ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 183 184 [185] 186 187 ... 708
7361  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ต้องกระทำดังนี้ เมื่อ: มิถุนายน 27, 2018, 08:06:50 am


การประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ต้องกระทำดังนี้

[๙] ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อจะเรียกนันทะให้ถูกต้อง ควรเรียกว่า ‘กุลบุตร’
    เมื่อจะเรียกนันทะให้ถูกต้อง ควรเรียกว่า ‘ผู้มีกำลัง’
    เมื่อจะเรียกนันทะให้ถูกต้อง ควรเรียกว่า ‘ผู้น่ารัก‘(๑-)
    เมื่อจะเรียกนันทะให้ถูกต้อง ควรเรียกว่า ‘ผู้มีราคะจัด‘(๒-)

ภิกษุทั้งหลาย เว้นแต่ว่า นันทะจะเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในการบริโภค ประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่เนืองๆ ประกอบด้วยสติและสัมปชัญญะ นันทะจึงจะสามารถประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้

    @@@@@@

    ภิกษุทั้งหลายในข้อนั้น วิธีคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย สำหรับนันทะ ดังนี้ คือ
    หากนันทะจำเป็นต้องมองดูทิศตะวันออก นันทะต้องสำรวมจิตทั้งหมด มองดูทิศตะวันออกด้วยคิดว่า
    ‘เมื่อเรามองดูทิศตะวันออกอยู่อย่างนี้ บาปอกุศลธรรม คือ อภิชฌาและโทมนัสจักครอบงำจิตของเราไม่ได้’
    นันทะต้องเป็นผู้มีสัมปชัญญะในการมองดูนั้นอย่างนี้

    หากนันทะจำเป็นต้องมองดูทิศตะวันตก ฯลฯ
    จำเป็นต้องมองดูทิศเหนือ ฯลฯ
    จำเป็นต้องมองดูทิศใต้ ฯลฯ
    จำเป็นต้องมองดูทิศเบื้องบน ฯลฯ
    จำเป็นต้องมองดูทิศเบื้องล่าง ฯลฯ
    จำเป็นต้องมองดูทิศเฉียง
    นันทะต้องสำรวมจิตทั้งหมดมองดูทิศเฉียง ด้วยคิดว่า
    ‘เมื่อเรามองดูทิศเฉียงอยู่อย่างนี้ บาปอกุศลธรรมคืออภิชฌาและโทมนัสจักครอบงำจิตของเราไม่ได้’
    นันทะต้องเป็นผู้มีสัมปชัญญะในการมองดูนั้นอย่างนี้
    ภิกษุทั้งหลาย นี้แล คือ วิธีคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายสำหรับนันทะ


     @@@@@@

    วิธีรู้จักประมาณในการบริโภค สำหรับนันทะ ดังนี้ คือ
    นันทะต้องพิจารณาโดยแยบคายแล้วฉันอาหาร ไม่ใช่เพื่อเล่น ไม่ใช่เพื่อความมัวเมา(๓-) ไม่ใช่เพื่อประดับ(๔-)ไม่ใช่เพื่อตกแต่ง(๕-) แต่เพื่อให้กายนี้ดำรงอยู่ได้ เพื่อให้ชีวิตินทรีย์เป็นไป เพื่อบำบัดความหิว
    เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ ด้วยคิดเห็นว่า
    ‘โดยอุบายนี้เราจักกำจัดเวทนาเก่าเสียได้ และจักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น ความดำรงอยู่แห่งชีวิต ความไม่มีโทษและการอยู่โดยผาสุกจักมีแก่เรา’
    ภิกษุทั้งหลาย นี้แล คือวิธีรู้จักประมาณในการบริโภคสำหรับนันทะ

    @@@@@@

    วิธีประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่เนืองๆ สำหรับนันทะ ดังนี้ คือ
    นันทะต้องชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมเครื่องกางกั้น(๖-) ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งตลอดวัน
    ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมเครื่องกางกั้นด้วยการจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดปฐมยามแห่งราตรี
    สำเร็จสีหไสยาโดยตะแคงข้างขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติ-สัมปชัญญะ ทำอุฏฐานสัญญา(ความหมายใจว่าจะลุกขึ้น)ไว้ในใจ ในมัชฌิมยามแห่งราตรี
    ลุกขึ้นชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมเครื่องกางกั้นด้วยการจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี
    ภิกษุทั้งหลาย นี้แล คือวิธีประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่เนืองๆ สำหรับนันทะ


    @@@@@@

    วิธีมีสติสัมปชัญญะ สำหรับนันทะ ดังนี้ คือ
    เวทนาปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏตั้งอยู่ และปรากฏดับไปแก่นันทะ สัญญาปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏตั้งอยู่ และปรากฏดับไปแก่นันทะ วิตกปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏตั้งอยู่ และปรากฏดับไปแก่นันทะ
    ภิกษุทั้งหลาย นี้แล คือ วิธีมีสติสัมปชัญญะสำหรับนันทะ

    @@@@@@

    ภิกษุทั้งหลาย เว้นแต่ว่า นันทะจะเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในการบริโภค ประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่เนืองๆ ประกอบด้วยสติและสัมปชัญญะ นันทะจึงจะสามารถประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้อย่างนี้แล


เชิงอรรถ :-
(๑-) ผู้น่ารัก ในที่นี้หมายถึงผู้ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติ (องฺ.อฏฺฐก.อ. ๓/๙/๒๑๖)
(๒-) ผู้มีราคะจัด ในที่นี้หมายถึงมีราคะมาก (องฺ.อฏฺฐก.อ. ๓/๙/๒๑๖)
(๓-) เพื่อความมัวเมา หมายถึงความถือตัว ความลำพองตน ความทะนงตน ความเห่อเหิม ในที่นี้หมายถึง ความถือตัวว่ามีกำลังเหมือนนักมวยปล้ำ ความถือตัวเพราะมานะ และความถือตัวว่าเป็นชาย(องฺ.ฉกฺก.ฏีกา ๓/๕๘/๑๕๕) และดู องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๑๖/๑๕๙-๑๖๐, องฺ.ฉกฺก. (แปล) ๒๒/๕๘/๕๔๙, อภิ.วิ. (แปล) ๓๕/๘๔๕/๕๕๐
(๔-) เพื่อประดับ ในที่นี้หมายถึงเพื่อให้ร่างกายอ้วนพีอวบอิ่มเหมือนหญิงแพศยา (องฺ.ฉกฺก.ฏีกา ๓/๕๘/๑๕๕, วิสุทธิ. ๑/๑๘/๓๓)
(๕-) เพื่อตกแต่ง ในที่นี้หมายถึงเพื่อประเทืองผิวให้งดงามเหมือนหญิงนักฟ้อน (องฺ.ฉกฺก.ฏีกา ๓/๕๘/๑๕๕, วิสุทธิ. ๑/๑๘/๓๓)
(๖-) ธรรมเครื่องกางกั้นในที่นี้หมายถึงนิวรณ์ ๕ ประการ คือ
     ๑) กามฉันทะ (ความพอใจในกาม)
     ๒) พยาบาท(ความคิดร้าย)
     ๓) ถีนมิทธะ (ความหดหู่และเซื่องซึม)
     ๔) อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านและร้อนใจ)
     ๕) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) (องฺ.ปญฺจก. (แปล) ๒๒/๕๑/๘๙)

อ้างอิง :-
นันทสูตร ว่าด้วยพระนันทะ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
http://www.84000.org/tipitaka/_mcu/m_siri.php?B=23&siri=82
7362  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จูเฬกสาฎก มีอันจะกินในชั่วข้ามคืน เพราะผ้าห่มผืนเดียว เมื่อ: มิถุนายน 27, 2018, 06:03:52 am



จูเฬกสาฎก มีอันจะกินในชั่วข้ามคืน เพราะผ้าห่มผืนเดียว

ที่คนบอกว่าทำบุญสลึงเดียวได้บุญเท่ากับทำทีละล้านถ้ามีจิตบริสุทธิ์นั้นจริงหรือคะพระอาจารย์

ธรรมะจาก พระอาจารย์มานพ อุปสโม : จริงสิ เพราะบุญมากหรือน้อยวัดกันที่เจตนา คนมีเงินเป็นร้อยล้านพันล้านถึงจะบริจาคทีละรถสิบล้อ เขาก็อาจจะรู้สึกเฉยๆถ้าเฉยละก็ไม่ค่อยได้บุญหรอกนะ ในขณะที่บางคนถวายผ้าเก่าๆ ผืนเดียว แต่มีค่ายิ่งกว่าเงินสิบล้านเป็นไหนๆ

ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงพรามณ์ จูเฬกสาฎก (จู – เล – กะ – สา – ดก) และนางพราหมณีผู้เป็นภรรยา ทั้งคู่มีผ้าห่มผืนเดียวเพราะฉะนั้นตอนไปฟังธรรมก็ต้องผลัดกันไป ภรรยาไปตอนกลางวันแล้วก็กลับมาผลัดให้สามีไปตอนกลางคืน ทีนี้พอสามีฟังธรรมแล้วก็เกิดศรัทธาอยากถวายของแด่พระพุทธเจ้า แต่สำรวจดูจนทั่วก็ไม่มีอะไรอื่นที่พอจะถวายได้นอกจากผ้าที่ห่มอยู่แต่เพราะมีอยู่แค่ผืนเดียว พอคิดจะให้ปุ๊บ มัจฉริยะ คือ ความตระหนี่ก็เกิดปั๊บ มันแย้งขึ้นมาทันทีว่า “จะให้ได้อย่างไรเดี๋ยวตอนเช้าภรรยาจะเอาที่ไหนห่ม”


@@@@@@

ท่านว่าทานกับการรบนั้นเสมอกัน เพราะเมื่อมัจฉริยะเกิดจาคะ คือความเสียสละก็เกิดไม่ได้ จาคะกับมัจฉริยะจะรบกันจนตัวเราร้อนฉ่า พราหมณ์สามีสู้กับจิตใจตัวเองตั้งแต่หัวค่ำ ตอนยามที่หนึ่งและยามที่สองจิตคิดจะให้เกิดครั้งเดียว แต่จิตที่คิดจะไม่ให้เกิดเป็นพันครั้ง กระทั่งถึงยามที่สามจึงตัดสินใจได้เด็ดขาด นำผ้าผืนเดียวที่มีอยู่ไปถวายพระพุทธเจ้า

พอถวายเสร็จด้วยความปีติพราหมณ์ก็เปล่งเสียงอุทานว่า “ชิตํ เม ชิตํ เม” (เราชนะแล้วๆ) วันนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลนั่งฟังธรรมอยู่ด้วยได้ยิน จึงให้คนไปถามว่าชนะอะไร พราหมณ์ก็ตอบว่า ไม่ได้ชนะอะไรหรอก แต่ชนะใจตัวเอง พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเกิดความเลื่อมใส จึงพระราชทานผ้าและทรัพย์สินให้พราหมณ์จำนวนมาก จากคนยากจนเข็ญใจจึงกลายเป็นคนมีอันจะกินในชั่วข้ามคืน

@@@@@@

กรรมที่ได้ถวายผ้าครั้งนั้นเป็นบุญใหญ่ เพราะเป็นการสละสิ่งที่มีค่ามหาศาลสำหรับเจ้าของ บุญมากหรือน้อยวัดกันตรงนี้ อันไหนที่สละยาก ให้แล้วหาที่ไหนไม่ได้ หรือการทำของที่ไม่มีให้เกิดมีขึ้นจะมีค่ามากและให้ผลเร็ว กรรมที่เราทำทั้งดีและไม่ดีส่งผลเร็วช้าต่างกัน

   1. กรรมที่ส่งผลในชาตินี้ มีสองอย่าง คือ
       - กรรมที่ส่งผลภายใน 7 วันเรียกว่า ปริปักกทิฏฐธัมมเวทนียกรรม
       - ถ้าให้ผลหลัง 7 วันเรียกว่า อปริปักกทิฏฐธัมมเวทนียกรรม
   2. กรรมที่ให้ผลในภพชาติที่สอง เรียกว่า อุปปัชชเวทนียกรรม
   3. ถ้าให้ผลในภพที่สามเป็นต้นไป เรียกว่า อปราปริยเวทนียกรรม
   4. ถ้ากรรมไม่ให้ผลเลยเรียกว่า อโหสิกรรม


 
ที่มา : นิตยสารซีเคร็ต
ขอบคุณ : http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/99362.html
7363  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การเล่น พนันฟุตบอล เป็นบาปไหม.? เมื่อ: มิถุนายน 27, 2018, 05:56:18 am



การเล่น พนันฟุตบอล เป็นบาปไหม วันนี้เรามีคำตอบมาฝาก

การเล่น พนันฟุตบอล เป็นการเล่นพนันอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่าการเล่นพนันเป็นช่องทางหนึ่งแห่งความพินาศและความเสื่อม ทำให้ทรัพย์ที่หามาได้ย่อยยับ

ช่วงนี้เข้าสู่เทศกาลบอลโลกแล้ว ใครๆก็จ้องที่จะชมนัดสำคัญเพื่อที่จะเชียร์ทีมฟุตบอลโปรดของตน ท่ามกลางเทศกาลกีฬาที่สนุกสนานนี้ เบื้องหลังที่หลบซ่อนอยู่แฝงไปด้วยการเล่นอบายมุข ที่ผ่านมาเรามักได้ยินข่าวเกี่ยวกับการเล่นพนันฟุตบอล มีเด็กและเยาวชนจนถึงผู้ใหญ่ทำสิ่งที่ผิดกฎหมายเพราะผลจากการเล่นพนันฟุตบอล


@@@@@@

ถึงแม้การเล่นพนันจะไม่ได้ผิดศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 หรือแม้ศีลของพระสงฆ์ก็ตาม แต่การเล่นพนันก็เป็นหนทางที่ทำให้ทรัพย์ที่หามานั้นพินาศไป ซึ่งก็เป็นจริง เราจะเห็นในหลายบุคคลที่เล่นการพนันแล้วเงินที่หามาจากการทำงานก็จะหมดไป มักเข้าใจว่าการเล่นพนันเพื่อหวังให้เงินเพิ่มขึ้น แต่ตามจริงแล้ว คนเราไม่ได้ดวงดีทุกวันหรือทุกครั้ง การพนันจึงเป็นการสูญเสียเงินไปโดยใช่เหตุ

ซ้ำยังเป็นการผิดต่อหลักคำสอนอกุศลกรรมบถ 10  คือ “อภิชฌา” เป็นผู้ที่ละโมบคอยจ้องอยากได้ของเขา การเล่นพนันก็ไม่ต่างจากการที่เราละโมบอยากได้เงินของคนอื่น เพราะการเล่นพนันต้องมีคนที่เสียเงินให้แก่ผู้ที่ชนะพนัน

@@@@@@

การเล่นพนันฟุตบอลเป็นบาปทางมโนกรรม เพราะทำให้คิดละโมบอยากเอาผลตอบแทนจากการชนะพนัน  เราเห็นโทษของพนันได้จากคัมภีร์พระพุทธศาสนา เช่น ทศชาติเรื่อง “วิธุรชาดก” ปุณณกยักษ์หมายปองธิดาพญานาค พญานาคว่า ถ้าเอาหัวใจของวิธุรบัณฑิตมาได้จะยกธิดาให้ ปุณณกยักษ์จึงเดินทางไปเมืองอินทรปัตถ์เพื่อหาวิธีพาวิธุรบัณฑิตมายังนาคพิภพ ปุณณกยักษ์ใช้วิธีท้าพระเจ้าธนัญชัยโกรพยราชเล่นพนัน

เมื่อพระองค์แพ้ ปุณณกยักษ์จึงทูลขอวิธุรบัณฑิตเป็นรางวัลที่เล่นพนันชนะ ทำให้พระเจ้าธนัญชัยโกรพยราชต้องสูญเสียบัณฑิตอันเป็นที่รัก ผู้เป็นศรีแก่เมืองไป นี้คือโทษของการพนัน ไม่เท่านั้นเรายังพบเจอในวรรณคดีและวรรณกรรมหลายเรื่องที่ต้องสูญเสียอะไรหลายอย่างในชีวิตเพราะการพนัน เช่น พี่น้องกลุ่มปาณฑพในมหากาพย์มหาภารตะที่แพ้พนันจนเสียเมือง


@@@@@@

คติพระพุทธศาสนายังกล่าวถึงวิบากกรรมของนักพนันหลังจากสิ้นอายุขัยไปแล้ว ต้องชดใช้กรรมในมหานรกขุมที่ 6 ที่มีชื่อว่า “ตาปนมหานรก” (ขุมนรกที่ทำให้สัตว์นรกเร่าร้อน) สัตว์นรกจะถูกนายนิรยบาลไล่ขึ้นไปบนปลายหลาวเหล็กซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าต้นตาล และแดงฉานด้วยเปลวไฟ เสียบแทงสัตว์นรกนั้น ไฟจะเผาพลาญสัตว์นรก แล้วถูกสุนัขนรกด้วยใหญ่เท่าช้างกินสัตว์นรกที่สุกได้ที่เป็นอาหารจนเหลือแต่กระดูก พอสิ้นใจก็ฟื้นขึ้นมาชดใช้กรรมเช่นนี้ไปตลอดจนกว่าจะหมดกรรม

ถามว่าการเล่นพนันฟุตบอลเป็นบาปไหม ขอตอบว่าเป็นแน่นอน จากที่เล่ามานี้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาไม่ต้องการให้พุทธศาสนิกชนเล่นการพนัน เพราะการเล่นพนันเป็นการทำกรรมชั่วทางความคิด (มโนกรรม) การเล่นไม่ให้ผลดีแก่ใคร สังเกตจากชาดกเรื่อง วิธุรชาดก และโทษที่ติดตามมาหลังจากสิ้นบุญคือการชดใช้ผลกรรมแห่งการเล่นการพนันในนรกอย่างทารุณ


ที่มา : 84000.org
Photo by C MA on Unsplash
ขอบคุณ : http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/98035.html
Reporter : nintara1991 ,21 June 2018
7364  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อิจฉา พาวินาศ : “อรติ โลกนาสิกา” แปลว่า “ความริษยาทำให้โลกาพลอยพินาศ” เมื่อ: มิถุนายน 27, 2018, 05:35:48 am



อิจฉา พาวินาศ
บทความดีๆ จากท่าน ว. วชิรเมธี

ปุณณ์และปัณณ์ หลานรัก....ถ้าหากหลานทั้งสองอยากมีชีวิตที่มีความสงบสุข อยากมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีตลอดวันตลอดคืน ปู่ขอแนะนำว่าจงอย่าปล่อยให้มีความอิจฉาริษยาเกิดขึ้นมาในใจเป็นอันขาด เพราะหากเมื่อใดก็ตามที่หลานตกเป็นทาสของความอิจฉาริษยา เมื่อนั้นเองที่ใจของหลานจะเหมือนถูกตะปูตอกลงไปจนมิดหลานจะเจ็บเจียนตายจนหาความสุขไม่ได้เอาเลยทีเดียว

ความอิจฉาริษยานั้นมักจะแสดงอาการออกมาเป็น “ความอดรนทนไม่ได้” ในยามที่เห็นคนอื่นเขาได้ดีมีความสุข มีความเจริญมีความก้าวหน้า มีความสำเร็จในชีวิตหรือในหน้าที่การงาน

เมื่ออดรนทนไม่ไหวหรือยอมรับไม่ได้ในความสุขความเจริญของคนอื่น ใจของเราจึงมีแต่ความทุกข์ตรมขมไหม้ เหมือนมีไฟอ่อนๆ สุมอยู่ข้างในตลอดเวลา ยิ่งเห็นคนอื่นสูงส่งยิ่งๆ ขึ้นไปมากเพียงไร ก็ยิ่งทุกข์หนักหนาสาหัสมากมายเพียงนั้น

ในทางตรงกันข้าม หากเราปราศจากความอิจฉาริษยา พอเห็นคนอื่นได้ดีมีความสุข เราพลอยโมทนาสาธุ ชื่นชมโสมนัสไปกับเขา ใจของเราก็จะยิ่งมีความสุข


@@@@@@

พอเปิดหัวใจให้กว้าง เห็นความสุขความเจริญของเขา เป็นสิ่งควรโสมนัสยินดีใจของเราก็จะยิ่งมีความสุขเพิ่มขึ้นเป็นทวีตรีคูณ เหมือนคำกล่าวที่ว่า “ให้สุขแก่ท่านสุขนั้นถึงตัว”

สำหรับคนที่ใจกว้างพลอยชื่นชมโสมนัสยามคนอื่นได้ดีมีสุขนั้น ความสุขของคนอื่นก็เหมือนเป็นความสุขของตน ความก้าวหน้าของคนอื่นก็เหมือนเป็นความก้าวหน้าของตน เหมือนเวลาที่เรากำลังรดน้ำต้นไม้ให้ชุ่มเย็น ไม่ใช่เฉพาะต้นไม้ที่เรารดน้ำให้เท่านั้นที่สดชื่นรื่นเย็น ตัวเราเองก็พลอยสดชื่นรื่นเย็นตามไปด้วย

วิธีวัดว่า ใครเป็นคนใจสูงหรือใจทรามก็วัดจากท่าทีที่เรามีต่อคนที่กำลังมีความสุขความเจริญ นี่เองแหละหลานเอ๋ย หากเห็นคนอื่นก้าวหน้าแล้วเราริษยาเราก็คือคนใจทราม ใจมืด ใจแคบ จิตวิญญาณยังมีพัฒนาการอยู่ในขั้นต่ำ

แต่หากเห็นคนอื่นก้าวหน้าแล้วเราพลอยโมทนาสาธุการยินดีปรีดาอย่างบริสุทธิ์ใจเราก็คือคนใจสูง ใจประเสริฐ มีจิตวิญญาณที่พัฒนาการมาไกลมากแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ในทางปัญญา มีวุฒิภาวะทางจิตที่เจริญงอกงามกว่าคนทั่วไป

@@@@@@

หลานรัก ความอิจฉาริษยานั้นมีพิษสงที่ร้ายแรงเพียงไร ขอให้หลานลองฟังนิทานที่ปู่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ก็แล้วกัน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…มีพระราชาอยู่พระองค์หนึ่ง พระองค์ทรงครองราชย์มาอย่างยาวนานหลายสิบปี แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ทรงให้มีการสถาปนาพระโอรสพระองค์ใดเป็นรัชทายาท พระองค์ยังทรงปล่อยให้ตำแหน่งอันทรงความสำคัญยิ่งนี้ว่างมาอย่างยาวนาน จนถึงตอนปลายรัชกาลซึ่งพระองค์ก็มีพระชนมายุมากแล้ว

อยู่มาวันหนึ่ง ราชปุโรหิตจึงกราบทูลเตือนพระองค์ว่า ขอให้ทรงเร่งตั้งรัชทายาทผู้สืบราชสันตติวงศ์เสียเถิด พระราชาผู้เฒ่าตรัสตอบว่า พระองค์ไม่กล้าตัดสินพระทัยว่าจะมอบตำแหน่งให้พระโอรสพระองค์ใดดี เพราะหากมอบตำแหน่งให้พระโอรสพระองค์โตก็ทรงเกรงว่าจะถูกพระโอรสพระองค์เล็กทำการรัฐประหารยึดอำนาจแน่ๆ เพราะพระโอรสพระองค์เล็กนั้นทรงมีความ “ริษยา”พระโอรสพระองค์โตมาโดยตลอด

ครั้นจะให้พระโอรสผู้น้องขึ้นเสวยราชย์ก็ผิดกฎมณเฑียรบาลอีก พระองค์จึงทรงรั้งรอมานานจนถึงป่านนี้ ราชปุโรหิตจึงเสนอว่า หากพระองค์ทรงเกรงว่าพระโอรสพระองค์เล็กจะทรงริษยาเจ้าพี่และพลอยหาวิธีล้มราชบัลลังก์ ก็ควรจะหาวิธีพิสูจน์ดูเสียก่อนว่าพลังความริษยาของพระโอรสพระองค์เล็กนั้นจะมีความเข้มข้นเพียงใด

@@@@@@

พระราชาผู้ชราตรัสถามว่าจะพิสูจน์โดยวิธีใด ราชปุโรหิตจึงแนะอุบายว่า ให้พระองค์ทรงเรียกพระโอรสทั้งสองมาพร้อมกันแล้วทรงพระราชทานพรพิเศษให้แก่พระโอรสพระองค์เล็ก โดยให้ทรงออกอุบายว่าจะทรงมอบราชสมบัติให้พระโอรสพระองค์โต แต่ก็จะไม่ทรงทิ้งพระองค์เล็ก ดังนั้นก่อนที่พระโอรสพระองค์โตจะขึ้นครองราชย์ก็จะพระราชทานพรพิเศษให้แก่พระองค์เล็กเป็นการปลอบใจในฐานะพระเจ้าน้องยาเธอ โดยพรที่จะให้นี้จะเป็นอะไรก็ได้ที่พระโอรสพระองค์เล็กต้องการก็สามารถทูลขอได้ทั้งหมด แต่มีข้อแม้อยู่ว่าพรพิเศษอะไรก็ตามที่พระองค์เล็กขอนั้น เจ้าพี่ก็จะได้รับด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า น้องได้อะไรจากพ่อก็ตาม พี่จะได้ “สองเท่า” เสมอไปในฐานะที่เป็น “พี่คนโต”

การให้พรแบบนี้นัยว่า พระราชบิดาทรงต้องการจะพิสูจน์ว่าพระโอรสพระองค์เล็กจะมี “พระทัยกว้าง” พอที่จะคิดมอบสิ่งดีๆ ให้เจ้าพี่ได้หรือไม่ หรืออีกนัยหนึ่งทรงต้องการหยั่งเชิงว่า ความริษยาที่พระโอรสพระองค์เล็กมีต่อเสด็จพี่นั้นเข้มข้นรุนแรงเพียงใด

แล้วแผนของพระราชาผู้เฒ่าก็สัมฤทธิผลอย่างงดงาม เพราะพอพระราชทานพรแล้วพระโอรสพระองค์เล็กก็ทรงหายไปหลายวัน ด้วยไม่รู้ว่าจะทรงขอพรอะไรให้ตัวเองดี เพราะหากขออะไรดีๆ เจ้าพี่ก็จะได้สองเท่าด้วยเสมอไป พระอนุชาทรงใช้เวลาครุ่นคิดถึงสิ่งที่ทรงประสงค์ต่อไปนานนับสัปดาห์ แต่ไม่ว่าจะทรงประสงค์สิ่งใด ก็จะทรงเห็นพระพักตร์ของเจ้าพี่ลอยมาเสมอไป ยิ่งคิดยิ่งทรงหงุดหงิดยิ่งริษยาหนักขึ้นเป็นทวีตรีคูณ

@@@@@@

ในที่สุด ผ่านไปสองสัปดาห์ พระองค์ก็ทรงคิดได้ เสด็จไปเฝ้าพระราชบิดาถึงพระตำหนัก พระราชบิดาทอดพระเนตรเห็นพระโอรสพระองค์เล็กตรงมาเฝ้าก็สบายพระทัย ทรงรำพึงในพระทัยว่า พระโอรสพระองค์เล็กคงจะหายริษยาเจ้าพี่แล้ว คงทรงคิดขอพรดีๆ ให้แก่ตัวเองและเจ้าพี่ได้แล้วจึงทรงถามว่าจะขอพรพิเศษอะไรที่ส่งผลให้เจ้าพี่มีส่วนร่วมในพรนั้นๆ ด้วยเป็นสองเท่า

แต่สิ่งที่พระราชบิดาทรงคาดนั้นผิดไปถนัด เพราะพรที่พระโอรสพระองค์เล็กทูลขอก็คือ ทรงขอให้พระราชบิดาทรงควักพระเนตรของพระองค์ออกเสียข้างหนึ่ง (ความหมายแฝงก็คือ หากพระองค์ถูกควักดวงตาหนึ่งข้างเจ้าพี่ก็จะถูกควักออกทั้งสองข้าง) เมื่อได้ทรงสดับดังนี้แล้ว พระราชบิดาก็ถึงกับทรงทอดถอนพระทัยด้วยความสะเทือนใจอย่างสุดซึ้ง

พระองค์ไม่ทรงคิดมาก่อนว่า “แรงริษยา” ที่มีอยู่ในพระโอรสพระองค์เล็กที่มีต่อพระโอรสพระองค์โตนั้นจะรุนแรงและโหดหินทมิฬมารถึงเพียงนี้ ด้วยเหตุนี้เองพระองค์จึงทรงชะลอการแต่งตั้งรัชทายาทออกไปอย่างไม่มีกำหนด พระองค์จึงทรงได้ชื่อว่าเป็นพระราชาที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก เพราะไม่รู้จะทรงยกราชสมบัติให้ใคร


@@@@@@

ความริษยามีอานุภาพร้ายแรงอย่างนี้เองโบราณกบัณฑิตท่านจึงสอนกันสืบมาว่า “อรติ โลกนาสิกา” แปลว่า “ความริษยาทำให้โลกาพลอยพินาศ”

หลานเอ๋ย หากหลานทั้งสองอยากมีความสุข ก็จงถอนลูกศรอาบยาพิษที่ชื่อ “ริษยา” นี้ออกจากใจเสียให้เร็วที่สุดเถิด ชีวิตของเรานั้นสั้นเกินไป สั้นเกินกว่าจะเสียเวลากับความริษยาที่เป็นส่วนเกินของชีวิต 



ขอบคุณภาพและเนือหาจาก
Photo by Yaoqi LAI on Unsplash
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/98187.html
7365  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 26 มิถุนายน วันสุนทรภู่ : การกล่าวถึง “พระนิพพาน” ในกลอนสุนทรภู่ เมื่อ: มิถุนายน 26, 2018, 05:59:26 am



26 มิถุนายน : วันสุนทรภู่
การกล่าวถึง “พระนิพพาน” ในกลอนสุนทรภู่


ขอนำคำเทศนาของพระอภัยมณี เกี่ยวกับพระนิพพาน มากล่าวไว้ดังนี้,..

           ทรงแก้ไขในข้อพระปรมัตถ์    วิสัยสัตว์สิ้นภพล้วนศพมี
           ย่อมสะสมถมจังหวัดปัถพี    ไพร่ผู้ดีที่เป็นคนไม่พ้นตาย
           พระนิพพานเป็นสุขสิ้นทุกข์ร้อน    เปรียบเหมือนนอนหลับไม่ฝันท่านทั้งหลาย
           สิ้นถวิลสิ้นทุกข์สุขสบาย    มีร่างกายอยู่ก็เหมือนเรือนโรคา
           ทั้งแก่เฒ่าสาวหนุ่มย่อมลุ่มหลง   ด้วยรูปทรงลมเล่ห์เสน่หา
           เป็นผัวเมียเคลียคลอครั้นมรณา    ก็กลับว่าผีสางเหินห่างกัน
           จงหวังพระปรมาศิวาโมกข์    เป็นสิ้นโศกสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์
           เสวยสุขทุกเวลาทิวาวัน     เหลือจะนับกัปกัลป์พุทธันดร



ขอบคุณที่มา :  https://www.dmc.tv/pages/scoop/วันสุนทรภู่-สุนทรภู่กับคุณค่าและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา.html
7366  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำอย่างไรไม่ให้รู้สึกแย่กับ คำวิพากษ์วิจารณ์ ของคนอื่น เมื่อ: มิถุนายน 26, 2018, 05:41:32 am



ทำอย่างไรไม่ให้รู้สึกแย่กับ คำวิพากษ์วิจารณ์ ของคนอื่น

ถาม : เมื่อถูกตำหนิก็มักท้อใจง่าย ๆ และทุกข์ไปหลายวัน ทำอย่างไรให้ไม่รู้สึกแย่กับ คำวิพากษ์วิจารณ์ ของผู้อื่นครับ

พระมหา ดร.ธนาธิป มหาธมฺมรกฺขิโต ตอบปัญหานี้ไว้ว่า

@@@@@@

ตอบ : จิตของเรานั้นมีธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เรียกว่า “ปภสฺสรํ จิตฺตํ” มีความสะอาด มีความหมดจด และผ่องใส เป็นพื้นฐานหรือเป็นปกติ สาเหตุที่เราทุกข์นั้นเพราะเป็นผลของกิเลสจากภายนอกที่วิ่งเข้ามากระทบการรับรู้ของเรา จนทำให้รู้สึกเศร้า เซ็ง หม่นหมอง และขุ่นมัว เรียกว่ากิเลสจรเข้ามานั่นเอง

กิเลสจรนี้เป็นทุกข์ปกติ ภาษาทางพระเรียกว่าอนิฏฐารมณ์ คือ การรับและรู้สภาวะที่ตนไม่พึงพอใจเป็นเหตุให้เกิดความขุ่นมัว หม่นหมอง และเศร้าใจ เป็นธรรมชาติของจิตที่ถูกกระทบด้วยอารมณ์ฝ่ายลบ จิตของเรากำลังถูกครอบงำจากกิเลส ดังนั้น การถูกใครตำหนิอันเป็นต้นเหตุให้เกิดอาการหม่นหมอง

@@@@@@

วิธีแก้ก็คือ ควรบริหารความคิด การจัดการจิต และการบริหารความรู้สึกในเชิงบวก เรียกว่า จัดสรรอารมณ์ฝ่ายลบไม่ให้มีอิทธิพลเหนือจิตของตนเอง โดยการมีสติ คิดให้แยบยลว่า นี่เป็นโลกธรรม คือ เป็นธรรมชาติอยู่คู่กับโลก ไม่เคยมีใครไม่ถูกตำหนิ แม้แต่พระพรหมก็ยังถูกตำหนิได้ นับประสาอะไรกับเราผู้เป็นคนธรรมดา ไม่มีใครสามารถแก้ไขธรรมชาติข้อนี้ได้

ควรคิดเสียว่า คำตำหนินั้นเป็นขุมทรัพย์ที่ล้ำค่าแก่ชีวิต เพราะช่วยชี้ทางให้เราเข้าใจความบกพร่องของตนเองแต่สิ่งที่เราต้องมาตระหนักมากกว่าก็คือ เราถูกตำหนิว่าด้วยเรื่องอะไร นี่ต่างหากคือหน้าที่โดยตรงของเรา เมื่อนำมาพิจารณาเห็นความบกพร่องของเราเองแล้ว ก็นำมันมาแก้ไข ข้อนี้จึงเป็นประโยชน์ที่แท้จริงแก่ตัวเราเอง ถ้าท่านสามารถเห็นความบกพร่องของตัวเองแล้ว นำมาแก้ไขได้ท่านจะภูมิใจและเป็นเครื่องกำจัดความเศร้านั้นได้เอง


ขอบคุรภาพและเนื้อหาจาก
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/72563.html
7367  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / งมงายกับศรัทธา ต่างกันอย่างไร.? เมื่อ: มิถุนายน 26, 2018, 05:30:51 am


งมงายกับศรัทธา ต่างกันอย่างไร.?

ถาม :  เราจะแยกความ งมงายกับศรัทธา ออกจากกันได้อย่างไร ในเมื่อความต่างของสองสิ่งนี้ถูกกั้นด้วยเส้นบางๆ เท่านั้น

พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ ไขปัญหาข้อนี้ว่า

@@@@@@

ความงมงายกับศรัทธา แยกได้ไม่ยาก ศรัทธามี 2 ส่วน ส่วนแรกคือ

    - ศรัทธาที่ไม่มีปัญญาประกอบ หรือไม่มีปัญญาสัมปยุต อย่างเช่น ศรัทธาในเรื่องโลกๆ ซึ่งแบบนี้ไม่สามารถทำให้จิตเป็นอิสระ เบาสบาย ปลดล็อกใจของเราไม่ได้อย่างแท้จริง เพราะความรู้สึกของเรายังถูกควบคุมอยู่ภายใต้สิ่งที่ทำอยู่หรือศรัทธาอยู่ อาทิ เราไปศรัทธาใครสักคนหนึ่งอย่างอาจารย์ขมังเวทย์ต่างๆ ที่มีสาวกเป็นล้าน อาจารย์คนนั้นก็จะมีอำนาจเหนือเรา สามารถสั่งเราได้ จะไม่ทำก็ไม่ได้ ใจเป็นทุกข์ ศรัทธาแบบนี้เรียกว่า “งมงาย”

     - อีกส่วนคือ ศรัทธาแบบมีปัญญาประกอบ หรือศรัทธาแบบพุทธ เมื่อทำสิ่งไหนเกี่ยวโยงกับใครหรืออะไร จิตจะเป็นอิสระ ไม่รู้สึกว่าถูกควบคุมให้อยู่ภายใต้สิ่งนั้น ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ถึงไม่ทำใจก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะเข้าใจว่าสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงตามเหตุตามปัจจัย เช่น เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน ต้องไหว้ของเก้าอย่าง เช่น ผลไม้เก้าอย่าง เมื่อทุกคนในโลกต้องไหว้พร้อมกันหมด ของมีโอกาสที่จะขาดตลาด เมื่อถึงเวลาต้องไหว้แล้วไม่สามารถซื้อของมาได้ครบเก้าชนิด คนไหว้ก็เกิดความไม่สบายใจ กระวนกระวาย ในขณะที่อีกคนคิดว่า ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ได้แค่ไหนแค่นั้น ความต่างก็อยู่ตรงนี้

@@@@@@

ในวันตรุษจีน พระอาจารย์เลยแนะนำลูกศิษย์ว่าปีนี้ของไหว้เจ้ามีโอกาสจะขาดแคลน พระอาจารย์ขอให้ทุกคนลองไหว้ด้วย “ความว่าง” แทน โดยการตั้งโต๊ะเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่บนโต๊ะว่างเปล่า ให้เราแสดงความเคารพเจ้าและบรรพบุรุษด้วยใจ นึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษ คุณปู่คุณย่า คุณพ่อคุณแม่อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องไปมัวกังวลกับข้าวปลาอาหาร

ในเมื่อชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว พระอาจารย์ก็อยากให้ทุกคนได้ลองทำอะไรใหม่ๆ บ้าง ให้เจ้าที่ได้กิน “ความว่าง” บ้าง ให้ท่านกินหัวหมูทุกปีก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ ไม่งั้นท่านอาจเป็นโรคไขมันอุดตันหรือโรคเบาหวานแน่ๆ (หัวเราะ)


ข้อมุลจาก : คอลัมน์ Dhamma Daily นิตยสาร Secret
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/58732.html
7368  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัย "ปฐมฌาน ทุติยฌาน..." เมื่อ: มิถุนายน 25, 2018, 01:07:50 pm


ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัย "ปฐมฌาน ทุติยฌาน..."

[๒๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ทุติยฌานบ้าง ตติยฌานบ้าง จตุตถฌานบ้าง อากาสนัญจายตนฌานบ้าง ฯลฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนฌานบ้าง

    @@@@@@

    ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรคเป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุดว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น

    ครั้นแล้ว เธอย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
    ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะจักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ

    @@@@

    ดูกรภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้าหรือกองก้อนดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆได้แม้ฉันใด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์...ว่างเปล่าเป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น

    ครั้นแล้วย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง...นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
    ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ

    ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายเพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว ฯ


    @@@@@@

    ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
    เพราะอาศัยทุติยฌานบ้าง ฯลฯ
    เพราะอาศัยตติยฌานบ้าง ฯลฯ
    เพราะอาศัยจตุตถฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งจตุตถฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์..ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น

    ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง..นิพพาน เธอตั้งอยู่ในจตุตถฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
    ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ

    @@@@

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงธนูไปยังรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้าหรือกองดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆ แม้ฉันใด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล บรรลุจตุตถฌานฯลฯ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา ฯลฯ มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา

    ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยจตุตถฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว




    ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยอากาสานัญจายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา และเพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อากาศไม่มีที่สุด
    เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งอากาสานัญจาตนฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์...ว่างเปล่า เป็นอนัตตาเธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น

     ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง.. นิพพานเธอตั้งอยู่ในอากาสานัญจาตนฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
     ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไปด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ

    @@@@

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงธนูไปยังรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้าหรือกองดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆ ได้ แม้ฉันใด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา บรรลุอากาสานัญจาตนฌาน..เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย ฯลฯ มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ฯลฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่เรากล่าวว่า เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยอากาสานัญจายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว ฯ


    @@@@@@

    ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
    เพราะอาศัยวิญญาณัญจายตนฌานบ้าง ฯลฯ
    อากิญจัญญายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อะไรๆ หน่อยหนึ่งไม่มี เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลายคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งอากิญจัญญายตนฌานนั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์...ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น

    ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง..นิพพาน เธอตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนะนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
    ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ

    @@@@

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงธนูไปยังรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้าหรือกองดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด  และทำลายร่างใหญ่ๆ ได้ แม้ฉันใด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อะไรๆหน่อยหนึ่งไม่มี เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งอากิญจัญญายตนฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์...ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ในธรรมเหล่านั้น

    ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือธรรมเป็นที่สงบสังขารทั้งปวง...นิพพาน เธอตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
    ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่พึงกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ

    ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว

    @@@@@@

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้แล สัญญาสมาบัติมีเท่าใด สัญญาปฏิเวธก็มีเท่านั้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะ ๒ เหล่านี้ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ๑ สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑ ต่างอาศัยกัน
    ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวว่า อายตนะ ๒ ประการนี้ อันภิกษุผู้เข้าฌาน ผู้ฉลาดในการเข้าสมาบัติ และฉลาดในการออกจากสมาบัติ เข้าแล้วออกแล้ว พึงกล่าวได้โดยชอบ


         จบสูตรที่ ๕


ที่มา : ฌานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=23&A=9041&Z=9145
7369  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ก่อนการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงระลึกถึง "ปฐมฌาน" เมื่อ: มิถุนายน 25, 2018, 11:45:05 am



ก่อนการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงระลึกถึง "ปฐมฌาน"

(ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา/ยกมาแสดงบางส่วน) อาตมภาพปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน มีสติตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน แต่เมื่ออาตมภาพถูกความเพียรที่ทนได้ยากนั้นเสียดแทงอยู่ กายของอาตมภาพก็กระวนกระวาย ไม่สงบระงับ

     เทวดาทั้งหลายเห็นอาตมภาพแล้ว ก็พากันกล่าวอย่างนี้ว่า ‘พระสมณโคดมสิ้นพระชนม์แล้ว’
     บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ‘พระสมณโคดมยังมิได้สิ้นพระชนม์แต่กำลังจะสิ้นพระชนม์’
     บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า
     ‘พระสมณโคดมยังไม่สิ้นพระชนม์ทั้งจะไม่สิ้นพระชนม์ พระสมณโคดมจะเป็นพระอรหันต์ การอยู่เช่นนี้นั้น เป็นวิหารธรรม(๑-) ของท่านผู้เป็นพระอรหันต์’


_____________________________________
เชิงอรรถ : @(๑-) วิหารธรรม ในที่นี้หมายถึงสมาบัติ ๘ กล่าวคือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ อันเป็นโลกิยะ
(ดูประกอบ @ใน องฺ.นวก. (แปล) ๒๓/๔๑/๕๒๕-๕๓๑)


[๓๓๔] ราชกุมาร อาตมภาพจึงมีความดำริว่า ‘ทางที่ดี เราควรปฏิบัติด้วยการอดอาหารทุกอย่าง’ ขณะนั้น เทวดาทั้งหลายเข้ามาหาอาตมภาพแล้วกล่าวว่า
     ‘ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านอย่าได้ปฏิบัติด้วยการอดอาหารทุกอย่างถ้าท่านจักปฏิบัติด้วยการอดอาหารทุกอย่าง ข้าพเจ้าทั้งหลายจะแทรกโอชาอันเป็นทิพย์เข้าทางขุมขนของท่าน ท่านจะได้ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยโอชานั้น’

     อาตมภาพจึงมีความดำริว่า ‘เราปฏิญญาว่า จะต้องอดอาหารทุกอย่าง แต่เทวดาเหล่านี้จะแทรกโอชาอันเป็นทิพย์เข้าทางขุมขนของเรา เราจะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยโอชานั้นการปฏิญญานั้นก็จะพึงเป็นมุสาแก่เรา’
     อาตมภาพจึงกล่าวห้ามเทวดาเหล่านั้นว่า ‘อย่าเลย’

     @@@@

     อาตมภาพมีความดำริว่า ‘ทางที่ดี เราควรกินอาหารให้น้อยลงๆ เพียงครั้งละ ๑ ฟายมือบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดถั่วเขียวบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดถั่วพูบ้างเท่าเยื่อในเมล็ดถั่วดำบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้าง’
     อาตมภาพจึงฉันอาหารน้อยลงๆเพียงครั้งละ ๑ ฟายมือบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดถั่วเขียวบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดถั่วพูบ้างเท่าเยื่อในเมล็ดถั่วดำบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้าง
     เมื่ออาตมภาพฉันอาหารน้อยลงๆเพียงครั้งละ ๑ ฟายมือบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดถั่วเขียวบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดถั่วพูบ้างเท่าเยื่อในเมล็ดถั่วดำบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้าง กายจึงซูบผอมมาก อวัยวะน้อยใหญ่ของอาตมภาพจึงเป็นเหมือนเถาวัลย์ที่มีข้อมากหรือเถาวัลย์ที่มีข้อดำ เนื้อสะโพกก็ลีบเหมือนกีบเท้าอูฐ กระดูกสันหลังก็ผุดเป็นหนามเหมือนเถาวัลย์ ซี่โครงทั้ง ๒ ข้างขึ้นสะพรั่ง เหมือนกลอนศาลาเก่า ดวงตาทั้ง ๒ ก็ลึกเข้าไปในเบ้าตา เหมือนดวงดาวปรากฏอยู่ในบ่อน้ำลึก หนังบนศีรษะก็เหี่ยวหดเหมือนลูกน้ำเต้าที่เขาตัดมาขณะยังดิบต้องลมและแดดเข้าก็เหี่ยวหดไป เพราะเป็นผู้มีอาหารน้อยนั้น

     @@@@

     อาตมภาพคิดว่า ‘จะลูบพื้นท้อง’ ก็จับถึงกระดูกสันหลัง คิดว่า ‘จะลูบกระดูกสันหลัง’ ก็จับถึงพื้นท้อง เพราะพื้นท้องของอาตมภาพแนบติดจนถึงกระดูกสันหลัง
     อาตมภาพคิดว่า ‘จะถ่ายอุจจาระหรือถ่ายปัสสาวะ’ ก็ซวนเซล้มลง ณ ที่นั้น เมื่อจะให้กายสบายบ้างจึงใช้ฝ่ามือลูบตัว ขนทั้งหลายที่มีรากเน่าก็หลุดร่วงจากกาย
     เพราะเป็นผู้มีอาหารน้อยมนุษย์ทั้งหลายเห็นอาตมภาพแล้ว ก็กล่าวอย่างนี้ว่า ‘พระสมณโคดมดำไป’
     บางพวกก็กล่าวอย่างนี้ว่า ‘พระสมณโคดมไม่ดำเพียงแต่คล้ำไป’
     บางพวกก็กล่าวอย่างนี้ว่า‘ไม่ดำ ไม่คล้ำ เพียงแต่พร้อยไป’ เรามีผิวพรรณบริสุทธิ์ เปล่งปลั่ง เพียงแต่เสียผิวไปเพราะเป็นผู้มีอาหารน้อยเท่านั้น


[๓๓๕] ราชกุมาร อาตมภาพนั้นมีความดำริว่า ‘สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีตเสวยทุกขเวทนากล้าแข็ง หยาบ เผ็ดร้อน ที่เกิดขึ้นเพราะความเพียรทุกขเวทนานั้น อย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ไม่เกินกว่านี้ไป สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอนาคตเสวยทุกขเวทนากล้าแข็ง หยาบ เผ็ดร้อน ที่เกิดขึ้นเพราะความเพียร ทุกขเวทนานั้น อย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ไม่เกินกว่านี้ไป

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบัน เสวยทุกขเวทนากล้าแข็ง หยาบ เผ็ดร้อนที่เกิดขึ้นเพราะความเพียร ทุกขเวทนานั้น อย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ไม่เกินกว่านี้ไป แต่เราก็ยังมิได้บรรลุญาณทัสสนะที่ประเสริฐอันสามารถ วิเศษยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ด้วยทุกกรกิริยาอันเผ็ดร้อนนี้ จะพึงมีทางอื่นเพื่อการตรัสรู้บ้างไหม’

อาตมภาพจึงมีความดำริว่า ‘เราจำได้อยู่ เมื่อคราวงานของท้าวสักกาธิบดีซึ่งเป็นพระราชบิดา เรานั่งอยู่ใต้ต้นหว้าอันร่มเย็น ได้สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ ทางนั้นพึงเป็นทางแห่งการตรัสรู้หรือหนอ.?’

@@@@

อาตมภาพมีความรู้แจ้งที่ตามระลึกด้วยสติว่า ‘ทางนั้นเป็นทางแห่งการตรัสรู้’
อาตมภาพจึงมีความดำริว่า ‘เรากลัวความสุขที่เว้นจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายหรือ’
อาตมภาพก็ดำริว่า ‘เราไม่กลัวความสุขที่เว้นจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายเลย’

ราชกุมาร อาตมภาพจึงมีความดำริต่อไปว่า ‘เราผู้มีกายซูบผอมมากอย่างนี้จะบรรลุความสุขนั้นไม่ใช่ทำได้ง่ายเลย ทางที่ดี เราควรกินอาหารหยาบ คือ ข้าวสุกและขนมกุมมาส’

อาตมภาพก็ฉันอาหารหยาบคือข้าวสุกและขนมกุมมาส ครั้งนั้นภิกษุปัญจวัคคีย์เฝ้าบำรุงอาตมภาพ ด้วยหวังว่า ‘พระสมณโคดมบรรลุธรรมใดจักบอกธรรมนั้นแก่เราทั้งหลาย’ เมื่อใด อาตมภาพฉันอาหารหยาบ คือข้าวสุกและขนมกุมมาส เมื่อนั้น ภิกษุปัญจวัคคีย์นั้น ก็เบื่อหน่าย จากไป ด้วยเข้าใจว่า ‘พระสมณโคดมมักมาก คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากเสียแล้ว’



ฌาน ๔ และวิชชา ๓

[๓๓๖] ราชกุมาร อาตมภาพฉันอาหารหยาบให้ร่างกายมีกำลัง สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่
     เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป บรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสในภายในมีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิอยู่
     เพราะปีติจางคลายไป มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะเสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ‘มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข’
     เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อนแล้ว บรรลุจตุตถฌาน ที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขมีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่

     @@@@

     เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้
     อาตมภาพนั้นน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ คือ ๑ ชาติบ้าง ๒ ชาติบ้าง ฯลฯ
     อาตมภาพระลึกชาติก่อนได้หลายชาติพร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและชีวประวัติอย่างนี้
     อาตมภาพได้บรรลุวิชชาที่ ๑ นี้ ในปฐมยามแห่งราตรี กำจัดอวิชชาได้แล้ว วิชชาก็เกิดขึ้น กำจัดความมืดได้แล้ว ความสว่างก็เกิดขึ้น เหมือนบุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่

     @@@@

     เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้
     อาตมภาพนั้นน้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ เห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังเกิด ทั้งชั้นต่ำและชั้นสูงงามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดี ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ รู้ชัดถึงหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ฯลฯ
     อาตมภาพได้บรรลุวิชชาที่ ๒ นี้ในมัชฌิมยามแห่งราตรี กำจัดอวิชชาได้แล้ว วิชชาก็เกิดขึ้น กำจัดความมืดได้แล้ว ความสว่างก็เกิดขึ้น เหมือนบุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่

     @@@@

     เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้
     อาตมภาพนั้นน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัยนี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธนี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา’
     เมื่ออาตมภาพรู้เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก็หลุดพ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่า ‘หลุดพ้นแล้ว’ รู้ชัดว่า ‘ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป’
     ราชกุมาร อาตมภาพบรรลุวิชชาที่ ๓ นี้ในปัจฉิมยามแห่งราตรี กำจัดอวิชชาได้แล้ว วิชชาก็เกิดขึ้น กำจัดความมืดได้แล้ว ความสว่างก็เกิดขึ้น เหมือนบุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่..ฯลฯ...



ที่มา : โพธิราชกุมารสูตร ว่าด้วยโพธิราชกุมาร
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
http://www.84000.org/tipitaka/_mcu/m_siri.php?B=13&siri=35
ขอบคุณภาพจาก : https://www.bloggang.com/
7370  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อย่าลืมเงินทอน "เจตนาหํ กมฺมํ วทา มิ" แปลว่า "เจตนานั่นแหละเป็นกรรม" เมื่อ: มิถุนายน 25, 2018, 06:09:07 am



อย่าลืมเงินทอน

ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกๆ ท่าน อาตมาเชื่อว่า หลายๆท่านกำลังให้ความสนใจเรื่องเงินทอนวัด อาตมาก็สนใจเหมือนกัน ขนาดหลวงตาที่วัดยังผวาเรื่องเงินทอนวัดเหมือนกัน เรื่องมีอยู่ว่า หลวงตาท่านไม่สบาย เลยไปซื้อยาที่ร้านขายยาหน้าวัด ท่านซื้อยาไป 450 บาท ท่านให้แบงค์ 500 ไปหนึ่งใบ แล้วท่านก็เดินออกจากร้านขายยาไปเลย เภสัชกรที่เรียกตามหลังว่า
     "หลวงตาครับๆ ไม่เอาเงินทอนหรือครับ" หลวงตาสะดุ้ง ตะโกนกลับเสียงดังว่า
     "ให้โยมเลย อาตมายังไม่อยากสึก"

เห็นไหมโยมอิทธิพลเงินทอนวัดมันรุนแรงขนาดไหน ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าก่อนว่าเงินทอนวัดคืออะไร.? เงินทอนวัดคือ เงินที่วัดต้องมอบคืนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในกรณีที่วัดใช้งบประมาณเงินอุดหนุนไม่หมด ส่วนที่เหลือต้องส่งคืน เรียกว่า เงินทอนวัด

อธิบายความคือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะมีการจัดสรรงบที่เรียกว่า “เงินอุดหนุน” ที่จ่ายให้กับวัดในประเทศไทย โดยการของบเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อนำไปปฏิบัติบูรณะซ่อมแซม เพื่อการศึกษาพระปริยัติธรรม และเพื่อการเผยแผ่ดำเนินกิจกรรมทางศาสนา

@@@@@@

จากข่าวที่ว่า “ทุจริตเงินทอนวัด” ยกตัวอย่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดสรรงบที่เรียกว่า
“เงินอุดหนุน” ให้วัดหนึ่งจำนวนเงิน 50 ล้าน แต่เมื่อตรวจสอบแล้วทางวัดใช้เงินไป 40 ล้าน เหลืออีก 10 ล้าน ทางวัดต้องส่งคืนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่เมื่อไปตรวจสอบปรากฏว่าเงินนั้นไม่มีเพราะถูกโอนไปยังบัญชีคนอื่น จึงถือว่าเป็นการทุจริตเงินทอนวัด   

จากกรณีดังกล่าว เพื่อความเป็นธรรม เราอย่าเพึ่งสึกท่านได้ไหม เพราะบางรูปบวชมาตั้งแต่เด็กๆท่านมีความพอใจในสมณะ ต้องให้เจ้าหน้าที่พิจารณาคดีให้เสร็จก่อนว่าท่านผิดจริงแล้วค่อยสึก แบบนี้ไม่มีใครขัดขืน 

ที่อาตมาพูดนี้ไม่ใช่ว่าเป็นพระ แล้วเข้าข้างพระ อาตมาเข้าข้างความถูกต้อง ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก แต่ต้องมีการตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน เพราะผิดพลาดมาความบอบช้ำเกิดขึ้นแก่พุทธศาสนาแน่นอน 

@@@@@@

จากกรณีดังกล่าวเราจะมองได้ 2 ประเด็นคือ
 
1. ทำผิดเพราะไม่รู้ พระเถระผู้ใหญ่บางรูปไม่ได้มายุ่งเกี่ยวเรื่องเงิน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระที่รับผิดชอบ หรือไม่ก็เป็นไวยาวัจกรวัดเป็นคนดูแล เมื่อเราพิจารณาแล้ว ท่านก็ไม่มีเจตนาในการทุจริต ในพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า "กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา" พุทธศาสนสุภาษิตว่า "เจตนาหํ กมฺมํ วทา มิ" แปลว่า "เจตนานั่นแหละเป็นกรรม" แต่ถ้ามีเจตนาที่จะโกงก็นับว่าผิด ก็ว่าไปตามกฎหมาย   

2. รู้ว่าผิดแต่ก็ทำ แต่ถ้ารู้ว่าเงินที่ได้มาใช้เท่าไหร่ ที่เหลือต้องคืน และตนเองเป็นผู้บริหารเงินทั้งหมด แต่ยังกระทำผิดก็ต้องรับผลที่ตนเองกระทำนั้น ไม่ว่าเราจะหนีไปอยู่ไหนก็ย่อมหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น เพราะกฎแห่งกรรมยุติธรรมที่สุด


      เจริญพร
   พระมหาสมปอง



ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
https://today.line.me/th/pc/article/อย่าลืมเงินทอน+พระมหาสมปอง-gZBrMZ/?utm_source=oa&utm_medium=all&utm_campaign=1806230433&utm_term=3
Reporter : พระมหาสมปอง  , เผยแพร่ 20/06/2561 11:00
7371  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "ลบดึงดูดลบ" บทความสำหรับคนชอบคิดลบ เมื่อ: มิถุนายน 25, 2018, 05:53:13 am


"ลบดึงดูดลบ" บทความสำหรับคนชอบคิดลบ
โดยพระไพศาล วิสาโล

“ลบดึงดูดลบ” เป็นความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่คนจำนวนไม่น้อย เช่นเดียวกับ “บวกดึงดูดบวก” ความเชื่อดังกล่าวมีมูลความจริงไม่น้อย หากว่า “ลบ” คำแรกนั้นหมายถึงความรู้สึกลบ เช่น ความโกรธ เกลียด หวาดระแวง

มีงานวิจัยมากมายที่ชี้ว่า ความรู้สึกลบนั้นทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น เช่น เมื่อปีที่แล้วมีการศึกษาพบว่า ความโกรธอย่างรุนแรงทำให้มีโอกาสที่จะเกิดหัวใจวายภายในสองชั่วโมงเพิ่มเป็น 8.5 เท่า

ที่น่าสนใจคือ งานวิจัยของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล เมื่อเร็วๆนี้ ได้ข้อสรุปว่า คนวัย 40 ที่มีความคิดลบต่อวัยชรา (เช่น เห็นว่าคนแก่เป็นพวกใจลอย เรียนรู้สิ่งใหม่ได้ยาก) เมื่อเวลาผ่านไป 25 ปี คนเหล่านี้จะสูญเสียเนื้อสมองบางส่วน (ฮิปโปแคมปัส) มากกว่า รวมทั้งมีลิ่มเลือดมากกว่า ซึ่งล้วนเป็นตัวบ่งชี้ของการเป็นโรคอัลไซเมอร์ สอดคล้องกับการวิจัยก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า คนที่มีอคติต่อวัยชราจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้นใน 40 ปีให้หลัง


@@@@@@

ข้อมูลดังกล่าวชี้ว่า “ลบดึงดูดลบ” นั้นบางครั้งก็ส่งผลเกือบจะทันที คือแค่ไม่กี่ชั่วโมง บางครั้งก็ใช้เวลานาน แต่จะช้าหรือเร็วก็ล้วนมีเหตุผลที่อธิบายได้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาลอย ๆ

ในชีวิตประจำวันเราจะพบว่าความคิดลบนั้นย่อมนำพาสิ่งที่เป็นลบมาหาเราอยู่เสมอ แต่อาจไม่ได้มาในแบบที่คนเป็นอันมากวาดภาพเอาไว้ คือเกิดขึ้นมาโดยไม่มีที่มาที่ไป หรือเพราะพลังอำนาจบางอย่างที่เข้าใจได้ยากแต่เกิดจากเหตุปัจจัยอันมีที่มาจากความคิดลบนั้นเอง

“พร” เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่มีปากเสียงกันเป็นประจำ เธอมักเห็นพ่อด่าว่าแม่ บางทีก็ใช้กำลังกับแม่ จึงมีอคติต่อพ่อรวมทั้งเกลียดชังผู้ชายที่ชอบใช้กำลังกับภรรยาครั้นเธอเป็นสาว หลงรักชายหนุ่มคนหนึ่ง จึงได้แต่งงานกัน แต่บ่อยครั้งภาพฝังใจในวัยเด็กทำให้เธออดระแวงไม่ได้ว่าสามีของเธอจะเป็นเหมือนพ่อ ความหวาดระแวงนั้นเองทำให้เธอรู้สึกไวเป็นพิเศษกับคำพูดและอารมณ์ของสามี

@@@@@@

แม้สามีเธอจะเป็นคนอ่อนหวาน รักครอบครัว แต่บางครั้งก็หงุดหงิดเวลาอยู่กับเธอพูดเสียงเข้มกับเธอ แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยน้อยกว่าความอ่อนโยนที่เขามีต่อเธอ แต่เธอมักเลือกเห็นและเลือกจำแต่อารมณ์และคำพูดที่เป็นลบของสามี เมื่อผสมกับความทรงจำอันเลวร้ายที่มีต่อพ่อ อคติของเธอที่มีต่อเขาก็ถูกตอกย้ำหนักแน่นขึ้น ผลก็คือ เธอรู้สึกลบต่อสามีมากขึ้นเป็นลำดับ ความรักเริ่มจืดจางความโกรธและหวาดระแวงเริ่มมาแทนที่

อคติและความรู้สึกลบทำให้เธอมีพฤติกรรมลบต่อสามีถี่ขึ้น เช่น ต่อว่าสามีระบายอารมณ์ใส่เขา กล่าวหาว่าเขาไม่รักเธอจากนั้นก็ขุดเอานิสัยต่างๆ ของเขามาตำหนิ เช่น ขี้เกียจ ไม่สนใจลูก เธอมีเรื่องต่อว่ากล่าวโทษเขาเป็นประจำ เมื่อเจอแบบนี้วันแล้ววันเล่า ในที่สุดสามีของเธอก็คุมอารมณ์ไม่อยู่ตวาดใส่เธอ และเกือบใช้กำลังกับเธอ

กรณีอย่างนี้มองเผินๆ ก็อาจสรุปได้ง่ายๆว่า เป็นเพราะความรู้สึกลบที่มีต่อพ่อเธอจึงได้สามีที่มีนิสัยอย่างพ่อ (หรือดึงดูดให้คนที่มีนิสัยอย่างพ่อมาเป็นสามีของเธอ)แต่หากพิจารณาให้ดีจะพบว่า การที่สามีมีพฤติกรรมดังกล่าว มิใช่เพราะนิสัยดั้งเดิมของเขาเป็นอย่างนั้น หากแต่เป็นผลจากการกระทำของตัวเธอเองเป็นสำคัญ เริ่มจากการคิดลบ(ว่าสามีคงไม่ต่างจากพ่อ) ทำให้เธอเห็นลบ(เลือกเห็นแต่สิ่งไม่ดีของสามี) ทำให้เกิดความรู้สึกลบ (โกรธและระแวงสามี) ตามมาด้วยพฤติกรรมลบ (ต่อว่า กล่าวโทษเขา) ในที่สุดก็ทำให้สามีตอบโต้เธอด้วยอารมณ์และพฤติกรรมลบ พูดอีกอย่างหนึ่ง ความคิดลบของเธอกระตุ้นปลุกปั่นให้เขามีพฤติกรรมลบต่อเธอ


@@@@@@

“ลบดึงดูดลบ” จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากกฎแห่งกรรม เราทำอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้นดังมีสำนวนว่า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” แต่สิ่งที่เราทำนั้นจะเป็นบวกหรือลบก็ขึ้นอยู่กับว่าเราคิดเห็นหรือรู้สึกอย่างไร ถ้าคิดลบเห็นลบ รู้สึกลบ ก็ย่อมทำลบ ซึ่งเท่ากับกระตุ้นให้คนอื่นเกิดปฏิกิริยาที่เป็นลบและส่งผลลบแก่เรา

ในทางตรงข้าม ถ้าปรารถนาบวกก็ต้องเริ่มต้นจากการคิดบวก บางอย่างแค่คิดบวกก็เกิดผลบวกแล้ว (เช่น มีสุขภาพดี ไกลจากโรคหัวใจและอัลไซเมอร์) แต่มีอีกหลายอย่างที่คิดบวกไม่พอ ต้องทำบวกด้วยจึงจะเกิดผลบวกแก่เรา

บวกย่อมดึงดูดบวก หากว่าบวกตัวแรกนั้นหมายถึงการคิดดีและทำดี แล้วสิ่งดีๆก็จะตามมา เช่น ความรัก ความเกื้อกูลจากผู้อื่นและความสุขใจ แต่ถ้าคิดถึงแต่เงินทองและความสำเร็จ แล้วหยุดแค่นั้น ก็ยากที่เงินทองและความสำเร็จจะตามมา


ที่มาจากคอลัมน์ Joyful life & Peaceful Death ในนิตยสาร Secret เขียนโดย พระไพศาล วิสาโล
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/51482.html
7372  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นอกจากนั่ง สามารถยืนหรือนอนสมาธิ ได้ไหม.? เมื่อ: มิถุนายน 25, 2018, 05:45:45 am

นอกจากนั่ง สามารถยืนหรือนอนสมาธิ ได้ไหม.?

ถาม : นอกจากนั่ง ผมยืนหรือนอนสมาธิ ได้ไหมครับ

ตอบ : จะนั่ง เดิน ยืน หรือนอนก็ได้ การทำสมาธิไม่ได้กำหนดตายตัวว่าต้องนั่งแต่เพียงอย่างเดียว ขอเพียงอาศัยความเพียรเป็นที่ตั้งก็พอ ดังคำสอนของ หลวงพ่อพุธฐานิโย ท่านกล่าวว่า

“สมาธิเป็นกิริยาของจิต เรากำหนดจิตอย่างเดียว ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นเพียงการเปลี่ยนอิริยาบถ เรานั่งขัดสมาธิก็ได้ นั่งเก้าอี้ก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ จิตสมาธิเป็นกิริยาของจิตอย่างเดียว ถ้านั่งขัดสมาธิก็เรียกว่านั่งสมาธิ เดินจงกรมก็เรียกว่าเดินสมาธิ ยืนกำหนดจิตก็เรียกว่ายืนทำสมาธิ นอนกำหนดจิตเรียกว่านอนทำสมาธิ

ถ้าพยายามทำสมาธิในท่านอนได้ยิ่งดี ท่านผู้ใดกำหนดจิตทำสมาธิในเวลานอนได้ นอนลงไปแล้วกำหนดจิตพิจารณาอารมณ์ไปจนกระทั่งนอนหลับ พอหลับแล้วสมาธิจะเกิดขึ้นในขณะที่นอนหลับ

เมื่อสมาธิเกิดขึ้นในขณะนอนหลับ กายเราก็จะเบา จิตก็จะเบา เป็นการพักผ่อนอย่างมีประโยชน์ที่สุด อาการที่จิตก้าวลงสู่สมาธิในขั้นแรกคือการนอนหลับ พอนอนหลับสนิทแล้ว สติจะตื่นขึ้นภายใน กลายเป็นสมาธิ การทำสมาธิในเวลานอนนี้ง่ายกว่าในขณะที่นั่ง”



ขอบคุณที่มา : http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/29705.html
7373  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตำนานวัดในอยุธยา อันเกี่ยวเนื่องกับ 'พระเจ้าตากสิน' เมื่อ: มิถุนายน 24, 2018, 06:53:21 am




ตำนานวัดในอยุธยา อันเกี่ยวเนื่องกับ 'พระเจ้าตากสิน'


พาเที่ยวชมวัดในอยุธยา ที่เรามักเข้าใจว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดเกี่ยวเนื่องด้วยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่ยังมีความเกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่น่าเที่ยวชมเช่นกัน

“อยุธยา” สำหรับใครหลายคน เป็นจังหวัดที่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวและหาอาหารอร่อยทานได้สะดวก มีทั้งกุ้งแม่น้ำตัวโต โรตีสายไหมแป้งสด ก๋วยเตี๋ยวอยุธยาชามไม่โตแต่รสชาติ ก๋วยเตี๋ยวโตมาก วัดในอยุธยาทุกวัดบันทึกความจำที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ครั้งอยุธยายังรุ่งเรือง และในสงครามการเสียกรุงและเอกราชครั้งที่ 2เป็นบาดแผลลึกที่ยังปรากฎภาพให้เห็นมาจนทุกวันนี้

คนส่วนมากเคยไปเที่ยวชมและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดที่เกี่ยวเนื่องด้วย “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ล่าสุดโด่งดังกันมาก ได้แก่ “วัดไชยวัฒนาราม” แต่ยังมีวัดในอยุธยาที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” และน่าไปเที่ยวชมด้วยเช่นกัน

เริ่มจาก วัดเชิงท่า วัดตีนท่า วัดติณ วัดคลัง หรือวัดโกษาวาสน์ วัดนี้ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าวาสุกรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นวัดที่ “พระเจ้าตากสิน” ได้บวชเรียนร่วมกับรัชกาลที่ 1 ปัจจุบันมีรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริงของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงบัลลังค์ประดิษฐานอยู่ที่วัดด้วย



วัดแห่งนี้สร้างอยู่ใกล้ปากคลองท่อด้านเหนือตรงกับ “วัดพุทไธศวรรย์” ส่วนชื่อวัดติณที่มาเรียกในสมัย “พระเพทราชา” เรื่อยมาจนถึงสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เพราะเคยใช้วัดแห่งนี้เป็นที่รวบรวมหญ้า เพื่อข้ามไปส่งให้ช้างม้าในพระบรมมหาราชวัง

ส่วนชื่อ “โกษาวาส” ได้มาด้วยพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ ภายหลังกลับจากการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศฝรั่งเศสในสมัย “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช” วัดเชิงท่าถูกกำหนดให้เป็นโบราณสถานสำคัญรูปแบบทางสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตกรรม เป็นงานศิลปกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย

“วัดเกาะแก้ว” เป็นวัดที่ตั้งค่าย 1 ใน 9 ค่ายของ “สมเด็จพระเจ้าตากสิน” ปัจจุบันหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยังพอมีให้ชมเพียงพระเจดีย์ กับพระพุทธรูปเนื้อสำริดอายุ 300 กว่าปี ส่วนอุโบสถหลังเก่าจมหายไปกับน้ำ




“วัดโพธิ์สาวหาญ” ตั้งอยู่ที่อำเภออุทัย เป็นอีกวัดหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญกับการรักษาทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสิน วันที่ 4 มกราคมพ.ศ.2309 ขณะกำลังถอยทัพจากกรุงศรีอยุธยาจนมาถึงวัดโพธิ์หาญ หรือวัดโพธิ์สังหาร หรือวัดโพธิ์หาญ

เมื่อพม่ายกทัพมาทัน โดยไทยกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และสมเด็จพระเจ้าตากสินตกอยู่ในวงล้อมของพม่า พลันมีสตรี 2 นางถือดาบเข้ามาช่วยจนสมเด็จพระเจ้าตากสินสามารถตีฝ่าวงล้อมออกมาได้ แต่สตรีทั้ง 2 นางนั้นเสียชีวิต

ต่อมาภายหลังเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงกอบกู้เอกราชของไทยและขึ้นครองราชย์แล้ว ทรงรำลึกถึงคุณความดีของสตรีทั้ง 2 จึงทรงโปรดทำนุบำรุงบ้านโพธิ์สังหารและวัดขึ้นมาใหม่ ทรงพระราชทานนามว่า โพสาวหาญ หมายถึง หมู่บ้านอันมีสตรีผู้กล้าหาญ


@@@@@

วัดแห่งนี้ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว เพราะการเดินทางอาจอยู่ไกลกว่าวัดอื่นๆ ในตัวเมืองอยุธยา แต่บ้านโพสาวหาญ บ้านพรานนกนี้ มีความสำคัญมาก นอกจากเป็นพื้นที่ีจุดปะทะไทย-พม่า แล้วยังเป็นจุดกำเนิดของ “วันทหารม้า” ด้วย

โดยนับจากวีรกรรม ครั้งวันที่ 4 มกราคมพ.ศ.2309 “วัดพรานนก” เป็นชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าตากสินตามอาชีพของพรานต่อนก ที่บอกทางไปยังเมืองจันทบุรีเพื่อรวมไพร่พลกลับมากู้ชาติ “วัดพรานนก” เป็นอีกวัดหนึ่งที่มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณฺ์สำคัญในการกู้ชาติ

ที่วัดแห่งนี้ยังปรากฎมีรูปปั้นของ “เฒ่าคำ” พรานต่อนกคนสำคัญอยู่ด้วย สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจประวัติศาสตร์การเดินทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ยังมี “วัดพิชัยสงคราม” วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรมกรุงศรีริเวอร์ เป็นที่รวมพลครั้งแรก

ส่วน “วัดหันตรา” เป็นวัดที่เกิดการปะทะครั้งแรกระหว่างกองทัพของ “สมเด็จพระเจ้าตากสิน” กับ กองทัพพม่า จุดเด่นของวัดนี้เห็นจะมีเพียง “โบสถ์มหาอุด” ที่เรียกแบบนี้เพราะมีเพียงแต่ทางเข้าด้านหน้าไม่มีทางออกด้านหลัง.



.......................................
คอลัมน์ : ชำเลืองเมืองโดย “แรมทาง”
ขอบคุณภาพจาก : วิกิพีเดีย , faiththaistory
ที่มา : https://www.dailynews.co.th/article/648615
อังคารที่ 12 มิถุนายน 2561 เวลา 10.00 น.
7374  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “ขอเวลานอกให้ชีวิต” การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การหนีปัญหา เมื่อ: มิถุนายน 24, 2018, 06:19:09 am



“ขอเวลานอกให้ชีวิต” การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การหนีปัญหา โดย ปิยสีโลภิกขุ

เคยได้ยินคนพูดอยู่บ่อยครั้งว่า การบวชหรือการปฏิบัติธรรมเป็นการหนีปัญหา ความเห็นเช่นนี้เชื่อได้ว่ามาจากคนที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมและไม่เคยเฝ้ามองจิตใจของตนเองเลย จึงสรุปเอาเองว่า เมื่อหลีกเร้นจากชีวิตปกติย่อมเท่ากับหลีกหนี มิหนำซ้ำสถานที่ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ก็สงบร่มรื่นไม่เบา อย่างนี้เข้าข่ายหนีไปสบายชัดๆ

น่าแปลกใจว่าคนจำนวนมากเออออตามคำพูดซึ่งขาดประสบการณ์รองรับนี้ไปโดยอัตโนมัติ ทั้งที่ปกติแล้วเราก็มักเลือกฟังแต่ความเห็นของ “ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง” มีใครบ้างไหมที่จะยอมให้นักเรียนแพทย์ผ่าตัดให้ คำตอบในกรณีนี้ย่อมชัดเจนว่าไม่ แล้วทำไมคนส่วนใหญ่จึงยอมเชื่อทัศนะของคนที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมกันอย่างง่ายดายเพียงนั้น

อย่างไรก็ตาม มีคำถามหนึ่งที่สำคัญกว่า แต่ไม่ใคร่มีคนถามคือ การ “หลีกหนี” ที่ว่านั้นส่งผลดีต่อการแก้ไขปัญหาหรือไม่

@@@@@@

คนที่เคยนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมย่อมรู้ดีว่าเราไม่มีทางหลีกเลี่ยงปัญหาทางใจได้เลย เพราะแม้จะโบยบินไปไกลแค่ไหน ความรู้สึกนึกคิดก็ยังตามมาถึง จนท้ายที่สุดก็ไม่พ้นต้องเผชิญหน้ากันอยู่ดี และในหลายๆ กรณี การอยู่ตามลำพังกลับยิ่งทำให้ปัญหาปรากฏชัดขึ้นไปอีก

เมื่อเป็นเช่นนี้ การปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่การปลีกตัวเพื่อหนีปัญหา แต่เป็นการอุทิศเวลาเพื่อพิจารณาสถานการณ์และเผชิญหน้ากับจิตใจตัวเอง ความเดือดร้อนทรมานจากการเผชิญหน้านี้ชี้ให้เราเห็นและยอมรับปัญหานั้น อีกทั้งช่วยเตรียมใจให้กลับมาสะสางเรื่องที่ค้างไว้อย่างมีสติต่อไป

ความเงียบสงบยามปฏิบัติธรรมยังอาจดึงเอาความทรงจำเก่าๆ กลับมาด้วย เรื่องค้างคาใจที่เคยปล่อยทิ้งเพราะคิดว่าไม่มีผลใดๆ ต่อชีวิต กลายเป็นสิ่งที่รอเวลาชำระ จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติธรรมผลักดันให้พบปัญหาที่แม้ตัวเราเองก็ยังละเลย

@@@@@@

ปัญหาที่ต้องเผชิญนั้นไม่ได้น่ากลัวเสมอไป เพราะหากทำใจยอมรับได้ ความสงบก็เกิดตามมา การเรียนรู้ที่จะเฝ้าพิจารณาด้วยใจสงบนำไปสู่การเห็นต้นตอและรายละเอียดของปัญหา ยิ่งเราเข้าใจมันดีขึ้นเท่าใด โอกาสที่จะพบทางออกก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

ระหว่างที่ต้องผจญกับปัญหา เราอาจมีสภาพไม่ต่างจากนักกีฬาที่กำลังหมกมุ่นกับการแข่ง ในยามคับขัน “การขอเวลานอก” เพียงชั่วระยะ ช่วยให้นักกีฬาสามารถรวบรวมสติทบทวนตัวเอง และกลับเข้าสู่สนามอีกครั้งด้วยความมุ่งมั่นกว่าเดิม ช่วงเวลาสั้นๆ นี้จึงอาจพลิกสถานการณ์ได้อย่างไม่คาดฝัน

หาก “หลีกหนี” ไปปฏิบัติธรรมแล้วแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้นอย่างนี้  ก็น่าลองใช้วิธีขอเวลานอกให้ชีวิตกันมากขึ้นไม่ใช่หรือ


@@@@@@

ปิยสีโลภิกขุ จบการศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ได้เลือกวิถีชีวิตนักบวช ปัจจุบันพำนักในวัดป่าเล็กๆ แห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงราย บันทึกชุดนี้เขียนขึ้นระหว่างจำพรรษาที่วัดจิตวิเวก นอกกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ


 
ที่มา : คอลัมน์ MY SECRET นิตยสารซีเคร็ต
เรื่อง ปิยสีโลภิกขุ
ภาพ Bess-Hamiti on pixabay
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/97433.html#cxrecs_s
7375  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความประมาท 5 ประการ ที่ชาวพุทธควรหลีกเลี่ยง เมื่อ: มิถุนายน 24, 2018, 05:58:17 am



ความประมาท 5 ประการ ที่ชาวพุทธควรหลีกเลี่ยง
 
ท่านว.วชิรเมธี กล่าวว่า พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราหมั่นระลึกถึงความตาย ไม่ใช่เพื่อจะให้กลัวตายแต่เพื่อที่จะให้เรารู้จักที่จะดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะอย่างดีที่สุด

หัวใจของการดำรงชีวิตอยู่อย่างดีที่สุดก็คือ การดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่ประมาทในอะไรเล่า…
    1. ไม่ประมาทในชีวิต ว่าจะยืนยาว
    2. ไม่ประมาทในวัย ว่ายังหนุ่มสาว
    3. ไม่ประมาทในสุขภาพ ว่ายังแข็งแรง
    4. ไม่ประมาทเวลา ว่ายังมีอีกมาก
    5. ไม่ประมาทในธรรม ว่าเอาไว้ก่อนวันหลังค่อยสนใจ

ใครก็ตามประมาทในเหตุทั้ง 5 ประการนี้ มักต้องมานั่งเสียใจทุกครั้ง เมื่อบุคคลอันเป็นที่รักต้องมาพลัดพรากจากไป หรือหากตัวเองจะต้องตายขึ้นมาบ้าง ก็มักจะบ่นเพ้อด้วยความเสียดายว่า “รู้อย่างนี้ทำดีไปตั้งนานแล้ว” ดังนั้น หากเราไม่อยากเสียใจ ไม่อยากพลาดวันเวลาสำคัญของชีวิตก็ควรหมั่นเจริญมรณัสสติอยู่เสมอ เพราะเมื่อเราใช้ชีวิตดังหนึ่งความตายกำลังกวักมือเรียกอยู่ข้างหน้าทุกขณะจิต เราจะตระหนักรู้ว่าชีวิตมีค่าแค่ไหน มารดร บิดา สามี ภรรยา ลูกแก้ว เมียขวัญสำคัญเพียงไรสุขภาพเป็นสิ่งจำเป็นเพียงไร และทรัพย์สินศฤงคารอำนาจราชศักดิ์เป็นเพียงสิ่งสมมุติมายาเพียงชั่วคราวอย่างไร

ความตายจะเป็นดั่งระฆังแห่งสติที่เตือนให้เรากลับมาดำรงอยู่กับความจริงและอยู่กับสิ่งที่เป็นแก่นสาร ทิ้งสิ่งที่เป็นเปลือกหรือหัวโขนของชีวิตอย่างรู้เท่าทัน เมื่ออยู่เบื้องหน้าของความตาย อะไรๆในโลกก็กระจิริดไปเสียทั้งหมด


@@@@@@

เราระลึกถึงความตายเพื่อเข้าใกล้ชีวิตที่มีแก่นสารที่สุด ดำรงอยู่อย่างคนที่ตื่นตัวและตื่นรู้ที่สุด ฉะนั้น การระลึกถึงความตายแล้วเศร้าหมอง หดหู่ จึงไม่ใช่มรณานุสติที่ถูกต้อง ที่ถูกคือ พอระลึกถึงว่า ตนจะต้องตายในวันหนึ่ง จิตจะตื่นขึ้นมาตระหนักรู้ถึงสัจธรรม แล้วเร่งรีบกระทำแต่กรรมดี ใช้ชีวิตนี้อย่างคุ้มค่าที่สุด นี่ต่างหากคือสัมมาทิฏฐิ (ความเข้าใจที่ถูกต้อง) และสัมมาปฏิบัติ (พฤติกรรมที่ถูกต้อง) อันเป็นผลโดยตรงจากการเจริญมรณานุสติ

อวสฺสํ มยา มริตพฺพํ – วันหนึ่งเราจะต้องตาย
ชีวิตํ อนิจฺจํ – ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง
มรณํ เม ชีวิตํ – ความตายของเราเป็นของเที่ยง

ตระหนักรู้สัจธรรมอย่างนี้แล้ว พึงดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท ความชั่วต้องรีบหนี ความดีต้องรีบทำ เพราะหากทำความดีช้าไป ผิว์ความตายมาพราก ก็จะมีแต่ความเศร้าและความเสียใจติดค้างไปตราบนานเท่านาน

แต่สำหรับบุคคลผู้ตื่นอยู่ หมั่นเจริญมรณานุสติอยู่เนือง ๆ ดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท ครั้นความตายมาถึงเข้า ย่อมไม่วิโยคตกใจ พร้อมเผชิญต่อความตายดังหนึ่งคนงานยืนรอเวลาเลิกงานด้วยใจยินดีปรีดา มาถึงเมื่อไรก็พร้อมไปเมื่อนั้น



ที่มา : นิตยสาร Secret
บทความเกี่ยวกับ ความประมาท 5 ประการนี้ ตัดตอนมาจากบทความ “มรณานุสติภาวนา” เขียนโดย ท่าน ว.วชิรเมธี
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/46651.html#cxrecs_s
7376  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อายุเกือบจะ 40 แล้วยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ทำอย่างไรดีคะ.? เมื่อ: มิถุนายน 23, 2018, 05:59:36 am



อายุเกือบจะ 40 แล้วยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ทำอย่างไรดีคะ.?

ถาม : อายุเกือบจะ 40 แล้วยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยู่ไปวัน ๆ ไม่มีจุดหมาย กลายเป็นคนเก็บตัว ขาดความมั่นใจ จะทำอย่างไรดีคะ

ดร.พระมหาบวรวิทย์ รัตนโชโต ตอบคำถามนี้ไว้ว่า

@@@@@@

ตอบ : อายุ 40 ปี ถือว่าเกินครึ่งของอายุขัยแล้ว แต่ยังค้นหาตัวตนไม่เจอก็นับว่าน่าเห็นใจ ให้ลองพิจารณาดูว่าตนเองชอบทำอะไรและมีความสุขกับการทำสิ่งใดและที่ผ่านมาเรามีความถนัดในเรื่องใด

คนเราย่อมมีความชอบ มีความถนัดในบางสิ่งบางอย่างไม่มากก็น้อย ให้ลองทำสิ่งนั้นจากน้อยไปหามาก สำเร็จบ้างล้มเหลวบ้างก็ไม่เป็นไร ทำแล้วทำอีก จะปล่อยวันเวลาให้ล่วงเลยไปโดยไม่ทำอะไรเลยก็กระไรอยู่

ชีวิตนี้น้อยนัก ประดุจดังน้ำค้างบนยอดหญ้า ฟองแห่งน้ำ เปลวแดด พบกันเดี๋ยวเดียวก็พรากจากกันไป ต่างคนต่างต้องลาโลกไปทั้งสิ้น มีสิ่งใดที่ดีก็ควรรีบทำ หากไม่รีบทำอาจไม่มีโอกาสทำก็เป็นได้


@@@@@@

หลักในการค้นหาตัวเองและนำพาไปสู่ความสำเร็จอย่างสมบูรณ์และยั่งยืนที่พระพุทธองค์ตรัสไว้คืออิทธิบาท 4 คือหนทางนำไปสู่ความสำเร็จสมประสงค์ทุกสิ่งทุกประการ และสามารถทำตนให้มีคุณค่า ประกอบไปด้วย

1. ฉันทะ มีความรักและชอบใจในสิ่งนั้นๆ
2. วิริยะ มีความเพียรพยายามลงมือทำในสิ่งนั้นอย่างเต็มกำลัง
3. จิตตะ มีความกระตือรือร้นจดจ่อในสิ่งที่ทำอยู่อย่างไม่ลดละ
4. วิมังสา ตรวจสอบตรวจทานในสิ่งที่ทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ

นั่นคือมีการวัดผลประเมินผล ให้เห็นจุดด้อยจุดเด่น หาข้อบกพร่องในสิ่งนั้น ๆ แล้วพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ต้องมีหลักแห่งความสำเร็จนี้อย่างสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย ไม่ท้อไม่ทิ้งเมื่อเจอปัญหาและอุปสรรค ทำแล้วทำอีกจนกว่าจะประสบความสำเร็จ

@@@@@@

หากมองกันตามความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ปุถุชนแทบทุกคนยังไม่สามารถค้นพบตัวตนที่แท้จริงได้ ทั้ง ๆ ที่ความแก่ความเจ็บ ความตายกำลังบดขยี้อยู่ก็หารู้ตัวไม่ ปล่อยให้ความโลภความโกรธ ความหลงเข้าครอบงำข่มขี่ใจอยู่ตลอดเวลา วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ชาติแล้วชาติเล่า

ส่วนพระอริยบุคคลนั้นท่านค้นพบความจริงทั้งภายนอกภายใน รู้แจ้งเห็นจริง มีจิตใจที่มั่นคงหนักแน่น แกล้วกล้าอาจหาญ เป็นอิสระจากอาสวกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ ท่านจึงไม่หวาดหวั่นต่อภัยอันตรายใดๆ



ที่มา : นิตยสาร Secret
ภาพ: Adi Constantin on Unsplash
ดร.พระมหาบวรวิทย์ รัตนโชโต : พระอาจารย์ผู้ไขปัญหา
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/79834.html
7377  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ถ้าสวมรองเท้า ใส่บาตร แล้วจะบาปไหม.? เมื่อ: มิถุนายน 23, 2018, 05:55:28 am


ถ้าสวมรองเท้า ใส่บาตร แล้วจะบาปไหม.?

อยากใส่บาตร โดยที่ไม่ถอดรองเท้า เพราะพื้นไม่สะอาดเอาซะเลย แต่จะบาปหรือเปล่า ลองถามพระอาจารย์ดูดีกว่า
ถาม : ถ้าสวมรองเท้า ใส่บาตร จะบาปหรือไม่ เพราะบางสถานที่ เช่น ตลาด ริมทางเท้า ไม่สามารถถอดรองเท้าได้

@@@@@@

พระอาจารย์มานพ อุปสโม ตอบปัญหาธรรมข้อนี้ไว้ว่า

ตอบ : การถอดรองเท้าใส่บาตร หมายความว่า ผู้ทำเคารพในวัตถุทานที่ให้แบบไม่เจาะจงพระ น้อมใจถึงอริยะ บุญกุศลก็เกิดมาก หากถอดรองเท้าได้ก็ควรถอด แต่ถ้าเป็นเรื่องสุดวิสัยถอดไม่ได้จริง ๆ ก็ให้ตั้งใจเคารพในวัตถุทานนั้น

@@@@@@

นอกจากนี้ พระราชญาณกวี ได้อธิบายถึงความสำคัญของการตักบาตรไว้ว่า

การตักบาตรเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญมาก พระอาจารย์มองดูว่า วิถีชีวิตชาวพุทธที่เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการให้ เป็นวิถีชีวิตที่มีคุณค่ามาก เริ่มต้นชีวิตวันใหม่ด้วยการให้ เหมือนพระอาทิตย์ทอแสงขึ้นมาแล้วให้แสงสว่าง คนไทยเป็นคนชอบให้แต่ไม่ชอบรักษาศีล ไม่มีชนชาติให้ให้ทานเก่งเท่ากับคนไทย จนก็ให้รวยก็ให้ ให้เป็นเรื่องใหญ่มาก การทำบุญคือการให้ทาน การทำบุญเหมือนเป็นหัวข้อใหญ่ๆ การทำบุญมีอยู่ 3 วิธีคือ ทาน ศีล เจริญสมาธิภาวนา

เราทำขั้นพื้นฐานกันอยู่บันไดขั้นแรก แสดงว่าใจเราเป็นกุศล การให้เป็นเรื่องที่ดี ใจคนไทยเป็นบุญเป็นกุศลมาก ชอบให้ทำให้เราผ่อนคลาย บางคนเครียดแล้วทำบุญ การทำบุญเป็นวิธีคลายเครียดอย่างหนึ่ง เหมือนกับจิตตสปา คุณค่าของมนุษย์เริ่มต้นที่รู้สึกภูมิใจ พอถึงจุดหนึ่งก็จะต่อไปอีกว่า เป็นผู้ให้ที่ทำให้คนอื่นภูมิใจ เหมือนกับเราตักข้าวใส่บาตรพระ เราภูมิใจที่มีชีวิตสังขารทุกวันนี้ เราเป็นผู้ให้พระเป็นผู้รับ

@@@@

สังเกต ไหมว่าการทำบุญตักบาตรต่างการทำบุญอย่างอื่น เพราะเวลาที่เราให้ ปรกติผู้ให้จะสูงกว่าผู้รับ โดยธรรมชาติของคนผู้รับเป็นหนี้บุญคุณของผู้ให้ ทีนี้พอเราถวายอะไรแด่พระสงฆ์ เราจะมีความรู้สึกว่าขอบคุณที่ท่านมารับถึงหน้าบ้าน ถ้าท่านไม่เดินผ่านบ้านเรา เราจะถวายได้อย่างไรและเราไม่ได้เจาะจงด้วยว่าพระที่เดินมาชื่ออะไร ไม่มีใครถาม มีฝรั่งรูปหนึ่งมาบวชที่วัดเรา บวชวันแรก คนทั้งโบสถ์กราบเขาตกใจเขางง ตื่นเช้าขึ้นมาออกไปบิณฑบาต คุณยายกับหลานนั่งอยู่ด้วยกัน พอพระฟรานซิสเดินมา กราบลงไปแล้วเอาข้าวใส่บาตร

ปรากฏว่าเขากลับไปถามพระอาจารย์ เป็นแบบนี้ทั้งประเทศไหม เราก็บอกว่าให้พิสูจน์เอง โดยซื้อตั๋วให้โยมพาไปวัดป่าภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้   เขาก็กลับมาบอกว่าผมเชื่อแล้วว่าที่นี่คือเมืองพุทธ เหมือนกันหมดทั้งประเทศ มีแต่ความสงบร่มเย็น มันเป็นวิธีลดทิษฐิมานะที่ดีมาก ลดทิษฐิมานะอย่างไร บวชเสร็จแล้วพ่อแม่กราบลูก นายพลเอกกราบนายทหารที่ขับรถให้ ณ วันที่บวช ไม่ว่าคุณจะใหญ่มาจากไหน ก็ต้องไหว้พระสงฆ์ ไหว้ในสมมุติสงฆ์


@@@@

เพราะ ฉะนั้นพระอาจารย์คิดว่า การบวชเป็นวิธีการที่กลับตาลปัตร วิถีชีวิตของเด็กคนหนึ่ง ซึ่งมีความรู้สึกว่าอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตแต่เปลี่ยนไม่ได้ แล้วก็เข้าพิธีตามระบบของคณะสงฆ์ หลังจากนั้นมันจะพลิกหมด เคยกินเหล้าก็ต้องหยุดเหล้า เคยสูบบุหรี่ก็ต้องหยุดสูบบุหรี่ เคยเที่ยวก็ต้องหยุด กติกาของชีวิตเปลี่ยนไปหมด เวลาใส่บาตรพระก็ต้องอธิษฐานจิต ให้โยมมีความสุขความเจริญ มีอายุ วรรณะ สุข พละ อายุยืน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน คิดอยู่ในใจ นี่คือสิ่งที่พระคิดอยู่ในใจ   เราจะได้ยินพระให้พรในตอนท้าย ในขณะที่โยมเวลาใส่บาตร เชื่อว่าหลายๆ คนจะรู้สึกว่าเวลาใส่บาตรต้องคิดอะไร

เด็กๆ อาจสงสัยก็ได้ว่าต้องคิดอะไร ไม่ต้องคิดอะไร คิดว่าทำอย่างไรให้เรามีความสุขเจริญรุ่งเรือง ไม่มีไข้เจ็บเบียดเบียน ให้วิถีชีวิตของเราไม่มีสิ่งบดบัง ทางเดินข้างหน้าปลอดโปร่ง มีผู้อุปการะมีผู้ดูแล มีผู้คุ้มกันปกป้องคุ้มครอง มีคนชี้แนะเวลาที่เดินหลงทาง อธิษฐานในสิ่งดีๆ อะไรก็ได้ที่เป็นพรแต่ไม่ใช่การขอ เป็นการอธิษฐานเพื่อที่เราจะได้ทำ โดยอาศัยพระเป็นประจักษ์พยาน มันเหมือนเราตั้งใจจะทำอะไร แล้วมีพระเป็นประจักษ์พยานเป็นอธิษฐานบารมี

@@@@

เราเชื่อว่า การเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการให้ ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่คนที่สูงสุดในชีวิต หมายความว่าให้คุณพ่อคุณแม่ ตักข้าวใส่บาตรให้คุณพ่อคุณแม่ก็ได้นะ ตักใส่จานท่าน หรือพระสงฆ์ซึ่งเป็นลูกของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นวิธีแบบนี้มันจะทำให้จิตใจของเราเบิกบาน เพราะเป็นผู้ได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดด้วยการเริ่มต้นวันใหม่ สังเกตไหมว่าชาวพุทธ เริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งที่เรามีค่าที่สุดนั่นคือตื่นเช้าขึ้นมาใส่บาตร ทุกคนจะสดชื่นเพราะได้ให้ หลังจากนั้นก็ไปเดินออกกำลังกาย ได้พูดคุยกันอาจดูงัวเงียช่วงต้นแต่พอได้ลุกมาลงมือทำใจมันจะฟู

สมัยที่พระอาจารย์อยู่บ้านนอก บิณฑบาตข้ามภูเขากลับมาได้เหงื่อทำให้คิดได้ว่า การบิณฑบาตเป็นการออกกำลังกายเวลาเช้าอย่างหนึ่ง ได้โปรดสัตว์ได้เห็นสุขทุกข์ของผู้คน ได้รู้ว่าเขากินอะไร วิถีชีวิตของบ้านหลังนี้เป็นอย่างไร บางวันไม่มีกับข้าวใส่บาตร เราก็บอกไม่เป็นไร เป็นสิ่งที่เอื้อต่อกัน พระต้องเมตตาเหมือนกันไม่เช่นนั้นก็ไม่เดิน บิณฑบาตเหมือนการสำรวจโลกว่าคนในชุมชนรอบข้างเรานี้ มีความเป็นอยู่อย่างไร เราพอจะอาศัยเขาได้ไหม บางรูปมีรถเข็นตาม บางรูปมีรถสามล้อตามแต่ถ้ามีรถปิคอัพตามก็มากเกินไป


@@@@

พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าบาตรรับได้ 2 ครั้งเท่านั้น บาตรเต็มๆ ถ่ายบาตรไว้รับใหม่ได้อีก 1 ครั้ง ถ้าเกิน ๒ ถือว่าผิดพระวินัย ถ้ามากไปของก็เสีย ทำให้พูดกันไปกันมาว่าทำไมพระมีลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งถ้าใส่บาตรไปแล้วก็ใส่ไป ไม่ต้องไปตามดูตามรู้ตามเห็น ว่าท่านจะเอาไปทำอะไร เอาใจใสบริสุทธิ์ในช่วงต้นรักษาไว้ให้ดีอย่างนั้นจะดีกว่า มีบางคนยอมรับว่าเป็นมาหลายปีแล้วไม่ค่อยศรัทธา เพราะบางทีใส่บาตรเห็นๆ อยู่จะตอบอย่างไรดี ถามว่าระหว่างพระที่เราสงสัยท่านกับใจที่เราจะรักษาให้บริสุทธิ์ ใครฉลาดกว่าใคร ใครเก่งกว่าใคร ถ้าไม่อยากใส่ก็ไม่ต้องใส่ ไม่ต้องไปวิพากษ์วิจารณ์

ถ้าอยากใส่ก็ต้องรีบใส่และคัดเลือกให้ดี ใส่บาตรที่ไหนก็ได้ การให้ก็ต้องรู้จักพิจารณาว่าเป็นสิ่งท้าทายสติปัญญาของเราด้วย พระที่มาโปรดเรา เราบอกว่าไม่เลื่อมใส ซึ่งท้าทายเราว่าจะทำอย่างไร หาที่ที่น่าเลื่อมใส วิธีที่ควรจะทำบุญมีอีกไหม นอกจากใส่บาตรแล้วมีอย่างอื่นอีกหรือไม่

วิธีพวกนี้ พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ให้พวกเราเข้าใจว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ คำพูดเหล่านี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดไว้ ๒,๕๐๐ ปี ๒,๖๐๐ ปี มาเข้ากันได้กับคนไทย วิถีชีวิตของคนไทยจึงมีลักษณะผสมกลมกลืนเป็นธรรมชาติ เป็นผู้ให้ แต่ก็ฝากเอาไว้สักนิดหนึ่งว่ารักษาใจเราให้สะอาดด้วย


ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/216.html#cxrecs_s
7378  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หลุดจากอำนาจ เมื่อ: มิถุนายน 23, 2018, 05:46:39 am



หลุดจากอำนาจ - พระมหาสมปอง

ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกๆ ท่าน พบกันอีกเหมือนเดิมกับธรรมะง่ายสไตล์ธรรมะเดลิเวอรี่ ส่งถึงที่ซึ้งถึงใจ เมื่อพูดเรื่องธรรมะ เรื่องเข้าวัดบางคนเหมือนดึงหวดเต่า แต่ถ้าชวนกินเหล้ากูกลมมึงแบน แถมกับแกล้มให้ด้วย ก็อย่างว่านะโยม ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่เห็นมาม่าไม่กดน้ำร้อน ตราบใดที่ยังไม่เห็นทุกข์ ตราบนั้นก็ยังไม่เห็นความสำคัญของธรรมะ

โยมทั้งหลาย ความทุกข์มันก็มีทุกคนนั่นแหละ ไม่ว่าโยมว่าพระ มันก็มีทุกข์ทั้งนั้น บางคนบอกว่า พระจะทุกข์อะไร บ้านไม่ต้องเช่าข้าวไม่ต้องซื้อ โยมความทุกข์มันไม่ได้มีแค่อย่างเดียว มันมีหลายอย่างแต่เราก็ค่อยแก้ไปที่ละอย่าง ถ้าทุกอย่างพร้อมกันมันคงวุ่นวายน่าดู

เหมือนโยมคนหนึ่งมาหาอาตมาที่วัดแล้วพูดว่า หลวงพ่อครับ อาตมามองหน้าแล้วพูดว่า หลวงพี่ก็พอมั้งโยม อาตมาก็ถามว่ามีอะไรรึโยม โยมก็ถามว่า หลวงพี่เคยศรัทธาใครไหมครับ? เคยสิโยม ศรัทธาในพระรัตนตรัยศรัทธาพระเถระผู้ใหญ่หลายๆ รูป


@@@@@@

โยมคนนั้นก็พูดว่า ผมก็ศรัทธาในตัวนายกประยุทธ์มากครับ อาตมาก็ถามว่าเพราะอะไรโยม โยมก็บอกว่าเพราะ ก่อนที่ท่านจะเข้ามาบริหารประเทศผมก็ทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ขายข้าว ขายน้ำชา กาแฟ หลังจากที่ท่านเข้ามาบริหารประเทศไม่นาน ชีวิตผมก็เริ่มเปลี่ยนแปลง มาทำธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น เติบโตขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

เริ่มจากขายรถ ขายบ้าน ขายที่ดิน ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้วครับหลวงพี่ ที่จริงแล้วความทุกข์ไม่ได้เกิดจากสิ่งภายนอกเพียงอย่างเดียว มันก็เกิดจากภายในด้วย นั่นใจของเรา ยิ่งเราคิดปรุงแต่ง เอาใจไปยึดติดกับสิ่งนั้นๆ ความทุกข์ก็จะเพิ่มเป็นทวีคูณ แล้วเราก็จะไปโทษ แต่สิ่งภายนอกที่ทำให้เราเป็นทุกข์

เปรียบให้เห็นชัดๆ มันก็เหมือนกับหมาขี้เรื้อนที่มันจะโทษที่ทุกที่มันนอนว่าทำให้มันคัน โดยมันไม่รู้เลยว่า สาเหตุการคันที่แท้ก็อยู่ที่ตัวมันเอง เราก็เช่นกัน เรายึดติด และแบกเอาทุกอย่างไว้จนมากเกินไป จนทำให้เป็นทุกข์เดือดร้อนดิ้นรนเพื่ออำนาจจอมปลอม ที่ถือครองแล้วก็ทุกข์

@@@@@@

เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัด อาตมาขอยกคำสอนของหลวงพ่อชามาเพื่อให้โยมทั้งหลายได้สติ และจะได้รู้ว่าทำไมถึงต้องทุกข์ เป็นบทสนทนา ระหว่างหลวงพ่อชากับโยมคนหนึ่ง ลองดูนะโยมว่าจริงไหม

หลวงพ่อชา ถามโยมว่า "โยมเคยปวดหัวไหม?" โยมตอบ "เคยเจ้าค่ะ "
หลวงพ่อชา ถามต่อไปว่า "โยมเคยปวดฟันไหม?" โยมตอบ "เคยเจ้าค่ะ "
หลวงพ่อชา ถามต่อไปว่า "โยมปวดเจ็บหางไหม" โยม "?? "

แล้วโยมก็ตอบมาว่า "ก็หางมันไม่มีนี่เจ้าค่ะ"
โยม มีในสิ่งใด แล้วยึดมั่นในสิ่งนั้น ก็ย่อมเจ็บ ย่อมทุกข์เอง เมื่อไม่มี ไม่ยึด จะเอาอะไรมาทุกข์(แจ่มใจไหมโยม) ทุกอย่างนะโยม ปล่อยว่าง วางเบา เอาหนัก ยิ่งถ้าใครมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่ตัว ถ้ายึดติดยิ่งทุกข์มากกว่าคนธรรมดา


@@@@@

โยมทุกท่านอาตมาขอฝากเตือนผู้หลงอำนาจ คนเราเมื่อหลงอำนาจแล้ว ยากที่จะหาทางออกได้ แต่มีผู้รู้กล่าวไว้ว่า ทางที่จะออกจากอำนาจนั้น มีทั้งสิ้น 4 ทาง คือ
        1. เส้นทางอำนาจ – มุกดาหาร
        2. เส้นทางอำนาจ – เขมราฐ
        3. เส้นทางอำนาจ – ยโสฯ
        4. เส้นทางอำนาจ – อุบลฯ
ส่วนผู้ที่ไม่อยากออกจากอำนาจ ก็ให้อยู่ต่อไป จะทำให้ชีวิตดีมีความสุข เพราะอำนาจเจริญ เจริญพร


ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
https://today.line.me/th/pc/article/หลุดจากอำนาจ+พระมหาสมปอง-O1rLPm
7379  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คนทั่วไปจะมีโอกาส "บรรลุถึงนิพพาน" ได้หรือไม่.? เมื่อ: มิถุนายน 22, 2018, 07:01:23 am




คนทั่วไปจะมีโอกาส "บรรลุถึงนิพพาน" ได้หรือไม่.?

ถาม : การบรรลุถึงนิพพานต้องอาศัยการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เช่นนี้แล้วคนทั่วไปจะมีโอกาสบรรลุถึงนิพพานได้หรือไม่ หากมีโอกาสควรปฏิบัติอย่างไร

ตอบ : พระพุทธเจ้ามีพระดำรัสไว้ก่อนจะปรินิพพานว่า หากยังมีผู้ที่เดินตามหลักธรรมอริยมรรคมีองค์ 8 อยู่ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่เดินตามเส้นทางอริยมรรคมีองค์ 8 ก็มีโอกาสบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ ทั้งนี้เส้นทางของอริยมรรคมีองค์ 8 นั้นคือ การเจริญสติปัฏฐาน 4 ให้สมบูรณ์ มีสติตามดูกาย เวทนา จิต ธรรม หากทำได้ก็มีโอกาสบรรลุมรรคผลนิพพาน

 
ธรรมะจากพระอาจารย์มานพ อุปสโม : พระอาจารย์ผู้ไขปัญหา
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/30247.html
7380  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นี่แหละผู้หญิง..เปลี่ยนไม่ได้ แต่เข้าใจได้ เมื่อ: มิถุนายน 22, 2018, 06:37:27 am



นี่แหละผู้หญิง..เปลี่ยนไม่ได้ แต่เข้าใจได้

ว่ากันว่า “จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง” แต่ถ้าคน ๆ นั้นเป็นผู้หญิงต้องบอกว่ายิ่งกว่าความยากแท้ และหยั่งยังไงก็ไม่ถึง เพราะจิตใจคุณเธอช่างแปรปรวนไปตามอารมณ์ยิ่งนัก  ผู้หญิง ผู้มีโครโมโซม XX มีระดับฮอร์โมนและมีอารมณ์ที่สูงปรี๊ด ทำให้ผู้หญิงกลายเป็นคนที่เข้าใจยากที่สุดโลก และทั้ง ๆ ที่เข้าใจยากแต่ก็ยังชอบพยายามจะเรียกร้องให้อีกฝ่ายเข้าใจตลอดเวลา มาดูกันดีกว่าว่านิสัยแบบไหนของคุณผู้หญิงบ้างที่น่าเอือมระอาเป็นที่สุด

@@@@@@

1. เอาแต่ใจ
นิสัยนี้ของคุณผู้หญิงเป็นนิสัยที่ฝ่ายชายหลายคนถึงขั้นเอือมระอา คนอะไรจะเอาแต่ใจได้ขนาดนั้น ทุกอย่างจะเป็นอย่างที่คุณเธอต้องการเสียหมดคงเป็นไปไม่ได้ เหตุผลส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอีกฝ่ายด้วยเหมือนกัน ถ้าตามใจมาก ๆ จนคุณเธอเหลิง อยู่ดี ๆ จะมาไม่ยอมตามใจคงเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นอาจต้องดูด้วยว่าที่คุณผู้หญิงเอาแต่ใจอยู่ทุกวัน ต้นเหตุที่แท้จริงคืออะไรกันแน่

2. ปากไม่ตรงกับใจ
ผู้หญิงร้อยทั้งร้อย ปากไม่ตรงใจ ถ้าบอกว่า “ไม่” ก็คือ “ใช่” ถ้าบอกว่า “อะไรก็ได้” ก็คือ “อะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น” ซึ่งความปากไม่ตรงใจนี้เป็นเรื่องปกติของคุณผู้หญิง ที่แม้ฝ่ายตรงข้ามจะรู้ดี แต่ก็มักทำอะไรไม่ถูก เผลอคิดไปทำตามที่คุณผู้หญิงบอก นั่นแหละความผิดมหันต์ และหายนะกำลังมาเยียนเข้าแล้ว

3. จู้จี้ บ่นได้ทุกเรื่อง
ความจู้จี้เป็นนิสัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของผู้หญิงทุกคน  ดังนั้นการจะให้คนที่มีนิสัยจู้จี้แต่กำเนิด ลดระดับความจุกจิกลงนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  ถ้าเบื่อ หงุดหงิด หรือเซ็งที่จะฟังก็ให้ข้าม ๆ ไปบ้าง และไม่ต้องพยายามบอกหรือเปลี่ยนเธอให้มากนัก เพราะสาว ๆ เค้าก็รู้ดีว่ายิ่งจู้จี้มากเท่าไหร่ก็มีแนวโน้มที่ตัวเค้เองจะกลายเป็นคนน่ารำคาญมากขึ้นเท่านั้น

4. อารมณ์แปรปรวน
ถ้าพูดถึงอารมณ์คุณผู้หญิง หลายคนคงรู้ถึงฤทธิ์เดชกันดีว่ามีผลกระทบขนาดไหน  ทั้งความแปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ และอีกสารภาพความไม่เสถียรที่เกิดขึ้นในจิตใจของคุณผู้หญิง  ดังนั้นถ้าคุณจะรับมือกับอารมณ์ของผู้หญิง คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย แค่นิ่งและวางเฉยไว้ ปล่อยให้คุณเธอได้ระบายที่กักเก็บไว้อย่างเต็มที่  จากนั้นเมื่อเข้าสู่โหมดปกติค่อยมาคุย มาเคลียร์ใจกัน  น่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่า


@@@@@@

5. ตัดสินใจไม่ได้
ข้อนี้เป็นเรื่องธรรมชาติของคุณผู้หญิงแทบทุกคน  เมื่อใดก็ตามที่เธอเจอของบางอย่างที่ถูกใจ ต่อมการตัดสินใจของเธอจะทำงานผิดพลาดทันที เพราะฉะนั้นไม่ต้องพยายามหาเหตุผลอะไรทั้งนั้น  แค่ช่วยเธอตัดสินใจหรือออกความคิดเห็นนิด ๆ หน่อย ๆ ก็พอ

6. ไม่จบง่าย ๆ
ถ้าไม่อยากเดือดร้อนอย่าเริ่ม! โดยเฉพาะอย่าเริ่มเรื่องกับคุณผู้หญิงเด็ดขาด เพราะเมื่อเริ่มแล้ว คุณเธอไม่มีวันจบง่าย ๆ จนกว่าจะได้รู้ ได้เห็นเบื้องลึกเบื้องหลังที่แท้จริง  เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะมีอะไรไม่โปร่งใสหรือหมกเม็ดก็เลิกคิดซะ สุดท้ายเธอก็จับได้และไม่จบง่าย ๆ แน่นอน

7. คิดเอง เออเอง
ถ้าเคยได้ยินว่า “ผู้หญิงเซ้นส์แรง” คุณเข้าใจไม่ผิดหรอก เพราะผู้หญิงเป็นเพศที่สัญชาตญาณแรงกล้าจริง ๆ แต่จะถูกหรือผิดเป็นเรื่องที่สุดแล้วแต่จะเดาทางได้ บางทีคิดเอง เออเองก็มี บางทีจับอันโน้นมาชนอันนี้ก็มี หรือจะเป็นสัญชาตญาณล้วน ๆ ก็มีอีกเช่นกัน แต่เธอจะใช้เซ้นส์ ใช้สัญชาตญาณหรือเดาเอา อันนี้ขึ้นอยู่กับการกระทำของอีกฝ่ายว่าหนักหนาแค่ไหน

@@@@@@

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่ได้หมายความว่า คุณต้องทำความเข้าใจกับนิสัยและอารมณ์ของคุณผู้หญิง อย่างที่ “พี่อ้อย-พี่ฉอด” เคยบอกว่า..
    “ไม่ต้องพยายามเข้าใจผู้หญิง แค่รักให้มาก ๆ ก็พอ” เพราะถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณบอกว่าเข้าใจผู้หญิง ก็หมายความว่าจริง ๆ แล้วคุณไม่เข้าใจอะไรเลย ในขณะที่ผู้ชายไม่จำเป็นต้องไปทำความเข้าใจอะไรเลย เพราะเค้าก็เป็นของเค้าอย่างนั้นนั่นแหละ นี่แหละความต่างของ “ชาย” กับ “หญิง” ที่ต้องทำให้พอดี ถึงจะไปกันได้"



ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
https://today.line.me/th/pc/article/นี่แหละผู้หญิง+เปลี่ยนไม่ได้+แต่เข้าใจได้-1ZVzr3
7381  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เลิกบ้า แล้วชีวิตจะดี เมื่อ: มิถุนายน 22, 2018, 05:53:02 am




เลิกบ้า แล้วชีวิตจะดี

ต้องมีสักครั้งที่คุณรู้สึกหงุดหงิดกับการใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่เข้าใจว่ามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร อะไร ๆก็ไม่ถูกใจ ขัดหูขัดตาไปหมด ใครที่กำลังเจอปัญหาแบบนี้ อย่าเพิ่งไปโทษคนอื่นหรือโทษฟ้า โทษดินเพราะบางทีความหงุดหงิดที่เกิดขึ้น อาจมีที่มาจากตัวคุณเองก็ได้ อย่างนิสัยส่วนตัว ความคิด โดยเฉพาะความบ้าเหล่านี้ที่ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเลย

@@@@@@

บ้าบอ ไร้สาระ
แทบทุกคนต้องเคยมีช่วงเวลาของความบ้าบอ ไร้สาระกันสักครั้งในชีวิต ยิ่งเป็นความบ้าบอที่ไม่มีผลดีอะไรเลย ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว เพราะถ้ามากกว่านั้นอาจหมายถึงความฉิบหายอย่างร้ายกาจที่คุณจัดสรรให้กับตัวเองก็เป็นได้ โดยเฉพาะความบ้าบอ ไร้สาระที่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองและคนอื่น ซึ่งนอกจากจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ยังบั่นทอนความสุขในชีวิตไปแบบไม่รู้ตัวด้วย

บ้าเงิน
คงไม่มีใครในโลกนี้ที่ปฏิเสธ “เงิน” แต่เงินไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง หลายคนตกอยู่ในอำนาจเงินหน้ามืดตามัวปล่อยให้ความโลภและกิเลสเข้าครอบงำ เห็นคนอื่นมี ก็อยากมี อยากได้ อยากเป็น จนกลายเป็นคนบ้าที่ทำทุกอย่างเพื่อเงิน

แม้เงินจะบันดาลได้ทุกสิ่ง แต่จะปล่อยให้เงินมีอำนาจเหนือเราไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องตระหนักรับรู้ไว้เสมอก็คือ อย่าปล่อยให้ตัวเองเข้าสู่วังวนของความโลภ อย่าให้เงินเป็นเป้าหมายหลักของชีวิต อย่ายึดติดกับความมั่งคั่งจนสูญเสียความสุขในการใช้ชีวิตไปจนหมด

@@@@@@

บ้างาน
ความขยัน ตั้งใจทำงานเป็นเรื่องดี คุณอาจจะก้าวหน้าในงานอย่างรวดเร็ว แต่นอกจากเรื่องงานแล้ว อีกด้านของชีวิตคุณจะไม่มีอะไรดีเลย เพื่อนไม่คบ ครอบครัวไม่รัก สุขภาพไม่ดี ซึ่งหายนะทั้งหมดนี้จะบั่นทอนชีวิตการทำงานของคุณในภายหลังอย่างแน่นอน

อย่าลืมว่าชีวิตคนเราไม่ได้มีแต่งานอย่างเดียว คนเรามีองค์ประกอบมากมายในชีวิต ต้องเกี่ยวข้อง
ชื่อมโยงกับผู้คนมากมาย จะมัวบ้างานจนละเลยอย่างอื่นไม่ได้เป็นอันขาด เพราะทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตเรามีคุณค่าและมีอะไรให้น่าจดจำอีกมากมาย

บ้าใบ้
คำว่า “บ้าใบ้” ในที่นี้ไม่ใช่การไม่พูด แต่คือการทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่หือไม่อือ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับใครหรืออะไรใด ๆ ทั้งนั้น ทำตัวแบบฉันก็เป็นของฉันอย่างนี้ อย่ามาเปลี่ยนฉันเด็ดขาด ซึ่งคนที่ทำตัวบ้าใบ้แบบนี้ ส่วนใหญ่มักเป็นคนขวางโลก เชื่อในความคิดของตัวเองจนไม่สนใจความเป็นจริงหรือความเห็นของคนอื่น เป็นเหตุให้พลาดอะไรดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิตไปโดยปริยาย

อย่าลืมว่าเมื่อไรก็ตามที่เริ่มเข้าข้างตัวเองจนไม่สนใจสิ่งใดรอบตัว เมื่อนั้นถือว่าเราทำผิดมหันต์ ผิดที่พลาดโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ผิดที่พลาดโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองไป แล้วแบบนี้ชีวิตจะดีขึ้นได้อย่างไร


ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
https://today.line.me/th/pc/article/เลิกบ้า+แล้วชีวิตจะดี-gZV3x8
Reporter : Pimpayod  ,เผยแพร่ 19/06/2561 18:34
7382  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: "ถีนมิทธะ" เกิดจากการบริโภคอาหาร แก้อย่างไร.? เมื่อ: มิถุนายน 21, 2018, 09:57:14 am



     บุคคลผู้รู้จักประมาณในโภชนะ เป็นไฉน

    ความเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ ในข้อนั้นเป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้วบริโภคอาหาร ไม่บริโภคเพื่อจะเล่น ไม่บริโภคเพื่อมัวเมา ไม่บริโภคเพื่อประดับ ไม่บริโภคเพื่อตกแต่งประเทืองผิว

    บริโภคเพียงเพื่อความตั้งอยู่แห่งกายนี้ เพื่อให้กายเป็นไป เพื่อจะกำจัดความเบียดเบียนลำบาก คือ ความหิวอาหารเสีย เพื่อจะอนุเคราะห์พรหมจรรย์
    ด้วยคิดว่า ด้วยการเสพเฉพาะอาหารนี้ เราจักกำจัดเวทนาเก่าเสีย ไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้นด้วย ความที่กายจักเป็นไปได้นานจักมีแก่เรา ความเป็นผู้ไม่มีโทษความอยู่สบายด้วย จักมีแก่เรา

    ความเป็นผู้สันโดษ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะนั้น ความพิจารณาในโภชนะนั้นอันใด นี้เรียกว่า ความเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ
    บุคคลผู้ประกอบแล้วด้วยความเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ นี้ชื่อว่า เป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ




ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๖ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๓ ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์
www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=36.2&item=74&items=1&preline=0&pagebreak=0
7383  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / น้ำทิพย์ในเศียรหลวงพ่อทองสุข รักษาโรคได้สุดอภินิหาร เมื่อ: มิถุนายน 21, 2018, 06:49:10 am


น้ำทิพย์ในเศียรหลวงพ่อทองสุข รักษาโรคได้สุดอภินิหาร

สัปดาห์นี้พาไปรู้จัก “น้ำทิพย์มนต์” ในเศียรของหลวงพ่อทองสุข วัดตูม จ.อยุธยา ที่สร้างความมหัศจรรย์ให้ชาวบ้านอย่างไม่น่าเชื่อ มีอะไรบ้างไปติดตามกัน อังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 เวลา 10.00 น.

“น้ำ” นอกจากจากเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ของการดำรงไว้ซึ่งชีวิตแล้วยังมีบทบาทสำคัญในการเกษตร เป็นเครื่องหมายแห่งการชำระล้าง การรักษา และเป็นความอุดมสมบูรณ์

“น้ำ” ยังมีความสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามคติความเชื่อของพราหมณ์และฮินดู ที่แสดงถึงการมีอำนาจอย่างสมบูรณ์แบบในทางไสยเวท น้ำยังช่วยรักษาอาการเจ็บปวดหายได้ปลิดทิ้งราวปาฏิหาริย์



“วัดตูม” ตั้งอยู่ที่ริมถนนสายประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดินทางมาจากตัวเมืองอยุธยา ขับรถผ่านถนนหน้าโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา สังเกตฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลจะมีร้านขายโรตีสายไหมตั้งอยู่หลายร้าน

ขับตรงมาเรื่อยจนเจอทางแยกใหญ่ให้เลี้ยวซ้ายไปทางบางปะหัน จากนั้นขับตรงไปไม่ไกล วัดจะอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้าม ทั้งนี้ทั้งนั้นหมั่นสังเกตป้ายบอกทางด้วยก็ดี วัดนี้มีอายุน่าจะไม่ต่ำกว่าพันปี ครั้งอดีตเป็นวัดสำหรับลงเครื่องพิชัยสงคราม

ความน่าสนใจของ “วัดตูม” อยู่ที่เรื่องเล่าถึง “หลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์” พระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ์ สภาพสมบูรณ์ ที่ภายในพระเศียรมีลักษณะเป็นบ่อกว้างลึกจนถึงพระศอ มีน้ำไหลซึมออกมาตลอดเวลา เป็นน้ำใสเย็นที่ไม่เคยแห้ง ทั้งยังนำมาดื่มได้



ปรากฏเป็นที่อัศจรรย์เช่นนี้มาเนิ่นนาน “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ยังทรงนำน้ำในพระเศียรหลวงพ่อทองสุขมาใช้ร่วมกับน้ำในบ่อพระพุทธมนต์ วัดพระพายหลวง บ่อพระร่วง เมืองเก่า สุโขทัย ในพิธีชุบพระแสงและเครื่องศาสตราวุธเพื่อออกรบ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จพระราชดำเนินเมื่อ พ.ศ.2451 เพื่อทรงประกอบพระราชพิธีชุบพระแสงขรรค์ราชศัตรา

ประชาชนทั่วไปที่อยู่ในอยุธยา และที่อื่นๆ ให้ความนับถือและ เชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของ “น้ำทิพย์มนต์ในเศียรของหลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์” ว่ามีอำนาจอภินิหารในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ รวมถึงเชื่อว่าเมื่อได้ดื่มหรืออาบน้ำทิพย์มนต์นี้จะช่วยบรรเทาทุกข์ร้อนได้ด้วยเช่นกัน

“พระเศียรของหลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์” องค์นี้พระเกศมาลาถอดได้ เมื่อเปิดออกและปิดไว้ตามเดิมจะแนบสนิทเป็นชิ้นส่วนเดียวกัน เคยมีคนสงสัยถึงที่มาของน้ำในพระเศียรของหลวงพ่อทองสุขว่า...จะมีการต่อท่อขึ้นมาหรือ นำน้ำมาใส่ไว้หรือเปล่า??



แต่เมื่อมีการขยับย้ายไปประดิษฐานที่อื่น ทั้งยังตักน้ำในพระเศียรจนหมด ตลอดจนนำสำลีมาเช็ดจนแห้งและเฝ้าดูปรากฎว่าไม่นานก็จะปรากฏน้ำกลับมีขึ้นมาในพระเศียรตามเดิม เมื่อเป็นอย่างนี้ก็สันนิษฐานกันต่อไปอีกว่า...พระเศียรของหลวงพ่อทองสุขน่าจะทำขึ้นมาจากโลหะอาถรรพ์หลายชนิด??

หนึ่งในนั้นก็คือ “เหล็กไหลเปียก” ที่เป็นธาตุกายสิทธิ์ มีคุณสมบัติพิเศษในการดูดความชื้นในอากาศให้รวมตัวกันจนเป็นหยดน้ำ แต่กระนั้นก็ตามเรื่องเล่าของ “นายคง” ชายสติไม่ดีที่บังเอิญได้ดื่มน้ำจากภายในพระเศียรหลวงพ่อทองสุข พลันก็หายวิกลจริต ก็ทำให้ผู้คนต่างพากันเชื่อมั่นว่า “น้ำในพระเศียรหลวงพ่อทองสุข” รักษาโรคต่างๆ ได้ และหลวงพ่อทองสุขจะไม่ไปประดิษฐานที่ไหนนอกจาก “วัดตูม”

@@@@@@

ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ท่าน มีกระแสรับสั่งเคลื่อนองค์ “หลวงพ่อทองสุข” ไปไว้ในพระนคร แต่ไม่สามารถเคลื่อนไปได้ ในที่สุดต้องอัญเชิญกลับไปประดิษฐานที่ในอุโบสถวัดตูมเช่นเดิม ภายหลังจากนั้นยังมีข้าราชการผู้ใหญ่ได้อัญเชิญ “หลวงพ่อทองสุข” ไปไว้ที่เกาะเมือง ตัวจังหวัดอยุธยา ไม่นานผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างพากันล้มป่วยและฝันตรงกันว่า...

“หลวงพ่อทองสุขให้อัญเชิญท่านกลับไปไว้ที่วัดตูมตามเดิม”

ปัจจุบันทาง “วัดตูม” ได้จัดสร้างหอเพื่อประดิษฐาน “หลวงพ่อทองสุข” ต่างหากเพื่อให้นักท่องเที่ยวและประชาชนมาปิดทองและกราบไหว้ได้สะดวก “น้ำทิพย์มนต์” ที่วัดตูมยังเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญ 74 แห่ง ที่น้ำศักดิ์สิทธิ์ยังคงมีอยู่ เป็นความชุ่มเย็นคลายทุกข์ให้กับผู้คน ในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้.


…........................................
คอลัมน์ : ชำเลืองเมือง โดย “แรมทาง”
ขอบคุณภาพจาก : ฅ.ฅน เล่าเรื่องมีเรื่องมาเล่า , คนอ่านไพ่ com
ที่มา : https://www.dailynews.co.th/article/649938
7384  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เหตุผลที่นักปฏิบัติธรรมยังคงพ่ายแพ้กิเลส เมื่อ: มิถุนายน 21, 2018, 05:45:46 am



เหตุผลที่ นักปฏิบัติธรรม ยังคงพ่ายแพ้กิเลส

บทความจาก พระไพศาล วิสาโล

เคยสงสัยไหมคะว่า เพราะอะไร นักปฏิบัติธรรม บางคน เมื่อกลับมาสู่สิ่งแวดล้อมเดิม ๆ จึงมีนิสัยไม่น่ารักดังเดิมหรือยังพ่ายแพ้กิเลสเช่นเคย พระไพศาล วิสาโล กล่าวไว้ในบทความ ” ความดีที่ผันแปร ” ว่า

กุมภ์เมลาเป็นพิธีสำคัญและยิ่งใหญ่มากสำหรับชาวฮินดูในอินเดียครั้งล่าสุดจัดที่เมืองอัลลาฮาบาด มีผู้คนมาร่วมงานถึง 70 ล้านคนไม่มีการชุมนุมทางศาสนาใดในโลกที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว!

ตลอดช่วง 56 วันของพิธีดังกล่าวผู้คนหลายสิบล้านได้มาก่อกระโจมริมแม่น้ำคงคาเพื่อทำพิธีอาบน้ำชำระบาป ลองนึกภาพว่าผู้คนจำนวนหลายเท่าตัวของประชากรลาวทั้งประเทศ มากระจุกรวมกันอยู่ในพื้นที่เล็กขนาดแค่อำเภอเดียว ความแน่นขนัดจะมากมายเพียงใด ความโกลาหลวุ่นวายน่าจะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ


@@@@@@

แต่แล้วก่อนที่พิธีนี้จะยุติ ได้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นที่สถานีรถไฟแห่งหนึ่งในเมืองนั้น  10 กุมภาพันธ์ 2556 ผู้คนมหาศาลพากันเบียดเสียดยัดเยียดจนเหยียบกันตายถึง 36 คน บาดเจ็บอีกมากมาย คนเหล่านี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เพิ่งเสร็จจากการจาริกแสวงบุญทั้งสิ้น

น่าคิดก็ตรงที่ว่า ช่วงที่อยู่ในพิธีกุมภ์เมลานั้น ผู้คนล้วนอยู่กันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน หญิงผู้หนึ่งพูดถึงบรรยากาศในพิธีดังกล่าวว่า “ผู้คนจะห่วงใยคุณ ปฏิบัติต่อคุณอย่างสุภาพ  เช่น พูดว่า คุณแม่มานี่เลย เชิญตามสบายเลย” แต่พอถามถึงเหตุการณ์ที่สถานีรถไฟ หญิงคนเดียวกันนี้พูดว่า “ผู้คนคิดว่าพวกเขาแข็งแรงกว่าคุณ นึกอยากจะผลักคุณไปไหนก็ได้”

คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่า ผู้คนที่ผลักใครต่อใครเพื่อแย่งขึ้นรถไฟ ที่จริงก็เป็นคนกลุ่มเดียวกับที่เอื้ออาทรนักจาริกแสวงบุญด้วยกัน แต่อะไรทำให้เขาเหล่านั้นมีพฤติกรรมตรงข้ามกันราวกับคนละคน

@@@@@@

ใช่หรือไม่ว่า ความสุภาพและเอื้อเฟื้อเกื้อกูลเกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อเรามีสำนึกว่าตนเองเป็นนักจาริกแสวงบุญหรือผู้ใฝ่ธรรม ในภาวะเช่นนั้นเราจะมีหิริโอตตัปปะและความอดทนอดกลั้นได้มากกว่า จะว่าไปแล้วสิ่งแวดล้อมไม่ว่าผู้คน พิธีกรรม และบรรยากาศล้วนมีส่วนช่วยสร้างสำนึกดังกล่าวให้เกิดขึ้นแก่ผู้คนหลายสิบล้านที่นั่น เพราะตลอด 24 ชั่วโมงมีเสียงดนตรีและการแสดงธรรมดังก้องทุกหนแห่ง อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กับสำนึกดังกล่าวก็คือ ความรู้สึกว่า ตนเป็นส่วนหนึ่งของมหาชนที่นั่น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน

แต่พอออกจากพิธีดังกล่าวเพื่อเดินทางกลับบ้าน ทันทีที่ถึงสถานีรถไฟ สำนึกว่า ฉันเป็นนักจาริกแสวงบุญก็เลือนหายไป มีสำนึกใหม่มาแทนที่คือ ความเป็นผู้โดยสารที่ไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับใคร แต่ละคนมีแต่ความปรารถนาที่จะเดินทางกลับบ้านให้เร็วที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงคิดถึงแต่ตัวเองเห็นผู้อื่นเป็นคู่แข่งที่ต้องเอาชนะเพื่อขึ้นรถไฟก่อนใคร ๆ ผลก็คือ แย่งชิงผลักไสกัน จนเหยียบกันตายอย่างน่าเศร้าสลด

@@@@@@

พฤติกรรมของคนเรานั้นจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสำนึกว่าเราเป็นใคร แต่สำนึกว่าเราเป็นใครนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวเราอย่างเดียว หากยังขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมทั้งบุคคลและวัตถุด้วย ตอนอยู่วัดหรือเข้าคอร์สกรรมฐาน เราอาจมีสำนึกว่าตนเป็นนักปฏิบัติธรรม แต่พอกลับบ้านหรือกลับมาทำงาน สำนึกอย่างอื่นมักจะมาแทนที่ เช่น ความเป็นนักธุรกิจ ความเป็นพ่อแม่ หรือความเป็นลูก ซึ่งอาจทำให้เรามีพฤติกรรมแตกต่างไปจากตอนอยู่วัด ที่เคยอดกลั้นต่ออารมณ์ก็กลับมาหงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย ที่เคยชนะใจตนเองได้ก็กลับมาพ่ายแพ้ต่อกิเลส ที่เคยมีน้ำใจไมตรีก็กลับคิดถึงแต่ผลประโยชน์

จะว่าคนเรามีหลายตัวตนก็ได้ ตัวตนใดจะโดดเด่นครองใจเราได้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมมิใช่น้อย บ่อยครั้งมันถูกปลุกเร้าได้ง่ายมากโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว เคยมีการทดลองแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่มให้มีภารกิจเหมือนกันคือ เรียบเรียงคำต่าง ๆที่สลับกันให้เป็นประโยคขึ้นมา กลุ่มแรกได้ประโยคที่มีความหมายกลาง ๆ (เช่น“ข้างนอกอากาศหนาว”) ส่วนกลุ่มที่สองได้ประโยคที่เกี่ยวกับเงิน (เช่น “ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น”) จากนั้นให้ทั้งสองกลุ่มทำภารกิจ

@@@@@@

อย่างที่สอง คือ ไขปริศนาที่ค่อนข้างยากสิ่งที่น่าสนใจก็คือ คนที่เรียงประโยคเกี่ยวกับเงิน มีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือคนอื่นน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้ดำเนินการทดลองในการกรอกข้อมูลหรือการช่วยเหลือ “คนแปลกหน้า” (ที่จริงเป็นผู้ดำเนินการทดลองที่ปลอมตัวเข้ามา)ที่ทำกล่องดินสอหล่น “โดยบังเอิญ”ในขณะที่กลุ่มแรกนั้นมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือคนอื่นมากกว่า

การทดลองนี้ชี้ให้เห็นว่า เพียงแค่ถูกกระตุ้นให้คิดถึงเรื่องเงิน คนเราก็มีแนวโน้มจะเห็นแก่ตัวมากขึ้น ช่วยเหลือเกื้อกูลน้อยลง แต่หากถูกกระตุ้นให้คิดหรือรู้สึกในทางอื่น เช่น เห็นคนที่ทุกข์ยากหรือเด็กที่กำลังยิ้ม ความเห็นใจหรือเอื้อเฟื้อก็อาจมาแทนที่ได้ มีการทดลองพบว่ากระเป๋าสตางค์ที่มีรูปทารกแย้มยิ้มนั้น หากทำตกหล่นในที่สาธารณะ เจ้าของมีโอกาสได้คืนมากที่สุด (คือมีโอกาสได้คืนถึงร้อยละ 88 ส่วนกระเป๋าที่ไม่ใส่รูปอะไรเลย มีโอกาสได้คืนแค่ร้อยละ 15) พูดง่าย ๆก็คือ คนเรามีทั้งต่อมคุณธรรมและต่อมเห็นแก่ตัว เราจะมีพฤติกรรมอย่างใดขึ้นอยู่กับว่าต่อมใดถูกกระตุ้นเร้ามากกว่า


@@@@@@

ทั้งหมดนี้ช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมนักปฏิบัติธรรมบางคนเมื่อกลับมาสู่สิ่งแวดล้อมเดิม ๆ จึงมีนิสัยไม่น่ารักดังเดิมหรือยังพ่ายแพ้กิเลสเช่นเคย อย่างไรก็ตาม หากเรารู้เท่าทันอิทธิพลของสิ่งเร้าภายนอก รวมทั้งรู้เท่าทันสำนึกในตัวตนที่เปลี่ยนแปลงไป ก็สามารถรักษาใจไม่ให้ความเห็นแก่ตัวครอบงำและหันกลับมาทำสิ่งที่ดีงามได้


ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/4405.html#cxrecs_s
7385  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปฏิบัติธรรมอย่างไร ให้หายป่วยกาย เมื่อ: มิถุนายน 21, 2018, 05:38:43 am



ปฏิบัติธรรมอย่างไร.? ให้หายป่วยกาย

นี่เป็นหนึ่งในสองเรื่องที่มีคนถามบ.ก.มา เพราะเห็นว่ากระบวนการต่อสู้กับมะเร็ง มีเรื่องการนำวิธีการปฏิบัติธรรมมาใช้ด้วย เลยจะเล่าถึงวิถีการศึกษาและปฏิบัติธรรมแบบลุ่มๆ ดอนๆ…อึมมม…เรียกแบบนี้อาจไม่ถูกนัก เอาเป็นว่า เราพยายามหาหนทางปฏิบัติธรรมแบบของตนเองดีกว่า

เริ่มจากตอนอายุ 25 ปี มีโอกาสปฏิบัติธรรมครั้งแรก ที่วัดพระธาตุศรีจอมทอง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โดยการแนะนำของอาจารย์ที่สอนวรรณคดีอังกฤษ แม้จะยังไม่โตมากนัก และใช้เวลาปฏิบัติแค่ 4-5 วัน เราพบว่า การปฏิบัติธรรมช่วยล้างประสบการณ์ลบๆ ที่ติดอยู่ในจิตสำนึกออกได้หมด ระหว่างการลาขันธ์ออกจากการปฏิบัติครั้งนั้น อาจารย์แนะนำให้อธิษฐานสิ่งที่เป็นธรรมะ ท่านว่าจะเป็นจริง เราก็เอาเลย อธิษฐานตามความรู้สึกแรงกล้าที่ลุกโชนขณะนั้นเลย…ฉันไม่อยากเกิดอีกแล้ว กรรมใดที่ทำมาแต่ชาติปางไหน ให้กลับมาสนองฉันในชาตินี้ให้หมด แล้วดูสิว่า ฉันจะพ่ายแพ้ต่อกรรม??…บอกอาจารย์ให้รู้ถึงสิ่งที่ตัวเองอธิษฐานไป อาจารย์ตกใจ กลัวว่า กรรมใดสักกรรมจะทำให้เราตายเร็ว

ก็นะ มันเป็นความตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ ชีวิตเลยต้องพบการพลัดพราก สูญเสีย และเปลี่ยนแปลงครั้งรุนแรงหลายๆครั้ง รวมถึงการเป็นมะเร็งต่อน้ำเหลืองนี่ด้วย…ถ้าเชื่อว่าชีวิตถูกกำหนดมาด้วยกรรมนะ อิอิ


@@@@@@

สำหรับเรา หลังจากวันนั้น พุทธธรรมและการปฏิบัติเพื่อพัฒนาจิตใจตนเอง เหมือนแสงตะวันที่อยู่เหนือน้ำในสระบัวรำไรๆ เราจึงไม่เลิกปฏิบัติ บางช่วงติดวัดพระธาตุศรีจอมทองมาก พอจิตตกก็ต้องรีบหาเวลาไปนุ่งขาวห่มขาว แล้วก็เกิดความรู้สึกว่าไม่ใช่ การเข้าถึงธรรมะที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เราต้องละวางได้มากขึ้นเรื่อยๆ การยึดติดใดก็ต้องลดมันลงให้ได้

จึงพยายามไม่ไปวัดนั้น แต่ก็ยังปฏิบัติสายสติปัฏฐาน 4 ที่กรุงเทพ บางช่วงก็ไปปฏิบัติมันทุกเสาร์อาทิตย์ เดินวนเวียนอยู่แถววัดนั่นแหละ เช้าไปนั่งสมาธิร่วมกับผู้ปฏิบัติ บ่ายเดินจงกรมและฟังเทศน์ เย็นปฏิบัติอีกรอบหนึ่ง แล้วจึงกลับบ้านนอน บางช่วงก็ฟังเทปธรรมะ ตั้งแต่ลืมตาตื่น จนถึงที่ทำงาน กลับบ้านไปก็อ่านแต่หนังสือธรรมะ โดยเฉพาะของท่านพุทธทาส และท่านปยุตโต

ช่วงหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น วูบมา ให้รู้สึก จนเกิดเป็นห่วงและกังวล หรือรู้สึกถึงอดีตชาติของบางคน รวมไปถึงรู้สึกได้ว่า เราเคยทำอะไรกับคนนี้ในชาติเก่าก่อน แล้วเขากำลังมาขอให้เราชดใช้…ช่วงเวลาแบบนี้ น้องทีมงานกอง บ.ก.บางคน จะชอบให้เราพูดอะไรสักอย่างออกมา เพราะนั่นจะเป็นเครื่องชี้อนาคตบางอย่างของนาง หรือสิ่งที่นางมีส่วนร่วม 555555 อันนี้ฮาจริง

@@@@@@

สุดท้าย เรากลัวตัวเราเอง กลัวจะไปใหญ่ไปโต ประกอบอาชีพหมอดูไม่ใช่ทางของเรา จึงเพลาการปฏิธรรมอย่างเข้มข้นลง ประกอบกับมาป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ที่ต้องกินอาหารชีวจิตเข้มข้น เลยเป็นจังหวะที่ทำให้ปรับการปฏิบัติธรรมสู่ชีวิตประจำวัน โดยอยู่กับลมหายใจ และฝีเท้าตลอดเวลาที่นึกได้ รู้สึกเหนื่อย…ก็ปล่อยไป รู้สึกทรมาน…ก็ปล่อยไป รู้สึกหงุดหงิด…ก็ปล่อย กลัว…ก็ปล่อย

และพลังสติอย่างละเอียดนี่เอง (เข้าใจเอาเอง) จึงทำให้แยกเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวพันรันตูยุ่งเหยิงออกจากกันได้ และแก้ไขไปทีละเรื่อง เพื่อรักษาประโยชน์ของครอบครัว ทุกคนรอบตัว งานการ และผู้อ่านเอาไว้ได้

อย่างไรก็ดี การเหนียวแน่นกับพระพุทธเจ้า หนทางธรรมะและการปฏิบัติ ล้วนแต่เกิดจากการเตรียมตัวพร้อมสำหรับรับกรรม ที่ไม่รู้มาจากแต่ชาติปางไหนต่อปางไหน และต้องมารุมสนองเราในชาตินี้ จะกรรมเล็ก ใหญ่ ร้าย หรือดี…ก็ต้องพร้อมนะคะ


@@@@@@

สุดท้าย เราคิดว่า เรื่องการปฏิบัติธรรมนั้น มีแต่ข้อดี ทำให้เราเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง และทุกข์น้อยลง นอกจากนี้ การอยู่กับลมหายใจเสมอ ก็ช่วยให้สมองอยู่ในคลื่นอัลฟ่า สุข สงบ สมดุล และถ้าค้นคว้าต่อเรื่องสมองก็จะพบว่า สมองแบบนี้แหละที่ทำให้เราสามารถพัฒนาตนเอง และที่สำคัญป้องกันอัลไซเมอร์ได้

เรา (และทุกคน) จึงสามารถทำให้ตัวเองเป็นบัวที่โผล่ขึ้นบานพ้นผิวน้ำได้ อิอิ
(และโปรดอย่าอินบ็อกซ์มาให้เราดูดวงให้นะคะ)



ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
http://goodlifeupdate.com/healthy-body/health-education/52754.html#cxrecs_s
7386  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มีขั้นตอนใน "การลดละอัตตา" อย่างไร.? เมื่อ: มิถุนายน 21, 2018, 05:33:10 am


มีขั้นตอนใน "การลดละอัตตา" อย่างไร.?


ถาม : มนุษย์จะมีวิธีหรือขั้นตอนในการลดละอัตตาอย่างไร

ตอบ : ขั้นแรก เราควรใช้อัตตาให้เป็นเสียก่อน ซึ่งวิธีใช้อัตตาให้เป็นคือ การใช้ความมีตัวมีตนนี่แหละมาเป็นแรงผลักดันให้เรามีความพยายาม มุมานะ จวบจนประสบความสำเร็จในชีวิตในโลก

ขั้นต่อมาคือ เสริมการปฏิบัติภาวนาตามหลักพุทธศาสนาเข้าไปในชีวิตด้วย เพื่อจะได้มีความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาทั้งหมด รวมถึงเข้าใจในหลักอนิจจังการเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน และเข้าใจในหลักอนัตตา คือ ความไม่มีในตัวจริง ตัวแท้ถาวรด้วย จวบจนเมื่อปฏิบัติธรรมได้อย่างถ่องแท้แล้ว จะสามารถเข้าใจวาระของอัตตาได้ และอยู่อย่างใช้อัตตาเป็น


ธรรมะจากพระอาจารย์มานพ อุปสโม : พระอาจารย์ผู้ไขปัญหา
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/29903.html
7387  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "ถีนมิทธะ" เกิดจากการบริโภคอาหาร แก้อย่างไร.? เมื่อ: มิถุนายน 20, 2018, 09:17:37 am


"ถีนมิทธะ" เกิดจากการบริโภคอาหาร แก้อย่างไร.?

[๓๘๙] ข้าพระองค์(นาลกดาบส)ได้รู้ตามคำของอสิตฤาษีโดยแท้ เพราะเหตุนั้นข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ทูลถามพระองค์ผู้ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอก มุนีและปฏิปทาอันสูงสุดของมุนีแห่งบรรพชิตผู้แสวงหาการเที่ยวไป เพื่อภิกษาแก่ข้าพระองค์เถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่าเราจักบัญญัติปฏิปทาของมุนีที่บุคคลทำได้ยากให้เกิดความยินดีได้ยาก แก่ท่าน เอาเถิดเราจักบอกปฏิปทาของมุนีนั้นแก่ท่าน....

    ...............ฯลฯ..............

    "พึงเป็นผู้มีท้องพร่อง(ไม่เห็นแก่ท้อง) มีอาหารพอประมาณ มีความปรารถนาน้อย ไม่มีความโลภเป็นผู้หายหิว ไม่มีความปรารถนาด้วยความปรารถนา ดับความเร่าร้อนได้แล้วทุกเมื่อ"

     ...............ฯลฯ..............

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราจักบอกปฏิปทาของมุนีแก่ท่าน ภิกษุผู้ปฏิบัติปฏิปทาของมุนี
    "พึงเป็นผู้มีคมมีดโกนเป็นเครื่องเปรียบ กดเพดานไว้ด้วยลิ้นแล้ว พึงเป็นผู้สำรวมที่ท้อง มีจิตไม่ย่อหย่อน และไม่พึงคิดมาก"



ที่มา : นาลกสูตรที่ ๑ (ยกมาแสดงบางส่วน)
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=9556&Z=9695
ขอบคุณภาพจาก : https://pix10.agoda.net/



อรรถกถานาลกสูตรที่ ๑๑ (ยกมาแสดงบางส่วน)

เมื่อจะทรงแสดงศีล คือ การบริโภคปัจจัยด้วยหัวข้อ โภชเนมัตตัญญุตา คือ ความรู้จักประมาณในการบริโภค และปฏิปทาตราบเท่าถึงการบรรลุพระอรหัตโดยทำนองนั้นก่อน จึงตรัสคาถาว่า
     อโนทโร มิตาหาโร อปฺปิจฺฉสฺส อโลลุโป สทา อิจฺฉาย นิจฺฉาโต อนิจฺโฉ โหติ นิพฺพุโต.
     "พึงเป็นผู้มีท้องพร่อง มีอาหารพอประมาณมีความปรารถนาน้อย ไม่มีความโลภ เป็นผู้หายหิว ไม่มีความปรารถนาด้วยความอยาก ดับความเร่าร้อนได้แล้วทุกเมื่อ."

     @@@@@@

     อีก ๔-๕ คำ จะอิ่ม ให้หยุดกิน แล้วดื่มน้ำตาม

     บทนั้นมีความดังนี้ ท่านอธิบายไว้ว่า ภิกษุเมื่อได้ปัจจัยมีจีวรเป็นต้นตามมีตามได้โดยธรรมโดยเสมอแล้ว เมื่อจะฉันอาหารพึงอย่าเห็นแก่ท้อง โดยนัยที่ท่านกล่าวไว้ว่า
    จตุตาโร ปญฺจ อาโลเป อภุตฺวา อุทกํ ปิเว อลํ ผาสุวิหาราย ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน
    "ภิกษุผู้มีความเพียร ไม่บริโภคอาหารอีก ๔-๕ คำ พึงดื่มน้ำเพื่ออยู่ผาสุก."

     ไม่ควรมีท้องพองเหมือนเครื่องสูบเต็มด้วยลม พึงป้องกันถีนมิทธะ เพราะเมาอาหารเป็นเหตุ.
     ภิกษุพึงเป็นผู้จำกัดอาหารโดยคุณและโทษด้วยการพิจารณา มีอาทิว่า
     ภิกษุพึงเป็นผู้ไม่เห็นแก่ท้องมีอาหารพอประมาณ พึงรู้จักประมาณในการบริโภค ไม่บริโภคเพื่อเล่นดังนี้.
     แม้เป็นผู้มีอาหารพอประมาณอย่างนี้ ก็พึงเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย ด้วยมีความปรารถนาน้อย ๔ อย่าง คือปัจจัย ธุดงค์ ปริยัติ และอธิคม.


     @@@@@@

     จริงอยู่ ภิกษุผู้ปฏิบัติโมเนยยปฏิปทาโดยส่วนเดียว พึงเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยอย่างนี้.
     - ความสันโดษด้วยสันโดษ ๓ อย่าง ในปัจจัยหนึ่งๆ นั้น ชื่อว่า ความเป็นผู้ปรารถนาน้อยในปัจจัย.
     - ความที่ภิกษุผู้ทรงธุดงค์อย่างเดียว ไม่ปรารถนาว่าชนเหล่าอื่นจงรู้จักเราว่าเป็นผู้มีสติ มีธุดงค์ ดังนี้ ชื่อว่า ความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในธุดงค์.
     - ความที่ภิกษุผู้เป็นพหูสูตอย่างเดียว ไม่ปรารถนาว่า ชนเหล่าอื่นจงรู้จักเราว่าเป็นผู้มีสติเป็นพหูสูต ชื่อว่า  ความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในปริยัติ ดุจความปรารถนาน้อยของพระมหามัชฌันติกเถระ ฉะนั้น.
     - ความที่ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยอธิคมอย่างเดียว ไม่ปรารถนาว่า ชนเหล่าอื่นจงรู้จักเราว่าท่านผู้นี้มีสติบรรลุกุศลธรรม ชื่อว่า เป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในอธิคม.
     ก็ความเป็นผู้ปรารถนาน้อยในอธิคมนั้น พึงทราบว่าความปรารถนานี้ ต่ำกว่าการบรรลุพระอรหัต. เพราะนี้เป็นปฏิปทาเพื่อบรรลุพระอรหัต.

     @@@@@@

     อนึ่ง แม้ภิกษุผู้มีความปรารถนาน้อยอย่างนี้ ก็ละความทะเยอทะยาน และความโลภเสียได้ด้วยอรหัตมรรค พึงเป็นผู้ไม่มีความโลภ.
     จริงอยู่ ผู้ไม่มีความโลภอย่างนี้ เป็นผู้ไม่มีความปรารถนา เพราะสละความปรารถนาเป็นต้น เป็นผู้ดับความเร่าร้อนได้แล้วทุกเมื่อ สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้หิวด้วยความปรารถนาอันใด ไม่อิ่ม ดุจเดือดร้อนเพราะหิวกระหาย
     ภิกษุเป็นผู้ไม่ปรารถนาด้วยความปรารถนานั้น และชื่อว่า เป็นผู้หมดหิว
     เพราะเป็นผู้ไม่ปรารถนา ไม่เดือดร้อน ถึงความอิ่มเต็มที่ ชื่อว่า เป็นผู้ดับความเร่าร้อนได้ คือ สงบจากความเร่าร้อนคือกิเลสทั้งปวง เพราะเป็นผู้ไม่ปรารถนา.


     ...............ฯลฯ..............

    บัดนี้ เพราะจิตเกิดขึ้นแก่พระนาลกเถระ เพราะฟังคาถาเหล่านี้ว่า ชื่อว่า ปฏิปทาของมุนีมีเพียงเท่านี้ ก็ทำได้โดยง่าย ไม่ยากนัก สามารถบำเพ็ญได้ด้วยความลำบากเล็กน้อย ดังนี้
    ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงว่า ปฏิปทาของมุนีทำได้ยากแก่พระนาลกเถระ
    จึงตรัสคาถามีอาทิว่า โมเนยฺยนฺเต อุปญฺญิสฺสํ เราจักบอกปฏิปทาของมุนีแก่ท่านอีก.

    ในบทเหล่านั้น บทว่า อุปญฺญิสฺสํ ท่านอธิบายไว้ว่า เราจักบอก.
    ชื่อว่า ขุรธารูปโม เพราะเป็นผู้มีคมมีดโกนเป็นเครื่องเปรียบ.
    บทว่า ภเว แปลว่า พึงเป็น.

    @@@@@@

    มีอธิบายไว้อย่างไร
    ท่านอธิบายว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติปฏิปทาของมุนี พึงประพฤติในปัจจัยทั้งหลายทำคมมีดโกนเป็นเครื่องเปรียบ เมื่อได้ปัจจัยโดยชอบธรรมแล้วบริโภค พึงรักษาจิตให้พ้นจากกิเลส เหมือนการเลียคมมีดโกนที่มีหยาดน้ำผึ้ง ย่อมรักษาลิ้นเกรงจะขาด ฉะนั้น.
    จริงอยู่ ปัจจัยทั้งหลายที่พึงได้โดยวิธีอันบริสุทธิ์ แต่ไม่อาจบริโภคได้โดยง่าย
    เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถึง การอาศัยปัจจัยเท่านั้นไว้โดยมาก.

     @@@@@@

    กดเพดานไว้ด้วยลิ้น บรรเทาความอยากในรส

    บทว่า ชิวฺหาย ตาลุ ํ อาหจฺจ อุทเร สํยโต สิยา กดเพดานไว้ด้วยลิ้นแล้ว พึงเป็นผู้สำรวมที่ท้อง.
    ความว่า กดเพดานไว้ด้วยลิ้นบรรเทาความอยากในรส พึงเป็นผู้สำรวมที่ท้อง เพราะไม่เสพปัจจัยที่เกิดขึ้นด้วยทางอันเศร้าหมอง.

    บทว่า อลีนจิตฺโต จ สิยา พึงเป็นผู้มีจิตไม่ท้อแท้.
    ความว่า พึงเป็นผู้มีจิตไม่เกียจคร้าน เพราะทำให้มั่นคงในการบำเพ็ญกุศลธรรมเป็นนิจ.
    บทว่า น จาปิ พหุ จินฺตเย ไม่พึงคิดมาก คือ ไม่พึงคิดมากโดยวิตกถึงญาติ ชนบทและเทวดา


ที่มา : อรรถกถานาลกสูตรที่ ๑๑ 
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=388
ขอบคุณภาพจาก : https://q-ak.bstatic.com/



๒. สารีปุตตเถรคาถา คาถาสุภาษิตของพระสารีบุตรเถระ

พระสารีบุตรเถระ ครั้นสำเร็จแห่งสาวกบารมีญาณ ดำรงอยู่ในตำแหน่งพระธรรมเสนาบดีอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทำประโยชน์แก่หมู่สัตว์ วันหนึ่งเมื่อพยากรณ์อรหัตผลโดยมุขะ คือ ประกาศความประพฤติของตนแก่เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย จึงได้กล่าวคาถาความว่า

[๓๙๖] ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล สงบระงับ มีสติ มีความดำริชอบ ไม่ประมาท ยินดีแต่เฉพาะกรรมฐานภาวนาอันเป็นธรรมภายใน มีใจมั่นคงอย่างยิ่ง อยู่ผู้เดียว ยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ ปราชญ์ทั้งหลายเรียกผู้นั้นว่าภิกษุ

      "ภิกษุเมื่อบริโภคอาหารจะเป็นของสดหรือของแห้งก็ตาม ไม่ควรติดใจจนเกินไป ควรเป็นผู้มีท้องพร่อง มีอาหารพอประมาณ มีสติอยู่ การบริโภคอาหารยังอีก ๔-๕ คำจะอิ่ม ควรงดเสีย แล้วดื่มน้ำ เป็นการสมควรเพื่ออยู่สบายของภิกษุผู้มีใจเด็ดเดี่ยว"

    อนึ่งการนุ่งห่มจีวรอันเป็นกัปปิยะ นับว่าเป็นประโยชน์ จัดว่าพอ เป็นการอยู่สบายของภิกษุผู้มีใจเด็ดเดี่ยว
    การนั่งขัดสมาธินับว่าพอ เป็นการอยู่สบายของภิกษุ ผู้มีใจเด็ดเดี่ยว
    ภิกษุรูปใดพิจารณาเห็นสุข โดยความเป็นทุกข์ พิจารณาเห็นทุกข์โดยความเป็นลูกศรปักอยู่ที่ร่าง ความถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนในอทุกขมสุขเวทนา ไม่ได้มีแก่ภิกษุนั้น...ฯลฯ...



ที่มา : พระไตรปิฏกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?book=26&item=396#
ขอบคุณภาพจาก : https://www.touronthai.com/
7388  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิธีง่ายๆ วางใจอยู่เหนือ "คำนินทา" ทั้งปวง เมื่อ: มิถุนายน 20, 2018, 05:51:10 am



วิธีง่ายๆ วางใจอยู่เหนือ "คำนินทา" ทั้งปวง

ท่าน ปิยสีโลภิกขุ กล่าวถึง การวางใจอยู่เหนือ คำนินทา ไว้อย่างน่าสนใจว่า งานวิจัยเชิงมานุษยวิทยาเรื่องหนึ่งพบว่า เวลาสนทนากัน คนอังกฤษส่วนใหญ่ใช้เวลาราวสองในสามอภิปรายกันเรื่อง ‘ใครทำอะไรกับใคร ที่ไหนเมื่อไหร่ อย่างไร’ โดยหาก ‘ใคร’ ที่ว่านั้นเป็นคนมีชื่อเสียง การสนทนาจะยืดเยื้อเป็นพิเศษ

ผู้วิจัยอ้างว่า สถิตินี้เชื่อถือได้เพราะเก็บข้อมูลด้วยการแอบฟังบทสนทนา ไม่ใช่จากแบบสอบถามซึ่งผู้ตอบอาจเข้าข้างตัวเองได้ นอกจากนี้ผลการวิจัยยังระบุด้วยว่า ชายและหญิงใช้เวลาในเรื่องนี้ไม่ต่างกัน

@@@@@@

เรื่องเช่นนี้ฟังคุ้นหูไม่น้อย หากทำวิจัยในเมืองไทยคงได้ผลไม่ต่างกัน หรืออาจพบว่า คนไทยใช้เวลาในการสนทนาทำนองนี้มากกว่าคนอังกฤษ “เล็กน้อย” ก็เป็นได้ดังคำกลอนสุนทรภู่ที่บอกว่า
 
     “อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา”

     ภาษิตนี้สอนว่า การนินทาเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่มีใครหลีกพ้น เพราะแม้แต่พระพุทธรูปที่ตั้งไว้ในโบสถ์ยังอาจมีคนนินทาว่าร้ายได้

หัวข้อนินทาที่เคยได้ยินมีสารพัด ทั้งเรื่องอื้อฉาวในชุมชนและเรื่องอื่นๆ ที่โยงใยครอบคลุมแทบทุกมิติ เรื่องน่าขันที่ได้ยินมากับหูคือการนินทาในงานศพว่าเจ้าภาพซื้อ “โลง” ไม่สมเกียรติผู้ตาย!

แม้การนินทาจะเป็นเรื่องสามัญเพียงไรก็ตาม น้อยคนนักที่ทำใจยอมรับได้หากตนเองตกเป็นหัวข้อในการนินทา น่าสังเกตว่าคนยิ่งชอบนินทามากเท่าใด พอตกกับตัวเองเข้ากลับยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟไปเท่านั้น อุปมาได้กับนายพรานที่ติดกับดักของตนเอง เรื่องนี้แสดงว่าความเชี่ยวชาญเชิงปฏิบัติในวิชานินทาเป็นคนละเรื่องกับความรู้เท่าทันในสาขาวิชานี้

@@@@@@

หลวงพ่อชาเคยสอนว่า คนมีปัญญาอาจหาประโยชน์ได้แม้จากกองขยะ คำนินทาว่าร้ายเป็นสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจแต่หากพิจารณาให้ดีแล้วอาจเป็นประโยชน์ต่อเราได้มาก ไม่ต่างจากขยะที่ถูกแปรให้กลายเป็นปุ๋ยบำรุงต้นไม้

คำนินทาว่าร้ายทั้งหมดนั้น หากคิดให้ถี่ถ้วนแล้วเป็นไปได้เพียงสองด้าน คือ เป็นเรื่องจริง กับเรื่องที่กุขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นด้านใดล้วนแต่ไม่น่าขุ่นเคืองทั้งสิ้น หากเป็นเรื่องจริง เราก็ควรยอมรับแต่โดยดี หรือหากตรงข้าม เราก็ไม่เห็นจะต้องนำเรื่องเท็จเหล่านั้นมาใส่ใจ วันเวลาย่อมจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความเท็จได้ดีกว่าการตามแก้ไขความเห็นผู้อื่น

ท่าทีที่พึงมีต่อคำนินทาคือน้อมนำมาใคร่ครวญเพราะอาจทำให้เห็นข้อบกพร่องที่ตนไม่เคยมองมาก่อน แม้คำนินทานั้นจะไม่จริง เรายังอาจวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้มีผู้มองเราในแง่ลบได้เช่นกัน และหากอยู่ในวิสัยจะแก้ไขปรับปรุงได้ เราย่อมมีโอกาสพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น มองในแง่นี้ ควรขอบคุณผู้นินทาเสียด้วยซ้ำ

@@@@@@

ที่สุดแล้ว คำนินทาควรทำให้ตระหนักได้ว่า ไม่มีใครเป็นที่พอใจของทุกคนได้ ต่อให้ปฏิบัติดีเพียงใด ย่อมไม่แคล้วมีผู้มองในแง่ลบ ความเข้าใจนี้ช่วยให้คลายความคาดหวังต่อการกระทำของตนเองลง สามารถทำความดีโดยไม่ต้องเกร็งกับคำพิพากษาของใคร

แท้จริงแล้ว ตัวเราเองต่างหากที่ควรยินดีต่อการกระทำของตน ไม่พึงนำความสุข ความทุกข์ ไปแขวนไว้กับเสียงรอบข้าง และเรียนรู้ที่จะวางใจอยู่เหนือคำนินทาทั้งปวง

ปิยสีโลภิกขุ จบการศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่เลือกวิถีชีวิตนักบวชมากว่า 20 ปีแล้ว ปัจจุบันพำนักในวัดป่าเล็กๆ แห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงราย บันทึกชุดนี้เขียนขึ้นระหว่างจำพรรษาที่วัดจิตวิเวก ในแคว้นเวสต์ซัสเซ็กส์ (West Sussex) นอกกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ



ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/14352.html#cxrecs_s
7389  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คู่แท้ มีจริงหรือแค่เพียงคิดฝัน.? ความเชื่อเรื่องเนื้อคู่ในสองศาสนา เมื่อ: มิถุนายน 20, 2018, 05:37:18 am




คู่แท้ มีจริงหรือแค่เพียงคิดฝัน.? ความเชื่อเรื่องเนื้อคู่ในสองศาสนา

“…เมื่อเราเจอกัน เจอกันแค่ครั้งเดียว ก็ผูกพันเหมือน…ใกล้ชิดมานาน บอกไม่ถูกว่าทำไม หรือเราจะเคยได้เจอกันชาติก่อน…”

ใครที่ฟังเพลงไทยบ่อยๆ คงจะเคยได้ยินเพลงที่ชื่อ “ปาฏิหาริย์” ของกบ – ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี ที่มีเนื้อหาที่โดนใจของเพลงฟังแล้วทำให้คิดว่า หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์ร่วมอย่างนั้นจริงๆ เป็นไปได้ไหมว่า เนื้อคู่นั้นมีอยู่จริง.?

เนื้อคู่ หรือที่ฝรั่งเรียกว่า soul mate นั้น หมายถึง ชายหญิงที่รู้สึกรักและผูกพันกันมากเป็นพิเศษ ซึ่งคนในแต่ละสังคมก็จะมีมุมมองและความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเนื้อคู่ต่างกันไป

@@@@@@

เนื้อคู่ ในมุมมองของชาวตะวันตก

ชาวตะวันตกมองว่า เนื้อคู่ของเรากำหนดมาแล้วล่วงหน้า เพราะมนุษย์ถูกสร้างมาเป็นคู่ และคนที่เป็นเนื้อคู่กันก็จะหากันพบในที่สุด ความเชื่อนี้มีที่มาจากตำนานของชาวกรีกโบราณที่ว่า แรกเริ่มเดิมทีพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาให้มี 4 ขา 4 แขน 2 ศีรษะ และมีอวัยวะสืบพันธุ์ 2 ลักษณะ แต่มีจิตวิญญาณเพียงหนึ่งเดียว และการสร้างมนุษย์ให้มีลักษณะที่สมบูรณ์แบบที่สุดนี้ ทำให้พระเจ้าเริ่มวิตกในเรื่องอำนาจที่อาจมีมากเกินของมนุษย์ เทพเจ้าซูส (Zeus) เลยตัดสินใจแยกมนุษย์ที่ว่าออกจากกัน ทำให้มนุษย์ที่ถูกแยกออกเป็นครึ่งๆ โหยหาอีกครึ่งหนึ่งของตัวเองที่หายไป เพื่อชีวิตจะได้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิมอีกครั้ง

@@@@@@

เนื้อคู่ ในมุมมองของชาวพุทธ

ชาวพุทธที่เชื่อเรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดมองว่า เนื้อคู่คือบุคคลสองคนที่เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติก่อน ทำให้เมื่อพบกันในชาตินี้ สายสัมพันธ์เก่าๆ จะเป็นชนวนทำให้เกิดความรู้สึกคุ้นเคย สนิทสนม และผูกพันกันอย่างรวดเร็ว และนี่คือสิ่งที่ทำให้บุคคลที่เป็นเนื้อคู่กันมักจะเกิดอาการ ”ปิ๊ง  แบบที่เราเรียกกันว่า ”รักแรกพบ

แต่ที่ต่างจากความเชื่อของชาวตะวันตกคือ ชาวพุทธเชื่อกันว่า เรื่องของเนื้อคู่นั้นไม่ใช่เรื่องที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป แต่เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับกรรมที่เคยทำร่วมกันมาเพราะตามคำสอนของพระพุทธศาสนา ความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและปัจจุบันประกอบกัน การที่คนเราจะรักกันได้นั้นต้องมีเหตุ หรือมีการทำกรรมร่วมกันมา ไม่ว่าจะเป็นในชาติที่แล้วหรือชาตินี้ก็ตาม

@@@@

คนที่เป็นคู่สร้างคู่สมกันนั้น คือคู่ที่เคยทำบุญทำกุศลร่วมกันมา เมื่อเจอกันจะรู้สึกดีต่อกัน จะทำอะไรร่วมกันก็รู้สึกอยากทำแต่สิ่งที่ดี ไม่นำพากันไปในทางที่ชั่ว ส่วนคู่เวรคู่กรรมนั้น คือคู่ที่เคยผูกใจเจ็บ อาฆาตจองเวรจองกรรมกันมาในชาติก่อนๆ แล้วจึงกลับมาเกิดเป็นคู่กันอีกเพื่อตามล้างตามผลาญกันและกันต่อในชาตินี้ คู่แบบนี้มักจะอยู่กันอย่างไม่ค่อยปกติสุขนัก และมักจะชอบใจกันในทางกามารมณ์ เช่น หลงในรูปลักษณ์ภายนอกหรือทรัพย์สินของอีกฝ่ายเป็นหลัก หากต้องทำกิจกรรมร่วมกันก็ชวนกันทำแต่เรื่องที่ไม่ดีไม่เป็นบุญเป็นกุศล หรือหากอยากจะทำดีร่วมกันขึ้นมาก็มักจะมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวางเรื่อยไป เรียกว่าทำบุญร่วมกันไม่ขึ้นเอาเสียเลย

บาปที่ทำร่วมกันแล้วมีผลทำให้หญิงชายกลายเป็นคู่เวรคู่กรรมกันก็คือ การตกเป็นทาสของกิเลส 3 ประการ ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลงนั่นเอง


 
ที่มา : นิตยสารซีเคร็ต
เรื่อง ปราชญ์ ,
ภาพ cremedelacher on pixabay
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/inspiration/97340.html
7390  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิถีชีวิตชาวไทยวน เมืองสระบุรี ณ วัดจันทบุรี อำเภอเสาไห้ เมื่อ: มิถุนายน 19, 2018, 08:43:42 am


วิถีชีวิตชาวไทยวน เมืองสระบุรี ณ วัดจันทบุรี อำเภอเสาไห้

เสาไห้ เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดสระบุรี ที่อยู่ใกล้อำเภอเมืองสระบุรีมากที่สุด (ประมาณ 7 กิโลเมตร) เลื่องชื่อในด้านประเพณีแข่งเรือยาว ผ้าทอ และข้าวสาร แต่เดิมอำเภอเสาไห้เป็นตัวเมืองสระบุรี เป็นชุมชนชาว “ไทยวน” หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์หลักในภาคเหนือของไทย ซึ่งเป็นประชากรหลักในภูมิภาคดังกล่าวจนเรียกกันว่า “คนเมือง”


ริมฝั่งแม่น้ำป่าสัก ในอำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี


ไทยวนมาจากไหน เหตุใดจึงอยู่สระบุรี

ประวัติความเป็นมาของชาวไทยวน หรือ ไตยวน มีกล่าวไว้ใน “ตำนานสิงหนวัศิ” เล่าว่า สิงหนวัศิกุมาร อพยพผู้คนและบริวารมาจากเมืองราชคฤห์ มาตั้งดินแดนอยู่แถบลุ่มน้ำโขงตอนกลาง สร้างบ้านเรือนอยู่ที่เชียงแสนราวต้นสมัยพุทธกาล เรียกดินแดนของตนว่า “โยนกนคร” เรียกชาวเมืองว่า “ยวน” ซึ่งเป็นเสียงเพี้ยนมาจากชื่อเมืองโยนก นั่นเอง

รัฐอิสระแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับอาณาจักรใหญ่ในยุคโบราณ ได้แก่ ขอม พุกาม และยูนนาน มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วในพุทธศตวรรษที่ 17 ก่อนที่จะสถาปนาเป็นอาณาจักรล้านนา  ในกาลต่อมา จนกระทั่งปี 2101 พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่า นำทัพตีเมืองเหนือ และปกครองดินแดนล้านนาเป็นเวลานานถึง 200 ปี

ในปี 2347 ซึ่งเป็นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงมีบัญชาให้เจ้าพระยายมราช ยกทัพหลวงไปร่วมกับหัวเมืองฝ่ายเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ยึดเชียงแสนคืนจากพม่า หลังจากล้อมเมืองนาน 1-2 เดือน จึงตีเมืองเชียงแสนสำเร็จ และกวาดต้อนชาวเชียงแสนกว่าสองหมื่นคนให้ไปอยู่ในพื้นที่ต่างๆ โดยแบ่งเป็น 5 สายหลัก ประกอบด้วยเชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย ลำพูน และน่าน บางส่วนไปเวียงจันทน์ และส่วนหนึ่งเดินทางมาบางกอกเพื่อแปงเมืองใหม่ โดยอาศัยอยู่ริมแม่น้ำป่าสักทั้งสองฝั่งคือสระบุรี และอีกส่วนหนึ่งไปอยู่ราชบุรี




วิถีไทยยวนบนภาพจิตรกรรม

ชาวไทยยวนนิยมปลูกเรือนอยู่สองฝั่งริมแม่น้ำป่าสักซึ่งเป็นที่ลุ่มอุดมสมบูรณ์ ใช้ลำน้ำเป็นเส้นทางสัญจร หันหน้าบ้านออกสู่แม่น้ำ หลังบ้านเป็นทุ่งนา การปลูกสร้างบ้านเรือนก็ยึดแบบแผนดั้งเดิมจากเมืองบรรพชน เรือนไทยวนจึงคล้ายกับเรือนทางภาคเหนือ คือเป็นเรือนกาแลมีไม้ไขว้บนหลังคาหน้าจั่วของเรือน ส่วนบนผายออก เรียกว่า เรือนอกโตเอวคอด

สะท้อนภาพวิถีชีวิตของชาวยวนในยุคแรกอพยพมาสร้างบ้านแปงเมืองที่งดงามและชัดเจน คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์หลังเก่าของ วัดจันทบุรี ตั้งอยู่ใน ต.เมืองเก่า อ.เสาไห้ จ.สระบุรี  ปรากฏทั้งภาพเขียนและตัวอาคารที่เป็นแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 (แบบผสมผสานระหว่างศิลปะไทยกับจีน)

@@@@@@

วัดจันทบุรี  ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างเมื่อใด (สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3) นามวัดนั้นสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคำว่า “จันทบุรีศรีสัตนาค” ซึ่งเป็นอีกนามหนึ่งของนครเวียงจันทน์ สอดคล้องกับการตั้งถิ่นฐานของชาวเวียงจันทน์ที่อพยพมาในสมัยรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 3 เพื่อมาแปงเมืองที่สระบุรี

ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านเรือนและผู้คนในยุคโบราณ การผูกเรือนแบบล้านนาหรือไทยวน หญิงชาวบ้านห่มผ้าเฉวียงบ่า นุ่งผ้าซิ่นยาว เกล้ามวย บางคนไว้ผมแบบลาว เด็กเปลือยกายไว้ผมจุก ผู้ชายนุ่งผ้า ห่มผ้าขาวม้าเฉวียงบ่าขณะทำบุญ ไว้ผมทรงฝาละมี (โกนรอบศีรษะ เหลือเฉพาะบริเวณกระหม่อม) ซึ่งเป็นทรงผมที่นิยมกันในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

.....เป็นรอยอดีตที่มีคุณค่ายิ่ง








ขอขอบคุณภาพและข้อมูล : ชุมชนบ้านต้นตาล ต.ต้นตาล  อ.เสาไห้  จ.สระบุรี
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/97293.html
7391  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หากพระไม่ได้ฉัน อาหารที่เราใส่บาตร จะได้บุญไหม.? เมื่อ: มิถุนายน 19, 2018, 07:06:49 am



หากพระไม่ได้ฉัน อาหารที่เราใส่บาตร จะได้บุญไหม.?

ถาม : ดิฉันมีข้อสงสัยค่ะ บางครั้งพระรับบิณฑบาต แล้วมีอาหารเยอะมาก ดิฉันคิดว่าพระคงฉันไม่หมดแน่ จึงสงสัยว่าหากเราใส่บาตรแล้ว พระไม่ได้ฉันอาหาร เราจะได้บุญไหมคะ

หลวงตาญาณภาวัน (พระวิชิต ธัมมชิโต) ตอบปัญหาธรรมข้อนี้ไว้ว่า

@@@@@@

ตอบ : บางคิดว่าใส่บาตรไปแล้วพระไม่ฉันอาหารที่ตนใส่ก็คงไม่ได้บุญ กลับกัน ถ้าพระฉันก็คงได้บุญมาก จนทำให้บางคนถึงกับบอกกับพระว่า “ท่านฉันให้โยมหน่อยนะ” หรือบอกว่าอาหารของตนดีอย่างนั้น อย่างนี้ เพื่อให้พระฉันของตัวเอง

จริงๆ ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะ ยิ่งถ้านิมนต์ไปฉันแล้วให้พระระบุชื่ออาหาร พระจะอาบัติ ก็ถือว่าน่าเห็นใจคนเหล่านั้น เพราะเขายังเข้าใจเรื่องบุญไม่ชัดเจน ความจริงแค่ตั้งใจใส่บาตรเพื่อให้ท่านได้อยู่สืบทอดพระศาสนา ศึกษา ปฏิบัติได้ตามควร เราก็ได้บุญเต็มที่แล้ว ท่าจะฉันหรือไม่ หรือจะให้ใครก็เป็นเรื่องของท่าน เราสละไปแล้วก็ถือว่าจบ

แต่บางครั้ง อาหารมีส่วนผสมแปลกๆ ก็ต้องแนะนำพระว่าทำมาจากอะไรบ้าง เพราะอาหารบางอย่าง พระก็ฉันไม่ได้ สิ่งที่พระห้ามฉันมีหลายชนิด เช่น อาหารสด อาหารดิบ เนื้อที่ต้องห้าม ๑๐ อย่าง ประกอบด้วย
     เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อหมา เนื้อหมี เนื้องู เสือโคร่ง เสือเหลือง เสือดาว ราชสีห์
     หรือหลังเวลาเพลแล้ว ห้ามฉันน้ำผลไม้ที่เป็นมหาผล หมายถึง ลักษณะที่ผลโตเกินกำปั้นหรือโตเกินลูกมะตูม อย่างเช่น มะพร้าว ส้มโอ แตงโม สับปะรด เป็นต้น


@@@@@@

ทั้งนี้พระราชญาณกวี (ท่านปิยโสภณ) กล่าวไว้ในบทความ การตักบาตร มีความสำคัญอย่างไร ว่า

การตักบาตร เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญมาก พระอาจารย์มองว่า วิถีชีวิตชาวพุทธที่เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการให้เป็นวิถีชีวิตที่มีคุณค่ามาก เริ่มต้นชีวิตวันใหม่ด้วยการให้ เหมือนพระอาทิตย์ทอแสงขึ้นมาแล้วให้แสงสว่าง คนไทยเป็นคนชอบให้ แต่ไม่ชอบรักษาศีล ไม่มีชนชาติใดให้ทานเก่งเท่ากับคนไทย จนก็ให้ รวยก็ให้ ให้เป็นเรื่องใหญ่มาก การทำบุญ คือ การให้ทาน การทำบุญเหมือนเป็นหัวข้อใหญ่ๆ การทำบุญมีอยู่ 3 วิธี คือ ทาน ศีล เจริญ สมาธิภาวนา

เราทำขั้นพื้นฐานกันอยู่บันไดขั้นแรก แสดงว่าใจเราเป็นกุศล การให้เป็นเรื่องที่ดี ใจคนไทยเป็นบุญเป็นกุศลมาก ชอบให้ ทำให้เราผ่อนคลาย บางคนเครียดแล้วทำบุญ การทำบุญเป็นวิธีคลายเครียดอย่างหนึ่ง เหมือนกับจิตตสปา คุณค่าของมนุษย์ เริ่มต้นที่รู้สึกภูมิใจ พอถึงจุดหนึ่งก็จะต่อไปอีกว่า เป็นผู้ให้ที่ทำให้ คนอื่นภูมิใจ เหมือนกับเราตักข้าวใส่บาตรพระ เราภูมิใจที่มีชีวิตสังขารทุก วันนี้เราเป็นผู้ให้ พระเป็นผู้รับ

สังเกตไหมว่า การทำบุญตักบาตรต่างจากการทำบุญอย่างอื่น เพราะเวลาที่เราให้ปกติ ผู้ให้จะสูงกว่าผู้รับ โดยธรรมชาติของผู้รับเป็นหนี้บุญคุณของผู้ให้ ทีนี้พอเราถวายอะไรแด่พระสงฆ์ เราจะมีความรู้สึกว่าขอบคุณ ที่ท่านมารับถึงหน้าบ้าน ถ้าท่านไม่เดินผ่านบ้านเรา เราจะถวายได้อย่างไร และเราไม่ได้เจาะจงด้วยว่าพระที่เดินมาชื่ออะไรไม่มีใครถาม


 
ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/45046.html#cxrecs_s
7392  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "ใครๆ ก็ทำบุญได้" แม้ไม่ใช่มนุษย์ แต่มนุษย์ทำง่ายที่สุด เมื่อ: มิถุนายน 19, 2018, 06:59:17 am



"ใครๆ ก็ทำบุญได้" แม้ไม่ใช่มนุษย์ แต่มนุษย์ทำง่ายที่สุด

บุญ คือ ความดี…การทำบุญไม่ใช่มีแต่ในโลกมนุษย์เท่านั้น แม้ในภพภูมิอื่น ๆ คือ นรก เปรต สัตว์ดิรัจฉาน ก็สามารถ ทำบุญได้ เช่นกัน

@@@@

นรก
แม้จะทำบุญได้ยากเพราะทุกขเวทนาบีบคั้น แต่ก็ยังทำกรรมดีทางใจได้คือ คิดดี เช่น คิดเรื่องบุญกุศลที่เคยทำมา คิดถึงทานที่เคยให้ คิดถึงศีลที่เคยรักษา คิดถึงภาวนาที่เคยทำ แล้วเกิดปีติโสมนัส การคิดดีอย่างนี้เป็นต้นเหตุให้ทำดีในนรกได้ เช่น ยกมืออนุโมทนา ยกมือไหว้ ซึ่งอาจทำให้พ้นจากนรกได้ด้วย


@@@@

เปรต
เปรตบางตนได้รับแต่ผลของอกุศลกรรมอย่างเดียว แต่เปรตบางตนได้รับผลบุญและบาปร่วมกัน ส่วนใหญ่ออกมาในด้านรูปร่าง เช่น สวยแต่เหม็นสาบ แต่ถ้าเปรตเหล่านี้ได้บุญ คือ อนุโมทนาผลบุญที่ผู้อื่นอุทิศให้ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตทันที โดยจุติจากภพเปรตไปเกิดเป็นเทวดาหรือเกิดเป็นมนุษย์

@@@@

สัตว์ดิรัจฉาน
ในคัมภีร์กล่าวถึงการทำบุญของสัตว์ดิรัจฉานต่าง ๆ เช่น ช้างปาริเลยยกะอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ลิงถวายรวงผึ้งแด่พระพุทธเจ้า กบฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ ค้างคาวฟังพระสวดอภิธรรม ล้วนเกิดจิตเลื่อมใส เมื่อตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทั้งสิ้น

สัตว์ดิรัจฉานนั้นมีส่วนประกอบของชีวิตเหมือนมนุษย์ คือ มีร่างกายและจิตใจ จิตของสัตว์ดิรัจฉานก็เหมือนมนุษย์ คือควบคุมการทำงานของร่างกาย รับรู้อารมณ์ต่างๆ ทางอวัยวะรับสัมผัส คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และยังมีคุณธรรมหรือกิเลสปรุงแต่งจิตเช่นเดียวกับมนุษย์ คนโกรธ สัตว์ก็โกรธเป็น คนรัก สัตว์ก็รักเป็น คนมีศรัทธาผ่องใส สัตว์ก็มีศรัทธาผ่องใสเป็น คนมีสมาธิ สัตว์ก็มีสมาธิ คนมีสติ สัตว์ก็มีสติ แต่ทุกอย่างอยู่ในระดับของสัตว์ดิรัจฉาน คือไม่พัฒนาถึงขั้นไปทำประโยชน์สได้ยิ่งใหญ่หรือบรรลุมรรคผล

ทั้งนี้อาจเป็นเพราะข้อจำกัดของร่างกายที่เป็นมาแต่กำเนิด เช่น สมองและอวัยวะรับสัมผัสต่าง ๆ ไม่เปิดทางให้จิตใช้วิเคราะห์หาความจริงได้อย่างลึกซึ้งถึงขั้นละกิเลสได้ แต่ในบางกรณี สัตว์บางตัวอาจจะมีสำนึกทางคุณธรรมสูงกว่ามนุษย์บางคนก็ได้ เช่น ความกตัญญู


@@@@

มนุษย์
นอกจากโลกมนุษย์แล้ว ในภพภูมิอื่น ๆ นั้นโอกาสที่จะได้ทำบุญหาได้ยาก หากเป็นสวรรค์ก็จะมีแต่ความสุข หากเป็นนรกก็จะมีแต่ทุกข์ กล่าวได้ว่าภพภูมิอื่น ๆ มีปัจจัยเกื้อกูลให้ทำบุญน้อยมาก โลกมนุษย์ถือว่าเป็นโลกที่มีทั้งสุขและทุกข์ โอกาสทำบุญจึงหาได้ง่าย

เนื่องจากปัจจัยที่เกื้อกูลให้ทำบุญ เช่น คนดีหรือสถานการณ์หาได้ง่าย แม้ความทุกข์เองก็เป็นปัจจัยให้เกิดการทำบุญ เช่น การถวายทาน รักษาศีล บำเพ็ญจิตภาวนาในโอกาสที่ประสบทุกข์ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อเห็นทุกข์จึงเกิดศรัทธา เชื่อมั่นในบุญและอยากทำบุญ การทำบุญที่อาศัยศรัทธาย่อมส่งผลให้รุ่งเรืองมาก



ที่มา : หนังสือ โอปปาติกะ ชีวิตหลังความตาย ของ ดร.บรรจบ บรรณรุจิ
Photo by Stefano Pollio on Unsplash
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/97509.html
7393  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "จะเลือกถือปริยัติ" แบบไหน.? เพื่อการโต้แย้ง ถือคุณธรรม ทำให้แจ้ง เมื่อ: มิถุนายน 18, 2018, 08:21:38 am



ว่าด้วยปริยัติ ๓ ประเภท    
           
จริงอยู่ ปริยัติมี ๓ ประเภท คือ
๑. อลคัททูปมปริยัติ (ปริยัติเปรียบด้วยอสรพิษร้าย)
๒. นิสสรณัตถปริยัติ (ปริยัติเพื่อประโยชน์แก่การสลัดออก)
๓. ภัณฑาคาริกปริยัติ (ปริยัติเปรียบด้วยขุนคลัง).

@@@@@@

บรรดาปริยัติเหล่านั้น ปริยัติที่ถือเอาไม่ดี คือ เรียนเพื่อเหตุแห่งการโต้แย้ง เป็นต้น ชื่อว่า อลคัททูปมปริยัติ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาตรัสไว้ว่า

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการอสรพิษมีพิษร้าย ย่อมแสวงหาอสรพิษมีพิษร้าย เมื่อเที่ยวแสวงหาอสรพิษมีพิษร้าย เขาเห็นอสรพิษมีพิษร้ายตัวใหญ่ ก็พึงจับอสรพิษนี้นั้น ที่ขนดหรือที่หาง อสรพิษนั้นพึงแว้งขบเอาที่มือ หรือแขน หรืออวัยวะน้อยใหญ่ แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น บุรุษนั้นพึงเข้าถึงความตายหรือทุกข์ปางตาย เพราะการขบกัดนั้นเป็นเหตุ ข้อนั้นเพราะเหตุแห่งอะไร"
   "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่อสรพิษร้ายอันบุรุษจับแล้วไม่ดี แม้ฉันใด"

   "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษบางพวกในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตะ ฯลฯ เวทัลละ บุรุษเหล่านั้นครั้นเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา เมื่อโมฆบุรุษเหล่านั้นไม่ใคร่ครวญอรรถด้วยปัญญา ธรรมเหล่านั้นย่อมไม่ทนต่อการเพ่ง โมฆบุรุษเหล่านั้นมีการโต้แย้งเป็นอานิสงส์ และมีการยังตนให้พ้นจากวาทะนั้นๆเป็นอานิสงส์ และย่อมเรียนธรรมเพื่อประโยชน์แก่ธรรมใด ย่อมไม่เสวยผลแห่งธรรมนั้น
    ธรรมเหล่านั้นอันโมฆบุรุษเหล่านั้นเรียนแล้วไม่ดี ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนาน ข้อนั้นเพราะเหตุแห่งอะไร
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่ธรรมทั้งหลายอันโมฆบุรุษนั้นเรียนแล้วไม่ดี ดังนี้."


@@@@@@

ส่วนปริยัติใด อันบุคคลเรียนดีแล้ว คือ หวังอยู่ซึ่งความบริบูรณ์แห่งคุณ มีสีลขันธ์ เป็นต้น เรียนแล้ว มิใช่เรียนเพราะเหตุการโต้แย้ง เป็นต้น ปริยัตินี้ชื่อว่า นิสสรณัตถปริยัติ (มีความต้องการเพื่อสลัดออก) ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงตรัสไว้ว่า
     "ธรรมเหล่านั้น อันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และเพื่อความสุขสิ้นกาลนาน ข้อนั้นเพราะเหตุแห่งอะไร"
     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะธรรมทั้งหลาย อันกุลบุตรเรียนดีแล้ว.

@@@@@@

ส่วนพระขีณาสพผู้มีขันธ์อันกำหนดรู้แล้ว ละกิเลสแล้ว มีมรรคอันเจริญแล้ว มีธรรมไม่กำเริบอันแทงตลอดแล้ว ทำนิโรธให้แจ้งแล้ว ย่อมเรียนปริยัติใด เพื่อรักษาประเพณี เพื่อรักษาวงศ์อย่างเดียว ปริยัตินี้ชื่อว่า ภัณฑาคาริกปริยัติ (ปริยัติเปรียบด้วยขุนคลัง) ดังนี้

บัณฑิตพึงทราบ ประเภทแห่งปริยัติ ๓ อย่าง ในพระไตรปิฎกเหล่านั้น ดังที่กล่าวมาแล้ว.



ที่มา : อรรถกถาธรรมสังคณี ชื่ออัฏฐสาลินี     
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=34&i=1&p=1
7394  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเราต้อง "จบของใส่บาตร" วันนี้เราหาคำตอบมาให้แล้ว เมื่อ: มิถุนายน 18, 2018, 06:30:24 am



เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเราต้อง "จบของใส่บาตร" วันนี้เราหาคำตอบมาให้แล้ว

ทุกครั้งที่ก่อนใส่บาตร ผู้ใหญ่มักบอกให้เรา จบของใส่บาตร เสมอ แม้กระทั่งก่อนถวายของแด่พระสงฆ์ เช่น ซองปัจจัย ก็ต้องจบก่อนถวายเสมอ เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมเราต้องทำเช่นนี้ และบทจบบาลีมีความหมายว่าอย่างไร มีบทจบอื่นอีกไหม วันนี้ซีเคร็ตมีคำตอบมาฝาก

การจบของก่อนถวายของให้พระสงฆ์ เช่น ของใส่บาตร สังฆทาน ซองปัจจัย คือการอธิษฐาน อธิษฐาน ในพระพุทธศาสนามีความหมายว่า การตั้งเอาไว้ หรือตั้งใจกำหนดเอาไว้ เป็นบารมีหนึ่งของพระโพธิสัตว์ (ทศบารมี)

ดังนั้นการจบของก่อนถวายพระสงฆ์ จึงเป็นการแสดงออกถึงการตั้งใจของผู้ถวาย บางทีการจบของแต่ละคน อาจเป็นการกล่าวคำอธิษฐาน หวังให้อานิสงส์ของการถวายของแด่พระสงฆ์ในครั้งนี้ อำนวยให้สิ่งที่ปรารถนาสัมฤทธิ์ผล

@@@@@@

ส่วนมากผู้ใหญ่จะให้เรากล่าวคำจบของก่อนใส่บาตร ส่วนการจบของถวายอื่นๆ จะเป็นการจบตามความเข้าใจของตนเอง ไม่จบด้วยบาลีเหมือนตอนใส่บาตร ซีเคร็ตรวบรวม "บทจบของก่อนใส่บาตร" มาฝากทุกท่าน

     “สุทินนัง วะตะ เม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง นิพพานัง ปัจจโย โหตุ”
      แปลเป็นคำไทยว่า “ทานของเราให้ดีแล้ว ขอจงนำข้าพเจ้าไปสู่พระนิพพาน อันเป็นที่สิ้นแห่งกิเลส”

     “สุทินนัง วะตะ เม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง นิพพานัง โหตุเม อะนาคะเต กาเลฯ”
      แปลเป็นคำไทยว่า “ทานอันข้าพเจ้าถวายดีแล้ว ขอจงนำข้าพเจ้าไปสู่พระนิพพาน อันเป็นที่สิ้นแห่งกิเลสในอนาคตกาล เทอญฯ”

      หรือคำจบแบบไทยๆอย่าง
     “ข้าวขาวเหมือนดอกบัวยกขึ้นทูนหัวตั้งจิตจำนง ตักบาตรพระสงฆ์ ขอให้ทันพระศรีอารย์ ขอให้พบดวงแก้วขอให้แคล้วบ่วงมาร ขอให้บรรลุนิพพานในอนาคตกาลเทอญ”

 
ข้อมูลจาก Fungdham, Bloggang, Winnews.tv และ 84000.org
ภาพจาก Sovatdi และ Hdwallpapers
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/86034.html
7395  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 8 วิธีแก้ง่วง ไม่พึ่งกาแฟ ปลุกความสดชื่นในตัวคุณ เมื่อ: มิถุนายน 18, 2018, 06:04:57 am



8 วิธีแก้ง่วง ไม่พึ่งกาแฟ ปลุกความสดชื่นในตัวคุณ

อาการง่วงในช่วงบ่าย เป็นปัญหาที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากเจอ ยิ่งในเวลางานด้วยแล้ว สุดจะทรมาน หลายคนอาจแก้ปัญหาด้วยการดื่มกาแฟ เพื่อให้ร่างกายตื่นตัว ไม่ง่วง แต่พอดื่มมาก ๆ เข้า ก็มีผลต่อหัวใจ เสี่ยงเป็นโรคร้ายต่างๆ  ซีเคร็ตจึงเสนอ  8 วิธีแก้ง่วง ไม่พึ่งกาแฟ ปลุกความสดชื่น ในตัวคุณ มาฝากกัน

@@@@@@

1. ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น
ความเย็นของน้ำจะทำให้เรารู้สึกสดชื่น แต่ควรเป็นน้ำที่เย็นจริง ๆ ไม่ใช่น้ำตามอุณหภูมิห้อง หากที่ออฟฟิศไม่ที่เหมาะสำหรับล้างหน้า ผ้าเย็นก็เป็นอีกทางออกหนึ่ง สามารถซื้อหาได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป แล้วแช่มันไว้ในตู้เย็นของออฟฟิศ พอง่วงก็เอามาเช็ดให้ทั่วใบหน้า ช่วยปลุกความสดชื่นได้ดี พร้อมสู้กับงานตอนบ่ายแล้ว

2. ฟังเพลงโปรดที่ไม่ใช่เพลงจังหวะช้า 
เสียบหูฟังด้วยเพลงโปรดซะสองสามเพลงก็ช่วยได้ แต่ขออย่าเป็นเพลงจังหวะช้า ๆ ชวนง่วง เพราะมันจะยิ่งทำให้ง่วงเข้าไปใหญ่ ขอเป็นเพลงจังหวะมันส์ ๆ หรือเพลงที่ทำให้เราฟังแล้วมีจินตนาการร่วมกับเพลง หรือทำให้ใจจ่อจดอยู่กับบทเพลง ความง่วงมันก็จะหายไป บางทีเราอาจลืมไปเลยว่า ตอนนั้นเราง่วงอยู่นะ

3. หาคลิปหรือรายการโปรดดู
อันนี้ก็ช่วยคลายง่วงได้ดี ยิ่งเป็นคลิปที่ทำให้หัวเราะด้วยแล้ว หรือเป็นคลิปที่ดูแล้วมีความรู้สึกฟิน ยิ่งช่วยได้มากเลยทีเดียว ขอเป็นคลิปที่มีความยาวไม่เกิน 15 นาที หรืออย่างน้อย 10 นาที ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นติดดูคลิป ทำให้เสียงานเสียการ หัวหน้าเอ็ดเอาจะแย่นะ

4. ไม่ทานอาหารที่ทำจากแป้งและคาร์โบไฮเดรตมากไป
ดังคำที่ว่า “หนังท้องตึง หนังตาหย่อน” คืออาการง่วงที่เกิดขึ้นจากหลังทานอาหารมื้อกลางวัน มักเกิดในเวลาทำงานตอนบ่ายซะด้วย สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการง่วงแบบนี้ มาจากการรับประทานอาหารที่ปรุงจากสารอาหารจำพวกแป้งและคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป เช่น ข้าว แป้ง ดังนั้นหากควบคุมอาหารที่ปรุงจากสารอาหารเหล่านี้ได้ จะทำให้ไม่เกิดอาการหนังท้องตึง หนังตาหย่อนในเวลาทำงานแน่นอน

@@@@@

5. ดื่มหรือกินผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
ความเปรี้ยว ทำให้สร่างง่วงได้ดีนัก วิธีนี้นิยมใช้กับคนที่ต้องขับรถไกล ๆ ขับรถข้ามคืน การดื่มหรือกินผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะม่วงเปรี้ยว มะดัน มะกอก น้ำมะนาวที่ไม่ใส่น้ำตาล

6. ลุกไปเดินเล่น ยืดเส้นยืดสาย
การยืดเส้นยืดสาย ช่วยให้ร่างกายกระชุ่มกระซวย หากง่วงในเวลางาน ควรเดินไปมาในบริเวณออฟฟิศ เดินไปทักทายเพื่อนร่วมงานคนอื่นบ้าง ชวนคุยซะพัก ไม่เกิน 5 นาที แล้วค่อยกลับมาที่โต๊ะทำงาน หรืออาจเปลี่ยนเป็นการเดินขึ้นบันไดไปชั้นอื่น ซะสองชั้นแล้วเดินวนกลับมาที่ชั้นของตนเองก็ได้ หรือหากที่ออฟฟิศมีสวนหย่อมก็ออกไปเดินชมต้นไม้ ดอกไม้ที่ปลูกไว้ก็ไม่เลว

7. สูดลมหายใจทางจมูกยาว ๆ นาน ๆหลาย ๆรอบ
ออกซิเจนก็ช่วยให้สมองตื่นตัว ความง่วงก็มาจากความเหนื่อยล้าของสมองเช่นกัน การทำสมาธิหรือสูดลมหายใจลึก ๆ ยาว ๆ นาน ๆ ก็ช่วยบรรเทาความง่วงได้ดี

8. ถ้าไม่ไหวจริง ๆ งีบซะ 10 นาที ก็เอาอยู่
ถ้าไม่สามารถบรรเทาความง่วงได้ ทำมาทุกวิธีแล้วก็เอาไม่อยู่ คงต้องใช้ท่าไม้ตาย คือ ของีบซะ 10 นาที การงีบเป็นการหลับในระยะสั้น ๆ แต่ช่วยให้หายง่วงเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว ไม่ควรหลับนานกว่านั้น เพราะจะกลายเป็นการหลับยาว จะเสียการเสียงานอีก

@@@@@@

8 วิธีแก้ง่วงนี้ อาจใช้ได้สำหรับบางคน และไม่ได้สำหรับบางคน แต่อย่างน้อยก็เป็นวิธีถนอมสุขภาพให้ห่างจากการเสพติดกาแฟอีน เพราะการเสพกาแฟอีนมาก ๆ หรือการติดกาแฟ เพราะต้องดื่มเพื่อให้ตาสว่างจะได้ไม่มีปัญหาง่วงในเวลาทำงาน กาแฟหากดื่มติดต่อกันมาก ๆ  โรคภัยที่ตามมาคือ โรคความดันโลหิตสูง โรคกระเพราะ โรคกระดูกพรุนก่อนวัย โรคหัวใจ และส่งผลให้นอนไม่หลับตอนกลางคืน เนื่องจากฤทธิ์ของกาแฟ ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ มันจะมาง่วงตอนบ่ายอีก ต้องดื่มกาแฟเพื่อแก้ง่วงอีก เป็นวงจรแบบไปนี้ไม่หยุด ผลสุดท้ายคือการเป็นโรคร้ายดังที่กล่าว

หากลองเปลี่ยนจากการแก้ง่วงตอนบ่ายด้วยการดื่มกาแฟมาเป็น วิธีคลายง่วงด้วย 8 วิธีแก้ง่วง ไม่พึ่งกาแฟ ปลุกความสดชื่น ในตัวคุณแล้ว นอกจากไม่ง่วงในเวลางาน ยังได้สุขภาพที่ยั่งยืนเป็นของแถมอีกด้วย



ข้อมูลจาก Kapook และ Mahosot
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/86844.html
7396  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "ทุศีล มิจฉาทิฏฐิ จิตฟุ้งซ่าน" วิบัตินี้จะมีแก่ ผู้ปฏิบัติผิดในพระไตรปิฎก เมื่อ: มิถุนายน 17, 2018, 08:45:36 am



ว่าด้วยวิบัติ ๓ ประเภท
             
๑. ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระวินัย เป็นผู้มีความสำคัญว่าไม่มีโทษในผัสสะที่มีใจครองเป็นต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว โดยความเสมอด้วยสัมผัสมีเครื่องลาดและเครื่องนุ่งห่ม มีสัมผัสเป็นสุขเป็นต้น ที่ทรงอนุญาตแล้ว เหมือนคำที่พระอริฏฐะกล่าวว่า
        "เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงแล้ว โดยประการที่ธรรมทั้งหลายอันกระทำอันตรายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วนี้ ไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้เสพอยู่ได้(๑-)" ดังนี้ ต่อจากนั้น เธอก็ถึงความเป็นผู้ทุศีล.

๒. ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระสูตร ไม่รู้คำอธิบาย เหมือนในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้มีอยู่ มีปรากฏอยู่ในโลก ดังนี้ ย่อมถือเอาผิด ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาตรัสไว้ว่า
       "บุคคลมีอัตตาอันถือเอาผิด ย่อมกล่าวตู่เราด้วย ย่อมขุด(ทำลาย) ซึ่งตนด้วย และย่อมประสบสิ่งมิใช่บุญเป็นอันมากด้วย" ดังนี้ ต่อจากนั้น เธอก็ถึงความเป็นมิจฉาทิฏฐิ.

๓. ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระอภิธรรม จะวิจารธรรมเกินไป ย่อมคิดแม้สิ่งที่ไม่ควรคิด (อจินไตย) ต่อจากนั้น ก็จะถึงความฟุ้งซ่านแห่งจิต สมกับพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
      "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ เหล่านี้ บุคคลไม่ควรคิด ซึ่งเมื่อคิดอยู่ ก็พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า แห่งความคับแค้น(๒-)" ดังนี้.


@@@@@@

ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระไตรปิฎกนี้ ย่อมถึงความวิบัติอันต่างด้วยความเป็นผู้ทุศีล ความเป็นมิจฉาทิฏฐิ และความฟุ้งซ่านแห่งจิตนี้ โดยลำดับด้วยประการฉะนี้.

ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ คาถาแม้นี้ก็เป็นอันข้าพเจ้ากล่าวแล้วว่า ภิกษุย่อมบรรลุประเภทแห่งปริยัติสมบัติ และแม้วิบัติอันใด ในปิฎกใด โดยประการใด พึงเจริญเนื้อความแม้นั้นทั้งหมด ด้วยประการนั้น.

บัณฑิต ครั้นทราบปิฎกทั้งหลายโดยประการต่างๆ ด้วยอาการอย่างนี้ แล้วพึงทราบพุทธพจน์แม้ทั้งหมดที่ประมวลมาด้วยสามารถแห่งปิฎกเหล่านั้นว่า เป็นปิฎก ๓ ดังนี้.


(๑-) วินย. เล่ม ๒/ข้อ ๖๖๒/หน้า ๔๓๑
(๒-) องฺ จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๗๗/หน้า ๑๐๔.

ที่มา : อรรถกถาธรรมสังคณี ชื่ออัฏฐสาลินี     
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=34&i=1&p=1
7397  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 เหตุผลที่ว่า ทำไมเราถึงชอบเสพ “เรื่องฉาว” ของคนอื่น เมื่อ: มิถุนายน 17, 2018, 06:10:13 am

5 เหตุผลที่ว่า ทำไมเราถึงชอบเสพ “เรื่องฉาว” ของคนอื่น

ข่าวแซ่บๆ เรื่องจี๊ดๆ ใครท้องกับใคร คบซ้อนกับใคร แอบย่องขึ้นคอนโดตอนไหน ต้องอัพเดตให้เร็วฉันต้องทันทุกประเด็นในวงเม้าธ์! เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมข่าวฉาวหรือเรื่องที่ค่อนไปทางเชิงลบของคนอื่นถึงดึงดูดความสนใจของมวลชนได้มากกว่า อย่างข่าวของดาราที่ออกมาแฉกัน หรือเรื่องลับๆ บนเตียงที่ถูกนำออกมาแพร่งพรายโดยผู้ไม่ประสงค์ดี

ข่าวเหล่านี้มักจะมียอดวิวที่พุ่งพรวดและจำนวนครั้งที่ถูกแชร์ออกไปก็ทำสถิติได้ดีมากกว่าเรื่องทั่วๆ ไป คำถามก็คือทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเรื่องแย่และสร้างความทุกข์ให้กับบุคคลดวงซวยที่ตกประเด็น ทำไมคนเราถึงยังชอบเสพเรื่องฉาวของคนอื่น

@@@@@@

1. ข่าวฉาวเล่นกับความอยากรู้และความขี้สงสัยในธรรมชาติของคน เพราะข่าวฉาวสามารถเป็นทั้งเรื่องที่ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง หรืออาจจะเป็นแค่เรื่องแต่งขึ้นมาก็ได้ ความไม่แน่นอนนี้จะกระตุ้นให้คนอยากค้นหาความจริงและกลายเป็นสารเสพติดโดยไม่รู้ตัว

2. เหมือนการดูละครน้ำเน่าหนึ่งเรื่องที่ถึงแม้ว่าพลอตเรื่องจะเดาง่ายขนาดไหน จะเว่อร์วังเกินเรื่องยังไง เราก็ยังติดกับดักนี้ได้แบบหนึบหนับ เรื่องฉาวๆ ก็เช่นกัน ถึงมันจะอยู่ไกลตัวและไม่มีความจำเป็นกับชีวิตของเราเลยสักน้อยนิด แต่ความฉาวและคาวนี้นี่แหละที่ช่วยเติมเต็มชีวิตอันแสนจะน่าเบื่อ เรียบง่าย และจำเจในทุกๆ วันให้มีสีสันมากขึ้น เป็นเหมือนการพาเราหลบจากความซ้ำๆเดิมๆ ของตัวเองไปสู่อีกโลกที่จี๊ดจ๊าดของคนอื่นได้สักแว้บนึง

3. การได้เห็นคนอื่นแหกกฎหรือผิดทำนองคลองธรรมของคนส่วนรวม สามารถสร้างความเร้าใจที่ซู่ซ่าให้กับเราได้แบบลึกๆ อ้างอิงจากเว็บไซต์ Psychology Today ความเป็นขบถอยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว แค่ใครที่จะเป็นคนลงมือทำ และใครที่จะนั่งหลบเสาคอยแอบดูและช่วยลุ้น

4. บางคนก็เสพติดความสนุกของเรื่องฉาวที่ตอนจบ เป็นประเภทที่ชอบลงไพ่เดาเอาไว้ก่อนว่าตอนจบจะเป็นยังไง และชอบที่สุดตอนที่เรื่องดำเนินมาถึงจุดที่เฉลยว่าคนๆ นั้นหนีรอดจากปัญหานั้นยังไง

5. ข่าวฉาวคือผลของการกระทำผิด การแพร่ของข่าวที่นำไปสู่การถูกประณามของบุคคลนั้นๆ ก็คือบทลงโทษ ซึ่งถึงจะย้อนแย้งกับข้อสอง ก็มีคนเสพข่าวบางส่วนที่รู้สึกพึงพอใจ และอาจจะหนักไปถึงขั้นสะใจกับความยุติธรรมและความถูกต้องที่เกิดขึ้น ฟีลประมาณว่าไม่ว่าจะเป็นคนดังหรือคนรวย ก็หลบจากสถานการณ์แบบนี้ไปไม่ได้ อ่านดูแล้วอาจจะประหลาดๆ แต่นี่ก็เป็นหนึ่งในสัญชาตญาณเล็กๆ ที่ฝังอยู่ในมนุษย์ทุกคน


@@@@@@

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลข้อไหน เราเชื่อว่าทุกคนหนีแรงดึงดูดของเรื่องฉาวๆ ไม่เคยพ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งใจฟังหรือข้อความที่ลอยผ่านเข้ามา ขอแค่เสพอย่างมีสติและไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครก็พอเนอะ



ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
https://today.line.me/th/pc/article/5+เหตุผลที่ว่า+ทำไมเราถึงชอบเสพ+“เรื่องฉาว”+ของคนอื่น-GM0J7y 
7398  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิธีจัดการ "ความโลภ 3 ระดับ" เมื่อ: มิถุนายน 17, 2018, 05:59:47 am



วิธีจัดการ "ความโลภ 3 ระดับ"

บทความจาก พระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ

กิเลสใหญ่ที่ครองใจชาวโลกเป็นที่รู้จักกันดีอยู่ 3 ตัว คือความโลก ความโกรธ และความหลง ความโลภนั้นมีอยู่แทบทุกคน ทั้งโลภอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด

ความโลภอย่างหยาบเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ น่ากลัว และเป็นภัยต่อสังคม พฤติกรรมของผู้ที่มีความโลภอย่างหยาบคือ หากต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นของตน จะหามาโดยไม่คำนึงถึงวิธีการว่าจะผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ทำร้ายทำลายผู้อื่น หรือเบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ เช่น พวกโจรปล้นทรัพย์ บางครั้งถึงกับฆ่าหรือทำร้ายเจ้าของทรัพย์ นอกจากนี้พวกลักขโมย ฉกชิงวิ่งราวทรัพย์ ก็เป็นพวกที่มีความโลภอย่างหยาบเช่นกัน

พวกขายยาเสพติดให้โทษ ขายยาบ้า ค้าของเถื่อน ขายของผิดกฎหมาย พวกหลอกลวงฉ้อฉลเอาทรัพย์ของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นแชร์ลูกโซ่ ขายสินค้าปลอม ทำธุรกิจผิดกฎหมาย ทุจริตคอรัปชั่นทั้งหลาย จะกินทวนน้ำหรือตามน้ำก็แล้วแต่ รวมถึงพวกโกงภาษี ก็จัดอยู่ในพวกมีความโลภอย่างหยาบทั้งสิ้น

@@@@@@

กล่าวโดยสรุปคือพวกที่กระทำการทุจริต ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม เพียงเพื่อให้ได้ทรัพย์สิ่งของมาเป็นของตน อันเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ถือว่าเป็นผู้ที่มีความโลภอย่างหยาบ ผลของการกระทำดังกล่าวหากถูกจับได้ จะได้รับโทษตามกฎหมาย หากยังไม่ถูกกฎหมายลงโทษ ก็เป็นที่รังเกียจถูกสังคมติฉินนินทา ดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ความโลภอย่างกลาง เป็นเช่นไร คนส่วนมากไม่ค่อยตระหนักถึงความโลภอย่างกลาง เพราะไม่เข้าใจว่าทรัพยากรของโลกเป็นสมบัติส่วนกลาง ที่มวลมนุษย์ควรมีโอกาสใช้เพื่อการดำรงชีวิตให้อยู่รอด

ในสังคมเศรษฐกิจระบอบทุนนิยม ที่เปิดโอกาสให้แข่งขันกันอย่างเสรี ผู้ที่มีศักยภาพทางทุนทรัพย์ หรือผู้คุมอำนาจทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ย่อมมีช่องทางครอบครองทรัพยากรของโลกได้มากกว่าผู้ที่มีอำนาจด้อยกว่า

เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่มีกำลังอำนาจดังกล่าว จึงดูดเอาทรัพยากรของโลกไปบริโภคมากมายเกินความจำเป็น บางคนรวยล้นฟ้ามีทรัพย์สินเป็นพัน หมื่น หรือแสนล้าน มากมายถึงขนาดนี้ก็ยังไม่พอ ยังแสวงหามาไว้ครอบครองให้มากยิ่งๆ ขึ้นไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด

@@@@@@

ที่สำคัญยิ่งตระหนี่ถี่เหนียว ไม่บริจาคช่วยเหลือผู้อื่น หรือถึงบริจาคก็เพียงเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ให้ตนเอง หรือองค์กรธุรกิจของตน มากกว่าบริจาคด้วยจิตเมตตา หวังอนุเคราะห์เกื้อกูลต่อผู้ที่ขัดสน ด้อยโอกาส อย่างไรก็ตามมีมหาเศรษฐีของโลกบางคน บริจาคทรัพย์จำนวนมาก ให้องค์กรการกุศล เช่น ศาสนา การศึกษา และผู้ยากไร้ นับว่าเป็นผู้ที่มีกุศลจิตเมตตาต่อผู้อื่น

เศรษฐีได้ทรัพย์สินเหล่านี้มาแม้ไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็ถือเป็นการบริโภคส่วนเกินของชีวิต ใช้อำนาจทางเศรษฐกิจหรือทางการเมือง ดูดเอาทรัพยากรของโลกไปครอบครอง เป็นการกีดกันโอกาสของผู้ที่ยากไร้ไม่ให้เข้าถึงทรัพยากรของโลก เศรษฐีดังกล่าวถือว่าเป็นผู้ที่มีความโลภอย่างกลาง

คนบางคนเวลาไปงานเลี้ยงอาหารบุฟเฟต์ ตักอาหารมามากมายแล้วรับประทานไม่หมด ทำให้อาหารไม่เพียงพอสำหรับคนที่มาร่วมงานคนอื่น เช่นเดียวกับการสั่งอาหารมารับประทานมากมายหลายชนิด จนรับประทานไม่หมด หรือผู้ที่ซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ตลอดจนเครื่องใช้ไม้สอยประจำบ้านไว้มากมาย แล้วเก็บเอาไว้ไม่ค่อยได้ใช้ บุคคลดังกล่าวถือเป็นผู้มีความโลภอย่างกลาง เพราะบริโภคทรัพยากรของโลกอย่างฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นของชีวิต

ความโลภอย่างละเอียด เป็นความโลภที่คนทั่วไปไม่ได้ตระหนักถึง เป็นกันแทบทุกคน ยากจะละความโลภนี้ได้ ความโลภประเภทนี้ได้แก่ การยึดติดทรัพย์สิ่งของอันเป็นที่รักของตนไว้อย่างเหนียวแน่น ด้วยแรงของตัณหา เป็นเหตุให้หวงแหนห่วงใยทรัพย์เหล่านั้น บางคราวสิ่งนั้นชำรุดเสียหายหรือพลัดพรากจากไป ก็เกิดความทุกข์


@@@@@@

ในทางพุทธศาสนามีธรรมที่จะช่วยแก้ความโลภประเภทต่างๆ ได้ดังนี้

การแก้ความโลภอย่างหยาบให้รักษาศีล โดยเฉพาะศีลข้อ 2 หากเว้นจากการลักทรัพย์แล้ว ก็ไม่คิดจะเบียดเบียนเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาครอบครอง อันทำให้เจ้าของทรัพย์ได้รับความเดือดร้อน สำหรับการประกอบอาชีพผิดกฎหมายนั้น แก้ได้ด้วยการมีสัมมาอาชีพ ซึ่งจัดอยู่ในศีลแห่งองค์มรรคเช่นกัน

การแก้ความโลภอย่างกลาง ให้มีเมตตาต่อผู้อื่น โดยเห็นว่าทรัพย์สิ่งของทั้งหลายเป็นทรัพยากรของโลก ที่คนร่วมโลกควรมีโอกาสได้ใช้เพื่อการดำรงชีวิต อย่างน้อยให้อยู่รอดได้ ผู้ที่มีมากจึงควรเสียสละแบ่งปันหรือให้ทาน แก่ผู้ที่มีความเป็นอยู่ยากไร้ เพื่อให้เขาพ้นจากความทุกข์ หรือบริจาคให้ผู้ที่สมควรแก่การช่วยเหลือ เพื่อให้เขาพัฒนากิจกรรมที่ทำอยู่ให้สูงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะงานที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เช่น งานการกุศล

การแก้ความโลภอย่างละเอียด ต้องเจริญภาวนาใช้ปัญญาเข้าใจกฎไตรลักษณ์ เห็นความเป็นอนัตตาว่าสิ่งทั้งหลายไม่ใช่ของตน เป็นเพียงธาตุ 4 ที่มีอยู่ในโลกและเป็นสมบัติของโลก เราต่างพากันมาอาศัยโลกอยู่ มาใช้ธาตุ 4 ของโลกกันชั่วคราว เมื่อตายไปก็ต้องคืนสมบัติวัตถุต่างๆ ไว้ในโลก ไม่มีใครเอาสมบัติของโลกไปได้เลย

@@@@@

นอกจากนี้ธรรมชาติของธาตุ 4 ยังเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเก่า มีความชำรุดทรุดโทรมและเสื่อมสลายไปตามเหตุปัจจัย(เป็นอนิจจัง) ไม่อาจคงทนอยู่ในสภาพเดิมได้(เป็นทุกขัง) และไม่ใช่เป็นของๆ ใครจริง(เป็นอนัตตา) จึงไม่ควรยึดมั่นสำคัญหมายว่าเป็นของเรา เราเพียงหามาเพื่อใช้ในการยังชีพและประกอบกิจการงาน มีหน้าที่ดูแลรักษาตามเหตุปัจจัย ต้องพร้อมจะปล่อยวางได้ทุกเมื่อ

เพราะหากถึงคราวตาย จิตยังยึดมั่นพันผูกด้วยความหวงห่วงใย สภาวะจิตที่เศร้าหมองเช่นนี้ จะนำพาชีวิตใหม่ไปเกิดในอบายภูมิ พระโสดาบันท่านละความโลภทั้ง 3 ประเภทนี้ได้ สำหรับปุถุชนควรละความโลภอย่างหยาบให้ได้ และหากละความโลภอย่างกลางได้ก็จะดี ส่วนความโลภอย่างละเอียดต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จึงจะละได้



ที่มา : นิตยสาร Secret
Photo by Sharon McCutcheon on Unsplash
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/30463.html
7399  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดใจพระไม่รับกิจนิมนต์ ไม่ได้เป็นครูบา แค่อยากปลีกวิเวกศึกษาธรรม เมื่อ: มิถุนายน 17, 2018, 05:47:21 am



เปิดใจพระไม่รับกิจนิมนต์ ไม่ได้เป็นครูบา แค่อยากปลีกวิเวกศึกษาธรรม

นายอำเภอลงพื้นที่ตรวจสอบ หลังมีการแชร์ภาพป้ายระบุว่า "ไม่รับนิมนต์ สวดไม่เป็น" ติดอยู่วัดแห่งหนึ่ง พบพระสงฆ์จำวัดและชี้แจง เป็นเพราะอยากจะปลีกวิเวกศึกษาธรรม พรรษาบวชยังน้อย ไม่ควรเรียกครูบา

(16 มิ.ย.) นางวันดี ราชชมภู นายอำเภอแม่จัน จ.เชียงราย พร้อมด้วยผู้นำหมู่บ้านและคณะศรัทธา วัดโพธนาราม บ้านโพธนาราม ต.สันทราย ได้เดินทางเข้าไปตรวจสอบที่ธรณีสงฆ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระธาตุสรีมุงเมือง อยู่ห่างจากชุมชนประมาณ 3 กิโลเมตร เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง

หลังจากมีผู้นำภาพออกมาเผยแพร่ เป็นป้ายที่มีข้อความว่า "ที่นี่ไม่มีครูบา มีแต่พระธรรมดาๆ รูปหนึ่ง" และ "ไม่รับนิมนต์ สวดไม่เป็น" ถูกนำไปแชร์ทางเฟซบุ๊กกลายเป็นประเด็นวิพากษวิจารณ์เป็นอย่างมาก โดยมี พระกฤชณัช สุทฺธิญาโณ พระลูกวัดของวัดโพธนาราม พระภิกษุรูปที่ปรากฏภาพตามโพสต์และเป็นผู้เขียนป้ายดังกล่าวนำตรวจเยี่ยมบริเวณธรณีสงฆ์ดังกล่าว


@@@@@@

นางวันดี ราชชมภู นายอำเภอแม่จัน เปิดเผยว่า ที่ดินดังกล่าวขั้นทะเบียนเป็นธรณสงฆ์อย่างถูกต้อง หลังมี ราษฎรคนหนึ่งเข้ามาแผ้วถางและเจอซากอิฐโบราณจึงยกที่ดินดังกล่าวถวายวัดโพธนาราม มีการสร้างพระธาตุแต่ไม่ได้ขั้นทะเบียนเป็นวัดหรือสำนัก

ภายหลังจากที่ตนทราบข่าวและเห็นข้อความทีแรกก็ตกใจแต่เมื่อได้พูดคุยกับทางพระผู้เขียน ทำให้ทราบถึงเหตุผลซึ่งถือว่าชัดเจนดี และก็เป็นเรื่องที่ดี จะได้ไม่เกิดการสับสน ไม่ต้องยึดติดและไม่ได้สร้างความเสียหายแก่พระพุทธศาสนา

ขณะที่ พระกฤชณัช สุทฺธิญาโณ เปิดเผยว่า ที่ต้องเขียนป้ายว่า "ที่นี่ไม่มีครูบา มีแต่พระธรรมดาๆ รูปหนึ่ง" นั้น ก็เพราะอยากให้คนที่เข้ามาได้เข้าใจ เพราะตนเป็นพระบวชใหม่ อยากจะอยู่ในที่สงบสงัด ปฏิบัติธรรม ไม่ได้อยากเด่นอยากดัง ไม่ได้ต้องการเป็นครูบา ที่มีคณะศรัทธามาห้อมล้อม

@@@@@@

ส่วนข้อความ "ไม่รับนิมนต์ สวดไม่เป็น" นั้น จริงๆ ไม่ใช่ไม่รับกิจนิมนต์ หากงานไหนเป็นงานของชุมชนหรืองานของสังคมก็ไป เลือกรับนิมนต์ตามที่เห็นสมควรที่ไม่ชัดกับพระวินัย ซึ่งพระมีสิทธิ์เลือกที่จะรับหรือไม่รับนิมนต์

สำหรับหัวใจของการออกบวชเป็นพระ พระพุทธเจ้าให้สละออกจากเรือน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรือน การยุ่งเกี่ยวกัยญาติโยมควรมีระยะห่าง ไม่ใช่มานั่งรับญาติโยมทั้งวัน หรือมีญาติโยมเข้ามาหาทั้งวัน จึงทำป้ายเตือนตัวเองและเตือนผู้ที่เข้ามาหา ว่าพระกับโยมควรจะมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร เพื่อให้เป็นไปตามหลักพระศาสนา

ขณะที่ นายศุภกิจ นวนพนัส ชาวบ้านโพธนาราม กล่าวว่า การที่พระขึ้นป้ายดังกล่าวเนื่องจากไม่ต้องการให้ใครมาเรียกท่านว่าครูบา ซึ่งบอกกับชาวบ้านว่า ท่านพรรษายังอ่อนและการเป็นครูบาได้จะต้องร่ำเรียนหลายอย่าง เป็นเพียงพระธรรมดาๆ เท่านั้น และต้องการปลีกออกมาศึกษาธรรมการขึ้นป้ายเช่นนั้นก็เป็นว่าไม่เสียกายอะไรแสดงความชัดเจน ซึ่งในวัดไม่ได้มีเพียงป้ายเท่านี้ ยังมีป้ายคำคมและคำสอนอีก

ชมคลิปได้ที่
https://video.sanook.com/player/1294801/


ขอบคุณภาพและข่าวจาก
https://www.sanook.com/news/6830118/
7400  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 6 เคล็ดลับง่ายๆ อยากเป็นคนโชคดีบ้าง ต้องทำอย่างไร.? เมื่อ: มิถุนายน 16, 2018, 06:15:51 am



6 เคล็ดลับง่ายๆ อยากเป็นคนโชคดีบ้าง ต้องทำอย่างไร.?

ใครว่าเรื่องโชคไม่มีผลกับชีวิต? ลองมองไปรอบข้างเวลาเห็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เรามักเกิดคำถามในใจว่าคนเหล่านี้ทำได้อย่างไร พวกเขามีวิธีจัดการตัวเองแบบไหน ทำไมถึงมักจะทำอะไรสำเร็จเหมือนโชคเข้าข้างอยู่เรื่อยแบบนี้ อยากเป็น คนโชคดี แบบพวกเขาบ้างต้องทำยังไง ความจริงคนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีพฤติกรรมเรียกโชคดีประจำตัวอยู่ค่ะ

@@@@@@

::: มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า :::
รอยยิ้มคือเครื่องประดับที่งดงามที่สุดบนใบหน้า เราดูดีเสมอเวลาที่ยิ้มออกมาจากใจจริง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ขอให้แย้มยิ้มเอาไว้เพราะมันคือการให้กำลังใจทั้งตัวเราเองและคนรอบข้าง ที่สำคัญยังช่วยให้ให้เรารู้สึกรักตัวเองขึ้นทุกๆ ครั้งที่ยกยิ้มอีกด้วย
 
::: เชื่อว่าวันนี้จะต้องโชคดีแน่ๆ :::
ความเชื่อมักจะทรงพลังเสมอ โดยเฉพาะเมื่อคุณบอกตัวเองซ้ำๆ ด้วยพลังบวกในตัวคุณ วันนี้คุณจะมีความสุข วันนี้คุณจะโชคดีเป็นพิเศษ ความเชื่อแบบนี้ ช่วยให้คุณรู้สึกดีกับตัวเองและสิ่งรอบข้าง ถึงจะเจอเรื่องไม่ดีก็คิดเสียว่า โชคดีแล้วล่ะที่ไม่แย่ไปกว่านี้ ความเชื่อแบบนี้จะกลายเป็นลูกโซ่เเห่งความสุข ช่วยให้คุณรู้สึกดีได้ อย่างน้อยๆ ก็กับตัวคุณเองค่ะ

@@@@

::: เป็นผู้ให้ :::
ในวันที่เรามีโอกาส และไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงจนเกินไป ลองให้บางสิ่งแก่คนรอบข้างดู ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของเสมอไป อาจเป็นความรู้ที่เรามีติดตัว ‘การให้’จะดึงดูดคนที่ชอบให้เหมือนกันเข้ามาหา แถมยังทำให้เรารู้สึกสุขใจ คุณไม่จำเป็นต้องคาดหวัง แค่ทำจนเคยชิน รับรองว่าชีวิตจะมีสิ่งดีๆ เข้ามาหาแน่นอน
 
::: ทำความรู้จักกับคนโชคดี :::
ว่ากันว่าความโชคดีมักดึงดูดกันและกัน หากคุณรู้สึกว่ามีคนที่มักจะโชคดีอยู่ใกล้ๆ ลองเข้าไปทำความรู้จักดู พวกเขาเหล่านั้นมักมีวิธีการใช้ชีวิต มีมุมมองความคิดที่แตกต่าง อย่าเริ่มต้นด้วยการเปรียบเทียบตัวเองกับเขา แต่ลองเปิดใจ เข้าไปทักทายทำความรู้จัก บางทีคุณอาจจะได้เคล็ดลับความโชคดีติดไม้ติดมือมาบ้างก็ได้

@@@@

::: มองโลกบวก คิดเข้าข้างตัวเองบ้างก็ดี :::
แน่นอนว่าชีวิตเราไม่ได้ไร้อุปสรรคหรือราบรื่นเสมอไป แต่หากคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี ถึงจะเป็นวันแย่ๆ คุณก็จะสามารถผ่านมันไปได้ เช่น หากถูกหัวหน้าต่อว่าแทนที่คุณจะมานั่งทุกข์ร้อน หรือคิดบ่น ลองใช้พลังบวกในใจมองว่าการที่หัวหน้าดุ เพราะเขายังเป็นห่วงและให้โอกาสคุณทำงานเพื่อพิสูจน์ตัวเองอยู่ ลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด การคิดเช่นนี้ได้จะช่วยให้คุณรอดพ้นจากวันแย่ๆ และพบกับโชคดีที่รออยู่ปลายทาง

::: ไม่ลังเลที่จะทำสิ่งที่ตั้งใจในทันที :::
การรอโอกาสเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าหากปล่อยเวลายืดยาวนานจนเกินไป โอกาสที่รออยู่ข้างหน้าก็อาจจะหลุดลอยหายไปได้ คนโชคดีไม่เคยรีรอเวลาที่เห็นโอกาส ดังนั้นเมื่อตั้งใจจะทำสิ่งไหน ขอให้ตั้งเป้าหมายและมุ่งไปข้างหน้าทัน




ขอบคุณเนื้อหาและภาพจาก : http://goodlifeupdate.com/lifestyle/97102.html
หน้า: 1 ... 183 184 [185] 186 187 ... 708