ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ::: ดูแค่การเกิดดับยังถือว่าหยาบ :::หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน  (อ่าน 18775 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

samapol

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 304
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
::: ดูแค่การเกิดดับยังถือว่าหยาบ :::



"... ผ่านมาแล้ว ๒๕๕๕ ปีจวบจนปัจจุบันนี้ ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ใช่เป็นของเก่าคร่ำครึ ยังเป็นของสดของใหม่อยู่นั่นเอง เพียงแต่ว่า เราเป็นผู้ที่ว่าไม่รู้จักการเฉลียว หรือการสังเกตทางด้านการประพฤติการปฏิบัติของตนเท่านั้นเอง เราขาดการสังเกตนั่นเอง ถ้ามีการสังเกตแล้วเราจะทราบทันทีเลยว่า นี้กิเลสเกิด นี้กิเลสดับ นี้ธรรมเกิด นี้ธรรมดับ นี้สิ่งนี้มี นี้สิ่งนี้ไป เมื่อสังเกตอยู่เรื่อยๆ ที่เค้าเรียกว่า เห็นการเกิดดับนั่นเอง แต่การเห็นการเกิดดับก็เป็นของเหมือนกับว่า เป็นของเป็นคำพูดเฉพาะๆ เฉยๆ คือดูแต่เกิดดูแต่ดับ ดูแต่เกิดดูแต่ดับ แต่การสังเกตนี้ไม่ไช่ดูการเกิดการดับเท่านั้น คือดูเหตุอีกต่างหาก ว่ามันดับเพราะอะไร มันเกิดเพราะอะไร ดูการแค่เกิดแค่ดับเท่านั้น ยังไม่ถือว่าเป็น "มรรค" นะ

เหมือนกับว่าทหารมันยืนดูคนเข้าคนออกประตูเมืองก็ยืนดูอย่างนั้น มันไม่ได้สาวหาว่าคนนี้มาจากไหน และเข้าไปจะเข้าไปทำอะไรอย่างนี้เรียกว่าดูการเกิดดับ นี้ยังถือว่าหยาบ ยังไม่ถือว่าละเอียด การปฏิบัติแบบมรรคที่มีความละเอียดลออนั้น ก็คือการสังเกต คนนี้มาทำอะไรหนอ นี่คือการสังเกต เข้าไปแล้วเค้าเอาอะไรออกมามั้ยหนอ นี่เรียกว่าสังเกต อาการสังเกตนี้แหละ ให้หัดสังเกตจิตใจของตนเป็นสำคัญที่สุดนะ ไม่ต้องไปสังเกตอย่างอื่น เรื่องร่างกายไม่ต้องสังเกตมาก สังเกตที่จิตก่อน หัดสังเกตจิตใจเราตอนนี้อารมณ์เป็นอะไรหนอ อารมณ์โกรธ อารมณ์เกลียด อารมณ์ลุ่ม อารมณ์หลง อะไรที่มันเข้ามา ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ที่ทำให้ใจของเรามันแกว่ง มันเหวี่ยงไป ให้สังเกตดูว่า ทำไมมันถึงแกว่งทำไมมันถึงเหวี่ยง เหวี่ยงไปทางความสุขก็มี เหวี่ยงไปทางความทุกข์ก็มี แกว่งไปตามเรื่องราววุ่นวายฟุ้งซ่านหงุดหงิดก็มี สิ่งเหล่านี้ต้องสังเกตดูและหาดูว่ามันเกิดจากอะไร ถ้าจิตเราแกว่งจริง ถ้าจิตเราขุ่นจริงถ้าจิตเราทุกข์จริง ถ้าจิตเราสุขจริง เวลาสุขเกิดแล้วสุขดับ ทำไมจิตไม่ดับไปด้วย เวลาทุกข์เกิดขึ้นที่จิตว่าเราเป็นทุกข์ ว่าจิตเป็นทุกข์ เวลาทุกข์ดับทำไมจิตเราไม่ดับไปด้วย ถ้าเราเป็นทุกข์ เวลาทุกข์ดับ ทำไมตัวเราไม่ดับไปด้วย ถ้าทุกข์เป็นเรา ทำไมทุกข์หายไปแล้วทำไมตัวเราไม่หายไปด้วย แสดงว่าทุกข์ไม่ใช่ตัวเรา ทุกข์ไม่ใช่ร่างกายเรา

ทุกข์ไม่ใช่จิต ถ้าทุกข์เป็นจิต ทุกข์ดับไปจิตต้องดับไปด้วยสิ มันจะมาอยู่อย่างนี้ได้ยังไง อย่างนี้เรียกว่าสังเกต มันละเอียดกว่าคำว่าดูการเกิดดับเท่านั้น เพราะฉะนั้นคำว่าสังเกตนี้ มันหมายถึง สัมปชัญญะ คือความรู้ตัว แต่ความรู้ตัวตัวนี้ไม่ใช่รู้ตัวกาย มันเป็นการรู้ตัวจิต และการสังเกตบ่อยๆจะทำให้เกิดปัญญา นี่ มัน เป็นมรรคเพราะแก้ เข้าไปแก้เข้าไปค้นหาสมุทัย ได้แก่เหตุอะไรมันทำให้เกิดอันนี้ ทำไมมันทำให้ทุกข์ ทำไมมันทำให้สุข นี่เข้าไปค้น หาในจิตในใจของเรา ไม่ต้องไปหาที่อื่น เพราะเหตุมันมาจากที่นี่ มาจากจิตใจของเรานี่เอง..."

ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา เรื่อง ฝึกสังเกตุจิตใจตน
โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน
บันทึกการเข้า

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ก็ขออนุโมทนาสาธุ  สําหรับแนวทางการสอนของสายดูจิต


    แต่ก็ยังคงเป็นคนละแนวทาง กับ การสอน ของกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ

       ในธรรมเฉพาะหน้า

       เมื่อมีเกิดขึ้นพร้อมดับ

     เกิด ดับ ก็ไม่มี   เพราะไม่มีติดๆดับๆอีก  แต่ติดทั้งคู่


     ในธรรมเฉพาะหน้า คือ สมาธิสูตร ของพระพุทธองค์

     ต้องมีทั้งสองอย่าง

       ก็คือได้สมถะ-วิปัสนา

      เห็นสมถะวิปัสสนา เห็น ทั้งสมถะวิปัสนา

      เมื่อเกิดกับสลายมีพร้อมกัน

         เมื่อได้ทั้งอุคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต

        มีอะไรให้ดูอีก เพราะจิตเข้าสู่อรูป ตามลําดับ

       ครูบาอาจารกล่าวไว้ว่า กรรมฐานมัชฌิมาแบบลําดับ

       สอนตั้งแต่ อุปจารถึงฌานแปด

         จิตจึงเข้าสสู่ พระธรรมปีติ

        อุปกรณ์คือธรรมกาย และ ธรรมจักร นั่นคือนิมิตทั้งสอง คือกายสุขจิตสุข

         เป็นนิมิตไม่เปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนแปลง

        การรวมภพและปล่อยภพเกิดในที่เดียวกัน

       แต่เกิดตามขั้นตอน สิบหกขั้น ของอานาปานสติ

        ได้ลมตื่นและลมปล่อย หมุน

         บิดเกลียวเชือก ยถา แปดเส้น หมุนอยู่ในธรรมเฉพาะหน้า

          ปีติยุคลสุข

          ลมเข้าลมออกนิมิต

          สติอัติโนมัติ เป็นอุปกรณ์ ในกรรมฐาน ห้องสี่ อานาปานสติ ปฏิสัมภิทามรรค

         
          จงตั้งใจศึกษาและ เข้าให้ถึงกรรมฐาน ห้องสี่

            นั่นแหละ อานาปานสติแท้ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

            ฟันเลื่อย ไป กลับ และตอไม้

              กระบวนการ รูปวัตถุ สิบหกข้อแห่งอานาปา ญาณสติสองร้อยญาน

             กรรมฐานมัชฌิมาเน้นการเข้าพระธรรมปีติ ไม่ใช่สายดูจิต

          คําตอบทั้งหลายมีอยู่ในพระธรรมปีติ

            จงเข้าให้ถึงธรรมเพาะหน้า ของครูที่ว่าไว้

              กรรมฐานห้องสี่ อานาปานสติ (สติปัฏฐาน)ปฏิสัมภิทามรรค

               ขอให้ทุกท่านจงโชคดี มีความสุข


...............สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านจงยัง ความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อมเถิด

             กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ

            กรรมฐานของพระพุทธเจ้า

           

             

       
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
กรรมฐานมัชฌิมาแบบลําดับ เน้นความได้องค์ห้า เป็นพระธรรมปีติ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข และ เอกัคตา
      เพื่อเข้าปีติ
 การดูจิต เป็นการดูเพื่อปล่อยวาง และดับปีติ
    กรรมฐานนี้ไม่ต้องการให้ดับปีติ
      เพราะปีติต้องขึ้นสุดครบ องค์ห้า หรือขั้นห้า

        จึงจะเข้าสู่ยุคลได้

       เมื่อเข้าถึงยุคล

       ก็ไปสู่สุขสมาธิได้

      เป็นอุปกรณ์และ แผนที่ๆจะไปสู่ห้องสี่

       ส่วน จิตตานุปัสสนา  อยู่ใน กรรมฐาน ห้องสี่ คือ สโตริกาญาณ ที่8-12

       นั่นเป็นกระบวนการของรูปวัตถุสิบหก และญาณสติสองร้อย

      ในอานาปานสติ สติปัฏฐานสี่

       ตรงนั้นคือสติปัฏฐานสี่ จริง

       และเข้าถึงจิตล้วนๆของจริง

       ความจริง ในกรรมฐานนี้ สิ่งที่ครูอาจารย์เขี้ยวเข็นและเน้นลูกศิษย์

       ก็เพื่อไปถึงห้องนี้

       ................................

      แต่ปัจจุบันพอเริ่มปฏบัติธรรม ก็จะดูจิต กันเลย นั่นไม่ใช่ สติปัฏฐานสี่ ในแบบพระสูตร

       ถ้าจะเอาแบบพระสูตร ต้องได้ห้องสี่ ที่กรรมฐานนี้

      จงอย่าเข้าใจไขว้เขว

      ขอให้ทุกท่านโชคดี

        เข้าให้ถึงกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

แพนด้า

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 248
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ท่าน aaaa เป็นชุดเลยนะครับ
  นับว่าเป็นการแนะนำในห้อง สนทนาธรรม นะครับ เห็นชาวทีมมัชฌิมา ไปทำบุญกับครูบาเพชร บ่อย ๆ มีประกาศด้วย ผมเข้าใจว่า ครูบาเพชร เป็น อาจารย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับด้วย นะครับ ( หรือ เข้าใจผิด )

  thk56 st12
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
::: ดูแค่การเกิดดับยังถือว่าหยาบ :::



"... ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ที่ทำให้ใจของเรามันแกว่ง มันเหวี่ยงไป ให้สังเกตดูว่า ทำไมมันถึงแกว่งทำไมมันถึงเหวี่ยง เหวี่ยงไปทางความสุขก็มี เหวี่ยงไปทางความทุกข์ก็มี แกว่งไปตามเรื่องราววุ่นวายฟุ้งซ่านหงุดหงิดก็มี สิ่งเหล่านี้ต้องสังเกตดูและหาดูว่ามันเกิดจากอะไร ถ้าจิตเราแกว่งจริง ถ้าจิตเราขุ่นจริงถ้าจิตเราทุกข์จริง ถ้าจิตเราสุขจริง เวลาสุขเกิดแล้วสุขดับ ทำไมจิตไม่ดับไปด้วย เวลาทุกข์เกิดขึ้นที่จิตว่าเราเป็นทุกข์ ว่าจิตเป็นทุกข์ เวลาทุกข์ดับทำไมจิตเราไม่ดับไปด้วย ถ้าเราเป็นทุกข์ เวลาทุกข์ดับ ทำไมตัวเราไม่ดับไปด้วย ถ้าทุกข์เป็นเรา ทำไมทุกข์หายไปแล้วทำไมตัวเราไม่หายไปด้วย แสดงว่าทุกข์ไม่ใช่ตัวเรา ทุกข์ไม่ใช่ร่างกายเรา ทุกข์ไม่ใช่จิต ถ้าทุกข์เป็นจิต ทุกข์ดับไปจิตต้องดับไปด้วยสิ มันจะมาอยู่อย่างนี้ได้ยังไง อย่างนี้เรียกว่าสังเกต ..."

ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา เรื่อง ฝึกสังเกตุจิตใจตน
โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน


          

กรรมฐานมัชฌิมาแบบลําดับ เน้นความได้องค์ห้า เป็นพระธรรมปีติ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข และ เอกัคตา เพื่อเข้าปีติ การดูจิต เป็นการดูเพื่อปล่อยวาง และดับปีติ กรรมฐานนี้ไม่ต้องการให้ดับปีติ เพราะปีติต้องขึ้นสุดครบ องค์ห้า หรือขั้นห้าจึงจะเข้าสู่ยุคลได้เมื่อเข้าถึงยุคลก็ไปสู่สุขสมาธิได้ เป็นอุปกรณ์และ แผนที่ๆจะไปสู่ห้องสี่

จงอย่าเข้าใจไขว้เขว ขอให้ทุกท่านโชคดี เข้าให้ถึงกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ

อรรถ,พยัญชนะ ใดใดในธรรมต้องเข้าใจในแบบองค์รวม ท่าน aaaa กำลังชี้นำในแบบ "อาจารย์ฉัน" อย่างนี้จะทำให้เพื่อนๆชาวธรรมในบอร์ด Majchima ไขว้เขวได้ และหมิ่นเหม่ง่ายต่อการปรามาสธรรม,ครูอาจารย์ นะครับ .....เฮ้อ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 03, 2013, 11:46:31 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

หมิว

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 398
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ห้องนี้เป็นห้องสนทนา รวม ก็นับว่า ต้องมีแนวทาง หลากหลายตามความชอบของ สมาชิก คะ

  :58: thk56
บันทึกการเข้า
ใจดี น่ารัก และ ไม่ชอบคนที่กวน...ใจ
แสงพระธรรม นำทาง นำสู่ใจ ได้รับแสงสว่าง
แสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี

nirvanar55

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 305
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0


"เมื่อจิตเราของเราระลึกถึงพุทโธได้
ก็เท่ากับระลึกถึงพระพุทธเจ้าได้ทุกๆพระองค์ที่ตรัสรู้มาแล้วมากมาย
ระลึกธัมโม ก็เท่ากับระลึกธรรมพระนิพพาน
ประจำพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ไหลเข้าสู่ธรรมธาตุแล้วด้วยกัน
สังโฆก็เหมือนกัน รวมเป็นพระนิพพานอันเดียว
เป็นธรรมธาตุอันเดียวกัน"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
(พระธรรมวิสุทธิมงคล)


   อยากให้เปิดใจ และเรียนกรรมฐาน เพิ่มกันด้วยครับ อย่าติดแต่เพียง รูปแบบสำนัก ใช่หรือไม่ครับ ?

บันทึกการเข้า

nirvanar55

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 305
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0


อรรถ,พยัญชนะ ใดใดในธรรมต้องเข้าใจในแบบองค์รวม ท่าน aaaa กำลังชี้นำในแบบ "อาจารย์ฉัน" อย่างนี้จะทำให้เพื่อนๆชาวธรรมในบอร์ด Majchima ไขว้เขวได้ และหมิ่นเหม่ง่ายต่อการปรามาสธรรม,ครูอาจารย์ นะครับ .....เฮ้อ!


  เห็นด้วยครับ ถ้าเทียบ ครูบาเจ้าเพชร กับ พระสนธยา แล้ว ต่างกันลิบเลยนะครับ เพราะครูบาเจ้าเพชรเป็นพระสุปฏิปันโน ยิ่งกว่า และ ท่านสร้างสำนักได้ยิ่งใหญ่ มีลูกศิษย์นับถือมากมาย แม้แต่ บริษัทใหญ่ อย่างซีเมนต์ไทยก็ยังเข้ามาศนับสนุน ให้ท่านได้พูดสอน ธรรมะ มีอบรมให้กับผู้ภาวนา ส่วนแนวทางนั้นก็น่าจะเป็นในสายพ่อแม่ครูอาจารย์
  ส่วนพระสนธยา ทุกวันนี้ได้ทำอะไร ไม่เห็นมีอะไรชัดเจนสักอย่าง ดังนั้นถ้าจะกล่าวก็ต้องกล่าวว่า ไม่มีผลงานเป็นรูปธรรม สักอย่าง คือเป็นที่พึ่งไม่ได้เหมือนครูบาเพชร นะครับ


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 04, 2013, 10:20:50 am โดย nirvanar55 »
บันทึกการเข้า

ลูกคิด

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 117
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0





จาก ด เด็ก ที่กำลังจะโต
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 04, 2013, 10:27:53 am โดย ลูกคิด »
บันทึกการเข้า

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
อันที่จริง จากการที่อาตมาได้ปฏิบัติ ก็พบเจอความลับของกรรมฐานอยู่ในระดับหนึ่ง  คือ  ไม่ว่าท่านจะปฏิบัติกรรมฐานอะไร  ก็จะมีกรรมฐานอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย แต่อยู่ที่ว่า ทำกรรมฐานอะไร กรรมฐานนั้น ๆ ก็จะเด่นกว่า เป็นข้อหนึ่งให้เห็นได้ว่า .....  จึงทะเลาะกัน เหมือนจะกรรมฐานจะตีกัน  อันที่จริงกรรมฐานไม่ได้ตีกันหรอก  แต่เป็นโยมนะแหละที่ตีกัน  ตีกันใหญ่เลย กรรมฐานไม่ได้ไปทำอะไรใครเลย  ลองคิดดูนะ   และถ้าท่านทั้งหลาย  เข้าถึงกันจริง ก็ลอง พิจารณาดูโดยแยบคาย  แล้วท่านจะเห็น จะรู้ว่า กรรมฐานมีแต่จะส่งเสริมกัน  เว้นแต่ผู้ที่มาใหม่ปฏิบัติพื้นฐานยังไม่ได้ยังไม่เขาใจจริง   แล้วแบบไหนละที่เรียกว่าได้  ก็แล้วท่านปฏิบัติแล้ว มันมีอะไรเปลี่ยนแปลง ไปในทางที่ดีขึ้น หรือเปล่าละ  กิเลสในตัวมันน้อยลงบ้างหรือเปล่าละ  อย่างนั้นแหละ  เป็นส่วนหนึ่ง  ที่เขาเรียกกันว่าปฏิบัติได้

      มาถึงตรงนี้แล้วคงไม่ต้องบอกว่า  ใครเก่งกว่าใคร ใครดีกว่าใคร  เรื่องเหล่านี้มันละเอียดนัก  ใช่ว่าจะมาตอบกันอย่างง่าย ๆ ในอดีต ท่านเคยทำกรรมร่วมกันกับท่านอื่น ๆ ไว้  บ้างคนมีเมื่อเจอหน้าก็ชอบ  บางคนไม่รู่รู้จักมาก่อน แต่พอเจอหน้าแล้ว  มันไม่ชอบขี้หน้ายังไงไม่รู้  ท่านอธิบายเรื่องเหล่านี้ได้ไหมละ ?  ครูบาอาจารย์ก็เช่นกัน   บางท่าน เมื่อเราได้ยินได้เห็นท่านสอน   เราเองก็เข้าถึงก็มี  แต่เพื่อนไม่รู้เรื่อง  บางอาจารย์  ท่านบอกสอน เราไม่เข้าใจเลย แต่เพื่อนเราสิ  ชอบใหญ่เลย เรื่องเหล่านี้ละเอียดนัก บางทีอาจจะเกินกำลังของพวกท่านทั้งหลายที่จะรู้จริง


  ส่วนพระสนธยา ทุกวันนี้ได้ทำอะไร ไม่เห็นมีอะไรชัดเจนสักอย่าง ดังนั้นถ้าจะกล่าวก็ต้องกล่าวว่า ไม่มีผลงานเป็นรูปธรรม สักอย่าง คือเป็นที่พึ่งไม่ได้เหมือนครูบาเพชร นะครับ [/b][/size]

 

       ควรที่จะละไว้  เพื่อการไม่ปรามาท เหล่าครูบาจาอารย์(ใครรู้โทษขอการปรามาทบ้างจ๊ะ ?) เพื่อการเจริญในธรรมของแต่ละท่าน  นักปฏิบัติ

      อาตมาเห็นมาหลาย ๆ ครั้ง  หลาย ๆ ท่าน  ยังไม่เข้าใจ  อันนี้น่ากลัว  อาตมาให้ข้อคิดอย่างหนึ่่ง ให้ลองคิดทบทวนกันดูว่า  ทำไมต้องมีการขอขมาก่อนปฏิบัติกรรมฐาน ?    [/size]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 04, 2013, 07:48:56 pm โดย ธรรมะ ปุจฉา »
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมว่า อาจจะลืมไป นะครับ ว่าเว็บนี้ ก่อตั้งและ ดำรงค์อยู่เพราะใคร ?
  ทีบอกว่าไม่มีผลงาน .... .นั้น จะไม่จริงแล้วนะ ครับ ยิ่งเป็นระดับพระอาจารย์ลงมาตอบปัญหา ถามตอบ ให้ทั้งใน Facebook และ เว็บ จริง ๆ เลย ซึ่งหายากสำหรับพระอาจารย์ฝ่ายกรรมฐาน

ผลงานที่ท่านสร้าง ไว้ แต่เราไม่เห็น ก็มีตั้งหลายประการ
  หนังสือ ผลงาน แผ่นวีดีโอ ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผลงาน ทั้งนั้น

ส่วนการสร้างวัด นั้น ผมไม่ได้เห็นว่าเป็นผลงานอะไร มากมายสำหรับ พระธรรมเลยครับ ผมเคยไปเดินในวัดใหญ่ ๆ ตั้งหลายแห่ง แต่ไปแต่ละที่ก็เพียงแค่ชื่นชมในบุญกุศล แต่คำตอบ ที่จะทำให้ผมคลายจากทุกข์ และ ไม่อยากจะเกิดนี้สิครับ ผมหาไม่ค่อยได้ ในวัดใหญ๋ ๆ ทั้งหลายที่ไปมา

   ดังนั้นถ้าคุณไปวัด ที่ เรื่อง สถานที ผมอยากจะบอกว่า มีวัดร้าง สำนักสงฆ์ ร้าง เยอะ นะครับ

  มุมมองของผม คือ พระอาจารย์สนธยา พยายามสร้างคน ไม่ใช่สร้างวัด นะครับ และพยายามชักชวนคนให้ภาวนา เพื่อเป้าหมายเดียว คือ พระนิพพาน นะครับ ดังนั้นเรื่อง กรรมฐาน พระธรรมที่ถ่ายทอด จึงออกจะสูง ๆ อยู่ ที่บางท่านจะฟังพระอาจารย์เข้าใจ ได้ง่าย ๆ เช่นกัน โดยเฉพาะ ถ้าเป็นในแนวทางกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับแล้ว คือ ต้องภาวนาเท่านั้น ถึงจะคุยกันต่อได้ นะครับ

    ในส่วนตัวผมคิดว่า วัดนะสร้างเมื่อไหร่ ก็ได้ นะครับ มีศาลา มีรูปหล่อ แต่ไม่มีพระอาจารย์ ที่ไหน ๆ ก็เท่านั้นแหละครับ ปัญหาจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องสถานที่ หรอกครับ ปัจจุบันที่การเผยแผ่ของพระอาจารย์ท่านมุ่งออกมาที่การโปรโมท เว็บ และคำว่า กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ผมว่าประสบความสำเร็จไปแล้วกึ่งหนึ่ง นะครับ เพราะว่าเดี๋ยวนี้เวลา serch ต้องปรากฏเว็บ มัชฌิมา ( madchima.org  )  ขอโทษนะครับ รากศัพท์  majchima เขียนไม่ถูกนะครับ ผมลองให้เพื่อนฝรั่งที่ทำงานด้วยกัน อ่านแล้ว อ่านเพี้ยนเลยนะครับ เขาจะออกเสียงว่า มาจจิมา แต่พอให้อ่าน madchima ออกเสียงถูกต้อง เขาจะอ่านว่า มาดชิมา เพราะตัว J ไม่บังคับเสียง จ นะครับ นะครับ ฝากไว้ด้วยครับเรื่องนี้

     

ขอบคุณภาพจาก คุณ รสพิชา ครับ
 
   


    :49: :s_good:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 04, 2013, 08:12:47 pm โดย นักเดินทาง »
บันทึกการเข้า

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
การเผยแผ่ธรรมเป็นปัจจุบัน
ไม่มี คน สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เข้ามาเกี่ยว

      อย่าไปเอ่ยถึงใคร ให้มันยุ่งยาก
เรา aaaa ทํากระทู้อยู่คนเดียว   เราจะสนทนากัน ก็ควรมีแต่ธรรม เท่านั้น

     การเสวนาธรรม คือ การเสวนาธรรม

          ของใครจะถูกหรือผิด ก็ไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวก็มีครูผู้มาบอกต่อ

          ไม่มีเรื่องอื่น ไม่เป็นอย่างอื่น

         เราเสวนาธรรมก็ได้เดินธาตุกัน และได้เข้าปีติกันไปตามธรรมที่มีอยู่เป็นอยู่

            ก็ว่ากันไปตามแนวทางของแต่ละที่

             ไม่มีดีไม่มีไม่ดี เพราะเป็นพระธรรมคําสอน

            ธรรมนั้นอาจจะถูกใจใครหรือไม่ถูกใจใคร ก็เป็นได้ ตามความเห็นเพราะเห็นตามธรรม

            เราพูดไปแล้วเผยแผ่ไปแล้วเราก็ไม่ได้เก็บเอามา

        เพราะเราไม่ได้ทําเพื่อเอาใจใคร เรามามุ่งเพื่อพระธรรม

         ศึกษาธรรม สนทนาธรรม และเผยแผ่ธรรม

             ไม่มี คน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา

                 ..........ไม่มี........

  ก็ว่ากันไปตามความเห็นตามปัจจุบัน

         

 
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สำหรับ ท่าน AAAA มีแนวทางที่ัชัดเจน คือ ปฏิับัติในแนวทางกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับแน่นอนจากการอ่าน ติดตามเรื่องของท่าน มา จึงรู้ว่า ที่ท่านเขียนและเล่าการปฏิบัติก็เป็นในแนวทางกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ สิ่งที่ผมมองเห็น อีกอย่างก็คือ มีความจริงใจ และ ตรงไปตรงมา กับกรรมฐาน อนุโมทนา ครับ ขอให้ก้าวหน้าในกรรมฐาน อย่างที่สุดครับ

   st11 st12
บันทึกการเข้า

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สำหรับท่าน nirvanar55 เท่าที่ผมติดตามกระทู้ท่านมานั้น ท่านดูเหมือนจะเป็นลูกศิษย์หลาย ๆ แนวทาง แต่น่าจะอยู่กับสายวัดป่า ในตอนนี้ เวลาที่ท่านตั้งคำถาม โปรดระวังการนำการปรามาส ถึงแม้ท่านจะมีเจตนาทดสอบ ครูอาจารย์ และลูกศิษย์ฝ่ายครูอาจารย์ ว่าจะตอบท่านอย่างไร ?

  แต่เนื้อหา โดยรวม ท่านก็จะไม่ได้เพราะ ท่านยังไม่ได้ขึ้นกรรมฐาน กับครูอาจารย์ที่ท่านกล่าว ผมรู้จักครูอาจารย์ด้วยการเขียนตอบจดหมายกับท่านมาหลายปี และยังไม่เคยพบท่านเช่นกัน ก็พอทราบว่า ท่านจะสอนตรงไปตรงมาและให้ อิสสระกับศิษย์ ที่ไปหาครูอาจารย์ต่างๆ ได้ แต่ก็จะศิษย์ส่วนน้อยที่จะได้เลื่อนระดับ เพราะมีความอุตสาหะ ภาวนาตามคำสั่ง จนถึงจุดที่จะได้เปลี่ยนกรรมฐาน

  ดังนั้นถ้าท่าน ต้องการหาคำตอบ นำครูอาจารย์ มาเทียบนั่น เทียบนี่แล้ว ก็จะเป็นเหตุให้ท่านห่างครูอาจารย์ มากขึ้นนะครับ

  มุมมองผม วัดที่การภาวนา และเนื้อหาของหลักธรรม มิได้วัดที่กองเงิน หรือ สถานที่ ถ้าจะหาครูอาจารย์ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้วคุณเดินไปวัดใหญ่ วัดโต นั้นแทบจะหาไม่เจอเลยครับ แต่ถ้าเดินไปตามกุฏิเล็ก ๆ นั่งสนทนากับหลวงตาที่ไม่รู้ชื่อ คุณอาจจะได้รู้ธรรม ดี ๆ ก็ได้นะครับ


    :67: :13: :67: :13:
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เห็นด้วยครับ ถ้าเทียบ ครูบาเจ้าเพชร กับ พระสนธยา แล้ว ต่างกันลิบเลยนะครับ เพราะครูบาเจ้าเพชร เป็นพระสุปฏิปันโน ยิ่งกว่า และ ท่านสร้างสำนักได้ยิ่งใหญ่ มีลูกศิษย์นับถือมากมาย แต่ พระสนธยา ทุกวันนี้ต้องกล่าวว่า ไม่มีผลงานเป็นรูปธรรม สักอย่าง คือเป็นที่พึ่งไม่ได้เหมือนครูบาเพชร นะครับ

ผมว่า พระอาจารย์สนธยา พยายามสร้างคน ไม่ใช่สร้างวัด นะครับ และแนวทางกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ แล้ว คือ ต้องภาวนาเท่านั้น ถึงจะคุยกันได้ นะครับ

ผมมีโอกาสเข้าใกล้สนทนากับด้วยครูอาจารย์ทั้งสองรูป สิ่งหนึ่งที่ครูอาจารย์ท่านย้ำเน้นมากๆ คือ ปัคคหะ "พุท-โธ" และครูอาจารย์ท่านทั้งสองมีชะตาคล้ายๆกัน เนื่องด้วยกายธาตุขันธ์ไม่หยั่งนานในวันนี้ครูอาจารย์ท่านทั้งสองต้องลุกขึ้นมาทำอะไรได้ก็จะทำเพียงเพื่อเราท่านทั้งหลายได้กระแสแห่งมรรค แม้เพียงหนึ่งคนก็จะทำก่อนท่านจะจากลาไม่พบกันอีกชั่วอนันตกาล นิพพาน จึงเป็นสิ่งที่ครูอาจารย์ท่านทั้งสองกล่าวย้ำอ้างถึง ณ ปัจจุบันมีสักกี่รูปกันที่กล่าวย้ำเพียรพร่ำให้เราท่านภาวนา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 04, 2013, 08:49:38 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
"ขอโทษนะครับ รากศัพท์  majchima เขียนไม่ถูกนะครับ ผมลองให้เพื่อนฝรั่งที่ทำงานด้วยกัน อ่านแล้ว อ่านเพี้ยนเลยนะครับ เขาจะออกเสียงว่า มาจจิมา แต่พอให้อ่าน madchima ออกเสียงถูกต้อง เขาจะอ่านว่า มาดชิมา เพราะตัว J ไม่บังคับเสียง จ นะครับ นะครับ ฝากไว้ด้วยครับเรื่องนี้"

คุยเรื่องของภาษาหน่อยนะจ๊ะ พอดีว่าศึกษาเรื่องนี้อยู่ อันที่จริงคนไทยเราออกเสียงกันไม่ถูกอยู่หลาย ๆ คำ เช่น ญ ฌ  เลยอาจจะทำให้เวลาเขียนด้วยภาษาอื่น ๆ แล้ว จึงทำให้อ่านไม่เหมือนกัน  คำนี้ มาจากบาลี และ คำนี้ "กะเรยยะ"ก็เช่นกัน (นำมาเป็นตัวอย่าง) เวลาเราอ่าน เราจะอ่านกันว่า  กะ-ไร-ยะ  หรือ กะ-เรย-ยะ  ซึ้งไม่ใช่ทั้งสอง แต่ด้วยการออกเสียง แบบเหล่านี้ไม่มีในภาษาไทย ที่ถูกต้อง ต้องอ่านว่า กะ - เร ยฺ - ยะ (กะ-เร-ยฺยะ) คือตัว ยฺ ออกเพียงนิดเดียว  แบบไหน ให้ไปนึกถึงขนมมันฝรั่งทอดกรอบ เลย์  นึกออกแล้วละสิ  นั้นแหละ ออกเสียงแบบนั้น  ขนมเรย์ เราไม่ออกเสียงว่า ไลย หรือ เลย  แต่เป็นเพียง เล แต่ถ้าให้ฝรั่งเขามาออกเสียงก็จะมี ยฺ แถมท้ายมานิดนึง 

    ที่นี้มาที่ตัว J จะมีการออกเสียงที่จมูกด้วย ซึ่งตัว ฌ ก็มีเช่นกัน แต่เรา ๆ ออกเสียงกันไม่ค่อยได้
เท่านี้นะจ๊ะ ประดับความรู้นิด ๆ หน่อย   ว่าแล้วก็ไม่หน่อย  (คงสวดมนต์กัน ถูกต้องมากขึ้นนะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 05, 2013, 10:55:08 am โดย ธรรมะ ปุจฉา »
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

แพนด้า

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 248
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สนทนาธรรม เพื่อ ความเข้าใจของพี่น้อง อย่าให้เป็นเหตุ ให้ต้องหายไปกันอีกนะครับ เพราะผมติดตามผลงานของทุกท่าน มาหลายปีแล้ว ช่วยแจกธรรม ช่วยกันต่อนะครับ คนแจกธรรม ในเว็บมีน้อยนะครับ

  อยากจะบอกก็เท่านี้ ละครับ


  :welcome:
บันทึกการเข้า

นินนินนิน

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 65
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ชอบอ่านเรื่อง นี้ ครับ เพราะยังน้อย ก็รู้สึกอุ่นใจ พี่น้องชาวกรรมฐาน ยังมีอยู่ นะครับ ไม่เหงา

  st11 st12 กับ จขกท. ด้วยคะ และ สาธุ กับผู้ที่แบ่งปันความรู้ในแบบต่าง ๆ   :58:
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
"ขอโทษนะครับ รากศัพท์  majchima เขียนไม่ถูกนะครับ ผมลองให้เพื่อนฝรั่งที่ทำงานด้วยกัน อ่านแล้ว อ่านเพี้ยนเลยนะครับ เขาจะออกเสียงว่า มาจจิมา แต่พอให้อ่าน madchima ออกเสียงถูกต้อง เขาจะอ่านว่า มาดชิมา เพราะตัว J ไม่บังคับเสียง จ นะครับ นะครับ ฝากไว้ด้วยครับเรื่องนี้"

เรื่องนี้กระผมทราบครับ! แต่ที่เขียนเพี้ยนไปจากเว็บก็ด้วยเจตนาที่จะแสดงอัตลักษณ์ซ่อนงำบางอย่างเท่านั้น!
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สําหรับผู้ที่มาใหม่ เราก็ต้องเอาเค้าไปด้วย
 
 ช่วยได้ ก็ช่วยไป และไปกับเรา

   สาวกภูมิไม่มีแบ่งแยก

   จะเป็นพระสงฆ์องค์ใด  ท่านก็คือศิษย์พระตถาคตทั้งสิ้น

     เราจะแบ่งแยกไม่ได้ ว่าชอบองค์นี้ ไม่ชอบองค์นั้น

     เพราะท่านก็คือพระอริยะเหมือนกัน

     ก็อาจจะแตกต่างกันที่วิธี อุบายการสอน และแนวทางการ ปฏิบัติ

      นั่นก็เป็นเรื่อง ของเคล็ดวิชาใคร วิชามัน

          เพราะท่นก็ต้องสืบพระกรรมฐานตามที่ได้มา

         ถ้าเคารพในพระรัตนตรัย ก็ต้องไม่แบ่งแยกสงฆ์


        เพราะพระสงฆ์ คือ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

         ความชุ่มเย็นในใจ จะได้มีพระรัตนตรัย เต็มเปี่ยม


       เพราะพระรัตนตรัย นั้น ก็คือ เบสิค ของอนุสสติทั้งเจ็ด ไปเกือบครึ่งแล้ว

        และเป็นกําลังแห่งมรรค ของพระโสดาปัตติมรรค ทั้งหลาย

       เพราะมรรค แปลว่าทาง

       ถ้าหากใครมีแนวทางอยู่แล้ว ก็ต้องพาขนกันไป

      เพราะสังสารวัฏนี้ ล้วนมีภัยมาก

       เพราะความเกิด ทําให้มีทุกซําซาก

       เกิดแล้วก็ไม่พ้นกรรมติดภพติดชาติ

        ก็เรามีครูบาอาจารย์ ผู้เป็นกัลยาณมิตร อยู่แล้ว

       เห็นทางออกกันรึยัง

      หากสนใจกรรมฐานนี้

        กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ

       สืบทอดองค์แรกมาจากพระราหุล พุทธชิโนรส

      อยากเรียนศึกษา กรรมฐาน ของพระพุทธเจ้า

     ก็ให้ไปขึ้นกรรมฐาน ที่คณะห้า วัดราชสิทธาราม

          วันที่ 16มีนาคม มีงานหล่อพระที่ นครปฐม ที่โรงหล่อพระ

            .......ไปร่วมบุญ หล่อองค์พระราหุล และสมเด็จ พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสุกไก่เถื่อน พระปรมาจารย์ต้นกรุงรัตนโกสินทร์

           ไปกันให้ได้ ไปสั่งสมบารมีใหญ่ด้วยกัน

             ส่วนใครอยากศึกษากรรมฐาน ก็ให้ไปขึ้นกรรมฐาน

              ครูบาอาจารย์ ท่านใจดี กุฏิเปิด ทุกวัน

          .................ขอให้ทุกท่านโชคดี.................................
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

nirvanar55

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 305
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สำหรับท่าน nirvanar55 เท่าที่ผมติดตามกระทู้ท่านมานั้น ท่านดูเหมือนจะเป็นลูกศิษย์หลาย ๆ แนวทาง แต่น่าจะอยู่กับสายวัดป่า ในตอนนี้ เวลาที่ท่านตั้งคำถาม โปรดระวังการนำการปรามาส ถึงแม้ท่านจะมีเจตนาทดสอบ ครูอาจารย์ และลูกศิษย์ฝ่ายครูอาจารย์ ว่าจะตอบท่านอย่างไร ?

  แต่เนื้อหา โดยรวม ท่านก็จะไม่ได้เพราะ ท่านยังไม่ได้ขึ้นกรรมฐาน กับครูอาจารย์ที่ท่านกล่าว ผมรู้จักครูอาจารย์ด้วยการเขียนตอบจดหมายกับท่านมาหลายปี และยังไม่เคยพบท่านเช่นกัน ก็พอทราบว่า ท่านจะสอนตรงไปตรงมาและให้ อิสสระกับศิษย์ ที่ไปหาครูอาจารย์ต่างๆ ได้ แต่ก็จะศิษย์ส่วนน้อยที่จะได้เลื่อนระดับ เพราะมีความอุตสาหะ ภาวนาตามคำสั่ง จนถึงจุดที่จะได้เปลี่ยนกรรมฐาน

  ดังนั้นถ้าท่าน ต้องการหาคำตอบ นำครูอาจารย์ มาเทียบนั่น เทียบนี่แล้ว ก็จะเป็นเหตุให้ท่านห่างครูอาจารย์ มากขึ้นนะครับ

  มุมมองผม วัดที่การภาวนา และเนื้อหาของหลักธรรม มิได้วัดที่กองเงิน หรือ สถานที่ ถ้าจะหาครูอาจารย์ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้วคุณเดินไปวัดใหญ่ วัดโต นั้นแทบจะหาไม่เจอเลยครับ แต่ถ้าเดินไปตามกุฏิเล็ก ๆ นั่งสนทนากับหลวงตาที่ไม่รู้ชื่อ คุณอาจจะได้รู้ธรรม ดี ๆ ก็ได้นะครับ


    :67: :13: :67: :13:

เมื่อวานไม่ได้ อ่าน ว่าเป็นข้อความส่งตรง ถึง ผมขอบคุณ ท่านนักเดินทาง ที่มาแนะนำ นะครับ และการคาดเดาของท่าน ยังไม่ถูกครับ ผมเองไม่ได้เป็นศิษย์สายวัดป่า หลวงปู่มั่นครับ และที่ปฏิบัติก็พยายามยึดตรงต่อพระสูตรเป็นหลัก แต่ก็มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ โดยเฉพาะในแนวทาง เคลื่อนไหวครับ สำหรับเรื่องการปรามาสนั้น ผมเองระวังอยู่ครับ แต่ที่ต้องถามอย่างนี้ก็เพราะต้องการทราบจุดเด่นของครูอาจารย์ เลยครับ ว่าท่านมีจุดเด่นอะไร มีธรรมสาระเพื่อผู้ภาวนาในระดับไหน  เพราะจะให้ตามไปหา หรือ อ่านทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องยากครับ แม้บางคำอาจจะเรียกว่า การปรามาสจากพวกท่าน แต่ความเป็นจริง ก็อยากดูว่า ลูกศิษย์พระสนธยา นั้นมีกี่คนและแต่ละคนจะตอบให้ครูอาจารย์ได้อย่างไร แน่นอน พระสนธยา คงไม่มาตอบในงานนี้นะครับ เพราะถ้ามาตอบก็จะผิดวิสัย เหมือนมาแก้ตัว และ แก้ต่างประมาณนั้น
   
     สำหรับเรื่องการขึ้นกรรมฐาน ผมได้ติดตามเพื่อนผมไปที่ คณะ 5 แล้ว แต่ผมเองก็ไม่ได้ขึ้นกรรมฐาน ตามเพื่อน ๆ นะครับเพียงแต่นั่งกรรมฐาน เป็นเพื่อน ๆ กัน ที่สำคัญเรียนกรรมฐาน ครั้งแรกไม่เห็นมีความแตกต่างอะไร จากที่เคยปฏิบัติเลย มีการกำหนดพุทโธ เช่นกัน และพระที่สอนก็เป็นพระหนุ่มองค์หนึ่ง ที่ผมยังไม่คุ้น ซึ่งไม่ได้เห็นหลวงพ่อที่เป็นพระอาจารย์มาสอนด้วยซ้ำไป หลัก ๆ ก็คือปล่อยให้นั่งเองอย่างนั้น ภาวนาพุทโธ ไม่ต้องผูกกับลมหายใจเข้าออก ประมาณนี้ แล้วก็กลับก็เลยไม่ทราบว่า กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ นั้นมีความเด่นอย่างไร แตกต่างจากกรรมฐาน ทั่วไปอย่างไร  ดังนัั้นในความคิดผมคือ ถ้าผมเองยังไม่ชอบก็ไม่ขึ้นกรรมฐาน อย่างนี้ก็น่าจะถูกใช่หรือไม่ครับ

    ส่วนเรื่องผลงานการเผยแพร่พระธรรม สำหรับพระสนธยา นั้นผมยังไม่ได้ยินเรื่องการเผยแพร่ ที่เป็นหลักการอะไรเลย นอกเสียจากการแนะนำวิธีฝึกกรรมฐาน ในขั้นต้น ๆ ทั้งหมด ซึ่งผมเองก็ไม่เห็นจะแตกต่างจากสำนักอื่น ตรงไหน โดยเฉพาะเรื่องการใช้ สติ มีการกล่าวจากท่านว่า การฝึกสติปัฏฐาน ต้องฝึกไปตามลำดับ แต่ครูอาจารย์ที่ผมเรียนมานั้น ท่านสอนว่า สติปัฏฐาน สามารถฝึกส่วนไหนก่อนก็ได้ ตามจริตวาสนา คือจะเริ่มธรรม เริ่มจิต เริ่มเวทนา ก่อน กาย ก็ได้ อันนี้ผมยังไม่เห็นด้วยครับ จึงแย้งเหมือนท่านจะไม่รู้เรื่องการภาวนา ทางด้านสติปัฏฐานจริง ๆ นะครับ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น การเรียนกรรมฐาน จากผู้ที่ไม่รู้จริง จะเป็นอันตราย นะครับ

   การวัดผลงาน ที่ วัตถุ นั้น ก็เป็นการวัดระดับบารมีครูอาจารย์ได้ส่วนหนึ่ง นะครับ อย่าคิดว่าไม่เกี่ยว ถ้าครูอาจารย์ ประพฤติปฏิบัติดี ก็จะมีคนช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก ยกเว้นครูอาจารย์นั้นปฏิบัติไม่เข้าท่่า ก็จะมีคนเข้ามาช่วยเหลือน้อยนะครับ เท่าที่ผมอ่านประกาศในเว็บ แค่ เรื่องค่าใช้จ่าย หลักพัน พระสนธยาก็วุ่นแล้วนะครับ เพราะจริง ๆ แล้วระดับพระที่สอนกรรมฐานในระดับนี้ น่าจะุววุ่นกับเรื่องบริจาคช่วยเหลือระดับแสนมากกว่าครับ

   อันนี้เห็น ต่ออายุเว็บ วิทยุ แค่หลักพัน ต้น ๆ ก็เห็นว่าลำบากแล้ว แสดงว่า บารมีธรรมด้านนี้ ยังน้อยนะครับ

   คุยกันพอให้เข้าใจ ในแนวทางครับ ผมคิดว่าในศิษย์ที่พระสนธยา สอนนั้น ยังไม่มีใครปฏิบัติได้ครับ จึงไม่มีใครมาตอบคำถามข้อข้องใจให้ผมทราบ เลย

    thk56
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
คุณ nirvanar55 ดูเหมือนพยายจะเรียกเรทติ้ง
คุณได้ข้อมูลมาจากแหล่งที่มีอคติ ดูเหมือนคุณไม่เคยคุยกับพระอาจารย์เลย
คุณเองพยายามคาดเดาไปในทางลบ สรุปเอาเองตามจริตที่คุณมี
วันที่ ๑๖ มีนาคมที่จะถึง จะมีการหล่อพระราหุลที่นครปฐม
หากอยากเจอพระอาจารย์ ก็เชิญได้เลย ผมก็จะไปด้วย
หากคุณคิดว่า ตัวเองคิดถูกต้อง ฟังความแต่ฝ่ายเดียวก็โอเคแล้ว ก็ไม่ต้องไป

เท่าที่ผ่านมา เราพยายามอดกลั้น โต้ตอบเท่าที่จำเป็น
ทำไมเราต้องมาตอบคำปรามาสของคุณด้วย มันเสียเวลา
เรามีธรรมมากน้อยอย่างไร เราย่อมรู้ตัวเองดี ไม่จำเป็นต้องประกาศให้สาธารชนรู้
ดังเจ้าคุณนรรัตน์ฯกล่าวไว้ "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ไม่ใช่ของจริง"

หากคุณไม่พอใจไม่ชอบใจเว็บนี้ ไม่ชอบกรรมฐานมัชฌิมา ไม่ชอบพระอาจารย์
คุณก็ไม่ต้องมาดูเว็บนี้ ไปเข้าเว็บครูบาอาจารย์ของคุณหรือเว็บที่คุณชอบ
ทำไมต้องมากล่าวร้ายกันด้วย คุณเป็นผู้พิพากษาหรือไง

นักปฏิบัติธรรมควรจะดูจิตดูกายของตนเองมากกว่า ไม่ควรส่งจิตมาวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
ทีมงานมัชฌิมาสามารถที่จะลบกระทู้ของคุณ หรือลบยูสเซอร์ของคุณได้ตลอดเวลา
แต่ทำไมล่ะ เราไม่ทำเช่นนั้น เราเห็นแก่จิตฝ่ายกุศลของคุณ ที่ยังใฝ่ข้อธรรมอยู่บ้าง

ผมคิดว่าคุณnirvanar55 คงไม่หยุดเท่านี้หร็อก คุณต้องใช้สำนวนโวหารต่างๆนานา มาตอบโต้อีกเป็นแน่
ไม่เข้าใจ..เว็บธรรมะมีเป็นพันเป็นหมื่น ทำไมคุณต้องมาเลือกเว็บนี้ด้วย
หากคุณต้องการคุยเรื่องกรรมฐานมัชฌิมา แนะนำให้ไปหา ท่านพระครูสิทธิสังวร ที่คณะ๕ วัดพลับ
เว็บของท่าน คือ http://www.somdechsuk.org/
หรือ หากยังไม่ซะใจ โทรมาคุยกับผมได้ 089-823-6122 (ปุ้ม)
ยินดีไม่มีปัญหา

 :49:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 06, 2013, 08:05:26 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

nirvanar55

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 305
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st11 st12 thk56
  อย่างน้อยก็ได้รู้ว่า ศิษย์กรรมฐาน ฝ่ายนี้ก็มี คนจริงอยู่

  ขออภัย และ ขอโทษ หากใช้คำรุนแรงไปบ้าง แต่ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่รวดเร็ว กับผม ครับ


  st12
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 06, 2013, 10:02:18 am โดย nirvanar55 »
บันทึกการเข้า

sinjai

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 144
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
รู้จัก กาล ก็จะรู้จัก พูด นะจ๊ะ
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: มีนาคม 06, 2013, 11:00:47 am »
0


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 06, 2013, 11:02:40 am โดย sinjai »
บันทึกการเข้า

VongoleX

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 402
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คุณ nathaponson  gd1   st12 แน่ที่สุด แสดงว่า มั่นคงในครูอาจารย์
คุณ nirvanar55 ก็ เจ๋ง ที่ถามอย่างอาจหาญ แม้คำถามเป็นการปรามาส โดยเจตนา และไม่เจตนา
คุณ นักเดินทาง ก็ยอดที่ตอบได้ พร้อมคำแนะนำ อย่างบัณฑิต
คุณ THAWATCHAI173 ก็ดี ตอบเป็นกลาง ๆ  เพื่อไม่ช้ำ น้ำไม่ใหขุ่น
คุณ AAAA ก็ตอบได้อย่างดี ในกรรมฐาน มัชฌิมา ตรงไป ตรงมา
คุณ samapol ต้องขอบคุณที่นำสาระธรรม มาให้อ่าน
  ส่วนคนอื่น ๆ นั้นก็เยี่ยม มีทั้ง ห้าม และ เบรค และ ชม และ ติ 5555  :s_laugh:

   สรุป แล้ว อ่านทุกความเห็น ก็ดีทั้งหมด เพราะเจตนา เป็นกุศล กันใช่หรือไม่ครับ

   st12 st12 st12
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 06, 2013, 03:21:04 pm โดย VongoleX »
บันทึกการเข้า
ผู้พิทักษ์รุ่นที่ 10 แห่ง Vongole จับมือกับ แก็งค์ อ๊บ อ๊บ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
- ธรรมชาติของคนที่ตอบมักจะเป็นไปตามกุศลจิตและอกุศลจิตของผู้นั้น การอ่านใดๆจึงควรพิจารณาให้ดูและพิจารณาในสภาพจิตความนึกคิดในคำตอบนั้นๆ
- ความรู้ในการรับคำติเตียนแล้วนำมาเพียรพิจารณาตนนี่ประเสริฐนะ บุคคลผู้มีกิเลสหนาย่อมทำได้ยากในการนี้
- ทุกอย่างจะมีความเป็นธรรม และ ความรู้ในตัวมันทุกกระทู้ที่ทุกๆคนโพสท์ตั้งกระทู้และตอบ อยู่ที่เราจะพิจารณาเห็นประโยชน์นั้นไหม การให้คนอื่นน้อมมาพิจารณาตามเรามันยากกว่าที่เราจะน้อมพิจารณาแล้วมองในตน พระพุทธเจ้าจึงตรัสเสมอว่า ดูกร! ภิกษุทั้งหลาย นั้นคือ ให้ภิกษุนั้นน้อมเข้ามาพิจารณาในธรรมภายในตน ไม่ใช่ไปพิจารณาผู้อื่นสิ่งอื่น

- ครั้งนึงเรื่องผมเตือนในการบริจาคก็ครั้งนึงที่เกิดปัญหาถกเถียง ผมจึงปลีกตัวหนีออกมาเสียเพราะกลัวทำให้พระอาจารย์และวัดเสื่อมเสียเพราะความเข้าใจผิดในเจตนาที่หวังดีของผม แต่พอมาเจอกระทู้นี้อีกทำให้ผมเห็นว่าความเข้าใจผิดพิจารณาโดยความคิดบัญญัตินี่มันอันตรายเป็นทุกข์จริงๆ
- ผมจึงอยากใคร่ขอผู้ปฏิบัติทั้งหลายพิจารณาแล้วตั้งในกุศลจิต นี่เห็นว่าทั้งท่านและผมในเวบนี้เราก็ต่างเจริญในธรรมชั้นสูง ๑๐ หมวด ที่เป็นเครื่องออกจากทุกข์ทั้งหลาย มีเจโตวิมุติ ที่เจริญเป็นประจำทั้ง เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา เจโตวิมุตติ นี่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้เจริญไว้อยู่ หากเมื่อทำให้แจ้ง แม้คำด่าไรๆ คำไม่ดีไรๆ ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ และ การถกเถียงเรื่องคำสอนของครูบาอาจารย์หลายๆท่านจะไม่มีอีก เพราะจะเห็นหมดว่าไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ส่วนชี้แนะใดๆก็ต่างกันไปในจริตของแต่ละท่านที่มอง ดังนั้นทั้งหมดจึงสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะน้อมใช้ในกาลใด
- ทำไมพระพุทนธเจ้าจึงตรัสสอน ทั้งธรรมง่าย ธรรมปานกลาง ธรรมชั้นสูง ชาดก พระสูตร พระปริตร นี่เพราะใช้แบ่งแยกให้เข้าถึงได้ตามแต่ละระดับจิตของคน
- ขอท่านทั้งหลายโปรดพิจารณา เพราะผมเองก็เคารพพระอาจารย์ธัมมวังโส และ เวบนี้มาก ไม่อยากให้เกิดการทะเลาะกันโดยขาดวิจารณาญาณในการพิจารณาตน สาธุครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 07, 2013, 01:46:37 pm โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

nippan55

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 53
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ส้มตำจานเด็ด อร่อย นะ แต่ เผ็ด กินก็เหงื่อแตก ถ่ายก็แสบตูด แต่มันอร่อย ใช่ไหม่ ละ 

เป็นเพียง ข้อความแสดง ความคิดเห็น การสนทนา เป็นเรื่องปกติ จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็เป็น สิทธิ์ แต่ละท่านแต่ชาวธรรม ต้องช่วยกันเตือนในสิ่งที่ถูกต้อง นะครับ

   สำหรับกระทู้นี้ เริ่มต้น ดี คือนำธรรม ของครูอาจารย์ครูบาเพชร มานำเสนอ

   แต่ต่อมาก็เกิดธรรมวิจารณ์ โดยคุณ aaaa ในแนวทางกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ
 
   และต่อมา คุณ nirvanar55 ก็มากล่าวคำปรามาส ครูอาจารย์ คือ ( พระสนธยา ) ซึ่งมีการใช้วาจา เหน็บแนมเสียดตรง แบบเสียมารยาท ซึ่งถึงแม้คนธรรมดาเองก็ยังไม่สนทนาแบบ นี้ แต่เป็นไปตามวิสัย ของผู้ถามเนื่องด้วย ต้องการหยั่งเชิง ศิษย์กรรมฐาน พระสนธยา และ พระสนธยษ โดยตรงว่าจะตอบโต้อย่างไร มีกระทู้ที่นำเหตุนี้ 2 - 3 กระทู้ เหมือนท้าทาย ประมาณนั้น

   มีผู้มากล่าวเตือนคือคุณ นักเดินทาง และหลาย ๆ ท่าน และคนเข้าอ่าน ที่ไม่อยากยุ่ง เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องของเรา เหมือนผมก็เช่นกัน คิดวา เขาไม่ได้ด่าเราสักหน่อย เขาด่าแค่ครูอาจารย์ ก็ปล่อยไป

   และมาถึงท่าน Admax ก็ออกมามองในแง่มุม รวม ๆ ท้ายที่สุดก็ขอให้จบแบบ อุเบกขา ผมอ่านมาแล้ว หลายวันกระทู้นี้

     เรื่องแรก ก็คือ ทุกท่านมองข้ามเรื่อง มารยาทในการโพสต์ โดยเฉพาะเมื่อเราไปบ้านใคร ไปยืนด่าเขาหน้าบ้าน นอกบ้าน พูดจาเป็นขวานผ่าซาก อะไรประมาณนี้ ในบ้านเขา ผมว่า มารยาทคนไทย ( ไม่ต้องพูดถึงเรื่องธรรม ) คุณ Nirvanar55 ก็ผิดเต็มประตูอยู่แล้ว

     เรื่องที่สอง คือ หลักธรรม เป็นสากล ก็จริงอยู่การปฏิบัติกรรมฐาน โดยเฉพาะ พรหมวิหาร 4 ให้เริ่มเป็นลำดับ คือเริ่มตังแต่ เมตตา  ไป กรุณา ไป มุทิตา ถึงจะเป็น อุเบกขา แต่ในที่นี้ ท่านต้องการให้เป็นอุเบกขา เลยนั้นไม่ถูก คำพูด ครูอาจารย์ท่านก็สอนเสมอ   ปล่อยวาง  วางเฉย ละทิ้ง นั้นควรจะทำเมือเราทำไม่ได้แล้ว สิ้นสุดความพยายามทุกอย่ราง จึงค่อยไป สู่ อุเบกขา

      ดังนั้นการพูดคุยกันทางธรรม ย่อมดีกว่า นิ่ง  เพราะ นิ่ง มีสองอย่าง คือ รับ กับ ปฏิเสธิ

      แต่เรื่องนี้ แน่ละ ครูอาจารย์ออกมาตอบเองไม่ได้ แน่นอน เพราะจะถูกมองว่าเป็นการแก้ตัว แก้ต่าง ซึ่งเข้าทางผู้ถามแบบนั้น จึงมีแต่เราซึงเป็นผู้เรียนธรรม ที่นี่ช่วยกันแสดงความคิดเห็น ที่ถูกต้องลงไป

      เพื่อให้เกิดความเข้าใจ .....

       :s_hi:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 07, 2013, 05:47:51 pm โดย nippan55 »
บันทึกการเข้า

sakda

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 98
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
st11 st12

   หัวข้อธรรม มีสาระครับ และ การคุยกัน ก็อาศัย เหตุและผล

   สำหรับ คุณ nirvanar55 ก็ใช้คำถามแรงไปหน่อย ( อันที่จริงแรงมาก )

   
อ้างถึง
  เห็นด้วยครับ ถ้าเทียบ ครูบาเจ้าเพชร กับ พระสนธยา แล้ว ต่างกันลิบเลยนะครับ เพราะครูบาเจ้าเพชรเป็นพระสุปฏิปันโน ยิ่งกว่า และ ท่านสร้างสำนักได้ยิ่งใหญ่ มีลูกศิษย์นับถือมากมาย แม้แต่ บริษัทใหญ่ อย่างซีเมนต์ไทยก็ยังเข้ามาศนับสนุน ให้ท่านได้พูดสอน ธรรมะ มีอบรมให้กับผู้ภาวนา ส่วนแนวทางนั้นก็น่าจะเป็นในสายพ่อแม่ครูอาจารย์
  ส่วนพระสนธยา ทุกวันนี้ได้ทำอะไร ไม่เห็นมีอะไรชัดเจนสักอย่าง ดังนั้นถ้าจะกล่าวก็ต้องกล่าวว่า ไม่มีผลงานเป็นรูปธรรม สักอย่าง คือเป็นที่พึ่งไม่ได้เหมือนครูบาเพชร นะครับ

   1. คือ ในหัวข้อนี้ ไม่น่าจะต้องดึง พระสนธยา เข้ามาเกี่ยวข้อง นะครับ
   2. เมื่อดึง มาแล้ว ก็ใช้คำทับถม ว่า อีกองค์หนึ่งดีกว่า เลิศกว่า อีกองค์หนึ่ง ด้อยทุกอย่าง ต่ำต้อยติดดิน อ่านกันออกหรือไม่ ว่ามีเจตนาอะไร
   3. หัวข้อธรรม ไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่กับไประบุ ว่า ทุกวันนี้ พระสนธยา ทำอะไร ? อันนี้มันเจตนานะครับ ที่จะกล่าวหมิ่น ปรามาส

     จะจริง หรือ ไม่จริง ปกติ คนเราไม่ชอบกัน ก็ยังไม่กล่าวถึงกันในบ้าน เขาอย่างนี้

 
อ้างถึง
ส่วนเรื่องผลงานการเผยแพร่พระธรรม สำหรับพระสนธยา นั้นผมยังไม่ได้ยินเรื่องการเผยแพร่ ที่เป็นหลักการอะไรเลย นอกเสียจากการแนะนำวิธีฝึกกรรมฐาน ในขั้นต้น ๆ ทั้งหมด ซึ่งผมเองก็ไม่เห็นจะแตกต่างจากสำนักอื่น ตรงไหน โดยเฉพาะเรื่องการใช้ สติ มีการกล่าวจากท่านว่า การฝึกสติปัฏฐาน ต้องฝึกไปตามลำดับ แต่ครูอาจารย์ที่ผมเรียนมานั้น ท่านสอนว่า สติปัฏฐาน สามารถฝึกส่วนไหนก่อนก็ได้ ตามจริตวาสนา คือจะเริ่มธรรม เริ่มจิต เริ่มเวทนา ก่อน กาย ก็ได้ อันนี้ผมยังไม่เห็นด้วยครับ จึงแย้งเหมือนท่านจะไม่รู้เรื่องการภาวนา ทางด้านสติปัฏฐานจริง ๆ นะครับ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น การเรียนกรรมฐาน จากผู้ที่ไม่รู้จริง จะเป็นอันตราย นะครับ

   การวัดผลงาน ที่ วัตถุ นั้น ก็เป็นการวัดระดับบารมีครูอาจารย์ได้ส่วนหนึ่ง นะครับ อย่าคิดว่าไม่เกี่ยว ถ้าครูอาจารย์ ประพฤติปฏิบัติดี ก็จะมีคนช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก ยกเว้นครูอาจารย์นั้นปฏิบัติไม่เข้าท่่า ก็จะมีคนเข้ามาช่วยเหลือน้อยนะครับ เท่าที่ผมอ่านประกาศในเว็บ แค่ เรื่องค่าใช้จ่าย หลักพัน พระสนธยาก็วุ่นแล้วนะครับ เพราะจริง ๆ แล้วระดับพระที่สอนกรรมฐานในระดับนี้ น่าจะุววุ่นกับเรื่องบริจาคช่วยเหลือระดับแสนมากกว่าครับ

  อันนี้เห็น ต่ออายุเว็บ วิทยุ แค่หลักพัน ต้น ๆ ก็เห็นว่าลำบากแล้ว แสดงว่า บารมีธรรมด้านนี้ ยังน้อยนะครับ

   คุยกันพอให้เข้าใจ ในแนวทางครับ ผมคิดว่าในศิษย์ที่พระสนธยา สอนนั้น ยังไม่มีใครปฏิบัติได้ครับ จึงไม่มีใครมาตอบคำถามข้อข้องใจให้ผมทราบ เลย

   แม้ในช่วงที่สอง ก็ยัง ดึงครูอาจารย์ ลง มา ว่ากล่าว อีก เน้นเรื่องบารมีธรรม ต่ำมาก และเหมือนจะกล่าวเตือนว่า อย่าไปสนใจกรรมฐาน กับ ครูอาจารย์รูปนี้ เลย

   ดังนั้น หน้าที่ของชาวธรรม ก็คือ ช่วยกันห้ามไม่ให้เพื่อน ลงนรก มิใช่หรือ แต่พวกเรากับทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกัน เหมือนมองเป็นเรื่องผัวเมีย ทะเลาะกัน แทนที่จะช่วยกันห้าม หรือ ชี้แจง กับวางเฉยกัน ( เป็นด้วยเหมือนกัน ) เพราะอย่างไรเสีย พระสนธยา ก็เป็น พระนะครับ จะปฏิบัติได้ หรือ ไม่ได้ ก็ไม่ควรที่เราอุบาสก อุบาสิกา จะมากล่าววาจา เสียดสี เสียดแทง เหน็บแนม นะครับ

   การชี้แจง ถึงแม้จะมีความลำบาก แต่การชี้แจง นั้นใช้ตัวอักษร ไม่ใช่คำพูด ย่อมง่ายกว่า คำพูด แค่พิมพ์ ข้อความ หรือ ใส่ภาพ เพื่อละลายบรรยากาศ บาปอกุศล ลง ก็ใช้ได้แล้ว ใช่หรือไม่ ครับ

    อย่างไรผมก็ยังชอบ อ่านข้อความธรรม จากทุกท่าน นะครับ

   

   สุดท้ายผม เสนอยำรวมมิตร ทะเล นะครับ

       

[/size]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 07, 2013, 06:06:36 pm โดย sakda »
บันทึกการเข้า

ส้ม

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 184
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อยากเรียน กรรมฐาน ด้วยจริง ๆ หรือ ท่าน nirvarnar55
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 06:11:03 pm »
0
 ask1 ask1 ask1

  ขอถาม คุณ Nirvanar55  ว่า อยากเรียน กรรมฐาน จาก พระสนธยา ธัมมะวังโส จริงหรือ คะ ท่านถามแบบนี้ พูดแบบนี้ แล้วคิดว่า จะเข้าถึงครูอาจารย์ จริง ๆ หรือ คะ เพราะทุกวันนี้ ครูอาจารย์ยังไม่ได้แสดงความเห็นตอบท่านเลย นะคะ



 :58: :88: :88: :67:

   
บันทึกการเข้า
เส้นทางแสนเปรี้ยว จะมีสุขจริงบ้างหรือไม่ ?

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
...นักตำราต่าง ๆ ลงอเวจีมหานรกนับไม่ถ้วน อ่านหนังสือมาก ๆ

ก็เลยเป็นคนมีมานะทิฏฐิว่าฉันเรียนมากฉันมีความรู้ดีกว่าเธอ นั่นคือความเลว

ความดีจริง ๆ ต้องมุ่งเข้าไปหาความดีของตน

อันดับแรกขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน กำจัดความเลวเบื้องต้นนั้นคือ...

๑. เราจะไม่สนใจจริยาของบุคคลอื่น ใครเขาจะดีใครเขาจะเลว ใครเขาจะเลวก็ช่างเขา

เราจะไม่นินทาว่าร้าย จะไม่ติเตียนใคร ไม่สนใจเขาเลย

๒. ไม่ยกตนข่มท่านว่าฉันน่ะดีกว่าแกนะ

๓. ไม่ถือตัวเกินไป

นี่ว่าโดยย่อ ความจริงพิศดารมากกว่านี้ ถ้าจิตใจทำได้อย่างนี้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า

บุคคลนั้นเข้าถึงสะเก็ดความดีที่พระองค์สอน...

(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ)


หวังว่าคำสอนนี้ของหลวงปู่ฤๅษีจะช่วยหลายๆท่านให้คลายความขุ่นมัวใจลงได้บ้างนะครับ

_____________________________________________________________________
 



ธรรมารมณ์ที่ควรเสพย์ และ ธรรมารมณ์ที่ไม่ควรเสพย์

ธรรมารมณ์ที่ไม่ควรเสพ  (รู้)
           ดูก่อนสารีบุตร      เมื่อบุคคลเสพธรรมารมณ์ที่ร้ได้ทางมโนแบบไร
อกุศลธรรมทั้งหลายจะเจริญขึ้น   แต่กุศลธรรมทั้งหลายกลับเสื่อมลง   ธรรมา-
รมณ์ที่รู้ได้ทางมโนแบบนี้   ไม่ควรเสพ.         

ธรรมารมณ์ที่ควรเสพ (รู้)
           ดูก่อนสารีบุตร  แต่ว่าเมื่อบุคคลเสพธรรมารมณ์ที่รู้ได้ทางมโนแบบไร
อกุศลธรรมทั้งหลายจะเสื่อมลง    แต่กุศลธรรมทั้งหลายกลับเจริญขึ้น   ธรรมา-
รมณ์ที่รู้ได้ทางมโนแบบนี้   ควรเสพ.                                                 
            ข้อนั้นใด  ที่เราตถาคตกล่าวไว้ดังนี้ว่า    ดูก่อนสารีบุตร  เราตถาคต
กล่าวถึงธรรมารมณ์  ที่รู้ได้ทางมโน ไว้ ๒ อย่างคือ  ที่ควรเสพอย่าง ๑ ที่ไม่
ควรเสพอย่าง ๑   เราตถาคตอาศัยเนื้อความดังว่ามานี้    จึงได้กล่าวไว้แล้ว
 

ธรรมารมณ์ คือ ประสาทรูป 5, สุขุมรูป 16, จิต 89, เจตสิก 52, นิพพาน 1 บัญญัติเหล่านี้เป็นไปได้ทางรูปและนามโดยแท้
            ขันธ์ 5 และรูปนามเป็นปัจจุบันที่อายตนะ 12 มีดังนี้
            1. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่ตาได้เห็นรูปอยู่นี้
            2. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่หูได้ยินเสียงอยู่นี้
            3. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่จมูกได้กลิ่นอยู่นี้
            4. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่ลิ้นได้รสอยู่นี้
            5. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่เราสัมผัสอยู่นี้เป็นปัจจุบันทั้งหมด
            6. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบันที่ใจกำลังนึกคิดอยู่ ก็เพราะมันเป็นผู้ปรุงแต่งให้ขันธ์ อื่น ๆ เกิดขึ้น ซึ่งอยู่ในกิริยาอาการ อันแตกดับ เวทนา สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ อยากได้อยากดี ไม่อยากเลว อยากโกรธ อยากโลภ อยากหลง อยากนินทาคนอื่น อยากฉลาด ไม่อยากเป็นคนโง่ ล้วนแล้วแต่สังขาร เป็นผู้แต่งขึ้นมาทั้งนั้น
 
_____________________________________________________________________


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์

๒. มหาราหุโลวาทสูตร
เรื่องพระราหุล

ภาวนาเสมอด้วยธาตุ ๕


             [๑๔๐] ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนา (อบรมจิต) เสมอด้วยแผ่นดินเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้. ดูกรราหุล เปรียบเหมือนคนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลงที่แผ่นดิน แผ่นดินจะอึดอัดหรือระอา หรือเกลียดของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้.


             [๑๔๑] ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้. ดูกรราหุล เปรียบเหมือนคนทั้งหลายล้างของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลงในน้ำ น้ำจะอึดอัดหรือระอา หรือเกลียดของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำ ฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้.


             [๑๔๒] ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้. ดูกรราหุล เปรียบเหมือนไฟที่เผาของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ไฟจะอึดอัดหรือระอา หรือเกลียดของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้.


             [๑๔๓] ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยลมเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยลมอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตของเธอได้ ดูกรราหุล เปรียบเหมือนลมย่อมพัดต้องของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลมจะอึดอัดหรือระอา หรือเกลียดของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยลม ฉันนั้น เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยลมอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้.


             [๑๔๔] ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้. ดูกรราหุล เปรียบเหมือนอากาศไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศ ฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้.
[/size]

_____________________________________________________________________


ส่วนนี่คือธรรมชั้นสูง ๑๐ หมวด เป็นธรรมเพื่อการเข้าถึงพระนิพพาน หลายๆท่านคงจะรู้จักกันดี แต่อาจยังเจริญได้ไม่เต็มที่ ลองดูที่นี่นะครับ ธรรมนี่คือพระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนให้พระสารีบุตรรู้  แล้วนำมาตรัสสอนภิกษุทั้ง 500 รูปต่อหน้าพระพุทธเจ้า ก่อนไปบิณฑบาตร ลองศีกษาดูนะครับแล้วท่านจะคลายความขุ่นมัวใจได้มากขึ้น ดูตาม Link นี้นะครับ

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=7016&pagebreak=0




สุดท้ายผมหวังว่าสิ่งที่ผมได้เสนอความคิดไป และ ธรรมใดๆที่เป็นของพระพุทธเจ้านี้จะสอนให้ทุกท่านวางได้บ้างนะครับ ขอให้เจริญสำเหนียกอยู่เนืองๆนะครับ ผมก็เจริญสำเหนียกอยู่เนืองๆเช่นกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 07, 2013, 07:09:25 pm โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

saichol

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 247
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ข้อความหลัก ธรรม มีเหตุผล แต่ อย่าลืมระดับ ผู้ภาวนากันด้วย นะจ๊ะ ไม่ใช่ว่าเข้ามาที่เว็บนี้แล้วจะเป็นผู้ภาวนาได้เสมอไป เราเองยังพึ่งเริ่มศึกษา อยู่เลย คิดว่า อะไรคือ มารยาท หรือ มิใช่ แต่ที่ไม่ได้ช่วยตอบก็เพราะว่า คิดว่าไม่ใช่เรื่องของเรา ดูเขาตอบกันดี ก่ว่า

   อันที่จริง จะบอกว่า เดือดร้อนอะไร หรือไม่ ก็ขอตอบว่า ไม่ คะ เพราะไม่ได้เป็นศิษย์กรรมฐาน มัชฌิมา และ ไม่ได้มีบทบาทใด ๆ นอกจากผู้ที่ติดตามอ่านโพสต์ นะคะ

   แต่ชอบอ่าน แนวทางกันตอบ นะคะ
 
   มีคำกล่าวว่า คนโง่ ทะเลาะ กัน ไม่เท่ากับ บัณฑิต ทะเลาะกัน

   

 
บันทึกการเข้า

sinjai

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 144
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คนนี้มาทำอะไรหนอ นี่คือการสังเกต เข้าไปแล้วเค้าเอาอะไรออกมามั้ยหนอ นี่เรียกว่าสังเกต อาการสังเกตนี้แหละ ให้หัดสังเกตจิตใจของตนเป็นสำคัญที่สุดนะ ไม่ต้องไปสังเกตอย่างอื่น เรื่องร่างกายไม่ต้องสังเกตมาก สังเกตที่จิตก่อน หัดสังเกตจิตใจเราตอนนี้อารมณ์เป็นอะไรหนอ อารมณ์โกรธ อารมณ์เกลียด อารมณ์ลุ่ม อารมณ์หลง อะไรที่มันเข้ามา ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ที่ทำให้ใจของเรามันแกว่ง มันเหวี่ยงไป ให้สังเกตดูว่า ทำไมมันถึงแกว่งทำไมมันถึงเหวี่ยง เหวี่ยงไปทางความสุขก็มี เหวี่ยงไปทางความทุกข์ก็มี แกว่งไปตามเรื่องราววุ่นวายฟุ้งซ่านหงุดหงิดก็มี สิ่งเหล่านี้ต้องสังเกตดูและหาดูว่ามันเกิดจากอะไร ถ้าจิตเราแกว่งจริง ถ้าจิตเราขุ่นจริงถ้าจิตเราทุกข์จริง ถ้าจิตเราสุขจริง เวลาสุขเกิดแล้วสุขดับ ทำไมจิตไม่ดับไปด้วย เวลาทุกข์เกิดขึ้นที่จิตว่าเราเป็นทุกข์ ว่าจิตเป็นทุกข์ เวลาทุกข์ดับทำไมจิตเราไม่ดับไปด้วย ถ้าเราเป็นทุกข์ เวลาทุกข์ดับ ทำไมตัวเราไม่ดับไปด้วย ถ้าทุกข์เป็นเรา ทำไมทุกข์หายไปแล้วทำไมตัวเราไม่หายไปด้วย แสดงว่าทุกข์ไม่ใช่ตัวเรา ทุกข์ไม่ใช่ร่างกายเรา

ทุกข์ไม่ใช่จิต ถ้าทุกข์เป็นจิต ทุกข์ดับไปจิตต้องดับไปด้วยสิ มันจะมาอยู่อย่างนี้ได้ยังไง อย่างนี้เรียกว่าสังเกต มันละเอียดกว่าคำว่าดูการเกิดดับเท่านั้น เพราะฉะนั้นคำว่าสังเกตนี้ มันหมายถึง สัมปชัญญะ คือความรู้ตัว แต่ความรู้ตัวตัวนี้ไม่ใช่รู้ตัวกาย มันเป็นการรู้ตัวจิต และการสังเกตบ่อยๆจะทำให้เกิดปัญญา นี่ มัน เป็นมรรคเพราะแก้ เข้าไปแก้เข้าไปค้นหาสมุทัย ได้แก่เหตุอะไรมันทำให้เกิดอันนี้ ทำไมมันทำให้ทุกข์ ทำไมมันทำให้สุข นี่เข้าไปค้น หาในจิตในใจของเรา ไม่ต้องไปหาที่อื่น เพราะเหตุมันมาจากที่นี่ มาจากจิตใจของเรานี่เอง..."

ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา เรื่อง ฝึกสังเกตุจิตใจตน
โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน


ของดีก็บทความข้างต้นมีคำแนะนำในการวางจิต อยู่แล้ว เข้าไปดูตรวจอยู่แล้ว เพื่อรู้ทัน เพื่อให้ใจพ้นจากทุกข์

 st11 st12 thk56  ท่าน จขกท. และ ผู้สนทนาธรรม ทุกท่าน คะ




บันทึกการเข้า