แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
Messages - raponsan
|
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 707
|
41
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อานิสงส์การสวดมนต์ ในหลากหลายมุม
|
เมื่อ: เมษายน 01, 2024, 05:34:21 am
|
. ประชากรสามกลุ่มวัยได้อะไร.? จากการสวดมนต์โดย เจตพล แสงกล้า นักวิจัยโครงการ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล และ ภาณี วงษ์เอก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล บทคัดย่อ
บทความนี้นนำเสนอมุมมองทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการสวดมนต์ รูปแบบการสวดมนต์ การอธิษฐานขอพร และการนำประโยชน์จากการสวดมนต์ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยสัมภาษณ์เชิงลึกประชากรสามกลุ่มวัยที่เข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี (2557) และเป็นผู้ที่สวดมนต์ทุกวันหรือเกือบทุกวันในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา จำนวน 29 ราย (วัยรุ่น 8 ราย วัยแรงงาน 13 ราย และผู้สูงอายุ 8 ราย) ผลการศึกษาพบว่า
บริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการสวดมนต์ของประชากรทั้งสามวัยคล้ายคลึงกันใน 3 มิติ คือ - การได้รับการปลูกฝังและถ่ายทอดจากครอบครัว - เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตที่ทำให้สนใจการสวดมนต์ และ - การเรียนรู้หลักธรรมที่เริ่มจากความสนใจและตั้งใจศึกษาหลักธรรมด้วยตนเอง
ทุกกลุ่มวัยเห็นว่า การสวดมนต์เป็นสิ่งที่ดีต้องสวดด้วยความศรัทธา และเชื่อว่ามีคุณค่าทางด้านจิตใจที่จะเกิดผลดีต่อตนเอง ผู้สวดมนต์ส่วนใหญ่ขอพรให้ครอบครัวเป็นลำดับแรก ให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนนาน วัยรุ่นและวัยแรงงานส่วนหนึ่งสะท้อนมุมมองในเรื่องการเรียนและการทำงานว่า การขอพรเพียงอย่างเดียวไม่ช่วยให้สำเร็จได้ หากต้องลงมือกระทำด้วย ผู้สวดมนต์ทั้งสามวัยเห็นว่า ประโยชน์สำคัญที่ได้รับจากการสวดมนต์ คือ การมีสติในขณะสวดมนต์ ทำให้จิตใจสงบและเป็นสุข และผู้สวดมนต์ทุกกลุ่มวัยนำประโยชน์จากการสวดมนต์มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม
การสวดมนต์จึงเป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับทุกคนและทุกวัย
@@@@@@@
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา ถือได้ว่าเป็นประเพณีเพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล สำหรับในประเทศไทย การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนาเริ่มในสมัยสุโขทัย (สุภาพรรณ, 2529) เป็นธรรมเนียมประเพณีที่ชาวสุโขทัยพึงปฏิบัติกันทุกๆ วันพระ วันสำคัญทางศาสนา รวมถึงงานมงคลเฉลิมฉลองต่างๆ (ทัศนา, 2552)
ในสมัยอยุธยา การสวดมนต์มีความแตกต่างจากสมัยสุโขทัย โดยมีการผสมผสานคติความเชื่อและการปฏิบัติของศาสนาพราหมณ์กับพระพุทธศาสนาเข้าด้วยกัน โดยศาสนาพราหมณ์จะมีพิธีสวดที่ส่งเสริมอำนาจบารมีของกษัตริย์ให้ดูน่าเกรงขาม ควรเคารพยกย่อง เช่น พระราชพิธีราชาภิเษกและพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ส่วนพระพุทธศาสนา มีการนำเอาพุทธมนต์ในพระไตรปิฎกมาสวด เพื่อปลุกใจและสร้างความกล้าหาญในการสู้รบศึกสงครามแก่ประชาชน บางครั้งปรากฏในรูปของการปลุกเสกมนต์คาถา
มาถึงพิธีสวดมนต์ในสมัยกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์พบว่า มีความสอดคล้องกับคติความเชื่อกับพิธีสวดเช่นเดียวกับในสมัยอยุธยา ในรัชกาลที่ 2 มีการสังคายนาบทสวดมนต์ แปลพระปริตรทั้งหลายออกเป็นภาษาไทย ผลจากการแปลบทสวดเป็นภาษาไทย ทำให้ประชาชนรู้ความหมาย บทสวดที่มีสาระและถูกต้องตามหลักพุทธธรรม การสังคายนานี้ก่อให้เกิดประเพณีสวดมนต์แปลขึ้นเป็นครั้งแรก สวดทั้งคำบาลีและคำแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งต่อมาเป็นธรรมเนียมนิยมและปฏิบัติต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน(ทัศนา, 2552)
งานวิจัยเชิงปริมาณเกี่ยวกับการสวดมนต์ข้ามปี พ.ศ. 2556 – 2557 กรณีศึกษา 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ฉะเชิงเทรา ขอนแก่น พะเยา และสงขลา ศึกษาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสวดมนต์โดยทั่วไป และการเข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 2,741 ราย ในภาพรวม พบว่า
ผู้เข้าร่วมสวดมนต์เกือบทุกคน(ร้อยละ 99.2) คิดว่าการสวดมนต์มีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และเมื่อถามว่าการสวดมนต์มีประโยชน์ในชีวิตประจำวันอย่างไร มีข้อค้นพบที่น่าสนใจ คือ • การสวดมนต์ช่วยให้มีสติปัญญามากที่สุดถึงร้อยละ 72.9 • ช่วยให้มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ร้อยละ 69.4 • มีความเป็นสิริมงคล ร้อยละ 54.9 • จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา ร้อยละ 48.7 และ • เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ร้อยละ 44 (รศรินทร์ ภาณี ณัฐจีรา และเจตพล, 2557)
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษานี้สะท้อนได้เพียงภาพรวมกว้างๆ ไม่สามารถตอบคำถามในเชิงลึก หรืออธิบายเหตุผลและนัยความหมายของการสวดมนต์ได้
งานวิจัยข้างต้น จึงได้ศึกษาเชิงคุณภาพเพิ่มเติมในประเด็นบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการสวดมนต์ รูปแบบการสวดมนต์ การอธิษฐานขอพร ตลอดจนการนำประโยชน์และอานิสงส์จากการสวดมนต์ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเน้นเปรียบเทียบประชากรสามกลุ่มวัย (วัยรุ่น วัยแรงงาน และวัยสูงอายุ) เฉพาะในจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ทำการศึกษาเชิงปริมาณเกี่ยวกับการสวดมนต์ข้ามปี พ.ศ. 2556 – 2557
@@@@@@@
วัตถุประสงค์ในการศึกษา
อาศัยข้อมูลจากโครงการวิจัยข้างต้น บทความนี้ต้องการนำเสนอมุมมองบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการสวดมนต์ รูปแบบการสวดมนต์ การอธิษฐานขอพร ตลอดจนการนำประโยชน์และอานิสงส์จากการสวดมนต์ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ของประชากรสามกลุ่มวัย คือ วัยรุ่น วัยแรงงาน และวัยสูงอายุทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับการสวดมนต์
การสวดมนต์เป็นการนำพระธรรมคำสอน สาระ หรือแก่น หรือหลักของพระพุทธศาสนามาสวดเพื่อก่อให้เกิดสติปัญญา สู่การปฏิบัติเพื่อมุ่งหวังผลอันสูงสุดคือการดับทุกข์ตามคติความเชื่อ (พินิจ, 2548) ดังนั้น การที่ผู้สวดมนต์จะได้รับประโยชน์หรืออานิสงส์จำเป็นต้องเข้าใจความหมายของเนื้อหาคำสอนที่อยู่ในบทสวดหรือข้อธรรมนั้นๆเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม อัครเดช ญาณเตโช (ม.ป.ป.) มีความเห็นว่า การสวดภาษาบาลีโดยไม่รู้ความหมาย ไม่ได้หมายความว่าจะไร้ผลแต่ช่วยให้ผู้สวดมนต์มีจิตใจที่สงบเย็นขึ้นมาได้ และหากสวดโดยรู้ความหมายและสาระสำคัญของบทที่สวดจะยิ่งทำให้ผู้สวดมนต์เกิดความศรัทธาเชื่อมั่นในบทสวดมากขึ้น ย่อมส่งผลให้ได้รับอานิสงส์จากการสวดมนต์ 2 ด้านพร้อมๆ กัน คือ ความสงบของจิตใจ และแสงสว่างทางปัญญา สามารถนำหลักธรรมในบทสวดมนต์ไปปฏิบัติตามได้จากการทบทวนวรรณกรรม
ประโยชน์หรืออานิสงส์ของการสวดมนต์ แบ่งเป็น 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) การปรับใช้การสวดมนต์ตามความเชื่อและความศรัทธาทางศาสนา 2) การปรับใช้ในการสร้างเสริมสุขภาพ โดยสวดมนต์เพื่อบำบัดความเจ็บป่วย ดังนี้
@@@@@@@
การปรับใช้การสวดมนต์ตามความเชื่อและความศรัทธาทางศาสนา
ประโยชน์หรืออานิสงส์ที่เกิดจากการสวดมนต์ อาจแบ่งได้เป็น 2 ประการ (สมเด็จพระพุฒาจารย์ พรหมรังสี,ม.ป.ป.) ประการแรก คือ ประโยชน์ที่เกิดกับจิตของผู้สวดมนต์เอง ประการที่สอง คือ ประโยชน์ที่เกิดในจิตของผู้อื่นที่ได้ยินเสียงสวดมนต์
1) ประโยชน์ที่เกิดกับจิตของผู้สวดมนต์เอง เสียงในการสวดมนต์ของผู้สวดจะกลบเสียงภายนอกไม่ให้ เข้ามารบกวนจิต ซึ่งจะทำให้ผู้สวดเกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้นๆ โดยผู้สวดต้องสวดเสียงดังให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่นใจอยู่กับเสียงสวดมนต์ จะทำให้เกิดสมาธิ เพราะขณะที่สวดมนต์ต้องใช้ความอดทนอย่างสูง เพื่อเอาชนะความปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย รวมทั้งอารมณ์ฝ่ายต่ำที่จะเข้ามากระทบจิตใจ ทำให้เกิดความเกียจคร้าน ยิ่งสวดบ่อยๆ ความอดทนก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น (สุภาพ, 2554)
เมื่อจิตเป็นสมาธิความสงบเยือกเย็นในจิตจะเกิดขึ้นและเกิดปัญญาเข้ามาในจิตใจของผู้สวด ถ้าผู้สวดมนต์รู้คำแปลและความหมายจะทำให้มีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงามจิตใจจะบริสุทธิ์ขึ้นอ่อนโยนมีเมตตา เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด และย่อมทำให้ผู้สวดได้ความรู้และปัญญา (จุฑาทิพย์, 2552)
2) ประโยชน์ในจิตของผู้อื่นที่ได้ยินเสียงสวดมนต์ ผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอยได้ความรู้ เกิดปัญญามีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยการให้ทาน (สมเด็จพระพุฒาจารย์ พรหมรังสี, 2557)
ยิ่งกว่านั้น การสวดมนต์ยังเป็นการสร้างความสุข และเกิดความสามัคคีในครอบครัว หากครอบครัวใดที่สวดมนต์เป็นประจำจะมีความสงบสุข เกิดสิริมงคลกับครอบครัว (สุภาพ, 2554)
@@@@@@@
การปรับใช้การสวดมนต์ในการสร้างเสริมสุขภาพ
นอกจากประโยชน์หรืออานิสงส์ดังกล่าวแล้ว ปัจจุบันยังมีผู้ศึกษาและวิจัยที่เกี่ยวกับประโยชน์ของการสวดมนต์ โดยใช้การสวดมนต์บำบัดเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ เพราะการสวดมนต์ทำให้มีสุขภาพจิตดีอันส่งผลต่อการมีสุขภาวะที่ดีของผู้สวดมนต์ (พินิจ, 2548)
นอกจากนี้ จากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์หรืออานิสงส์ของการสวดมนต์ พบว่า มีการนำ ประโยชน์หรืออานิสงส์ของการสวดมนต์มาใช้ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ดังรายละเอียดผลการศึกษาต่อไปนี้
ผลการวิจัยกึ่งทดลองการสวดมนต์เพื่อบำบัดความวิตกกังวลและความผาสุกทางจิตวิญญาณในผู้ป่วยมะเร็ง เต้านม โดยการติดตามผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะรับการรักษา จำนวน 10 ราย พบว่า
- คะแนนเฉลี่ยความวิตกกังวลของผู้ป่วยก่อนสวดมนต์เท่ากับ 61.3 คะแนน (SD = 2.79) สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยหลังสวดมนต์ซึ่งเท่ากับ 53 คะแนน(SD = 3.43) และแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงให้เห็นว่า การสวดมนต์มีผลในการช่วยลดความวิตกกังวล ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม
- ส่วนคะแนนเฉลี่ยความผาสุกทางจิตวิญญาณหลังสวดมนต์เท่ากับ 53.4 คะแนน(SD = 0.84) สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนสวดมนต์ ซึ่งเท่ากับ 51.3 คะแนน (SD = 2.58) และแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงให้เห็นว่าการสวดมนต์ช่วยให้เกิดการผ่อนคลายทำให้รู้สึกเป็นสุขสงบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการสวดมนต์ช่วยลดความวิตกกังวลและเพิ่มความผาสุกทางจิตวิญญาณในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมได้ (พรทิพย์ และทิตยา, 2555)
จากผลการวิจัยกึ่งทดลองโปรแกรมการจัดการอาการ ที่เน้นการสวดมนต์ช่วยลดอาการปวดของผู้ป่วยมะเร็ง ระยะสุดท้ายจำนวน 60 ราย โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มทดลอง (ผู้ป่วยที่ได้รับโปรแกรมการจัดการอาการที่เน้นการสวดมนต์) และกลุ่มควบคุม (ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับโปรแกรมการจัดการอาการ) พบว่า
ค่าเฉลี่ยอาการปวดภายหลังการทดลองของทั้ง 2 กลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยอาการปวดภายหลังการทดลอง 4 วันและ 7 วัน ของกลุ่มทดลอง น้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ยิ่งกว่านั้น อาการปวดของกลุ่มทดลองภายหลัง 4 วันและ 7 วัน พบว่า ลดลงจากก่อน
การทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงว่าโปรแกรมการจัดการอาการที่เน้นการสวดมนต์ช่วยลดอาการปวดของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายได้ (เบญมาศ และสุรีพร, 2555)
(ยังมีต่อ)
|
|
|
44
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดประวัติ “สามเณรนนท์” วัดโมลีฯ อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ สอบได้ ป.ธ.9
|
เมื่อ: มีนาคม 31, 2024, 06:25:53 am
|
. เปิดประวัติ “สามเณรนนท์” วัดโมลีฯ อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ สอบได้ ป.ธ.9สามเณรภานุวัฒน์ กองทุ่งมน อายุ 17 ปี หรือ "สามเณรนนท์" วัดโมลีโลกยาราม สามเณรอายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์ ที่สอบได้ป.ธ.9 พบสถิติสุดยอดสอบบาลีผ่านทุกปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการสอบประโยคบาลีสนามหลวง ประจำปี พ.ศ. 2567 ซึ่งได้มีการประกาศผลสอบที่วัดสามพระยา ซึ่งปีนี้มีผู้สอบได้เปรียญธรรม (ป.ธ.) 9 ประโยค จำนวน 76 รูป ในจำนวนนี้เป็นสามเณร 14 รูป นั้น หนึ่งในรายชื่อสามเณร พบว่ามีชื่อสามเณรภานุวัฒน์ กองทุ่งมน หรือ “สามเณรนนท์” อายุ 17 ปี วัดโมลีโลกยาราม รวมอยู่ด้วย ถือว่าเป็นสามเณรที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทยที่สามารถสอบได้ ป.ธ.9
สำหรับประวัติสามเณรภานุวัฒน์ เป็นชาวอ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา สังกัดสำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม กรุงเทพฯ บวชตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ที่สำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม อายุ 10 ปี สอบไล่ได้ประโยค 1-2 อายุ 11 ปี สอบไล่ได้ป.ธ. 3 อายุ 12 ปี สอบไล่ได้ป.ธ. 4 อายุ 13 ปี สอบไล่ได้ป.ธ. 5 อายุ 14 ปี สอบไล่ได้ป.ธ. 6 พ.ศ. 2565 ก็สอบไล่ได้ป.ธ. 7 พ.ศ. 2566 อายุ 16 ปี สอบไล่ได้ป.ธ.8
ด้านพระธรรมราชานุวัตร (สุทัศน์ ปิยสีโล) เจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง ที่สำนักเรียนได้สร้างประวัติศาสตร์ของวัดเป็นครั้งแรกที่พระภิกษุ-สามเณร สามารถสอบได้ ป.ธ.9 เป็นจำนวนถึง 25 รูป ถือว่ามากที่สุด ในประวัติศาสตร์การสอบของวัดโมลีฯ อีกทั้งมีสามเณรสอบได้ ป.ธ.9 ถึง 9 รูป โดยเฉพาะสามเณรภานุวัฒน์ ที่มีอายุเพียง 17 ปี ถือว่ามีอายุน้อยที่สุด ขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งขอบคุณ : https://www.dailynews.co.th/news/3303962/30 มีนาคม 2567 , 18:37 น. | การศึกษา-ศาสนา
|
|
|
45
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: "นวัคคหายุสมธัมม์" ธรรมที่เสมอด้วยอายุแห่งการกําหนดด้วยองค์เก้า
|
เมื่อ: มีนาคม 30, 2024, 10:40:54 am
|
. พิธีนวัคคหายุสมธัมม์ ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ พระอุโบสถวัดราชประดิษฐสถิต มหาสีมาราม 16 ธันวาคมที่ผ่านมานวัคคหายุสมธัมม์ ธรรมเป็นเครื่องเสมออายุด้วยนพเคราะห์ พระนิพนธ์สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว)ตามที่ สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ลงวันที่ 15 ธันวาคม พุทธศักราช 2565 เรื่อง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงพระประชวร ความทราบแล้วนั้น
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ทรงมีพระบัญชาโปรดให้สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม แจ้งวัดทุกวัดทั่วราชอาณาจักร และวัดไทยในต่างประเทศ ให้คณะสงฆ์พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนร่วมกันเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาเป็นพิเศษ ต่อจากการสวดมนต์ทำวัตรเช้าและทำวัตรเย็น เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เป็นประจำทุกวัน
วัดวาอารามทั่วประเทศ รวมถึงวัดไทยในต่างแดน ต่างร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล ขอทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน
16 ธันวาคมที่ผ่านมา ณ พระอุโบสถวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าไตร และสังฆทานถวายในการที่คณะสงฆ์วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามโดย พระเดชพระคุณพระพรหมวัชราจารย์ ประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดย อิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประธานพิธีฝ่ายฆราวาส ร่วมกันจัดพิธีนวัคคหายุสมธัมม์ ถวายพระพรชัยแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ
นวัคคหายุสมธัมม์ (อ่าน นะ-วัก-คะ-หา-ยุ-สะ-มะ-ทำ) แปลว่า ธรรมที่เสมอด้วยอายุแห่งการกำหนดด้วยองค์เก้า หรือธรรมเป็นเครื่องเสมออายุด้วยนพเคราะห์ เป็นบทเฉพาะที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปฐมเจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ทรงพระนิพนธ์ขึ้นโดยรวบรวมพระธรรมต่างๆ ในหลายพระสูตร อันมีข้อธรรมเท่าจำนวนเกณฑ์กำลังเทวดานพเคราะห์ตามหลักโหราศาสตร์ไทย เมื่อคราวบำเพ็ญพระกุศลฉลองพระชันษาครบ 50 ปี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ พุทธศักราช 2412 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วิทยานิพนธ์เรื่อง ‘วิเคราะห์การสวดนพเคราะห์ด้วยการเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์’ โดย พระมหารังสี ปี่แก้ว คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ จะทรงบำเพ็ญพระกุศลฉลองพระชันษาครบ 50 ปี ใคร่จะทรงทำพิธีพิเศษ จึงได้ตรัสปรึกษาสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) เพื่อจัดพิธีขึ้นใหม่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ทรงนิพนธ์ ‘นวัคคหายุสมธัมม์’คณะสงฆ์ 5 รูป วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เจริญพระพุทธมนต์ นวัคคหายุสมธัมม์อิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประธานฝ่ายฆราวาส จุดเทียนในพิธีสมเด็จพระสังฆราชสา ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัย จึงทรงจัดรูปแบบพิธีสวดนพเคราะห์ขึ้นถวายใหม่ เรียกว่า ‘นวัคคหายุสมธัมม์’ โดยให้พระสงฆ์ 5 รูป สวดพระธรรมต่างๆ ที่มีข้อธรรมเท่าจำนวนเกณฑ์กำลังของเทวดานพเคราะห์เฉพาะองค์ๆ คือ อนุตตริยะ 6 สำหรับวันอาทิตย์ จรณะ 15 สำหรับวันจันทร์ มรรค 8 สำหรับวันอังคาร อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 รวม 17 สำหรับวันพุธ ทสพลญาณ 10 สำหรับวันเสาร์ สัญญา 10 อนุปุพพวิหาร 9 รวม 19 สำหรับวันพฤหัสบดี สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 รวม 12 สำหรับพระราหู สัปปุริสธรรม 7 อริยทรัพย์ 7 สัมมาสมาธิปริกขาร 7 รวม 21 สำหรับวันศุกร์ และอาฆาตวัตถุปฏิวินย 9 สำหรับพระเกตุ
การเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ จึงเป็นธรรมเนียมที่มีปฏิบัติครั้งแรกในคราวนั้นเอง
ครั้นเมื่อ พ.ศ.2421 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 25 พรรษา มีพระราชปรารภว่าจะทรงจัดพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาให้พิเศษกว่าที่เคยทำมาแต่ก่อน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ จึงกราบบังคมทูลให้ทรงทำพิธีสวดนวัคคหายุสมธัมม์ จึงเป็นธรรมเนียมที่มีการสวดถวายในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สำหรับสถานที่ประกอบพิธีในช่วงแรกมักถูกกำหนดให้กระทำ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ภายในพระบรมมหาราชวัง โดยเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และในโอกาสสำคัญของพระบรมวงศานุวงศ์ นวัคคหายุสมธัมม์ ฉบับพิมพ์ พ.ศ.2471 (ภาพจากเพจ ‘จตุรเวทวิทยาคม’) สมุดไทย ‘บูชานพเคราะห์ ว่าด้วยคำบูชา’ สมัยรัชกาลที่ 6 (ภาพจากวิทยานิพนธ์ วิเคราะห์การสวดนพเคราะห์ด้วยการเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์) สมุดไทย ‘ตําราโหราศาสตร์ มีประกาศเทวดาเป็นวัน’ ปรากฏพระนาม สมเด็จพระบุรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระบําราบปรปักษ์ (ภาพจากวิทยานิพนธ์ วิเคราะห์การสวดนพเคราะห์ด้วยการเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์)พิธีในยุคแรกใช้เวลายาวนานราว 4-5 ชั่วโมง กระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงพระดำริตัดทอนข้อความที่มีเนื้อหาซ้ำกันออกไป คงไว้แต่หัวข้อธรรม ปัจจุบันจึงใช้เวลาสวดราว 1-2 ชั่วโมง
ย้อนกลับไปที่ความหมายของคำว่า นวัคคหายุสมธัมม์ มีที่มาจากศัพท์ 5 คำ ได้แก่ 1. นว แปลว่า ใหม่ จำนวนเก้า 2. คห แปลว่า เรือน, ยึด 3. อายุ แปลว่า เวลาที่ดำรงชีวิตอยู่ 4. สม แปลว่า เหมาะสม, ควรแก่, เข้ากันกับ, เสมอ, รับกัน, พอดีกัน 5. ธมม แปลว่า คุณความดี, คำสั่งสอน, หลักประพฤติปฏิบัติ, ความจริง
ทั้งนี้ นวคห มีความหมายตรงกับคำว่า นวรห หรือ นวารห มาจากศัพท์เต็มว่า นวรหคุณ หรือ นวารหาทิคุณ หมายถึง พุทธคุณ 9 หรือคุณของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ 9 ประการ
นอกจากนี้ นวคห ยังมีอีกความหมายหนึ่งว่า นวเคราะห์ หรือดาวพระเคราะห์ทั้ง 9
เนื้อหาและข้อธรรมส่วนใหญ่ในบทเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ มุ่งเน้นคุณธรรมที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ ควรประพฤติให้เกิดมีในตน และชักนำให้บุคคลเข้าสู่เขตบุญพุทธศาสนา
พรรณราย เรือนอินทร์ ตัวอย่างช่วงตอนต้นของ ‘นวัคคหายุสมธัมม์’
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหันตัสสะ ตาทิโน วิสุทธิเทวะภูตัสสะ สัมมา สามัญจะ โพธิโน นะโม ธัมมัสสะ เตเนวะ สุอักขาตัสสะ สัพพะโส ราคัสสะ เจวะ โทสัสสะ โมหัสสะ จาภิฆาฏิโน
นะโม สุปุญญักเขตตัสสะ สังฆัสสะ ธัมมะธาริโน สัตถุสาสะนะการิสสะ สัจจาภิสะมิตาวิโน อุตตะมัง วันทะเนยยานัง วันทันตา ระตะนัตตะยัง เจโตปะสาทะสัมภูตัง ยัง ปุญญัง ปะสะวามะ เส
หัญญันตูปัททะวา สัพเพ ตัสสานุภาวะสิทธิยา สะมิชฌันตุ จะ สังกัปปา อัมหากัง ธัมมะนิสสิตา เย เต นะวัคคะหา นามะ คะหัญญูภิวะวัตถิตา ระวิ จันโท ภุมโม วุโธ โสโร ชีโว จะ ราหุ จะ
สุกโร เกตุติญาเยนะ โหระสัตถานุโลมินา เตสัง อายุสะเม ธัมมะ- ปะริยาเย กะถัญจิปิ ภะณิสสามะ, มะยันทานิ กะมะนิกเข ปะตันติยาฯ
Thank to : https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_3733630ผู้เขียน : พรรณราย เรือนอินทร์ | วันที่ 21 ธันวาคม 2565 - 10:41 น. เอกสารอ้างอิง :- -‘วิเคราะห์การสวดนพเคราะห์ด้วยการเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์’ โดย พระมหารังสี ปี่แก้ว วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (พุทธศาสนศึกษา) คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2562. -บทเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ เฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกวันอาทิตย์ของสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน จัดพิมพ์โดย สำนักงานโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดราชประดิษฐฯ พระมหาอนุลักษ์ ชุตินันโท บรรณาธิการ, พิมพ์ครั้งที่ 7 พฤษภาคม 2565
|
|
|
46
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "นวัคคหายุสมธัมม์" ธรรมที่เสมอด้วยอายุแห่งการกําหนดด้วยองค์เก้า
|
เมื่อ: มีนาคม 30, 2024, 10:16:03 am
|
. แบ่งปันความรู้ทางศาสนาสู่สาธารณะ "นวัคคหายุสมธัมม์"โดย นางสาวกัญญา แก้วคำฟุ่น นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการพิเศษพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โปรดเกล้าฯพระราชทานผ้าไตร และสังฆทานถวายในการ คณะสงฆ์วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม โดยพระเดชพระคุณพระพรหมวัชราจารย์ ประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดพิธีนวัคคหายุสมธัมม์ ถวายพระพรชัย แต่เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชชิดา ในโอกาสที่ทรงพระประชวร เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๕.๓๐ น. ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
เพื่อให้ พุทธศาสนิกชนที่เป็นพสกนิกรภายใต้พระบรมโพธิสมภารได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหา กรุณา คุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเชื่อว่าสามารถช่วยป้องกันภัยอันตรายจากโรคภัยต่างๆ และทําให้เกิด ความสุขสวัสดี เมื่อผู้สวดมนต์ สวดด้วยความเคารพศรัทธาพร้อมกับแผ่เมตตาและทําใจให้สงบเป็นสมาชิก็จะทําให้ พระปริตรนั้นมีพลังและอานุภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนายังได้ประสานไปยังองค์การทางศาสนา ร่วมกันจัดพิธีทางศาสนาถวายพระพรแด่พระองค์ ณ ศาสนสถาน ตามหลักศาสนบัญญัติ ของแต่ศาสนาอีกด้วย
นวัคคหายุสมธัมม์ อ่านว่า นะ-วัก-คะ-หา-ยุ-สะ-มะ-ทำ แยกศัพท์เป็น นว + ศห + อายุ + สม + ธัมม์ นวัคคหายุสม + ธัมม์ = นวัคคหายุสมธัมม์ แปลว่า ธรรมที่เสมอด้วยอายุแห่งการกําหนดด้วยองค์เก้า หรือธรรมเป็นเครื่องเสมออายุด้วยนพเคราะห์
@@@@@@@
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาบําราบปรปักษ์ จะทรงบําเพ็ญพระกุศลฉลองพระชันษา ครบ ๕๐ ปี ใครจะทรงทําพิธีพิเศษ จึงได้ตรัส ปรึกษาเพื่อจัดพิธีขึ้นใหม่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ลา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงจัดรูปแบบพิธีสวดนพเคราะห์ขึ้นถวายใหม่ เรียกว่า “นวัคคหายุสมธัมม์ "
โดยให้พระสงฆ์ ๕ รูป สวดพระธรรมต่างๆ ที่มีข้อธรรมเท่าจํานวนเกณฑ์กําลังของเทวดานพเคราะห์เฉพาะองค์ๆ คือ - อนุตริยะ ๖ สําหรับวันอาทิตย์ - จรณะ ๑๕ สําหรับวันจันทร์ - มรรค ๘ สําหรับวันอังคาร - อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ รวม ๕๔ สําหรับวันพุธ - ทศพลญาณ ๑๐ สําหรับวันเสาร์ - สัญญา ๑๐ อนุปุพพวิหาร ๙ รวม ๑๙ สําหรับวันพฤหัสบดี - สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ รวม ๑๒ สําหรับพระราหู - สัปปุริสธรรม ๗ อริยทรัพย์ ๗ สัมมาสมาธิปริกขาร ๗ รวม ๒๑ สําหรับวันศุกร์ - และอาฆาตวัตถุปฏิวินัย ๙ สําหรับพระเกตุ
เมื่อวิเคราะห์ดูจํานวนข้อธรรมแล้วจะพบว่า เท่ากับจํานวนกําลังวันของดาวแต่ละดวง น่าจะมิได้ทรงมุ่งให้ใช้บทสวดเป็นมนต์คาถาถอดถอนพระเคราะห์อย่างเดียว แต่มุ่งจะให้นําธรรมะอันเป็นเนื้อหาในบทสวดเป็นข้อประพฤติปฏิบัติ เพื่อกําจัดเคราะห์และเสริมมงคลด้วยการประพฤติปฏิบัติ มากกว่า ดังนั้น ถ้าจะสะเดาะเคราะห์ให้หมดโดยสิ้นเชิงเหมือนการชําระสิ่งสกปรกออกจากภาชนะ ก็ควรนำหลักธรรมะไปปฏิบัติชําระล้างจิตใจอีกชั้นหนึ่ง
@@@@@@@
การสวดนพเคราะห์ด้วยการเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ในปัจจุบัน ได้ถูกกําหนดให้จัดขึ้นทั่วไป ในพระราชพิธีต่างๆ มักจัดขึ้นเป็นประจําในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ของพระมหากษัตริย์ และพระบรม วงศานุวงศ์ โดยจะถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีดังกล่าว จะสามารถพบเห็นได้ในพระราชพิธีเฉลิม พระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ทุกวันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปี หรืองานมหามงคลของ ทางราชสํานักในโอกาสอื่นๆ
พิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ ได้รับอนุญาตให้ประกอบพิธีเป็นกรณีเฉพาะในงานพระราชพิธีของราชสำนัก โดยมักจัดขึ้นในช่วงเวลาของวันพ่อแห่งชาติ คือ วันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปี จะประกอบพิธี ในช่วงเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ - ๑๗.๓๐ น. ในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙
แต่เนื่องจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ในปัจจุบันได้ยกเลิกพระราชพิธีเฉลิมพระ ชนมพรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปีลงแล้ว วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ จึงเป็นปีสุดท้ายในการประกอบพิธี เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ และได้ถูกกําหนดให้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ขึ้นอีกครั้ง ในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร วันที่ ๒๘ กราบของทุกปีแทนธรรมเนียมเต็มที่ได้ปฏิบัติมาพิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ ถูกกําหนดให้ประกอบพิธีในโลกที่เป็นมงคลองราชสํานักไทยเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชพิธีที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ เจ้าหน้าที่กลุ่มพิธี กองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบหน้าที่นี้โดยตําแหน่งทางราชการ
เริ่มตั้งแต่การขออนุญาตประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ การเตรียมกําหนดการ การประสานงานกับบุคลากรฝ่ายอื่นๆ การจัดเตรียมอุปกรณ์ การเบิกสายสิญจน์จากพระมงคลภาณกาจารย์ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ผู้หาพิธีจับสายสิญจน์เพื่อใช้ในพระราชพิธีของหลวง การจัดเตรียมสถานที่ รวมถึงการออกฎีกา นิมนต์พระภิกษุผู้ประกอบพิธี
โดยจะนําบัญชีรายนามพระสงฆ์จํานวน ๕ รูป มีพระราชาคณะเป็นหัวหน้า พร้อมด้วย พระครูสัญญาบัตร พระครูฐานานุกรม หรือพระเปรียญธรรม จากวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เสนออธิบดี กรมการศาสนา หรือผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนอธิบดีกรมการศาสนา เป็นผู้มีอํานาจลงนามในฎีกานิมนต์เท่านั้น และมอบให้เจ้าหน้าที่ดําเนินการวางฎีกานิมนต์ไปถวายพระสงฆ์ผู้มีรายนามดังกล่าวต่อไป
ระเบียบเช่นนี้ยึดถือปฏิบัติมา ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ ๕ เนื่องจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช ทรงนิพนธ์บทเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ขึ้นใหม่ ซึ่งกําหนดให้พระครูฐานานุกรมในสมัยนั้น คือ พระครูปลัดอวาจีคณานุสิชฌน์ (พระครูปลัดขวา) พระครูปลัดอุทิจยานุสาสน์ (พระครูปลัดซ้าย) รับหน้าที่เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์
และเนื่องด้วยวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามอยู่ใกล้พระบรมมหาราชวัง มีความเกี่ยวเนื่องสนิท สนมคุ้นเคยทางราชสํานัก ปฏิบัติจริยวัตรที่แสดงออกถึงความใกล้ชิด พระสงฆ์ภายในพระอารามเองก็มีความรู้ ความเข้าใจเข้าใจในขนบธรรมเนียมงานพระราชพิธี “กรมสังฆการีธรรมการ” (ปัจจุบัน คือ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม) จีงนิมนต์พระสงฆ์วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม จํานวน ๕ รูป เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ เป็นการเฉพาะ
@@@@@@@
พิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์กําหนดให้มีผู้ประกอบพิธี ๒ ฝ่าย คือ - ฝ่ายพระสงฆ์กําหนดให้ นิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จากวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม จํานวน ๕ รูป เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ - ส่วนฝ่ายฆราวาสกำหนดให้คณะโหรพราหมณ์ประกอบพิธีบูชาเชิญเทวดานพเคราะห์ทีละองค์ โดยสวดสลับกันไปมาตามลำดับพิธีของฝ่ายตนเอง โดยแบ่งขั้นตอนการประกอบพิธีออกเป็น ๒ ส่วน สลับไปมาเช่นกัน
"ในสมัยแรก" พิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์มักถูกกําหนดให้ประกอบพิธีในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เนื่องจากเป็นพระราชพิธี จึงได้รับการอุปถัมภ์จากราชสํานักอยู่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะถือว่าพิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีเฉลิม พระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะต้อง เนินการจัดงานดังกล่าวอยู่เป็นประจําทุกปี และในโอกาสสําคัญของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นๆ
พิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ยุคแรกใช้เวลานาน ในการประกอบพิธี เนื่องจากบทสวดที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช ได้นิพนธ์ ขึ้นใหม่มีจํานวนมาก ใช้เวลาสวดนาน ๔-๕ ชั่วโมง จนกระทั่งในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงดําริตัดทอนความที่มีเนื้อหาซ้ำกันออกไป คงไว้แต่ข้อพระธรรมเท่านั้น ในปัจจุบันพระสงฆ์สวดบทสวดในคัมภีร์เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ใช้เวลา ราว ๑-๒ ชั่วโมงเท่านั้น
"นวัคคหายุสมธัมม์" เป็นคําศัพท์ที่ทั้งพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนไม่คุ้นชื่อมากนัก โดยกรมการศาสนา มีภารกิจสนองงานได้เบื้องพระยุคลบาทในฐานะเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับสงฆ์ (สังฆการี) ถือปฏิบัติภารกิจ ดังกล่าวนี้ในพระราชพิธีที่เกี่ยวเนื่องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวาย พระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาหรือพระราชพิธีอื่นๆ เพื่อบํารุงขวัญและกําลังใจให้พุทธศาสนิกชน ที่เป็นพสกนิกรภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ขอขอบคุณที่มา :- บทความ : แบ่งปันความรู้ทางศาสนาสู่สาธารณะ "นวัคคหายุสมธัมม์" โดยนางสาวกัญญา แก้วคำฟุ่น นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการพิเศษ , กรมการศาสนา URL : https://e-book.dra.go.th/ebook/2566/E-book_navakakha/mobile/index.html แหล่งอ้างอิงข้อมูล :- - กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. (๒๕๕๔) พระพิธีธรรม กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด - กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. (๒๕๕๔), ศาสนพิธีในพระราชพิธี (เล่ม - กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด - พระมหาสี ปี่แก้ว (๒๕๖๒) วิเคราะห์การสวดนพเคราะห์ด้วยการเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
|
|
|
50
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อานิสงส์การสวดมนต์ ในหลากหลายมุม
|
เมื่อ: มีนาคม 29, 2024, 10:29:24 am
|
. อานิสงส์ของการสวดมนต์ โดยท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสีเทศนาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ดังปรากฏในงานของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ที่บ้าน ครั้นพลบค่ำ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตพร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวัดระฆังมายังบ้านของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี
ซึ่งในขณะนั้น มีอุบาสกอุบาสิกานั่งพับเพียบเรียบร้อยกันเป็นจำนวนมาก ด้วยต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยา เจ้าประคุณสมเด็จโตได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้ว ท่านจึงเทศน์ “เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์”
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้กล่าวว่า ยังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลา มากหรือฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์เป็นการ กล่าวถึงคุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์ อรหันต์ อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร
การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์ นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล จนสาเร็จเป็นพระอรหันต์
@@@@@@@
ที่อาตมากล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกัน คือ • เมื่อฟังธรรม • เมื่อแสดงธรรม • เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์ • เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น • เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ
การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนา บรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเป็น 2 เวลา นั่นคือ ตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม ตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม
การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจ ที่เศร้าหมองให้หมดไป เพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน การสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อม ซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 3 นั่น คือ • กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม • ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย • วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ในพระคุณทั้งสาม พร้อมเป็นการขอขมาในการผิดพลาด(หากมี) และกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศล ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดที่เดียว
@@@@@@@
อาตมาภาพ ขอรับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน การสวดมนต์นี้ ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดังพอสมควร ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตตน และประโยชน์แก่จิตอื่น
ที่ว่าประโยชน์แก่จิตตน คือ เสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนจิต ก็จะทำให้เกิด ความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้นๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เข้ามาในจิตใจของผู้สวด
ที่ว่าประโยชน์แก่จิตอื่น คือ ผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอยได้เกิดความรู้เกิดปัญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยโดยการให้ทานโดยทางเสียง เหล่าพรหมเทพที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์ มีอยู่จำนวนมาก ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างมากมาย
เมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้ามาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้น ภัยอันตรายต่างๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถกล้ำกลายผู้สวดมนต์ได้ ตลอดจนอาณาเขตและบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์ ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดาทั้งหลายคุ้มครองภัยอันตรายได้อย่างดีเยี่ยม
"ดูก่อน ท่านเจ้าพระยาและอุบาสก อุบาสิกาในที่นี้ การสวดมนต์เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เมื่อจิตมีที่พึ่งคือ คุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดี ความสะดุ้งกลัวก็ดี และความขนพองสยองเกล้าก็ดี ภัยอันตรายใดๆก็ดี จะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั่นแล.."
“…กรรมเก่าไม่มีใครลบล้างได้ กรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง…” {คำสอนของสมเด็จพระพุฒจารย์(โต พรหมรังสี)}ขอขอบคุณ :- ที่มา : จากหนังสือ บทสวดมนต์ | https://www.dra.go.th/ภาพ : https://www.pinterest.ca/pin/109212359705607817/
|
|
|
51
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อานิสงส์การสวดมนต์ ในหลากหลายมุม
|
เมื่อ: มีนาคม 29, 2024, 10:04:06 am
|
. ประโยชน์ของการสวดมนต์
สวดมนต์ ๑ ครั้ง เกิดผลดีแก่ชีวิต ๑๓ ประการ
๑. ได้สะสมคุณงามความดี คือบุญกุศลให้เกิดมีในจิตใจมากขึ้น ๒. ได้พักกายพักใจจากเรื่องวุ่นวาย ให้รู้สึกผ่อนคลาย นิ่งสงบ ๓. ได้ใกล้ชิดกับพระรัตนตรัยดลให้กล้าหาญในการละชั่วทําดีมากขึ้น ๔. ได้ขัดเกลากิเลสคือโลภ โกรธ หลง ในใจให้เบาบางเจือจางลง
๕. ได้เรียนรู้ เข้าใจในหลักธรรม ฉลาดสามารถแก้ทุกข์ให้กับตนได้ ๖. จิตใจอ่อนโยน มีเมตตา ให้อภัยได้ง่าย สุขง่าย ทุกข์ยาก ๗. มีสติยับยั้งในบาปอกุศล คิด พูด ทํา ในสิ่งที่เป็นกุศลได้ง่าย ๘. เมื่อทําดีแล้วก็เกิดความภูมิใจ ชื่นใจ และนับถือตนเองยิ่งขึ้น ๙. เวลาท่าสมาธิ จิตจะสงบตั้งมั่นได้เร็ว
๑๐. ทําให้มารดาบิดา บุตรธิดา ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลไปกับตนด้วย ๑๑. ช่วยรักษาพระธรรมในรูปแบบของพุทธภาษา (ภาษาบาลี) ๑๒. หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ทําสิ่งใดสําเร็จผลได้ง่าย ๑๓. เป็นทางนําไปสู่วิมุตติ คือความหลุดพ้น ดังปรากฏในวิมุตตายตนสูตร (1-) ว่า ทางแห่งวิมุตติมี ๕ อย่าง คือ หลุดพ้นด้วย (๑) การฟังธรรม (๒) การแสดงธรรม (๓) การสาธยายธรรม (สวดมนต์) (๔) การคิดพิจารณา ธรรม (๕) การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน____________________________________________ (1-) พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๒๐๔ ข้อที่ ๓๐๒ : ๒๕๓๘ ที่มา : หนังสือ บทเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคล จัดพิมพ์โดย มหาเถรสมาคม สำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งขาติ
. อานิสงส์การสวดมนต์ 13 ประการ
ผู้ที่สวดมนต์ด้วยความตั้งใจจริงแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ คือ ผลความดีมากมาย ดังต่อไปนี้
1. ทำให้สุขภาพดี การสวดมนต์ออกเสียง ช่วยให้ปอดได้ทำงาน เมื่อปอดทำงาน เลือดลมก็เดินสะดวก เมื่อเลือดลมเดินสะดวก ร่างกายก็สดชื่น กระปรี้กระเปร่า และกรฉับกระเฉง
2. คลายความเครียด ขณะสวดมนต์จิตจดจ่ออยู่กับบทสวด สมองไม่ได้คิดในเรื่องที่ทำให้เครียด จึงทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย
3. เพิ่มพูนศรัทธาในพระรัตนตรัย บทสวดแต่ละบทเป็นการระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย เมื่อสวดบ่อย จิตก็จะยิ่งแนบแน่นอยู่กับพระรัตนตรัย
4. ขันติบารมีย่อมเพิ่มพูน ขณะสวดต้องใช้ความอดทนเพื่อเอาชนะอาการปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ตลอดถึงอารมณ์ฝ่ายต่ำทั้งหลายมีความเกียจคร้าน เป็นต้น ยิ่งสวดบ่อย ความอดทนก็จะมีมากยิ่งขึ้น
5. จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขณะสวดจิตจดจ่ออยู่กับบทสวด ไม่วอกแวกฟุ้งซ่านไปที่อื่น จึงทำให้จิตสงบและเกิดสมาธิมั่นคง
6. บุญบารมีเพิ่มพูน ในขณะสวดมนต์ จิตใจย่อมปราศจากกิเลส มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น จึงได้ชื่อว่าเกิดบุญบารมี บุญบารมีนี้ เมื่อสั่งสมมากเข้าก็จะเป็นทุนสนับสนุนให้บรรลุผลตามที่เราต้องการ
7. จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา การแผ่เมตตาหลังจากสวดมนต์ เป็นการส่งความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ลดละความเห็นแก่ตัว เป็นอุบายกำจัดความโกรธในใจให้เบาบางและลดน้อยลง ทำให้จิตใจปราศจากความโกรธ และพบแต่ความสุข
8. ปัญญาเกิด การสวดมนต์พร้อมคำแปล ทำให้ได้รู้และเข้าใจถึงความหมายของบทสวดนั้น
9. ผิวพรรณผ่องใสและมีเสน่ห์ การสวดมนต์ทำให้จิตใจของผู้สวดสดชื่นเบิกบาน จิตที่สดชื่นเบิกบานย่อมส่งผลให้ผิวพรรณดี หน้าตายิ้มแย้ม แจ่มใส ทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความรู้สึกเป็นมิตร รักใคร่เอ็นดู
10. ศัตรูกลายเป็นมิตร ผู้เป็นมิตรยิ่งรักใคร่
11. ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง
12. ทำให้ดวงดี แก้ไขเคราะห์ร้าย ปัดเป่าเสนียดยิ้ม เพราะดวงชะตาของคนเราขึ้นอยู่กับการกระทำ ใครทำดี ดวงชะตาย่อมดี ใครทำชั่ว ดวงชะตาก็ตก การสวดมนต์เป็นการทำดีที่สามารถเปลี่ยนดวงชะตาให้ดีขึ้นได้
13. ครอบครัวและสังคมสงบสุข ที่พ่อบ้าน แม่บ้าน สวดมนต์อยู่เป็นประจำ และสอนให้บุตรหลานได้สวดมนต์ จะไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง และการที่จะไปสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นก็ไม่มี มีแต่จะทำให้คนรอบข้างและสังคมอยู่เป็นสุข สงบ ร่มเย็น และยังเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่นอีกด้วย
จากหนังสือสวดมนต์พุทธฤทธิ์ พิชิตภัย ขอบคุณที่มา : เฟซบุ้ค เห็นทุกข์เห็นธรรม | 25 มีนาคม 2022 https://www.facebook.com/DharmaBuddhismEnlighten/posts/1773391076189049
. อานิสงส์ของการสวดมนต์ ๑๔ ประการ
๑. ทำให้มีสุขภาพดี การสวดมนต์ด้วยการออกเสียง ช่วยให้ปอดได้ทำงาน เลือดลมเดินสะดวก ร่างกายก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
๒. คลายความเครียด ในขณะสวดมนต์จิตจะจดจ่อกับบทสวด สมองจะปลอดโปร่ง ไม่คิดในเรื่องที่ทำให้เครียด จึงทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย
๓. เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย บทสวดมนต์แต่ละบทเป็นการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เมื่อสวดมนต์ไปก็เท่ากับว่าได้เพิ่มพูนศรัทธาความเชื่อเลื่อมใสในพระรัตนตรัยให้มั่นคงยิ่งขึ้น
๔. ขันติบารมีย่อมเพิ่มพูน ขณะที่สวดมนต์ต้องใช้ความอดทนอย่างสูงเพื่อเอาชนะความปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย รวมทั้งอารมณ์ฝ่ายต่ำที่จะเข้ามากระทบจิตใจทำให้เกิดความเกียจคร้าน ดังนั้น ยิ่งสวดบ่อยๆ ความอดทนก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น
๕. จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขณะที่สวดมนต์จิตจะจดจ่ออยู่กับบทสวดไม่วอกแวกวุ่นวายไปในที่อื่น จึงมีความสงบเกิดสมาธิมั่นคง สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส งดงาม แม้เพียงระยะเวลาน้อยนิด ก็เป็นบุญกุศลประมาณค่าไม่ได้
๖. เพิ่มพูนบุญบารมี ขณะที่สวดมนต์จิตใจจะสะอาด ปราศจากกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น จึงเป็นบ่อเกิดแห่งบุญบารมี เมื่อสั่งสมมากเข้าก็จะเป็นทุนสนับสนุนให้บรรลุผลตามที่ต้องการได้
๗. จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา การแผ่เมตตาเป็นการมอบความรักความปรารถนาดีให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อลดละความเห็นแก่ตัว เป็นอุบายกำจัดความโกรธให้เบาบางลงไป พบแต่ความสุขสงบ
๘. เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต การสวดมนต์เป็นการทำความดีทั้งทางกายคือการสละเวลามาทำ ทางวาจาคือการกล่าวคำสวดที่ถูกต้อง และทางใจคือการตั้งใจทำด้วยความมั่นคง ย่อมเกิดสิริมงคลแก่ผู้สวดภาวนาทุกประการ
๙. เทวดาคุ้มครองรักษา ผู้ที่สวดมนต์เป็นประจำย่อมเป็นที่รักของเทวดา จะทำอะไรก็ตามหรือแม้แต่จะเดินทางไปที่ไหนๆ ก็ปลอดภัยจากอันตราย ประสบความสำเร็จเหมือนมีเทวดาให้พร
๑๐. สติมาปัญญาเกิด การสวดมนต์เป็นการสั่งสมคุณความดี ทำให้มีสติและมีจิตสำนึกที่ดีในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะถ้าสวดพร้อมกับคำแปลก็จะเกิดสติปัญญานำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตได้
๑๑. มีผิวพรรณผ่องใสจิตใจชื่นบาน การสวดมนต์ด้วยการเปล่งเสียงเป็นการกระตุ้นเซลล์ผิวหนัง จะทำให้มีผิวพรรณผ่องใสใจเป็นสุข เพราะขณะที่สวดมนต์จิตจะตั้งมั่นในบุญกุศล ไม่คิดไปในเรื่องอื่นที่ทำให้ใจเศร้าหมอง
๑๒. พิชิตใจผู้คนให้รักใคร่ การสวดมนต์เป็นประจำจะทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตร ผู้ที่เป็นมิตรอยู่แล้วก็รักใคร่กลมเกลียวกันมากยิ่งขึ้น แม้คนที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันก็จะหันกลับมาคืนดีในที่สุด
๑๓. ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย การสวดมนต์เป็นประจำ จะทำให้รอดพ้นจากภัยอันตราย ในยามมีภัย ประสบวิบากกรรมร้ายจะมีมาถึงตัว เพราะจะทำให้มีสติอยู่ตลอดเวลา
๑๔. ครอบครัวเป็นสุขสดใส การสวดมนต์เป็นการสร้างความสุข และเกิดความสามัคคีในครอบครัว หากครอบครัวใดที่พ่อบ้านแม่เรือนสวดมนต์และสอนลูกหลานให้สวดมนต์เป็นประจำ จะมีความสงบสุข ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ส่งผลให้สังคมมีความสงบสุข
Thank to : https://www.vstarproject.com/vstarproject/page/news.php?nId_blog=5774 ก.ค. 60 | โดย น.ส.นริสรา น้อยแสง | Bitly แก้ไข อานิสงส์การสวดมนต์ 15 ประการ
ผู้ที่สวดมนต์ด้วยความตั้งใจจริงแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ คือผลความดี มากมายดังต่อไปนี้
1. ทำให้สุขภาพดี การสวดมนต์ออกเสียง ช่วยให้ปอดได้ทำงาน เมื่อปอดทำงาน เลือดลมก็เดินสะดวก เมื่อเลือดลมเดินสะดวก ร่างกายก็สดชื่น กระปรี้กระเปร่า และกรฉับกระเฉง
2. คลายความเครียด ขณะสวดมนต์จิตจดจ่ออยู่กับบทสวด สมองไม่ได้คิดในเรื่องที่ทำให้เครียด จึงทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย
3. เพิ่มพูนศรัทธาในพระรัตนตรัย บทสวดแต่ละบทเป็นการระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย เมื่อสวดบ่อย จิตก็จะยิ่งแนบแน่นอยู่กับพระรัตนตรัย
4. ขันติบารมีย่อมเพิ่มพูน ขณะสวดต้องใช้ความอดทนเพื่อเอาชนะอาการปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ตลอดถึงอารมณ์ฝ่ายต่ำทั้งหลายมีความเกียจคร้าน เป็นต้น ยิ่งสวดบ่อย ความอดทนก็จะมีมากยิ่งขึ้น
5. จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขณะสวดจิตจดจ่ออยู่กับบทสวด ไม่วอกแวกฟุ้งซ่านไปที่อื่น จึงทำให้จิตสงบและเกิดสมาธิมั่นคง
6. บุญบารมีเพิ่มพูน ในขณะสวดมนต์ จิตใจย่อมปราศจากกิเลส มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น จึงได้ชื่อว่าเกิดบุญบารมี บุญบารมีนี้ เมื่อสั่งสมมากเข้าก็จะเป็นทุนสนับสนุนให้บรรลุผลตามที่เราต้องการ
7. จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา การแผ่เมตตาหลังจากสวดมนต์ เป็นการส่งความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ลดละความเห็นแก่ตัว เป็นอุบายกำจัดความโกรธในใจให้เบาบางและลดน้อยลง ทำให้จิตใจปราศจากความโกรธ และพบแต่ความสุข
8. เกิดความเป็นสิริมงคล การสวดมนต์เป็นการทำความดีไปพร้อมกันทั้งทางกาย วาจา ใจ การทำดี พูดดี คิดดี ย่อมเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง
9. เทวดารักษา ผู้ที่ประกอบกรรมดี ทางกาย วาจา ใจ ย่อมเป็นที่รักของเหล่าเทวดา และการที่เราได้แผ่เมตตาให้แก่เทวดานั้น ก็ยิ่งจะเป็นที่รักของเทวดามากขึ้น
10. ปัญญาเกิด การสวดมนต์พร้อมคำแปล ทำให้ได้รู้และเข้าใจถึงความหมายของบทสวดนั้น
11. ผิวพรรณผ่องใสและมีเสน่ห์ การสวดมนต์ทำให้จิตใจของผู้สวดสดชื่นเบิกบาน จิตที่สดชื่นเบิกบานย่อมส่งผลให้ผิวพรรณดี หน้าตายิ้มแย้ม แจ่มใส ทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความรู้สึกเป็นมิตร รักใคร่เอ็นดู
12. ศัตรูกลายเป็นมิตร ผู้เป็นมิตรยิ่งรักใคร่
13. ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง
14. ทำให้ดวงดี แก้ไขเคราะห์ร้าย ปัดเป่าเสนียดจัญไร เพราะดวงชะตาของคนเราขึ้นอยู่กับการกระทำ ใครทำดี ดวงชะตาย่อมดี ใครทำชั่ว ดวงชะตาก็ตก การสวดมนต์เป็นการทำดีที่สามารถเปลี่ยนดวงชะตาให้ดีขึ้นได้
15. ครอบครัวและสังคมสงบสุข ที่พ่อบ้าน แม่บ้าน สวดมนต์อยู่เป็นประจำ และสอนให้บุตรหลานได้สวดมนต์ จะไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง และการที่จะไปสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นก็ไม่มี มีแต่จะทำให้คนรอบข้างและสังคมอยู่เป็นสุข สงบ ร่มเย็น และยังเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่นอีกด้วย
จากหนังสือ “พุทธฤทธิ์ พิชิตภัย" เลี่ยงเชียงขอบคุณที่มา : เฟซบุ้ค อมตะธรรม ประเทศไทย | 9 สิงหาคม 2022 https://www.facebook.com/amatatum/photos/a.416051701814506/5663040090448948/?paipv=0&eav=AfaP3sDDepEfdXm_dryaVDmDWB2Elw7o7xUelT0X5SSWSn7NF2QBAAcRMrLpTy6XG_4&_rdr
|
|
|
53
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อานิสงส์การสวดมนต์ ในหลากหลายมุม
|
เมื่อ: มีนาคม 29, 2024, 09:15:08 am
|
. อานิสงส์การ "สวดมนต์" ดีต่อชีวิต อย่างไร.?ไม่ว่าจะเหตุผลใดที่ "สวดมนต์" แต่เรื่องนี้มีอานิสงส์ทั้งทางโลกและทางธรรม จะเรียกว่า ดีต่อใจ ดีต่อชีวิต และดีต่อสัตว์โลกก็ว่าได้
การสวดมนต์ มีมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ สำหรับชาวพุทธถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต โดยเฉพาะพระภิกษุสงฆ์ สามเณร นักบวช นักบุญทั้งหลาย จะขาดข้อวัตร กิจวัตรส่วนนี้ไม่ได้เลย
โดยเฉพาะบทสวดตามวิถีพุทธ โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ศาสดา ได้กลั่นกรองคำสาธยายที่มีแต่ความเป็นสิริมงคล พร้อมด้วยพลานุภาพแห่งบุญกุศลในทุกถ้อยคำผ่านภาษาบาลี มีอานิสงส์พาชีวิตไปสู่ที่สูง ห่างไกลโรคภัย ป้องกันอุปสรรคอันตราย และสูงสุดคือตัดกิเลสให้ขาดสะบั้น จนมีดวงตาเห็นธรรม
@@@@@@@
บทสวดมนต์อันประเสริฐ
การสวดมนต์ จึงเป็นการทำสมาธิ ระหว่างการสวดมนต์ ใจจะจดจ่ออยู่กับบทสวดนั้นๆ หากเป็นบทสวดมนต์แปลจากภาษาบาลีเป็นไทย ยิ่งทำให้เข้าใจความหมายมากขึ้น ก็จะเข้าใจธรรมะอันลึกซึ้งได้ง่ายขึ้น
บทสวดแต่ละบทจะเรียกว่า พระปริตร แปลว่า เครื่องคุ้มครองอันประเสริฐ ประกอบด้วยบทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีทั้งบทสรรเสริญคุณแห่งพระรัตนตรัย, บทอวยชัยให้พร บางบทนำมาจากพระไตรปิฎก บางบทเป็นบทที่แต่งขึ้นใหม่ในภายหลัง ในแต่ละบท แต่ละบาท ล้วนแล้วแต่มาจากพระโอษฐ์ อันประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้า
สวดมนต์เสมือนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระเทพโพธิวิเทศ (ท่านเจ้าคุณวีรยุทธ์ วีรยุทโธ) เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย กล่าวถึงการสวดมนต์ว่า พลังของการสวดมนต์ในพุทธสังเวชนียสถาน เสมือนเรานั่งอยู่แวดล้อมด้วยองค์พระอรหันต์และเทวดา
“การนำพระธรรมที่เป็นคำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้ามาสวด และสาธยายเป็นกิจวัตร ก็ขึ้นชื่อว่าปฏิบัติต่อพระบรมพระศาสดาด้วยการเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยทุกประการ ขอท่านทั้งหลายจงสวดมนต์เสมือนหนึ่งเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทุกวัน”
@@@@@@@
ดร.พระมหาอ้าย ธีรปัญโญ วัดนาคปรก กล่าวถึงอานิสงส์ของการสวดมนต์ในทางธรรมไว้ว่า "ผลประโยชน์ของการสวดมนต์นั้นมีมากมาย แต่สรุปง่ายๆ ตามที่ครูบาอาจารย์บอกตรงกัน ก็คือ 1. ไล่ความขี้เกียจ 2. ได้รู้ความหมาย 3. จิตเป็นสมาธิ 4. ได้ปัญญา เข้าใจแก่นสาระของธรรม และ 5. เปรียบเสมือนได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
“สำหรับผู้เริ่มต้น ก็ให้เริ่มจากนะโม 3 จบให้ได้ก่อน แล้วค่อยต่อพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ แล้วต่อด้วยบทพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ 3 บทนี้ จำให้ติดปาก ไม่ใช่การอ่านมนต์ เพราะถ้าอ่าน มันไม่มีอะไรเคลื่อนไหว สมองก็อยู่ที่เดิม ส่วนสถานที่นั้น สวดมนต์ที่ไหนก็ได้ ขอให้สวดด้วยใจก็พอแล้ว”
@@@@@@@
นายแพทย์วิโรจน์ ตระการวิจิตร ผู้อำนวยการสายงานแพทย์ โรงพยาบาลนครธน ผู้นำเอาธรรมปฏิบัติมาประยุกต์ใช้ในการรักษาผู้ป่วยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เคยเล่าถึงอานิสงส์การสวดมนต์ในทางการแพทย์ว่า
ปัจจุบันมีผลวิจัยออกมามากมายเกี่ยวกับการสวดมนต์ที่มีผลต่อสมองและร่างกาย ในวงการแพทย์ การสวดมนต์ ทำสมาธิ เจริญอานาปานสติ จะได้ผลอยู่ 3 อย่างหลักๆ คือ 1. เกิดภูมิต้านทานโรค โดยสร้างมาจากเซลล์สมองตัวหนึ่ง 2. ระบบฮอร์โมน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในสมองจะสร้างสมดุลให้กับร่างกาย 3. หัวใจและหลอดเลือด ความดันลดลง เป็นโรคหัวใจลดน้อยลง
“เพียงแค่สวดมนต์และทำสมาธิ วันละ 12 นาที นาน 8 สัปดาห์ จะมีเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นต่อเซลล์สมองของเราทันที”สวดมนต์เพื่ออะไร.?
• สวดเพื่อสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า บทสวดบางบทที่ใช้สวดนั้น เช่น บทอิติปิ โส ฯลฯ ภควาติฯ ชาวพุทธในสมัยพุทธกาล ผู้ที่มีจิตเลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้านิยมใช้สวดเพื่อสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า
• สวดเพื่อเป็นต้นทุนเจริญศรัทธา การสวดมนต์ก็เพื่อเพิ่มพูน พอกพูน เติมเต็มพลังแห่งศรัทธา ความเชื่อ ความเลื่อมใสที่มีต่อคุณพระรัตนตรัย ที่นับถือเคารพบูชาเป็นสรณะ
• สวดเพื่อแผ่จิตเมตตา บทสวดมนต์แต่ละบทเป็นเสมือนตัวเชื่อมต่อส่งสัญญาณ แปรสภาพให้เป็นพลังงานพิเศษ เหมือนพลังงานทั่วไป ผ่านกระแสเสียงกระแสจิตจากจิตสู่จิต ก่อให้เกิดเป็นบุญเป็นกุศล เป็นความรักความปรารถนาดี ความเมตตาปรานี ความสุข ความปลอดภัยส่งให้ มอบให้ อุทิศให้ แผ่ให้ เพื่อนร่วมโลกร่วมแผ่นดินทั้งมิตรและศัตรู ไม่เลือกชนชั้นวรรณะภาษา ขอให้อยู่ดีมีสุข
• การสวดมนต์เป็นการทำสมาธิ ขณะสวดมนต์ จิตย่อมจดจ่อในบทสวด หรือที่จำไม่ได้ก็ใช้สายตาเพ่งมองตัวหนังสืออ่านบทสวดแต่ละอักขระ แต่ละวรรค แต่ละบท แต่ละตอน จิตในขณะนั้นย่อมรวมตัว ดับความฟุ้งซ่านลง เกิดเป็นสมาธิได้
• เพื่อฝึกความอดทน เวลาที่สวดมนต์ ต้องใช้เวลานานพอสมควร ผู้สวดจึงต้องมีความอดทนอดกลั้นสูง ข่มทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นในขณะสวดไปจนจบ ไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดา การฝืนกาย ฝืนใจ บังคับกาย บังคับใจในขณะนั้น ย่อมทำให้ขันติธรรม
• เพื่อรักษาพระธรรม บทสวดมนต์บางบท เป็นพระพุทธพจน์ที่สำคัญ เช่น บทพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นต้น เป็นหลักธรรมสำคัญ ที่จะต้องจดจำให้ได้ เพื่อรักษาไว้ โดยปกติแล้ว บทสวดมนต์แต่ละบท ที่จะนำมาสวดนั้นผู้สวดจะต้องท่องจำให้ได้ขึ้นใจ แล้วนำมาสวดสาธยาย เพื่อเป็นการทบทวนอยู่เป็นประจำ เพื่อกันลืม
• เพื่อกำจัดบาปอกุศล ในการสวดมนต์แต่ละครั้ง ต้องข่มซึ่งนิวรณ์ธรรม มีกามฉันทะ ความติดในสุข พยาบาทความหงุดหงิดไม่พอใจ ความฟุ้งซ่านรำคาญ ความง่วงซึม หดหู่ ความลังเลสงสัย และกำจัดอกุศลธรรมต่างๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเห็นผิด ความถือตัวถือตน ความเกียจคร้านให้เบาบางจางหายหมดไปได้
• เพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต ขณะสวดมนต์ จิตเป็นสมาธิตั้งมั่น ตั้งใจสวด สวดด้วยความสงบ เรียกว่า สมาธิ ขณะสวดจิตน้อมนึกพิจารณาไปตาม เห็นความเป็นจริงของชีวิต
• สวดมนต์ช่วยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ตามหลักวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์ มีข้อควรสังเกตว่า คนที่ชอบสวดมนต์อยู่เป็นประจำ เวลามีทุกข์ ประสบปัญหาชีวิต มักทุกข์ไม่นานนัก แก้ไข หาทางออกได้รวดเร็ว ต่างจากคนที่ไม่ชอบสวดมนต์ ทุกข์ก็จะทุกข์อยู่นานหาทางออกไม่ได้.ขอขอบคุณ :- ข้อมูลบางส่วนจาก : https://www.watphramahajanaka.org/website : https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/985468By ป้อมยาม | จุดประกาย | 30 ม.ค. 2022 เวลา 16:00 น.
|
|
|
55
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อานิสงส์ในการฟังธรรม และใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรม
|
เมื่อ: มีนาคม 27, 2024, 11:05:17 am
|
. ๒. ผัคคุณสูตร ว่าด้วยพระผัคคุณะอาพาธ
[๕๖] สมัยนั้นแล ท่านพระผัคคุณะ อาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ครั้งนั้นท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระผัคคุณะอาพาธ มีทุกข์ เป็นไข้หนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความอนุเคราะห์ เสด็จเข้าไปเยี่ยมท่านพระผัคคุณะถึงที่อยู่เถิด” พระผู้มีพระภาคทรงรับด้วยพระอาการดุษณี ครั้นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้น(๑-) เสด็จเข้าไปหาท่านพระผัคคุณะถึงที่อยู่ ท่านพระผัคคุณะได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จมาแต่ไกล จึงลุกขึ้นจากเตียง ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับท่านพระผัคคุณะว่า “อย่าเลยผัคคุณะ เธออย่าลุกจากเตียงเลย อาสนะที่ภิกษุอื่นปูลาดไว้ยังมีอยู่ เราจักนั่งบนอาสนะนั้น”
พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้ ได้ตรัสถามท่านพระผัคคุณะดังนี้ว่า “ผัคคุณะ เธอยังสบายดีหรือ ยังพอเป็นอยู่ได้หรือ ทุกขเวทนาทุเลา ไม่กำเริบหรืออาการทุเลาปรากฏ อาการกำเริบไม่ปรากฏหรือ(๒-)” @@@@@@@ ท่านพระผัคคุณะกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่สบายจะเป็นอยู่ไม่ได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์มีแต่กำเริบหนักขึ้น ไม่ทุเลาลงเลย อาการกำเริบปรากฏ อาการทุเลาไม่ปรากฏ
เปรียบเหมือนคนที่แข็งแรงใช้เหล็กแหลมที่คมแทงศีรษะ ฉันใด ลมอันแรงกล้าก็เสียดแทงศีรษะของข้าพระองค์ ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์ไม่สบาย จะเป็นอยู่ไม่ได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์มีแต่กำเริบหนักขึ้น ไม่ทุเลาลงเลย อาการกำเริบปรากฏ อาการทุเลาไม่ปรากฏ
เปรียบเหมือนคนที่แข็งแรง พึงใช้เชือกหนังที่เหนียวรัดที่ศีรษะ ฉันใด ความเจ็บปวดในศีรษะของข้าพระองค์ก็มีประมาณยิ่งฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์ไม่สบายจะเป็นอยู่ไม่ได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์มีแต่กำเริบหนักขึ้น ไม่ทุเลาลงเลย อาการกำเริบปรากฏ อาการทุเลาไม่ปรากฏ
เปรียบเหมือนคนฆ่าโคหรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ชำนาญพึงใช้มีดแล่เนื้อที่คมกรีดท้อง ฉันใด ลมอันแรงกล้าก็เสียดแทงท้องของข้าพระองค์ ฉันนั้นเหมือนกันข้าพระองค์ไม่สบาย จะเป็นอยู่ไม่ได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์มีแต่กำเริบหนักขึ้นไม่ทุเลาลงเลย อาการกำเริบปรากฏ อาการทุเลาไม่ปรากฏ
เปรียบเหมือนคนที่แข็งแรง ๒ คนพึงจับแขนคนที่อ่อนแอกว่าคนละข้าง ย่างให้ร้อนบนหลุมถ่านเพลิง ฉันใด ความเร่าร้อนในกายของข้าพระองค์ก็มีมากยิ่งฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์ไม่สบาย จะเป็นอยู่ไม่ได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์มีแต่กำเริบหนักขึ้น ไม่ทุเลาลงเลย อาการกำเริบปรากฏ อาการทุเลาไม่ปรากฏ(๓-)” @@@@@@@
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ทรงชี้แจงให้ท่านพระผัคคุณะเห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว เสด็จลุกจากพุทธอาสน์จากไป
ครั้งนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปไม่นาน ท่านพระผัคคุณะได้มรณภาพแล้ว ในเวลามรณภาพ อินทรีย์(๔-)ของท่านผ่องใสยิ่งนัก
ต่อมาท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปไม่นาน ท่านพระผัคคุณะได้มรณภาพแล้ว และในเวลามรณภาพอินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก”อานิสงส์การฟังธรรม
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อานนท์ อินทรีย์ ของผัคคุณภิกษุจักไม่ผ่องใสได้อย่างไร แรกทีเดียวจิตของผัคคุณภิกษุยังไม่หลุดพ้นจากโอรัมภาคิยสังโยชน์(สังโยชน์เบื้องต่ำ) ๕ ประการ แต่เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น จิตของผัคคุณภิกษุจึงหลุดพ้นจากโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ
อานนท์ การฟังธรรมตามกาล การพิจารณาเนื้อความตามกาลมีอานิสงส์ ๖ ประการนี้
@@@@@@@
อานิสงส์ ๖ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีจิตยังไม่หลุดพ้นจากโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ ในเวลาใกล้ตาย ในเวลานั้น เธอได้เห็นตถาคต ตถาคตแสดงธรรมที่มีความงามในเบื้องต้น มีความงามในท่ามกลาง มีความงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วนแก่เธอ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น จิตของเธอจึงหลุดพ้นจากโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ นี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๑ ในการฟังธรรมตามกาล ๒. ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีจิตยังไม่หลุดพ้นจากโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ ในเวลาใกล้ตาย ในเวลานั้น เธอไม่ได้เห็นตถาคตเลย แต่ได้เห็นสาวกของตถาคต สาวกของตถาคตแสดงธรรมที่มีความงามในเบื้องต้น มีความงามในท่านกลาง มีความงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ครบถ้วนแก่เธอ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น จิตของเธอจึงหลุดพ้นจากโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ นี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๒ ในการฟังธรรมตามกาล
๓. ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีจิตยังไม่หลุดพ้นจากโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ ในเวลาใกล้ตาย ในเวลานั้น เธอไม่ได้เห็นตถาคต ทั้งไม่ได้เห็นสาวกของตถาคต แต่ตรึกตาม ตรองตาม เพ่งตามด้วยใจซึ่งธรรม ตามที่ตนได้สดับมา ตามที่ตนได้เรียนมา เมื่อเธอตรึกตามตรองตามเพ่งตามด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ตนได้สดับมา ตามที่ได้เรียนมา จิตของเธอจึงหลุดพ้นจากโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการนี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๓ ในการพิจารณาเนื้อความตามกาล
@@@@@@@
๔. ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลสอันยอดเยี่ยม(๕-) ในเวลาใกล้ตาย ในเวลานั้น เธอได้เห็นตถาคตตถาคตย่อมแสดงธรรมที่มีความงามในเบื้องต้น มีความงามในท่ามกลาง ฯลฯ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์ บริบูรณ์ครบถ้วนแก่เธอ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น จิตของเธอจึงน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลสอันยอดเยี่ยม นี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๔ ในการฟังธรรมตามกาล
๕. ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ แต่จิตของเธอไม่น้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลสอันยอดเยี่ยม ในเวลาใกล้ตาย ในเวลานั้น เธอไม่ได้เห็นตถาคตแต่เธอได้เห็นสาวกของตถาคต สาวกของตถาคตแสดงธรรมที่มีความงามในเบื้องต้น ฯลฯ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์ บริบูรณ์ครบถ้วนแก่เธอ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น จิตของเธอจึงน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลสอันยอดเยี่ยม นี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๕ ในการฟังธรรมตามกาล
๖. ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ แต่จิตของเธอไม่น้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลสอันยอดเยี่ยม ในเวลาใกล้ตาย ในเวลานั้น เธอไม่ได้เห็นทั้งตถาคตทั้งไม่ได้เห็นสาวกของตถาคต แต่เธอตรึกตาม ตรองตาม เพ่งตามด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ตนได้สดับมา ตามที่ตนได้เรียนมา เมื่อเธอตรึกตาม ตรองตาม เพ่งตามด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ตนได้สดับมาตามที่ตนได้เรียนมา จิตของเธอจึงน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลสอันยอดเยี่ยม นี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๖ ในการพิจารณาเนื้อความตามกาล” อานนท์ การพิจารณาเนื้อความตามกาลมีอานิสงส์ ๖ ประการนี้แล
ผัคคุณสูตรที่ ๒ จบเชิงอรรถ :- (๑-) ดูเชิงอรรถที่ ๑ ข้อ ๑๗ (โสปปสูตร) หน้า ๔๓๙ ในเล่มนี้ (๒-) ดู สํ.สฬา. ๑๘/๗๔/๖๖ (๓-) ดู ม.มู. ๑๒/๓๗๘/๓๓๙-๓๔๐, สํ.สฬา. (แปล) ๑๘/๘๗/๘๑ (๔-) อินทรีย์ ในที่นี้หมายถึงอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (องฺ.ฉกฺก.อ. ๓/๕๖/๑๓๘) (๕-) ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลสอันยอดเยี่ยม ในที่นี้หมายถึง นิพพาน (องฺ.ฉกฺก.อ. ๓/๕๖/๑๓๘)ขอขอบคุณ :- ภาพ : https://www.pinterest.ca/pin/536350636891090161/ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๒ หน้า : ๕๓๙ - ๕๔๒ , , พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ , พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต , ๒. ผัคคุณสูตร ว่าด้วยพระผัคคุณะอาพาธ URL : https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=22&siri=307 อรรถกถาผัคคุณสูตรที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยในผัคคุณสูตรที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สมญฺโจปิ ได้แก่ แสดงอาการลุกขึ้น. บทว่า ปฏิกฺกมนฺติ ได้แก่ ทุเลาลง.
บทว่า โน อภิกฺกมนฺติ ได้แก่ ไม่กำเริบ. บทว่า สีสเวฐนํ ทเทยฺย ได้แก่ พันศีรษะแล้วเอาไม้ขันเวียนรอบ (ศีรษะ). บทว่า อินฺทฺริยานิ วิปฺปสีทึสุ ความว่า ในเวลาใกล้ตายนั้น อินทรีย์ ๖ ผ่องใส.
บทว่า อตฺถุปปริกฺขาย ได้แก่ ด้วยการใคร่ครวญถึงประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ คือเหตุและมิใช่เหตุ. บทว่า อนุตฺตเร อุปธิสงฺขเย ได้แก่ ในนิพพาน. บทว่า อธิมุตฺตํ โหติ ได้แก่ น้อมไปด้วยอรหัตผล.
จบ อรรถกถาผัคคุณสูตรที่ ๒
ขอบคุณที่มา : อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ มหาวรรคที่ ๑ | ๒. ผัคคุณสูตร https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=327
|
|
|
56
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อานิสงส์ในการฟังธรรม และใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรม
|
เมื่อ: มีนาคม 27, 2024, 10:08:48 am
|
. อานิสงส์ในการฟังธรรม และใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมจาก ผัคคุณสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาตพระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อานิสงส์ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร ๖ ประการ คือ
@@@@@@@
จิตของภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕
• ในเวลาใกล้ตาย เธอได้เห็นตถาคต ตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑. ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร
• ในเวลาใกล้ตาย เธอไม่ได้เห็นตถาคตเลย แต่ได้เห็นสาวกของพระตถาคต สาวกของพระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๒. ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร
• ในเวลาใกล้ตาย เธอไม่ได้เห็นตถาคต และไม่ได้เห็นสาวกของตถาคตเลย แต่เธอย่อมตรึกตรอง เพ่งด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมา เมื่อเธอตรึกตรองเพ่งด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมาอยู่ จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๓. ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร
@@@@@@@
จิตของมนุษย์ในธรรมวินัยนี้ ได้หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
• ในเวลาใกล้ตาย เธอได้เห็นพระตถาคต พระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๔. ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร
• ในเวลาใกล้ตาย เธอไม่ได้เห็นพระตถาคต แต่เธอได้เห็นสาวกของพระตถาคต สาวกของพระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๕. ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร
• ในเวลาใกล้ตาย เธอไม่ได้เห็นพระตถาคต และไม่ได้เห็นสาวกของพระตถาคตเลย แต่เธอย่อมตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมา ได้เรียนมาเมื่อเธอตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมาอยู่ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๖. ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร
@@@@@@@
"ตถาคต สาวกของพระตถาคต ย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลสอันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น" พุทธพจน์ขอขอบคุณ :- ภาพ : https://www.pinterest.ca/pin/631981760239855321/ที่มา : หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สุคติ สุคโต สำหรับแจกเป็นธรรมานุเคราะห์ จัดทำถวายพระศาสนาโดย โครงการแสงธรรมแห่งพระไตรปิฎก มูลนิธิอุทยานธรรม ผู้กอปรกิจ และเจ้าภาพทุกท่าน E-Mail : tripitaka@uttayarndham.org
|
|
|
57
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เขม้นมอง “ผ้าขาวม้า” ไทยหรือเทศ.?
|
เมื่อ: มีนาคม 27, 2024, 07:38:34 am
|
. เขม้นมอง “ผ้าขาวม้า” ไทยหรือเทศ.?คําว่า “ผ้าขาวม้า” หรือ “ผ้าขะม้า” มักได้ยินคนไทยส่วนใหญ่อ้างว่าเป็นหนึ่งในอัตลักษณ์ที่สะท้อนถึงความเป็นไทย มีจิตวิญญาณ “ไทยแท้” เสียยิ่งกว่าภาพลักษณ์ของ “ตุ๊กตุ๊ก” และ “สุวรรณเจดีย์” เสียอีก
จนเชื่อกันว่า หากดีไซเนอร์สามารถดึงเอาหัวใจของผ้าขาวม้าออกมาปอกเปลือกแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ให้กิ๊บเก๋ร่วมสมัย ออกแบบให้สาวงามผู้เข้าประกวดเวทีนางงามระดับจักรวาลใส่อย่างเหมาะสม ย่อมทำให้คนทั่วโลกตื่นตะลึง
แถมไม่ต้องได้รับคำวิจารณ์เสียดสีอย่างเสียๆ หายๆ เหมือนอย่างความพยายามที่จะฝืนไปใช้สัญลักษณ์อื่นใด ที่ดูอ่อนไหวบอบบาง อาจไปกระทบกระเทือนเรื่องศาสนา หรือสุนทรียศาสตร์เอาได้
คำถามมีอยู่ว่า ตุ๊กตุ๊กก็ดี สุวรรณเจดีย์ก็ดี รวมทั้งผ้าขาวม้านั้น ตกลงแล้วเป็นวัฒนธรรมเฉพาะเพียงแค่ของสยามประเทศชาติเดียวเท่านั้นเองล่ะหรือใกล้ตัวสุด ผ้าขะม้า แผลงจากผ้าขอขมา
หากมองรากศัพท์ที่มาและความหมายของ “ผ้าขาวม้า” แบบลากให้ใกล้ตัว โยงหาความเป็นไทยมากที่สุด ก็อาจฟันธงไปเลยว่า ผ้าขาวม้า หรือ “ผ้าขะม้า” แผลงมาจาก “ผ้าขอขมา” โดยอิงกับประเพณีของคนดีศรีสยามในช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า คนไทยต้องซื้อหา “ผ้าขะม้า” ไปไหว้ผู้ใหญ่เพื่อ “กราบขอขมา”
ผ้าขมาใช้สำหรับไหว้ผู้ใหญ่ (ชาย) ในการรดน้ำดำหัว และยังใช้เป็นผ้าไหว้ในพิธีแต่งงานกับโอกาสต่างๆ ที่จะ “ขอขมา” ผู้ใหญ่ ด้วยเป็นของหาง่ายและได้ใช้ประจำวัน
แนวคิดนี้ สอดคล้องกับข้อมูลในหนังสือเรื่อง “ผ้าทออีสาน ฉบับเชิดชูเกียรติแม่ครูช่างแถบอีสานใต้” มีการอธิบายผ้าขะม้าในกัมพูชา เว่า “ผ้ากรรมา” เป็นผ้าที่มอบให้ผู้ใหญ่เพื่อขอล้างกรรม ทำให้มีผู้เชื่อต่อว่า “ผ้ากรรมา” คงแผลงเป็น “ผ้ากำมา” เมื่อเข้าสู่ราชสำนักอยุธยา ครั้นพอเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์จึงกลายเสียงเป็น “ผ้ากำม้า” และค่อยๆ แผลงเป็น “ผ้าขะม้า” หรือ “ผ้าขาวม้า” ในที่สุด
นี่คือทฤษฎีแรก ขนาดที่เชื่อว่าผ้าขะม้าเป็นของไทยแท้แล้วเชียว ก็ไม่วายยังอุตส่าห์ถูกโยงดึงไปเกี่ยวข้องกับกัมพูชาอีกจนได้อีสาน-ล้านนา-ปักษ์ใต้
เรียกนามตามกรรมต่างวาระ ในเมื่อเปิดประเด็น เสนอมุมมองว่า “ผ้าขะม้า” มีความเกี่ยวข้องกับการ “ขอขมา” ผู้ใหญ่ ดังนั้นมิอาจมองข้าม “ภาษาพื้นถิ่น” ของแต่ละภูมิภาคไปได้เลย ลองหันมาพินิจทีละภาษา บนพื้นฐานของการตั้งสมมติฐานว่า ผ้าขะม้าเกี่ยวข้องกับการไปไหว้สา สมมา สูมาคารวะ ดำหัว ผู้ใหญ่หรือไม่ และกลุ่มชนแต่ละภาคเรียกกันอย่างไร
ทางอีสานเอิ้น “ผ้าอีโป้”
บางพื้นที่เรียก “ผ้าด้าม” หรือ “ผ้าแพรด้าม” เป็นคำเรียกที่เก่ามาก ยังเหลือแถบกาฬสินธุ์ ในชีวิตจริงไม่มีใครเรียก “ผ้าขะมา” หรือ “ผ้าสุมมา” แต่อย่างใด
ฝ่ายล้านนาเรียก “ผ้าต่อง” หรือ “ผ้าหัว” สะท้อนวัฒนธรรมการโพกศีรษะที่พบในชนชาติไท/ไตแทบทุกกลุ่มทั้งหญิงและชาย
อ.ศักดิ์ รัตนชัย ปราชญ์เมืองนครลำปาง วัยย่าง 90 ปี เล่าว่า “ผ้าขะม้าของชาวลำปางในอดีตเป็นผ้าทอแบบมีลายทางเดียว ไม่เป็นตาหมากรุก จึงเชื่อว่า “ผ้าขะม้า” ไม่ใช่วัฒนธรรมดั้งเดิมของล้านนาโบราณ ลายผ้ารูปแบบชุดนักรบล้านนาคราวกอบกู้เมืองลำปางสมัย “หนานทิพย์ช้าง” เมื่อ พ.ศ.2275 เป็นเสื้อสีขาว มีผ้าคาดเอว (แต่ไม่ได้เรียกว่าผ้าขาวม้า) ยุคนั้นลำปางจะเรียกอย่างไรไม่ทราบ แต่ภาษาทางเชียงใหม่เรียกผ้าต่อง
ผ้านุ่งปิดส่วนล่างที่ม้วนถลกขึ้นมาพันขัดง่าม ลอดหว่างขาแบบโจงกระเบน แต่ดึงติ้วกว่าชิดแน่น เหมือนขี่ม้าก้านกล้วย คล้ายถกเขมรโชว์แก้มก้นนั้น เรียกผ้า “เค็ดม่ำ/เฟ็ดม่าม/เก๊นม่าม” แล้วแต่สำเนียงซึ่งเป็นภาษาที่มีอิทธิพลพม่าเข้ามาปะปน แต่ปัจจุบันไม่มีใครนิยมเรียกว่าเค็ดม่ำอีกแล้ว มักเรียกการนุ่งผ้าแบบถกเขมรโดยรวมว่า “ผ้าต้อย/ผ้าต่อง” มากกว่า”
ปักษ์ใต้เรียก “ผ้าชักอาบ” บ้างเรียก “ผ้าชุบ” มาจากวิธีการใช้ชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตัว
พบว่า ในวัฒนธรรมพื้นถิ่นทั้งสามภาค ไม่มีคำเรียกใดที่ใกล้เคียงกับคำว่า “ผ้าขาวม้า/ผ้าขะมา/ผ้าสมมา/ผ้าสุมา” แต่อย่างใดเลย
อนึ่ง ในวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยศิลปากร เล่มหนึ่ง มีการอธิบายว่า สมัยอยุธยารับอิทธิพลรูปแบบ “ผ้าเคียนหัว” จากสุโขทัยมาใช้ แต่รับชื่อมาจากเขมร แผลงผ้ากรรมา เป็นผ้ากำมา แต่วัตถุประสงค์เริ่มจากพันหัว หากเปิดพจนานุกรมจะมีคำอธิบายว่า ผ้าขะม้า เรียกอีกอย่างได้ว่า “ผ้าเคียนพุง” เป็นอีกคำหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเป็นภาษาที่อธิบายถึงวิธีการใช้งาน
สรุปว่า “ผ้าขะม้า” สามารถใช้ได้ทั้ง “เคียนพุง” และ “เคียนหัว”
ประโยชน์ของผ้าขะม้ามีมากมาย ในวัฒนธรรมล้านนา ใช้รักษาโรค มีท่ารัดอก ท่าตั้งวงแขน ขา ทำให้ร่างกายได้รับการผ่อนคลาย เรียก “วิถีแห่งผ้าต่อง”
โดยการใช้สอยในอีสานนั้น เป็นผ้าโพกหัว พัดวี อู่นอนลูกหลาน ปัดไล่แมลง เช็ดให้แห้งให้สะอาด เคียนเอว ห่มนั่งห่มนอน เบี่ยงบ้ายในยามอยู่ในพิธีบุญ นุ่งอาบน้ำ ห่อของ เป็นผ้าสารพัดประโยชน์ในวิถีเกษตรกร ส่วนในทางพิธีกรรมนั้น ถือเป็นของสมมา ของฝากของต้อน
ทางปักษ์ใต้ชุมชนลุ่มน้ำปากพนังเรียกว่า “ผ้าขาม้า” มีที่มาจากเวลาชิงเปรต เทศกาลงานบุญเดือนสิบ
แน่นอนว่า ภาษาถิ่น ทั้งอีสาน ล้านนา ปักษ์ใต้ในปัจจุบัน จะเรียก ผ้าขะม้า ว่าอะไรก็ได้ แล้วแต่สะดวก ขึ้นอยู่กับหน้าที่ใช้สอยในแต่ละพื้นถิ่น แต่ในเมื่อ “ผ้าขะม้า” เป็นของกลาง มิใช่ของภาคใดภาคหนึ่ง จึงควรช่วยกันสืบค้นว่า “ผ้าขะม้า” มีที่มาอย่างไรกันแน่มอญม่านมลายู พี่น้องอุษาคเนย์
ภาษามอญเรียก “ผ้าขะม้า” ว่าอย่างไร อาจจะช่วยเป็นเครื่องมือในการคลำทางด้านนิรุกติศาสตร์มากยิ่งขึ้น อ.องค์ บรรจุน ผู้เชี่ยวชาญภาษามอญ บอกรียกว่า “ยาดกะบอย” ภาษามอญค่อนข้างห่างไกลผิดกับภาษาเขมร ที่เรียก ผ้ากรรมา แต่ในวัฒนธรรมมอญ กลับมีการใช้ผ้าขะม้าอย่างน่าสนใจ
โดยเฉพาะคำพูดที่ได้ยินจนชินหูว่า “นุ่งผ้าตาหมากรุกของรามัญฯ” แสดงให้เห็นว่า ผ้านุ่งชายมอญจะทอเป็นลายตาราง ซึ่งยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้ ต่างกันที่มอญในไทย ใช้ลายตารางตาใหญ่คล้ายกับลายผ้าขะม้าในหลายวัฒนธรรมในไทย แต่มอญในพม่า ใช้โสร่งแดงลายตารางตาเล็ก ซึ่งเป็นการสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาใหม่หลังจากถูกวัฒนธรรมพม่ากลืนไป (อ้างอิงจากข้อมูล ของ อ.องค์ บรรจุน)
ปกติ ชายชาวมอญในไทยจะใช้ผ้าขะม้าในโอกาสต่างๆ กัน อาทิ เข้าวัด – ใช้นุ่งเฉวียงบ่า เป็นผ้าสไบ อาจใช้เป็นผ้าปูกราบด้วย งานพิธีที่เป็นทางการ – พับให้แคบ พับครึ่ง แล้วพาดบ่า โดยให้ชายผ้าอยู่ข้างหลัง งานรื่นเริง – คล้องบ่า ห้อยไหล่ โดยให้ชายสองข้างห้อยอยู่ด้านหลัง เป็นสองชาย ทำงานใช้แรง – มัดเอว
เมื่อเปรียบเทียบดูกับวัฒนธรรมไท/ไต และชาติพันธุ์อื่นในอุษาคเนย์ พบว่าผ้าขาวม้าปรากฏอยู่ทั่วไป เป็นผ้าอเนกประสงค์ ใช้ได้สารพัดประโยชน์ คำเรียกจึงมีหลากหลายตามหน้าที่ใชสอย รูปแบบก็แยกย่อย
ทว่า สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ไม่เคยเปลี่ยนคือ ลายตารางหมากรุก หรือศัพท์ผ้าทอเรียก “ตาโก้ง/ตาแสง” คำว่า “ผ้าลายตาโก้ง” ไม่เกี่ยวข้องกับชื่อ “เมืองตะโก้ง” ในพม่า แต่อย่างใด แต่เป็นคำไทย หมายถึงผ้าลายตาๆ ส่วนโก้งก็คือลายด่าง เช่น พูดว่า “เสื้อโก้งเสื้อลาย” คำว่า “ตาแสง” ก็ใช้เรียกลวดลายตาสี่เหลี่ยม เช่น “รั้วตาแสง” คือรั้วไม้ไผ่ลายตาราง
มีผู้เชี่ยวชาญภาษาชวาเสนอว่า ในภาษาอินโด มีคำว่า Garis-การีส แปลว่า ขูด ขีด เขียน (คล้ายคำว่า กา) กับอีกคำ Mata-มาตา แปลว่าดวงตา รวมสองคำเป็น Garismata ก็คือ การขีดเขียนตาสมัยนี้ หรืออีกนัยคือการขีดตารางก็ว่าได้
คำว่า Garis ยังแตกหน่อออกไปเป็น Keris-เคอริส หรือกริชในภาษาไทย มีคมสองด้านยาวเรียวแหลม และปลอกหรือซองใส่กริชเรียก Sarung-ซารุง ซึ่งยังใช้ในความหมายของซารุงหรือผ้าโสร่ง ผ้าตารางหมากรุก ในแบบเดียวกับผ้าขะม้า ที่น่าจะหดสั้นจากคำยาว “การีสมาตา” เป็น “กามา”ฮากามะ“ผ้าก่าม่า” “ฮากามะ” ของญี่ปุ่น
อีกทฤษฎีหนึ่ง มีโอกาสไปฟังการบรรยายของ อ.จิราภรณ์ อรัณยะนาค อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์โบราณวัตถุของกรมศิลปากร จัดโดย “มิวเซียมสยาม” ท่านบอกว่า พบผ้าขาวม้าผืนเก่าแก่มากในประเทศญี่ปุ่น ทำเป็นตารางหมากรุกเหมือนของเรา มีอายุร่วมสมัยกับกรุงศรีอยุธยา ญี่ปุ่นเรียกผ้านั้นว่า “ผ้าก่าม่า”
ผ้าก่าม่ามีลักษณะการนุ่งร่วมกับ “ฮากามะ” (Hakama) ที่เป็นกางเกงขายาวอัดพลีทบานคล้ายกระโปรง ส่วนผ้านุ่งพันแบบกางเกงชั้นใน คล้ายนุ่งเค็ดม่ำของคนล้านนา/พม่าและถกเขมร เปิดแก้มก้นคล้ายนักมวยปล้ำซูโม่นุ่งกัน เรียกว่า ฟุนโดชิ (Fundoshi)
น่าสนใจยิ่งนัก เนื่องจากญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์กับสยามมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว ตกลงใคร “รับ” หรือ “ส่ง” อิทธิพลผ้าขะม้าให้ใครกันแน่ ญี่ปุ่นรับ “ผ้าก่าม่า” จากอยุธยา หรืออยุธยารับ “ผ้าขะม้า” จากญี่ปุ่น
ผู้รู้บางท่านบอกว่า ญี่ปุ่นรับอิทธิพลวัฒนธรรมจากอยุธยาไปมากโดยผ่านทางริวกิว (หรือโอกินาว่า อดีตเป็นประเทศหนึ่ง) ตัวอย่างที่ชัดคือ เหล้าสาเก เพราะแต่เดิมในญี่ปุ่นมีแต่เหล้าทำจากมันฝรั่ง
@@@@@@@ หรือจะจบลงด้วยทฤษฎีเปอร์เซียน
ในภาษาเปอร์เซียน หรืออิหร่าน มีคำว่า “คะมัร” ซึ่งแปลว่า “เอว” ส่วน ผ้าคะมัร=ผ้าคาดเอว ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาเปอร์เซียนจึงเชื่อว่า ขาวม้า/ขะม้า มาจากคำว่า คะมัร ในภาษาเปอร์เซียน
ยังมีคำภาษาไทยอีกมากที่มีที่มาจากเปอร์เซีย อาทิ ฉัตร : (ชัทร) กะหล่ำ : (คะลัม) หลาบ : (โกลอบ) ฯลฯ
อาจเป็นไปได้ว่า คะมัร ของเปอร์เซียอาจเป็นรากศัพท์ “ตัวแม่” ที่ส่งอิทธิพลทางภาษาให้แก่ กามัร กรรมา การีสมาตา ก่าม่า เค็ดม่ำ ขมา ขาม้า ขาวม้า ให้แก่ประชาคมเอเชียนานาชาติพันธุ์ที่เข้ามาปะทะสังสรรค์กันแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาโน้นแล้ว
ที่มาและรากศัพท์ของ “ผ้าขะม้า-ผ้าขาวม้า” คงต้องสืบค้นกันต่อไป ฟังดูเหมือนง่าย แต่กลับไม่ง่ายเหมือนที่คิด เพราะพอสืบสาวเอาเข้าจริงๆ แล้วมีข้อมูลทะลักมหาศาล มึนหัวพอสมควร
การสืบค้นเรื่อง “ผ้าขะม้าของคนเอเชีย” ไม่ได้ง่ายดาย เหมือนการได้มาซึ่งภรรยาหลายคน ของอดีตนายกรัฐมนตรีไทยผู้หนึ่งซึ่งมีฉายาว่า “จอมพลผ้าขะม้าแดง”ขอขอบคุณ :- ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 มิถุนายน 2559 คอลัมน์ : ปริศนาโบราณคดี ผู้เขียน : เพ็ญสุภา สุขคตะ เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2567 URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_5028
|
|
|
58
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 สิ่ง “เขมร-ไทย” ในประเด็นตามหา
|
เมื่อ: มีนาคม 27, 2024, 07:14:43 am
|
. 5 สิ่ง “เขมร-ไทย” ในประเด็นตามหาหลังทวงคืนปราสาทเขาพระวิหารกับศาลโลกเมื่อ 6 ทศวรรษก่อน ตอกย้ำความสำเร็จบนเวทีนานาชาติ ตอกย้ำความสำเร็จแต่ครั้งประเดิมคืนเอกราชจากฝรั่งเศสแล้วอย่างยิ่งยวดโดยมิโอ้อวดประวัติศาสตร์เลยนั้น เป็นความจริงทีเดียวสมัยสีหนุราช
แต่แล้วความภาคภูมิใจทั้งหมดก็ถูดลดเลือนโดยระบอบเขมรแดงและสงครามกลางเมือง ที่สุดจะเยียวยาจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กลับสู่ยุคใหม่ทั้งหมดฟื้นฟูระบอบกษัตริย์และการปกครองในปี พ.ศ.2536 แต่ความขัดแย้งก็ยังไม่สิ้น จนปี 2546 เมื่อสมเด็จฯ ฮุน เซน ชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลแต่เพียงพรรคเดียว
ก่อนหน้านั้นเขาหลงทางไปกับนโยบายโยนบาปตามแนวพรมแดนเพื่อแสวงหาวิถีรักชาติจากประชาชนกัมพูชา และพบว่ามันไม่อาจยั่งยืน แต่นั้นมาเขาก็หันไปหาความสำเร็จแนวใหม่ นั่นคือแนวรบทางวัฒนธรรม และช่างบังเอิญว่า เมื่อกัมพูชากลับมาสู่ความสงบเรียบร้อยของความเป็นประเทศแล้ว ความถวิลหาวัฒนธรรมแห่งอดีตที่ยิ่งใหญ่ก็ตามมา โดยเฉพาะระหว่างปี 2513-2518 ที่ทำให้ขนบจารีตเขมรหลายอย่างได้บัดบ่งสูญหาย และช่างบังเอิญกระไร ที่ประดาเรื่องทั้งหมดดูจะมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไทย จนคล้ายเป็นเรื่องเดียวกัน
@@@@@@@
1. ระบำราชสำนัก : ละครรำสยาม
ไม่มีใครสนใจว่า จุดเริ่มต้นของต้นทุนวัฒนธรรมที่คนทั้งโลกจะรำลึกถึงกัมพูชานี้มาจากที่ใด
สำหรับระบำราชสำนักกัมพูชา ที่เดิมทีนักวิจัยฝรั่งเศสลงความเห็นว่า ราชสำนักกัมโพชรับมาจากสยาม และถูกบันทึกความสำคัญอย่างยิ่งยวดคราวที่พระบาทสีโสวัฒถิ์ (2447-2470) นำไปแสดงในฝรั่งเศส
คราบไคลในความเป็นสยามของนาฏศิลป์แขนงนี้ก็ดูจะหายไป และพัฒนาต่อยอดในแบบฉบับระบำอัปสราในอีก 2 รัชกาลถัดมา นี่คือสิ่งที่ทำให้ระบำราชสำนักของกัมพูชาโดดเด่นไปด้วยอัตลักษณ์เฉพาะตน จนยูเนสโก-องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 2553 และนับแต่นั้นมา ระบำราชสำนักกัมพูชาก็กลายเป็นโมเดลแห่งความสำเร็จทางวัฒนธรรม
@@@@@@@
2. โขลเรียมเกร์ : โขนรามเกียรติ์
จุดบ่งชี้ที่เริ่มทำให้เห็นว่า ความสำเร็จจากชัยชนะในระบำเขมรอาจเป็นเรื่องง่ายเกินไปเพราะอยู่ในยุคที่ไร้คู่ต่อกร แต่สำหรับละครโขนรามเกียรติ์หรือละครโขลเรียมเกร์เขมรนั้นไม่ใช่ นี่คือจุดเริ่มต้นของการตามหาสิ่งที่สูญหายทั้งภายในประเทศเองและระดับนานาชาติ รวมทั้งความหมายของประเด็นชนชั้นล่าง-รวมทั้งศิลปินพื้นบ้านซึ่งเป็นผู้ก่อการการแสดงโขลในรูปแบบนานามาแต่ต้น
ก่อนหน้านั้น วัฒนธรรมโขลถือเป็นการแสดงชั้นสูงและถูกกีดกันจากราชสำนักผู้ปกครอง ทำให้โขลเขมรถูกจำกัด และแทบไม่มีตัวตนเชิงสาธารณะนอกจากบทร้องเรียมเกร์ของศิลปินพื้นบ้าน ที่พบก่อนปี พ.ศ.2518 โดยนักวิชาการฝรั่งเศส และยุคเขมรสาธารณรัฐหลังโค่นล้มกษัตริย์ไปแล้ว หลักฐานหลงเหลือของบทร้องเรียมเกร์โดยศิลปินพื้นบ้านคนสุดท้ายเพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่นานนี้ คือบทร้องเรียมเกร์ของตาครุด
แต่อาจจะด้วยการถูกกดทับแสนนานหรือไม่ที่ทำให้เรียมเกร์เขมรมีลักษณะการเติบโตที่แตกต่างจากพื้นบ้านและการกลับมารื้อฟื้นอีกครั้งก็เกิดขึ้นโดยศิลปินท้องถิ่น โดยเฉพาะในลักษณะของความเป็นวัฒนธรรมจากฐานรากของชุมชนอย่างเป็นองค์รวม
ยูเนสโกขึ้นทะเบียนโขลเรียมเกร์ว่าเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอันจับต้องไม่ได้ สาขาอนุรักษ์/เสี่ยงการสูญหาย และขึ้นทะเบียนโขนไทยไว้ในสาขาเอกลักษณ์ชาติ แต่ประเด็นวิวาทะก็ยังเป็นดราม่า อันเกิดจากวัฒนธรรมร่วมสมัยแต่ไม่ร่วมชาติในบางครั้ง
@@@@@@@
3. มวยไทย : กบัจคุน
กบัจคุนเป็นชื่อเดียวกับ “มวยไทย” ตามที่ชาวเขมรเรียก ก่อนหน้านั้นจากหลักฐานบุน จันมุล (บุนจันทร์ มุล) ที่ขณะนั้นชาวเขมรโดยรวมเรียกขานตัวเองว่ากัมปูเจีย นักเขียนและนักต่อสู้แนวทางซึง งอกทันห์ ท่านนี้ยอมรับศิลปะมวยไทยแต่ไหนแต่ไร และเคยไปดู “ประฎาล” ศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าระหว่างไทยกับเขมรราวครั้งหนึ่งที่พระตะบอง จันมุลเห็นว่ามีความสูสีกันมากและไทยขณะนั้นดูจะมีชั้นเชิงและชื่อเสียงมากกว่าเขมรนิดหน่อย โดยเฉพาะด้านเทคนิค
บุน จันมุล ลาโลกไปราว 30 ปี ประฎาลที่เขารู้จักก็ถูกยกระดับให้เป็น “กบัจคุน” กบัจคุนโบราณ คุนเขมร โบกะตอ หรือชื่ออะไรต่างๆ ดังที่รัฐกัมพูชาพยายามผลักดัน และแม้ชาวเขมรทั่วไปก็ยังติดปากเรียกประฎาล
แน่นอน วัฒนธรรมกีฬาสำหรับกัมพูชาแล้ว มิใช่แต่ความสนุก บันเทิงหรือท่องเที่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองและความมั่นคงที่จำเป็นต้องปลุกเร้าให้เกิดอัตลักษณ์แห่งความเป็นชนชาติอีกด้วย เพียงแต่ว่า ตอนที่เห็นคุณค่าเช่นนั้น กัมพูชาอยู่ในช่วงอันมืดมน และใครจะไปรู้ล่ะว่า ศิลปะการต่อสู้แขนงนี้นับวันจะกลายเป็นอัตลักษณ์แห่งความเป็นชาติและอนาคต ตลอดจนมิติความเป็นสากลที่นับวันจะมีมูลค่ามหาศาล!
และเหตุนั้น กบัจคุนจึงเป็นเหมือนคู่ต่อกรตลอดกาล ตราบใดก็ตามที่ประเด็นมวยไทยถูกกล่าวขานบนเวทีนานาชาติ และความสำเร็จของมวยไทยที่ชาวโลกขานรับอย่างมากมาย แต่ตราบใดที่คำว่า “มวยไทย” ยังไม่สามารถพิสูจน์ว่าเป็น “อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมเฉพาะตน” ไปได้ ความหมายของคำว่ามวยไทยบนเวทีนานาชาติก็ไม่อาจสง่างาม สำหรับเวทีกลางแห่งสากล
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกันที่ว่า ทั้งโขลเรียมเกร์และระบำเขมรโบราณ ต่างเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับไทยอย่างเห็นได้ เช่นเดียวกับกบัจคุนกับมวยไทย และความพยายามยกระดับกบัจคุนเทียบเท่ากับศิลปะการต่อสู้ที่รุ่งเรืองสมัยพระนคร-นครธมยังคงดำเนินไป เช่นเดียวกับกองทัพกัมพูชาที่บรรจุให้ศิลปะแขนงนี้เป็นนโยบายเอกแห่งการฝึกซ้อมและธำรงวินัย
@@@@@@@
4. พระแก้วมรกต : พระแก้วมรกต
มานานระยะหนึ่งแล้วที่หลักฐานเถรวาทกัมพูชาอ้างถึงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ว่าเป็นรัตนสมบัติ หรือ “ปฏิกภรณ์” ของฝ่ายตนนั้น
นับไปก่อนหน้า แต่ครั้งฝรั่งเศสสร้างพระราชวังจตุรมงคลและปราสาทพระที่นั่งเทวาวินิจฉัยถวายแก่กษัตริย์นโรดม (2403-2447) ตามพระองค์ร้องขอ ซึ่งแทบจะจำลองเอาพระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัยไปไว้ที่กรุงพนมเปญเสียทั้งหมด รวมทั้งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มองความสัมพันธ์ชาวเขมรต่อพระแก้วมรกตที่ออกจะคลุมเครือนั้น
แต่ให้สงสัยว่า เหตุใดกษัตริย์เขมรจึงเจตนาสร้างพระรัตนารามเพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรไว้ ณ เขตพระราชฐานด้วยฉะนี้.? แม้โดยที่จริงแล้ว ราชสำนักกัมโพชเวลานั้น(และจนบัดนี้) ไม่เคยมีหรือครอบครองพระแก้วมรกตแต่อย่างใด.? และใช่แต่พระแก้วมรกตเท่านั้นที่นักวิชาการเขมรบางฝ่ายทวงถาม แต่ยังรวมถึง 1 ใน 5 ของเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย
@@@@@@@
5. พระขรรค์กัมโพช : พระขรรค์แสงชัยศรี
เล่ากันว่า พระขรรค์แสงชัยศรีในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 10 ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นพระขรรค์เก่าแก่ยุคขอมโบราณสมัยรัชกาลพระบาทชัยวรมันที่ 7 เลยทีเดียว ตกทอดมาถึงไทย จากที่ชาวประมงเขมรงมพบได้ในบารายและนำไปถวายเจ้าเมืองเสียมเรียบ และถูกนำไปถวายแด่กษัตริย์ไทยในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ กระทั่งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อ 5 พฤษภาคมของปีกลาย
ทันใดนั้น ความพยายามจะกล่าวถึงพระขรรค์ของเขมรได้เกิดขึ้นอีกครั้งในหมู่ชาวเขมรบางกลุ่มและเงียบหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง เป็นที่ทราบว่า การสืบสันตติวงศ์แห่งระบอบกษัตริย์และสิ่งอันบ่งบอกถึงราชประเพณีได้ถูกระบอบเขมรแดงทำลายไปจนสิ้น
สำหรับเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์และพระขรรค์ประจำราชวงศ์ และพระบาทนโรดม สุระมฤทธิ์ คือองค์สุดท้ายที่ได้ทำพิธีดังกล่าวอย่างเต็มพระยศ เมื่อ 6 มีนาคม พ.ศ.2499 เช่นเดียวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันที่ 29 ตุลาคม 2547 โดยกษัตริย์เขมรองค์ปัจจุบัน คือพระบาทนโรดม สีหมุนี ที่เรียบง่าย ปราศจากพระขรรค์ เครื่องราชกกุธภัณฑ์และอำนาจใดๆ
ขอขอบคุณ :- ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 กรกฎาคม 2563 คอลัมน์ : อัญเจียแขฺมร์ ผู้เขียน : อภิญญา ตะวันออก เผยแพร่ : วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2567 URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_323091
|
|
|
60
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไขปริศนาเช็งเม้ง “สีตัวอักษรที่ฮวงซุ้ย” หมายความว่าอะไร.!?
|
เมื่อ: มีนาคม 27, 2024, 06:38:52 am
|
. ไขปริศนาเช็งเม้ง “สีตัวอักษรที่ฮวงซุ้ย” หมายความว่าอะไร.!?เคยสังเกตไหมว่า สีตัวอักษรที่จารึกไว้ที่ฮวงซุ้ย มีทั้งสีแดง สีเขียว และบางครั้งเป็นสีทอง สีเหล่านี้หมายความว่าอะไรกันนะ
ในประเทศไทย วันเช็งเม้ง 2567 ตรงกับวันที่ 5 เมษายน จะเป็นช่วงที่มีการเดินทางไปไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งจริง ๆ แล้วจะกำหนดไว้ที่ประมาณ 7 วัน คือตั้งแต่วันที่ 2 - 8 เมษายนของทุกปี แต่หลายครอบครัวก็เริ่มเดินทางไปไหว้บรรพบุรุษกันตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว
และหากเราสังเกตที่ฮวงซุ้ย ก็จะมีตัวอักษรจีนสลักอยู่บนแผ่นหินที่ฮวงซุ้ย เรียกว่า 石碑 “เจียะปี” โดยตัวอักษรเหล่านั้น มีความหมายอยู่มากมาย รวมถึงความหมายของการใช้สีตัวอักษรด้วย ความหมายของตัวอักษรจีนบนฮวงซุ้ยตัวอักษรจีนบนฮวงซุ้ย (เจียะปี) คืออะไร.?
ลูกหลานส่วนมากได้เห็นตัวอักษรจีนเหล่านี้ ก็อาจจะต้องสงสัยว่าตัวอักษรจีนมากมายขนาดนี้ แปลความหมายออกมาว่าอย่างไร วันนี้มาไขข้อสงสัยกัน
• ตัวอักษรบนสุด ที่เขียนว่า 祖 หมายถึง บรรพชน บรรพบุรุษ • ตัวอักษรแถวริมขวาสุด (แถวสุดท้าย) จะเป็นการระบุที่อยู่ ภูมิลำเนาเดิมที่ประเทศจีน • ตัวอักษรแถวริมซ้ายสุด (แถวแรก) จะเป็นวัน เดือน ปี ที่สร้างฮวงซุ้ยนี้ขึ้น • ตัวอักษรแถวขวา (แถวที่สาม) เขียนว่า 考 เป็นสรรพนามคำขึ้นต้นชื่อของฝ่ายชายที่นอนอยู่ในฮวงซุ้ย แล้วตามด้วยชื่อ • ตัวอักษรแถวซ้าย (แถวที่สอง) เขียนว่า 妣 เป็นสรรพนามคำขึ้นต้นของฝ่ายหญิง แล้วตามด้วยชื่อ
เหตุผลที่มีทั้งชื่อฝ่ายชาย และฝ่ายหญิงอยู่ในฮวงซุ้ยเดียวกันนั้น เพราะคนจีนนิยมซื้อฮวงซุ้ยคู่
• หลังจากสรรพนาม ชื่อ แล้วจึงตามด้วยแซ่ (นามสกุล) • ส่วนบรรทัดสุดท้ายของทั้งแถวขวา และซ้าย คือการแยก นาย และนาง นั่นเอง
แต่สิ่งที่ไม่สังเกตเห็นไม่ได้เลย คือทำไมต้องมีทั้งตัวอักษรสีแดง และสีเขียว.!?
@@@@@@@
สีตัวอักษรบนฮวงซุ้ย (เจียะปี) หมายถึงอะไร.?
แท้จริงแล้ว ตัวอักษรแต่ละสี บ่งบอกถึงการเสียชีวิต และการมีชีวิตอยู่ นั่นคือ
• สีแดง หมายถึง ยังมีชีวิตอยู่ • สีเขียว หมายถึง เสียชีวิตแล้ว
คนจีนมักสร้างฮวงซุ้ยไว้ล่วงหน้า จะมีการสลักชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว แต่มักจะใช้สีแดงไว้ก่อน หากมีการเสียชีวิต ก็จะมาเขียนทับด้วยสีเขียวนั่นเอง
แต่ในปัจจุบัน ก็มีการใช้สีทองล้วนมากขึ้น ไม่ว่าจะเสียชีวิตแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม Thank to : https://www.pptvhd36.com/news/ไลฟ์สไตล์/220299 โดย PPTV Online | เผยแพร่ 26 มี.ค. 2567 ,15:12น. ขอบคุณข้อมูล : ศูนย์ภาษาจีนฟิวเจอร์ซี, กินอยู่เป็น
|
|
|
61
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พิธีเปลี่ยนผ้าไตรจีวร สรีระสังขาร "หลวงพ่อจันทร์" พระเกจิดัง ร่างไม่เน่าเปื่อย
|
เมื่อ: มีนาคม 27, 2024, 06:30:37 am
|
. พิธีเปลี่ยนผ้าไตรจีวร สรีระสังขาร "หลวงพ่อจันทร์" พระเกจิดัง ร่างไม่เน่าเปื่อยศิษยานุศิษย์ แห่ร่วมพิธีเปลี่ยนผ้าไตรจีวร "หลวงพ่อจันทร์" พระเกจิร่างไม่เน่าเปื่อย ฮือฮา เห็นคล้ายตัวเลขที่ใบหน้าของท่าน
วันที่ 25 มี.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ วัดวังเวิน ต.หล่มเก่า อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ คณะศิษยานุศิษย์ได้จัดพิธีทำบุญสวดทักษิณาเปลี่ยนผ้าไตรจีวรอุทิศถวายแด่ พระครูพัชรกิตติญาณ หรือ หลวงพ่อจันทร์ กิตติญาโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดวังเวิน ต.หล่มเก่า อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ เนื่องในวันครบรอบ 11 ปี วันมรณภาพพิธีเริ่มในเวลา 12.09 น. พระสงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์ได้ร่วมประกอบพิธีขอขมาต่อดวงวิญญาณหลวงพ่อจันทร์กิตติญาโณ เสร็จแล้วได้นำร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของหลวงพ่อออกมาด้านนอกโลงแก้ว พร้อมทั้งให้คณะศิษย์ได้กราบสักการะอย่างใกล้ชิด จากนั้นได้ประกอบพิธีเปลี่ยนผ้าไตรจีวรของหลวงพ่อ และได้นำร่างของท่านบรรจุไว้ในโลงแก้วเช่นเดิมประวัติ พระครูพัชรกิตติญาณ หรือ หลวงพ่อจันทร์ กิตติญาโณ ท่านเป็นศิษย์ หลวงพ่อทบ เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ ท่านได้ชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตา เมื่อครั้งยังไม่มรณภาพท่านชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเป็นที่พึ่งทางใจของชาวบ้านทั้งในยามเจ็บป่วยและในยามที่เดือดเนื้อร้อนใจก็จะมาให้ท่านประพรมน้ำมนต์ให้
หลวงพ่อจันทร์ กิตติญาโณ เกิดวันที่ 2 มิถุนายน 2467 และได้มรณภาพวันที่ 25 มี.ค.2556 ตรงกับวันจันทร์ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 3 ปีมะโรง เวลา 18.00 น. รวมสิริอายุ 89 ปี 68 พรรษาแต่ร่างไม่เน่าเปื่อย ผิวหนังยังคงมีสีเหลืองคล้ายคนปกติทั่วไป คณะศิษย์จึงได้บรรจุร่างของท่านไว้ในโลงแก้วเพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาได้กราบสักการะบูชาผู้สื่อข่าวรายงานว่าในขณะที่นำร่างของท่านออกมาจากโลงแก้ว และให้ผู้ร่วมพิธีได้กราบสักการะอย่างใกล้ชิด ได้มีผู้สังเกตเห็นคล้ายตัวเลข 135 ที่ใบหน้าของท่าน ต่างก็บอกต่อๆ กันไปเพื่อที่จะเป็นแนวทางในการเสี่ยงโชค งวดวันที่1 เมษายน 2567 Thank to : https://www.amarintv.com/news/detail/21165426 มี.ค. 67
|
|
|
62
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เรียนธรรมให้เข้าใจก่อน หรือเอากิเลสออกก่อน
|
เมื่อ: มีนาคม 24, 2024, 07:31:18 am
|
. เรียนธรรมให้เข้าใจก่อน หรือเอากิเลสออกก่อนโดย อาจารย์ไชย ณ พลQ ถาม : ท่านอาจารย์ครับ ระหว่างเรียนธรรมให้เข้าใจก่อน กับเอากิเลสออกก่อน เราควรโฟกัสอะไรก่อนครับ
A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ :-
1st เอากิเลสออกก่อน เพราะ ๑. สุขสบายก่อน ๒. บริสุทธิ์ หมดจด ปลอดภัยก่อน ๓. เมื่อกิเลสออกแล้วฟังธรรมก็แจ่มแจ้งทันที เวลาคนไปฟังธรรมกับพระพุทธเจ้า ถ้ามีพวกกิเลสเบาบาง จะทรงสอนให้เอากิเลสออกทันที ออกได้ก็บรรลุธรรมทันที ดังนั้นเอากิเลสออกก่อนเสมอ ถ้ายังเหลืออีก ค่อยเข้าสู่กระบวนการปฏิบัติอื่นๆ ต่อไป
2nd เรียนธรรมเฉพาะที่จะเอากิเลสออกได้ก่อน เพราะ ๑. ธรรมะทั้งหมดพระพุทธองค์ทรงให้ไว้เพื่อละ สลาย เป็นอิสระจากกิเลส ๒. การปฏิบัติธรรมให้ได้ผล ต้องแม่นยำตรงสู่ผล ไม่มาก ไม่น้อย ไม่มั่ว จึงจะปฏิบัติง่าย สำเร็จเร็ว ๓. พระพุทธองค์ตรัสว่า แม้ธรรมะบทหนึ่ง ที่บุคคลประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมดีแล้ว ก็บรรลุธรรมได้
หากเรียนธรรมะก่อนเอากิเลสออก ๑. เข้าใจธรรมเป็นจุด ๆ ยึดถือเป็นจุด ๆ เชื่อมโยงธรรมทั้งปวงไม่ได้ ๒. สัญญาขันธ์จะบวม ๓. ฟุ้งซ่านในธรรม ๔. เอาธรรมะมาสร้างทิฏฐิ ๕. เมามันไปกับการสอบ มานะเกิดขึ้น ๖. เข้าสภาวะยาก ๗. ติดขั้นตอนเกินจำเป็น ทำให้ปฏิบัติยาก ๘. รู้แล้วอยากบอกให้คนอื่นรู้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่บรรลุธรรม ๙. เป็นเหมือนภิกษุใบลานเปล่า ๑๐. เอาตัวไม่รอด ๑๑. วนเวียนอยู่ในวัฏฏะดังเดิม
การเรียนธรรมที่เหมาะแก่การปฏิบัติ คือ การปฏิบัติธรรมเป็นหลักจริงจังอย่างสายกลาง แล้วศึกษาธรรมประกอบทีละบท หรือทีละพระสูตร ศึกษาธรรมใด ก็นำมาปฏิบัติทันที จะได้วิธีปฏิบัติธรรมหลากหลายขึ้น เพิ่มโอกาสบรรลุธรรมมากขึ้น มีโอกาสสำเร็จปริญญาแท้ทางธรรมมากขึ้น คือ - โสดาปัตติมรรค - โสดาปัตติผล - สกทาคามิมรรค - สกทาคามิผล - อนาคามิมรรค - อนาคามิผล - อรหัตตมรรค - อรหัตตผล เช่นนี้จึงชื่อว่า ศึกษาธรรมเพื่อปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุธรรมจริง ตามพระพุทธองค์
ความจริงที่ควรแจ่มแจ้ง ธรรมปริยัติ เพื่อความเข้าใจ มุ่งสัมมาธรรม ธรรมปฏิบัติ เพื่อสภาวะจิตและวิหารธรรมที่เลิศ มุ่งวิมุตติ ธรรมปฏิเวธ เพื่อความบริสุทธิ์บริบูรณ์ อมตะ ว่างอย่างยิ่ง สุขอย่างยิ่ง เป็นที่พึ่งให้จักรวาลได้ ขอขอบคุณ :- ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/pin/868350371889428061/ที่มา : https://uttayarndham.org/dhamma-sharing/6581/เรียนธรรมให้เข้าใจก่อน-หรือเอากิเลสออกก่อน 25 May 2023
|
|
|
63
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘พระพรหมบัณฑิต-พวงเพ็ชร’ เตรียมความพร้อม ไทยเป็นเจ้าภาพ ‘วิสาขบูชาโลก’
|
เมื่อ: มีนาคม 24, 2024, 07:14:42 am
|
. ‘พระพรหมบัณฑิต-พวงเพ็ชร’ เตรียมความพร้อม ไทยเป็นเจ้าภาพ ‘วิสาขบูชาโลก’‘พระพรหมบัณฑิต – พวงเพ็ชร’ เตรียมความพร้อม ไทยเป็นเจ้าภาพ ‘วิสาขบูชาโลก’ 19-20 พ.ค. ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้ากราบ พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะประธานสภาสากลวันวิสาขบูชาโลก (ICDV) และประธานสมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ (IABU) และหารือการเตรียมจัดงานวิสาขบูชาโลก ประจำปี 2567 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
ด้าน พระพรหมบัณฑิต เปิดเผยว่า ที่ประชุมฯ ในวันนี้ได้ร่วมกันสรุปกำหนดการการจัดงานวันวิสาขบูชาโลก และการจัดประชุมวิสาขบูชาโลกนานาชาติ “ในหัวข้อเอกภาพของการทำงานร่วมกัน” ซึ่งประเทศไทยได้รับเกียรติในการให้เป็นเจ้าภาพในปีนี้ (2567) โดยมีกำหนดจัดในระหว่างวันที่ 19 – 20 พฤษภาคมนี้ และมีการหารือกันเนื่องในโอกาสที่ปีนี้เป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้มีกำหนดเชิญผู้นำทางศาสนา และพุทธศาสนิกชนจากนานาประเทศมาเข้าร่วมงานถึง 73 ประเทศโดยจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ การเจริญพระพุทธมนต์ และกิจกรรมถวายพระพรชัยมงคล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือที่ดีจากรัฐบาล ในการอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ รวมถึงงบประมาณสนับสนุน
ขณะที่ นางพวงเพ็ชร กล่าวว่า ในนามของรัฐบาล น้อมรับการทำงานให้พระพุทธศาสนาและรับใช้มหาเถร สมาคมอย่างเต็มที่ ในฐานะที่ตนกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาเเห่งชาติและกรมประชาสัมพันธ์ จะประสานการจัดงานให้ประสบผลสำเร็จ และสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่เพื่อให้การจัดงานวิสาขบูชาโลก ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ออกสู่สายตาคนทั้งโลกอย่างยิ่งใหญ่ ให้ทั่วโลกได้เห็นว่าประเทศไทยเหมาะสมที่จะเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา
ประกอบกับปีนี้เป็นปีมหามงคลของปวงชนชาวไทย เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมเป็นเจ้าภาพที่ดี ต้อนรับคณะผู้เข้าร่วมงานวิสาขบูชาโลก และเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา ร่วมสืบสานและน้อมนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวThank to : https://www.matichon.co.th/education/religious-cultural/news_4488619วันที่ 23 มีนาคม 2567 - 17:42 น.
|
|
|
64
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / จงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง | จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง
|
เมื่อ: มีนาคม 23, 2024, 07:36:41 am
|
. ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตนโดย อาจารย์ไชย ณ พลQ ถาม : อาจารย์ครับ มีพุทธภาษิตอยู่บทหนึ่ง ที่เหมือน ๆ จะเข้าใจง่าย แต่ก็เข้าใจยาก คือ "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่โลกทุกวันนี้อยู่กันแบบแบ่งงานกันทำ แบ่งความเชี่ยวชาญกันเก่ง แล้วพึ่งพาอาศัยกัน ครั้นเราจะไปทำเองทุกอย่างก็เป็นไปไม่ได้ เลยทำให้ภาพตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน มันเลือนลางไป จึงขอเรียนถามอาจารย์ว่า ขอบข่ายของ "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" มีแค่ไหนครับ
A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ : พระพุทธเจ้าไม่ตรัสอะไรเล่นๆ สิ่งที่พระองค์ตรัสเป็นสัจธรรมเสมอ
ใครเป็นที่พึ่งให้เราได้บ้าง.?
ลองดูความเป็นจริง มีใครในโลกบ้างที่เป็นที่พึ่งให้เราได้ทุกเรื่อง ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ทุกผลที่พึ่งได้ หากซื่อตรงต่อความจริงและตนเอง ก็จะพบว่า ไม่มี พระพุทธองค์จึงทรงให้ "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
ขอบเขต "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" ที่ได้ผล
ในจักกวัตติสูตร ทรงให้ เธอจงมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นเกาะ โดยกำหนดรู้ กายในกายภายในตน กำหนดรู้ กายในกายภายในคนอื่น เห็นความไม่เที่ยงแห่งกายนี้และกายอื่น ๆ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในกายและในโลกทั้งปวง
กำหนดรู้ เวทนาในเวทนาภายในตน กำหนดรู้ เวทนาในเวทนาภายในคนอื่น เห็นความไม่เที่ยงแห่งเวทนานี้และเวทนาอื่น ๆ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในเวทนาและในโลกทั้งปวง
กำหนดรู้ จิตปรุงแต่งในจิตภายในตน กำหนดรู้ จิตปรุงแต่งในจิตปรุงแต่งภายในคนอื่น เห็นความไม่เที่ยงแห่งจิตปรุงแต่งนี้และจิตปรุงแต่งอื่น ๆ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในจิตปรุงแต่งและในโลกทั้งปวง
กำหนดรู้ ธรรมประกอบในธรรมประกอบภายในตน กำหนดรู้ ธรรมประกอบในธรรมประกอบภายในคนอื่น เห็นความไม่เที่ยงแห่งธรรมประกอบนี้และธรรมประกอบอื่น ๆ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในธรรมประกอบและในโลกทั้งปวง
สรุป : ที่พึ่งหลักของทุกคน คือ รู้อิสระที่ไม่ถือมั่นในกาย เวทนา จิตปรุงแต่ง ธรรมประกอบ และอะไร ๆ ในโลกทั้งปวง ขอขอบคุณ :- ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/pin/941533865877205173/ที่มา : https://uttayarndham.org/dhamma-sharing/6576/ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน 19 May 2023 การมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง [๘๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เมืองมาตุลา แคว้นมคธ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย” ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นเกาะ(๑-) มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด" "ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ เป็นอย่างไร.?"
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑. พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ๓. พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ๔. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ "ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ เป็นอย่างนี้แล"เชิงอรรถ :- (๑-) มีตนเป็นเกาะ ในที่นี้หมายถึง ทำตนให้พ้นจากห้วงน้ำ คือ โอฆะ ๔ เหมือนกับเกาะกลางมหาสมุทรที่น้ำท่วมไม่ถึง (ที.ม.อ. ๑๖๕/๑๕๐, ที.ม.ฏีกา ๑๖๕/๑๘๐) , ดูเทียบ ที.ม. (แปล) ๑๐/๑๖๕/๑๑๑ , สํ.ม. (แปล) ๑๙/๓๗๙/๒๓๔ขอขอบคุณ ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/pin/337488565841817888/ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๕๙-๖๐ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ , พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค , ๓. จักกวัตติสูตร ว่าด้วยพระเจ้าจักรพรรดิ , การมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง URL : https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=11&siri=3
|
|
|
65
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มุมน่าสะพรึงกลัวของ “พระนเรศวร” จากบันทึกวัน วลิต กับงานเขียนโต้ของคึกฤทธิ์
|
เมื่อ: มีนาคม 23, 2024, 07:00:47 am
|
. ภาพประกอบเนื้อหา - พระนเรศ และพระเอกาทศรถ ในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคยุทธนาวี (ภาพจากคลิป "ตัวอย่าง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 3 ยุทธนาวี (Official Tr.)" จาก Youtube : Sahamongkolfilm International Co.,Ltd)มุมน่าสะพรึงกลัวของ “พระนเรศวร” จากบันทึก วัน วลิต กับงานเขียนโต้ของคึกฤทธิ์วัน วลิต หรือ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremais van Vliet) เป็นพ่อค้าชาวดัตช์ ของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยา 3 เล่ม เล่มที่เป็นพงศาวดารเขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2183
วัน วลิต เขียนบันทึกจากคำบอกเล่าของผู้คนในกรุงศรีอยุธยา บันทึกของเขามีความน่าสนใจตรงที่เนื้อหามีรายละเอียดค่อนข้างมากและสามารถอธิบายได้เป็นฉาก ๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะเรื่องราวของสมเด็จพระนเรศวร หรือ พระนเรศวร ที่ วัน วลิต ให้ข้อมูลแตกต่างจากพงศาวดารหรือหลักฐานชิ้นอื่นแทบจะสิ้นเชิง
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แสดงความคิดเห็นว่า วัน วลิต น่าจะได้ไต่ถามเรื่องราวจากคนที่เคยอยู่ร่วมสมัยเหตุการณ์มาประกอบการเขียน แต่โดยนิสัยของคนโบราณในการเล่าเรื่องให้ชาวต่างชาติฟังนั้น อาจต่อเติมอะไรต่อมิอะไรเข้าไปเพื่อแสดงพระบรมเดชานุภาพของสมเด็จพระนเรศวร เพื่อแสดงความเด็ดเดี่ยว และพระราชอำนาจอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งในมุมมองของคนโบราณเห็นว่า เป็นพระเกียรติยศ
แนวคิดของคนโบราณย่อมตรงกันข้ามกับมุมมองของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งเรื่องราวที่ วัน วลิต บันทึกนั้น จะเอามาตำหนิติเตียนด้วยมาตรฐานของคนสมัยนี้ว่า ผิดถูกชั่วดี เห็นจะไม่ถูกต้องนัก
@@@@@@@
ถลกหนัง
“หลังจากได้ชัยชนะพระมหาอุปราชาและกองทัพพะโค พระเจ้าแผ่นดินสยามก็ทรงรวบรวมกองทัพ ประกอบด้วยทหารจำนวนมากพอสมควรยกไปโจมตีกัมพูชา โดยมีออกญาจักรีและออกญากลาโหมเป็นทัพหน้า และสมเด็จพระนเรศพระราชโอรสเป็นทัพหลัง
เมื่อยกทัพมาถึงพรมแดนกัมพูชา ออกญาจักรีก็ฉวยโอกาสเข้ายึดเมืองชายแดน โดยคิดว่าจะทำความดีถวายต่อพระเจ้าแผ่นดินและพระราชโอรส เมื่อพระนเรศเสด็จมาถึงก็ทรงพระพิโรธในการกระทำของออกญาจักรี มีรับสั่งให้ถลกหนังทั้งเป็น ทรงตรัสว่า
‘พระเจ้าแผ่นดินพระราชบิดาของเราและตัวเรา เป็นผู้สั่งเจ้ามาที่นี่ แต่ไม่ได้สั่งให้เจ้าเข้าโจมตี และเอาชีวิตทหารของเรามาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ เจ้าพยายามจะทำความดีความชอบแข่งกับเรา เพื่อว่าเมื่อได้รับชัยชนะแล้ว ทั้งเราและเจ้าจะได้เป็นผู้มีชัยชนะเหมือนกันทั้งสองคน ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงต้องตาย'”
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ อธิบายว่า การสงครามที่ปรากฏชื่อออกญาจักรีและออกญาโหม เกิดขึ้นในคราวสงครามที่เมืองชายฝั่งด้านอ่าวเมาะตะมะ ไม่ใช่ที่เขมร ส่วนเรื่องการถลกหนังไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ การที่ถลกหนังออกญาจักรีนี้ก็ไม่ปรากฏหลักฐานในพงศาวดารหรือหลักฐานอื่นใดเลย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ชี้ว่า ศัพท์ชาวบ้านเรียกการเฆี่ยนว่า “ถลกหลัง” นั่นเพราะเมื่อผู้ใดถูกเฆี่ยนหลังแล้ว หนังก็จะขาดหรือถูกถลกออกมาตามรอยหวายที่เฆี่ยนลงบนหลัง จึงเรียกการเฆี่ยนว่า ถูกถลกหลัง
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ กล่าวว่า “บางที วัน วลิต จะไปคุยกับคนไทยได้ยินคำว่าถลกหลังแล้วฟังผิดว่า ถลกหนัง เลยเขียนความไปตามนั้นก็ได้” ดังนั้น ตามข้อสันนิษฐานนี้ การถลกหนังออกญาจักรีจึงอาจเป็นการเฆี่ยนมากกว่า
@@@@@@@
เผาทั้งเป็น
“ทรงมีกระแสรับสั่งให้เตรียมเรือ และเสด็จพร้อมทั้งขุนนางไปยังเพนียด (ซึ่งเป็นโรงช้างและสถานที่ราชาภิเษก) เพื่อประกาศสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และให้ขุนนางสาบานว่าจะจงรักภักดี ต่อพระองค์ตลอดไป
เมื่อเสด็จถึงเพนียด ฝีพายของพระนเรศเทียบเรือผิด พระองค์ก็ทรงเสด็จขึ้น ไม่ได้ทรงลงพระอาญาในเวลานั้น ได้ทรงราชาภิเษกถูกต้องตามราชประเพณี เมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา และทรงพระนามว่า พระนเรศราชาธิราช
หลังจากพิธีราชาภิเษกแล้ว พระองค์มีรับสั่งให้เผาฝีพายเรือของพระองค์ และฝีพายเรือหลวงลำอื่น ๆ (ประมาณ 1,600 คน) เสียทั้งเป็น ณ สถานที่นั้น ทรงมีรับสั่งกับคณะขุนนางว่า พระองค์ทรงปรารถนาให้คณะขุนนางจดจำการลงพระอาญาครั้งนี้ไว้เป็นเยี่ยงอย่างการปกครองของพระองค์ และจากนั้นพระองค์ก็เสด็จกลับพระราชวัง“
เรื่องนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ตั้งข้อสังเกตว่า หากเผาฝีพายจำนวนมากเช่นนั้น แล้วสมเด็จพระนเรศวรจะเสร็จพระราชดำเนินกลับพระราชวังหลวงได้อย่างไร อีกทั้ง หากให้ขุนนางลงทำหน้าที่แทนฝีพาย พอถึงพระราชวังหลวงก็คงต้องรับพระราชอาญา เพราะจะให้พายเรือให้ดีเท่าฝีพายคงจะเป็นไปไม่ได้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม พระราชพงศาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ มีบันทึกเรื่องทำนองนี้ไว้ว่า “ศักราช 955 มะเสงศก… เสด็จเถลิงพระมหาปราสาท ครั้งนั้นทรงพระโกรธแก่มอญ ให้เผามอญเสียประมาณ 100” ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ วิเคราะห์ว่า พงศาวดารมิได้กล่าวถึงต้นเหตุที่ทำให้ทรงพระพิโรธ อาจเพราะมอญเผาอิฐที่จะสร้างพระมหาปราสาทไม่ได้ขนาด หรือมอญคอยแต่นับอิฐแบบมอญว่า “หนึ่งแผ่นอิฐมอญ สองแผ่นอิฐมอญ สามแผ่นอิฐมอญ…” จนเป็นเหตุให้ล่าช้าเหลืออดเหลือทนเสียประมาณ แต่เชื่อว่าวัน วลิต น่าจะฟังเรื่องนี้มาผิดเป็นแน่
นอกจากนี้ เหตุการณ์ที่วัน วลิต บันทึก เกิดขึ้นหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งเป็นพระราชพิธีมงคล การจะเผาคนนับพันจึงไม่น่าจะเป็นไปได้จิตรกรรมโคลงภาพพระราชพงศาวดารตอน “สงครามยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระมหาอุปราชา” เขียนโดย หลวงพิศณุกรรม (เล็ก) ในสมัยรัชกาลที่ ๕ (ภาพจากหนังสือ “จิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในราชสำนัก เล่ม ๒”)เฉียบขาด
“เรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับพระองค์ และประจักษ์พยานทั้งหลายซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ได้รายงานว่า ในระยะ 20 ปี ที่อยู่ในราชสมบัติ พระองค์ทรงฆ่าคนตามกฎหมายมากกว่า 80,000 คน ทั้งนี้ไม่รวมพวกที่เสียชีวิตในการรบ ไม่ว่าจะเป็นบนหลังช้าง หลังม้า ในเรือพาย หรือแม้ในขณะประทับ ณ พระราชบัลลังก์
ขณะที่ออกขุนนางปรากฏว่า ไม่มีครั้งใดเลยที่พระองค์จะปราศจากอาวุธ ทรงมีกระบอกลูกธนูบนพระเพลา และมีคันธนูอยู่ในพระหัตถ์ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นผู้ใดทำผิด แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ไม่เป็นที่สบพระทัย พระองค์จะทรงยิงธนูไปที่ผู้นั้น และรับสั่งให้ผู้นั้นนำลูกธนูมาถวาย
พระองค์จะตรัสสั่งให้เฉือนเนื้อบุคคล (แม้แต่ขุนนาง) ที่กระทำผิดแม้ว่าจะน้อยนิดเสมอ และทรงให้บุคคลผู้นั้นกินเนื้อของตนเอง เฉพาะพระพักตร์ และทรงให้บางคนกินอุจจาระของตนเองบ่อยครั้ง ที่ตรัสว่า
‘นี่เป็นวิธีที่จะปกครองพวกเจ้าชาวสยาม เพราะว่าเจ้าเป็นพวกที่มีธรรมชาติที่ดื้อดึง น่าขยะแขยง ในอาณาจักรที่แสนเลวนี้ แต่ข้าจะปฏิบัติเช่นนี้ต่อเจ้าจนกว่าจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่น่านับถือได้ เจ้าเป็นเหมือนหญ้าที่ขึ้นบนท้องทุ่งที่อุดมสมบูรณ์ ถ้าตัดให้สั้นได้เท่าไร เจ้าก็จะขึ้นได้สวยงามมากเท่านั้น ข้าจะหว่านทองไว้ในท้องถนนสายต่าง ๆ เป็นเวลาหลายเดือน ใครก็ตามที่มองทองเหล่านี้ด้วยความละโมภจะต้องถูกฆ่าตาย'”
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ กล่าวว่า เรื่องการปกครองด้วยความเฉียบขาดของสมเด็จพระนเรศวรนั้นน่าจะเป็นความจริง เพราะการปกครองของกรุงศรีอยุธยาเริ่มอ่อนแอมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เกิดการแตกสามัคคีจนต้องเสียกรุง โจรผู้ร้ายชุกชุมทั่วพระราชอาณาจักร ราษฎรหาความสุขมิได้ สมเด็จพระนเรศวรจึงต้องทรงปกครองโดยเฉียบขาด ลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างรุนแรงเพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่าง
สำหรับการประหารชีวิตกว่า 80,000 คน นั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เชื่อว่า อาจจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่จริงก็ได้ ส่วนเรื่องพระแสงติดพระองค์นั้น เป็นราชประเพณีโดยธรรมเนียมที่เจ้าพนักงานต้องทอดพระแสงไว้เสมอ เรื่องยิงธนู ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ อธิบายว่า นั่นมิใช่การลงพระราชอาญา ถ้าเป็นในระหว่างเสด็จออกว่าราชการ น่าจะเป็นการปลุกผู้ที่แอบงีบให้ตื่น เพราะขุนนางหมอบเฝ้า อาจก้มหน้าก้มตาแล้วหลับไปเลย
พระราชอาญาให้คนกินเนื่อของตน หรือกินอุจจาระของตนนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ กล่าวว่า “ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เรื่องคอร์รัปชันว่ามากน้อยแค่ไหน ถ้าลงพระราชอาญาแบบนี้แก่ขุนนางตำแหน่งใหญ่ ๆ ผู้กินไม่อื่มก็น่าจะเห็นพระราชหฤทัยอีกเช่นเดียวกัน”
@@@@@@@
กลัวไม่ได้กลับบ้าน
“ขุนนางทั้งหลายรับราชการอยู่ด้วยความหวาดกลัวพระเจ้าแผ่นดินเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า ขุนนางจะจัดบ้านช่อง เหมือนกับว่าตนจะไปตาย เพราะว่าขุนนางกลัวอยู่เสมอว่าตัวจะไม่ได้กลับมาเห็นบ้านอีก”
ในเรื่องนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ กล่าวว่า “เป็นเรื่องยืนยันข้อความในพงศาวดารพม่า ที่ขุนนางพม่ากราบทูลพระเจ้าหงสาวดีว่า คนไทยกลัว พระนเรศวร ยิ่งกว่ากลัวตาย” ซึ่งทำให้เห็นว่า ในประเด็นนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เห็นพ้องตามบันทึกของวัน วลิต
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ อธิบายสรุปว่าวัน วลิต ได้บันทึกเรื่องราวของสมเด็จพระนเรศวรอย่างชาวต่างชาติเขียน ไม่มีเหตุที่จะยกย่องพระเกียรติยศ บางครั้งก็เขียนไปในทางเสื่อมเสีย เพราะคงจะได้ฟังจากคำบอกเล่าของคนในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งเป็นคนที่อยู่ใต้ราชวงศ์ใหม่ อาจเล่าเรื่องราวบางประการให้วัน วลิต ฟังเพื่อเป็นการลบหลู่ราชวงศ์เดิม ส่งเสริมราชวงศ์ใหม่ก็เป็นได้
อ่านเพิ่มเติม :-
• สมเด็จพระนเรศวรฯ กับคนไทใหญ่ ความสัมพันธ์ชั้นเจ้าที่ต่างเล็งขับไล่พม่า • ชนไก่ กีฬาพื้นบ้านที่เล่ากันว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงชนะพระมหาอุปราช
ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : เสมียนอารีย์ เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2563 URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_57966อ้างอิง :- - พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวัน วลิต พ.ศ. 2182. (2546). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มติชน. - คึกฤทธิ์ ปราโมช, หม่อมราชวงศ์. (2533). กฤษดาภินิหาร อันบดบังมิได้. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สยามรัฐ.
|
|
|
68
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ส่องมติ “มหาเถรสมาคม” ประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๖๗
|
เมื่อ: มีนาคม 22, 2024, 09:37:13 am
|
. ส่องมติ “มหาเถรสมาคม” ประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๖๗วันพุธที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๗ เมื่อเวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหารกรุงเทพมหานคร เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงลาการประชุม ทรงมีพระบัญชาให้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นประธานในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๘/๒๕๖๗ โดยมีกรรมการมหาเถรสมาคมเข้าร่วม
การนี้ นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กราบทูลถวายเปิดการประชุม พร้อมด้วยผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม
โดยหลังการประชุมเสร็จสิ้น นายพงศ์พล โยธินทวี รองโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้แถลงข่าวการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๘ ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๗ โดยมีวาระการประชุมมหาเถรสมาคม อาทิ
@@@@@@@
๑. พิจารณาเสนอแต่งตั้งพระครูวิบูลกาญจโนภาส (สมบัติ) ฉายา ปริปุณฺโณ อายุ ๖๖ พรรษา ๔๖ วิทยฐานะ น.ธ.เอก, ป.ธ. ๔, พธ.ม., รป.ด. วัดพระแท่นดงรังวรวิหาร ตำบลพระแท่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระแท่นดงรังวรวิหาร ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าอาวาสวัดพระแท่นดงรังวรวิหาร
๒. พิจารณาเสนอแต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพลชนะสงคราม ตำบลบ้านใต้ อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน ๓ รูป ดังนี้ - พระมานิตย์ ฉายา ธมฺมมานิโต อายุ ๔๕ พรรษา ๒๕ วิทยฐานะ น.ธ.เอก, ประโยค ๑-๒ วัดไชยชุมพลชนะสงคราม เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพลชนะสงคราม ในหน้าที่ฝ่ายเผยแผ่ - พระมหาเจษฎา ฉายา ญาณวิสุทฺโธ อายุ ๓๔ พรรษา ๑๔ วิทยฐานะ น.ธ.เอก, ป.ธ.๓, พธ.บ. วัดไชยชุมพลชนะสงคราม เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพลชนะ ในหน้าที่ฝ่ายปกครอง - พระมหาบัลลังก์ ฉายา ภูริปญฺโญ อายุ ๒๙ พรรษา ๑๐ วิทยฐานะ ป.ธ.๗ วัดไชยชุมพลชนะสงคราม เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพลชนะสงคราม ในหน้าที่ฝ่ายสาธารณูปการ
๓. รับทราบโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องใน โอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ระหว่างวันที่ ๑๔ กรกฎาคม – ๓ สิงหาคม ๒๕๖๗ ผู้เข้าบรรพชาอุปสมบทเป็นบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน แบ่งเป็น - ในส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร) จำนวน ๗๓ คน กำหนดจัดพิธี ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินโครงการฯ ได้แก่ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรุงเทพมหานคร - และในส่วนภูมิภาคทุกจังหวัด ๆ ละ ๗๓ คน รวมจำนวนทั้งสิ้น ๕,๖๒๑ คน จัดพิธี ณ วัดในจังหวัดต่าง ๆ ที่กำหนด โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการฯ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ๔. พิจารณาขออนุมัติจัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดพังงา จำนวน ๒ แห่ง ดังนี้ - สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดพังงา แห่งที่ ๗ ตั้งอยู่ที่ วัดดอน ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา - สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดพังงา แห่งที่ ๘ ตั้งอยู่ที่ วัดสวนวาง ตำบลแม่นางขาว อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา
๕. พิจารณาขอความเห็นชอบบูรณปฏิสังขรณ์วัดร้าง เพื่อขอยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จำพรรษา จำนวน ๒ วัด ดังนี้ - วัดพระธาตุม่อนทรายเหงา (ร้าง) จังหวัดลำปาง - วัดธาตุไทรงาม (ร้าง) จังหวัดอุดรธานี
๖. รับทราบโครงการหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ โดยขอความเมตตาจากพระสังฆาธิการให้มีพระผู้รับผิดชอบประจำตำบล ๑ พระ ๑ ตำบล ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาหมู่บ้านให้ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน เป็นหมู่บ้านยั่งยืน ขอขอบคุณ :- ที่มา : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ URL : https://thebuddh.com/?p=78390
|
|
|
74
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยสมาบัติ (๙)
|
เมื่อ: มีนาคม 21, 2024, 10:28:57 am
|
. ‘อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยสมาบัติ (๙)๕. ฌานสูตร ว่าด้วยฌาน
[๓๖] ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ๑. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้(๑-) เพราะอาศัยปฐมฌาน ๒. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยทุติยฌาน ๓. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยตติยฌาน ๔. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยจตุตถฌาน ๕. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยอากาสานัญจายตน-ฌาน ๖. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยวิญญาณัญจายตน-ฌาน ๗. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยอากิญจัญญายตน-ฌาน ๘. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตน-ฌาน ๙. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยสัญญาเวทยิตนิโรธ
เรากล่าวไว้เช่นนี้แลว่า ‘อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยปฐมฌาน’ เพราะอาศัยเหตุอะไร เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น เพราะอาศัยเหตุนี้ว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายบรรลุปฐมฌาน ฯลฯ เธอย่อมพิจารณาเห็น(๒-) ธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่มีอยู่ในปฐมฌานนั้น โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรคเป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นสิ่งคอยก่อความเดือดร้อน เป็นที่ทำให้ขัดข้อง เป็นดังคนฝ่ายอื่น เป็นสิ่งที่ต้องแตกสลาย เป็นของว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมทำจิตให้กลับจากธรรมเหล่านั้น(๓-) ครั้นแล้ว จึงน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุ(๔-) ว่า ‘ภาวะที่สงบ ประณีต คือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิกิเลสทั้งปวงความสิ้นไปแห่งตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน‘(๕-) เธอดำรงอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมบรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย(๖-) หากยังไม่บรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ก็จะเป็นโอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้น จักปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก(๗-)______________________________________________ เชิงอรรถ :-(๑-) อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ ในที่นี้หมายถึงสภาวะที่เรียกว่า “อรหัต” (องฺ.นวก.อ. ๓/๓๖/๓๐๙) (๒-) พิจารณาเห็น ในที่นี้หมายถึงเห็นด้วยวิปัสสนาอันแรงกล้า (องฺ.นวก.อ. ๓/๓๖/๓๐๙) (๓-) ธรรมเหล่านั้น ในที่นี้หมายถึงขันธ์ ๕ (องฺ.นวก.อ. ๓/๓๖/๓๐๙) (๔-) อมตธาตุ หมายถึงนิพพาน (องฺ.นวก.อ. ๓/๓๖/๓๐๙) (๕-) ดู ม.ม. ๑๓/๑๓๓/๑๐๘, ขุ.ม. (แปล) ๒๙/๑๕๐/๔๐๕-๔๑๑, ขุ.จู. (แปล) ๓๐/๖๕/๒๔๕-๒๔๘(๖-) หมายถึงดำรงอยู่ในปฐมฌานเจริญวิปัสสนาอันแรงกล้าแล้วบรรลุอรหัตตผล (องฺ.นวก.อ. ๓/๓๖/๓๐๙) (๗-) ดู องฺ.ทสก. (แปล) ๒๔/๑๖/๔๒๗) ภิกษุทั้งหลาย นายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู พยายามยิงลูกศรไปที่หุ่นหญ้า หรือกองดิน สมัยต่อมา เขาเป็นผู้ยิงลูกศรได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายกายขนาดใหญ่ได้ แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน สงัดจากกาม และอกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่มีอยู่ในปฐมฌานนั้น โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นสิ่งคอยก่อความเดือดร้อน เป็นที่ทำให้ขัดข้อง เป็นดังคนฝ่ายอื่น เป็นสิ่งที่ต้องแตกสลาย เป็นของว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมทำจิตให้กลับจากธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว จึงน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า ‘ภาวะที่สงบ ประณีต คือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิกิเลสทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน’ เธอดำรงอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมบรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย หากยังไม่บรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ก็จะเป็นโอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไปด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้น จักปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก
เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้นว่า ‘อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยปฐมฌาน’
@@@@@@@
เรากล่าวไว้เช่นนี้แลว่า ‘อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยทุติยฌาน’ เพราะอาศัยเหตุอะไร เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น ฯลฯ
เรากล่าวไว้เช่นนี้แลว่า ‘อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยตติยฌาน’ เพราะอาศัยเหตุอะไร เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น ฯลฯ
เรากล่าวไว้เช่นนี้แลว่า ‘อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยจตุตถฌาน‘ เพราะอาศัยเหตุอะไร เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น เพราะอาศัยเหตุนี้ว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้บรรลุจตุตถฌานที่ไม่มีทุกข์และไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อนแล้ว เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่มีอยู่ในจตุตถฌานนั้น โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นสิ่งคอยก่อความเดือดร้อน เป็นที่ทำให้ขัดข้อง เป็นดังคนฝ่ายอื่น เป็นสิ่งที่ต้องแตกสลาย เป็นของว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมทำจิตให้กลับจากธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว จึงน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า ‘ภาวะที่สงบ ประณีตคือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิกิเลสทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน’ เธอดำรงอยู่ในจตุตถฌานนั้น ย่อมบรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย หากยังไม่บรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ก็จะเป็นโอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้น จักปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก
ภิกษุทั้งหลาย นายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู พยายามยิงลูกศรไปที่หุ่นหญ้า หรือกองดิน สมัยต่อมา เขาเป็นผู้ยิงลูกศรได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายกายขนาดใหญ่ได้ แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา ฯลฯ ที่มีอยู่ในจตุตถฌานนั้น ฯลฯ
เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้นว่า ‘อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยจตุตถฌาน’ เรากล่าวไว้เช่นนี้แลว่า ‘อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยอากาสานัญจายตน-ฌาน‘ เพราะอาศัยเหตุอะไร เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น เพราะอาศัยเหตุนี้ว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้บรรลุอากาสานัญจายตน-ฌานโดยกำหนดว่า ‘อากาศหาที่สุดมิได้’ อยู่ เพราะล่วงรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่กำหนดนานัตตสัญญา เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่มีอยู่ในอากาสานัญจายตน-ฌานนั้น โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นสิ่งคอยก่อความเดือดร้อน เป็นที่ทำให้ขัดข้อง เป็นดังคนฝ่ายอื่น เป็นสิ่งที่ต้องแตกสลาย เป็นของว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมทำจิตให้กลับจากธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว จึงน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า ‘ภาวะที่สงบ ประณีต คือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิกิเลสทั้งปวงความสิ้นไปแห่งตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน’ เธอดำรงอยู่ในอากาสานัญจายตน-ฌานนั้น ย่อมบรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย หากยังไม่บรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ก็จะเป็นโอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้น จักปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก
ภิกษุทั้งหลาย นายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู พยายามยิงลูกศรไปที่หุ่นหญ้า หรือกองดิน สมัยต่อมา เขาเป็นผู้ยิงลูกศรได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายกายขนาดใหญ่ได้ แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน บรรลุอากาสานัญจายตน-ฌานโดยกำหนดว่า ‘อากาศหาที่สุดมิได้’ อยู่ เพราะล่วงรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่กำหนดนานัตตสัญญา เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา ฯลฯ ที่มีอยู่ในอากาสานัญจายตน-ฌานนั้น ฯลฯ
เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้นว่า ‘อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยอากาสานัญจายตน-ฌาน’ @@@@@@@
เรากล่าวไว้เช่นนี้แลว่า ’อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยวิญญาณัญจายตน-ฌาน‘ เพราะอาศัยเหตุอะไร เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น ฯลฯ
เรากล่าวไว้เช่นนี้แลว่า ‘อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยอากิญจัญญายตน-ฌาน‘ เพราะอาศัยเหตุอะไร เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้ เพราะอาศัยเหตุนี้ว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ล่วงวิญญาณัญจายตน-ฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตน-ฌานโดยกำหนดว่า ‘ไม่มีอะไร’ อยู่ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่มีอยู่ในอากิญจัญญายตน-ฌานนั้น โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นสิ่งคอยก่อความเดือดร้อน เป็นที่ทำให้ขัดข้อง เป็นดังคนฝ่ายอื่น เป็นสิ่งที่ต้องแตกสลาย เป็นของว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมทำจิตให้กลับจากธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว จึงน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า ‘ภาวะที่สงบ ประณีต คือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิกิเลสทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหาความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน’ เธอดำรงอยู่ในอากิญจัญญายตน-ฌานนั้น ย่อมบรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย หากยังไม่บรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ก็จะเป็นโอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้น จักปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก
ภิกษุทั้งหลาย นายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู พยายามยิงลูกศรไปที่หุ่นหญ้า หรือกองดิน สมัยต่อมา เขาเป็นผู้ยิงลูกศรได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายกายขนาดใหญ่ได้ แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ล่วงวิญญาณัญจายตน-ฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตน-ฌานโดยกำหนดว่า ‘ไม่มีอะไร’ อยู่ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่มีอยู่ในอากิญจัญญายตน-ฌานนั้นโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นสิ่งคอยก่อความเดือดร้อน เป็นที่ทำให้ขัดข้อง เป็นดังคนฝ่ายอื่น เป็นสิ่งที่ต้องแตกสลาย เป็นของว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมทำจิตให้กลับจากธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว จึงน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า ‘ภาวะที่สงบ ประณีต คือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิกิเลสทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหาความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน’ เธอดำรงอยู่ในอากิญจัญญายตน-ฌานนั้นย่อมบรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย หากยังไม่บรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ก็จะเป็นโอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้น จักปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก
เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้นว่า ‘อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได้ เพราะอาศัยอากิญจัญญายตน-ฌาน”
@@@@@@@
ภิกษุทั้งหลาย ดังพรรณนามานี้แล สัญญาสมาบัติ มีอยู่เท่าใด สัญญาปฏิเวธก็มีอยู่เท่านั้น
ภิกษุทั้งหลาย อายตนะ ๒ ประการนี้ คือ เนวสัญญานาสัญญายตน-สมาบัติ และสัญญาเวทยิตนิโรธ ต่างก็อาศัยกันและกัน เรากล่าวว่า ภิกษุผู้ได้ฌาน ฉลาดในการเข้าสมาบัติ ฉลาดในการออกจากสมาบัติ เข้าออกแล้ว พึงกล่าวอายตนะ ๒ ประการนี้ไว้โดยชอบ
ฌานสูตรที่ ๕ จบ
ขอขอบคุณ :- ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๓ หน้า : ๕๐๘-๕๑๒ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต website : https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=23&siri=199ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/ อรรถกถาฌานสูตรที่ ๕ ฌานสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. บทว่า อาสวานํ ขยํ ได้แก่ พระอรหัต. บทว่า ยเทว ตตฺถ โหติ รูปคตํ ความว่า ธรรมดารูปใดย่อมเป็นไปในขณะปฐมฌานนั้นด้วยวัตถุก็ดี ด้วยมีจิตเป็นสมุฏฐานก็ดี. พึงทราบเวทนาเป็นต้นด้วยสามารถสังยุตตเวทนา (เวทนาที่ประกอบกันเป็นต้น). บทว่า เต ธมฺเม ได้แก่ ธรรม คือเบญจขันธ์มีรูปเป็นต้นเหล่านั้น.
ในบททั้งหลายมีอาทิว่า อนิจฺจโต พึงทราบความต่อไปนี้ ชื่อว่าโดยเป็นของไม่เที่ยง เพราะอาการมีแล้วไม่มี. ชื่อว่าโดยเป็นทุกข์ เพราะอาการบีบคั้น. ชื่อว่าโดยเป็นโรค เพราะอาการเสียดแทง. ชื่อว่าโดยเป็นฝี เพราะเจ็บปวดภายใน. ชื่อว่าโดยเป็นลูกศร เพราะเสียบเข้าไปและเพราะเชือดเข้าไป. ชื่อว่าโดยเป็นความลำบาก เพราะทนได้ยาก. ชื่อว่าโดยอาพาธ เพราะถูกเบียดเบียน. ชื่อว่าโดยเป็นอื่น เพราะไม่ใช่เป็นของตน. ชื่อว่าโดยเป็นของทำลาย เพราะผุพังไป. ชื่อว่าโดยเป็นของสูญ เพราะไม่เป็นเจ้าของ. ชื่อว่าโดยเป็นอนัตตา เพราะไม่อยู่ในอำนาจ.
บทว่า สมนุปสฺสติ ได้แก่ เห็นด้วยวิปัสสนาญาณอันแก่กล้า. บทว่า เตหิ ธมฺเมหิ ได้แก่ ด้วยธรรมคือเบญจขันธ์เหล่านั้น. บทว่า ปติฏฺฐาเปติ ได้แก่ กลับไปด้วยความเบื่อหน่าย. บทว่า อมตาย ธาตุยา ได้แก่ นิพพานธาตุ. บทว่า จิตฺตํ อุปสํหรติ ได้แก่ เห็นด้วยวิปัสสนาญาณอันแก่กล้า คือเห็นอานิสงส์ด้วยญาณแล้วหยั่งลง. บทว่า สนฺตํ ได้แก่ ชื่อว่าสงบ เพราะสงบจากกิเลสอันเป็นข้าศึก. บทว่า ปณีตํ ได้แก่ ไม่เดือดร้อน. บทว่า โส ตตฺถ ฐิโต อาสวานํ ขยํ ปาปุณาติ ความว่า ภิกษุนั้นตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น เจริญวิปัสสนาแก่กล้า ย่อมบรรลุพระอรหัต.
@@@@@@@
พึงทราบอีกนัยหนึ่ง บทว่า โส เตหิ ธมฺเมหิ ความว่า เพราะในบทว่า อนิจฺจโต เป็นต้น ท่านกล่าวถึงอนิจจลักษณะด้วยสองบท คือ อนิจจโต ปโลกโต กล่าวถึงทุกขลักษณะด้วยหกบทมีบทว่า ทุกฺขโต เป็นต้น กล่าวถึงอนัตตลักษณะด้วยสามบท คือ ปรโต สุญฺญโต อนตฺตโต ฉะนั้น ภิกษุนั้นยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์อย่างนี้ด้วยธรรม คือเบญจขันธ์ในภายในสมาบัติที่ตนเห็นแล้วเหล่านั้น.
บทว่า จิตฺตํ ปติฏฺฐาเปติ ได้แก่ รวบรวมน้อมนำจิตเข้าไป. บทว่า อุปสํหรติ ความว่า ภิกษุน้อมเข้าไปซึ่งวิปัสสนาจิตโดยอสังขตธาตุ อมตธาตุอย่างนี้ว่า นิพพานสงบ ด้วยที่อยู่ ด้วยการสรรเสริญ ด้วยปริยัติและด้วยบัญญัติ. ภิกษุย่อมกล่าวถึงนิพพานอันเป็นมรรคจิตอย่างนี้ว่า นี้สงบ นี้ประณีตด้วยทำให้เป็นอารมณ์เท่านั้น. อธิบายว่า โดยประการนี้ภิกษุแทงตลอดธรรมนั้น น้อมจิตเข้าไปในธรรมนั้นดังนี้.
บทว่า โสตตฺถ ฐิโต ความว่า ภิกษุตั้งอยู่ในวิปัสสนาอันมีพระไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น. บทว่า อาสวานํ ขยํ ปาปุณาติ ความว่า ภิกษุเจริญมรรค ๔ ตามลำดับแล้วบรรลุพระอรหัต. บทว่า เตเนว ธมฺมราเคน ได้แก่ ฉันทราคะในธรรมคือสมถะและวิปัสสนา. บทว่า ธมฺมนนฺทิยา เป็นไวพจน์ของบทว่า ธมฺมราเคน นั้นนั่นเอง. จริงอยู่ ภิกษุเมื่อสามารถจะครอบงำฉันทราคะในสมถะและวิปัสสนาได้โดยประการทั้งปวง ย่อมบรรลุพระอรหัตได้ เมื่อไม่สามารถก็เป็นพระอนาคามี.
บทว่า ติณปุริสรูปเก วา ได้แก่ มัดหญ้าเป็นรูปคน. ชื่อว่า ทูเรปาติ เพราะยิงลูกศรให้ตกไปไกล. ชื่อว่า อกฺขณเวธี เพราะยิงไม่พลาด.
@@@@@@@
ในบทว่า ยเทว ตตฺถ โหติ เวทนาคตํ นี้ ไม่ถือเอารูป. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะเลยไปแล้ว.
จริงอยู่ ภิกษุนี้เข้าถึงรูปาวจรฌานในภายหลัง ครั้นล่วงเลยรูปไปแล้ว แม้เข้าถึงอรูปาวจรสมาบัติ ภายหลังพิจารณารูปอันล่วงเลยรูปไปแล้วด้วยอรูปาวจรสมาบัตินั้นด้วยสมถะ ครั้นล่วงเลยรูปไปแล้ว ในบัดนี้ย่อมพิจารณาอรูป ด้วยเหตุนั้นรูปจึงล่วงเลยไปแล้วด้วยอรูปนั้นแม้ด้วยวิปัสสนา. ก็ในอรูปย่อมไม่มีรูปแม้โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น แม้ท่านหมายถึงรูปนั้น แต่ในที่นี้ก็ไม่ถือเอารูป.
ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรจึงไม่ถือเอาเนวสัญญานาสัญญายตนะเล่า. ตอบว่า เพราะเป็นของสุขุม.
จริงอยู่ ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น แม้อรูปขันธ์ ๔ ก็สุขุม ไม่เหมาะที่จะพิจารณา. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อิติ โข ภิกฺขเว ฯเปฯ อญฺญาปฏิเวโธ. ข้อนี้มีอธิบายดังนี้ ชื่อว่า สจิตตกสมาบัติมีอยู่ประมาณเท่าใด การแทงตลอดถึงพระอรหัต ย่อมมีแก่ผู้พิจารณาธรรมอันยิ่งประมาณเท่านั้น เขาย่อมเข้าถึงพระอรหัต แต่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ท่านไม่กล่าวว่าเป็นสัญญาสมาบัติ เพราะความเป็นของสุขุม.
บทว่า ฌายี เหเต ความว่า อายตนะสองเหล่านี้อันผู้เพ่งคือผู้ยินดีในฌานควรกล่าวถึงโดยชอบ. บทว่า วุฏฺฐหิตฺวา ได้แก่ ออกจากสมาบัตินั้น. บทว่า สมฺมทกฺขาตพฺพานิ ได้แก่ พึงกล่าวโดยชอบ. บุคคลพึงกล่าว พึงชม พึงสรรเสริญเนวสัญญายตนสมาบัติและสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติอย่างเดียวว่า สงบประณีต ดังนี้.
จบอรรถกถาฌานสูตรที่ ๕ ขอขอบคุณ :- อรรกถา อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต ปัณณาสก์ มหาวรรคที่ ๔ , ๕. ฌานสูตร website : https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=240ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/
|
|
|
75
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทำฌาน ๔ ประการให้มาก ย่อมน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน
|
เมื่อ: มีนาคม 21, 2024, 07:56:59 am
|
. เมื่อเจริญฌาน ๔ ประการ ทำฌาน ๔ ประการให้มาก ย่อมน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน ๙. ฌานสังยุต ๑. คังคาเปยยาลวรรค หมวดว่าด้วยคังคาเปยยาล ๑-๑๒. ฌานาทิสูตร ว่าด้วยฌาน เป็นต้น
[๙๒๓-๙๓๔] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ฯลฯ “ภิกษุทั้งหลาย ฌาน ๔ ประการนี้ ฌาน ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑. สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ ๒. เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป บรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสใน ภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิอยู่ ๓. เพราะปีติจางคลายไป มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุตติยฌานที่พระอริยทั้งหลายสรรเสริญว่า ‘ผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข’ ๔. เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อนแล้ว บรรลุจตุตถฌาน ที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาอยู่ ฌาน ๔ ประการนี้
ภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน หลากไปสู่ทิศปราจีน แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเจริญฌาน ๔ ประการ ทำฌาน ๔ ประการให้มาก ย่อมน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน ภิกษุเมื่อเจริญฌาน ๔ ประการ ทำฌาน ๔ ประการให้มาก ย่อมน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑. สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตกวิจาร ปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ ๒. เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ ๓. ... บรรลุตติยฌาน ฯลฯ ๔. ... บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อเจริญฌาน ๔ ประการ ทำฌาน ๔ ประการให้มาก ย่อมน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน อย่างนี้แล”
ฌานาทิสูตรที่ ๑-๑๒ จบ
@@@@@@@
๕. โอฆวรรค หมวดว่าด้วยโอฆะ ๑-๑๐. โอฆาทิสูตร ว่าด้วยโอฆะ เป็นต้น
[๙๖๗-๙๗๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการนี้ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. รูปราคะ ๒. อรูปราคะ ๓. มานะ ๔. อุทธัจจะ ๕. อวิชชา อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการนี้
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเจริญฌาน ๔ ประการ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่อละอุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการนี้
ฌาน ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑. สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ ๒. เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป บรรลุทุติยฌานที่มีความผ่องใสในภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิอยู่ ๓. ... บรรลุตติยฌาน ฯลฯ ๔. ... บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเจริญฌาน ๔ ประการนี้ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่อละอุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการนี้ ข้อความที่เหลือพึงให้พิสดารอย่างนี้ (พึงเพิ่มข้อความให้พิสดารเหมือนมัคคสังยุต)
โอฆวรรคที่ ๕ จบขอขอบคุณ :- ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๙ หน้า : ๔๔๘-๔๕๑ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ , พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค website : https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=19&siri=298ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/pin/1125968651156557/
|
|
|
77
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรมศิลปากร รับอาสาสมัคร ขุดค้นทางโบราณคดี วัดจักรวรรดิราชาวาส
|
เมื่อ: มีนาคม 21, 2024, 06:52:31 am
|
. กรมศิลปากร รับอาสาสมัคร ขุดค้นทางโบราณคดี วัดจักรวรรดิราชาวาส กรมศิลปากร ประกาศรับอาสามัคร เข้าร่วมขุดค้นทางโบราณคดี วัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร พร้อมสำรวจชุมชนประวัติศาสตร์ย่านสัมพันธวงศ์ ถึง 12 เม.ย. 67
กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ มูลนิธิสุทธิรัตน์ อยู่วิทยา ดำเนินโครงการ ศึกษาโบราณคดีวัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร และพัฒนาการชุมชนประวัติศาสตร์ย่านสัมพันธวงศ์ ระยะแรก ระหว่างวันที่ 19 มีนาคม – 12 เมษายน 2567
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า การดำเนินงานระยะแรกนี้ จะเป็นการขุดค้นทางโบราณคดีภายในพื้นที่โบราณสถาน หรือเขตพุทธาวาสของวัดจักรวรรดิราชาวาส ซึ่งทางวัดเป็นฝ่ายขอให้กรมศิลปากรเข้ามาดำเนินงานโบราณคดีกรมศิลปากร รับอาสาสมัคร ขุดค้นทางโบราณคดี วัดจักรวรรดิราชาวาส เพื่อนำข้อมูลหลักฐานทางโบราณคดีไปใช้ในการออกแบบบูรณะโบราณสถานและการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในพื้นที่โบราณสถานวัดจักรวรรดิราชาวาส และเพื่อรักษาศาสนสมบัติและมรดกวัฒนธรรมให้ยั่งยืน
โดยรูปแบบการดำเนินงาน จะเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน และการแบ่งปันองค์ความรู้สู่สังคมในวงกว้าง เปิดโอกาสให้อาสาสมัคร ซึ่งเป็นประชาชนทั่วไป ได้เข้ามาร่วมสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดี ส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยให้นักโบราณคดีรุ่นใหม่ได้เข้ามาฝึกฝนและเรียนรู้ประสบการณ์จริงในการทำงานภาคสนามทางโบราณคดี
ส่วนการสำรวจชุมชนประวัติศาสตร์ย่านสัมพันธวงศ์ มุ่งเน้นศึกษาความหลากหลายทางวัฒนธรรม ที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชนประวัติศาสตร์เมืองบางกอก โดยเฉพาะชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลย่านสำเพ็ง เยาวราช และตลาดน้อย เพื่อเป็นทุนทางวัฒนธรรมและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและคุณภาพของสังคมในย่านประวัติศาสตร์อย่างยั่งยืนกรมศิลปากร รับอาสาสมัคร ขุดค้นทางโบราณคดี วัดจักรวรรดิราชาวาส สำหรับวัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร หรือวัดสามปลื้ม เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร มีประวัติสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาให้เป็นพระอารามหลวง เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ควบคู่กับชุมชนบางกอกและสำเพ็งมายาวนาน มีปูชนียวัตถุสถานที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์หลายประการ
เช่น วิหารพระนาก พระอุโบสถ พระวิหารกลาง พระปรางค์และมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาท รวมถึงรูปเหมือนพระพุฒาจารย์มา หรือท่านเจ้ามา และรูปเหมือนเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นต้นขอขอบคุณ :- ที่มา : กรมศิลปากร website : https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/219850 โดย PPTV Online | เผยแพร่ 20 มี.ค. 2567 ,16:28น.
|
|
|
78
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แนะผู้เข้าอบรม “พระธรรมทูตสายต่างประเทศ” ยึดหลัก “สาราณียธรรม 6 ประการ”
|
เมื่อ: มีนาคม 21, 2024, 06:45:25 am
|
. แนะผู้เข้าอบรม “พระธรรมทูตสายต่างประเทศ” ยึดหลัก “สาราณียธรรม 6 ประการ”สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ กล่าวให้โอวาทเปิดโครงการอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุ่นที่ 30
สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ปสฤทธ์ เขมงฺกโร) กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ กล่าวให้โอวาทในพิธีเปิดโครงการอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุ่นที่ 30 ที่อาคาร มวก. 48 พรรษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า งานพระธรรมทูตนั้น เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า เป็นงานที่ต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะ ความเสียสละ และความหนักแน่นอดทน เพราะเป็นงานที่ต้องปฏิบัติศาสนกิจในความหลากหลายของกฎหมาย วัฒนธรรม จารีต ประเพณี แต่ถึงอย่างไร ต้องตระหนักในพระธรรมวินัยเป็นที่สุด สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระราชทานพระราโชบายไว้เป็นแนวทางการดำเนินงานของคณะสงฆ์ว่า
“พัฒนาความรู้ และคุณภาพพระสงฆ์ ให้เป็นหลักทางใจของประชาชน ให้พระมีความสำนึก และเป็นประโยชน์ในสังคมไทย” พระราโชบายนี้ เป็นคติเตือนใจที่สำคัญมาก ที่จะต้องประพฤติตนในพระธรรมวินัยให้สมบูรณ์ เพิ่มพูนปณิธานและความเพียรอันแน่วแน่ ที่จะพัฒนาตน พัฒนาความรู้ พัฒนาจิตใจ ให้สมดุล มส.สนองพระราโชบาย ให้ความสำคัญกับงานพระธรรมทูต ส่งเสริม สนับสนุน และกำกับดูแลให้พระธรรมทูต ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในนานาอารยประเทศเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่มหาชนในประเทศนั้นๆ ตามพระพุทธประสงค์ ตามพระธรรมวินัย และตามหลักของบุรพาจารย์สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กล่าวต่อไปว่า ขอปรารถสารัตถธรรมถวายคำแนะนำแนวทางในการเข้ารับการอบรมนั้น พึงตระหนักในพระพุทธพจน์ บทที่ว่า “สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร พึงสำรวมในที่ทั้งปวง เป็นดี” และ “ธมฺมํ จเร สุจริตํ พึงทำดีให้สุจริต” ทำให้เหมาะ ทำให้ดี ทำให้ถูกต้อง
พระพุทธศาสนานั้น เป็นศาสนาที่ส่งเสริมให้บุคคลจัดการวิถีชีวิตของตนอย่างสอดคล้องกับวิถีธรรมชาติให้มากที่สุด การศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จัดเป็นอุปนิสัย คือปัจจัยเครื่องอาศัยของพระธรรมทูต เพราะการฝึกอบรมนั้นต้องเจริญพระกัมมัฏฐาน รักษาเสนาสนะ สมณบริขาร สถานที่ที่เกื้อกูลต่อการเจริญสมณธรรม เอื้อประโยชน์ต่อการแสวงความรู้ และความสงบสุขทางใจ การอบรมพัฒนาด้วยการภาวนาทางจิต นำพาชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ จักเป็นอุปกรณ์ให้ตั้งมั่นอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ และปัญญา การอบรมตลอดหลักสูตร ระยะเวลา 3 เดือน
ขอน้อมนำพระพุทธศาสนี ที่หมู่คณะใดน้อมนำไปปฏิบัติแล้วจักเกิดความสามัคคีปรองดอง เกื้อกูล มีน้ำใจไมตรี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกันนั้น ซึ่งเราทั้งหลายทราบประจักษ์อยู่แล้ว คือ หลักสาราณียธรรม 6 ประการ ประกอบด้วย - เมตตากายกรรม - เมตตาวจีกรรม - เมตตามโนกรรม - สาธารณโภคี - สีลสามัญญตา และ - ทิฐิสามัญญตา
ธรรมมทั้ง 6 ประการนี้ มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จึงเป็นโอกาสให้ทุกรูปได้น้อมนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินการและเข้ารับการอบรมตลอดโครงการ ตามหน้าที่ของตน ให้ได้ครบถ้วนทั้ง 6 ประการ เพื่อความวัฒนาสถาพรของคณะสงฆ์และพระบวรพุทธศาสนายิ่งขึ้นไปสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กล่าวอีกว่า การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จะบริบาลให้ทุกรูป อุดมด้วยปสาทะ ศรัทธา และมีสัมมาปัญญา ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาจารย์ จึงทรงนำหลักเจริญ “มหาสติปัฏฐาน 4” คือการเจริญสติไปในกาย ในเวทนา ในจิตและในธรรม นำเป็นหลักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพื่ออบรมสติให้บริสุทธิ์สะอาดปราศจาก “มิจฉาสติ” ไม่วิปริตบกพร่อง แต่เป็น “สัมมาสติ” ที่ถูกต้องบริสุทธิ์ จนบังเกิด “อัปปมาทธรรม” คือ ความไม่ประมาท ขึ้นใน “ปัญญา”
ปราชญ์จึงกล่าวว่า สติ คือ ความไม่ประมาท และความไม่ประมาท คือบ่อเกิดแห่ง “ปัญญา” ผู้เข้ารับการอบรมพระธรรมทูต พึงตั้งใจเจริญปัญญาให้อุดมด้วย “สัมมาปัญญา” ซึ่งตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ สามารถยังผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ มิให้ตกไปสู่ที่ชั่วให้ได้รับผลสมกับการปฏิบัติ คือ ให้พ้นทุกข์ ประสบสันติสุขสวัสดีได้อย่างแท้จริงขอบคุณ : https://www.dailynews.co.th/news/3275143/20 มีนาคม 2567 | 19:32 น. | การศึกษา-ศาสนา
|
|
|
79
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / จะต้องเข้าฌานสี่ก่อน แล้วจึงวิปัสสนา ใช่ไหม.?
|
เมื่อ: มีนาคม 21, 2024, 06:32:25 am
|
. จะต้องเข้าฌานสี่ก่อน แล้วจึงวิปัสสนา ใช่ไหม.?โดย อาจารย์ไชย ณ พล Q ถาม : ท่านอาจารย์ครับ การวิปัสสนาต้องเข้าฌานสี่ตามสามัญญผลสูตรก่อนใช่ไหมครับจึงวิปัสสนาได้
A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ : ขึ้นอยู่กับระดับวิปัสสนา แท้จริงแล้ว สมถะ วิปัสสนา วิราคะ จะร้อยเรียงผสานกันหมุนวนไปตลอดทางบรรลุธรรม พอเราพบกัลยาณมิตร เกิดความเข้าใจสนใจ (วิปัสสนา) ศรัทธาในธรรม (สมถะ) แรกเริ่มเกิดขึ้นแล้ว
@@@@@@@
จากนั้นวิปัสสนา สัมมาทิฏฐิ เรื่องความดีที่ไม่ดีจริง ความดีที่ดีจริง แล้วมองภาพรวมอริยสัจ วิปัสสนาเบื้องต้นบังเกิดแล้ว ถึงจะเบื้องต้น แต่สัมมาทิฎฐิเป็นประธานแห่งมรรค เพราะหากไม่มีสัมมาทิฏฐิ มรรคตัวอื่น ๆ ก็ไม่เกิดขึ้น และสัมมาทิฏฐิจะประคองการหมุนธรรมจักรให้ดำเนินไปตลอดทาง จึงเป็นประธานแห่งมรรค
จากนั้น สัมมาดำริ ตั้งใจออกจากกามและการเบียดเบียน ลดกิจกรรมบาปออกจากชีวิตมากมาย ตรงนี้ได้ทั้งศีล ชีวิตสมถะ และวิปัสสนาเลือกเฟ้น อะไรควรเก็บไว้ อะไรควรเอาออกไปจากสารบบชีวิตเด็ดขาด (วิราคะ)
จากนั้น สัมมาวาจา ทั้งให้สัญญากับตัวเอง ว่านี่เป็นมาตรฐานของเรา ทั้งประกาศให้ผู้เกี่ยวข้องรู้ เขาจะได้เคารพสิทธิ์ของเรา ทั้งขัดเกลาวาจาว่าจะไม่โกหก ไม่ส่อเสียดให้ใครเกลียดกัน ไม่หยาบคาย ไม่เพ้อเจ้อ ได้ทั้งศีล สัมปชัญญะกำกับตัวเอง วิปัสสนาเลือกเฟ้นถ้อยคำที่เหมาะสม วิราคะถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม ทำได้ก็ได้สมถะในใจ สมถะในความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์จะดีขึ้นทันตาเห็น
จากนั้น สัมมากัมมันตะ จัดมาตรฐานพฤติกรรมใหม่ ไม่ฆ่าชีวิตอื่น ไม่ลัก ไม่ยักยอก ไม่ฉกฉ้อทรัพย์ของใคร ไม่ประพฤติผิดในกาม ได้ทั้งศีล สัมปชัญญะกำกับตัวเอง วิปัสสนาเลือกเฟ้นการกระทำที่เหมาะสม กล้าปฏิเสธสิ่งที่ไม่เหมาะสม (วิราคะ) ทำได้ก็ได้สมถะในใจ สมถะในความสัมพันธ์ ชีวิตและโอกาสการงานจะดีขึ้นมาก
จากนั้น สัมมาอาชีวะ จัดมาตรฐานอาชีพเพื่อการดำรงอยู่ใหม่ อาชีพใดทำแล้วเป็นกุศล ไร้บาป จึงทำ หากมีบาปปนแม้เล็กน้อย ไม่ทำ แม้ระหว่างประกอบกิจการ ก็ใช้กลยุทธ์ที่เป็นกุศลเท่านั้น กลยุทธ์บาปไม่ทำ ตรงนี้ต้องใช้วิปัสสนามาก และอธิโมกข์กล้าตัดสินใจวิราคะจนเป็นธรรมต่อ stakeholder ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมาก จนได้ Trust ความเชื่อถือได้ทางอาชีพสูง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จทุกวิชาชีพ จะทำให้ทำน้อยแต่ได้ผลมาก ไม่ต้องทำมากแต่ได้ผลน้อยเหมือนเก่าก่อน ได้ธุรกิจสมถะ ทีมงานสมถะ (มีแต่คนที่ใช่) ชีวิตสมถะอีกมากโขจากนั้น สัมมาวายามะ เมื่อสะอาดพอควรแล้วจะเริ่มเห็นผลบุญผลบาปชัด ก็เพียรชอบ ๑) ในการป้องกันบาปที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น ๒) เพียรขจัดบาปแม้เล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่ออกไป ๓) เพียรเจริญบุญที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ๔) เพียรรักษาบุญที่เกิดขึ้นแล้วให้งอกงามภิญโญ เป็นการขัดใสชีวิตจิตใจในทุกระบบ ใช้ทั้งวิปัสสนา วิราคะ และสมถะยินดีในสิ่งที่ประเสริฐกว่า สัมมาวายามะนี้จะเป็นหัวหน้าระบบ Quality Control คุณภาพคุณธรรมตลอดทางแห่งมรรค
จากนั้น สัมมาสติ ปฏิบัติมาถึงตรงนี้แล้ว สติเริ่มอยู่กับเนื้อกับตัวมั่นคงมากขึ้น ก็พิจารณา (วิปัสสนา) ๑) กายในกายภายใน (ตน) กายในกายภายนอก (คนอื่น) จนเห็นเป็นอนิจจังไม่เที่ยงไปตลอดชีวิต จึงวิราคะ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ได้จิตที่สมถะตั้งมั่น สติเต็มอยู่ภายใน (mindfulness) ๒) เวทนาในเวทนาภายใน (ตน) เวทนาในเวทนาภายนอก (คนอื่น) จนเห็นเป็นอนิจจังไม่เที่ยงไปตลอดชีวิต จึงวิราคะ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ได้จิตที่สมถะตั้งมั่น สติเต็มอยู่ภายใน (mindfulness) ๓) จิตในจิตภายใน (ตน) จิตในจิตภายนอก (คนอื่น) จนเห็นเป็นอนิจจังไม่เที่ยงไปตลอดชีวิต จึงวิราคะ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ได้จิตที่สมถะตั้งมั่น สติเต็มอยู่ภายใน (mindfulness) ๔) ธรรมในธรรมภายใน (ตน) ธรรมในธรรมภายนอก (คนอื่น) จนเห็นเป็นอนิจจังไม่เที่ยงไปตลอดชีวิต จึงวิราคะ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ได้จิตที่สมถะตั้งมั่น สติเต็มอยู่ภายใน (mindfulness)
สัมมาสตินี้เป็นหัวหน้าในการรักษาจิต ทำหน้าที่กั้นกระแสไม่ให้ไหลไปภายนอก ป้องกันกระแสภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนภายใน ทรงสติเต็มตื่นรู้อยู่ภายใน (mindfulness) ไปตลอดทางแห่งมรรค
จากนั้น สัมมาสมาธิ เมื่อมีสติดีแล้วจึงเข้าสมาธิได้ หากสติยังไม่ดีจะเข้าสมาธิไม่ได้ ได้แค่สมากระท่อนกระแท่น เข้าได้แล้วก็ปฏิบัติการสมาธิ อันคือกระบวนการลอกขันธ์ ก่อนเข้าฌาน ๑ ลอกกามฉันทะ พยาบาท ฟุ้งซ่าน หดหู่ ลังเลสงสัยออก ฌาน ๑ มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา (สติตั้งมั่นเป็นหนึ่ง) ฌาน ๒ ลอกวิตก วิจารออก เหลือแต่ปีติ สุข เอกัคคตา ฌาน ๓ ลอกปีติออก เหลือแต่สุข เอกัคคตา และอุเบกขา ฌาน ๔ ลอกสุขออก เหลือแต่อุเบกขา และสติบริสุทธิ์อยู่ ธรรมชาติของสติเริ่มบริสุทธ์ตั้งแต่ฌาน ๔ เป็นต้นไป ในฌาน ๔ นี้ พระพุทธเจ้าให้วิปัสสนาในฌานเลย ด้วยการใช้สติบริสุทธิ์กอปรอุเบกขา ส่องดูความเป็นจริงแห่งอดีตชาติ เรียก บุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้ววิปัสสนาว่า ตนมีวิวัฒนาการความเป็นมาอย่างไร แต่ละชาติเป็นอย่างไร เกิดตระกูลใด คุณสมบัติเด่นอะไร คุณสมบัติด้อยอะไร ชีวิตความเป็นอยู่เป็นอย่างไร ผลสุดท้ายก่อนตายเป็นทุกข์หรือเป็นสุข จากนั้นไปเกิดที่ไหนต่อ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จนเห็นชัดว่าชาติไม่เที่ยง เกิดทุกชาติทุกข์ทุกชาติ แม้เกิดในชาติที่อายุขัยสูง ๆ ชีวิตแสนสุขสบาย ก็จะทุกข์เพราะโรคหิวและโรคตาย
ต่อไปทรงสอนให้วิปัสสนากลไกกรรมกำกับความเป็นไปของสัตว์โลก เรียก จุตูปปาตญาณ เราก็ตาม ใครก็ตาม ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ทำกรรมใดแล้วได้ผลเป็นอย่างไร ทั้งกรรมดีโดยเจตนา กรรมดีโดยไม่เจตนา กรรมชั่วด้วยเจตนาเบียดเบียน กรรมชั่วด้วยอารมณ์ฉันทราคะ กรรมชั่วด้วยอารมณ์ปฏิฆะ กรรมประมาทเลินเล่อ กรรมทั้งดีทั้งชั่วแอบแฝงปนกันอยู่ จะเห็นชัดซึ่งข่ายใยกรรมที่ครอบงำสัตว์โลกยั้วเยี้ยเหลือประมาณ เป็น matrix ทิพย์ของแท้ จนปรารถนาจะออกจากสังกะตังแห่งกรรมสู่อิสรภาพ
ต่อไปทรงสอนให้วิปัสสนาดับพลังผูกมัดไว้ใน matix กรรม และภพชาติอันเป็นไปตามกรรม เรียก อาสวักขยญาณ คือ ๑. ดับกามาสวะ (สายสวะผูกมัดคือกาม) ๒. ดับทิฏฐาสวะ (สายสวะผูกมัดคือความคิดเห็น) ๓. ดับภวาสวะ (สายสวะผูกมัดคือความเป็น) ๔. ดับอวิชชาสวะ (สายสวะผูกมัดคืออวิชชา ไม่รู้อดีต อนาคต และทั้งสอง ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ไม่รู้อริยสัจ) การรู้อริยสัจตั้งแต่ในสัมมาทิฏฐิจะมาแจ่มกระจ่างแจ้งด้วยญาณนี้ ดับอาสวะสี่พลังพันธนาการนี้ได้ ก็บรรลุธรรม สำเร็จอรหันต์เลย หากยังดับไม่สนิทสิ้นเชื้อ ไม่ถึงอรหันต์ ก็จักพึงถึงอนาคามี ก็ลอกขันธ์ต่อไป
@@@@@@@
ฌาน ๕ ลอกรูปสัญญาและนานัตตสัญญาออก เหลือแต่ธาตุว่าง เรียก อากาสานัญจายตนะ ในชั้นนี้ วิปัสสนาอนัตตา แล้ววิราคะตรง ๆ
ฌาน ๖ ลอกอากาสานัญจายตนะออก เหลือแต่วิญญาณธาตุ เป็นธาตุธรรมชาติยิบสว่างรู้ที่ใจ เรียก วิญญาณัญจายตนะ ในชั้นนี้ วิปัสสนาอนัตตา แล้ววิราคะตรง ๆ
ฌาน ๗ ลอกวิญญาณัญจายตนะออก เหลือแต่อากิญจัญญายตนะธาตุ เป็นธาตุไร้เวิ้งว้าง เรียก อากิญจัญญายตนะ ในชั้นนี้ วิปัสสนาอนัตตา แล้ววิราคะตรง ๆ
ฌาน ๘ ลอกอากิญจัญญายตนะออก เหลือแต่เนวสัญญานาสัญญายตนะธาตุ เป็นธาตุสงัดที่แม้มีสัญญาอยู่คู่กับอทุกขมสุขเวทนาประณีต แต่ทั้งสัญญาและเวทนาสงบระงับไม่ทำงานอยู่ (สังขารระงับเพราะปัจจัยตัวปรุงสังขารทั้งสองสงบ) เรียก เนวสัญญานาสัญญายตนะ ในชั้นนี้วิปัสสนาไม่ได้ ไม่บรรลุธรรม แต่เป็นสะพานสู่สภาวะต่อไปที่บรรลุธรรมชั้นยอดได้
ฌาน ๙ ดับซากสัญญาและเวทนาแสนสงบที่เหลือหมด เข้า สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ รู้แต่ภายใน ไม่รู้อะไรภายนอกเลย ผู้ที่จะได้ฌานนี้ต้องได้อนาคามีจิต และเป็นที่ที่พระอรหันต์นิยมพักลึกกันในสภาวะนี้
พระอนาคามีที่ออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์สำเร็จอรหันต์เลย เพราะทะลุปรุโปร่งนิโรธจนสุดแล้ว ท่านที่ไม่สำเร็จอรหันต์อาจเป็นเพียงเพราะติดอธิษฐานแห่งธรรมกิจอย่างใดอย่างหนึ่งไว้
ส่วนพระอนาคามีที่ไม่ได้เข้านิโรธ ส่วนใหญ่เพราะปฏิบัติเพลิน ลืมตรวจสอบสภาวะ จึงไม่รู้ว่าตนสำเร็จอนาคามีแล้ว จึงไม่ได้ใช้สิทธิ์อันควร เมื่อละสังขารก็จะไปอยู่ปฏิบัติต่อด้วยกันกับพระอนาคามีรุ่นพี่ที่สุทธาวาสพรหม และสำเร็จอรหันต์ในชั้นนั้นเลยสรุป
สมถะ วิปัสสนา วิราคะ จะใช้ร้อยเรียงหมุนธรรมจักรไปด้วยกันตลอดทางแห่งการบรรลุธรรม ไม่มีแยกจากกัน มีแต่บริบูรณ์ขึ้น สมถะลึกขึ้น วิปัสสนาสัจจะได้ใหญ่ขึ้น วิราคะเด็ดขาดมากขึ้น บรรลุธรรมสูงขึ้น เท่านั้น
อนึ่ง มรรคทุกขั้นมีผู้บรรลุธรรมได้หมด เช่น - ท่านพระอัญญาโกณทัญญะบรรลุโสดาบันในสัมมาทิฏฐิมรรค - พระเจ้าสุทโธทนะบรรลุโสดาบันในสัมมาดำริมรรค - เจ้าอาวาสท่านหนึ่งรู้มากแต่ปากไม่ดี ศิษย์หนีหมด มากราบพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงให้เจริญสัมมาวาจาด้วยเมตตา ศิษย์หลั่งไหลมามาก ท่านก็ปฏิบัติเคร่งครัดจนบรรลุธรรมในสัมมาวาจามรรค - ท่านองค์คุลีมาลบรรลุโสดาบันในสัมมากัมมันตะมรรค - ท่านจิตตคฤหบดีบรรลุถึงอนาคามีในสัมมาอาชีวะมรรค รักษาอุโบสถเคร่งครัด ปฏิบัติธรรมต่อเนื่อง ทำธุรกิจการค้าด้วย ศึกษาธรรมด้วย แบ่งปันธรรมด้วย - ท่านพระราหุลบรรลุอริยผลโดยลำดับหลายปีโดยมีสัมมาวายามะมรรคเป็นแกน - ชาวกุรุบรรลุอริยธรรมกันหลายระดับด้วยสัมมาสติมรรค
พระอรหันต์ส่วนใหญ่สมัยพุทธกาลบรรลุอริยสภาวะธรรมด้วยวิปัสสนาและวิราคะในสัมมาสมาธิ การบรรลุอรหันตธรรมทั้งหมดไม่ว่าด้วยมรรคใด ล้วนบรรลุในสมาธิฌานใดฌานหนึ่งเป็นฐานทั้งสิ้น การบรรลุอรหัตตผลนอกฌานไม่มี (อัฏฐกนาครสูตร)
@@@@@@@
โอกาสบรรลุธรรมมีมากมายเหลือเกิน ถ้าไม่บล็อกจิตว่าการบรรลุธรรมเป็นเรื่องยาก แล้วดูโลกแห่งการบรรลุธรรมจริง จะพบว่าเป็นเรื่องง่าย
การบรรลุธรรมยากสำหรับสองพวก คือ ๑) พวกที่คิดว่ายาก ต้องพลิกจิตจากความเห็นเข้าสู่ความจริงก่อน จึงจะบรรลุได้ ๒) พวกที่ติดกรรมมหาโจรห้า ต้องแก้ไขแบบพลิกพฤติกรรมเป็นตรงข้ามแบบเอกอุก่อน จึงจะบรรลุได้
การบรรลุธรรมเป็นไปไม่ได้สำหรับสองพวกเท่านั้น คือ ๑) พวกอาภัพไม่มีโอกาสได้ฟังอริยสัจเลยจนตายไปก่อน ๒) พวกทำอนันตริยกรรม ๕ นอกนั้นบรรลุธรรมได้หมด
พระผู้มีพระภาคทรงสอนว่า การบรรลุธรรมที่ปฏิบัติง่ายสำเร็จเร็วจะปรากฏขึ้นเมื่อบุคคลประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม คือ ๑. ปฏิบัติธรรมแม่น ตรงสู่ผล (ไม่ปฏิบัติเอามันส์ หรือเอาโชว์) ๒. ปฏิบัติธรรมเหมาะกับสภาวะของตน (ไม่พยายามก๊อบปี้ท่านอื่น)
รู้อริยสัจแล้ว ปฏิบัติให้ได้อริยผลกันนะ อย่าให้เสียชาติเกิดไปฟรี ๆ ใครยังไม่เข้าอริยผลเต็มตัว ชาติหน้าจะไม่ได้เจอสังคมอย่างนี้อีกแล้ว ขอขอบคุณ :- ภาพ : pinterest ที่มา : https://uttayarndham.org/dhamma-sharing/6569/จะต้องเข้าฌานสี่ก่อนแล้วจึงวิปัสสนาใช่ไหม 15 May 2023
|
|
|
80
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระพุทธเจ้าแนะวิธีถอนคุณไสย
|
เมื่อ: มีนาคม 21, 2024, 05:52:06 am
|
. พระพุทธเจ้าแนะวิธีถอนคุณไสยเรื่องของคุณไสยใครว่าไม่มีจริง.. คุณไสย ไม่ใช่แค่ความเชื่อแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงคู่โลกใบนี้.. ใครหลายคนอาจเคยได้ยินได้ฟังแบบเป็นแค่เรื่องเล่า เขาว่ากันว่าบางคนก็อาจไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าเรื่องคุณไสยสามารถให้คุณให้โทษต่อมนุษย์ได้
คุณไสย เกิดจากอำนาจพลังสมาธิชั้นสูงของผู้ที่ปฏิบัติแล้วได้ฌาน เพียงแต่ว่าผู้ปฏิบัติท่านนั้นเอาสมาธิที่ได้ใฝ่ไปทาง มิจฉาสมาธิ อันหมายถึง มิใช่สมาธิที่เพื่อจะไปต่อยอดให้เป็นสัมมาสมาธิอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน
ดังนั้นอำนาจพลังสมาธิที่เกิดจากมิจฉาสมาธิจึงมีมากไม่แพ้ กับพลัง สมาธิแบบสัมมาสมาธิ ดังนั้นผู้ที่ฝ่ายไปทางด้านคุณไสยเมื่อปฏิบัติสมาธิได้ลึกจนถึงเข้าฌาน ก็สามารถบันดาลดลสิ่งต่างๆให้เกิดพลังงานแฝง แล้วส่งไปสู่ผู้คนได้ อาทิ ลมเพลมพัด หรือ แม้แต่เรื่องคุณไสยเสน่ห์ยาแฝด
ในยุค พ.ศ. 2460 ผู้ที่ได้ฌานระดับลึกๆ แต่เป็นมิจฉาสมาธิค่อนข้างมีมากโดยเฉพาะบุคคลที่เป็นฆราวาสเพื่อทำคุณไสย ก็ทำให้ใครหลายคน อาจจะได้รับรู้ข้อมูลผ่านภาพยนตร์เป็นต้น แม้แต่สายพระเกจิคณาจารย์ ที่ปลุกเสกเลขยันต์ นั่นก็ยังเป็นมิจฉาสมาธิรูปแบบหนึ่ง เพียงแต่พึงอาศัยพลังงานเข้าไปสถิตในวัตถุต่างๆ ที่เราเรียกว่าวัตถุมงคล นั่นก็มิใช่สัมมาสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าสอนเช่นกัน เพียงแต่เพิ่งหวังผลลัพธ์ไปในทางที่เป็นคุณเป็นกุศล มากกว่าการเป็นลบ
@@@@@@@
พระภิกษุในครั้งพุทธกาล บางรูปก็งดงาม และทำให้สีกาทั้งหลายเห็นก็พึงปรารถนาที่จะได้มาเป็นคู่ครอง ยิ่งสังคมอินเดียสมัยก่อน ผู้หญิงจะต้องเป็นผู้ไปสู่ขอผู้ชาย เพื่อแต่งงานอยู่กินด้วยซ้ำ ดูเหมือนผู้หญิงจึงชื่นชอบผู้ใดถ้าไม่ได้เล่ห์ก็ใช้กลอยู่เสมอ
คราวหนึ่งพระภิกษุรูปงาม รูปหนึ่งป่วย เป็นไข้อย่างรุนแรง เพราะถูกเสน่ห์ยาแฝดซึ่งเป็นคุณไสยชนิดหนึ่ง ซึ่งมีผลค่อนข้างแรงมากขนาดเป็นพระภิกษุก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเช่นเดียวกันแต่ก็ต้องเข้าใจว่าพระภิกษุธรรมดาๆ ก็คือมนุษย์ หนึ่งคนนั่นเอง ที่น้อมตัวเองเข้าไปศึกษาธรรมะ
เพื่อนพระภิกษุด้วยกันจึงไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลว่ามีพระภิกษุที่เป็นสหธรรมิก โดนคุณไสยมีอาการกระสับกระส่าย ป่วยอย่างรุนแรง พระพุทธเจ้า จึงแนะนำ วิธีการแก้คุณไสยนั้น ดังนี้
"ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ดื่มน้ำละลายดินรอยไถติดผาล"
ความนี้ปรากฏในพระไตรปิฏก วินัยปิฏกเล่ม ๕ มหาวรรค ภาค๒
@@@@@@@
นี่คือ วิธีการแก้คุณไสยประเภทเสน่ห์ยาแฝด คำว่าดินรอยไถติดผาล ก็คือ ดินที่อยู่ใต้รอยไถนั่นเอง ทีนี้การที่จะนำดินชนิดนี้ไปละลายน้ำดื่ม ไม่ใช่หยิบไปเป็นก้อน แต่ให้หยิบ ดินใต้รอยไถนั้น ที่ติดผาลแค่เพียงเศษๆ อาจจะหยิบมาแค่ปลายเล็บจิกก็ได้ แล้วนำเอามาละลายน้ำ ก่อนดื่มก็ให้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วดื่ม ทำครั้งแรกอาจดื่มแล้วยังไม่หายดี ก็ให้ดื่มหลายๆ ครั้ง แต่ไม่เกินสามครั้งดีแน่
นี่คือ วิธีที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าและปรากฏในพระไตรปิฎก ถ้าเราคิดแบบปราชญ์ชาวบ้านนั้น แปลความได้ว่า "ผาล" เป็นตัวพลิกหน้าดินที่เดินไถไป ผาลพลิกหน้าดินก็คล้ายการพลิกชีวิตนั่นแล จากที่ไม่ดีให้ดีขึ้น
ใครที่เคารพนับถือพระพุทธเจ้า แล้วถ้าเกิดทราบว่ามีผู้ใดใครที่โดนคุณไสยในลักษณะต่างๆ ก็ลองนำเอาวิธีนี้ไปใช้ อาจจะทำให้ชีวิตของเขาพลิกเปลี่ยนดีขึ้น แต่อย่าลืมทุกครั้งที่ นำไปทำให้น้อมระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า เพราะนี่เป็นวิธีที่พระองค์ท่านแนะนำThank to : https://www.thansettakij.com/blogs/lifestyle/horoscope/59133821 มีนาคม 2567 | พระพุทธเจ้าแนะวิธีถอนคุณไสย | คอลัมน์ ทำมา ธรรมะ โดย ราชรามัญ
|
|
|
|