดมาจึงมีรูปร่างหน้าตาอุปนิสัยใจคอไม่เหมือนกัน เพราะอะไร ทั้ง ๆ ที่เกิดมาจากบิดามารดาเดียวกัน ลองหาคำตอบดูจาก แผนภูมิที่ ๓


แผนภูมิที่ ๓

     คนเรามีนิสัยใจคอต่างกัน เพราะมาจากที่ต่างกันนั่นเอง


อ้างอิง
บทเรียนอภิธรรม  ตอนที่ ๖ ชุดที่ ๑ ชีวิตมาจากไหน
หลักสูตรเรียนทางอินเตอร์เน็ต อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ที่มา http://www.buddhism-online.org/Section06A_02.htm
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ชีีวิตจะไปไหน

          การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารทุกข์ ก็ด้วยอำนาจของ อวิชชา คือความไม่รู้ ไม่รู้ความ เป็นจริงของชีวิต จึงต้องทำกรรมลงไป ด้วยอำนาจของกิเลสที่อยู่ภายในจิตใจ เป็นตัวผลักดัน ให้มีการเสาะแสวงหา สิ่งที่ชอบสิ่งที่พอใจ ของสวย ๆ งาม ๆ รับประทานข้าวเคล้าเสียงเพลง เป็นต้น ซึ่งถือเป็นสื่อที่จะชักนำ ให้เกิดความเคลิบเคลิ้มหลงใหล กระทำในสิ่งที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนต่อไป
           
          เมื่อทำบาปอกุศล ความเดือดร้อนก็ย่อมติดตามมา หาความสุขความสงบใจไม่ได้ มีความหวาดกลัววิตกกังวล ฝันร้าย เห็นภาพหลอนต่าง ๆ เมื่อตายลงย่อมจะต้องไปเกิดในทุคติภูมิ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือ เดรัจฉาน บ้าง ตามกรรมที่ตนได้กระทำไว้
           
           ถ้าทำในส่วนที่ดีเป็นบุญเป็นกุศล ก็จะได้รับ ความสุขความเจริญ ความดีนั้นไม่มีขายอยากได้ ต้องทำเอาเอง การทำบุญกุศลมีหลายอย่างด้วยกัน เช่น การทำทาน การทำบุญใส่บาตร การรักษาศีล การเจริญภาวนา การช่วยเหลือเกื้อกูลคนแก่คนชรา เป็นต้น ผลบุญที่ทำเมื่อตายแล้ว ย่อมนำไปสู่สุคติภูมิ เป็นมนุษย์หรือ เทวดา 

           
 
          ถ้าทำสมาธิจนได้รูปฌาน เมื่อตายย่อมจะไปเกิดในพรหมโลก เป็นพรหมที่มีรูปร่างสวยงาม มีความสุขจากผลของฌาน มีถึง ๑๖ ชั้นด้วยกัน ส่วนผู้ที่ทำสมาธิได้ อรูปฌาน คือ ผ่านรูปฌานมาแล้ว ก็ย่อมจะไปบังเกิดในพรหมโลกเช่นเดียวกัน แต่เป็นพรหมที่ไม่มีรูปร่างกาย มีแต่นามคือ จิตและเจตสิกเท่านั้น มี ๔ ชั้นด้วยกัน รายละเอียดจะได้กล่าวต่อไปในเรื่องภูมิ ๓๑
           
          การทำบุญ ทำกุศล การทำทาน การรักษาศีล เจริญภาวนา หรือการทำบาปอกุศลก็ดี ย่อมจะส่งผลให้ต้อง เวียนตายเวียนเกิดอีกต่อไป หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ตราบเมื่อยังไม่ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
           
          การปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงจะรู้ได้ว่าเราจะเกิดต่อไปอีกไม่เกิน ๗ ชาติ เวียนตายเวียนเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง จนกว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ดูแผนภูมิที่ ๔ ประกอบ

           
แผนภูมิที่ ๔


           
          ชาติหน้ามีจริงหรือไม่นั้น คำตอบก็คือ
          ตราบใดถ้ายังมีกิเลสและทำกรรม อยู่ คือ กรรมที่เป็นส่วนบุญ และกรรมที่เป็นส่วนบาป เมื่อยังทำกรรมเพราะอำนาจของกิเลส ก็ต้องเกิดอีกแน่นอน การเกิดใหม่นั่นแหละคือชาติหน้าของเรา ชาติหน้าที่จะไปเกิดมีทั้งหมดถึง ๓๑ ภูมิ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป



อ้างอิง
บทเรียนอภิธรรม  ตอนที่ ๖ ชุดที่ ๑ ชีวิตมาจากไหน
หลักสูตรเรียนทางอินเตอร์เน็ต อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ที่มา http://www.buddhism-online.org/Section06A_03.htm
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

     คนเรามีชีวิตเพื่ออะไร ? เป็นคำถามที่หาคำตอบยาก มีตอบได้หลายแง่หลายมุม ผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมเท่านั้นจึงหาคำตอบได้ เพราะเข้าใจในเรื่องราวของชีวิตได้ดี สามารถแก้ปัญหาได้ถูกต้อง ลองหาคำตอบจากภาพข้างล่างนี้ ว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร




อ้างอิง
บทเรียนอภิธรรม  ตอนที่ ๖ ชุดที่ ๑ ชีวิตมาจากไหน
หลักสูตรเรียนทางอินเตอร์เน็ต อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ที่มา http://www.buddhism-online.org/Section06A_04.htm
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
พระพุทธเจ้า สอนเกี่ยวกับเรื่อง การเกิดมาไว้ อย่างไร ครับ

บางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ ครับว่าชีวิตเราที่เวียนว่ายตายเกิด อยู่มากมายหลายชาตินี้ พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสสอนธรรมที่เรียกว่าไม่ต้องมาเกิดอีก แต่ในปัจจุบันนี้พระองค์สอนให้ ทำอย่างไรกับการเกิดที่เป็นอยู่ปัจจุบันครับ และอะไรเป็นเป้าหมายของการเกิดครับ

   1.เกิดมาเพื่อใช้ กรรม ( คือ รับวิบาก ผลบุญ และ ผลบาป ) ใช่หรือไม่ครับ


    ใช่ครับ แน่นอน เราเกิดมาเืพื่อเสวยวิบากกรรม ทั้งสองฝ่ายทั้งบุญและบาป]

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
         "ดูกรมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้"

                                                                 พุทธพจน์ จากจูฬกัมมวิภังคสูตร


     :49:

พระพุทธเจ้า สอนเกี่ยวกับเรื่อง การเกิดมาไว้ อย่างไร ครับ

บางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ ครับว่าชีวิตเราที่เวียนว่ายตายเกิด อยู่มากมายหลายชาตินี้ พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสสอนธรรมที่เรียกว่าไม่ต้องมาเกิดอีก แต่ในปัจจุบันนี้พระองค์สอนให้ ทำอย่างไรกับการเกิดที่เป็นอยู่ปัจจุบันครับ และอะไรเป็นเป้าหมายของการเกิดครับ

   2.เกิดมาเพื่อสร้าง กรรมดี ( คือ เสบียงบุญ ) และระงับกรรมไม่ดี ใช่หรือครับ


       ต้องเลือกทางก่อน
       พระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อคำสั่งสอนของท่าน หากเราเลือกที่จะเชื่อพระองค์ และเลือกที่ไปสุคติ เราต้องตั้งมั่นอยู่ใน "กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ"
       แต่หากเลือกที่จะไม่มาเกิดอีก ไม่ปรารถนาจะอยู่ในสังสารวัฏนี้อีกต่อไป ก็ต้องปฏิบัติตาม มรรคมีองค์ ๘

        :49:

พระพุทธเจ้า สอนเกี่ยวกับเรื่อง การเกิดมาไว้ อย่างไร ครับ

บางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ ครับว่าชีวิตเราที่เวียนว่ายตายเกิด อยู่มากมายหลายชาตินี้ พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสสอนธรรมที่เรียกว่าไม่ต้องมาเกิดอีก แต่ในปัจจุบันนี้พระองค์สอนให้ ทำอย่างไรกับการเกิดที่เป็นอยู่ปัจจุบันครับ และอะไรเป็นเป้าหมายของการเกิดครับ

   3.เกิดมาเพื่อภาวนา ใช่หรือไม่ครับ


       ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกอะไร
      หากเราเชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  เราก็ต้องเลือกว่า เรารักที่จะท่องเที่ยวอยู่ใน ๓๑ ภพภูมินี้หรือเปล่า เพราะการภาวนา แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ สมถะ และวิปัสสน
      หากปรารถนาจะเป็นพรหม(ยกเว้นสุทธาวาส) ก็ทำสมถะ     
      หากปรารถนาจะเข้านิพพานในฐานะสาวกภูมิ ต้องทำทั้งสมถะและวิปัสสนา
      หากปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ต้องสร้างโพธิสัต์บารมี(ต้องทำสมถะและวิปัสสนาอ่อนๆ)


       การเกิดและการเป็นอยู่ในปัจจุบันชาติ ถ้าจะถามว่า เพื่ออะไร ต้องถามตัวเองก่อนว่า คุณต้องการเป็นอะไร
ต้องการอะไร ในชาตินี้และในชาติต่อไป เมื่อเลือกได้แล้ว คุณจะรู้เองว่า เกิดมาเพื่ออะไร


       Born to be........(someone or.....with somebody)

        :57: :72: :) ;)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 05, 2012, 01:12:02 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ