ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: (ชมภาพ) งานปริวาสกรรม วัดแก่งขนุน สระบุรี(จบ)  (อ่าน 7847 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
    • ดูรายละเอียด







ภาพงานปริวาสกรรม ณ วัดแก่งขนุน อ.เมือง จ.สระบุรี เช้าวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๘
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
    • ดูรายละเอียด
Re: (ชมภาพ) งานปริวาสกรรม วัดแก่งขนุน สระบุรี(จบ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 23, 2015, 08:25:00 am »
 


"ป ริ ว า ส ก ร ร ม"

ประโยชน์และวัตถุประสงค์ของ "ปริวาสกรรม"
    ๑. เพื่อดำรงธรรมวินัยให้ยั่งยืน เพราะมีครูบาอาจารย์มาให้ความรู้ทางธรรมทั้งด้านปริยัติธรรม และการปฏิบัติธรรม
    ๒. เพื่ออนุเคราะห์กุลบุตรที่บวชมา และต้องการชำระสิกขาบท(ศีล)ให้บริสุทธิ์
    ๓. เพื่อเปิดโอกาสให้นักปฏิบัติธรรมได้เจริญ สมถะ-วิปัสสนากรรมฐานทั้งพระภิกษุ-สามเณร อุบาสก-อุบาสิกา
    ๔. เป็นการรวมพระภิกษุต่างถิ่นต่างอาวาสได้อย่างมาก  บ่งบอกถึงความสามัคคีในหมู่สงฆ์ว่ายังแน่นแฟ้นดีอยู่ เป็นนิมิตหมายแห่งความเจริญในพระพุทธศาสนา


    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
    “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย การแสวงหาทางออกอย่างพวกเธอนี้ประเสริฐแท้ การแก่งแย่งกันเป็นใหญ่เป็นโตนั้น ในที่สุดทุกคนก็รู้เอง เหมือนแย่งกันเข้าไปสู่กองไฟ มีแต่ความรุ่มร้อนกระวนกระวาย
     เสนาบดีดื่มน้ำด้วยภาชนะทองคำ กับคนจนดื่มน้ำด้วยภาชนะที่ทำจากกะลามะพร้าวฉันใด.
     เมื่อมีความพอใจ ย่อมมีความสุขเท่ากัน นี่เป็นข้อยืนยันว่า ความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ
     อย่างพวกเธออยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจ แม้กระท่อมมุงด้วยใบไม้ก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่า
     แน่นอนทีเดียวคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นมิใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุข สงบเยือกเย็น ปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย”





“ปริวาส”เป็นชื่อของสังฆกรรมสำหรับพระสงฆ์ ซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งการอยู่ปริวาสเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า "การประพฤติวุฒฏฐานวิธี" หรือ “ปริวาสกรรม”

"ปริวาส” หมายถึง"การอยู่ใช้” หรือ “การอยู่รอบ” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า“การประพฤติวุฏฐานวิธี” คือ อยูู่่ให้ครบกระบวนการของการอยู่ปริวาสกรรมตามพระวินัยของสงฆ์เพื่อเป็นการชำระศีลาจารวัตรให้บริสุทธิ์


การอยู่ปริวาสกรรมนั้น พระพุทธองค์ทรงอนุญาตสำหรับบุคคล ๒ ประเภท คือ
     ๐   ปริวาสกรรมสำหรับคฤหัสถ์ หรือพวกเดียรถีย์
     ๐   ปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์ที่บวชอยู่แล้วในพระพุทธศาสนาแต่ต้องครุกาบัติ

ปริวาสมีทั้งหมด ๔ อย่าง คือ
     ๑. อัปปฏิจฉันนปริวาส คือ ปริวาสสำหรับผู้ต้องครุกาบัติแล้วไม่ปิดไว้
     ๒. ปฏิจฉันนปริวาส  คือ ปริวาสสำหรับผู้ต้องครุกาบัติแล้วปิดไว้ ซึ่งนับวันได
     ๓. สุทธันตปริวาส คือ ปริวาสสำหรับผู้ต้องอาบัติแล้วปิดไว้ มีส่วนเท่ากันบ้าง ไม่เท่ากันบ้าง
     ๔. สโมธานปริวาส คือ ปริวาสสำหรับผู้ครุกาบัติแล้วปิดไว้ ต่างวันที่ปิดบ้าง ต่างวัตถุที่ต้องบ้าง

       



ปริวาสกรรมสำหรับคฤหัสถ์ หรือพวกเดียรถีย์

“ปริวาส” คำนี้มีมาแต่สมัยพุทธกาล เนื่องด้วยมีคฤหัสถ์มากมายที่ไม่ใช่ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา หรือไม่ได้นับถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอื่นหรือลัทธิอื่นๆ มาก่อน ซึ่งคนจำพวกนี้เรียกว่า เดียรถีย์ ซึ่งเดียรถีย์เหล่านี้เมื่อได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าบ้าง หรือพระอัครสาวกบ้างก็เกิดมีความเลื่อมใสศรัทธในพระพุทธศาสนา คิดจะเข้ามานับถือพระพุทธศาสนา โดยจะยังครองเพศเป็นคฤหัสถ์เช่นเดิมหรือจะขอบวชก็ตามพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าควร จะให้คนเหล่านี้ได้อบรมตนให้เข้าใจในหลักพระพุทธศาสนาเสียก่อนเป็นเวลา ๔ เดือน จึงได้ทรงอนุญาต ให้อยู่ประพฤติตนเรียกว่า “ติตถิยปริวาส” ไว้

คนที่ถูกกำหนดว่าเป็นเดียรถีย์ต้องอยู่ ติตถิยปริวาส ๔ เดือนนั้นได้แก่เดียรถีย์ที่ไม่เคยบวชในพระศาสนานี้มาและอาชีวก ได้แก่ คนที่นุ่งผ้าสไบเฉียงข้างบนผืนเดียวส่วนข้างล่างเปลือย ส่วนอเจลกะ ได้แก่คนที่เปลือยกายทั้งหมด ควรให้ปริวาส ๔ เดือน คือ ติตถิยปริวาส ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอัปปฏิจฉันนปริวาสฯ(สมนต.๓/๕๓-๕๔) และ ส่วนที่เป็นดาบสชีปะขาวอื่นเช่น ปริพาชก เป็นต้น ที่ยังมีผ้าพันกายเป็นเครื่องหมายของลัทธิอยู่ถือว่าได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องอยู่ปริวาสก่อน ๔ เดือน เพราะท่านเหล่านี้เรียกว่า สันสกฤติสัทธา ได่แก่ผู้ที่มุ่งหน้าเข้ามาหาหรือถามปัญหาโดยมีศรัทธาเป็นประธานซึ่งก็ได้แก่ผู้ที่เป็นสาวกบารมีญาณแก่กล้าเต็มที่แล้วนั่นเอง

ในทางคัมภีร์ชั้นบาลีนั้น ผู้ที่ไม่ได้เป็นชีเปลือยก็เคยมีปรากฏว่าอยู่ติตถิยปริวาสมาบ้างแล้วในตอนที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตติตถิยปริวาส ๔ เดือน นี้ ได้แก่พวกเดียรถีย์(วินย.๔/๘๖/๑๐๑-๒) ท่านหมายเอาคนนอกศาสนาผู้มีความเห็นผิดเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิเข้าด้วย เช่น สถิยพราหมณ์ผู้นึกดูหมิ่นพระพุทธเจ้า(สภิยสูตร ๒๕/๕๔๘) และปสุรปริพาชก ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ เป็นต้น คนเหล่านี้ก็ยังมีเสื้อผ้าอยู่ และการอนุญาตติยถิยปริวาส ให้แก่ อเจลกกัสสปะ ชาวเมืองอุชุญญนคร  ซึ่งทั้งสามท่านที่ยกตัวอย่างมานี้ภายหลังเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก จึงขออยู่ปริวาสถึง ๔ ปี





ปริวาสสำหรับพระภิกษุสงฆ์
ปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์นี้ เป็นปริวาสตามปกติสำหรับภิกษุผู้บวชอยู่แล้วในพระพุทธศาสนา แต่ไปต้อง “ครุกาบัติ” จึงจำเป็นต้องประพฤติปริวาสตามเงื่อนไขทางพระวินัยและเงื่อนไขของสงฆ์  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การประพฤติวุฏฐานวิธี”

“การประพฤติวุฏฐานวิธี”
วุฏฐานวิธี คือ กฎระเบียบเป็นเครื่องออกจากอาบัติ หมายถึง ระเบียบวิธีปฏิบัติสำหรับภิกษุผู้จะเปลื้องตนออกจากครุกาบัติ มีทั้งหมด ๔ ขั้นตอน คือ

ขั้นตอนการประพฤติวุฎฐานวิธี แบ่งเป็น ๔ ขั้นตอนใหญ่ ๆ ดังนี้
    ๑. ปริวาส หรือ การอยู่ประพฤติปริวาส หรือ อยู่กรรม (โดยสงฆ์เห็นชอบที่ ๓ ราตรี)
    ๒. มานัต การอยู่ประพฤติมานัต ๖ ราตรี หรือ นับราตรี ๖ ราตรีแล้วสงฆ์สวดระงับอาบัติ
    ๓. อัพภาน หรือ การเรียกเข้าหมู่ โดยพระสงฆ์ ๒๐ รูป สวดให้อัพภาน
    ๔. ปฏิกัสสนา ประพฤติมูลายปฏิกัสสนา (ถ้าต้องอันตราบัติในระหว่างหรือการชักเข้าหาอาบัติเดิม)
ทั้ง ๔ ขั้นตอนนี้รวมกันเข้าเรียกว่า “การประพฤติวุฎฐานวิธี” แปลว่าระเบียบหรือขั้นตอนปฏิบัติตนเพื่อออกจากอาบัติ




การประพฤติวุฏฐานวิธีประกอบด้วยสงฆ์ ๒ ฝ่าย
ขั้นตอนการ ประพฤติวุฎฐานวิธี นั้น จะต้องประกอบด้วยสงฆ์ที่ทำสังฆกรรม คือ ประกอบด้วยคณะสงฆ์ ๒ ฝ่าย ซึ่งคณะสงฆ์ทั้งสองฝ่ายนั้นมีหน้าที่ดังนี้ คือ
   ๐  พระภิกษุผู้ประพฤติปริวาส หรือ ภิกษุผู้อยู่กรรม หรือ พระลูกกรรม คือ สงฆ์ที่ต้องอาบัติ แล้วประสงค์ที่จะออกจากอาบัตินั้น จึงไปขอปริวาสเพื่อ ประพฤติวุฏฐานวิธี ตามขั้นตอนที่พระวินัยกำหนด
   ๐  พระปกตัตตะภิกษุ(ปะ-กะ-ตัด-ตะ)หรือคณะสงฆ์พระอาจารย์กรรม (หรือพระพี่เลี้ยง) ซึ่งเป็นสงฆ์ฝ่ายที่พระวินัยกำหนดให้เป็นผู้ควบคุมดูแลความประพฤติของสงฆ์ฝ่ายแรกผู้ขอปริวาสซึ่งสงฆ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลอนุเคราะห์เกื้อกูลนี้ ทำหน้าที่เป็น พระปกตัตตะภิกษุ หรือ ภิกษุโดยปกตพระภิกษุผู้มีศีลไม่ด่างพร้อย

________________________________________________
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.watthumpra.com/parivad.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 23, 2015, 08:33:29 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
    • ดูรายละเอียด
Re: (ชมภาพ) งานปริวาสกรรม วัดแก่งขนุน สระบุรี(จบ)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 23, 2015, 08:58:28 am »


ลักษณะและเงื่อนไขของปริวาสแต่ละประเภท

ขั้นตอนการอยู่ประพฤติปริวาส พระวินัยกำหนดไว้จะกี่ราตรี การนับราตรีนี้มีอยู่หลายแบบขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของปริวาสนั้นๆ ว่าสงฆ์ผู้ต้องอาบัติขอปริวาสอะไร ซึ่งลักษณะและเงื่อนไขของปริวาสแต่ละประเภทนั้นพอจะสังเขปได้คือ

อัปปฏิฉันนปริวาส
อัปปฏิฉันนปริวาส ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาว่า ถูกจัดให้เป็นปริวาสสำหรับพวกเดียรถีย์ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งเมื่อพวกเดียรถีย์มีศรัทธาเลื่อมใสและมีความประสงค์ที่จะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ก็อนุญาตให้คนเหล่านี้ต้องอยู่ประพฤติ อัปปฏิฉันนปริวาสนี้เป็นเวลา ๔ เดือน และการอยู่ประพฤติอัปปฏิฉันนปริวาสของพวกเดียรถีย์นี้จะไม่มีการบอกวัตร จึงทำให้อัปปฏิฉันนปริวาสนำไปใช้ในสมัยพระพุทธองค์เท่านั้น และถูกยกเลิกไป

ปฏิจฉันนปริวาส
ปฏิจฉันนปริวาส แปลว่า อาบัติที่ต้องครุกาบัติเข้าแล้วปิดไว้ เมื่อขอปริวาสประเภทนี้จะต้องอยู่ประพฤติให้ครบตามจำนวนราตรีที่ตนปิดไว้นั้นโดยไม่มีการประมวลอาบัติใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งจำนวนราตรีที่ปิดไว้นานเท่าใดก็ต้องประพฤติปริวาสนานเท่านั้น ดังในคัมภีร์ชั้นอรรถกถากล่าวถึงการปิดอาบัติไว้นานถึง ๖๐ ปี(สมนต.๓/๓๐๓) ในคัมภีร์จุลวรรค ยังได้กล่าวถึงพระอุทายีที่ต้องอาบัติสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้วปิดไว้หนึ่งวัน เมื่อท่านประสงค์จะประพฤติปริวาส พระพุทธองค์จึงมีพระดำรัสให้สงฆ์จตุวรรคให้ปริวาสแก่ท่านเพียงวันเดียว ซึ่งเรียกว่า เอกาหัปปฏิจฉันนาบัติ ซึ่งเท่ากับ ท่านอยู่ปริวาสเพียงวันเดียวเท่านั้น(วิ.จุล.๖/๑๐๒/๒๒๘)




สโมธานปริวาส
สโมธานปริวาส คือ ปริวาสที่ประมวลอาบัติที่ต้องแต่ละคราวเข้าด้วยกัน แล้วอยู่ประพฤติปริวาสตามจำนวนราตรีที่ปิดไว้ นานที่สุด ซึ่งในขณะที่กำลังอยู่ประพฤติปริวาส ประพฤติวุฏฐานวิธีอยู่นั้น ภิกษุนั้นต้องครุกาบัติซ้ำเข้าอีก ไม่ว่าจะเป็น อาบัติเดิม หรืออาบัติใหม่ที่ต้องเพิ่มขึ้น  ซึ่งทางวินัยเรียกว่า มูลายปฏิกัสสนา หรือ ปฏิกัสสนา แปลว่า การชักเข้าหา อาบัติเดิม หรือ กิริยาที่ชักเข้าหาอาบัติเดิม ซึ่ง มูลายปฏิกัสสนา นั้น ถึงต้องในระหว่างก็ไม่ได้ทำให้การอยู่ปริวาส เสียหายแต่ประการใดเพียงแต่ทำให้การประพฤติปริวาสล่าช้าไปเท่านั้นเอง จึงทำให้ภิกษุนั้นต้องขอปฏิกัสสนากับสงฆ์ ๔ รูป ซึ่งปริวาสในครั้งที่ ๒ ที่ต้องซ้ำเข้ามานี้จะเป็นปริวาสชนิดใดขึ้นอยู่กับเงื่อนไขดังนี้ คือ

   ๐ ในขณะกำลังประพฤติวุฏฐานวิธีอยู่ แล้วต้องอาบัติตัวเดิมหรือตัวใหม่ซ้ำเข้าแล้วปกปิดไว้ ถ้าปิดไว้เช่นนี้ต้องขอปฏิกัสสนาแล้วต้องขอสโมธานปริวาสเพื่อที่จะประมวลอาบัติที่ต้องในระหว่างเข้าปริวาสกับอาบัติตัวเดิมที่เคยต้องมาแล้ว อยู่ประพฤติปริวาสจนครบกับจำนวนราตรีที่ภิกษุท่านปกปิดไว้
      เหตุที่ต้องขอ สโมธานปริวาส เท่านั้น ก็เพราะสโมธานปริวาสเหมาะสำหรับอาบัติที่ปิดไว้เพื่อให้รู้ว่าปิดไว้กี่วันซึ่งคณะสงฆ์จะได้ประมวลเข้ากับอาบัติเดิมที่อยู่มาก่อน เช่น  ภิกษุที่ต้องอาบัติขอปริวาสไว้ ๑๕ ราตรี พออยู่ไปได้ ๕ ราตรี ภิกษุท่านต้องอาบัติซ้ำหรือเพิ่มขึ้นอีกแล้วท่านปิดไว้ไม่ได้บอกใคร..พอถึงราตรีที่ ๑๒ ก็นับว่า ท่านปิดอาบัติที่ต้องครุกาบัติซ้ำเข้าไปนั้นแล้ว (๑๒-๕)เท่ากับ ๗ ราตรี และการที่ท่านอยู่ปริวาสมาจนถึงราตรีที่ ๑๒ ในจำนวน ๑๕ ราตรีที่ขอนั้น ก็เท่ากับท่านได้เพียงแค่ ๕ ราตรีเท่านั้นที่ไม่เกิดอาบัติซ้ำ
      ส่วนอีก ๗ ราตรีที่ประพฤติปริวาสไปแล้วนั้นถือเป็นโมฆะนับราตรีไม่ได้
      คณะสงฆ์ก็ต้องให้สโมธานปริวาส ประมวลอาบัติที่ปิดไว้ ๗ ราตรีรวมกับส่วนที่ต้องครุกาบัติก่อนแล้วเท่ากับต้องอยู่ประพฤติปริวาสรวมทั้งหมดเป็น ๒๒ วันนับแต่ราตรีที่๑ หรือหากนับจากราตรีที่ ๖ ไปอีก ๑๗ วัน
   ๐ ถ้าต้องอันตราบัติแล้วภิกษุท่านนั้นมิได้ปกปิดไว้ ก็ขอปฏิกัสสนากับสงฆ์ แล้วก็ขอมานัตได้เลย
   ๐ ถ้าไม่ต้องอาบัติตัวใดซ้ำหรือเพิ่มเติมในขณะอยู่ประพฤติปริวาสก็ให้ประพฤติปริวาสนั้นตามเงื่อนไขของการอยู่ประพฤติปริวาสตามปกติ





สุทธันตปริวาส
สุทธันตปริวาส เป็นปริวาสที่ไม่มีกำหนดแน่นอน นับราตรีไม่ได้ ในปัจจุบันนี้นิยมจัดแต่ สุทธันตปริวาส ทั้งนี้ก็เพราะเป็น ปริวาสที่จัดว่าอยู่ในดุลยพินิจของสงฆ์อยู่ในอำนาจของสงฆ์ คือให้สงฆ์เป็นใหญ่ หากคณะสงฆ์จะให้อยู่ถึง ๕ ปีก็ต้อง ยอมปฏิบัติตาม โดยไม่มีทางเลือกและถ้าสงฆ์ให้อยู่ราตรีหนึ่ง หรือสองราตรีแล้วขอมานัตได้ก็ถือว่าเป็นสิทธิของคณะสงฆ์ และทั้งนี้ก็เพราะสุทธันตปริวาสนี้มีเงื่อนไขน้อยที่สุดแต่ให้้ความมั่นใจแก่ผู้ปฏิบัติมากที่สุดซึ่งภิกษุที่ท่านขอปริวาส ดังคำว่า
     “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ไม่รู้ที่สุดแห่งอาบัติ ๑ ไม่รู้ที่สุดแห่งราตรี ๑ ระลึก ที่สุดแห่งอาบัติไม่ได้ ๑ ระลึกที่สุดแห่งราตรีไม่ได้ ๑ สงสัยในที่สุดแห่งอาบัติ ๑ สงสัยในที่สุดแห่งราตรี ๑ ; ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอปริวาสจนกว่าจะบริสุทธิ์เพื่ออาบัติเหล่านั้นกะสงฆ์(วิ.จุล.๖/๑๕๖/๑๘๒) ซึ่งก็ยังมีข้อกำหนดว่าอยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะบริสุทธิ์ดังนั้นจึงได้แบ่ง สุทธันตปริวาส ออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ คือ

    ๐ จุฬสุทธันตปริวาส แปลว่า สุทธันตปริวาสอย่างย่อย คือ ปริวาสของภิกษุผู้ต้องครุกาบัติหลายคราวด้วยกันแต่ละคราวก็ปิดไว้ แต่ก็ยังพอจำจำนวนอาบัติได้ จำจำนวนวัน และจำจำนวนครั้งได้บ้าง จึงขอจุฬสุทธันตปริวาสและอยู่ประพฤติปริวาสจนกว่าจะเห็นว่าบริสุทธิ์ แต่โดยทั่วไปในปัจจุบันนี้คณะสงฆ์ก็นิยมสมมติให้อยู่ ๓ ราตรี   เป็นเกณฑ์ น้อยกว่านี้ไม่ได้ แต่ถ้ามากกว่านี้ไม่เป็นไร
    ๐  มหาสุทธันตปริวาส คือ สุทธันตปริวาสอย่างใหญ่ คือ ปริวาสของภิกษุผู้ต้องครุกาบัติหลายคราวด้วยกันแต่ละคราวก็ปิดไว้ จำจำนวนอาบัติไม่ได้ จำจำนวนวัน และจำจำนวนครั้งไม่ได้ จึงขอจุฬสุทธันตปริวาสและอยู่ประพฤติปริวาสจนกว่าจะเห็นว่าบริสุทธิ์โดยการกะประมาณว่าตั้งแต่บวชมาจนถึงเวลาใดที่ยังไม่ต้องครุกาบัติเลยเช่น อาจบวชมาได้ ๑ เดือน แต่ต้องครุกาบัติจนเวลาล่วงผ่านไปแล้ว ๕ เดือน ๑๐ เดือนหรือ ๑ ปี แต่จำจำนวนที่แน่นอนไม่ได้เลย จึงต้องขอปริวาสและกะประมาณว่าประมาณ ๑ เดือนนั้นในความรู้สึก ก็ถือว่าบริสุทธิ์และใช้ได้ ซึ่งมหาสุทธันตปริวาสนี้ ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเพราะยุ่งยากและกำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้




“รัตติเฉท”
การอยู่ประพฤติปริวาสทุกประเภท มีเงื่อนไขที่จะต้องปฏิบัติ ขณะที่อยู่ประพฤติปริวาสมีเงื่อนไขที่ทำให้การอยู่ประพฤติปริวาสของภิกษุนั้นเป็นโมฆะ นับราตรีไม่ได้ มี ๓ กรณีด้วยกัน ซึ่งเรียกว่า “รัตติเฉท” คือ เหตุที่ทำให้ขาดราตรีของปริวาสิก ภิกษุผู้ประพฤติปริวาสเมื่อราตรีขาด ก็ต้องเสียเวลาในการประพฤติปริวาสไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาสควรต้องทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง  มีดังนี้
     ๑. สหวาโส  แปลว่า  การอยู่ร่วม
     ๒. วิปวาโส  แปลว่า  การอยู่ปราศ
     ๓. อนาโรจนา แปลว่า  การไม่บอกวัตรที่ประพฤติ


“วัตตเภท”
“วัตตเภท” แปลความว่า ความแตกต่างแห่งวัตร หรือ ความแตกต่างแห่งข้อปฏิบัติในขณะอยู่ประพฤติปริวาส คือ ทำให้ วัตรมัีวหมองด่างพร้อย ซึ่งเป็นการละเลยวัตร ละเลยหน้าที่ ไม่เอื้อเฟื้อต่อวัตรที่กำลังประพฤติอยู่และกระทำผิดต่อพุทธ บัญญัติโดยตรง เช่น หาอุปัฎฐากเข้ามารับใช้ในขณะอยู่ประพฤติปริวาส เข้านอนร่วมชายคาเดียวกันกับภิกษุผู้อยู่ปริวาส หรือคณะสงฆ์ซึ่งเป็นอาจารย์กรรม มีการนั่งบนอาสนะที่สูงกว่าอาสนะของคณะสงฆ์อาจารย์กรรม เหล่านี้ ถือว่าเป็น "วัตตเภท”




สิ่งไหนเป็น รัตติเฉท หรือ วัตตเภท ดังตัวอย่างเช่น ภิกษุหนึ่ง และภิกษุสอง เป็นเพื่อนสหธรรมิกไปอยู่ประพฤติปริวาสร่วมกัน เมื่อปฏิบัติกิจทางสังฆกรรมเสร็จแล้ว ภิกษุหนึ่งก็เข้ากลดแล้วนอนหลับไป ส่วนภิกษุสองนอนไม่หลับก็เข้าไปนอนเล่นในกลดของภิกษุหนึ่ง แล้วก็เผลอหลับไปจนสว่าง ซึ่งในกรณีนี้ ภิกษุหนึ่ง ผิดในส่วนของรัตติเฉทอย่างเดียว ส่วนภิกษุสองผิดทั้ง รัตติเฉท และวัตตเภท

ซึ่งกรณีเช่นนี้ถือเจตนาเป็นใหญ่ ฝ่ายใดก่อเจตนาฝ่ายนั้นเป็นทั้งรัตติเฉทและ วัตตเภท ส่วนฝ่ายที่ไม่มีเจตนา ฝ่ายนั้นเป็นเพียง รัตติเฉท แต่ถ้าจะให้ละเอียดว่าทำไม ภิกษุหนึ่งซึ่งไม่ได้มีเจตนา ทำไมถึงเป็น รัตติเฉท ทั้งนี้ก็เพราะว่า เป็นการอยู่ร่วมในที่มุงบังอันเดียวกัน ถือว่าเป็น รัตติเฉททั้งสิ้นไม่มีกรณียกเว้นถ้าไม่เก็บวัตร เพราะเงื่อนไขเป็น อจิตตกะ

________________________________________________
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.watthumpra.com/parivad.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 23, 2015, 09:05:18 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
    • ดูรายละเอียด
Re: (ชมภาพ) งานปริวาสกรรม วัดแก่งขนุน สระบุรี(จบ)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มกราคม 23, 2015, 12:35:38 pm »




สหวาโส
"สหวาโส”แปลว่า“การอยู่ร่วม”ซึ่งในความหมายนี้หมายเอาพระภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาสอยู่ร่วมกับภิกษุผู้อยู่ปริวาส ด้วยกัน หรืออยู่ร่วมกับคณะสงฆ์ผู้เป็นพระอาจารย์กรรมในที่มุงบังเดียวกัน
         
“การอยู่ร่วม” นั้นมีขอบเขต คือ ท่านหมายเอาการนอนอยู่ร่วมกันในที่มุงอันเดียวกันในทางสถานที่นั่นหมายถึงมีการทอดกายนอน คือถ้านอนร่วมกันภายใต้อาคารหรือสิ่งก่อสร้างทีมีหลังคาเดียวกัน ภิกษุย่อมไม่พ้นสหเสยยาบัติ คือ อาบัติเพราะการนอนร่วม(มนฺต.๒/๒๙๙)

ซึ่งจะเห็นว่า การอยู่ร่วม คือ นอนร่วมกันและท่านก็เพ่งเอาการทอดกายนอนเฉพาะตอนกลางคืนนั้นในที่มุงบังอันเดียวกัน หลังคาเดียวกัน ก็ไม่พ้นจากอาบัติเพราะการนอน คือมีการทอดกายนอน และคำว่าที่มุงบังอันเดียวกันนั้น ท่านก็หมายเอา แต่วัตถุที่เกิดขึ้นโดยวิทยาศาสตร์ เช่น ศาลาการเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร ที่มนุษย์ใช้เครื่องมือสร้างขึ้น แต่ไม่รวมถึงที่มุง บังโดยธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ ป่าไม้ หากมีการกางกลดภายใต้ร่มไม้เดียวกันก็ไม่ถือว่าเป็นการอยู่ร่วมกัน เว้นแต่ใช้กลด หลังเดียวอยู่ร่วมกันก็ถือว่าเป็นการอยู่ร่วมกัน ดังนั้นจึงชี้ให้เห็นข้อแตกต่างของที่มุงบังเดียวกันซึ่งหากภิกษุสองรูป ขึ้นไปอยู่ร่วมกัน ภิกษุรูปหนึ่งนั่งแต่ภิกษุอีกรูปหนึ่งนอน หรือภิกษุทั้งสองต่างนั่งอยู่ด้วยกันโดยไม่มีการทอดกายนอน ก็ถือว่าไม่เป็นอาบัติหรือรัตติเฉท ทั้งนี้ก็มีข้อแม้ว่าในศาลาที่ทำสังฆกรรมนั้น เป็นที่มุงบังหลังคาเดียวกัน แต่หากในขณะ เมื่ออยู่ปริวาสนั้นเกิดภัยทาง ธรรมชาติคุกคามแปรปรวน เช่น ฝนตก น้ำท่วม ลมแรง หรือมีการปฏิบัติธรรมร่วมกัน ก็ อนุญาตให้อยู่ร่วมในศาลามุงบังนั้นได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่มีการทอดกายนอน พอใกล้จวนสว่างแล้วก็ให้ลุกออกไปเสียที่อื่น ให้พ้นจากที่มุงนั้นให้ได้อรุณซึ่งกิริยาเช่นนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ออกไปรับอรุณ”

ดังนั้นคำว่า “สหวาโส” นั้นขึ้นอยู่กับการ นอน อย่างเดียวเท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่มีการนอน ไม่มีการเอนกาย ไม่ถือว่า เป็น สหวาโส จึงสรุปว่า แม้การร่วมทำสังฆกรรม ทำวัตรเช้าสวดมนต์เย็น ร่วมปฏิบัติธรรมภายใต้ศาลาเดียวกันโดยมีที่มุงบังก็ดีโดยไม่ได้เก็บวัตรก็ดี ทำกิจทุกอย่างร่วมกันภายในเต็นท์หรือปะรำที่สร้างขึ้นเพื่องานนั้นโดยไม่เก็บวัตรก็ดี เข้าห้องน้ำ ห้องสุขาที่มีเครื่องมุงบังพร้อมกันแม้จะเป็นหลังคาเดียวกันกับอาจารย์กรรมโดยไม่เก็บวัตรก็ดี ทั้งหมดนี้ไม่ถือเป็น สหวาโส ไม่มีผลกระทบแม้แต่น้อย และไม่เป็นอาบัติทุกกฎเพราะวัตตเภทก็ไม่มี ทั้งนี้เพราะ กิจ ที่ทำนั้นไม่ถือว่าเป็นการอยู่ร่วมกัน แต่เป็นการ ทำธุระ ร่วมกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งต่างกับการ“อยู่ร่วม” หรือ “สหวาโส”





ขอบเขตของ “สหวาโส” การ “อยู่ร่วม”

    ๐ เรื่องของสถานะ
       ภิกษุทุกรูปที่เข้าอยู่ประพฤติปริวาสนั้น เป็นผู้ตกอยู่ในข้อหาละเมิดสิกขาบท ซึ่งการอยู่ปริวาสนั้นเปรียบเหมือนกำลังพยายามออกจากสิกขาบทที่ละเมิด ดังนั้น ภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาสนั้นแม้จะมีพรรษามากเท่าใดก็ตาม มีสมณศักดิ์สูงเพียงใดก็ตาม ก็จะต้องเคารพและให้เกียรติต่อคณะสงฆ์อาจารย์กรรม ในเรื่องที่เป็นธรรมเป็นวินัย แม้สงฆ์ท่านนั้นจะเพิ่งบวชใหม่แม้ในวันนั้นทุกรูปก็ตาม จะทำการคลุกคลี ด้วยการฉันร่วม นั่งร่วมในอาสนะ เดียวกันเกินขอบเขต ซึ่งทำให้เป็น วัตตเภทบ้าง รัตติเฉทบ้างไม่ได้ ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องยอมลดทิฎฐิ และสถานะ  สมณศักดิ์ลงต่อคณะสงฆ์และอาจารย์กรรม แต่สำหรับพระภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาสด้วยกันแล้วก็ยังคงรักษา    พรรษาไว้และยังคงต้องนั่งตามลำดับพรรษาดังเดิม และพระเถระที่เคยมีอุปัฏฐากอยู่ที่วัด พอมาอยู่ปริวาสท่าน  จะมีอุปัฏฐากเช่นนั้นไม่ได้ ซึ่งในข้อนี้มีพระบาลีความว่า เป็นอาบัติทุกกฎแก่ภิกษุผู้ยินดีแม้ของสัทธิวหาริก เป็นต้น พึงห้ามเขาว่าเรากำลังทำวินัยกรรมอยู่ พวกท่าน อย่าทำวัตรแก่เราเลย อย่าบอกลาเข้าบ้านกะเราเลย, จำเดิมแต่กาลที่ห้ามแล้วไม่เป็นอาบัติ(สมนฺต.๓/๒๘๒) ยกเว้นแต่ว่าเป็นกรณีพิเศษคือ ท่านอาจจะไหว้วานชั่วคราว เช่น  ฝากซื้อของเครื่องใช้ที่จำเป็นต้องใช้ในขณะอยู่ประพฤติปริวาส

      ๐ เรื่องของสถานที่ เช่น
          -  ที่ฉันภัตตาหาร                 
          -  ที่ทำธุระส่วนตัว เช่น ห้องน้ำ ห้องสุขา
          -  ที่เดินจงกรม                   
          -  ที่ปฏิบัติธรรม
          -  ที่ทำสังฆกรรม                 
          -  ที่นอน

ทั้งหมดนี้ ควรแยกสัดส่วนออกจากกัน คือ ส่วนไหนเป็นของคณะสงฆ์อาจารย์กรรม ส่วนไหนเป็นของพระภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาส ก็ต้องแยกจากกันให้เหมาะสม ทั้งนี้เพื่อให้เกียรติแก่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมและ เพื่อความนอบน้อม สำหรับภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาส





วิปวาโส
“วิปวาโส” หรือ การอยู่ปราศ  หมายถึง การอยู่ปราศจากคณะสงฆ์อาจารย์กรรม การอยู่ประพฤติปริวาสนั้นจะอยู่กันเอง ตามลำพังโดยปราศจากอาจารย์กรรมไม่ได้เด็ดขาด อย่างน้อยก็ต้องมีอาจารย์กรรม นั่นคือ ต้องใช้คณะสงฆ์อาจารย์กรรม ๑ รูป สำหรับการอยู่ประพฤติปริวาส และ ๔ รูป สำหรับมานัต ทั้งนี้เพื่อจะได้คุ้มกรรมไว้

ส่วนเหตุอื่นที่จะเป็น วิปวาโสได้นั้น ก็คือ ถึงแม้จะมีคณะสงฆอาจารย์กรรมอยู่ด้วย แต่มีกำหนดขอบเขตของ วิปวาโส ไว้ว่า ถ้าหากพระลูกกรรมผู้อยู่ ประพฤติปริวาสนั้นอยู่ไกลเกินกำหนด ซึ่งกำหนดของวิปวาโส นี้ ท่านบอกว่า ๒ ชั่วเลฑฑุบาตร คือ เอาคนมีอายุปานกลาง และมีกำลังขว้างก้อนดินตกลง ๒ ชั่ว คือ ขว้างก้อนดินต่อกัน ๒ ครั้งนั่นเอง  (เท่ากับขว้างครั้งแรกตกลงที่ใดแล้วก็ยืนตรง จุดที่ดินตกแล้วก็ขว้างครั้งที่สองไกลออกไปเท่าใด ก็ถือเอาจุดนั้นเป็นเขตกำหนด) ซึ่งจุดศูนย์กลางของ ๒ เลฑฑุบาตรนี้ ให้ยึดเอาจุดที่คณะสงฆ์์พระอาจารย์กรรมอยู่กัน แล้วก็ให้วัดขอบเขตไปที่ภิกษุผู้ปักกลดองค์แรกที่อยู่ใกล้อาจารย์กรรมที่สุดนั้นเป็นเกณฑ์

ส่วนภิกษุท่านอื่น ๆ ก็ถือว่าปักกลดอยู่ต่อ ๆ กันไป เหมือนดั่งยังอยู่ในหัตถบาสเหมือนที่ลงสวดพระ ปาติโมกข์ในโบสถ์ซึ่งองค์แรกอยู่ในหัตถบาส องค์ต่อไปก็นั่งเรียงลำดับกันไป ซึ่งการกำหนดขอบเขตนี้ก็ขึ้นอยู่ที่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมท่านเป็นผู้ชี้เขตและอนุญาตให้อยู่ได้ ซึ่งการอยู่ปราศนั้น ก็คือห้ามอยู่โดยปราศจากอาจารย์กรรม ถึงแม้ภิกษุท่านจะเจ็บไข้ได้ป่วยมีเหตุให้ต้องไปนอนโรงพยาบาล ตราบใดที่ภิกษุยังนอนรักษาตัวอยู่ก็ต้องมีอาจารย์กรรมไปเฝ้าไข้้ตลอดเวลา อย่าให้เกินสองเลฑฑุบาตรไป




อนาโรจนา
“อนาโรจนา” แปลว่า การไม่บอก หมายถึง การไม่บอกวัตร หรือ บอกอาการที่ตนประพฤติแก่คณะสงฆ์ อาจารย์กรรมในสำนักที่ตนอยู่ประพฤติปริวาสนั้น การบอกวัตรของปริวาส ตามหลักพระวินัยเมื่อขอปริวาสแล้ว จะต้องบอกวัตรแก่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมเพียงครั้งเดียวก็อยู่ไปจนครบ ๓ ราตรีก็ได้

________________________________________________
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.watthumpra.com/parivad.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
    • ดูรายละเอียด
Re: (ชมภาพ) งานปริวาสกรรม วัดแก่งขนุน สระบุรี(จบ)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มกราคม 23, 2015, 12:51:08 pm »
   


ลำดับของการบอกวัตร
    - สมาทานวัตร หรือ ขึ้นวัตร
    - การบอกวัตร
    - การเก็บวัตร

การสมาทานวัตร
การสมาทานวัตร หรือ ขึ้นวัตร เป็นวินัยกรรมเกี่ยวกับวุฎฐานวิธีอย่างหนึ่ง คือ เมื่อภิกษุต้องครุกาบัติแล้ว อยู่ปริวาสยังไม่ครบเวลาที่ปกปิดไว้ หรือ ประพฤติมานัตอยู่ยังไม่ครบ ๖ ราตรี พักปริวาสหรือมานัตเสียเนื่องจากมีเหตุอันจำเป็นอันควร เมื่อจะสมาทานวัตรใหม่เพื่อประพฤติปริวาสหรือมานัตที่เหลือนั้น เรียกว่า ขึ้นวัตร คือ การสมาทานวัตร

การสมาทานวัตร นิยมสมาทานหลังจากที่เสร็จสิ้นการปฏิบัติธรรมประจำวัน จากนั้นก็แยกย้ายกันเข้าปรก พอได้เวลาตีสามหรือตามเวลาที่คณะสงฆ์กำหนด ก่อนทำวัตรเช้าก็สมาทานครั้งหนึ่ง ซึ่งการสมาทานวัตรเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องสมาทานทั้งเช้าและเย็น เพราะการสมาทานวัตรนั้นตราบใดที่ยังไม่มีการเก็บวัตรแล้วก็ห้ามสมาทานซ้ำอีก ส่วนการบอกวัตรนั้นจะบอกวันละกี่ครั้งก็ได้ ซึ่งพระอรรถกถาจารย์ท่านได้กล่าวไว้ว่า“กิจที่จะต้องสมาทานวัตรอีกย่อมไม่มีแก่ผู้มิได้เก็บวัตร หรือสำหรับผู้มิได้เก็บวัตรไม่มีกิจที่จะต้องสมาทานวัตรอีก” หมายความว่า ห้ามสมาทานวัตรซ้อนวัตรนั่นเอง






การบอกวัตร
“การบอกวัตร” นั้น ขณะประพฤติปริวาสไม่จำเป็นต้องบอกวัตรทุกวันก็ได้แต่การบอกทุกวันก็ไม่ได้มีข้อจำกัดอะไร และการบอกวัตรต้องบอกแก่คณะสงฆ์ที่เป็นอาจารย์กรรมหมดทุกรูปตราบใดที่ยังไม่ได้เก็บวัตร เมื่อเห็นพระอาคันตุกะมาก็ต้องบอกวัตรเช่นกันไม่ว่าเวลาไหนถ้าไม่บอกก็เป็นรัตติเฉท ถ้ามีเจตนาไม่บอกก็เป็นอาบัติทุกกฎและในเวลาที่พระอาคันตุกะผ่านมาและบอกวัตรนั้น มีขอบเขตเช่นไร ซึ่งมีมติของพระสังฆเสนาภยเถระ ความว่า “ได้ยินว่าเมื่อไม่บอกในวิสัยเป็นรัตติเฉทด้วย เป็นทุกกฎเพราะวัตตเภทด้วย แต่ในเหตุสุดวิสัยไม่เป็นทั้งสองอย่างฯ(สมนต.๓/๒๘๙) ซึ่งเป็นมติที่เหมาะสม
                 
ซึ่งการบอกวัตรนี้จะบอกใคร นิกายไหน หรือมีความแตกต่างไหนนั้น ซึ่งในคัมภีร์บาลีเดิมหรือชั้นอรรถกถาไม่ได้ใช้คำว่า นิกาย แต่ดูความแตกต่างที่ลัทธิปฏิบัติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะมีนิยามเกี่ยวกับ นานาสังวาส และ สมานสังวาส เช่นสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต และสงฆ์ฝ่ายมหานิกายจะเป็น นานาสังวาส หรือ สมานสังวาส นั้นจะได้นำความเห็นของพระอรรถกถาจารย์ เป็นดังนี้ “ธรรมเป็นที่อยู่ร่วมกันมีอุโบสถเป็นต้นกับบุคคลใดมีอยู่ บุคคลนั้นชื่อว่า สังวาสเสมอกันฯ บุคคลนอกนั้น ชื่อว่าผู้เป็นนานาสังวาสกันฯ” (สมนต.๓/๔๙๑)นั่นหมายถึงไม่ว่าจะเป็นนิกายไหน มหานิกายหรือธรรมยุตหากยังทำสังฆกรรมร่วมกันภายในอุโบสถเดียวกันก็เป็นสมานสังวาสกัน

ส่วนเรื่องเวลาบอกวัตรนั้น ก็ขึ้นอยู่ที่มติของคณะสงฆ์อาจารย์กรรมเป็นผู้กำหนด เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยแห่งสงฆ์ ซึ่งการบอกวัตรนี้สามารถกำหนดตั้งแต่ได้อรุณจนถึง ๙ โมงเช้า ส่วนการบอกวัตรแก่พระอาคันตุกะ ก็สุดแท้แต่สงฆ์จะเป็นผู้กำหนด จะบอกเป็นรายบุคคลหากมารูปเดียว หรือมาสองรูปบอกสองรูป หรือสามรูป หรือสี่รูป ซึ่งถ้าสี่รูปจึงบอกเป็นสงฆ์

          มารูปเดียว   ใช้คำว่า   มํ  อายสมา  ธาเรตุ
          มาสองรูป    ใช้คำว่า   มํ  อายสฺมนตา  ธาเรนตุ
          มาสามรูป    ใช้คำว่า   มํ  อายสฺมนฺโต  ธาเรนฺตุ
          ส่วนสี่รูป      ใช้คำว่า   มํ  สงฺโฆ  ธาเรตุ

แต่เพื่อป้องกันความผิดพลาดและรัดกุมนั้น ควรบอกเป็นสงฆ์ดีที่สุด ไม่ว่าพระอาคันตุกะท่านจะมา หนึ่งรูป สองรูป สามรูปหรือสี่รูป หรือเกินนั้นก็ตาม เพราะถ้าบอกเป็นรายบุคคลก็ต้องนับพรรษาด้วย ดังนั้นจึงบอกเป็นสงฆ์ดีที่สุด เพราะทุกอย่าง เป็นสังฆกรรมที่กระทำโดยสงฆ์ รับรองโดยสงฆ์ จึงใช้ มํ สงฺโฆ ธาเรตุ ดีที่สุด






การเก็บวัตร
“การเก็บวัตร”  ก็คือ การพักวัตรไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งที่นิยมนั้นก็จะเก็บวัตรในเวลากลางวัน ทั้งนี้ก็เพราะเหตุที่ี่ใน เวลากลางวันนั้นอาจมีพระอาคันตุกะแวะเวียนผ่านมาบ่อย เมื่อเก็บวัตรแล้วก็ไม่จำเป็นต้องบอกวัตร ซึ่งประโยชน์ของการเก็บวัตรนั้น ก็คือ การไม่ต้องบอกวัตรบ่อย ๆ และประโยชน์ในการที่คณะสงฆ์ทำสังฆกรรม เช่น ในวันออกอัพภาน ซึ่งอาจ จะมีสงฆ์ไม่ครบองค์ตามพระวินัยกำหนด ซึ่งในกรณีนี้ท่านอนุญาตให้ พระอัพภานารหภิกษ ุ(ภิกษุผู้ควรเรียกเข้าหมู่) ผู้เก็บวัตรแล้วเข้าเป็นองค์นั่งในหัตถบาสเป็น ปูรกะภิกษุ ให้ครบองค์สงฆ์ตามพระวินัยกำหนดดังความว่า “ก็เมื่อคณะไม่ครบพึงให้ ปริวาสิกภิกษุเก็บวัตรแล้วทำให้เป็นคณะปูรกะก็ควรฯ” ทั้งนี้เพราะ ภิกษุผู้เก็บวัตรแล้ว ก็คือ ปกตัตตภิกษุ(สงฆ์ปกติ) ที่ไม่ได้เข้ากรรม หรือ ความว่า“จริงอยู่ภิกษุนี้ ชื่อว่าตั้งอยู่ในฐานะปกตัตตภิกษุเพราะเธอเก็บวัตรเสียแล้วฯ”

ดังนั้น ในวันออกอัพภาน จึงไม่ต้องเก็บวัตร เพราะต้องเสียเวลาในการสมาทานวัตรและบอกวัตรและประโยชน์ของการไม่เก็บวัตรในวันออกอัพภานก็เพราะถ้าเก็บวัตรแล้วไม่สมาทานวัตรใหม่ คณะสงฆ์ก็ไม่่สามารถสวดอัพภานให้ได้ เพราะสงฆ์จะทำกรรมกับผู้เก็บวัตรไม่ได้ ทั้งนี้เพราะผู้เก็บวัตรเป็น ปกตัตตภิกษุ ดังความว่า “และสงฆ์จะทำอัพภานแก่ปกตัตตภิกษุย่อมไม่ควร เพราะฉะนั้นพึงให้เธอสมาทานวัตร(ก่อน)ฯ เธอย่อมเป็นผู้ควรแก่อัพภานในเมื่อสมาทานวัตรแล้ว แม้เธอสมาทานวัตรแล้วก็ให้บอก(ก่อน)แล้วจึงขออัพภานฯ”

นอกจากนี้ก็มีการเก็บวัตรเพื่อเป็นอุปัชฌาย์ในท่านที่เป็นอุปัชฌาย์ หรือเป็นอาจารย์สวดในท่านที่เป็นพระกรรมวาจาดังความว่า "เป็นอุปัชฌาย์ไม่พึงให้อุปสมบท แต่จะเก็บวัตรแล้วให้อุปสมบทควรอยู่ฯ เป็นพระกรรมวาจาแล้ว แม้กรรมวาจาก็ไม่ควรสวด เมื่อภิกษุอื่นไม่มีจะเก็บวัตรแล้วสวด สมควรอยู่ฯ” แต่ทั้งนี้ก็ควรจะเอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายตราบที่ยังมีสงฆ์ทำสังฆกรรมอยู่ ความว่า (ภิกษุผู้ประพฤติวุฏฐานวิธี) ไม่พึงรับตำแหน่งหัวหน้าในวิหาร คือไม่พึงเป็นผู้สวดปาฏิโมกข์ หรือ เชิญแสดงธรรมฯ สมดังพระพุทธพจน์ที่ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้อยู่ปริวาสพึงประพฤติชอบ ด้วยการประพฤติดังต่อไปนี้.. พึงพอใจด้วยอาสนะสุดท้าย ที่นอนสุดท้ายที่สงฆ์จะพึงให้แก่เธอดังนี้ฯ"(วิ.จุล.๖/๗๖/๑๐๑)

________________________________________________
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.watthumpra.com/parivad.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 23, 2015, 01:01:22 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
    • ดูรายละเอียด
Re: (ชมภาพ) งานปริวาสกรรม วัดแก่งขนุน สระบุรี(จบ)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มกราคม 23, 2015, 01:15:13 pm »
 


มานัต
มานัต คือ ระเบียบปฏิบัติในการออกจากครุกาบัติ หมายถึง นับราตรี  การนับราตรี ซึ่งการนับราตรี หรือ มานัตนั้น เป็นเงื่อนไขต่อจากการประพฤติปริวาสของภิกษุผู้อยู่กรรม เมื่ออยู่ปริวาส ๓ ราตรี หรือตามที่ี่คณะสงฆ์กำหนดแล้ว เมื่อคณะสงฆ์พิจารณาว่า ปริวาส ที่ภิกษุประพฤตินั้นบริสุทธิ์ในการพิจารณาของสงฆ์แล้ว สงฆ์ก็จะเรียกผู้ประประพฤติปริวาสนั้นว่า“มานัตตารหภิกษุ” แปลว่า “ภิกษุผู้ควรแก่มานัต” 

มานัต หรือการนับราตรีนั้น ได้แก่การ นับราตรี ๖ ราตรีเป็นอย่างน้อย ซึ่งเกินกว่านี้ไม่เป็นไร แต่ถ้าน้อยกว่า ๖ ราตรีไม่ได้ ซึ่งเป็นพระวินัยกำหนดไว้เช่นนั้น ซึ่งการนับราตรีของ มานัต นั้นก็มีเงื่อนไขที่ทำให้นับราตรีไม่ได้เช่นกันเรียกว่า การขาด แห่งราตรี หรือ การนับราตรีเป็นโมฆะ ซึ่งการนับราตรีไม่ได้นี้เรียกว่า "รัตติเฉท"

เงื่อนไขที่ทำให้นับราตรีไม่ได้   สำหรับ มานัต มีด้วยกัน ๔ อย่าง คือ
      ๐ สหวาโส    คือ   การอยู่ร่วม
      ๐ วิปปวาโส   คือ  การอยู่ปราศ
      ๐ อนาโรจนา คือ  การไม่บอกวัตรที่ประพฤติ
      ๐ อูเน คเณ จรณํ  คือ การประพฤติวัตรในคณะอันพร่อง






สหวาโส คือ การอยู่ร่วม มีข้อกำหนดเหมือนปริวาส ไม่มีข้อแตกต่างกัน

วิปปวาโส คือ การอยู่ปราศ หรือ อยู่ในถิ่นอาวาสที่ไม่มีสงฆ์อยู่เป็นเพื่อน ในส่วนข้อนี้มีความแตกต่างตรงที่การประพฤติปริวาสนั้นจะสมาทานประพฤติวัตรกับคณะสงฆ์อาจารย์กรรม รูปเดียวก็ได แต่ มานัต นั้นต้องสมาทานกับสงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูป ขึ้นไป หรือ ในกรณีที่ภิกษุผู้ประพฤติปริวาสเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย อาพาธขึ้นในระหว่างมานัตจำต้องไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลก็ต้องมีสงฆ์อย่างน้อย ๔ รูป ไปเฝ้าไข้ ซึ่งถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็ต้องอนุญาตให้ไปรักษาอาพาธนั้นให้หายเป็นปกติก่อน เมื่อหายเป็นปกติแล้วให้ภิกษุนั้นกลับมาสมาทานวัตรเพียงรูปเดียวในภายหลัง (แต่ถ้าเก็บวัตรแล้วก็ไม่เป็นไร) ส่วนการบอกวัตรนั้นถ้าบอกเป็นครั้งแรกในวันนั้นต้องบอกกับสงฆ์หมดทุกรูปแต่ถ้าการบอกวัตรนั้นเป็นการบอกครั้งที่สองไม่ต้องบอกหมด ทุกรูป ยกเว้นเมื่อบอกวัตรไปแล้วในขณะนั้นแต่ชั่วครู่นั้นมีพระอาคันตุกะ แวะเวียนเข้ามา การบอกวัตรครั้งที่สองนี้จะบอกเดี่ยวสำหรับ พระอาคันตุกะ หรือจะบอกเป็นสงฆ์ก็ได้ขึ้นอยู่ที่ คณะสงฆ์พระอาจารย์กรรมกำหนด ซึ่งถ้าบอกเป็นสงฆ์ก็ต้องหาพระอาจารย์กรรมรวมทั้งพระอาคันตุกะนั้น ให้ครบองค์สงฆ์ คือ ๔ รูป แต่ส่วนมาก จะบอกเดี่ยวเพื่อความสะดวกรวดเร็ว


อนาโรจนา คือ การไม่บอกวัตรที่ประพฤติ ซึ่งการประพฤติ มานัต นั้น จะต้องบอกวัตรทุกวัน ไม่บอกไม่ได้ แตกต่างกับ ปริวาสซึ่งจะบอกก็ได้ไม่บอกก็ได้ เพราะอยู่ปริวาสนั้นบอกวัตรครั้งเดียวแล้วอยู่ต่อไปอีกสามวันโดยที่ไม่บอกอีกก็ได้ ทั้งนี้หมายความว่าจะต้องไม่ทำผิดกฏข้ออื่น ๆ อีก

อูเน คเณ จรณํ  คือ การประพฤติวัตรในคณะอันพร่อง หมายถึง การประพฤติวัตรของพระมานัตในที่ที่มีสงฆ์ไม่ครบ ๔ รูปตามพระวินัยกำหนด เช่นนี้ถือว่า ประพฤติวัตรในคณะอันพร่อง ซึ่งจะทำให้การนับราตรีเป็นโมฆะ นับราตรีไม่ได้






มานัต หรือการ นับราตรี นั้น มีอยู่ ๔ อย่าง คือ
    - อัปปฏิจฉันนมานัต คือ เป็นมานัตที่ภิกษุไม่ต้องอยู่ปริวาส สามารถขอมานัตได้เลย ยกเว้นพวกเดียรถีย์ต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน
    - ปฏิฉันนมานัต คือ มานัตที่ให้แก่ภิกษุผู้ปิดอาบัติไว้ หรือมิได้ปิดไว้ก็ตาม
    - ปักขมานัต คือ มานัตที่ให้แก่ภิกษุณี ๑๕ ราตรีเท่านั้น(ครึ่งปักษ์) จะปิดอาบัติไว้หรือมิได้ปิดไว้ก็ตาม
    - สโมธานมานัต คือ มานัตที่มีไว้เพื่ออาบัติที่ประมวลเข้าด้วยกันอันเนื่องมาจากสโมธานปริวาสนั้น ซึ่งสโมธานมานัต นี้เป็นมานัตที่สงฆ์นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน




อัพภาน
อัพภาน คือ การที่สงฆ์เรียกเข้าหมู่ หรือการที่ภิกษุท่านได้ชำระสิกขาบทที่ได้ทำให้ตนมัวหมองจนผ่านขั้นตอนการอยู่ประพฤติปริวาส การขอมานัต นับราตรีจนครบกระบวนการขั้นตอนของการประพฤติวุฏฐานวิธีตามที่พระวินัยกำหนดจนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ สงฆ์เรียกภิกษุนั้นเข้าหมู่แห่งสงฆ์เป็นสงฆ์ปกติจึงเป็นการให้ อัพภานซึ่งการให้ อัพภาน นี้ พระวินัยกำหนดให้สงฆ์สวดเรียกเข้าหมู่โดยต้องใช้สงฆ์สวดจำนวน ๒๐ รูป ขึ้นไป เมื่อสงฆ์ ๒๐ รูป
ทำสังฆกรรมสวดเรียกเข้าหมู่ให้แล้ว ก็ถือเป็นสิ้นสุดกระบวนการประพฤติวุฏฐานวีธี ในทางพระวินัย ภิกษุนั้นๆ ก็เป็นภิกษุ ุผู้บริสุทธิ์ เป็น “ปริสุทโธ”                                   

การกำหนดองค์สงฆ์ที่ต้องทำกรรมในการประพฤติวุฏฐานวิธี มี ๒ ประเภท คือ
    ๑. จตุวรรคสงฆ์ มีจำนวน ๔ รูป (หรือ ๕ รูปรวมองค์สวด) ให้ปริวาส ให้มานัต ให้ปฏิกัสสนาฯ
    ๒. วีสติวรรคสงฆ์ มีจำนวน ๒๐ รูป (๒๑ รวมองค์สวด) ให้อัพภาน




วิธีการสวดให้ปริวาส และ อัพภาน มีอยู่ ๓ วิธี คือ
   ๑. วิธีการขอหมู่  สวดหมู่ ซึ่ง การขอหมู่ สวดหมู่ ก็คือ ภิกษุผู้ประสงค์อยู่ประพฤติปริวาส ได้สวดขอปริวาสมานัต และอัพภาน ซึ่งภิกษุที่ขอหมู่ก็คือ สงฆ์อนุญาตให้ภิกษุเข้าสวดขอปริวาสพร้อมกันครั้งละ ๓ รูป ส่วนคณะสงฆ์อาจารย์กรรมนั้นต้องใช้จำนวนสงฆ์ทั้งหมด ๕ รูป รวมองค์สวด (และ ๒๑ รูป กรณีให้อัพภาน)
   ๒. วิธีการขอหมู่ สวดเดี่ยว ซึ่งก็คือ ภิกษุผู้ประสงค์อยู่ประพฤติปริวาส ได้สวดขอปริวาส มานัตและอัพภานซึ่งสงฆ์อนุญาตให้ภิกษุเข้าขอปริวาสพร้อมกันครั้งละ ๓ รูป แต่ให้สวดครั้งละหนึ่งรูปคือสวดองค์เดียวเดี่ยวๆ ส่วนคณะสงฆ์อาจารย์กรรมนั้นต้องใช้จำนวนสงฆ์ทั้งหมด ๕ รูป รวมองค์สวด (และ ๒๑ รูป กรณีให้อัพภาน)
   ๓. วิธีการขอเดี่ยว สวดเดี่ยว ก็คือ  สงฆ์อนุญาตให้ภิกษุเข้าขอปริวาสครั้งละ ๑ รูป และให้สวดครั้งละหนึ่งรูป คือสวดองค์เดียวเดี่ยว ๆ ส่วนคณะสงฆ์อาจารย์กรรมนั้นต้องใช้จำนวนสงฆ์ทั้งหมด ๕ รูป รวมองค์สวด(และ ๒๑ รูป กรณีให้อัพภาน)

________________________________________________
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.watthumpra.com/parivad.html


หมายเหตุ : ข้อมูลของปริวาสกรรมมีมากกว่านี้ ท่านใดต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม
                โปรดคลิกไปที่ http://www.watthumpra.com/parivad.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 23, 2015, 01:30:12 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
    • ดูรายละเอียด
Re: (ชมภาพ) งานปริวาสกรรม วัดแก่งขนุน สระบุรี(จบ)
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มกราคม 23, 2015, 01:24:03 pm »




ภาพงานปริวาสเช้าวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๘ มีให้ชมเท่านี้ครับ




สองภาพบน เป็นการทำวัตรเย็นของวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๘


 ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

งานปริวาสกรรมที่วัดแก่งขนุน มีภาพให้ชมเท่านี้ครับ ขอบพระคุณที่ติดตามชม
 :25: :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ฟ้าใหม่แจ่มใส

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 226
    • ดูรายละเอียด
Re: (ชมภาพ) งานปริวาสกรรม วัดแก่งขนุน สระบุรี(จบ)
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มกราคม 23, 2015, 01:44:46 pm »


 อนุโมทนา สาธุ

  ชอบภาพนี้ พระอาจารย์ กำลังแอบมองสาว

   :58:
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ ถ้าไม่ถูกใจก็ต้องว่า ยายกบ เพราะชวนมาศึกษาธรรมะ

sakol

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 242
    • ดูรายละเอียด
Re: (ชมภาพ) งานปริวาสกรรม วัดแก่งขนุน สระบุรี(จบ)
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มกราคม 23, 2015, 06:01:50 pm »
อย่างน้อยได้ชมภาพพระอาจารย์

 thk56 st12
บันทึกการเข้า

noobmany

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 79
    • ดูรายละเอียด
Re: (ชมภาพ) งานปริวาสกรรม วัดแก่งขนุน สระบุรี(จบ)
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มกราคม 23, 2015, 06:02:37 pm »


 อนุโมทนา สาธุ

  ชอบภาพนี้ พระอาจารย์ กำลังแอบมองสาว

   :58:


โอ คิดได้ยังไง นี่ .ซ..... สสดฟาดฟ่ดฟหกเด่

 :s_laugh:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
    • ดูรายละเอียด
Re: (ชมภาพ) งานปริวาสกรรม วัดแก่งขนุน สระบุรี(จบ)
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มกราคม 23, 2015, 06:20:25 pm »


 อนุโมทนา สาธุ

  ชอบภาพนี้ พระอาจารย์ กำลังแอบมองสาว

   :58:


ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

พระอาจารย์กำลังเรียกผม..ขอรับ ขอให้ทราบและเข้าใจตามนี้
 :25: :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
    • ดูรายละเอียด
Re: (ชมภาพ) งานปริวาสกรรม วัดแก่งขนุน สระบุรี(จบ)
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: มกราคม 23, 2015, 08:35:38 pm »
ขออนุโมทนาสาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา