ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมผู้ที่ฝึก อาโปกสิณ ที่บอกว่ามีฤทธิ์ ทางนี้ไม่ช่วยลดภาวะน้ำท่วม  (อ่าน 4931 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิด_หน่อย

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 90
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ลองคิดเล่น ๆ คะ แต่ถามจริง ๆ ในห้องกระทู้
 
คือสงสัยได้ยินมาว่า มีผู้มีฤทธิ์ ในด้านอาโปกสิณ กันหลายท่านหลายคน แล้วทำไม ?

ผู้มีฤทธิ์ มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ในขณะที่ชาวบ้านเดือดร้อน เพราะภัยน้ำท่วมกันอยู่ทำไม
จึงไม่แสดงฤทธิ์ ยับยั้งบรรเทา ผู้ที่เดือดร้อนกันบ้างคะ :25:


บันทึกการเข้า
พุทโธ อะระหัง พุทโธ จะท่องให้ขึ้นใจ

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ก็เพราะผู้ฝึกอาโปกสิณ สำเร็จจริง ๆ นั้น น่าจะไม่มีในปัจจุบัน จึงไม่สามารถควบคุมน้ำ ส่วนนี้ได้
แต่อาจจะมีเหตุผลอื่น ๆ อีกมากครับเป็นเรื่องที่เข้าใจยากนะครับ เรื่องอย่างนี้

  :25:

บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
     ปฐวีกสิณ มีฤทธิ์ดังนี้ เช่น นิรมิตคนๆเดียวให้เป็นคนมากได้ ให้คนมากเป็นคนๆเดียวได้ ทำน้ำและอากาศให้แข็งได้

    อาโปกสิณ สามารถนิรมิตของแข็งให้อ่อนได้ เช่น อธิษฐานสถานที่เป็นดินหรือหิน ที่กันดารน้ำให้เกิดบ่อน้ำ อธิษฐานหินดินเหล็กให้อ่อน อธิษฐานในสถานที่ฝนแล้งให้เกิดฝน อย่างนี้เป็นต้น


อ้างอิง หนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ


    หนูนิดหน่อยครับ อาโปกสิณไม่ได้มีไว้ห้ามน้ำ แต่ทำให้มีน้ำต่างหาก กสิณที่ทำให้น้ำหยุดได้น่าจะเป็นปฐวีกสิณมากกว่า เพราะทำให้น้ำแข็งได้
    ผมมีประวัติบางตอนของพระควัมปติ ซึ่งเป็นสหายของพระยสกุลบุตร มาให้อ่านครับ





๐ พระเถระแสดงฤทธิ์หยุดกระแสน้ำ(ประวัติพระควัมปติเถระ)

    พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เสวยวิมตติสุขอยู่ในอัญชนวัน เมืองสาเกต ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปยังเมืองสาเกต แล้วประทับอยู่ในพระวิหารอัญชนวัน เสนาสนะไม่พออาศัย ภิกษุเป็นอันมากพากันนอนที่เนินทราย ริมน้ำสรภู ใกล้ๆ พระวิหาร

    ครั้งนั้น เมื่อห้วงน้ำหลากมาในเวลาเที่ยงคืน พวกสามเณรเป็นต้น ส่งเสียงร้องดังลั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเหตุนั้นแล้ว สั่งท่านพระควัมปติไปว่า

    "ดูก่อนควัมปติ เธอจงไปสะกด (ข่ม) ห้วงน้ำไว้ เพื่อให้ภิกษุทั้งหลายอยู่อย่างสบาย"

    พระเถระรับพระพุทธดำรัสว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า แล้วสะกดกระแสน้ำให้หยุดด้วยกำลังฤทธิ์ ห้วงน้ำนั้นได้หยุดตั้งอยู่ดุจยอดเขา แต่ไกลทีเดียว จำเดิมแต่นั้นมาอานุภาพของพระเถระ ได้ปรากฏแล้วในโลก

    ครั้นวันหนึ่ง พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระเถระ นั่งท่ามกลางเทวบริษัทจำนวนมาก แล้วแสดงธรรมอยู่ เมื่อจะทรงสรรเสริญพระเถระ เพื่อประกาศคุณของท่าน ด้วยความอนุเคราะห์สัตวโลก จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาว่า

    "เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พากันนอบน้อมพระควัมปติ ผู้ห้ามแม่น้ำสรภุให้หยุดไหลได้ด้วยฤทธิ์ ไม่ติดอยู่ในกิเลสและตัณหาไรๆ ไม่หวั่นไหวต่ออะไร ทั้งสิ้น เป็นผู้ผ่านพ้นเครื่องข้องทั้งปวง เป็นมหามุนี เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ ดังนี้"

    ในการแสดงฤทธิ์หยุดกระแสน้ำของพระเถระในครั้งนั้น เป็นเหตุให้มาณพผู้หนึ่งชื่อว่า มหานาค ซึ่งได้เห็น ได้เกิดศรัทธา จึงขอบวชในสำนักของพระเถระ ต่อมาท่านมหานาคเถระก็ได้บำเพ็ญเพียรจนได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง


ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7586
ขอบคุณภาพจาก http://picdb.thaimisc.com


อ่านประวัติพระควัมปติได้ที่ "การนมัสการบูชาพระอรหันต์แปดทิศ"
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=244.0

   อยากจะบอกว่า พระควัมปติเป็นอีกชื่อหนึ่งของ "พระมหากัจจายนเถระ"หรือพระสังขจายน์ เป็นคนละองค์กัน
กับพระควัมปติองค์นี้  พระเครื่องที่เป็นรูปพระปิดตาที่เห็นกันอยู่โดยทั่วไป ก็คือพระสังขจายน์


    ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า ในบรรดาอรหันต์แปดทิศ มีพระควัมปติองค์เดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เป็น"เอตทัคคะ"
เป็นเรื่องที่แปลก ทั้งๆที่มีภิกษุมากถึง ๔๑ รูปที่เป็นเอตทัคคะ

     :25:
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 25, 2011, 01:10:27 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระเจ้าวิฑูฑภะเสด็จไปพบพระศาสดา
           
              แม้พระเจ้าวิฑูฑภะได้ราชสมบัติแล้ว ทรงระลึกถึงเวรนั้น ทรงดำริว่า "เราจักยังเจ้าศากยะแม้ทั้งหมดให้ตาย" ดังนี้แล้ว จึงเสด็จออกไปด้วยเสนาใหญ่.

               ในวันนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นความพินาศแห่งหมู่พระญาติแล้ว ทรงดำริว่า "เราควรกระทำญาติสังคหะ" ในเวลาเช้า เสด็จเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว ทรงสำเร็จสีหไสยาในพระคันธกุฎี ในเวลาเย็นเสด็จไปทางอากาศ ประทับนั่งที่โคนไม้ มีเงาปรุโปร่ง ใกล้เมืองกบิลพัสดุ์. แต่นั้นไป มีต้นไทรเงาสนิทต้นใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ในรัชสีมาของพระเจ้าวิฑูฑภะ.

              พระเจ้าวิฑูฑภะทอดพระเนตรเห็นพระศาสดา จึงเสด็จเข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร พระองค์จึงประทับนั่งแล้วที่โคนไม้เงาปรุโปร่งนี้ ในเวลาร้อน เห็นปานนี้, ขอพระองค์โปรดประทับนั่งที่โคนไทร มีเงาอันสนิทนั่นเถิด พระเจ้าข้า"

               เมื่อพระศาสดาตรัสตอบว่า "ช่างเถิด มหาบพิตร, ชื่อว่าเงาของหมู่พระญาติเป็นของเย็น", จึงทรงดำริว่า "พระศาสดาจักเสด็จมาเพื่อทรงประสงค์รักษาหมู่พระญาติ" จึงถวายบังคมพระศาสดา เสด็จกลับไปสู่เมืองสาวัตถีนั่นแล. แม้พระศาสดาก็ทรงเหาะไปสู่เชตวันเหมือนกัน.   

              พระราชาทรงระลึกถึงโทษแห่งพวกเจ้าศากยะ เสด็จออกไปแม้ครั้งที่ ๒ ทอดพระเนตรเห็นพระศาสดาในที่นั้นนั่นแล ก็เสด็จกลับอีก.
               เสด็จออกไปแม้ครั้งที่ ๓ ทอดพระเนตรเห็นพระศาสดาในที่นั้นนั่นแล ก็เสด็จกลับ.


               แต่เมื่อพระเจ้าวิฑูฑภะนั้นเสด็จออกไปในครั้งที่ ๔, พระศาสดาทรงพิจารณาเห็นบุรพกรรมของเจ้าศากยะทั้งหลาย ทรงทราบความที่กรรมอันลามกคือการโปรยยาพิษ ในแม่น้ำของเจ้าศากยะเหล่านั้น เป็นกรรมอันใครๆ ห้ามไม่ได้
               จึงมิได้เสด็จไปในครั้งที่ ๔. พระเจ้าวิฑูฑภะเสด็จออกไปแล้วด้วยพลใหญ่ ด้วยทรงดำริว่า "เราจักฆ่าพวกเจ้าศากยะ."



พระเจ้าวิฑูฑภะถูกน้ำท่วมสวรรคต
               
               พระเจ้าวิฑูฑภะนั้นเสด็จถึงแม่น้ำอจิรวดีในเวลาราตรี รับสั่งให้ตั้งค่ายแล้ว. คนบางพวกนอนแล้วที่หาดทรายภายในแม่น้ำ, บางพวกนอนบนบกในภายนอก. แม้บรรดาพวกที่นอนแล้วในภายใน พวกที่มีบาปกรรมอันไม่ได้กระทำแล้วในก่อน มีอยู่,
               แม้บรรดาพวกที่นอนแล้ว ในภายนอก ผู้ที่มีบาปกรรมอันได้กระทำแล้วในก่อน มีอยู่, มดแดงทั้งหลายตั้งขึ้นแล้ว ในที่ซึ่งคนเหล่านั้นนอนแล้ว.

               ชนเหล่านั้นกล่าวกันว่า "มดแดงตั้งขึ้นแล้วในที่เรานอนแล้ว, มดแดงตั้งขึ้นแล้ว ในที่เรานอนแล้ว" จึงลุกขึ้น, พวกที่มีบาปกรรมอันไม่ได้กระทำแล้ว ลุกขึ้นไปนอนบนบก, พวกมีบาปกรรมอันกระทำแล้ว ลงไปนอนเหนือหาดทราย.

               ขณะนั้น มหาเมฆตั้งขึ้น ยังฝนลูกเห็บให้ตกแล้ว. ห้วงน้ำหลากมายังพระเจ้าวิฑูฑภะพร้อมด้วยบริษัท ให้ถึงสมุทรนั่นแล. ชนทั้งหมดได้เป็นเหยื่อแห่งปลาและเต่าในสมุทรนั้นแล้ว.

               มหาชนยังกถาให้ตั้งขึ้นว่า "ความตายของเจ้าศากยะทั้งหลายไม่สมควรเลย, ความตายนี่ คือพวกเจ้าศากยะ อันพระเจ้าวิฑูฑภะทุบแล้วๆ ชื่ออย่างนี้ให้ตาย จึงสมควร๑-"
____________________________
๑- น่าจะเป็น "จึงไม่สมควร"

ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=14&p=3
ขอบคุณภาพจาก http://www.dhammajak.net
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ลองคิดเล่น ๆ คะ แต่ถามจริง ๆ ในห้องกระทู้
 
คือสงสัยได้ยินมาว่า มีผู้มีฤทธิ์ ในด้านอาโปกสิณ กันหลายท่านหลายคน แล้วทำไม ?

ผู้มีฤทธิ์ มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ในขณะที่ชาวบ้านเดือดร้อน เพราะภัยน้ำท่วมกันอยู่ทำไม
จึงไม่แสดงฤทธิ์ ยับยั้งบรรเทา ผู้ที่เดือดร้อนกันบ้างคะ :25:

   จากเรื่องของพระเจ้าวิฑูฑภะ เราจะได้ข้อคิดว่า บุรพกรรมของแต่คน แม้พระพุทธเจ้าเอง พระองค์ก็ไม่อาจเข้าไปช่วยได้
   ฉะนั้นเราๆเอง ผู้แทบจะไม่มีบารมีใดเลย ขอให้ตั้งตนอยู่ในอุเบกขาจะดีกว่า  หากอยู่ในฐานะที่ช่วยได้ ก็ขอให้ช่วยตามกำลังบารมีของตน

    :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



ภาพพุทธประวัติตอน "โปรดชฎิลสามพี่น้อง" เพื่อนๆลองเดาดูซิว่า พระองค์ใช้กสิณกองไหน  :49:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ